X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 142-144

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 142

เรื่องที่เหยียนเจวี๋ยพูดเข้าใจได้ง่ายยิ่ง

องค์ชายสามอายุไม่น้อย ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ทั้งยังมีสกุลเกาคอยช่วยเต็มที่ ปกติอาศัยหว่านเงินจนมีผู้สนับสนุนในราชสำนักจำนวนมาก แต่ก็จนใจที่บิดาบังเกิดเกล้าไม่ตายเสียที จึงได้มีความคิดนอกลู่นอกทางขึ้นมา

เริ่มจากหาผีมาแช่งให้บิดาตาย! แต่พอแช่งไม่ตาย เช่นนั้นก็ลอบเตรียมการไว้ เห็นสถานการณ์ผิดปกติเมื่อใดก็บีบให้เขาสละบัลลังก์แล้วสังหารทิ้ง

แต่กระนั้นเฉินวั่งซูยังคงรู้สึกว่าในเรื่องนี้จะต้องยังมีอะไรซุกซ่อนอยู่แน่นอน

“องค์ชายสามทรงโง่เขลา นั่นเป็นเพราะสกุลเจียงสืบทอดมาหลายชั่วคนจนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทว่าอัครมหาเสนาบดีเกาเป็นจิ้งจอกเฒ่า เขาที่เป็นคนถือหางเสือไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้องค์ชายสามเป็นอะไรไป

หากต่งหลีไม่ได้แสร้งทำเร้นลับซับซ้อน…ก็แสดงว่าองค์ชายสามทรงมีความบกพร่องอะไรที่ทำให้พอฝ่าบาทล่วงรู้แล้วจะไม่เลือกท่านเป็นรัชทายาทอย่างแน่นอน เป็นต้นว่าเกากุ้ยเฟยผู้เป็นท่านแม่ขององค์ชายสามสวมเขาให้ฝ่าบาท อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นพระโอรสแท้ๆ ของฝ่าบาท หรือไม่พระวรกายขององค์ชายสามก็บาดเจ็บ ไม่สามารถสืบทายาทได้…ไม่อย่างนั้นองค์ชายสามก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบรรดาพระสนมของฝ่าบาท…”

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็ไอโขลก หวิดจะสำลักน้ำลายของตนเองตาย!

คุณดาราสาว! รู้ว่าคุณแสดงหนังมามาก แต่บทนี้ของคุณจะเหลวไหลเกินไปหน่อยแล้ว!

เหยียนเจวี๋ยไอไปไอมาก็พลันหนังแดง เขานึกถึงคำเล่าลือหนึ่งขึ้นได้

“ไม่แน่เจ้าอาจจะพูดถูกจริงๆ ข้าเข้าออกวังเป็นประจำ มีหนหนึ่งเคยได้ยินไทเฮาบ่นว่าเกากุ้ยเฟยไม่ใส่พระทัยฝ่าบาท…ช่วงนั้นกำลังอากาศร้อน เหล่าพระสนมในวังต่างก็เย็บฉลองพระองค์ฤดูร้อนตัวใหม่ให้ฝ่าบาท ผ้าแข่งกันบาง จนแม้แต่บนท้องฝ่าบาทมีไฝกี่เม็ดยังมองเห็นได้ทั้งหมด มีเพียงเกากุ้ยเฟยที่ไม่เพียงไม่ทำเอง กระทั่งบ่าวไพร่ในตำหนักก็ไม่มีใครทำ มีหนหนึ่งฝ่าบาทไปตำหนักของนางแล้วก็กลับออกมาด้วยอาการโมโหฮึดฮัด…เวลานั้นไทเฮาด่าว่านางไม่ลืมรักเก่า บอกว่าอัครมหาเสนาบดีเกากล้ายัดของสกปรกเข้าวัง รังแกกันเกินไปแล้ว นางไม่รู้ว่าข้ามีพลังภายในสูงส่งล้ำลึก จึงนึกว่าข้าไม่ได้ยิน เกากุ้ยเฟยรูปโฉมงดงาม ปกติก็นับว่าเป็นคนเก่ง แต่ดันมิเคยได้รับความชื่นชอบจากฝ่าบาท…ทำให้แม้นางจะมีรูปโฉมงดงาม ถือกำเนิดจากตระกูลมีชื่อ กลับมิได้เป็นที่โปรดปรานเสียเท่าไร ข้ามิได้ใส่ใจ แต่ครั้นเจ้าพูดเยี่ยงนี้ ในเรื่องนี้เกรงว่าคงมีอะไรซ่อนเร้นอยู่จริงๆ”

เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองก็เจิดจ้าประดุจดวงดาวบนฟากฟ้า!

เยี่ยมไปเลย! นี่สิถึงจะเป็นความวุ่นวายที่ข่าวลับในวังพึงมี! ต้องให้ได้อย่างนี้ ลุกโหมขึ้นมาเลย!

