บทที่ 167 บาปที่เจ้าก่อ
ความเย็นชามลายหายไปจากดวงตาที่กู้เจาเป่ยมองไป่เหออยู่บ้าง เห็นร่างผอมบางของนางสั่นเทาก็รู้ได้ชัดว่านางหวาดกลัว หากแต่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆ เพราะเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องตาย
“เรารับรู้แล้ว”
ไป่เหอพรูลมหายใจอย่างโล่งอก นึกตื้นตันอยู่เงียบๆ อย่างน้อยภาพของนางในหัวใจของกู้เจาเป่ยก็ยังไม่เลวร้ายจนถึงขั้นสุด
หากชาติหน้าได้พบกันอีกครั้งและเจอกันให้เร็วกว่าชาตินี้ ทุกอย่างอาจเริ่มต้นใหม่ได้
นางคิดอย่างนั้น
ฮ่องเต้เก็บหนังสือสัญญาไปแล้ว ตำหนักเหอฮวนของฟู่กุ้ยผินถูกองครักษ์หลวงปิดล้อมไว้ทันที ราชบัณฑิตฟู่รีบรุดเข้าวังหลวงมายืนฟังการไต่สวนข้างเหนียนไทเฮา
ฟู่กุ้ยผินคุกเข่าอยู่ในห้องโถงตำหนักอุดรโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวบจนเห็นหวาผินถูกคุมตัวเข้ามาในอาภรณ์สีขาว สีหน้านางถึงได้เปลี่ยนไปทันควัน
“ฟู่ซื่อนามโหย่วอี๋วางแผนปองร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ ล่วงเกินเบื้องสูง พยานหลักฐานพร้อม” เหนียนไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “ท่านราชบัณฑิตฟู่มีสิ่งใดจะอธิบายหรือไม่ ความผิดฐานปองร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ต้องถูกประหารสามชั่วโคตร!”
ธารเหลืองสลายนั้นราชบัณฑิตฟู่เป็นคนให้ไปเอง ทั้งยังรู้ด้วยว่าฟู่โหย่วอี๋ตั้งใจจะทำอะไร เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหลานสาวจะโง่เขลาถึงขั้นทิ้งหลักฐานชัดแจ้งปานนี้ไว้ ต่อให้เขาอยากเอาตัวรอดก็ไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไรดี
ฟู่กุ้ยผินหน้าซีดเผือด มองหวาผินที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าไม่รักชีวิตแล้วหรือไร!”
ไป่เหอลบเครื่องประทินโฉมทิ้ง เหลือเพียงดวงหน้าแสนธรรมดาประดุจสาวชาวบ้าน ไม่เหลือเส้นสายเฉี่ยวคมใดๆ แม้แต่น้อย
นางตอบ “สามารถใช้ชีวิตของข้าทิ้งร่องรอยไว้ในพระทัยฝ่าบาทได้ก็คุ้มค่าแล้ว”
ฟู่โหย่วอี๋รู้สึกเหมือนเบื้องหน้ามืดลงถนัดใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเยี่ยงหวาผินเปลี่ยนเป็นหญิงบูชาความรักแบบไม่ห่วงชีวิตในชั่วพริบตาได้อย่างไร ตอนหารือเรื่องนี้กับนางยังทำท่าเจ้าแผนการออกอย่างนั้น นางถึงได้วางใจยอมเขียนสัญญาให้!
บัดนี้อีกฝ่ายกลับจะลากนางไปยมโลกด้วยกันเสียแล้ว
ข้าโง่เขลาหรือ เปล่า ไม่เลย หวาผินตบตาคนเก่งเกินไปต่างหาก!
“ในเมื่อไม่มีสิ่งใดจะกล่าว เราก็จะออกพระราชโองการให้ประหารชีวิตฟู่กุ้ยผินและสกุลฟู่สามชั่วโคตรโทษฐานปองร้ายองค์ชายเดี๋ยวนี้”
ราชบัณฑิตฟู่สะดุ้งโหยง “ฝ่าบาท! เรื่องนี้…กระหม่อม…กระหม่อมไม่รู้เห็นด้วยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟู่โหย่วอี๋มองผู้เป็นปู่อย่างตะลึงงัน
“ฟู่กุ้ยผินอยู่ในวังหลวงทำอะไรบ้าง กระหม่อมไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยจริงๆ! สองแผ่นดินที่รับราชการในราชสำนักกระหม่อมจงรักภักดีมาโดยตลอด ต่อให้ไม่มีความชอบก็ต้องมีความดีที่ขยันขันแข็ง ฝ่าบาทจะทรง…”
กู้เจาเป่ยหน้าบึ้ง “แผนการปกครองใหม่ระบุไว้ว่าโทษหนักจะผ่อนผันไม่ได้”
ราชบัณฑิตฟู่ตระหนกเสียจนหว่างคิ้วย่นเป็นริ้วๆ ตัวสั่นงันงกพูดอะไรไม่ออก
คะเนว่าข่มขู่จนพอแล้วเหนียนไทเฮาที่อยู่อีกทางถึงค่อยเอ่ยขึ้น “ลูกแม่ ฟู่กุ้ยผินมีโทษสมควรตายจริง แต่ไม่ต้องประหารสกุลฟู่ไปด้วยก็ได้กระมัง”
