บทที่ 171 ต้องใช้เวลา
แผ่นดินใช่จะเปลี่ยนกันได้เพียงชั่วข้ามคืน ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเสิ่นกุยเยี่ยนอยู่เดือนครบกำหนดอากาศในเมืองหลวงก็หนาวแล้ว
พระอัยกาเหวินยึดอำนาจการดูแลงานราชกิจในเมืองหลวง ตั้งตนเป็นอ๋องพิทักษ์แผ่นดิน ยกรัชทายาทรักษาการมาอ้างเพื่อให้เมืองและมณฑลโดยรอบสวามิภักดิ์ แล้วใช้เมืองหลวงเป็นฐานที่มั่นจัดแต่งทัพใหม่ เตรียมเคลื่อนพลไปหลีโจว
“แผ่นดินนี้ได้มาเพราะพวกเจ้าช่วยข้าทำสงคราม” เหวินโซ่วซานมองกลุ่มคนสนิทด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะทำตามสัญญาเสียที”
ทั้งตำแหน่งสำคัญในราชสำนักและแก้วแหวนเงินทอง อ๋องพิทักษ์แผ่นดินรู้วิธีมัดใจคน ทั้งยังรู้ด้วยว่าต้องทำอย่างไรคนเหล่านี้ถึงจะทำงานถวายชีวิตให้ตนเองต่อ
เพียงแต่…เมื่อหันไปมองเสิ่นกุยอู่ เขาก็กระแอมเบาๆ “ตามข้ามาคุยกันตามลำพัง”
พอเดินตามเหวินโซ่วซานไปยังถนนวังหลวงอันปลอดคนก็ได้ยินฝ่ายนั้นทอดถอนใจ “กุยอู่เอ๋ย ข้าได้ประจักษ์ความจงรักภักดีของเจ้าแล้ว เจ้าคนขลาดอวี่เหวินทรยศแล้วหนีไป แต่เจ้ากลับอยู่กับข้าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ รับรองว่าข้าจะต้องตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี”
“เป็นสิ่งที่ผู้น้อยควรทำอยู่แล้วขอรับ” เสิ่นกุยอู่ประสานมือตอบ
รอยยิ้มของเหวินโซ่วซานค่อนข้างเจื่อนขณะมองเขา “เดิมทีข้ารับปากไว้ว่าหากตีเมืองหลวงสำเร็จจะฆ่าคนสกุลเสิ่นล้างตระกูลเพื่อชะล้างความคั่งแค้นในใจเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ” เสิ่นกุยอู่หลุบตาลง “สกุลเสิ่นย่ำยีพวกเราแม่ลูก ซ้ำยังทำให้มารดาบังเกิดเกล้าของผู้น้อยตาย ผู้น้อยแค้นจนอยากจับพวกมันมาสับเป็นชิ้นๆ!”
โทสะของคนพูดแรงกล้าจนสัมผัสได้ เหวินโซ่วซานตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าเป็นคนที่สามารถทำการใหญ่ได้ ข้าเองก็ให้ความสำคัญแก่เจ้า เพียงแต่สกุลเสิ่น…เยี่ยนกุ้ยเฟยเป็นคนสกุลเสิ่น ตัวสกุลเสิ่นเองก็พอมีอำนาจในเมืองหลวงอยู่บ้าง รากฐานของพวกเรายังไม่มั่นคงนัก จะทำร้ายจิตใจเยี่ยนกุ้ยเฟยก็ไม่ได้เสียด้วย เรื่องนี้…”
คนเช่นเสิ่นซื่อชิงนั้นแปรพักตร์ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับสนิทสนมกับขุนนางในราชสำนักเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังเคยได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นจงจวินโหว ในเมื่อยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา เขาย่อมทำใจฆ่าทิ้งทันทีไม่ได้ เก็บไว้จะเป็นประโยชน์มากกว่า
เสิ่นกุยอู่เข้าใจความนัยของอีกฝ่าย
เวลานี้เหวินโซ่วซานยังไม่อยากแตะต้องสกุลเสิ่น เพราะติดที่เยี่ยนเอ๋อร์และอำนาจของสกุลเสิ่นนี่เอง
เขาเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ว่าเหตุใดกู้เจาเป่ยถึงได้ยืนกรานจะส่งเสริมสกุลเสิ่นนัก
“เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้น้อยจะทำลายแผนการสำคัญของท่านอ๋องไม่ได้” เสิ่นกุยอู่กัดฟัน “ผู้น้อยทนได้ขอรับ”
“เจ้ารู้จักคิดถึงการใหญ่เช่นนี้ ข้าก็เบาใจ” เหวินโซ่วซานตบไหล่แม่ทัพหนุ่มแล้วเดินจากไปยิ้มๆ
เสิ่นกุยอู่ยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเหวินโซ่วซานลับสายตาไปจนไม่เห็นเงาแล้วถึงค่อยพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ขุนนางจำนวนไม่น้อยยังอยู่ในเมืองหลวง ที่หนีไปมีเพียงฮ่องเต้ อวี่เหวินฉางชิง และแม่ทัพนายกองบางส่วน ขุนนางบุ๋นอ่อนแอ ไม่นานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเหวินโซ่วซาน ใช้เวลาเพียงสองเดือนเมืองหลวงก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างที่ควรเป็น
และภายในสองเดือนนี้เองที่เสิ่นกุยเยี่ยนวิ่งวุ่นติดต่อคนจำนวนมาก
เหวินโซ่วซานเป็นโจรกบฏ ราษฎรรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูด เสิ่นกุยเยี่ยนมักออกจากวังหลวงเสมอโดยที่เหวินโซ่วซานมิได้สนใจ เพราะหากนางไม่ไปที่โรงทานก็จะไปที่สุสานนอกเมือง ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้
เดิมทีเขายังระแวงสตรีผู้นี้อยู่บ้าง แต่พอผ่านไปนานเข้าก็คิดว่าสตรีหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ที่พึ่งพิงนางหนึ่งย่อมสร้างปัญหาใหญ่ไม่ได้ เขาจึงวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมกองทัพไปหลีโจว เพียงให้เสิ่นกุยอู่ส่งคนไปตามดูเสิ่นกุยเยี่ยนไว้สักหน่อยเท่านั้น
เสิ่นกุยอู่ไปดูด้วยตนเอง โดยไปสุสานฝังรวมที่นอกเมืองกับนาง
สงครามครั้งใหญ่ทำให้มีคนเจ็บคนตายนับไม่ถ้วน ตั้งป้ายหลุมศพให้ไม่สะดวก ได้แต่จับศพมาฝังรวมกันจนเป็นเนินดินขึ้นมา
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนหน้าเนินดินด้วยสีหน้าอิดโรย ทว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ยังสะอาดเอี่ยมเรียบร้อยด้วยเพราะวันนี้นางมีนัด
กู้เจาตงรีบรุดมาหา เขายังอยู่ในเมืองหลวงและถูกเหวินโซ่วซานดึงเข้าเป็นพวก แต่ลดตำแหน่งให้เป็นขุนนางจัดการกรมทหาร พอได้รับจดหมายจากเสิ่นกุยเยี่ยนก็รีบมาหาอย่างเร่งร้อน
“เยี่ยนเอ๋อร์!”
ทั้งที่ให้กำเนิดองค์ชายแต่กลับถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งไว้ในเมืองหลวง กู้เจาตงปวดใจเหลือแสนเมื่อได้ยินข่าว ทว่าไม่มีโอกาสได้พบกันเสียที ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้างามซูบซีดจนแทบไม่เหลือเนื้อนวล แต่นัยน์ตายังสุกใสเป็นประกายดังเดิม “ใต้เท้ากู้”
กู้เจาตงเข้ามายืนตรงหน้านาง อยากแสนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่าเสิ่นกุยอู่ที่อยู่ข้างๆ มาขวางไว้
“กระหม่อมเสียมารยาทไป ไม่ทราบว่าพระชายาทรงมีสิ่งใดจะบัญชา” กู้เจาตงประสานมือถาม
“ข้าเป็นสตรีไม่อาจทำการใหญ่ จึงได้แต่มาขอร้องใต้เท้าให้นึกถึงบ้านเมืองให้มากด้วย” นางตอบเบาๆ
ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่าที่แท้วันนี้นางไม่ได้นัดเขามาเจอกันโดยเฉพาะ น่ากลัวว่าก่อนเขาจะมาถึงคงนัดเจอคนในราชสำนักมาไม่น้อยแล้ว ก่อนอัครเสนาบดีกู้จะจากไปได้สั่งให้เขาแสร้งทำทีเป็นสวามิภักดิ์ กบดานรออยู่ในเมืองหลวง
เสิ่นกุยเยี่ยนเองก็เช่นกันใช่หรือไม่
“กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” เขาค้อมกายคำนับ ทว่าอดเงยหน้าขึ้นมองนางอีกไม่ได้ “พระชายาประทับอยู่ในวังหลวง ทรงเลี้ยงดูองค์ชายตามลำพังพระองค์เดียว จะทรงเป็นอันตรายหรือไม่”
“ไม่หรอก” คราวนี้เสิ่นกุยอู่ตอบแทนน้องสาว “ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้น้อยจะถวายอารักขาพระชายาเป็นอย่างดี”
ถึงอย่างไรเขาก็รักน้องสาวแท้ๆ เป็นที่สุด
กู้เจาตงยังอยากพูดอะไรต่อ หากแต่เสิ่นกุยเยี่ยนค้อมศีรษะก่อนบอก “ข้าควรกลับเข้าวังหลวงแล้ว จดหมายฉบับนี้ไว้ใต้เท้ากลับไปค่อยอ่านก็ได้ ขอตัวก่อน”
จดหมายไม่ระบุนามฉบับหนึ่งถูกยื่นมาให้ กู้เจาตงเอื้อมมือไปรับมาแล้วมองเสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นรถม้า หายลับไปจากสายตาเขาอีกครั้ง
เมื่อเมืองหลวงเข้าที่เข้าทางเหวินโซ่วซานก็เตรียมยกทัพไปหลีโจว
มีคนเตือนว่าเขาไม่ควรออกรบด้วยตนเอง ทว่าชายสูงวัยอายุกว่าครึ่งร้อยผู้นี้กลับแค่นหัวเราะ “จะให้ข้ารอฟังข่าวการศึกจากพวกเจ้าอยู่ในวังหลวง? เช่นนั้นไม่สบายใจ ข้าออกรบด้วยตนเองดีกว่า จะได้ชิงชัยในศึกเดียว!”
“เช่นนั้นทางราชสำนักจะทำเช่นไรเล่าขอรับ” ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้วถาม
เหวินโซ่วซานมองเสิ่นกุยอู่ “ให้เขาคอยคุม เจ้าคนหนุ่มนี่ร่วมศึกกับข้ามาตลอดทาง ข้าไว้ใจเขา!”
ที่พยายามมานานก็เพราะต้องการประโยคแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจเพียงประโยคเดียวนี่ล่ะ เสิ่นกุยอู่คุกเข่ารับคำสั่ง รับปากเหวินโซ่วซานว่าจะคอยคุมเมืองหลวงที่อยู่ข้างหลังให้
ฮ่องเต้ไม่มีทีท่าจะกลับเมืองหลวง เลยต้องยกทัพใหญ่ไป ‘เชิญเสด็จ’ เท่านั้น
เหวินโซ่วซานนำทัพเคลื่อนพลไปหลีโจว ทิ้งเมืองหลวงให้เสิ่นกุยอู่ดูแลชั่วคราว แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรเสิ่นกุยเยี่ยนค่อยๆ กลายเป็นคนตรวจอ่านฎีกาที่เหล่าขุนนางส่งขึ้นไป แรกเริ่มเดิมทียังมีคนคัดค้าน ทว่าสิ่งที่นางตรวจแก้กลับมาไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์หรือคำแนะนำล้วนเหมาะสมทุกประการ
ขุนนางบุ๋นจำนวนไม่น้อยในราชสำนักสนับสนุนให้เสิ่นกุยเยี่ยนจัดการงานราชกิจแทนรัชทายาทรักษาการ เสิ่นกุยอู่เองก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เมื่อเหวินโซ่วซานส่งจดหมายมาถามก็ตอบกลับไปว่าเมืองหลวงสงบเรียบร้อยดี
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งบัลลังก์มังกรทั้งที่สวมอาภรณ์กุ้ยเฟย มือหนึ่งอุ้มโอรส อีกมือหนึ่งตรวจอ่านฎีกา
กู้เจาตงและคนอื่นๆ ได้รับการส่งเสริมจากนางให้ขึ้นมาเป็นเสมือนมือซ้ายขวา คณะของอาจารย์โจวเจรจาโน้มน้าวเหล่าชินอ๋องเสร็จแล้วก็กลับมาอยู่ข้างกายนางเช่นกัน
ราชบัณฑิตฟู่เฝ้ามองสถานการณ์ในราชสำนักแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกที จึงพยายามส่งจดหมายไปแจ้งเหวินโซ่วซานที่แนวหน้า
แต่จดหมายยังไม่ทันได้ส่งออกไปก็ตกอยู่ในมือเสิ่นกุยอู่เสียก่อน
ส่วนราชบัณฑิตฟู่สิ้นใจบนเตียงในจวนของตนเอง ได้ยินว่าเรียกนางคณิกามาที่จวนแล้วเริงโลกีย์เกินขีดจำกัด
“มิน่าเล่าเขาถึงดูถูกสตรี คอยพูดอยู่เรื่อยว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยไม่ควรก้าวก่ายการเมือง” ขุนนางราชสำนักพากันหัวเราะขบขัน “ดูเพียงภายนอกไม่ได้จริงๆ อายุตั้งปูนนี้เข้าไปแล้ว…”
เสิ่นกุยเยี่ยนมีวาทศิลป์เป็นเลิศ ทุกคนเพียงเห็นพ้องว่าสตรีผู้นี้ค่อนข้างทะเยอทะยาน ย่อมคิดไม่ถึงว่านางจะทำอะไรได้บ้างเมื่ออยู่ต่อหน้าอาชาเหล็กของเหวินโซ่วซาน
บทที่ 172 ข้ารอท่าน
“หากเยี่ยนกุ้ยเฟยยังทำตัวเป็นแม่ไก่ริขันปลุกเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะได้กุมอำนาจส่วนใหญ่ในราชสำนัก” คนที่มีสติรู้คิดเตือนเสิ่นกุยอู่
เสิ่นกุยอู่มีสติกว่าผู้ใดทั้งหมด แต่สถานการณ์เช่นนี้ล่ะที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ ทำสงครามเลือดตาแทบกระเด็นในสนามรบมานานปี ตอนนี้อุตส่าห์ได้อยู่สบายในเมืองหลวงอันเฟื่องฟู พี่รองสกุลเสิ่นจึงขยันไปเที่ยวหอคณิกาแบบสุดตัว กระทั่งพระราชลัญจกรหยกก็ทิ้งไว้ให้เสิ่นกุยเยี่ยน
เหวินโซ่วซานนำทัพใหญ่สองแสนนายไปกรำศึกในหลีโจว ผ่านไปยังไม่ทันครึ่งเดือนก็เหลือเพียงแสนนาย เสิ่นกุยเยี่ยนส่งกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงไปช่วยหนุนอย่างกระตือรือร้น คอยส่งเสบียงให้มิได้ขาดและสั่งทหารซ้อมรบอยู่เสมอ มิขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว
ดังนั้นแม้จะมีคนคอยเป่าหูเหวินโซ่วซาน เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ ขอเพียงช่วยงานสำคัญของเขาได้จะบุรุษหรือสตรีก็เหมือนกัน
ยามถือพระราชลัญจกรหยก เสิ่นกุยเยี่ยนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางสุขุม เยือกเย็น จัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นขั้นเป็นตอน หากไม่เพราะใบหน้าดวงนั้นทุกคนคงนึกว่านางเป็นบุรุษไปแล้ว
มีเพียงเป่าซั่นที่สงสารจนปวดใจ นับแต่เมืองหลวงถูกตีแตกเจ้านายของนางก็พูดน้อยลงมาก ตกกลางคืนยามอุ้มทารกที่ร้องไห้โยเยก็เพียงแค่เดินไปเดินมา โยกไกวลูกน้อยเงียบๆ อยู่ในห้องเท่านั้น
เมื่อไรฝ่าบาทถึงจะเสด็จกลับมาเสียที
ฤดูใบไม้ผลิหวนคืนมาอีกครา เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นไปเห็นยอดอ่อนของต้นหลิวเหนือกำแพงวังหลวงแล้วมองเหม่อ
“พระชายา องค์ชายทรงดูแปลกๆ อย่างไรชอบกลนะเพคะ” เป่าซั่นวางองค์ชายน้อยวัยหกเดือนลงบนตั่งนุ่ม ประหลาดนักที่ขาของเขาไม่ขยับเลยสักนิด
แววตาของเสิ่นกุยเยี่ยนไหววูบ แล้วตามหมอหลวงมาตรวจอาการ
หัวหน้าสำนักหมอหลวงกัวรายงาน “ทูลพระชายา พระเพลาขององค์ชาย…เหมือนจะเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรคือ ‘เคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก’! เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตามองอีกฝ่าย หัวหน้าสำนักหมอหลวงกัวถูกจ้องจนลนลาน รีบทิ้งตัวลงคุกเข่า “น่าจะเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์พระมารดา กระดูกพระเพลาขององค์ชายไม่ตรง ไม่ทราบว่าเมื่อทรงเจริญชันษาขึ้นอีกนิดจะดำเนินได้เป็นปกติหรือไม่”
หมอไม่เอาไหน!
เสิ่นกุยเยี่ยนรั้งชายกระโปรงพลางวิ่งไปหาหมอหลวงหลิวที่เคยทำงานในจวนสกุลกู้ วิชาแพทย์ของเขาทำให้นางอุ่นใจมากกว่า
หมอหลวงหลิวเข้าวังหลวงแล้วจับองค์ชายน้อยพลิกไปพลิกมาอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็บอกยิ้มๆ “พระเพลาผิดรูปพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่เป็นไร บางทีโตแล้วก็จะหายเอง”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้าและยิ้มออกในที่สุด นางอุ้มลูกน้อยขึ้นมา มองใบหน้าที่มีประพิมพ์ประพายเหมือนกู้เจาเป่ยขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีแล้วจุมพิตดวงหน้าเล็กๆ ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
หมอหลวงหลิวทำท่าจะลุกเดินออกไป แต่ถูกเป่าซั่นขวางไว้ “ท่านหมออยู่ในวังหลวงเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้กุ้ยเฟยพระอาการไม่สู้ดีนัก มักประชวรอยู่บ่อยครั้ง จำเป็นต้องมีคนดูแล”
หมอหลวงหลิวกำสมุดบันทึกแน่นพลางหัวเราะแห้งๆ “ไม่ต้องหรอกกระมัง”
เป่าซั่นเองก็ยิ้มให้ก่อนจะผลักอีกฝ่ายเข้าไปในสำนักหมอหลวง แล้วแย่งสมุดในมือมาเปิดอ่าน
หน้ากระดาษที่บันทึกไว้ใหม่จั่วหัวว่า ‘องค์ชาย’ ถัดจากนั้นคืออาการ ‘กระดูกผิดรูป เป็นมาแต่กำเนิด’
เป่าซั่นนัยน์ตาแดงก่ำ
ดีว่าราชครูไปกับฮ่องเต้แล้ว หากยังอยู่ในเมืองหลวงล่ะก็เป่าซั่นจะลากมาซ้อมให้น่วมเลยทีเดียว ไหนว่าเจ้านายของนางเกิดมาพร้อมหยกหงส์ ชะตาชีวิตดีแต่กำเนิด มีดวงเป็นฮองเฮา มีโชคใหญ่เมื่ออายุยี่สิบอย่างไรเล่า ทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้นเลยสักอย่างเดียว มีแต่ถูกสามีทอดทิ้ง บุตรที่เกิดมาก็พิการ!
นางแอบไปร้องไห้หลังเนินเขาจำลองอยู่นาน เมื่อเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วถึงค่อยกล้ากลับไปปรนนิบัติเจ้านาย
เสิ่นกุยเยี่ยนอุ้มองค์ชายโดยไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ได้แต่ใช้นิ้วแหย่บุตรเล่นเบาๆ ทารกน้อยน่าเอ็นดูเปล่งประกายราวกับผลึกแก้ว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับการหยอกเอินของนาง ยามนั้นแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาทาทาบเรือนผมของเสิ่นกุยเยี่ยน เป่าซั่นคิดอย่างใจลอย เหมือนจะเห็นสีขาวแซมอยู่ในเรือนผมดำขลับนั้นเลย
บางคนเกิดมาชาญสงคราม บางคนเกิดมาเชี่ยวเชิงอักษร นับแต่เสิ่นกุยเยี่ยนออกว่าราชการในท้องพระโรง เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างพบว่าสตรีผู้นี้วางกลยุทธ์การปกครองได้เก่งฉกาจยิ่ง
นางเฉียบขาดได้ยามต้องเฉียบขาด ตั้งทัณฑ์ทรมานสถานหนักสิบแปดประการ ถึงขั้นนำทัณฑ์จับมัดเสาโลหะเผาไฟที่ยกเลิกไปนานแล้วกลับมาใช้อีกครั้ง โดยให้ปฏิบัติแบบเดียวกันตั้งแต่ระดับบนลงไประดับล่าง หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิตโดยไม่ละเว้น
นางอารีได้ยามต้องอารี ปรับแก้การจัดเก็บภาษีการเกษตรเพื่อราษฎร ลดการเก็บภาษีลง สนับสนุนการทำไร่ทำนา ส่งเสริมแนวคิดราษฎรคือรากฐาน การเกษตรคือชีวิต
เนื่องจากมีเสิ่นกุยอู่หนุนหลัง ขุนนางใหญ่จำนวนมากในราชสำนักจึงสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อนาง มีบ้างที่วิจารณ์โจมตีว่าเสิ่นซื่อประพฤติผิดจรรยาสตรี ริอ่านก้าวก่ายการเมือง ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนก็ยังสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงมาสามปี
สามปีมานี้เหวินโซ่วซานถูกกู้เจาเป่ยรุกตีจนถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเคยคิดจะกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลวง ทว่าแม้เสิ่นกุยเยี่ยนคอยสนับสนุนด้านเสบียงกับกำลังทหาร แต่กลับปิดประตูเมืองหลวงอย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้เขากลับเข้ามา นางทำอะไรในเมืองหลวงบ้างใช่ว่าเหวินโซ่วซานจะไม่รู้ ทว่าด้านหน้ามีกู้เจาเป่ยรุกไล่มาติดๆ ด้านหลังมีเสิ่นกุยเยี่ยนคอยสนับสนุน จะให้เขาหันกลับไปตำหนิเสิ่นกุยเยี่ยนจนทำให้ตนเองสับสนได้อย่างไร
ดังนั้นเหวินโซ่วซานจึงจำต้องกลั้นใจรบต่อ
แผ่นดินตกอยู่ในกลียุค สามปีมานี้มีแต่ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ทุกคนรู้ดีว่าเมืองหลวงคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนสุดท้าย เพราะแม้กู้เจาเป่ยจะลอบโจมตียุ้งฉางของเหวินโซ่วซานในเจิ้งโจวและวางเพลิงเผาจนกินรัศมีไปสองหลี่ แต่ก็ไม่เคยเล่นงานเมืองหลวง เขาอยากกลับเมืองหลวง ติดที่ถูกเหวินโซ่วซานสกัดไว้อย่างแน่นหนา ทั้งคู่จึงได้แต่ประจันหน้าโรมรันกัน ไม่มีใครได้อยู่อย่างสงบสุขแม้แต่ฝ่ายเดียว
มีคนบอกว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะตั้งตนเป็นฮองเฮาเสียก็ได้ เหมือนอย่างที่เหวินโซ่วซานหน้าหนาตั้งตนเป็นอ๋องพิทักษ์แผ่นดิน เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาขึ้นนั่งว่าราชการจะไม่ยิ่งชอบธรรมกว่าหรือ
แต่เสิ่นกุยเยี่ยนมิได้ทำเช่นนั้น นางยังคงถูกเรียกว่า ‘เยี่ยนกุ้ยเฟย’ มาโดยตลอด และสวมชุดกระโปรงของสตรีตำหนักในนั่งบนบัลลังก์มังกร ยามตรวจอ่านฎีกาหาได้เกรี้ยวกราดดุดัน แต่เหมือนเด็กสาวที่กำลังทำงานเย็บปักถักร้อยมากกว่า พร้อมมีความหวังเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจว่าเมื่อคนผู้นั้นกลับมาจะเอ่ยชมว่านางทำได้ดีหรือไม่
การรอคอยครานี้ยาวนานถึงสามปี โอรสของนางยังคงไร้ชื่อมาโดยตลอด ได้แต่เรียกกันว่า ‘องค์ชายใหญ่’ ขุนนางเก่าแก่เคยเสนอนามให้มากมาย ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าอย่างหนักแน่นเรื่อยมา
องค์ชายใหญ่ขาพิการ ทั้งที่อายุสามขวบแล้วแต่ต้องให้นางกำนัลหรือขันทีอุ้มไปที่ใดมาที่ใด เสิ่นกุยอู่ทำเก้าอี้รถเข็นจากไม้ขึ้นมาตัวหนึ่งใช้เข็นพาหลานออกไปที่อุทยานหลวงทุกวัน ด้วยกลัวว่าเด็กน้อยจะหดหู่ซึมเศร้าเพราะความพิการของตนเอง
แต่แน่ชัดว่าเสิ่นกุยอู่กังวลเกินไป
เพราะเสด็จแม่ของตนไม่ยอมพูดจา องค์ชายใหญ่จึงละเอียดอ่อนช่างใส่ใจแต่เด็ก แม้เดินเหินไม่ได้ก็ไม่โทษใครทั้งนั้น ได้แต่ถามท่านลุงด้วยความสงสัย “ทุกคนบอกว่าเสด็จแม่ไม่ได้ทรงเป็นใบ้ แล้วเหตุใดถึงไม่ตรัสอะไรเลยเล่า”
เสิ่นกุยอู่ลูบศีรษะเล็ก “ในอกเสด็จแม่ของพระองค์มีถ้อยคำมากมาย พระชายาทรงกำลังรอคอยใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นกลับมาเมื่อไรก็จะพูดเอง”
องค์ชายน้อยเยาว์วัยฟังเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นขนาดใหญ่ มองดอกไม้ใบหญ้าในอุทยานหลวงเงียบๆ
“ทูลพระชายา กระหม่อมคิดว่าเวลานี้เมืองหลวงคึกคักเฟื่องฟู ชีวิตราษฎรเรียบง่ายเป็นสุข ถือเป็นสัญญาณดีที่หาได้ยากพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์โจวผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์ยืนข้างกายเสิ่นกุยเยี่ยน “ในเมื่อสถานการณ์อยู่ตัวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งกำลังพลและเสบียงไปช่วยหนุนกองทัพอีกต่อไป”
คำว่า ‘อยู่ตัว’ หมายถึงคนที่อยากรบถวายชีวิตให้เหวินโซ่วซานลดจำนวนจนแทบไม่เหลือแล้ว สามปีแห่งชีวิตสุขสงบมากพอที่จะลบเลือนความกระหายชัยชนะในใจคนทิ้งไปได้
กองทัพของเหวินโซ่วซานบอบช้ำอย่างสาหัส สุขภาพของเขาก็ย่ำแย่ลงไม่น้อยหลังกรำศึกต่อเนื่องมานานปี ขอเพียงปราชัยอีกแค่ครั้งเดียวภูผาใหญ่แห่งสกุลเหวินก็จะทลายครืนชนิดที่ไม่มีทางยืนหยัดขึ้นมาได้อีกเลย
เสิ่นกุยเยี่ยนเอี้ยวตัวไปมองพระอาจารย์โจวนิ่งๆ สักพักความรู้สึกในดวงตาก็ไหวระริก สะท้อนถ้อยคำที่อยากเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน
แล้วเขาเล่า
“ช่วงหนึ่งปีมานี้ฮ่องเต้ทรงใช้กำลังทหารจากกองทัพของไหวหนานกับดินแดนที่เสียไปแล้วแม่ทัพอวี่เหวินตีคืนมาได้ จุดสำคัญที่สุดในเวลานี้เหลือเพียงเมืองหลวงเท่านั้น” พระอาจารย์โจวตอบ “ขอเพียงทรงได้รับชัยชนะในสมรภูมิเมืองจิ้งเจียง การจะเสด็จกลับมายึดเมืองหลวงคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ดวงเนตรงามเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เสิ่นกุยเยี่ยนจับพู่กันขึ้นเขียนพระราชโองการ…
‘ดึงทัพหนุนกลับมารักษาเมืองหลวงอย่างแข็งขัน’
นางวางพู่กันลงแล้วรั้งชายกระโปรงวิ่งไปยังตำหนักใน ลัดเลาะตามเฉลียงทางเดินต่างๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าโอรสของตน ใบหน้าสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ทรงกันแสงอีกแล้วเล่าพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายตัวกะจ้อยร่อยเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอจนใกล้จะหยาดลงมาเต็มทีของมารดา
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วกอดร่างเล็กๆ ของบุตรเอาไว้แน่น
กู้เจาเป่ยยืนมองไปทางเมืองหลวงจากบนป้อมปราการ ความคิดล่องลอยไปไกล
เขาซูบผอมกว่าแต่ก่อนไม่น้อย สามปีมานี้ไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ จากเมืองหลวง ครั้นจะส่งจดหมายไปก็เกรงจะทำให้เยี่ยนเอ๋อร์เดือดร้อน ตอนนั้นเขาทิ้งนางไว้ในเมืองหลวงโดยไม่ทันได้อธิบายใดๆ แม้แต่คำเดียว นางคงจะโกรธแค้นชิงชังเขามากกระมัง
ทุกคราที่คิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์อาจไม่ยอมอภัยให้เขา หรือที่ร้ายกว่านั้นอาจลืมเขาไปแล้ว เรี่ยวแรงในร่างกายก็เหมือนจะเหือดหายไปทั้งตัว
“ฝ่าบาท” จุยอวิ๋นประคองเจ้านายไว้ มองความสูงของป้อมปราการแล้วเม้มปาก “ประทับยืนให้มั่นคงสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ อีกเพียงนิดเดียวแล้ว”
กู้เจาเป่ยหันมาถามคนสนิทเบาๆ “จุยอวิ๋น เจ้าไม่กลัวเลยหรือ”
อีกฝ่ายฉงน “กลัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กลัวว่าเมื่อพวกเรากลับไป เป่าซั่นจะออกเรือนกับผู้อื่นไปแล้ว”
จุยอวิ๋นหน้าซีดเป็นกระดาษ
เวลาสามปีนานพอให้เกิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย คำนวณจากอายุเป่าซั่นก็น่าจะใกล้สิบแปดแล้ว เพราะนางอ่อนกว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยเพียงสองปี
การจากมาอย่างฉุกละหุกในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด เดิมทีฮ่องเต้ตั้งใจจะยึดเมืองหลวงไว้อย่างเหนียวแน่น กลับกลายเป็นว่ามีคนเปิดประตูเมืองให้ข้าศึก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวโดยสิ้นเชิง กระทั่งจะวกกลับวังหลวงก็ยังไม่มีเวลา ต้องหนีออกมาทางประตูเมืองทิศตะวันตก
มีเวลาให้หนีเพียงน้อยนิดเท่านั้น ซ้ำยังต้องให้อวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์กลางคันแลกกับการสูญเสียไพร่พลไปมากมาย หากตอนนั้นฮ่องเต้ย้อนกลับไปรับเยี่ยนกุ้ยเฟยที่วังหลวง นอกจากจะหนีไม่รอดเลยสักคนเดียว ทหารในกองทัพทุกตำแหน่งก็จะผิดหวัง เพราะคนที่มัวแต่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะปกครองแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นได้อย่างไร
ฮ่องเต้มิได้ทำสิ่งใดผิด ตัวเขาเองก็มิได้ทำสิ่งใดผิด แต่เหตุใดตอนนี้ถึงได้นึกเสียใจภายหลังก็ไม่รู้
จุยอวิ๋นไม่ได้ตอบคำถามผู้เป็นนาย ได้แต่ยืนเหม่ออยู่บนป้อมปราการตามฮ่องเต้ไปอีกคน ร่างโงนเงนไปมาเหมือนเจียนจะล้มเต็มที
กองทัพไม่ว่าตำแหน่งใหญ่หรือเล็กล้วนบอบช้ำสาหัส เหวินโซ่วซานเป็นตาแก่ที่ทั้งหัวแข็งและหัวโบราณ ศึกสุดท้ายแม้จะรบกันอยู่เดือนกว่า ทว่ากู้เจาเป่ยรู้จักใช้กำลังทหารเป็นเลิศ เข้ากันได้ดีกับอวี่เหวินฉางชิง ฝ่ายพวกเขาสูญเสียไพร่พลไปไม่มากนัก แต่กลับสามารถไล่ตีฝ่ายตรงข้ามจนพ่ายแพ้ถอยร่นไปที่เมืองหลวง
“ตาม!” ฮ่องเต้สวมชุดเกราะบัญชาการรบบนม้าศึก
กลยุทธ์ไล่ต้อนศัตรูให้จนมุมนี้ผู้ใดก็รู้ เพียงแต่ครานี้พวกเขามีฮ่องเต้นำทัพ ไล่ติดตามข้าศึกมาตลอดทางร่วมหลายร้อยหลี่
เมื่อเหวินโซ่วซานกลับถึงเมืองหลวงกลับพบว่าประตูเมืองไม่เปิดรับตน
“บัดซบ!” เหวินโซ่วซานที่บัดนี้ผมหงอกขาวไอโขลก “ข้าพิชิตเมืองหลวงมาได้ เรื่องอะไรไม่ยอมให้ข้าเข้าไป เสิ่นกุยอู่เล่า”
คนสนิทรายงาน “เห็นว่าท่านแม่ทัพเสิ่นเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอคณิกา ไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก ทุกอย่างในเมืองหลวงจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยนกุ้ยเฟยขอรับ”
เสร็จกัน ออกไปเพียงครั้งเดียว ฝ่ายตรงข้ามก็เปลี่ยนกุญแจไม่ให้ข้าเข้าบ้านตนเองเสียแล้ว!
บทที่ 173 เมืองหลวงไม่มีที่สำหรับกองทัพสกุลเหวิน
ข้างหน้าไม่ให้เข้า ข้างหลังยังมีกองทัพไล่ตามมา เหวินโซ่วซานออกคำสั่งด้วยความเดือดดาลให้ตีเมืองหลวงให้แตก
เสิ่นกุยเยี่ยนเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง หากเสิ่นกุยอู่เอาแต่สำมะเลเทเมา นางที่เป็นสตรีตัวคนเดียวจะรักษาเมืองหลวงไว้ได้อย่างไร ขอเพียงเปิดประตูเมืองหลวงเข้าไปให้ได้ ถ้ากู้เจาเป่ยยังอยากตามเขาต่อก็ต้องตีเมืองหลวงซ้ำอีกครั้ง
แม้จะคิดไว้อย่างนั้น แต่หลังจากพยายามนำทัพตีเมืองอยู่ครั้งสองครั้งเหวินโซ่วซานก็พบว่าเมืองหลวงมีกองทหารรักษาการณ์มากล้น อาวุธยุทโธปกรณ์ก็เป็นของชั้นเลิศ ไม่อาจตีให้แตกได้ภายในเวลาอันสั้น!
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนบนกำแพงเมือง มองทั้งคนทั้งม้าในกองทัพที่อลหม่านอึกทึกอยู่เบื้องล่าง เสิ่นกุยอู่ที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นเบาๆ “เวลานี้กองทัพสกุลเหวินเหลือไพร่พลเพียงสองแสนนายเท่านั้น พวกเราสามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ถึงครึ่งเดือน”
“ไม่ต้องถึงครึ่งเดือนหรอก” ในที่สุดนางก็เอ่ยวาจา น้ำเสียงแหบพร่าแตกไม่ลื่นไหลนัก “พวกเขาไม่มีเวลาตีเมืองอีกครั้งแล้ว กองทัพข้างหลังไล่กระชั้นเข้ามาทุกที”
ครานี้กู้เจาเป่ยยกทัพไล่ตามมาติดๆ ระยะเดินทัพห่างกันไม่ถึงห้าวันเท่านั้น หากเหวินโซ่วซานยังมัวแต่ชักช้าย่อมถูกปิดล้อมไว้ตรงชานเมือง
พระอัยกาเหวินเองก็ตระหนักในข้อนี้ ดังนั้นหลังจากพยายามตีเมืองครั้งล่าสุดเขาจึงคิดจะถอนทัพ
“เปิดประตูเมือง” เสิ่นกุยเยี่ยนสั่งเบาๆ
พี่ชายเลิกคิ้ว “พระชายา หากเปิดประตูเมืองมิเท่ากับปล่อยให้เหวินโซ่วซานเข้ายึดเมืองหลวงอีกครั้งหรือ”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “ท่านส่งคนไปบอกเขาว่าข้ายอมจำนนแล้ว เมืองหลวงมีที่ให้ทหารปักหลักตั้งทัพได้หนึ่งหมื่นนาย พวกที่เหลือต้องตั้งค่ายกันตรงชานเมือง”
หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ต้องพูดว่าเหวินโซ่วซานจะยอมหรือไม่ ต่อให้ยอมอีกฝ่ายจะนำทหารเพียงหมื่นนายเข้าเมืองหลวงแต่โดยดีหรือ
ทว่าสามปีที่ผ่านมาเสิ่นกุยเยี่ยนไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เสิ่นกุยอู่ลังเลอยู่สักพักก็เด็ดดอกไม้ริมทางมาปลิดกลีบทิ้งทีละกลีบ
“เชื่อ…ไม่เชื่อ…หรือจะเชื่อดี…”
กลีบดอกไม้ถูกดึงทิ้งจนหมด เสิ่นกุยอู่มาที่ด้านล่างกำแพงเมืองแล้วเรียกคนมาสั่ง “ออกจากเมืองไปเจรจาขอสงบศึก”
กองทัพที่ไล่ตามมาข้างหลังแทบหายใจรดต้นคอแล้ว เมื่อเหวินโซ่วซานได้รับข้อความจากเสิ่นกุยเยี่ยนก็รู้สึกตกที่นั่งลำบาก ยังไม่อาจตัดสินใจ ครั้นจะถอนทัพหนีไปทางเหนือแล้วจะหนีไปได้ถึงเมื่อใด บัดนี้ไพร่พลเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากการเดินทัพไกล หากยังไปต่อทหารจะยิ่งบอบช้ำ แต่ครั้นจะตอบรับข้อเสนอของเสิ่นกุยเยี่ยนในยามนี้ การเข้าเมืองก็จะล่าช้าลง และเป็นไปได้มากว่าจะถูกทัพหลวงของฮ่องเต้ไล่ตามมาทัน
ไม่ว่าเลือกทางใดก็เสี่ยงทั้งสิ้น เสิ่นกุยเยี่ยนเจ้าเล่ห์นัก สงบศึกตอนใดไม่สงบศึก จงใจปล่อยให้เขาเสียเวลาอยู่หลายวันแล้วเลือกเจรจาสงบศึกในจังหวะที่เขากำลังจะถอนทัพพอดี
หลังตรึกตรองอยู่นานเหวินโซ่วซานก็ตอบกลับไป “ตอบรับนาง เมื่อประตูเมืองหลวงเปิดออกเมื่อใด ทหารทุกนายจงฟังคำสั่งข้า ให้ทำเหมือนตีเมืองหลวง บุกทะลวงเข้าไปเลย”
“ขอรับ” แม่ทัพรับคำสั่งแล้วจากไป
‘แอ๊ด…’ เมื่อประตูเมืองหลวงเปิดออก คนกว่าร้อยชีวิตกำลังเข็นรถบรรทุกก้อนหินสองก้อนซึ่งใหญ่โตจนแทบจะทับรถไม้พัง เมื่อเคลื่อนก้อนหินไปไว้หลังประตูเมืองอย่างลำบากเรียบร้อยแล้วก็ทำลายรถไม้ ปล่อยให้หินยักษ์สองก้อนคาอยู่หลังประตูเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ประตูเมืองจะเปิดก็แง้มออกเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าไพร่พลในกองทัพจะรีบร้อนเพียงใดก็มีที่ว่างให้เข้ามาได้ครั้งละสองคนเท่านั้น
เสิ่นกุยเยี่ยนกลับไปรอในวังหลวง นางคำนวณไว้ หากกองทัพสองแสนนายนี้จะเคลื่อนพลผ่านประตูเมืองหลวงที่เปิดแง้มน้อยๆ จนหมด อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงสองวัน
และอีกเพียงวันเดียวทัพใหญ่ของกู้เจาเป่ยก็น่าจะผ่านเข้าเขตเมืองหลวงแล้ว
เหวินโซ่วซานไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะใช้วิธีนี้ ครั้นจะเปลี่ยนใจพวกแนวหน้าซึ่งล้วนแต่เป็นทหารฝีมือดีของเขาก็เข้าเมืองไปแล้ว ครั้นจะเข้าไปต่อหางแถวที่อยู่ข้างท้ายก็จะถูกตีแตก
กองทัพของเขาในเวลานี้มีสภาพเหมือนมังกรตัวยาวเหยียด หัวเลื้อยเข้าเมือง ลำตัวติดอยู่ตรงประตูเมือง ส่วนหางเปิดเปลือยอยู่ข้างนอกทั้งหมด
เหวินโซ่วซานเดือดดาลเสียไม่มีดี จะสั่งให้คนดันประตูเมืองให้เปิดกว้าง เจ้าหินยักษ์สองก้อนนั้นก็ใหญ่โตเสียจนไม่มีผู้ใดขยับได้ ไพร่พลในกองทัพพยายามกรูกันเข้าเมืองอย่างเร่งร้อนจนอลหม่านไปหมด
“หากไม่ทันจริงๆ ก็ปล่อยให้แนวหน้าเข้าเมืองไป ส่วนที่เหลือรีบถอยโดยเร็วดีกว่านะขอรับท่านแม่ทัพ!” คนสนิทแนะอย่างร้อนใจ “สายข่าวของเรารายงานมาว่าทัพข้าศึกอยู่ห่างออกไปเพียงสามสิบหลี่ อีกไม่นานก็จะมาถึงชานเมืองแล้ว!”
เหวินโซ่วซานสบถทีหนึ่งแล้วสั่งอย่างกราดเกรี้ยว “พวกที่เข้าเมืองไปแล้วยกพลบุกตีวังหลวง ฆ่านางสตรีบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นเสีย! พวกที่ยังไม่เข้าเมืองทั้งหมดเตรียมตัวโจมตีแบบสายฟ้าแลบให้พวกมันตั้งตัวไม่ติด!”
ไพร่พลถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ที่เข้าเมืองได้มีทหารไม่ถึงหมื่นนาย ซ้ำยังเป็นเสมือนมังกรไร้หัวเพราะเหวินโซ่วซานขึ้นม้านำทหารที่อยู่ข้างหลังเตรียมตั้งค่ายรับมือกับกู้เจาเป่ยแล้ว
‘นางสตรีบนบัลลังก์มังกรผู้นั้น’ นั่งอย่างสง่าสำรวม “เมื่อสามปีก่อนเมืองหลวงมีสุสานฝังรวมขนาดใหญ่ บัดนี้ได้เวลาเอาคืนพวกโจรกบฏเสียที! ปิดประตูเมือง ฆ่าทหารที่เข้าเมืองมาแล้วไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
“รับด้วยเกล้า” เหล่าขุนนางราชสำนักล้วนฟังคำสั่งนาง กองทหารรักษาพระองค์เคลื่อนพลออกจากวังหลวง กององครักษ์หลวงก็ติดอาวุธพร้อม กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงมีจำนวนเหนือกว่าและแข็งแกร่งกว่าที่เหวินโซ่วซานคิดไว้มาก ทหารของเขาที่เข้าเมืองมาได้ยังไม่ทันพักหายใจให้หายเหนื่อย เสียงฆ่าฟันก็ดังไปทั่วเมืองหลวง
กองทัพไม่ถึงหมื่นนั้นไม่มีเหวินโซ่วซานคอยบัญชาการ รองแม่ทัพเจ็ดคนจึงต้องนำไพร่พลของตนแยกกันเร่งรุดสู่วังหลวงจากทิศต่างๆ มิหนำซ้ำเพิ่งมาได้ครึ่งทางก็เจอกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงเข้าจนต้องห้ำหั่นกันเสียก่อน ทหารสกุลเหวินบางนายหนีเข้าไปตามบ้านเรือนของราษฎร ยังไม่ทันได้ใช้บารมีของนายทหารใหญ่เข้าข่มก็ถูกลุงป้าน้าอาใช้กระทะบ้างพลั่วบ้างฟาดเสียไม่เป็นสมประดี
กองทัพสกุลเหวินฉงนสนเท่ห์เป็นกำลัง กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงโจมตีพวกเขายังพอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เหตุใดพวกชาวบ้านที่ปกติเห็นสงครามเป็นต้องหนีหัวซุกหัวซุน บัดนี้ถึงได้เตรียมกับดักไว้กันทุกบ้าน แล้วกระหน่ำหวดจอบหวดไม้ลงบนร่างพวกเขา บางคนเป็นยายแก่ไม่กลัวตาย ยืนยังแทบยืนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่กลับถือค้อนเหล็กฟาดศีรษะทหารสกุลเหวินสุดแรงเกิด
ทหารนายหนึ่งถีบท่านยายกระเด็น ค้อนเหล็กหลุดมือปลิวไปอีกทาง ท่านยายล้มฟุบอยู่หน้าเรือนตนเอง จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น กระนั้นก็ยังพยายามเอื้อมมืออันสั่นเทาไปหยิบไม้ฟืนข้างตัว
“นางแก่นี่เสียสติหรือไรกัน” ทหารนายนั้นถามพรรคพวก
คนข้างๆ งึมงำ “ใครจะไปรู้ แต่เดิมเมืองหลวงเป็นเมืองที่เราตีมาได้แท้ๆ เหตุใดพวกชาวบ้านถึงได้มองเราเป็นศัตรูถึงเพียงนี้…”
“บุตรสาวข้า…” ท่านยายถือท่อนฟืนพลางประคองร่างขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ “บุตรสาวบุตรชายข้าล้วนตายใต้คมดาบเดรัจฉานอย่างพวกเจ้า! ทั้งที่เป็นคนแผ่นดินเดียวกันแท้ๆ แต่กลับทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าไร้คุณธรรมได้ลงคอ ทหารสกุลเหวินอย่างพวกเจ้าไม่มีที่ยืนในเมืองหลวงหรอก!”
“หนวกหู!” ทหารเงื้อเท้าถีบโครมอย่างรำคาญเต็มที พอเห็นท่านยายแน่นิ่งไม่ขยับอีกแล้วก็ร้องหึ ทำท่าจะไปกันต่อ
พวกเขาไม่กี่คนนี้เป็นเพียงทหารที่ต้องการหนีเอาชีวิตรอด เมืองหลวงแห่งนี้แม้ไม่มีทหารฝ่ายศัตรู ทว่าเต็มไปด้วยชาวบ้านที่รับมือยาก
ปรากฏว่าเขาเพิ่งจะหมุนตัวออกเดินก็ถูกอิฐทุ่มใส่ศีรษะ เลือดไหลอาบบดบังสายตาจนพร่ามัว พวกทหารถึงเพิ่งรู้ว่าเบื้องหน้าแน่นขนัดไปด้วยราษฎรที่ถือจอบในมือ
ทหารสกุลเหวินที่เข้าเมืองหลวงล้วนแต่เป็นนายทหารฝีมือดี เสิ่นกุยอู่ที่บัญชาการทหารในเมืองหลวงนึกว่าหากจะกำจัดทหารสกุลเหวินทิ้งก็ต้องใช้แรงใช้เวลานานโข
ปรากฏว่าผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันทหารสกุลเหวินตามจุดต่างๆ ก็หนีไปอย่างเงียบเชียบ กองทหารรักษาพระองค์และกององครักษ์หลวงบาดเจ็บกันไม่มากนัก แต่ราษฎรนี่สิที่เจ็บตัวกันมากมายบ้างก็ถึงตาย
กู้เจาตงไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นกุยเยี่ยนจึงอธิบาย “ยามทหารพวกนี้มาช่วงชิงเมืองหลวงแย่งอำนาจจากฮ่องเต้ ใครแพ้ใครชนะราษฎรจดจำไม่นานนัก ทว่าเมื่อมีคนฆ่าฟันชาวบ้าน ทำลายครอบครัวพวกเขา ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะย้อนกลับมาหลังผ่านไปนานเท่าไรราษฎรก็จะจำฝังใจไม่ลืม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนชดใช้ให้กับสุสานฝังรวมนอกเมือง”
พลังของราษฎรน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ กู้เจาตงไม่อยากเชื่อเลย บางทีอาจเป็นความบังเอิญก็ได้ ตลอดระยะเวลาที่ว่าราชกิจเสิ่นกุยเยี่ยนให้ความสำคัญกับราษฎรเสมอมา ยกราษฎรในเมืองหลวงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ชะรอยสวรรค์จะเปิดตามองแล้วตอบแทนความดีของนาง กองทัพสกุลเหวินถึงได้ถูกกลืนหายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ยามนี้ประตูเมืองปิดสนิท เหวินโซ่วซานที่อยู่ข้างนอกยังไม่ทันได้ล่วงรู้ความเป็นไปข้างใน กู้เจาเป่ยก็ยกทัพมาประชิดแล้ว เขาจำต้องทุ่มสุดตัวเพื่อรับศึกก่อน
ที่นอกเมืองหลวงกองทัพสองฝ่ายตั้งค่ายห่างกันไม่ถึงสิบหลี่ ฮ่องเต้อาศัยจังหวะยามพลบค่ำนำทหารไปลอบโจมตีคลังเสบียงสกุลเหวิน เป็นเหตุให้เสบียงอาหารพันตั้นถูกทำลายไปหมดสิ้น เหวินโซ่วซานหันไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวง เสิ่นกุยเยี่ยนรับปากว่าจะส่งเสบียงไปหนุนทันที
ตกลงกันไว้ว่าจะส่งเสบียงตอนกลางคืน ฟ้ามืดย่อมทำอะไรง่าย เสิ่นกุยอู่พาเหล่าทหารยอดฝีมือคุมเสบียงมาส่งด้วยตนเองตามที่น้องสาวกำชับ
เหวินโซ่วซานขมวดคิ้วมุ่นรออยู่หน้าค่าย จวบจนเห็นเสิ่นกุยอู่ถึงค่อยพรูลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วสั่งให้คนไปรับ
กองทหารส่งเสบียงเรียงตัวกันยาวเหยียด มองไม่ถนัดนักเพราะฟ้ามืด แต่ก็รู้ว่ามีจำนวนมากถึงขั้นล้อมที่ว่างหน้าค่ายทหารสกุลเหวินเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา ซ้ำด้านหลังยังลำเลียงเสบียงมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“มากเกินไปสักหน่อยกระมัง” เหวินโซ่วซานฉุกใจสงสัย กำลังจะอ้าปากถามก็เห็น ‘เสบียง’ จำนวนมากลุกพรวดขึ้นมาจากรถเข็นที่จอดอยู่กลางลาน
เมื่อเพ่งมองดีๆ ถึงได้รู้ว่าเสบียงเหล่านั้นหน้าตาเหมือนทหารฝ่ายศัตรูไม่ผิดเพี้ยน!
“เตรียมรบ!” เหวินโซ่วซานรีบตะโกนลั่น
ทว่าทันเสียเมื่อไรเล่า พวกไพร่พลยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่ในค่าย กว่าจะถูกปลุกให้ตื่นกระโจมของพวกตนก็ถูกทหารข้าศึกพังแล้ว
เหวินโซ่วซานสบถด่าอย่างคั่งแค้นขณะพากลุ่มคนสนิทหนีไปภายใต้การอารักขาของผู้ใต้บังคับบัญชา ค่ายทหารกว่าแปดหมื่นนายก็ถูกข้าศึกกลืนกินหมดสิ้นแล้ว เขาจำต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปยังฐานที่มั่นด้านหลัง
เสิ่นกุยอู่ก็เป็นคนทรยศ!
เหวินโซ่วซานตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ มิน่าเล่าเสิ่นกุยเยี่ยนถึงสามารถควบคุมเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย เพราะมีเสิ่นกุยอู่อยู่นี่เอง! ทำเป็นบอกว่าสำมะเลเทเมาอยู่ในหอคณิกา เกรงว่าจะเป็นการกุเรื่องจัดฉาก เล่นละครปิดบังการแปรพักตร์ครั้งใหญ่ที่สุดให้เขาดูสินะ!
ตอนอวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์ เหวินโซ่วซานยังรับมือทัน แต่พอเสิ่นกุยอู่แปรพักตร์อีกคนเท่ากับตัดทางหนีของเขาชัดๆ
“บุก!” กู้เจาหนานนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างองอาจดุดัน ดวงตาเป็นประกายกล้า
สามปีมานี้เขาได้เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยผู้บัญชาการขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการหลัก ทำศึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่าโดยอาศัยภรรยาจนเป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้ ขอเพียงรบชนะในศึกสุดท้ายเขาก็จะได้อยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต
สวี่เมิ่งเตี๋ยบอกว่าศึกครั้งนี้เหวินโซ่วซานจะไม่สู้ แต่จะหนีเพราะอยากรักษาชีวิต โดยจะไปซ่อนตัวในวัดเฉิงหวง* ในเจิ้งโจว กู้เจาหนานรับรองกับฮ่องเต้ว่าจะต้องจับเป็นเหวินโซ่วซานกลับมาให้ได้
ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่พะวงทางนี้ พอมาถึงชานเมืองหลวงเขาก็ปรี่เข้าเมืองอย่างทนรอไม่ไหว
ประตูเมืองปิด? ไม่เป็นไร หาจุดปลอดคนปีนกำแพงเอาก็ได้
ม้าปีนกำแพงไม่เป็น? ไม่เป็นไร พอเข้าไปแล้วข้าจะวิ่งเอา!
จุยอวิ๋นทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล จำต้องปีนกำแพงไต่ชายคาเข้าเมืองหลวงตามเจ้านายไปด้วย
เวลานี้ขั้วอำนาจในเมืองหลวงไม่แน่ชัด เขาอยากบอกนายเหนือหัวเหลือเกินว่าเข้าไปตามลำพังเช่นนี้อันตรายเกินไป ทว่ากู้เจาเป่ยฟังเสียที่ใด เจ้าตัววิ่งผ่านถนนเฉิงเต๋อในอึดใจเดียว ลัดเลาะตามตรอกซอกซอย จนสุดท้ายมาหยุดอยู่นอกวังหลวง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.