 

ระหว่างที่สนทนากันรถม้าก็แล่นเข้าสู่จวนฮู่กั๋วกงแล้ว

เฉินวั่งซูลงจากรถม้าแล้วก็บิดขี้เกียจ ก่อนเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเอง

เพิ่งจะเข้าประตูก็ได้ยินเหยียนเจวี๋ยสั่งว่า “ไป๋ฉือ ยกน้ำร้อนมาแช่เท้าให้คุณหนูเจ้าหน่อย ใส่ยากระตุ้นการไหลเวียนเลือดลงไปด้วย เสร็จแล้วก็เอาน้ำมันนวดมา รองเท้าใหม่ของนางเป็นร้านใดทำ วันหลังอย่าไปทำที่ร้านนั้นอีก”

ไป๋ฉือได้ยินก็รีบรับคำก่อนออกไปยกน้ำ

เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเท้าของตนเองเริ่มจะเจ็บมากขึ้น นางนั่งลงริมเตียง ถอดรองเท้าถุงเท้า ก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าว่าข้าไม่ได้แสดงความเจ็บออกมาแม้แต่น้อยนิด!”

นางเป็นดารา เรื่องอย่างการสวมรองเท้าส้นสูงจนทำเอาขาแทบเป๋นั้นเป็นเรื่องปกติ

ทว่าต่อให้เฉือนเท้าออกแล้วสวมรองเท้าที่ไม่พอดีเท้าเหมือนอย่างพี่สาวของซินเดอเรลล่า นางก็ยังสามารถเต้นรำทั้งรอยยิ้มโดยมิทำให้ผู้ใดจับพิรุธได้แม้แต่กระผีกเดียว

เหยียนเจวี๋ยเขาจับพิรุธได้อย่างไร

เหยียนเจวี๋ยคล้ายมองความสงสัยของนางออก จึงจับเท้าของเฉินวั่งซูวางลงในน้ำร้อนอย่างเบามือ

จนกระทั่งรู้สึกถึงอุณหภูมิของน้ำ ใบหน้าของเฉินวั่งซูถึงได้แดงขึ้นมาอย่างความรู้สึกช้า

นี่เหยียนเจวี๋ยทำอะไร คนงามที่งามปานนี้จะล้างเท้าให้นางได้อย่างไร ควรมาอุ่นเตียงให้นางมากกว่า!

“ข้าเห็นเท้าเจ้าขยับหลายทีกว่าปกติ น้ำหนักยามเดินก็แผ่วเบาต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง อีกทั้งวันนี้ก็สวมรองเท้าคู่ใหม่ คิดว่าคงจะไม่พอดีเท้าจนขึ้นตุ่มพอง”

เฉินวั่งซูมองดวงตาของเหยียนเจวี๋ยด้วยอารามคาดไม่ถึง นี่ไม่ใช่ตาแล้ว นี่เป็นกล้องจุลทรรศน์มากกว่า!

มองไปมองมา เหยียนเจวี๋ยไม่มีท่าทางเก้อเขิน นางกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

เฉินวั่งซูก้มหน้าลง ถามเสียงอู้อี้ “วันนี้ข้าผมร่วงไปกี่เส้น”

เหยียนเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ “ถ้าข้าบอกว่าห้าเส้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่”

เฉินวั่งซูขยับเท้าแสร้งทำท่าจะเตะน้ำใส่ กลับถูกเหยียนเจวี๋ยจับไว้แน่นจนขยับไม่ได้!

สวรรค์ แรงที่มีอยู่น้อยนิดเอามาใช้รับมือนางแล้วหมดแล้ว

“เจ้ามิใช่ง่วงแล้วหรือไร ประเดี๋ยวเข้านอนเร็วหน่อย ข้าจะไปอ่านหนังสือที่ข้างใน หากมีอะไร เจ้าก็เคาะผนังเรียกข้า”

“บัดนี้ท่านไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว ไยจึงไม่ไปอ่านในห้องหนังสือ ข้างในนั้นไม่มีหน้าต่าง อุดอู้ยิ่ง”

เพื่อเรื่องสอบเคอจวี่รอบพิเศษ เหยียนเจวี๋ยจึงจุดตะเกียงอ่านตำราทุกคืน แต่กลับมักจะหลบเข้าไปอ่านในห้องลับ พิลึกแท้

“ข้าเกรงว่าตอนกลางคืนเจ้าจะหวาดกลัว ข้าอยู่ข้างในนั้น พวกเราก็ยังนับว่าอยู่ในห้องเดียวกัน”

เฉินวั่งซูอ้าปาก อยากจะบอกว่ายังมีสาวใช้เฝ้ายามอยู่

ทว่าสุดท้ายก็มิได้เอ่ยถ้อยคำชวนขัดอารมณ์เยี่ยงนี้ออกมา เพียงเอนตัวลงบนเตียงอย่างว่าง่าย

พอเหยียนเจวี๋ยเข้าห้องลับไปแล้ว นางก็พลิกตัวมองผนังสีทองอร่ามนั้นพลางหัวเราะซื่อๆ ขึ้นมา

หัวเราะได้ครู่หนึ่งก็พลันตบปากตนเอง “กะป้ำกะเป๋อดีนัก กะป้ำกะเป๋อดีนัก…”

เสียงพลันดังมาจากในผนัง “ยอดดวงใจอย่าออกแรงมากไป ตัวข้าจะปวดใจเอาได้”

เฉินวั่งซูดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะตนเอง ขายหน้าไปถึงบ้านยายแล้ว

เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในห้องลับส่งเสียงหัวเราะออกมา…

 

เฉินวั่งซูเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองหลับไปเมื่อไร

“คุณหนู คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! รีบตื่นเร็วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เฉินวั่งซูขยี้ตางัวเงีย ก่อนมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ฟ้ายังไม่สางเลย เจ้าปลุกข้าด้วยเหตุใด”

นางพูดจบก็มองเตียงด้วยอาการวิงเวียน เตียงฝั่งของเหยียนเจวี๋ยเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กลับมานอนโดยสิ้นเชิง

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนฝ่าบาททรงจับกุมองค์ชายสามในงานเลี้ยงในวัง”

เฉินวั่งซูหาว “มีเรื่องจริงๆ แต่องค์ชายสามนับเป็นตัวอะไร ควรค่าให้รบกวนการนอนของข้าด้วยหรือ”

มู่จิ่นเห็นนางทำท่าจะเอนตัวลงนอนต่อก็พูดด้วยอารามร้อนใจ “คุณหนูอย่านอนต่ออีกเลย ในวังมีรถขนของเสีย คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าองค์ชายสามจะถึงกับทรงยอมลำบาก ซ่อนตัวในรถขนของเสียนั้นหนีออกมาแล้ว…บัดนี้เขาออกนอกเมืองไปแล้ว และได้เกณฑ์ทัพใหญ่มาล้อมเมืองหลินอันไว้ทุกทิศทาง นอกเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟ วุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองแล้วเจ้าค่ะ!”

เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็พลันผุดลุกขึ้นนั่ง นางคว้าหน้าไม้เล็กที่วางไว้ข้างหมอนขึ้นมาก่อนสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไว เวลานี้เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในห้องลับได้ยินความเคลื่อนไหวก็เดินออกมาแล้วเช่นกัน

“ราชสำนักมีแผนรับมือหรือไม่ ใครเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการป้องกันเมือง”

มู่จิ่นเห็นเหยียนเจวี๋ยมีท่าทีเยือกเย็น ก็ใจเย็นลงอย่างอธิบายไม่ได้ “บัดนี้เป็นแม่ทัพฉินกับองค์ชายสี่กำลังป้องกันเมืองเจ้าค่ะ เป็นเพราะองค์ชายสี่ทรงส่งคนมาเรียกให้กั๋วกงน้อยไปช่วยที่หอกำแพงเมือง พวกเราถึงได้ทราบข่าว บัดนี้ด้านนอกโกลาหลวุ่นวาย กั๋วกงน้อยออกไปก็พาคนไปด้วยมากหน่อย ส่วนคุณหนูก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ถ้าเกิด…บ่าวพูดเผื่อไว้…ถ้าเกิดโจรกบฏพวกนั้นบุกเข้ามาได้ บ่าวจะคุ้มกันคุณหนูหนีออกไปเจ้าค่ะ”

บทที่ 143

หนีออกไป? เฉินวั่งซูถึงกับขำออกมาแล้ว!

หากนางมีวรยุทธ์ ยามนี้ก็อยากจะเหาะออกไปนอกเมืองแล้วซัดกะโหลกองค์ชายสามให้หนักใจจะขาด เมื่อคืนต่งหลีสร้างชื่อเสียงแล้ว วันนี้ก็ถึงตานางเฉินวั่งซูบ้าง!

ไม่ใช่สิ ควรถึงตาเหยียนเจวี๋ยบ้างแล้ว อะไรเรียกว่าพอสำแดงฝีมือก็ทำคนตกตะลึง ไม่พบกันสามวันก็ทำให้คนต้องมองกันใหม่!

องค์ชายสามถือหัวสุนัขของเขามามอบโอกาสให้เหยียนเจวี๋ยด้วยตนเองแล้ว!

“เร็วเข้า! จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน!” เฉินวั่งซูหยิบกระบี่บนผนังมายัดใส่มือเหยียนเจวี๋ย

เหยียนเจวี๋ยพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ก่อนหันไปคุ้ยเสื้อเกราะที่ซุกอยู่ก้นหีบออกมา! แม้ว่าก่อนหน้านี้จะแสร้งทำตัวไม่เอาถ่าน แต่มีฐานะเป็นถึงบุตรชายตระกูลแม่ทัพ กับแค่ศาสตราภรณ์เพียงเท่านี้จะไม่มีได้อย่างไร!

“ตายจริง ยอดดวงใจ ชุดนี้ถูกหนูแทะเป็นรู ลมลอดผ่านได้”

เฉินวั่งซูเห็นแล้วกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “นี่นับเป็นอะไร เมื่อก่อนท่านก็ไม่เคยสวม ราไม่ขึ้นก็บุญเท่าไรแล้ว! อีกอย่างหนึ่ง กลัวอะไรกับแค่เป็นรู คนออกไปต่อสู้ก็ต้องมีการนองเลือด เนื้อตัวถูกกรีดถูกบาด เสื้อผ้าขาดวิ่น ถึงจะดูเหมือนว่าสู้สุดชีวิตแล้ว! ทว่าต้องจำไว้ให้ดี อย่าถูกฟันตรงบั้นท้าย มิเช่นนั้นจะได้ถูกคนหัวเราะเยาะเอา!”

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็หลังเกร็ง เย็นวูบวาบราวกับทาน้ำมันสมุนไพร

เรื่องที่ถูกหน้าไม้เล็กของเฉินวั่งซูยิงใส่บั้นท้ายเมื่อคราวก่อนเป็นความลับที่ตลอดทั้งชาติต่อให้ละเมอก็ไม่มีวันพูดออกมาของเขา!

เฉินวั่งซูตื่นเต้นเหลือประมาณ ระหว่างที่พูดก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวสั้นคู่กับกางเกงที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดด้วยความเร็วปานเทพนิรมิต

เหยียนเจวี๋ยรู้สึกเพียงว่าตาลายเพียงแวบเดียว แม่นางผู้นี้ก็เปลี่ยนจากสตรีสูงศักดิ์ผู้งามหยาดเยิ้มมาเป็นจอมยุทธ์สาวผู้องอาจผ่าเผยแล้ว เรื่องที่ชวนให้คนหมดคำพูดที่สุดคือในระหว่างที่ยุ่งมือเป็นระวิงนี้ นางยังไม่ลืมวาดคิ้วเป็นทรงกระบี่พาดเฉียงให้ตนเองด้วย!

หรือว่านี่ก็คือดาราสาวผู้พิถีพิถันกับรายละเอียด

คนทั้งสองเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยก็นำพาบรรดาคน หยิบอาวุธพุ่งตัวออกประตูไปอย่างองอาจฮึกเหิม คึกคักกระฉับกระเฉง

ท่าทางไม่เหมือนกับคนที่อดนอนมาค่อนคืนกับคนที่เพิ่งจะตื่นนอนโดยสิ้นเชิง จนขึ้นหลังม้าแล้ว มู่จิ่นถึงจะเพิ่งตามมาทันด้วยอาการหอบแฮก นางรู้สึกว่าคุณหนูไม่จำเป็นต้องให้นางคุ้มครองโดยสิ้นเชิง กลับเป็นนางต่างหากที่ต้องให้คุณหนูคุ้มครอง

นางคิดพลางเลือกม้ามาตัวหนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นหลังมัน “คุณหนู แล้วในจวนนี้จะทำอย่างไรเจ้าคะ ถ้าเกิดมีโจรบุกเข้ามา แล้วท่านผู้นั้นถูก…”

มู่จิ่นพูดพลางทำท่าปาดคอ หากเรื่องกระจายออกไปคงจะถูกพูดว่าพวกเขาไม่ปกป้องมารดาชราให้ดี!

เฉินวั่งซูเหลือกตาเล็กน้อย มองไปยังมู่จิ่นด้วยความประหลาดใจแล้วคิด นี่แม่พระเข้าประทับร่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไร

นางกล่าวด้วยความเจ็บใจสุดขีด “ข้าทิ้งโอกาสได้รับเกียรติว่าสละชีพเพื่อบ้านเมืองไว้ให้นางก็เจ็บใจเหลือแสนแล้ว”

มู่จิ่นชะงักงัน กว่าจะได้สติกลับมาเฉินวั่งซูก็ขี่ม้านำหน้า ห้อตะบึงไปยังกำแพงเมืองกับเหยียนเจวี๋ยแล้ว

นางชูแส้ ไล่ตามไปอย่างรวดเร็วปานเหาะ นางเป็นสาวใช้ควบคู่กับการทำหน้าที่อารักขาเฉินวั่งซู ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้านางไม่มีวรยุทธ์ ต่อให้นางได้กลายเป็นเซียนบนสวรรค์ นางก็ยังจะเอาตัวขวางเบื้องหน้าคุณหนูในเวลาที่อันตรายที่สุดอยู่ดี

 

บนถนนใหญ่โกลาหลอลหม่านไปหมด แสงไฟสว่างจ้าทั่วทุกสารทิศ เสียงร้องตะโกนของสตรี เสียงร้องไห้งอแงของเด็กๆ สามารถได้ยินอยู่ทุกที่ และยังมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งกำลังมองไปยังทิศทางดินแดนทางเหนือพลางถอนหายใจ

เฉินวั่งซูเห็นแล้วให้แปลบในใจ เรื่องเยี่ยงนี้พวกเขาหาได้เพิ่งเผชิญเป็นหนแรกไม่ ยามนั้นนางยังอายุน้อย มีหลายเรื่องที่จำได้ไม่ชัดแล้ว จำได้เพียงว่าเพลิงลูกใหญ่ส่องให้ความมืดมิดกลายเป็นสว่างไสวราวกับกลางวัน ไปทางใดก็มีกองซากศพและทะเลโลหิต

พอคิดได้เช่นนี้นางก็มือที่กุมบังเหียนก็กำแน่นขึ้น เอ่ยกำชับเหยียนเจวี๋ยเสียงดัง “ระวังตัวด้วย”

เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า ครั้นมาถึงกำแพงเมืองนั้นแล้วก็พลิกตัวลงจากม้า

เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมารับตัวเฉินวั่งซู ก่อนจะสวมหมวกบนเสื้อคลุมให้นาง “เจ้าอยากมา ข้าไม่คัดค้าน ปล่อยให้เจ้าอยู่ในจวน ข้าเองก็ไม่วางใจ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่านี่มิใช่การถ่ายละคร นี่เป็นการสู้รบของจริง คนตายจริงๆ ไม่ว่าเพื่อตัวพวกเราเองก็ดี หรือเพื่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ตายน้อยลงก็ช่าง ข้าล้วนจำต้องชนะในศึกนี้ ด้วยแม้ข้ามิได้เป็นคนฆ่า แต่ผู้อื่นก็ยังตายเพราะข้า”

เหยียนเจวี๋ยพูดแล้วก็ขยี้ศีรษะเฉินวั่งซูเบาๆ เฉกเช่นปกติที่ผ่านมา จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังหอกำแพงเมือง

เฉินวั่งซูเร่งฝีเท้าตามไปด้วยความมึนงงอยู่บ้าง

กล่าวตามตรง ที่ผ่านมานางรู้สึกมาตลอดว่าอายุในโลกปัจจุบันของเหยียนเจวี๋ยจะต้องน้อยกว่านางแน่นอน บางครั้งเขาก็เป็นเหมือนเด็กยังไม่โตคนหนึ่ง ในความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองคนก็เป็นนางที่ครองตำแหน่งผู้นำ

ทว่าหนนี้เหยียนเจวี๋ยกลับจริงจังจนน่ากลัว ประหนึ่งว่านิสัยเด็กๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการเสแสร้ง นี่จึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

หากแต่นางยังไม่ทันได้คิดอะไรมากก็เดินขึ้นมาที่หอกำแพงเมืองแล้ว

เหยียนเจวี๋ยเป็นคนดังของเมือง อีกทั้งองค์ชายสี่ก็ได้สั่งการไว้ล่วงหน้า พวกนางจึงเดินผ่านได้อย่างราบรื่น

เฉินวั่งซูเดินตามอยู่ด้านหลัง มองเห็นองค์ชายสี่ที่ยืนอยู่ตรงใจกลาง อีกทั้งบุรุษวัยกลางคนที่ข้างกายเขาได้ในแวบเดียว ฝ่ายหลังดูมีท่าทางขลาดกลัวอยู่บ้าง เขาไว้เคราแพะ ถึงขนาดว่าแผ่นหลังยังยืดไม่ค่อยตรงเสียเท่าไร

ทว่าดูจากภายใต้รอยย่นของเขา พอมองออกได้รำไรว่าขณะยังหนุ่มบิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์ก็เป็นบุรุษรูปงามหาตัวจับยากคนหนึ่งเช่นกัน

“ในเมืองมีแม่ทัพนายกองอยู่ไม่กี่คนจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่เรียกเจ้ามาแล้ว แม้ปกติเจ้าจะมีฝีมือไม่เท่าไร แต่ที่สุดแล้วก็เป็นบุตรชายของฮู่กั๋วกง ไม่แน่ว่าหากเข้าสนามรบจริงๆ อาจเกิดปาฏิหาริย์อะไรก็เป็นได้”

เฉินวั่งซูเหลือกตาอย่างหมดคำจะกล่าว น้องชายเหยียน ท่านแน่ใจหรือว่าจะยอมให้เจ้าหนูสี่เป็นเจ้านาย คนที่พูดจาไร้ไหวพริบขนาดนี้ไม่ช้าก็เร็วคงได้ถูกขุนนางใหญ่รุมกระทืบตายคาท้องพระโรงกระมัง!

นางกำลังนึกค่อนแคะก็ได้ยินองค์ชายสี่กล่าวว่า “เซี่ยนจู่มาทำกระไร! เจ้าไม่มีวรยุทธ์สักกระผีก และมิใช่ว่าเจ้าดีดพิณ ทัพกบฏก็จะมอดม้วยกันหมด! อีกประการหนึ่ง ต่อให้จะแข่งดีดพิณ…เจ้าก็มิใช่ผู้มีฝีมือดีที่สุด!”

ดูสิ! การไม่ฆ่าเขาถือเป็นการโหดร้ายต่อตนเองเลยทีเดียว!

เฉินวั่งซูหัวเราะแกนๆ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น “หม่อมฉันย่อมจะไม่เปลืองแรงดีดพิณให้โคให้กระบือฟัง จะอย่างไรเขาได้ฟังแล้วก็ฟังไม่ออกอยู่ดีว่าใครมีฝีมือดีที่สุด”

เมื่อเห็นองค์ชายสี่มีท่าทางงุนงง เฉินวั่งซูก็เลิกคิ้วเอ่ย “ดูเถิด ท่านเองยังทรงสดับคำของหม่อมฉันไม่เข้าใจเลย มีฐานะเป็นราษฎรต้าเฉิน หม่อมฉันมาที่นี่ย่อมจะต้องพยายามช่วยอย่างสุดแรงของตนเอง” นางว่าแล้วก็ยืดอกประหนึ่งว่าพร้อมจะสละชีพด้วยความกล้าหาญ “หม่อมฉันเป็นเพียงอิสตรียังกล้าออกรบต้านศัตรู บุรุษที่เอาแต่หดหัวมีหรือจะไม่ละอายใจ สตรีที่หวาดกลัวมีหรือจะไม่อุ่นใจ การที่หม่อมฉันยืนอยู่ตรงนี้ได้โดยที่สบายดี ก็เป็นการบอกต่อทุกคนว่าสถานการณ์มิได้เลวร้ายปานนั้น พวกเรามั่นใจต่อการปราบปรามทัพกบฏมาก

ยิ่งไปกว่านั้นหากสามารถเกลี้ยกล่อมให้ทัพกบฏยอมจำนนได้โดยไม่เสียกำลังพลทหาร ไหนเลยจะมิใช่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า องค์ชายสามทรงเป็นทั้งหลานชายของหม่อมฉัน และเป็นทั้งพี่เขยของหม่อมฉัน…หม่อมฉันพูดจาน่าฟังมาแต่ไหนแต่ไร อีกประการหนึ่ง…ยิ่งถ่วงเวลาได้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีต่อทัพของเรา หนึ่งคือในเมืองจะมีเวลาให้เตรียมตัว สองคือสามารถรอจนทัพหนุนในบริเวณใกล้ๆ มาช่วยได้!”

องค์ชายสี่ได้ฟังแล้วก็สะท้านไปทั้งร่าง การที่คำพูดของนางฟังแล้วดูมีเหตุผลมากเช่นนี้ นี่มันเป็นเรื่องอันใดกัน! เขาเกาศีรษะ “เจ้าลองดูด้านล่าง ยังมั่นใจอยู่หรือไม่”

เฉินวั่งซูชะโงกหน้ามองแล้วก็ให้สะท้านในใจ เมื่อก่อนตอนถ่ายละคร ในกองทัพหมื่นม้านั้น คนกว่าค่อนที่เห็นหน้าได้ไม่ชัดล้วนเป็นการใช้เทคนิคพิเศษทำขึ้น นางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกว่าอะไรเรียกว่า ‘สองทัพเผชิญหน้ากันที่แท้จริง’

อะไรเรียกว่าการล้อมเมือง

แต่นางไม่เพียงไม่สลบไป กลับตื่นเต้นจนตัวแทบสั่นแล้ว

“พี่เขยกลายมาเป็นฝ่ายทัพกบฏ นี่ท่านไม่สนใจเชื่อเสียงของตนเลยหรือไร น่าสงสารท่านผู้นั้นที่ข้างกายท่าน หากหม่อมฉันจำมิผิด นามว่าเอ๋ารุ่ยกระมัง หม่อมฉันเห็นเขาถูกกลิ่นของท่านรมจนใกล้จะอาเจียนแล้ว”

ดวงตาองค์ชายสี่เบิกโพลง ประเดี๋ยวก่อน เจ้ามิใช่บอกว่าเจ้าพูดจาน่าฟัง?

บทที่ 144

เสียงของเฉินวั่งซูอ่อนหวานหยาดเยิ้ม รื่นหูยิ่งยวด ไม่เข้ากับสนามรบอันคุกรุ่นนี้โดยสิ้นเชิง

องค์ชายสามได้ยินแล้วก็หน้าดำลงในชั่วพริบตา เขาหันหน้าไปมองเอ๋ารุ่ยที่เฝ้าอยู่ข้างกายเขาโดยตลอดปราดหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก

เอ๋ารุ่ยติดตามข้างกายเขามาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นบ่าวชายประจำตัวเขา บัดนี้กลายเป็นมือขวาของเขาแล้ว

บ้าจริง! ทัพใหญ่ใช้เวลารวมพลเท่าไร เขาก็แช่อยู่ในถังน้ำนานเท่านั้น แช่จนเปื่อยไปทั้งตัวจนเหมือนศพอืดๆ ในแม่น้ำแล้วกว่าจะได้ออกมา

แล้วนี่เขาก็ไม่เหม็นแล้ว

แต่ไหนเลยจะคิดถึงว่าพอเขาหันหน้าไป เอ๋ารุ่ยถึงกับกลั้นหายใจไว้ทันที หน้าแดงเถือก ท่าทางเหมือนบอกว่าขอร้องท่านแล้ว อย่ามองข้า หากยังไม่เลิกมองข้าจะอาเจียนแล้วจริงๆ

น่าอัปยศอดสู! องค์ชายสามหัวร้อนขึ้นมา จึงยิงธนูใส่เฉินวั่งซูอย่างปราศจากความเกรงใจ

เฉินวั่งซูหัวเราะเหอะๆ ไม่ลนลานแต่อย่างใด ถือหอกยาวที่เมื่อครู่แย่งมาจากมือของทหารที่ด้านข้างไว้ โยนถุงหอมในมือขึ้นก่อนจะเงื้อมือหวดมันใส่องค์ชายสามอย่างแรง

เมื่อครู่นี้เจ้าหนูสี่เตือนนางแล้ว นางไม่เป็นวรยุทธ์ก็ไม่เป็นไร นอกจากหน้าไม้เล็ก นางยังตีคลีเป็นด้วย อาวุธของผู้อื่นคือก้อนอิฐ ฟาดใส่ทีละคน ใช้การโจมตีระยะใกล้!

ส่วนนางใช้การโจมตีระยะไกล หวดใส่ทีละคน! ถ้านี่อยู่ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องแข่งได้ผลเสมอกับยูคิมูระกัปตันทีมสาธิตริคไค* แน่นอน!

ส่วนลูกธนูนั้น เฉินวั่งซูไม่แม้แต่จะหลบ ข้างกายนางยังมีเหยียนเจวี๋ยยืนอยู่!

บัดนี้เหยียนเจวี๋ยมิใช่กระสอบทรายเหมือนที่ริมทะเลสาบซีหูในตอนโน้นแล้ว! หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นหากทำเท่จนชีวิตหาไม่ นั่นก็ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!

เฉินวั่งซูกำลังสวดภาวนาในใจ แต่ครั้นหันหน้าไปมองก็เปลี่ยนเป็นเบิกบานใจแทนแล้ว

มองเห็นเพียงเหยียนเจวี๋ยยืนอยู่เบื้องหน้านาง สายลมพัดแถบผูกผมและเสื้อคลุมของเขาปลิวขึ้น เขาสวมเกราะแดง ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดูราวกับเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งซุนอู้คง!

ที่ดูดียิ่งกว่าคือเหยียนเจวี๋ยชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว คีบลูกธนูที่ยิงมาใส่เฉินวั่งซูดอกนั้นไว้อย่างมั่นคง

เขาออกแรงเบาๆ ลูกธนูนั้นก็หักเป็นสองท่อน

เหยียนเจวี๋ยเป่าฝุ่นที่ไม่ได้ติดอยู่บนมือ ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยออกมาเบาๆ สองคำ “แค่นี้?”

เฉินวั่งซูสองตาแวววาว ใต้หล้านี้ถึงกับมีคนที่เสแสร้งเก่งเหมือนนางอยู่ด้วย

กองทัพต้าเฉินส่งเสียงไชโยโห่ร้อง จู่ๆ พวกเขาต้องลุกออกมาจากในโปงผ้าห่มแล้วได้รู้เรื่องทัพใหญ่ล้อมเมือง ในใจก็ท้อไปครึ่งหนึ่งแล้ว! แต่ครั้นได้เห็นเหยียนเจวี๋ยสำแดงฝีมือราวกับเทพนี้ออกมาก็ถึงกับโล่งใจเลยทีเดียว!

ดีเหลือเกิน ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเจ้าตัวโง่งมอย่างเหยียนเจวี๋ยคอยค้ำอยู่หน้าขบวน!

องค์ชายสี่กล่าวได้มิผิด เวลาปกติคุณชายเหยียนเป็นเหมือนไข่เน่าแต่พอเขาเข้าสนามรบจริงๆ ก็กลายเป็นไข่ทองคำ

เหยียนเจวี๋ยได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องที่ด้านหลังแล้วก็โล่งใจ หวิดไปแล้ว! เมื่อครู่นี้เป็นเกมวัดใจชัดๆ ถ้าเกิดเขาคีบไม่อยู่ เฉินวั่งซูก็คงได้ถีบเขาลงจากหอกำแพงเมืองพอดีน่ะสิ!

ทางด้านนี้พากันไชโยโห่ร้อง ทางด้านองค์ชายสามมองเห็นวัตถุอย่างหนึ่งลอยมาก็ตวัดกระบี่ฟันอย่างฉุนเฉียว

ถุงหอมใบใหญ่ใบนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหมดจด ผงหอมในถุงแตกโพละสาดกระจายออกมาทั้งหมด

องค์ชายสามที่กำลังแหงนหน้ามองยกมือปิดตาตนเองไว้ทันที แต่ยังคงช้าเกินไป บรรดาคนสองสามแถวที่อยู่ด้านหน้าต่างตาพร่ามัว เริ่มเกิดความสับสนขึ้นมา

ผู้ที่น่าสังเวชที่สุดคือเอ๋ารุ่ยผู้นั้น เขาจามเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองเขาปราดหนึ่งด้วยความเห็นใจ มิน่าผู้อื่นไม่รู้สึกเหม็น มีแต่เขาที่มีท่าทางยากจะทานทน จมูกเจ้าหมอนี่ไวยิ่งกว่าจมูกสุนัขเสียอีก! ยามนี้จะต้องกำลังได้กลิ่นทั้งหอมทั้งเหม็น…

นางยังไม่ทันคิดจบ เอ๋ารุ่ยก็กลิ้งตัวลงจากม้าไปนั่งอาเจียนยกใหญ่อยู่บนพื้นแล้ว

เวลานี้นี่ล่ะ! เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย

เหยียนเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดลงจากหอกำแพงเมือง

ทางด้านเฉินวั่งซูก็เม้มปากพลางหันไปมองมู่จิ่น “ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

มู่จิ่นพยักหน้ากล่าว “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู ร้านค้าของพวกเราอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ข้าบอกให้คนงานส่งมาอย่างไม่ขาดสายแล้ว”

เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก มองไปยังองค์ชายสี่ “พร้อมจะทำศึกนองเลือดถึงที่สุดแล้วหรือยังเพคะ”

องค์ชายสี่ยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง เขามองแขนขาเล็กๆ ของเฉินวั่งซู “นี่เจ้ากำลังทำเป็นเรื่องเด็กเล่น! รีบเรียกเหยียนเจวี๋ยกลับมา ถ้าเกิดเขาถูกคนจับตัวไว้ ข้าก็ต้องไปช่วยเขาอีก มิหนำซ้ำเจ้ามิใช่มาเกลี้ยกล่อมให้คนยอมจำนนหรือไร”

ยังไม่ได้เกลี้ยกล่อมแม้แต่คำเดียว มุทะลุยิ่งกว่าเขาเสียอีก พอมาถึงก็เปิดศึกทันที

เคราะห์ยังดีที่เฉินวั่งซูไม่มีวรยุทธ์ มิเช่นนั้นนางคงได้บุกตะลุยไปถึงอีกฝั่งทะเลเป็นแน่

เขายังพูดไม่ทันจบ ปากก็หุบไม่ลงแล้ว

มองเห็นเพียงเฉินวั่งซูรับห่อกระดาษห่อหนึ่งมาจากมู่จิ่นที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นห่อกระดาษก็ถูกหวดลอยออกไปตกลงตรงกลางทัพกบฏอย่างแม่นยำ ไม่ว่าอย่างไรก็มักจะมีพวกมือบอนยกมือเอาหอกแทง ห่อกระดาษถูกกรีดออก คนโดยรอบล้วนยกมือปิดตา เริ่มส่งเสียงร้องครวญคราง

“รีบยิงธนู คุ้มกันเหยียนเจวี๋ย!” พอเฉินวั่งซูเอ่ยปากก็ค้นพบว่าคนที่ด้านข้างเองได้พูดคำเดียวกันกับนางเช่นกัน

นางหันหน้าไปมอง แม่ทัพฉินบิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์พยักหน้าให้นางน้อยๆ

ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนมุ่งไปที่เหยียนเจวี๋ย

แม้แต่เฉินวั่งซูก็ยังลุ้นแทนเหยียนเจวี๋ยแล้ว! แม้แต่เฉียวเฟิง* ก็ยังไม่มีความมั่นใจพอจะบอกว่าตนเองสามารถเด็ดศีรษะศัตรูท่ามกลางกองทัพเรือนหมื่นได้อย่างแน่นอน…ไม่ว่าเรื่องใดล้วนแต่ไม่แน่นอน ถ้าเกิดเหยียนเจวี๋ยถูกจับตัวไว้…

เช่นนั้นการใหญ่ที่ก่อนหน้านี้พวกนางหารือกันเรียบร้อยว่าจะทำก็ทำไม่ได้แล้ว! ถึงเวลานั้นควรจะคว้าชัยชนะอย่างไรดี! เฉินวั่งซูใช้หอกหวดห่อกระดาษไปยังทิศทางที่ต่างกัน ระหว่างนั้นในสมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว

นางผู้นี้ทำอะไรมักมีแผนสำรองเสมอ

มองเห็นเพียงเหยียนเจวี๋ยกระโดดลอยลงไป ร่อนตรงไปหาหัวขององค์ชายสามราวกับเป็นอินทรียักษ์ ลูกธนูนับไม่ถ้วนลอยมาหาเขา แทบจะยิงให้เขากลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง

ทว่าคนทั้งหมดล้วนประเมินความเร็วของเขาต่ำไป เขาแทบจะเป็นเหมือนภูตผี พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าม้าขององค์ชายสาม

ไม่แม้แต่จะโอภาปราศรัยสักคำ กระบี่นั้นก็แทงเข้าหาลำคอขององค์ชายสามทันที

องค์ชายของแคว้นต้าเฉิน นอกจากองค์ชายสี่แล้วล้วนแต่เอาดีด้านบุ๋น ผอมแห้งแรงน้อยมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่มีรากฐานด้านการฝึกวรยุทธ์ องค์ชายสามที่นับว่าดีเด่นจากองค์ชายคนอื่นๆ ก็ยังมีวรยุทธ์ธรรมดาๆ เช่นกัน

ก่อนหน้านี้มีทหารห้อมล้อม ย่อมมีความมั่นใจที่จะยิงธนูดอกนั้น แต่บัดนี้เหยียนเจวี๋ยบุกมาถึงตรงหน้าแล้ว อีกทั้งเขาก็ถูกผงหอมโปะไปทั้งหน้า จึงยิ่งนิ่งอึ้งเป็นไก่ไม้ ขณะที่คนทั้งหลายคิดว่าโจมตีประสบผลอยู่นี้เอง เอ๋ารุ่ยที่อาเจียนอยู่ด้านข้างก็ยกเท้ายันองค์ชายสามลงจากหลังม้า ก่อนชูกระบี่ยาวฝืนต้านทานเหยียนเจวี๋ย

เหยียนเจวี๋ยเปล่งเสียงก่อนออกแรง กระบี่ยาวในมือเอ๋ารุ่ยก็ถึงกับถูกเขาฟันขาดเป็นสองท่อน จากนั้นเขาก็งัดกระบี่ขึ้น แทงเข้าหาส่วนศีรษะของเอ๋ารุ่ย เอ๋ารุ่ยตกใจอย่างหนัก ย่อตัวลง รู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะชา

ยกมือขึ้นคลำ หวิดจะสิ้นสติ เหยียนเจวี๋ยผู้นี้เกรงว่าคงจะเป็นโคถึกมาเกิด เสือกกระบี่มาทีเดียวก็ถึงกับเฉือนหมวกเกราะตลอดจนเส้นผมบนศีรษะเขาขาดทั้งหมด

เวลานี้องค์ชายสามใจเย็นลงแล้ว เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้า คิดจะล่าถอยไปอีกด้านด้วยการคุ้มกันจากคนทั้งหลาย

หากแต่เหยียนเจวี๋ยมีหรือจะให้โอกาสนี้แก่เขา หมุนตัวทะยาน เท้าเหยียบหัวม้าเบาๆ แทงกระบี่เข้าใส่องค์ชายสามอีกครั้ง!

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 66)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: