X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 139-141

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 139

แตกต่างจากการเกิดความคิดในยามจวนตัวและการลงมือเมื่อสบช่องเหมือนอย่างเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ย ต่งหลีเห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาก่อนแล้ว ถึงได้สามารถงัดเอาหลักฐานที่ครอบคลุมปานนี้ออกมาได้

ฮ่องเต้มองขันทีใหญ่ที่ข้างตนเองปราดหนึ่ง ขันทีผู้นั้นปาดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนก้มหน้าเดินซอยเท้ายิกๆ ไปรับหลักฐานที่ต่งหลียื่นถวายโดยไม่มีเวลาให้สนใจว่าแส้ปัดติดอยู่บนชุดตัวยาวของตนเอง จึงไม่ได้สลัดออกไป

เขาเดินไปถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ค้อมตัวใช้สองมือรองหลักฐานชูขึ้นถวาย

ดูราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่เคารพนบนอบที่สุดตลอดมาก็มิปาน

เฉินวั่งซูมองเขาอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง

ฮ่องเต้รับหลักฐานไปพลิกดู ก่อนจะมองไปที่อัครมหาเสนาบดีเกา “อัครมหาเสนาบดีเกา สกุลเกาของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้?”

อัครมหาเสนาบดีเกาก้าวมาข้างหน้าอย่างตาลีตาเหลือก ก่อนส่ายศีรษะ “กระหม่อมไม่ทราบ ในจวนกระหม่อมมีคนอยู่มากมาย เรื่องสตรีหลังบ้านไม่มีเหตุผลให้กระหม่อมสอดมือ หากมีเรื่องนี้จริง กระหม่อมก็ละอายใจ ขอฝ่าบาททรงลงโทษสถานหนักตามอาญาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฝ่าบาทพยักหน้า มุ่นหัวคิ้ว เริ่มเปิดดูอย่างละเอียด

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็แววตาวูบไหว ใช้เสียงไม่ดังไม่เบากล่าวว่า “วันนี้มิใช่มาเพื่อฉลองนิมิตมงคลหรือไร…ไฉน…”

นางพูดแล้วก็รีบยกมือปิดปาก มองไปยังเหยียนเจวี๋ยด้วยอารามตื่นกลัว เหยียนเจวี๋ยชูนิ้วทำท่าบอกให้นางเงียบ

เฉินวั่งซูประหนึ่งว่าถูกทำให้ตกใจเข้าแล้ว รีบก้มหน้าลง ก่อนจะเม้มปากแน่นทันที

เสียงนี้ของนางไม่ดังไม่เบา ในที่นี้จ้อกแจ้กจอแจจึงมิได้ดึงดูดความสนใจ หากแต่นางรู้ว่าคนที่ใส่ใจฟัง เป็นต้นว่าฮ่องเต้ เขาจะต้องได้ยินอย่างแน่นอน

เป็นไปตามคาด พอนางเอ่ยวาจานี้ออกไป หัวคิ้วของฮ่องเต้ก็ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม

มือของเขาบีบสมุดบัญชีนั้นไว้แน่น ประหนึ่งว่ามีเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากเย็น จึงตัดสินใจไม่ได้เสียที

เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว อยากพูดเรื่องสุสานขององค์หญิงเฉิงอัน หากเรื่องนี้ถูกยกออกมา จะต้องเป็นเหมือนค้อนธอร์ ทุบองค์ชายสามเละไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูกอย่างแน่นอน

เกลือเถื่อน องค์ชายสามไม่มีทางวางกองไว้ในคลังเก็บของของตนเอง ทว่าถ้าสมบัติล้ำค่านั่นก็ไม่แน่แล้ว

เขาซ่อนของในสุสานขององค์หญิงเฉิงอันไว้ ใครจะไปรู้ว่ายังมีของคนอื่นด้วยหรือไม่

ทว่าบั้นท้ายนางเพิ่งจะออกห่างจากเก้าอี้ก็ได้ยินต่งหลีผู้นั้นเอ่ยปากอีกว่า

“เกลือเถื่อนนี้เป็นความผิดแรกที่ฝ่ายตรวจการต้องการฟ้องร้ององค์ชายสาม ความผิดนี้มีพร้อมทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ หากฝ่าบาทส่งคนไปเขาผิงซานในตอนนี้เพื่อสืบหาความจริงก็จะทรงทราบว่าที่กระหม่อมกราบทูลเป็นความจริงทุกประการ ไม่กี่ปีมานี้เขาผิงซานแห่งนั้นแทบจะถูกขุดจนกลวงแล้ว ทรัพย์สินเงินทองมหาศาลที่ได้มาจากการนี้ล้วนมีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด”

ต่งหลีพูดพลางเดินไปหยุดเบื้องหน้าเฉินสี่หลิง “พระชายาองค์ชายสามเอาแต่ตรัสว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นพระชายาองค์ชายเจ็ดทรงใส่ร้ายท่าน เรื่องนี้ล้วนเป็นคำโกหกพกลม เนื่องจากผู้ที่ซุ่มอยู่ที่ท่าเรือเมื่อคืน นอกจาก…”

ต่งหลียกมือขึ้นชี้เกามู่เฉิง “นอกจากพระชายาองค์ชายเจ็ดและเกาฮูหยินแล้ว ยังมีผู้ตรวจการอย่างพวกกระหม่อมอยู่ด้วย ความจริงเป็นตามที่พระชายาองค์ชายเจ็ดตรัส พระชายาองค์ชายสามไปท่าเรือแห่งนั้นเพื่อติดต่อกับเถ้าแก่โจวจริงๆ เรื่องขายสินเดิมก็เป็นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวเช่นกัน ทุกท่านโปรดดูหยกเขียวที่ห้อยอยู่ตรงอกพระชายาองค์ชายสามนี้”

เฉินสี่หลิงหน้าซีด อ้าปากคิดจะแก้ตัว

ต่งหลีกลับตัดบทนางอย่างเด็ดขาด “อย่าบอกว่าเป็นสินเดิมของพระชายา ตอนที่พระชายาองค์ชายสามออกเรือนได้อวดสินเดิมอยู่ถึงสามวัน รายการสินเดิม คนในเมืองหลินอันแทบจะมีอยู่คนละชุด หามาได้ไม่ยาก หยกเขียวนี้ล้ำค่ามากขนาดซื้อถนนในเมืองหลินอันได้หนึ่งเส้น ลือกันว่านี่เป็นของในสินเดิมของเทียนเป่าหนี่ว์ตี้ฮ่องเต้หญิงในสมัยโน้น ความมั่งคั่งของสกุลเดิมของเทียนเป่าหนี่ว์ตี้ในยามนั้นแม้แต่ในตำราประวัติศาสตร์ยังหาได้น้อยยิ่ง พระชายาองค์ชายสาม ท่านกล้ารื้อจี้หยกพกนี้ออกมาสวมเชียวหรือ”

เฉินสี่หลิงใช้มือหนึ่งกุมจี้หยกพกนั้นไว้ ก่อนพลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

ต่งหลีมองนางปราดหนึ่ง หาได้คาดคั้นไม่ เนื่องจากท่าทางของนางได้ตอบคำถามทั้งหมดด้วยตนเองแล้ว

“นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในบรรดากำไรจากเกลือเถื่อนเท่านั้น เงินที่เหลือล้วนไปที่ใดแล้ว” ต่งหลีพูดพลางชะงักเล็กน้อย เว้นช่องให้คนคิดตามไปไกล

เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ก็นั่งกลับลงไปเต็มบั้นท้าย นางรู้สึกว่าคืนนี้ไม่มีโอกาสให้นางได้ออกโรงแสดงแล้ว ต่งหลีผู้นี้ไม่รู้เป็นอัจฉริยะที่กระโดดออกมาจากหินก้อนใด

การกราบทูลรายงานความผิดครั้งนี้ของเขา ไม่ว่าโอกาสหรือจังหวะล้วนมิมีที่ติ หากมิใช่เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้ว ก็ต้องเป็นปรมาจารย์แต่กำเนิด นางนึกว่าตนเองนับเป็นคนร้ายกาจแล้ว แต่ครั้นมาถึงแคว้นต้าเฉินนี้

ถึงได้พบว่าทุกคนล้วนเป็นราชาจอเงิน ทุกคนล้วนเป็นพวกเจ้าอุบาย

“ขณะช่วงปีใหม่เมื่อปีกลายฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ แถบเยี่ยนตี้ปรากฏโจรภูเขาบนหลังม้า ขุนนางรายงานขึ้นมา องค์ชายสามทรงขันอาสามุ่งหน้าไปปราบโจร ริบม้าศึกจำนวนมากได้จากในค่ายของพวกเขา”

ครั้นคำว่า ‘ม้าศึก’ ถูกกล่าวออกมาองค์ชายสามก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาพลันพุ่งตัวมาคำรามใส่ต่งหลี “ต่งหลี ข้ารู้ว่าเจ้าอาฆาตแค้นข้ามาตลอดเพราะเรื่องที่บิดาเจ้าหายตัวไป เนื่องจากเวลานั้นเขาคิดจะฟ้องร้องข้า จึงออกจากเมืองไปหาหลักฐาน แต่ก็มิได้กลับมาอีกเลย แต่ว่าข้าไม่ได้ทำร้ายบิดาเจ้า ไยเจ้าต้องอาศัยเรื่องส่วนรวมแก้แค้นเรื่องส่วนตัว ใส่ร้ายป้ายสีข้าทุกทาง”

ต่งหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “บิดากระหม่อมหายตัวไประหว่างทางไปเขาผิงซานจริง แต่พวกกระหม่อมเป็นผู้ตรวจการ เกิดมาเพื่อแหย่เท้าที่เจ็บปวดของผู้อื่น ขุดความลับที่บอกใครไม่ได้ของผู้อื่นออกมา บิดาพลีชีพเพื่อบ้านเมือง กระหม่อมต่งหลีเคารพนับถืออย่างยิ่ง อีกทั้งยังตั้งสัตย์สาบานว่าจะยึดบิดาเป็นแบบอย่าง ทำหน้าที่ตรวจสอบสอดส่องซึ่งผู้ตรวจการพึงกระทำให้ดี ไม่ว่าเป็นองค์ชายสาม เป็นองค์ชายองค์อื่นๆ หรือแม้แต่ทหารยามหน้าประตูวัง ขอเพียงเขามีข้อบกพร่องในหน้าที่ หรือขอเพียงเขากระทำการขัดต่อกฎหมายแคว้นต้าเฉิน เช่นนั้นการทำให้เขาแก้ไขสิ่งผิด ทำให้เขาได้รับโทษทัณฑ์ ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายตรวจการของพวกกระหม่อม องค์ชาย ความผิดมิควรกระทำซ้ำสามท่านไม่แบ่งแยกเรื่องส่วนรวมและส่วนตัว มิได้หมายความว่าผู้อื่นจะล้วนเป็นเหมือนกับท่าน ผู้ตรวจการถวายฎีกากราบทูล โปรดอย่าสอดปากตามอำเภอใจ ตัดบทตามอำเภอใจอีก”