ประหนึ่งแสงสว่างวาบขึ้นในความมืด ราชบัณฑิตฟู่หันขวับไปมองผู้พูด
เหนียนไทเฮาถือถ้วยชากล่าวต่อยิ้มๆ “ยึดตำแหน่งขุนนางคืนจากคนสกุลฟู่ทั้งหมดแล้วเนรเทศออกจากเมืองหลวงก็พอ”
ความหวังเมื่อครู่พลันแตกสลายเป็นผุยผง ราชบัณฑิตฟู่รีบโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า “ไทเฮาทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อม…”
“ดูสิพ่ะย่ะค่ะ ราชบัณฑิตฟู่ไม่ใคร่พอใจวิธีของเสด็จแม่นัก ควรประหารล้างตระกูลไปเสียดีกว่า เนรเทศออกจากเมืองหลวงเป็นความอัปยศขั้นรุนแรง สู้ทำตามปณิธานของราชบัณฑิตฟู่แทนเถิด” กู้เจาเป่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เครายาวสั่นเทิ้ม ราชบัณฑิตฟู่ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว เหนียนไทเฮากล่าวยิ้มๆ “ข้าเป็นคนสวดมนต์ไหว้พระ ฮ่องเต้ผ่อนผันสักครั้ง ออกพระราชโองการปลดจากตำแหน่งเถิด”
“ลูกน้อมรับพระเสาวนีย์”
ระหว่างบทสนทนาสัพยอกหยอกเอินของสองแม่ลูก ขุนนางบุ๋นผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของเหวินไทเฮาในอดีตได้ร่วงตกจากอำนาจด้วยประการฉะนี้
เส้นสายอำนาจสำคัญของสกุลเหวินในราชสำนักถูกฮ่องเต้กำจัดทิ้งแล้ว ราชบัณฑิตฟู่คือหัวหอกคนสุดท้าย ดังนั้นเมื่อประกาศพระราชโองการจึงมีคนออกมาช่วยพูดไม่มากนัก สกุลฟู่ถูกค้นจวนยึดทรัพย์สิน ฟู่กุ้ยผินตายด้วยแพรขาวในตำหนักเย็น
แต่ไป่เหอมิได้ตายตามในทันที นางนั่งนิ่งอยู่ในตำหนักเย็น กู้เจาเป่ยมาหานางเป็นครั้งสุดท้าย
ฮ่องเต้กล่าว “เรามาส่งเจ้า”
ร่างของไป่เหอสะท้านน้อยๆ รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นบนเรียวปาก “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
กู้เจาเป่ยนั่งลงข้างนางแล้วบอกผ่านรอยยิ้มเสเพลไม่ต่างจากตอนเจอนางเวลาไปเยือนหอเงาบุปผาเมามัวเมื่อหลายปีก่อน “ดีดพิณให้ข้าฟังสักหน่อยสิ”
ไป่เหอเชี่ยวชาญเครื่องสายมากกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น เทียบกับกู่เจิงแล้วนางชอบพิณผีผา* มากกว่า
เขาถือพิณผีผามาด้วย นางรับมาปรับสายอย่างยินดีแล้วบรรเลงเพลง ‘ลาส่ง’ ให้เขาฟัง
ฮ่องเต้เอามือเท้าคางนั่งฟังเพลงพิณผีผาอย่างดื่มด่ำ แววตาคู่นั้นอ่อนโยนเสียจนแทบทำให้ไป่เหอคิดไปว่าเขาให้อภัยตนแล้ว
แต่เมื่อบทเพลงสิ้นสุดลงเขากลับเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ฟังเจ้าเล่นดนตรีมานานจนเกือบลืมไปแล้วว่าแต่ก่อนเจ้าเป็นอย่างไร”
นางมองเขาอย่างฉงนแล้วถามเบาๆ “แต่ก่อนหม่อมฉันก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือเพคะ”
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกล้วงออกจากแขนเสื้อ กู้เจาเป่ยวางลงตรงหน้านางยิ้มๆ “เจ้าคนเก่าทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก”
ข้อความบนกระดาษเขียนไว้แน่นขนัด ไป่เหอก้มลงอ่าน พลันสีหน้าแข็งค้างไปทันที
“สิ่งที่เขียนไว้ในนี้ไม่ใช่ความเท็จกระมัง” ฮ่องเต้ยิ้ม
ช่วงที่เข้าวังหลวงใหม่ๆ ฟู่โหย่วอี๋แตกคอกับเหอหรง ไป่เหอได้เข้าหาเหอหรง แล้วสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมอบอนาคตอันสุขสบายให้ จากนั้นก็ให้เหอหรงเสี้ยมสอนชิงจู๋ให้นำงูหงอนระกาไปปล่อยในตำหนักเสิ่นกุยเยี่ยน ภายหลังไป่เหอให้คนไปฆ่าปิดปากชิงจู๋เพื่อปกป้องเหอหรง
ต่อมาเมื่อหมางใจกับสีเฟย ไป่เหออยากกำจัดหลักฐานความผิดตนในมืออีกฝ่าย จึงให้คนลอบยิงเข็มพิษใส่สีเฟย แล้วติดสินบนหมอหลวงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง สร้างเรื่องว่าสีเฟยตายตกเพราะอาคมมืด
พร้อมกันนั้นนางทำตุ๊กตาสาปแช่งขึ้นมามากมาย แล้วให้คนลอบเอาไปไว้ในตำหนักหย่งเหอกลางดึก แม้ใส่ไคล้เสิ่นกุยเยี่ยนไม่สำเร็จ แต่ทำให้เสิ่นหานลู่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้
เจียงปี้เยวี่ยล่วงรู้ความลับนี้เข้าโดยบังเอิญ จึงถูกไป่เหอสั่งให้คนฆ่าปิดปาก เคราะห์ดีที่ฮ่องเต้มาช่วยไว้ทัน
เพื่อยั่วยุให้ฟู่กุ้ยผินกับเยี่ยนกุ้ยเฟยเป็นอริกัน นางสั่งให้เหอหรงไปผลักเสิ่นหานลู่ตกทะเลสาบ หลังจากกำจัดเสิ่นหานลู่ทิ้งได้แล้วก็จะโยนความผิดให้ฟู่กุ้ยผิน ให้เสิ่นกุยเยี่ยนกับฟู่โหย่วอี๋ปะทะกัน
ปรากฏว่าแผนการนี้ถูกเสิ่นกุยเยี่ยนทำลายลงเสียก่อน
บาปกรรมที่ก่อไว้ถูกตีแผ่อยู่เบื้องหน้า หากฮ่องเต้ไม่บอกให้นางหยุด ไป่เหอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะก้าวเดินบนเส้นทางชุ่มเลือดสายนี้ไปอีกนานเพียงใด
กระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้อย่างละเอียด ระหว่างอยู่ในตำหนักในนางเคยก่อบาปกรรมใดไว้ล้วนถูกบันทึกอยู่ในนี้จนหมดสิ้น ไป่เหอขยับปาก อยากถามเหลือเกินว่าฮ่องเต้รู้ได้อย่างไร ทว่าเมื่อเปล่งเสียงออกมาประโยคนั้นกลับกลายเป็น
“หม่อมฉันน่ากลัวถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงยังทอดพระเนตรหม่อมฉันด้วยสายพระเนตรสงสารอีกเล่าเพคะ”
ควรจะชิงชังและรังเกียจข้ามากกว่าไม่ใช่หรือ
กู้เจาเป่ยตอบ “เจ้าควรไปจากที่นี่เสียแต่แรกแล้ว เราไม่ดีเองที่ไม่ได้ทำให้เจ้าตัดใจ ส่วนความสงสารในแววตาเราเจ้าไม่ต้องสนใจ เราไม่ได้มองเจ้า แต่มองดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ข้างหลังเจ้าต่างหาก”
ประโยคนั้นทำให้ไป่เหอสะท้านวาบด้วยความตกใจ
คนผู้นี้…เหตุใดถึงได้ใจร้ายนัก นางอุตส่าห์คิดจะจากไปด้วยดีอยู่แล้ว ให้นางปิดบังความสกปรกโสมมไม่ให้เขารู้ เหลือไว้เพียงความทรงจำอันสวยงามไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดเขาถึงต้องขุดคุ้ยเรื่องเหล่านี้ออกมาจนหมดด้วย
แม้แต่จะให้นางได้หลับตาลงในโลกที่มีแต่คำสรรเสริญชื่นชมตนเองก็ไม่ได้
“คิดว่าเราร้ายกาจใช่หรือไม่” กู้เจาเป่ยถามเบาๆ
ไป่เหอกอดพิณผีผาน้ำตาอาบแก้ม กระนั้นก็ยังส่ายหน้า
“เราร้ายกาจมากจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็ยังอยากคืนความเป็นธรรมให้กับคนเหล่านั้นบ้าง” เขาบอก “มีคนสอนเราว่าเป็นเจ้าแผ่นดินต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี สิ่งใดที่เจ้าทำถูก เราจำได้ทั้งหมด สิ่งใดที่ทำผิดเราก็จะไม่อภัยให้เช่นกัน…มีเพียงกลุ่มคนที่รอเจ้าอยู่ในยมโลกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ให้อภัยเจ้า”
ไป่เหอนึกถึงสุ่ยเซียน สหายรักที่ถูกนางฆ่าทิ้งเองกับมือ
สุ่ยเซียนเป็นพวกพูดจาไม่รู้ขอบเขต นางไม่ชอบนิสัยเช่นนั้นเอาเสียเลย ทว่าขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็น่าเอ็นดูอย่างยิ่ง สมัยที่ยังอยู่ในหอเงาบุปผาเมามัว เวลาเจอลูกค้าจอมตอแยรับมือยากทีไร สุ่ยเซียนจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ทุกครั้ง ยามมีเสื้อผ้าอาภรณ์แบบใหม่ๆ ฝ่ายนั้นจะลากนางวิ่งไปเลือกเป็นคนแรกเสมอ
‘ใบหน้าซีดเซียวเหลือเกิน ถูกลูกค้ารังแกมาอีกแล้วใช่หรือไม่ บอกชื่อข้ามา ข้าจะเข้าครัวไปวางยาถ่ายให้มันกิน!’
‘ไป่เหอ เหตุใดเจ้าถึงชอบเอาแต่เก็บเงียบไม่พูดไม่จาเล่า มีอะไรไม่สบอารมณ์ก็ระบายออกมาให้ข้าฟังสิ จะได้โล่งขึ้น’
‘นางเด็กคนนี้นี่ รอด้วยสิ เจ้าเข้าวังหลวง ข้าก็จะเข้าด้วย!’
นางเคยเกลียดสุ่ยเซียนที่ช่วยคนนอก ไม่ยอมช่วยนาง ตอนนี้มาย้อนคิดถึงเพิ่งตระหนักว่าสุ่ยเซียนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผู้ที่เปลี่ยนคือนางเอง ซ้ำยังเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว น่ากลัวจนฝ่ายนั้นไม่ยอมพูดจากับนางอีก กระทั่งก่อนจากไปยังไม่ชายตามองนางด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท…” ไป่เหอเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มีอีกผู้หนึ่งที่ยังทรงจับไม่ได้ไม่ใช่หรือเพคะ”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า “ขันทีวรยุทธ์เป็นเลิศที่เจ้าซ่อนไว้ข้างกายมาตลอด เราเคยเห็นมันตอนช่วยเจียงผิน แต่มันวิ่งเร็วนัก หากปล่อยไว้ในวังหลวงจะกลายเป็นภัยร้ายในภายหลัง”
“มันชื่อเสี่ยวลิ่วจื่อเพคะ” ไป่เหอกล่าว “เป็นอดีตคนสนิทของหู่ชาง”
สีหน้าของกู้เจาเป่ยเคร่งเครียดขึ้นทันที
“หม่อมฉันทราบดีว่าฝ่าบาทจะต้องกริ้ว” นางหัวเราะเบาๆ ทว่าน้ำตายังไหลรินลงมาไม่ขาดสาย “เสี่ยวลิ่วจื่อเข้าวังหลวงมาแก้แค้นให้รองผู้บัญชาการหู่ หม่อมฉันจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้มันทำงานให้หม่อมฉันมาโดยตลอด แต่ฝ่าบาทจะต้องทรงเชื่อนะเพคะว่าหม่อมฉันไม่มีวันคิดร้ายต่อพระองค์แม้แต่น้อย”
เพียงอยากใช้ประโยชน์จากคนผู้นั้นเท่านั้น…หาไม่สตรีบอบบางอ่อนแอไร้คนหนุนหลังอย่างนางจะเอาตัวรอดในตำหนักในได้อย่างไร
เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วฮ่องเต้ก็ลุกเดินออกจากตำหนักเย็นโดยไม่เหลียวหลัง
“ฝ่าบาท!” ไป่เหอทำท่าจะดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างร้อนรน ให้เขาอยู่ต่อแม้เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ยังดี
ทว่าเท้าของนางพลันสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้าจนล้มลงไปทั้งที่กอดพิณผีผาไว้ ร่างในเสื้อคลุมสีเหลืองสว่างมิได้ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย คนที่เข้ามากลับเป็นขันทีใหญ่แห่งสำนักพระราชวังที่ถือแพรขาวกับสุราพิษมาด้วย
หลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่นานไป่เหอก็เลือกอย่างหลัง
สุราพิษไหลลงคอ หากแต่นางยังสามารถดีดพิณผีผาต่ออีกครึ่งเพลง โดยเลือกเพลง ‘เฝ้าคะนึง’ ที่กู้เจาเป่ยเคยชอบฟังที่สุด ท่วงทำนองหนักเบาสลับไล่เรียงเสนาะหู ใบหน้าเปื้อนยิ้มคละเคล้าไปด้วยน้ำตา
‘เป็นคนงามที่บรรเลงดนตรีได้ไพเราะจริง เจ้ามีนามว่าอย่างไร’
‘ผู้น้อยไป่เหอเจ้าค่ะ’
สายพิณถูกดีดไปได้อีกไม่กี่ครั้ง เสียงดังกังวานก็เงียบหายไปจากตำหนักเย็น ทางในวังหลวงทอดยาวเหยียด ชายคาโค้งงอนหลั่นซ้อน ผ่านไปอีกสองสามปีก็จะไม่มีผู้ใดจดจำแล้วว่าวังหลวงเคยมีหวาผินผู้ใช้เล่ห์เพทุบายสารพัด แต่ก็ต้องมาจบชีวิตลงทั้งที่ไม่สมหวัง
เสิ่นกุยเยี่ยนประคองครรภ์ยืนมองท้องฟ้าอึมครึมจากใต้ชายคาตำหนักหย่งเหอแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียด
“มัวเมาในรักมักหนักทุกข์…”
เป่าซั่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกนิ้วนับอยู่นานก็เอ่ยขึ้น “พระชายา พอหวาผินจากไปเช่นนี้ ในวังหลวงก็แทบไม่เหลือใครแล้วนะเพคะ”
บทที่ 168 จังหวะจวนแจ
แทบไม่เหลือใครแล้วจริงๆ สตรีฝ่ายในที่มีตำแหน่งเหลือเพียงเยี่ยผินกับเกาจิ่นซิ่ว ทว่าตำหนักในของฮ่องเต้ไม่เคยขาดหญิงงามมาแต่ไหนแต่ไร นางไม่จำเป็นต้องหดหู่สิ้นหวังและไม่ต้องดีใจเร็วเกินไปนัก
พระอัยกาเหวินยามนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด ส่วนบรรยากาศในเมืองหลวงก็แปลกประหลาดชอบกล สกุลฟู่ถูกเนรเทศ คนจำนวนไม่น้อยติดร่างแหเข้าคุก ซ้ำยังมีข่าวลือว่าสื่อฝาหลงบาดหมางกับแม่ทัพเหลียน ถึงขั้นนำกองทหารรักษาพระองค์ไปประลองฝีมือกับทหารกล้าแห่งกองทัพทักษิณตรงชานเมืองทุกวัน
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่อยากไปสืบถามว่าผู้บัญชาการทั้งสองบาดหมางกันจริงหรือไม่ เวลานี้นางมีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
โชคดีที่ฝ่ายในมีคนน้อยลง นางจึงประหยัดค่าใช้จ่ายของตำหนักในไปได้มาก ประกอบกับแอบให้เป่าซั่นนำสมบัติล้ำค่าของวังหลวงบางชิ้นออกไปขาย หลังจากเหนื่อยอยู่ครึ่งเดือนก็รวบรวมเงินได้ไม่น้อย จากนั้นจึงไปซื้อยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมืองหลวงเอาไว้แห่งหนึ่ง
กู้เจาเป่ยยุ่งตัวเป็นเกลียวจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น หลังจัดเตรียมกำลังพลเรียบร้อยแล้วเขาก็ส่งจดหมายเชิญถึงเหล่าชินอ๋องให้มาเที่ยวเล่นที่เมืองหลวง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ…มาถวายอารักขาราชวงศ์
ทว่าตาเฒ่าพวกนั้นฉลาดเป็นกรด รู้ทันเจตนาที่แท้จริงของเขา ย่อมไม่อยากถูกดึงมาวุ่นวายด้วย ได้ยินว่ามีเพียงเซี่ยวชินอ๋องเท่านั้นที่ออกเดินทางมาเมืองหลวง
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าเซี่ยวชินอ๋องและท่านโหวน้อยหมิงอวี่บุตรชายจะเป็นพวกเดียวกับพระอัยกาเหวินนะพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นกุยเหวินผู้อายุน้อยยืนพูดอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “ท่านโหวน้อยหมิงอวี่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของพระองค์ แม้มิได้ร่วมสายเลือดทางตรงกับอดีตฮ่องเต้ แต่ก็เป็นเชื้อสายราชวงศ์เช่นกัน ตามความเห็นของกระหม่อม เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระอัยกาเหวินคิดจะก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า รู้ก็ส่วนรู้ ทว่าตอนนี้กำลังพลฝ่ายพวกเขาไม่พอเอาเสียเลย หากพระอัยกาเหวินยกทัพมาล้อมเมืองหลวงเพื่อดันหมิงอวี่ขึ้นครองราชย์ เขาควรทำเช่นไรดี
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เปิดประตูเมืองหลวงให้สุด แต่การเข้าออกต้องใช้ทะเบียนเรือน หากไม่มีทะเบียนเรือนห้ามเข้าเมืองหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศในเมืองหลวงยิ่งตึงเครียดเมื่อมีคำสั่งนี้ กระทั่งออกมาเดินตามถนนราษฎรก็ยังสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้มีกำลังทหารเพียงหยิบมือ ไม่เพียงพอให้ป้องกันเมือง
“เจ้าเด็กอ่อนหัด ขนยังขึ้นไม่ทันครบก็หาญจะต่อกรกับข้า” เหวินโซ่วซานที่นั่งอยู่ในค่ายทหารร้องหึหลังได้อ่านรายงานลับ “ถึงอย่างไรแผ่นดินก็คือแผ่นดินที่ควบคุมจากบนหลังม้า ในเมื่อมันกล้ารังแกบุตรสาวข้า ฆ่าบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกของข้า ก็อย่าโทษที่ข้าโค่นล้มมันเพื่อให้บทเรียนก็แล้วกัน!”
ราชบัณฑิตฟู่มาอยู่ในกองทัพพระอัยกาเหวินแล้ว วงศ์ตระกูลถูกยึดทรัพย์ หลานสาวต้องตายอย่างน่าอนาถในวังหลวง หัวอกเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความคั่งแค้น
“ฮ่องเต้เสเพลไม่เอาไหน นานๆ ทีถึงนึกอยากจัดการงานราชกิจอย่างจริงจังขึ้นมา พวกพ้องของเขาในราชสำนักมีผู้ใดบ้างข้ารู้ทั้งหมดขอรับ แม่ทัพอวี่เหวินยังอยู่ในเมืองหลวง มีไพร่พลถึงหนึ่งแสนนายอยู่ในมือ รวมกับกองทัพของพระอัยกาที่นี่ก็มากเกินพอจะถล่มเมืองหลวงให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
พระอัยกาเหวินมองคนพูด “การจัดสรรไพร่พลในเมืองหลวงเป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่”
ราชบัณฑิตฟู่ร้องหึ “ก่อนจะถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง ข้ายังร่วมหารือเรื่องนี้กับฮ่องเต้และเหล่าขุนนางสำคัญ ไพร่พลที่ฮ่องเต้ดึงมาใช้ได้มีเพียงทหารไม่กี่หมื่นนายของกองทัพทักษิณ กองทหารรักษาพระองค์ และกององครักษ์หลวง รวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งของกองทัพที่นี่ของพระอัยกาด้วยซ้ำ กำลังพลถูกกระจายออกไปรอบเมืองหลวง หมายใจว่าจะล่อพระอัยกาเข้าเมืองแล้วตัดทัพใหญ่ของท่านให้ขาดกลาง จากนั้นก็ปิดประตูตีแมวเสีย หึ! ทำเหมือนเด็กเล่นปาหี่ เห็นคนรอบข้างโง่เขลากันหมดหรือไร”
เพราะเป็นข่าวจากราชบัณฑิตฟู่ พระอัยกาเหวินจึงเชื่อสนิทใจ ในเมื่อสถานการณ์เมืองหลวงเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอำพรางอีกต่อไป ชูธงใหญ่สกุลเหวินอย่างเปิดเผย
พระอัยกาเหวินก่อกบฏอย่างเป็นทางการ
เสิ่นกุยอู่ออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับกองทัพสกุลเหวินในคืนนั้นพร้อมตราสั่งการทหารสองหมื่นนาย แล้วได้รับแต่งตั้งจากพระอัยกาเหวินให้เป็นทัพหน้าบุกตีเมืองหลวง
กู้เจาเป่ยสาละวนกับการรับศึก เขาส่งทหารกองทัพทักษิณออกไป เตรียมรบกับเสิ่นกุยอู่ที่เมืองเต๋อตงในอีกสองวันให้หลัง
เหนียนไทเฮาปริวิตกเป็นล้นพ้น อยากมาพูดคุยกับเสิ่นกุยเยี่ยน เพราะถึงอย่างไรเสิ่นกุยอู่ก็เป็นคนสกุลเสิ่น
ทว่าหาทั่ววังหลวงจนแทบพลิกแผ่นดินก็ยังไม่เจอตัวเยี่ยนกุ้ยเฟย จนมารู้เรื่องที่ตำหนักหย่งเหอว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยได้รับป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ ออกจากวังหลวงไปแล้ว
เหลวไหลเหลือเกิน ครรภ์โตถึงเพียงนั้นยังจะออกไปข้างนอกด้วยเหตุใดอีก! เหนียนไทเฮาส่งคนไปตามหาอย่างร้อนใจ
นับแต่ขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้ไม่ได้ติดต่อกับชินอ๋องต่างๆ เท่าใดนัก เมื่อเมืองหลวงตกอยู่ในภัยร้ายครานี้ เหล่าชินอ๋องจึงไม่อยากช่วยเหลือ เสิ่นกุยเยี่ยนจึงต้องอุ้มครรภ์กลมโตเท่าลูกหนังไปหาอาจารย์โจว
ว่ากันด้วยวาทศิลป์และฝีมือในการพูดโน้มน้าว อาจารย์โจวเก่งกาจเลิศล้ำกว่านักพูดทุกคน
“ท่านอาจารย์ได้โปรดเกลี้ยกล่อมให้เหล่าชินอ๋องยอมช่วยฝ่าบาทด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางวางของแทนตัวฮ่องเต้ลงบนมืออาจารย์โจวแล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ที่กุยเยี่ยนเชื่อใจได้มีเพียงท่านอาจารย์คนเดียวเท่านั้น”
อาจารย์โจวลูบเครายิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับคำ “ข้าไปก็ได้ ทั้งยังจะพาคนผู้หนึ่งไปด้วย”
“ใครหรือเจ้าคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนถามด้วยความฉงน
สวี่จวงโจวก้าวออกจากด้านข้างมาคำนับนาง “กระหม่อมถวายบังคมกุ้ยเฟย”
สวี่จวงโจวผู้เยี่ยมยุทธ์ร่วมทางเป็นเพื่อนอาจารย์โจวได้นับว่าเหมาะเจาะยิ่ง เสิ่นกุยเยี่ยนประคองเขาขึ้นมายิ้มๆ แล้วพยักหน้า
หลังออกจากสำนักวิชานางตระเวนไปตามร้านขายธัญพืชเจ้าใหญ่ของเมืองหลวงต่อ
เป่าซั่นท้วงเบาๆ อย่างไม่พอใจ “พระชายาเพคะ เวลานี้พระชายาทรงเป็นถึงกุ้ยเฟยผู้สูงส่ง จะทรงเจรจากับคนเหล่านี้ด้วยพระองค์เองได้อย่างไร”
ผู้เป็นนายตอบยิ้มๆ “ต้องฉวยโอกาสที่ช่วงนี้ยังพอใช้ตำแหน่งเข้าข่มได้ ถ้าไม่รีบใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อเมืองหลวงตกอยู่ในความอลหม่านก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
ใช้ตำแหน่งเข้าข่มเพื่ออะไรกัน เป่าซั่นไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ร้านขายธัญพืชสี่เจ้าใหญ่ในเมืองหลวงมีธัญพืชรวมกันหลายหมื่นตั้น ราคากลางของธัญพืชในเมืองหลวงคือตั้นละหนึ่งตำลึง แต่วันนี้เสิ่นกุยเยี่ยนพกตั๋วเงินออกมาด้วยเพียงสามพันตำลึงเท่านั้น
แต่หลังจากตระเวนไปทุกร้านด้วยตนเองจนครบ ธัญพืชทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมืองโดยที่นางยังเหลือเงินติดตัวอีกหนึ่งพันตำลึง
เป่าซั่นอึ้งตาค้าง จวบจนเดินออกมานานแล้วบทสนทนาระหว่างเจ้านายตนกับเถ้าแก่แต่ละร้านก็ยังก้องอยู่ในหัว
‘มอบธัญพืชให้ข้า ข้าจะจ่ายมัดจำให้ก่อน จากนั้นจะผ่อนจ่ายทุกเดือนจนหมดโดยใช้ภาษีหักลบดอกเบี้ย ร้านใดมอบธัญพืชให้ข้า ร้านนั้นไม่ต้องจ่ายภาษีไปหนึ่งปี’
ภาษีเป็นปัญหาหนักอกของผู้ทำการค้ามาแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินว่า ‘ไม่ต้องจ่ายภาษี’ ประกอบกับกุ้ยเฟยผู้ยิ่งใหญ่ใช้บารมีเข้าข่ม เถ้าแก่แต่ละร้านจึงยอมปล่อยธัญพืชให้โดยไม่อิดเอื้อน
มีอยู่ร้านหนึ่งที่ไม่ยินยอม แต่ไม่เป็นไรเสิ่นกุยเยี่ยนมอบป้ายพระราชทานให้อีกสามร้านที่ยอมขายธัญพืชให้ เทียบกันแล้วย่อมมีอำนาจแข่งขันสูงกว่า อีกไม่นานร้านสุดท้ายก็จะคิดได้เอง
แม้จะวิ่งวุ่นเข้าออกวังหลวง บุตรของเสิ่นกุยเยี่ยนก็ว่าง่ายยิ่งนัก นอนนิ่งอยู่ในครรภ์ไม่ขยับสักนิด มีเพียงเวลาที่นางเหนื่อยล้าถึงจะถีบนางบ้างเพื่อเตือนว่าควรพักผ่อนได้แล้ว
พอกลับเข้าวังหลวงเหนียนไทเฮาก็เอ็ดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ายังมีครรภ์อยู่ ไม่คิดถึงตนเองก็คิดถึงบุตรในครรภ์บ้าง ออกไปตะลอนๆ ข้างนอกเยี่ยงนี้มีอย่างที่ใดกัน”
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนสงบเสงี่ยมระหว่างถูกอบรม แล้วเอ่ยขอขมาอย่างจริงจัง
ทว่าวันรุ่งขึ้นก็ยังออกไปข้างนอกเหมือนเดิม…
กู้เจาเป่ยมอบหมายให้อัครเสนาบดีกู้จัดการงานต่างๆ ในราชสำนัก ส่วนตนเองไปที่กองทัพทักษิณแล้วสวมชุดแม่ทัพ
“ฝ่าบาททรงพระดำริจะออกรบด้วยพระองค์เองหรือ” เป่าซั่นขมวดคิ้วถามจุยอวิ๋น
อีกฝ่ายทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “ศึกครานี้เป็นศึกใหญ่ ฝ่าบาทตรัสว่าต้องทรงออกรบด้วยพระองค์เองเท่านั้น”
แต่คนเราเมื่ออยู่กลางสนามรบก็ตัวเล็กกระจิริดไม่ต่างจากเมล็ดพืชกลางมหาสมุทร หากเกิดอะไรขึ้นมาเจ้านายนางจะทำเช่นไร
เมื่อได้ยินว่าสามีคิดจะออกศึกด้วยตนเอง เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ตื่นตระหนกเท่าใดนัก เพียงเก็บตัวอยู่ในวังหลวงแต่โดยดีแล้วลงมือทำเสื้อเกราะให้เขาด้วยตนเอง
ศึกใหญ่ในสองวันให้หลังกู้เจาเป่ยออกไปโรมรันกับเสิ่นกุยอู่ ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้หนุ่มน้อย ไม่มีประสบการณ์รบทัพจับศึกมาก่อน จึงพ่ายแพ้จนต้องถอยร่นเข้าเมืองหลวง ขณะที่เสิ่นกุยอู่ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
“มิเสียแรงที่เป็นแม่ทัพมือฉมังของข้า” เหวินโซ่วซานปราโมทย์เป็นล้นพ้น สั่งจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้เสิ่นกุยอู่
ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้วมองแม่ทัพหนุ่ม แล้วกระซิบกับพระอัยกาเหวิน “พระอัยกาไว้ใจเขาถึงเพียงนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ เขาเป็นคนสกุลเสิ่นนะขอรับ พวกสกุลเสิ่นที่เหลือก็ยังอยู่ในเมืองหลวงกันทั้งตระกูล”
เหวินโซ่วซานแค่นหัวเราะแล้วปรายตามองเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กคนนี้เรียกร้องสิ่งใดจากข้า”
“สิ่งใดหรือขอรับ” ราชบัณฑิตฟู่ถามอย่างสงสัย
“เมื่อใดที่พวกเราตีเมืองหลวงแตก เขาขอให้ข้าออกคำสั่งฆ่าคนสกุลเสิ่นล้างตระกูลเป็นรางวัล”
คนฟังตกตะลึงจังงัง ก่อนหันไปมองเสิ่นกุยอู่แวบหนึ่ง
เหี้ยมเกรียมยิ่งนัก!
ศึกครั้งที่สองฮ่องเต้มิได้คุมทัพ คนออกโรงคือแม่ทัพเหลียน แต่ก็ยังพ่ายแก่เสิ่นกุยอู่ดังเดิม ศึกครั้งที่สามก็เช่นกัน เหวินโซ่วซานเฝ้ามองอย่างยินดีปรีดาแล้วยกไพร่พลของตนให้เสิ่นกุยอู่แปดหมื่นนาย สั่งให้อีกฝ่ายยกทัพโอบเข้ามาทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง เมื่อถึงเวลาจะได้ประกบโจมตีสองทางพร้อมกับตน
เขาส่งสัญญาณไปให้อวี่เหวินฉางชิง แม่ทัพอวี่เหวินออกจากเมืองหลวงแล้วเช่นกัน เพียงไม่นานก็สามารถนำทัพมาสมทบกับเขา
เมืองหลวงตกอยู่ในวงล้อมอันแน่นหนาภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน
กู้เจาเป่ยลองชุดเกราะอยู่ในตำหนักหย่งเหอ เป็นเกราะเบาสีดำเงิน ตรงตำแหน่งหัวใจหนากว่าส่วนอื่น
“เป็นห่วงข้าหรือ” เขาก้มหน้ามองเสิ่นกุยเยี่ยนพร้อมถามเบาๆ
นางช่วยผูกเสื้อคลุมกันลมให้เขาแล้วเม้มปาก “หม่อมฉันต้องเป็นห่วงฝ่าบาทอยู่แล้วสิเพคะ หม่อมฉันจะรออยู่ในวังหลวง หากฝ่าบาททรงชนะ หม่อมฉันจะแสดงความยินดี แต่หากทรงปราชัยหม่อมฉันก็จะตามเสด็จไปด้วย”
กู้เจาเป่ยสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง แล้วก้มลงประทับจุมพิตบนหน้าผากนาง
เมืองหลวงว่างเปล่าเพราะราษฎรละทิ้งบ้านเรือนหนีออกไปกันหมด ฮ่องเต้สั่งให้กององครักษ์หลวงตรึงกำลังอยู่กลางเมืองเพื่อคอยลาดตระเวนตรวจตราหาไส้ศึก
ศึกครานี้ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องรบรากันด้วยซ้ำ ตอนที่เสิ่นกุยอู่ยกทัพมาถึงจุดที่นัดแนะและร่วมบุกตีเมืองหลวงพร้อมกันสามทางกับอวี่เหวินฉางชิงและเหวินโซ่วซานก็เป็นเวลาครึ่งเดือนให้หลัง
พระอัยกาเหวินมั่นใจเต็มเปี่ยม ถึงขั้นคิดว่าจะตีประตูเมืองหลวงให้แตกแล้วตรงขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรเลยทีเดียว
ทว่าไพร่พลห้าหมื่นนายที่เขานำไปด้วยกลับถูกกองทัพทักษิณและกองทหารรักษาพระองค์ยื้อยุดไว้ที่เมืองเต๋อตง พวกนั้นราวกับล่วงรู้แผนเดินทัพของเขามาก่อน กองทัพทักษิณมีกันสามหมื่นนาย ส่วนกองทหารรักษาพระองค์มีเพียงสามพันนาย แต่กลับล้อมสกัดเขาไว้จนแทบขยับตัวไม่ได้ พอถอยร่นไปทางตะวันออกก็ติดกับดักขนาดใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามซ้ำอีก
เหวินโซ่วซานหน้าเสีย แต่คิดว่าคงเป็นความบังเอิญ ไพร่พลห้าหมื่นนายเจ็บตายไปครึ่งหนึ่ง เขารีบถอยทัพหนีโดยไม่รอช้า
ข้าศึกมิได้ไล่ตามแบบกัดไม่ปล่อย ทว่ากลับไปรวมพลกันในค่ายใหญ่ตรงชานเมืองหลวง
ในเมื่อใช้กำลังพลมาเล่นงานเขา ทางด้านอวี่เหวินฉางชิงกับเสิ่นกุยอู่น่าจะตีเมืองได้อย่างราบรื่นกระมัง
แต่เมื่อกลับมาถึงค่ายเขากลับได้รับจดหมายจากอวี่เหวินฉางชิงและเสิ่นกุยอู่ที่ตั้งคำถามเขากันทั้งคู่
‘เหตุใดวันนี้ถึงไม่บุกตีเมือง’
เหวินโซ่วซานงงงัน นัดแนะกันดีแล้วมิใช่หรือว่าให้บุกตีวันนี้ ใครบอกกันว่าไม่ตี
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น รีบไปสืบมาเดี๋ยวนี้!”
สายลับรายงาน “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพอวี่เหวินและท่านแม่ทัพเสิ่นล้วนได้รับจดหมายลับจากท่าน บอกว่าจะไม่บุกตีเมืองหลวงในวันนี้ ทั้งสองทัพจึงไม่เคลื่อนไหวขอรับ”
จดหมายลับจากข้า? เหวินโซ่วซานหน้าเขียว จากนั้นก็สบถ “เจ้าเด็กต่ำช้า!”
กู้เจาเป่ยจะต้องใช้เล่ห์กลให้คนไปส่งจดหมายลับหลอกจนแผนเคลื่อนทัพของเขาพังครืนเป็นแน่
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป วันนี้พักทัพแล้วพรุ่งนี้ค่อยบุกโจมตีอีกครั้ง ต่อให้ได้ยินข่าวว่าไม่ต้องบุกตีเมืองจากที่ใดก็ห้ามเชื่อเด็ดขาด!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.