เขาพูดจบก็กล่าวต่อไปว่า “แคว้นต้าเฉินเราตั้งอยู่ทางใต้ แทบจะไม่มีที่เลี้ยงม้า โจรภูเขาบนหลังม้ากระจอกๆ จะมีม้าศึกมากกว่าและดีกว่าในกองทัพต้าเฉินได้อย่างไร ในจุดนี้เวลานั้นมีคนเกิดความสงสัย แต่กลับถูกกลบไป คนส่วนใหญ่ล้วนชมว่าองค์ชายสามมีบุญญาธิการเทียมฟ้า ท่านกับฝ่าบาทเปรียบประดุจดวงตะวันจันทราส่องสว่างคู่กันบนฟากฟ้า ยามนั้นฝ่าบาททรงโสมนัสอย่างมาก จึงโปรดให้องค์ชายสามคุมอาวุธยุทโธปกรณ์”

ขณะต่งหลีกล่าววาจา ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ทุกครั้งที่เขาพูดคำหนึ่ง ใบหน้าของฮ่องเต้ก็จะดำลงหลายส่วน

“ม้าศึกมาจากที่ใด ค่ายบนเขานั้นถูกเผาวอดวายไปแล้ว มิมีที่ให้เริ่มสืบ แต่ทว่าในเส้นทางค้าเกลือทั้งสี่เส้นขององค์ชายสาม มีสามเส้นมุ่งลงใต้ แต่กลับมีเส้นหนึ่งมุ่งขึ้นเหนือ นั่นคือเส้นทางของสกุลหยาง”

ครั้นวาจานี้ถูกกล่าวออกมาทั้งโถงก็เกิดเสียงดังเซ็งแซ่

เกลือเถื่อนอะไรนั้น แม้จะเป็นพฤติการณ์บ่อนทำลายบ้านเมือง แต่กล่าวตามตรงปัจจุบันแคว้นต้าเฉินผุพังไปหมด ใครไม่แอบลักลอบทำเรื่องตักตวงผลประโยชน์อย่างลับๆ กันบ้าง จะอย่างไรบัดนี้ก็เสียดินแดนไปครึ่งหนึ่งแล้ว บรรดาศักดิ์เปล่าๆ ก็มีมาก

ขณะเหล่าชนชั้นสูงอพยพลงใต้ คิดแต่การหนีเอาชีวิตรอด ทำของล้ำค่าสูญหายไปจำนวนมาก พระมีมาก โจ๊กมีน้อย หากต้องการรักษาชีวิตอันหรูหราสุขสบายไว้ก็ต้องตักตวงผลประโยชน์จากทุกทาง

องค์ชายสามเห็นเงินแล้วตาโต ตักตวงมากเกินไป…พวกเขาได้ยินแล้วแม้จะโกรธแค้น แต่ส่วนลึกภายในใจถึงขนาดลอบนึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ

ทว่าเรื่องมุ่งขึ้นเหนือแม้จะน่าสนใจ แต่ยุ่งมิได้แล้ว

เริ่มจากเรื่องใช้ไสยศาสตร์เปลี่ยนชะตาชีวิต ถัดมาก็เรื่องเกลือเถื่อน เรื่องม้าศึก มีการติดต่อกับดินแดนทางเหนือ…

ต่งหลีก็คือหมาป่าเดียวดายที่ดุร้ายที่สุดบนทุ่งหญ้า รอเวลาเคลื่อนไหว พอได้สำแดงฝีมือทีก็ทุบคนตายพร้อมตอกฝาโลง

บทที่ 140

“น้องชายของหัวหน้าโจรในค่ายนั้นมีชื่อว่าเอ้อร์เชวีย ปัจจุบันคอยติดตามคนสกุลหยางวิ่งขึ้นเหนือ บัดนี้คนมาอยู่นอกประตูวังแล้ว หากฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะสอบถามให้ชัดเจนต่อหน้าธารกำนัลถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่ายบนเขานั้นกับองค์ชายสาม ก็สามารถเรียกตัวเอ้อร์เชวียเข้าวังได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ต่งหลีพูดจบก็มองไปยังองค์ชายสามอีกครั้ง “องค์ชายไม่ต้องตรัสว่ากระหม่อมหาคนมามั่วๆ แล้วบอกว่าเป็นโจรภูเขาเพื่อใส่ความท่าน ตอนที่ขุนนางในที่นั้นรายงานขึ้นมาได้ยื่นภาพเหมือนของโจรภูเขานี้มาด้วย คิดว่าน่าจะยังมีเก็บไว้อยู่ ท่านทรงคิดว่าเอ้อร์เชวียผู้นั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวง เพียงเคลื่อนไหวอยู่ในดินแดนทางเหนือ ก็จะไม่ถูกใครจับได้แล้ว ทว่ากระดาษห่อไฟไม่อยู่ โจรภูเขาผู้นี้เหตุใดจึงไม่ตาย นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญในการไปดินแดนทางเหนือ ท่านขนเกลือเถื่อนไปขายดินแดนทางเหนือ ทั้งยังลักลอบขนม้าศึกรวมถึงสมบัติล้ำค่ามาจากดินแดนทางเหนือ ท่านหาใช่ผู้คุมกองทัพ จะต้องการม้าศึกไปเพื่ออะไร”

ต่งหลีพูดจบก็ถวายบังคมต่อก่อนกล่าวอีกว่า “นี่เป็นความผิดข้อที่สองขององค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินวั่งซูเงี่ยหูรอเขาบอกความผิดข้อที่สาม เจ้านี่ช่างใจดำ แม้แต่สุสานของบรรพบุรุษตนเองยังกล้าปล้น สมควรถูกฟ้าผ่าโดยแท้

รออีกครู่ใหญ่กลับเห็นต่งหลีก้าวกลับไปยืนที่เดิมอย่างเงียบๆ

ประหนึ่งว่าวาจาน่าตกใจตั้งมากมายเมื่อครู่นี้มิได้ออกมาจากปากของเขาก็มิปาน

เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง แสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมาเหมือนกัน ต่งหลีรู้เรื่องขององค์ชายสามมากยิ่ง เกรงว่าคงจะให้คนไปซ่อนอยู่ใต้เตียงเขา แม้แต่เขากับพระชายาทำกิจกรรมคืนหนึ่งกี่ครั้งก็ยังบันทึกไว้อย่างชัดแจ้ง

ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้ในเรื่องที่นางกับเหยียนเจวี๋ยยังค้นพบได้แม้แต่จะสืบดูส่งๆ

ในกระสอบบนเรือห้าลำนั้นไม่มีทางมีแค่ของในสุสานขององค์หญิงเฉิงอันเพียงแค่สี่ชิ้นนั้น เมื่อคืนต่งหลีเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เช่นนั้นเขาซุ่มดูอยู่ที่ใด

นางกับเหยียนเจวี๋ยล้วนไม่พบเห็นเขาโดยสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นต่งหลีเห็นพวกนางหรือไม่ เห็นพวกนางลอบฉกฉวยของหรือไม่

แล้วเหตุใดเขาจึงไม่บอกความผิดข้อที่สามที่ว่า…ขุดสุสานของคนตาย

จวบจนต่งหลีปิดปากลงแล้ว ฮ่องเต้ถึงเพิ่งจะคล้ายว่าถูกหยุดเวลาไว้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาคว้าสมุดบัญชีเล่มนั้นขึ้นมาปาใส่หน้าองค์ชายสามด้วยความเดือดดาล ก่อนแผดเสียงลั่น “ลูกเนรคุณ!”

เฉินวั่งซูคิดในใจเงียบๆ ว่า องค์ชายสามจบเห่!

แม้แต่หนวดของฮ่องเต้ก็กำลังสั่น เขายกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าอก อีกมือชี้องค์ชายสาม

บรรดาสตรีเป็นต้นว่าไทเฮารวมถึงฮองเฮาประหนึ่งว่าเพิ่งจะมาถึง จู่ๆ ก็มีตัวตนขึ้นมาแล้ว แต่ละคนรุมล้อมเข้ามา “ฝ่าบาททรงระงับความพิโรธด้วยเพคะ พระวรกายเป็นสิ่งสำคัญ”

พวกนางยิ่งพูด ฮ่องเต้ยิ่งตัวสั่นแรงขึ้น ประหนึ่งถูกแช่งก็มิปาน

“ลูกเนรคุณ! ลูกเนรคุณ! พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นทั้งบุตรชายคนโต เป็นทั้งบุตรชายสายตรง ตำแหน่งรัชทายาทนี้เดิมทีก็เป็นของเขา แต่เขาดันขาไม่ดี เขาเสนอเจ้าหลายครั้งหลายหน บอกว่าในบรรดาน้องชายทุกคนมีเจ้าคนเดียวที่จิตใจดีและมีความซื่อตรงที่สุด เราเห็นว่าเป็นจริงตามนั้น เจ้าโดดเด่นในทุกด้านมาตั้งแต่เล็ก เราแค่ยังไม่ได้พูดชัดว่าจะยกตำแหน่งให้เจ้า แต่กับแค่เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว เจ้ากลับรอไม่ได้? หวังให้เราตายไวๆ หวังให้…เจ้าดูเถอะว่าเจ้าทำเรื่องอะไรลงไป เจ้าทำให้เราผิดหวังเหลือเกิน! ทำให้…” ฮ่องเต้พูดพลางตัวสั่น กระอักเลือดออกมา สองตาเหลือก หมดสติไปแล้ว บนตำหนักใหญ่วุ่นวายในทันใด คนทั้งโขยงพุ่งตัวไปหาฮ่องเต้ราวกับฝูงผึ้งทั้งรัง

ทำเสียเหมือนว่าพวกเขาเป็นยาวิเศษอะไร พุ่งไปหาแล้วก็จะสามารถปลดปล่อยอิทธิฤทธิ์ทำให้ฮ่องเต้ฟื้นกลับมาได้ก็มิปาน

องค์ชายสามเห็นภาพนี้แล้วก็ร้อนใจขึ้นมา พุ่งปราดไปหาฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน ทว่าไทเฮาตาไว กลับตะโกนลั่น “ใครก็ได้ จับตัวคนเนรคุณนี่ไว้ รีบหามฝ่าบาทกลับตำหนักบรรทม แล้วเรียกหมอหลวงมา”

เฉินวั่งซูเบะปาก ฝ่าบาทเอ๋ย แสดงแย่ไปหน่อยแล้ว!

ปกติเวลากระอักเลือดต้องเป็นเลือดสีเข้ม อีกทั้งต้องกระอักคำใหญ่ๆ

พระองค์ดูตนเองสิ กลัวเจ็บกระมัง กัดลิ้นก็ไม่รู้จักกัดให้ใหญ่หน่อย ที่พ่นออกมาคือเลือดเสียที่ใด น้ำลายชัดๆ!

โชคดีที่คนพวกนั้นเอาแต่โวยวายว่าฮ่องเต้กระอักเลือด กระอักเลือด…

ตาของแต่ละคนนี้ล้วนเป็นกล้องจุลทรรศน์กระมัง เลือดแค่นิดเดียวนั่นยังสามารถมองเห็นได้

องค์ชายสามตกใจ มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

อัครมหาเสนาบดีเกากลับก้มหน้า ทั้งร่างส่งสัญญาณออกมาว่า ‘ข้าตัดการติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว’

องค์ชายสามขาอ่อนยวบ นั่งเป็นอัมพาตอยู่ที่พื้น

เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย เดินตามฝูงชนหลั่งไหลออกไปนอกตำหนัก

ขณะใกล้ถึงหน้าประตูนางก็หันหน้าไปมองต่งหลีที่ยืนพิงประตูอยู่ปราดหนึ่ง

ตำแหน่งขุนนางเขาต่ำ ไม่สามารถนั่งด้านหน้าได้ ทำได้เพียงนั่งกินข้าวอยู่ติดประตู มองฮ่องเต้จากตรงนี้แทบจะมองเห็นได้แค่เครื่องหน้าเลือนราง เขาดูท่าทางสงบยิ่ง ไม่เหมือนคนทำการใหญ่แม้แต่น้อย

มองเห็นเฉินวั่งซูมองตน ต่งหลีก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนหมุนตัวก้าวนำหน้าออกประตูตำหนักไป

เฉินวั่งซูมองไปยังเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ “เขารู้จักข้า?”

เหยียนเจวี๋ยแทบอยากจะตบหน้าตนเองอีกครั้ง เหตุใดเขาต้องพูดเรื่องที่ต่งหลีมีความเป็นไปได้ที่จะแต่งงานกับเฉินวั่งซูด้วย!

เดิมทีด้วยหน้าตาของฝ่ายนั้น เฉินวั่งซูไม่มีทางเห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง แต่พอมีจุดที่แตกต่างจากผู้อื่น ก็ทำให้นางเริ่มให้ความสนใจแล้ว มิหนำซ้ำคืนนี้ต่งหลีก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลินอันจริงๆ

ทำเอาเขากลายเป็นมอมแมมหมดสง่าราศีเลยทีเดียว!

หากรู้ก่อนว่า เขาจะไม่แสร้งทำเป็นใสซื่อจิตใจดีต่อหน้าเฉินวั่งซูแล้ว และยิ่งจะไม่เลือกเส้นทางปลอมเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์ แต่เดินหน้าบุกเต็มกำลังไปเลยก็คงดี! ถ้าเป็นเช่นนั้นคืนนี้มีหรือจะตกเป็นรอง

อย่าพูดว่าเขาคิดมากไป สตรีชาวต้าเฉินล้วนไม่แน่ว่าจะปฏิบัติตามหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม*! เจ้าอยากได้ทะเบียนสมรสเพื่อกักขังเฉินวั่งซูที่ชีวิตก่อนเป็นดาราสาวไว้? อย่าประเมินของเส็งเคร็งนั้นสูงเกินไปเชียว! หากนางต้องการ ก็หนีไปได้ในเสี้ยววินาที!

เหยียนเจวี๋ยกำลังเลือดไหลซิบในใจ ภายนอกกลับยังคงเข้มแข็ง “อาจเพราะพี่ชายเจ้าเอ่ยถึงเจ้าเป็นครั้งคราวกระมัง”

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็เห็นว่าใช่ จึงเดินออกจากวังพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย

 

รถม้าเพิ่งจะแล่นมาถึงในตรอกมืดที่ลับตาคนเส้นหนึ่งก็พลันหยุดลง

“เฉิงอู่ มีเรื่องอะไร” เหยียนเจวี๋ยเอ่ยถาม

เฉินวั่งซูแหวกม่านรถม้า ชะโงกหน้าดู มองเห็นเพียงต่งหลีขี่ลาตัวเล็กตัวหนึ่งขวางอยู่กลางทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ที่นี่

มองเห็นเฉินวั่งซูต่งหลีก็ตบก้นลา เดินมากล่าวเสียงเบา “ของสี่อย่างนั้นเอาคืนมา มิใช่ของที่พวกท่านควรมี อย่าหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว”

เฉินวั่งซูยกมือปิดปากด้วยท่าทางประหลาดใจ “ของอะไร ผู้ตรวจการต่งพบหน้าพวกข้าเป็นครั้งแรก ไฉนจึงมาเรียกเอาของกันเสียแล้ว นี่จะน่าขายหน้าไปหน่อยแล้ว”

ต่งหลีมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนมองไปยังเหยียนเจวี๋ย “นางชอบพูดเช่นนี้ตลอดเลยหรือ ของอะไรท่านรู้ดีแก่ใจ นำของไปให้ฉางเยี่ยน”

เหยียนเจวี๋ยเลิกคิ้ว เอนตัวเข้าหาหน้าต่างด้วยท่าทางเกียจคร้าน เส้นผมเขาระผ่านใบหน้าเฉินวั่งซูเบาๆ ทำเอานางคันยุบยิบในใจ

“ผู้ตรวจการต่งคืนนี้เป็นที่โดดเด่น ไม่มีทางไม่รู้ว่ามีคนสะกดรอยตามท่านมามากน้อยเพียงไรกระมัง ยังจะมาบอกว่าไม่อยากให้พวกข้าหาปัญหายุ่งยากใส่ตัว ข้าว่าท่านนั่นละปัญหา ทั้งยังค่อนข้างใหญ่อีกด้วย!”

ต่งหลีมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง ก่อนมองปากตรอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เสร็จแล้วก็ชี้หูของตนเอง “ข้าฟังได้ยิน ขอพูดเพียงเท่านี้ อีกสามวันข้าจะไปเอาจากฉางเยี่ยน”

เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ หันหัวลาทำท่าจะจากไป

เหยียนเจวี๋ยมิได้ตอบคำ กลับย้อนถามว่า “ทั้งๆ ที่องค์ชายสามอยู่ห่างจากตำแหน่งฮ่องเต้อีกเพียงก้าวเดียว เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”

ต่งหลีชะงัก ชูแส้เล็กในมือ “เพราะว่าเพียงก้าวเดียวนี้ห่างไกลกันราวฟ้ากับดิน”

บทที่ 141

เฉินวั่งซูเหลือกตายกใหญ่ด้วยอารามหมดคำจะกล่าว ทำมาเป็นเสแสร้งวางท่า ระวังเถอะจะถูกฟ้าผ่าเอา!

พูดเสียเหมือนว่าท่านเป็นพยาธิในลำไส้ของฮ่องเต้ หยิ่งยโสเสียยิ่งกว่าอะไร! พอมาถึงก็จะริบสมบัติในมือนางไป ของฝังร่วมกับคนตายแล้วอย่างไร องค์หญิงเฉิงอันผู้นั้นมิใช่บรรพบุรุษแซ่เฉินของนางเสียหน่อย นางต้องกลัวด้วยหรือ

อีกประการหนึ่ง หากแผ่สินเดิมของมารดาบังเกิดเกล้าของเหยียนเจวี๋ยออกดูก็ไม่รู้ว่ามีของฝังร่วมกับคนตายอยู่ตั้งเท่าไร มีเหามากไม่กลัวคันพวกนางมีอะไรให้ต้องกลัว!

คิดจะหาประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่ต้องลงแรงหรือ ทั้งยังแสร้งวางมาดสูงส่งใหญ่โต เขาเลือกเป้าหมายผิดคนแล้ว!

“เช่นนั้นท่านก็รอไปแล้วกัน” เฉินวั่งซูพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน ใช้มือข้างหนึ่งเท้าแก้ม กวักมือเรียกเหยียนเจวี๋ยด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ

ที่นี่น่าจะมีบุหรี่สักหน่อย เฉินวั่งซูทอดถอนใจอีกครั้ง

“ท่านถามเขาไปด้วยเหตุใด เขามิใช่ทั้งฝ่าบาท ไม่ใช่ทั้งองค์ชายสาม ไหนเลยจะรู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร อีกประการหนึ่ง แม้แต่หลักฐานในวันนี้ สมุดบัญชีที่ถี่ถ้วนขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นการพึ่งใบบุญของคนรุ่นก่อนเช่นกัน”

ต่งหลีเดินไปได้ครึ่งทางแล้ว พอได้ยินวาจาของเฉินวั่งซูก็หยุดลงอีกครั้ง เขาหันหน้ากลับมามองตรงมายังเฉินวั่งซู

เปลือกตาเฉินวั่งซูไม่แม้แต่จะกะพริบ “ข้าพูดผิดหรือไร”

ต่งหลีส่ายศีรษะ “เป็นข้าดูถูกพวกท่านแล้ว ของเหล่านั้น เหลือไว้ให้ท่านแล้วกัน”

เฉินวั่งซูส่งเสียงหัวเราะค่อนแคะ “เป็นข้าดูถูกท่านแล้ว ชีวิตของท่าน เหลือไว้ให้ท่านแล้วกัน ผู้ตรวจการต่งอ่านตำรับตำราหลากหลายประเภท เป็นคนมีความรู้ ไฉนจึงไม่เข้าใจหลักการใช้ทรัพย์ผู้อื่นมาแสดงน้ำใจ

ข้าไม่ทราบเลยว่าที่แท้ท่านเป็นองค์หญิง”

ของอยู่ในมือผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น! ทำเสียอย่างกับว่าของพวกนั้นเป็นของของเขาก็มิปาน ความมั่นใจนี้หากล้นออกมาคงท่วมได้ทั้งเมือง

ดวงตาทั้งสองของต่งหลีเบิกถลน ผ่านไปเนิ่นนานกลับทำได้เพียงแต่คารวะเฉินวั่งซูอย่างเรียบร้อยซื่อตรง ก่อนสะบัดสะโพกเดินลาจากไป

เฉินวั่งซูหาว มองเหยียนเจวี๋ยที่นั่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านข้างพลางขยี้ตา “ดูละครที่ทั้งยาวทั้งน้ำเน่ามาหนึ่งองก์ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ถึงกับยังเจอคนโผล่มาดักปล้นอีก ปัจจุบันจิตใจคนเสื่อมทรามลงโดยแท้ น่าเศร้านัก”

เหยียนเจวี๋ยสั่งเฉิงอู่ออกรถ ก่อนขยับมานั่งข้างกายเฉินวั่งซู ยื่นมือมาโอบไหล่นางไว้อย่างแสร้งทำเป็นเยือกเย็น

เฉินวั่งซูรู้สึกว่านิ้วมือบนไหล่ตนสั่นระริกก็หัวเราะในใจ แต่มิได้เปิดโปงเขา “ท่านว่าน่าโมโหหรือไม่ เขาเก่ง พวกเราปรบมือให้เขาก็พอแล้ว มีที่ไหนที่เก่งแล้วก็มาล้วงเงินจากในกระเป๋าเงินข้ากัน ข้าเอาเข้าปากแล้ว เขายังกล้ามาบอกให้ข้าคายออกมา คิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับบิดาข้าแล้วข้าจะต้องไว้หน้าเขาหรือ”

เหยียนเจวี๋ยฟังความหมายนอกคำพูดของเฉินวั่งซูออกแล้ว จึงขมวดคิ้วว่า “เหตุใดจึงพูดเยี่ยงนี้”

เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาจริงจังปราดหนึ่ง “ไยท่านต้องจงใจถามข้าเสียทุกเรื่อง ตัวท่านเองมิใช่คิดไม่ได้เสียหน่อย ที่ตำหนักใหญ่ ท่านพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างต่งหลีกับพี่ชายข้าออกมาเองก็เพื่อเตือนข้าว่านั่นเป็นคนกันเอง แม้คืนนี้เขาจะแสร้งวางท่าเกินไป แต่ของไม่กี่อย่างนั้นเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ หากมีใครค้นพบเข้า พวกเราก็เลี่ยงข้อหาปล้นสุสานหลวงได้ยาก ดังนั้นการที่เขามาขอไปจึงเป็นการคิดเผื่อพวกเราจริงๆ หาใช่โลภในทรัพย์สินเงินทองไม่”

เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังดึงดันจะเก็บไว้อีก”

เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว “วันนี้ต่งหลีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ของสะสมที่อยู่ในเรือห้าลำนั้นเกรงว่าคงจะถูกเขาฮุบไปแล้ว ปัญหายุ่งยากนั้นใหญ่กว่าพวกเรามาก เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องมากกว่าพวกเราเสียอีก

ขอเพียงพวกเราไม่นำออกมาโอ้อวดก็จะไม่มีใครค้นพบ ยิ่งกว่านั้นท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่พูดถึง ตระกูลของต่งหลีก็เป็นตระกูลขุนน้ำขุนนาง ไม่ถึงขนาดขาดเงินเพียงเท่านี้ ตัวเขาเองก็นับว่ามีนิสัยซื่อตรง แล้วเช่นนี้เหตุใดเขาต้องปิดบังความผิดขององค์ชายสาม”

เฉินวั่งซูพูดพลางลูบคางตนเองโดยไม่รู้ตัว

“ตามการสันนิษฐานของข้า เรื่องปล้นสุสานหลวงนี้หาใช่เรื่องที่องค์ชายสามทำเพียงคนเดียวไม่ เห็นได้ชัดว่ามีมานานมากแล้ว ท่านปู่ข้าเคยบอกว่าสหายต่างวัยคนหนึ่งของเขาได้มอบของที่เกี่ยวข้องกับสุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซีเหล่านั้นให้แก่เขา บิดาข้ายังสามารถแยกแยะของฝังร่วมกับคนตายได้ในแวบเดียว สหายของท่านปู่ย่อมจะทำได้เช่นกัน แต่เขากลับไม่ถือ ซ้ำยังเห็นอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทที่สุด ส่วนบิดาข้าของฝังร่วมกับคนตายที่ท่านให้เขา เขาได้คืนให้ท่านหรือไม่…ก็ไม่! ท่านปู่ข้า บิดาข้า อีกทั้งสหายสนิทของท่านปู่ผู้นั้น รวมถึงต่งหลีที่เพิ่งจะปรากฏตัว…แล้วไหนจะมารดาของท่าน ตลอดจนผู้เป็นต้นตอของของฝังร่วมกับคนตายเหล่านี้อย่างองค์ชายสาม ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับสุสาน…พวกเขามีความลับร่วมกัน ต่งหลีไม่พูดถึงเรื่องนี้ต้องมิใช่เพราะกำลังปกป้ององค์ชายสามเป็นอันขาด แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ความลับนี้เปิดเผยต่อผู้คน”

เหยียนเจวี๋ยคิดแล้วก็กล่าวต่อจากนาง “หากจะไขความลับนี้ในมือพวกเราบัดนี้มีเบาะแสอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือที่ตั้งสุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซี เห็นทีคงต้องรีบไปสืบดูเสียแล้ว”

เขาพูดแล้วก็ชะงักอีกเล็กน้อย “เจ้าเคยคิดจะไปถามท่านพ่อของเจ้าตรงๆ หรือไม่”

เฉินวั่งซูส่ายหน้าทันควัน “ท่านพ่อข้าเป็นคนหัวรั้น หากเขาอยากบอกย่อมจะบอกเอง หากไม่อยากบอกก็จะไม่แพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าบิดาข้าทำงานอะไรอยู่ในกรมพิธีการ”

เหยียนเจวี๋ยอึ้งงันไป “ดูแลพิธีศพ ส่งผู้ตายไปสู่สุคติ”

“ดูจากความนัยในวาจาของต่งหลี ท่านพ่อรวมถึงพี่ชายข้า หรือควรต้องพูดว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนดูถูกพวกเราสองคน!”

เฉินวั่งซูพูดแล้วก็ชักจะฮึกเหิม

เหยียนเจวี๋ยหน้าเสีย “ข้าเป็นตัวถ่วงแล้ว”

เฉินวั่งซูส่ายศีรษะ “ท่านตั้งใจกับการเตรียมตัวสอบเคอจวี่รอบพิเศษก่อน พวกเขาดูถูกพวกเราก็ไม่เป็นไร รอท่านสอบผ่านแล้ว พวกเราค่อยเดินหน้าเต็มกำลัง พอพวกเขารู้สึกว่าพวกเรามีคุณสมบัติพอแล้วย่อมจะเป็นฝ่ายมาแพร่งพรายข่าวคราวให้รู้มากขึ้นเอง ที่ตั้งเผ่ามู่ซี พวกเราก็ไม่อาจไปอย่างผลีผลามได้ ด้วยจะทำให้คนเกิดความสงสัย รอสิ้นสุดคดีขององค์ชายสามแล้ว เด็กกำพร้าทั้งสองจากเผ่ามู่ซีจะต้องกลับไปที่นั่นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นค่อยไปด้วยกันกับพวกเขาก็ดีกว่าคลำทางไปเองแล้วหาที่ตั้งไม่เจอ”

เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า เรื่องใดๆ มีหนักมีเบามีด่วนมีไม่ด่วน เรื่องด่วนที่ต้องจัดการในทันทีนี้คือเรื่องการสอบเคอจวี่รอบพิเศษจริงๆ

“ทว่าที่ท่านถามในตอนแรกนั้นถามได้มิผิด ไฉนองค์ชายสามถึงได้เหมือนเกิดวิกลจริต ทั้งๆ ที่เขามีโอกาสเป็นรัชทายาทสูงที่สุด แล้วไยถึงได้เกิดความคิดก่อกบฏ นี่โง่เขลาเกินไปจริงๆ ท่านคิดเห็นเช่นไร”

ครั้นเฉินวั่งซูถามคำถามนี้ออกมา เหยียนเจวี๋ยก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างเหลือล้น

คำตอบที่ต่งหลีตอบมาในตอนแรกนั้นทั้งลึกล้ำทั้งหยิ่งยโสคล้ายกับคำพูดของหมอดูตาบอดใต้สะพานลอย เรื่องที่พูดออกมาฟังดูเผินๆ ล้วนน่าเชื่อถือ ทำให้ไม่ว่าคนคิดไปในทางใดก็จะรู้สึกว่ามีเหตุผล

เขาควรพูดอะไรถึงจะสามารถกู้สถานการณ์ได้

“ปัจจุบันฝ่าบาทยังไม่ชรา ดูจากที่วันนี้ที่พระองค์อยากกระอักเลือดยังกระอักไม่ออก…เกรงว่าปกติคงมิได้มีโรคภัย ทั้งยังเสแสร้งแกล้งทำเพื่อหยั่งเชิงเหล่าองค์ชาย แต่อันที่จริงแข็งแรงจนฟาดวัวตายได้ อยู่ต่ออีกยี่สิบปีได้ไม่มีปัญหา” เหยียนเจวี๋ยพูดแล้วก็พลันนึกเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “หลายปีก่อนมีไต้ซือทำนายดวงชะตาให้ฝ่าบาท บอกว่าพระองค์จะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ถึงเก้าสิบปี ที่พระองค์ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียทีก็ด้วยสาเหตุนี้”

เฉินวั่งซูส่ายศีรษะในใจ คำทำนายนี้ใช้ไม่ได้! ตามเวลาในนิยาย อีกไม่กี่ปีฝ่าบาทก็จะถูกเหยียนเจวี๋ยฆ่าตาย แล้วองค์ชายเจ็ดก็จะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: