X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3 หญิงต่างมิติ

เสิ่นกุยหย่ากระโดดลงสระบัวฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ถูกบ่าวในจวนช่วยขึ้นมาได้เสียก่อน

อาการตอบสนองแรกของเสิ่นกุยเยี่ยนเมื่อรู้เรื่องคือด่าว่าในใจ ไม่มีสมองก็เลยทำตัวได้ไร้สมองจริงๆ สระบัวลึกไม่ถึงเอวด้วยซ้ำ อยากตายนักก็ไปกระโดดคูเมืองโน่นเลยสิ! จะต้องมากระโดดสระบัวด้วยเหตุใด

แต่แล้วนางกลับได้ยินสาวใช้ของหอตระการสะอึกสะอื้น “น่ากลัวว่าจะรักษาชีวิตคุณหนูห้าเอาไว้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ นางจมอยู่ในสระบัวนานเกินไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้นเสียที”

คนจวนสกุลเสิ่นแตกตื่นกันทั้งหมด ทยอยกันมาที่หอตระการ ล้วนได้ยินเสียงร่ำไห้ปานปอดจะฉีกของอวี้ซู “เป็นเพราะคนหลายใจผู้นั้น หากไม่ใช่เพราะเขามีหรือคุณหนูจะคิดสั้น! นายท่าน ฮูหยินเจ้าคะ พวกท่านต้องช่วยทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูนะเจ้าคะ!”

นายผู้เฒ่าเสิ่นนั่งอยู่อีกทาง ยังไม่ทันได้อ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นฮูหยินก็ตวาดแหวทั้งที่ยังร้องไห้เสียก่อน “คนหลายใจอะไรกัน พูดให้รู้เรื่องซิ ใครทำให้หย่าเอ๋อร์ของข้าตาย ข้าจะให้มันชดใช้ด้วยชีวิต!”

พูดราวกับว่าเสิ่นกุยหย่าไม่ได้มีชีวิตแล้วอย่างไรอย่างนั้น

เสิ่นกุยเยี่ยนนับว่ามาช้ากว่าผู้อื่น ตอนมาถึงในเรือนก็มีผู้คนยืนออแน่นขนัดไปหมด อวี้ซูเห็นว่านางมาเสียที จึงยอมเปิดปากเล่าเรื่อง ‘คนหลายใจ’ ในที่สุด

“คุณชายกู้หมั้นหมายกับคุณหนูสามอยู่แล้ว ยังล่อลวงคุณหนูของบ่าวจนคุณหนูเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่หลังเกิดเรื่องกลับไม่รับผิดชอบ บอกว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูของบ่าวเด็ดขาด คุณหนูทั้งอับอายทั้งแค้นใจ ถึงได้คิดสั้นฆ่าตัวตายอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”

ทุกคนในห้องตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อได้ฟังเช่นนั้น สายตาสิบกว่าคู่มองไปทางเสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่ตรงหน้าประตูเป็นตาเดียว

พูดเช่นนี้แม้แต่สีดำก็ยังถูกกลับให้เป็นสีขาว เสิ่นกุยเยี่ยนขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างอดไม่อยู่ เป็นฝ่ายยั่วยวนคุณชายกู้อย่างไร้ยางอายเองแท้ๆ ยังมีหน้ามาพูดว่าฝ่ายชายทำลายความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเอง?

อีกอย่างไฉนถึงพากันมองนางเช่นนี้ คนที่ทำให้เสิ่นกุยหย่าคิดสั้นหาใช่นางเสียหน่อย

เสิ่นฮูหยินเดือดดาลจัด ตบเตียงลุกพรวดขึ้นมาขยำผ้าเช็ดหน้าพลางมองสามี “หากยอมลงให้เรื่องนี้ สกุลเสิ่นอันยิ่งใหญ่ของเราก็ทำตัวต่ำต้อยเกินไปแล้วนะเจ้าคะ! เป็นตระกูลอัครเสนาบดีแล้วอย่างไร ทำให้หญิงสาวมีราคีก็ควรรับผิดชอบ!”

นายผู้เฒ่าเสิ่นเองก็สงสารบุตรสาวเช่นกัน แต่กระนั้นก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอวี้ซูเสียทีเดียว กู้เจาตงเป็นที่ชื่นชมเกินหน้าคนหนุ่มรุ่นเดียวกัน ไม่มีหรอกที่จะประพฤติตนไร้คุณธรรมเยี่ยงนี้ จะแต่งงานกับเยี่ยนเอ๋อร์อยู่รอมร่อแล้ว เหตุใดถึงไปทำให้หย่าเอ๋อร์มีราคีเสียอย่างนั้น

“รอให้หย่าเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยซักไซ้ให้กระจ่างดีกว่า” นายผู้เฒ่าเสิ่นถอนหายใจเฮือก

เสิ่นกุยเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หากคุณชายกู้ล่อลวงน้องห้าแล้วไม่คิดจะรับผิดชอบจริง เยี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่ปรารถนาจะฝากฝังชีวิตไว้กับคนเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องซักถามกันให้รู้เรื่องเจ้าค่ะ”

รอน้องสาวต่างมารดาได้สติ อย่างมากก็ให้เผชิญหน้ากับกู้เจาตง ถ้าได้พูดกันต่อหน้า มีหรือจะยังกล้ากลับดำให้เป็นขาวอีก ยั่วยวนว่าที่พี่เขยก่อนหน้างานแต่งงาน คนที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงคือตัวเสิ่นกุยหย่าเองต่างหาก

ได้ยินดังนั้นเสิ่นฮูหยินก็พูดต่อไม่ออก ได้แต่มองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเย็นชาแล้วหันไปร้องห่มร้องไห้เฝ้าไข้บุตรสาวสุดที่รักต่อ

 

เสิ่นกุยหย่านอนไม่ได้สติอยู่หนึ่งวัน ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นคนจากสกุลกู้ก็มาเยือน หาใช่ใครอื่น แต่เป็นอัครเสนาบดีกู้พาบุตรชายมาคารวะด้วยตนเอง

สกุลเสิ่นเป็นเพียงรองเสนาบดี แต่อัครเสนาบดีคนปัจจุบันมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ทั้งนายทั้งบ่าวจึงตื่นตกใจไปตามๆ กัน ขนาดเสิ่นฮูหยินที่คิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกยังอดยำเกรงบารมีอัครเสนาบดีกู้ไม่ได้ ถึงกับออกไปยืนรอต้อนรับด้วยตนเองตรงหน้าประตูจวน

“เสิ่นฮูหยินไม่ต้องมากพิธี” อัครเสนาบดีกู้มีนิสัยสมถะถ่อมตน พามาเพียงกู้เจาตงกับสารถีเท่านั้น ไม่ให้ใครอื่นติดตามทั้งสิ้น พอถึงที่หมายยังเป็นฝ่ายประสานมือคำนับน้อยๆ “ข้าพาบุตรชายไม่รักดีมาขอขมา ได้แต่หวังว่าเสิ่นฮูหยินกับคุณหนูสามจะยอมฟังมันอธิบายสักนิด”

ตั้งแต่เข้ามาในจวนกู้เจาตงก็คอยแอบมองเสิ่นกุยเยี่ยนตลอด แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น ได้แต่เดินนำทางสองพ่อลูกไปยังห้องโถงใหญ่อย่างสำรวม

“ครานี้หลานมาเพราะอยากคุยเรื่องคุณหนูห้าสกุลเสิ่นขอรับ” กู้เจาตงถลกชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าในห้องโถง คนสกุลเสิ่นทำท่าจะเข้าไปประคองขึ้นมาด้วยความตกใจ หากแต่เจ้าตัวกลับยกมือปราม แล้วโขกศีรษะคำนับนายผู้เฒ่าสกุลเสิ่นและฮูหยินอย่างนอบน้อม “คนด้อยสามารถเช่นหลานมีดวงเนื้อคู่อันแสนประเสริฐที่สวรรค์ประทานให้ จึงได้คุณหนูสามสกุลเสิ่นมาเป็นคู่แต่งงาน แต่ไม่กี่วันก่อนสาวใช้คนหนึ่งลวงหลานไปที่โรงเตี๊ยมสามกระจ่างที่อยู่นอกจวน จนทำให้…เกิดสัมพันธ์ทางกายกับคุณหนูห้าสกุลเสิ่น”

เขาเอื้อนเอ่ยอย่างยากเย็นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่าคนทั้งห้องรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ตกใจแต่อย่างใด เพียงแค่อยากรู้ต้นสายปลายเหตุเท่านั้น

“ใช่ว่าหลานคิดจะโยนความผิด แต่สตรีชั้นสูงเช่นคุณหนูห้ากลับลดตัวไปใช้ยากระตุ้นกำหนัด ซ้ำยังนัดแนะกับหลงจู๊โรงเตี๊ยมจนหลานเพลี่ยงพล้ำ นับเป็นการกระทำที่ไม่น่าสรรเสริญ” กู้เจาตงพูดชัดถ้อยชัดคำ “หลานมีใจรักมั่นต่อคุณหนูสามสกุลเสิ่น ตะวันจันทราเป็นประจักษ์ ฟ้าดินเป็นพยาน เมื่อพลั้งผิดไปชั่วครู่ชั่วคราวจึงใคร่บังอาจขอการอภัยจากสกุลเสิ่นขอรับ”

ทุกคนในห้องโถงใหญ่พากันสูดหายใจเฮือกมองชายหนุ่มอย่างตกตะลึง เสิ่นฮูหยินโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “คำกล่าวของคุณชายกู้ไม่ใคร่พ้องกับคำบอกเล่าของสาวใช้ประจำตัวหย่าเอ๋อร์นัก ถ้าอย่างไรให้อวี้ซูมาให้การแย้งกับคุณชายได้หรือไม่”

หากเสิ่นกุยหย่าใช้ยาปลุกกำหนัดล่อลวงเขาจริง ไม่เพียงแต่ตัวนางที่เสียหน้ายับเยิน แม้แต่หน้าของสกุลเสิ่นก็อย่าได้หวังจะรักษาไว้!

กู้เจาตงพยักหน้า จากนั้นอวี้ซูก็ถูกพาตัวเข้ามา ร่างพลันสั่นเทิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเขา

เดิมทีนึกว่าเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก* แล้วคุณหนูย่อมสามารถออกเรือนไปอย่างราบรื่น ใครเลยจะรู้ว่าคุณชายกู้แน่วแน่จะแต่งงานกับเสิ่นกุยเยี่ยนเพียงคนเดียวราวกับกินตาชั่งเข้าไปก็มิปาน มิหนำซ้ำยังปฏิเสธคุณหนูของนางอีก คุณหนูเดือดดาลจัดจึงแสร้งทำเป็นกระโดดสระบัวฆ่าตัวตายเพื่อบีบให้อีกฝ่ายแต่งงานด้วย

ปรากฏว่าแสร้งเล่นละครจนเลยเถิด จวบจนบัดนี้ก็ยังสลบไสลไม่ฟื้น กระทั่งฝ่ายชายยังมาอธิบายความจริงถึงจวนก่อนแล้ว

“อวี้ซู เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้งซิ” เสิ่นฮูหยินสั่งด้วยสีหน้าเข้มงวด

อวี้ซูเป็นพวกคิดอะไรเองไม่เป็น ได้แต่นั่งคุกเข่าส่ายหน้าตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ กู้เจาตง พูดไม่ออก

“อะไรกัน!” เสิ่นฮูหยินชักร้อนใจขึ้นมา “เมื่อวานเจ้ายังเล่าต้นสายปลายเหตุอยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงพูดไม่ออกเสียเล่า”

“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ!” อึกอักอยู่นานอวี้ซูก็พูดออกมาได้แค่ประโยคนี้

กู้เจาตงหัวเราะเบาๆ เสิ่นฮูหยินเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนยืนมองละครฉากนี้เงียบๆ นางกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยด้วยซ้ำ

ช่างวุ่นวายไร้สาระโดยแท้

“ครึกครื้นดีจริง”

เสียงอ่อนแรงดังขึ้นมาจากทางหนึ่ง ทุกคนชะงักแล้วหันไปมอง เห็นเสิ่นกุยหย่าสวมชุดนอนคลุมเสื้อกันลมยืนอยู่ตรงนั้น

“หย่าเอ๋อร์!” เสิ่นฮูหยินลุกพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ฟื้นแล้วหรือลูก”

เสิ่นกุยหย่ามีท่าทางงงงัน นางมองมารดาอยู่นานถึงค่อยถามว่า “ฉันชื่อหย่าเอ๋อร์?”

กู้เจาตงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย สตรีผู้นี้จะเล่นลูกไม้ใดอีกเล่า

“ฉันเพิ่งตื่น เหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” เสิ่นกุยหย่าพูดเองเออเองพลางเดินเข้ามา “พวกคุณเป็นใครน่ะ แล้วทำอะไรกันอยู่ พอฉันตื่นก็มีสาวใช้บอกให้รีบมาที่นี่ กำลังถ่ายละครกันอยู่หรือ”

“หย่าเอ๋อร์…” เสิ่นฮูหยินชักลนลาน “เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ นี่ท่านพ่อของเจ้า นี่น้องชาย แล้วก็ข้า…ข้าเป็นมารดาของเจ้าอย่างไรเล่า”

ดูเหมือนเสิ่นกุยหย่าจะตกตะลึงกับอะไรบางอย่าง นางยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะได้สติ แล้วหัวเราะอย่างโง่งมกับตนเอง “เราทะลุมิติมาแล้วสิเนี่ย”

ไม่มีใครฟังออกว่านางพูดอะไร เนื่องจากมีอัครเสนาบดีกู้อยู่ด้วย นายผู้เฒ่าเสิ่นจึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “บุตรสาวผู้น้อยคงได้รับความสะเทือนใจ ตอนนี้เลยกลายเป็นคนด้อยปัญญาไปเล็กน้อย ขอท่านอัครเสนาบดีโปรดอย่าได้ถือสา”

อัครเสนาบดีกู้มองเสิ่นกุยหย่าอยู่สักพัก ก่อนจะก้มหน้า “บุตรชายไม่รักดีของข้าผิดต่อคุณหนูห้า ทว่าสกุลกู้แต่งเจ้าสาวเพียงครั้งละคนเท่านั้น หากไม่ติดขัดอันใด คุณหนูห้าจะรออีกสักสองปีแล้วค่อยแต่งเข้าจวนก็ย่อมได้ รับรองว่าข้าจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี”

“ท่านพ่อ!” กู้เจาตงร้องเรียกเบาๆ ความรู้สึกต่อต้านระบายอยู่เต็มใบหน้า

อัครเสนาบดีกู้ยิ้มบางๆ แล้วหันไปถามเสิ่นกุยเยี่ยน “คุณหนูสามรังเกียจหรือไม่”

นางย่อกายคารวะอย่างชดช้อย “กุยเยี่ยนย่อมไม่รังเกียจอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากน้องห้ากลายเป็นคนด้อยปัญญาไป กุยเยี่ยนกับคุณชายกู้ก็สมควรดูแลนาง”

หากเป็นคนด้อยปัญญาไปจริงๆ ก็เป็นผลกรรมที่เสิ่นกุยหย่าควรได้รับแล้ว แต่หากว่าไม่…

เสิ่นกุยเยี่ยนอดเหลือบมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้

เสิ่นกุยหย่าที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในวงล้อมของผู้อื่นมองมาทางนางโดยไม่เจตนา สายตาเหมือนมองคนแปลกหน้า

 

“คุณหนู บ่าวว่าคุณหนูห้าแปลกๆ ชอบกลนะเจ้าคะ”

คนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายกันหมดแล้ว เป่าซั่นเดินตามหลังเสิ่นกุยเยี่ยนพลางกระซิบกระซาบ “เห็นว่าเอาแต่พูดจาเหลวไหลตลอดเวลา แต่ยังดูมีสติดี ไม่ได้มีท่าทางของคนด้อยปัญญาเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องสนใจนางหรอก” ผู้เป็นนายเม้มปาก “ตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่านางยั่วยวนคุณชายกู้ ถ้านางทำทีเป็นคนด้อยปัญญาไปเสียก็ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดอยู่เหมือนกัน จะได้รอดตัวจากการถูกรุมประณามได้”

เป่าซั่นขยี้เท้าอย่างขัดใจ “นางทำตัวไร้ยางอายเยี่ยงนั้น แค่แสร้งว่าด้อยปัญญาก็รอดตัวแล้วหรือเจ้าคะ”

“โมโหอะไรของเจ้ากัน” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มบางๆ “เตรียมตัวสำหรับออกเรือนเถิด”

ไม่ว่าจะด้อยปัญญาจริงหรือแสร้งทำ เวลานี้อีกฝ่ายก็ไม่อาจกระทำการใดต่อการแต่งงานของนางได้อีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็เกินพอ

บทที่ 4 ดวงวิวาห์ผันแปร

ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเสิ่นกุยเยี่ยนด่วนวางใจเร็วเกินไป เสิ่นกุยหย่าไม่ได้เป็นคนด้อยปัญญา กลับหลักแหลมคมคายขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากทำให้คนทั้งจวนประจักษ์ข้อนี้ ฝ่ายนั้นก็ยกนิ้วชี้นาง “พี่กุยเยี่ยนรูปโฉมงดงาม เชื่อว่าคงเป็นคนที่คุณชายกู้นั่นหลงรักปักใจสินะ”

คำพูดคำจาสุภาพนุ่มนวลขึ้น แม้แต่เสิ่นกุยเยี่ยนยังอดพิจารณาเสิ่นกุยหย่าไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้ารับเงียบๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว” เสิ่นกุยหย่ายกมือลูบใบหน้าตนเองแล้วกล่าวยิ้มๆ “ขอให้พี่สาวมีความสุขกับการแต่งงาน พี่สาวออกเรือนอย่างสบายใจเถิด น้องจะไม่ขัดขวางแม้แต่นิดเดียว”

จู่ๆ เสิ่นกุยหย่าที่มักจะด่าทอตบตีนางอยู่เสมอก็อ่อนหวานขึ้นมา เสิ่นกุยเยี่ยนไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่แน่นอนว่านางย่อมปรารถนาให้อีกฝ่ายยอมเมตตารามืออยู่แล้ว

ภิกษุเพี้ยนรูปหนึ่งเคยดูดวงให้เสิ่นกุยเยี่ยน บอกว่าเมื่ออายุสิบห้านางจะเจอเคราะห์หนัก อายุยี่สิบมีโชคใหญ่ ยามผมหงอกขาวต้องตกทุกข์ครั้งสำคัญ

ตามความคิดของเสิ่นกุยเยี่ยน พวกนักบวชที่เที่ยวถือกระดิ่งกับป้ายธงเดินตามถนนล้วนแต่เชื่อถือไม่ได้ ต่อให้เป็นคนที่ปลงผมจนเกลี้ยงก็ไม่เว้น ชะตาน่ะ…อยู่ที่ตัวเราใช้ชีวิตอย่างไรต่างหาก

นางเองใกล้อายุครบสิบห้าอยู่รอมร่อ ก็ไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เสิ่นกุยเยี่ยนกลับไปเตรียมชุดเจ้าสาวอย่างสบายใจ ฉินอี๋เหนียงก็มาช่วยเตรียมพวกผ้าปัก กู้เจาตงแวะเวียนมาหาอีกครั้งในค่ำคืนกระจ่างจันทร์ที่สายลมโชยชื่น ระหว่างที่นางกำลังปักลวดลายบนกระโปรง เขายืนมองนางจากนอกหน้าต่าง “ข้าเรียนท่านพ่อเรียบร้อยแล้วว่าจะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไว้เจ้าแต่งเข้าจวนเมื่อไรค่อยหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูห้าสักคนก็แล้วกัน”

เสิ่นกุยเยี่ยนมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความตื้นตันสุดแสน เพราะห้องนอนของนางอยู่บนชั้นสองของหอนางแอ่น ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนมาเกาะห้อยอยู่ข้างนอกเช่นเขาในตอนนี้

ดังนั้นนางจึงเชื่อใจเขา

 

ปรากฏว่าไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ชื่อแซ่และเวลาตกฟากที่เอาไปผูกดวงกันไว้แล้วกลับมีปัญหาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ความจริงแม่สื่อเพียงมาขอเวลาตกฟากนางตามขั้นตอนในพิธีเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าได้คำทำนายเลวร้ายแทน ดวงของเขาและนางหักล้างกัน ไม่อาจแต่งงานกันได้

คนสกุลเสิ่นพากันตกตะลึงเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ตัวกู้เจาตงเองก็นิ่งงันไป ได้แต่มองหน้ากันกับนาง พูดอะไรไม่ออก

สมัยเด็กๆ เสิ่นกุยเยี่ยนเคยดูดวงมาครั้งหนึ่งแล้ว พบว่านางมีดวงส่งเสริมสามีให้รุ่งโรจน์ แล้วเหตุไฉนตอนนี้ถึงกลายเป็นดวงชงกับกู้เจาตงได้เล่า นางหน้าซีดเผือด ทว่าไม่ได้หลบไปร้องห่มร้องไห้เหมือนบรรดาคุณหนูทั้งหลาย กลับแอบเอาเวลาตกฟากของกู้เจาตงและของตนเองไปหาหมอดูโดยไม่ให้ใครรู้

ผลคือหมอดูบอกว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเนื้อคู่สวรรค์ประทาน แต่ก็ยังแต่งงานกันได้

นางคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคำทำนายของสกุลกู้ถึงได้บอกว่า ‘ดวงชง’

เสิ่นกุยเยี่ยนกลับเข้าจวนทางประตูหลัง พอเดินอ้อมมาตามเฉลียงยาวก็บังเอิญได้เห็นกู้เจาตงเดินดุ่มๆ มาแต่ไกลอย่างเร่งรีบ โดยมีเสิ่นกุยหย่ายิ้มระริกระรี้ไล่ตามมาด้านหลัง

“ท่านชังข้าถึงเพียงนี้จริงหรือ” เสิ่นกุยหย่าถามด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมอง “คุณหนูห้าโปรดสำรวมกิริยาด้วย”

เสิ่นกุยหย่าทำปากอูมกระเง้ากระงอดอย่างน่ารัก แต่ก็ดูไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง ถึงได้กระแซะติดตามอีกฝ่ายไปอีก “พวกบุรุษน่ะชอบปากอย่างใจอย่าง เห็นว่าข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้วนี่ ท่านยังจะให้ข้าสำรวมตนไปไยบุรุษจอมปลอม”

กู้เจาตงไม่รู้จะพูดด้วยอย่างไรแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อเดินหนี ทั้งคู่เลี้ยวหายไปตามเฉลียง ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนแสร้งทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

“เหตุใดคุณหนูห้าถึงได้หน้าหนาเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ” เป่าซั่นกระทืบเท้าด้วยความโมโหอยู่ข้างหลังผู้เป็นนาย “ฉวยโอกาสที่คุณหนูไม่อยู่ตามตอแยคุณชายกู้แจ หูตานี่แพรวพราวเชียว อย่าบอกนะว่าถูกภูตผีตนใดในสระบัวสิงร่างเอาน่ะ?”

เสิ่นกุยเยี่ยนแค่นยิ้ม “สตรีรุ่มร่ามเช่นนาง คุณชายกู้ไม่ชายตามองอยู่แล้ว กังวลอะไรเล่า”

“แต่…บ่าวกลัวคุณชายกู้จะถูกผีร้ายดลจิตดลใจเอาน่ะสิเจ้าคะ…” เป่าซั่นเบ้ปาก

“ไม่หรอก” เสิ่นกุยเยี่ยนคลี่ยิ้ม “ข้ารู้จักเขาตั้งแต่เด็ก จนถึงบัดนี้ก็หกปีกว่าแล้ว ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร เขาไม่มีทางทรยศข้าหรอก”

นานถึงเพียงนี้เรียกได้ว่าเขาและนางรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ต่อให้กู้เจาตงจะไม่สุขุมเรียบร้อยเท่านี้ ก็ไม่มีทางชอบสตรีที่ไร้ปัญญาความรู้และความสง่างามนุ่มนวลเช่นเสิ่นกุยหย่าเด็ดขาด ข้อนี้นางมั่นใจในตนเองอยู่มาก

น่าเสียดายนัก แม้เสิ่นกุยเยี่ยนจะอ่านหนังสือมามากมาย แต่ชั่วชีวิตเคยรู้จักบุรุษอยู่เพียงคนเดียว จึงไม่ตระหนักว่าบุรุษยิ่งสุขุมเท่าไรยิ่งร้ายลึกเท่านั้น

ซ้ำพวกร้ายลึกยังทำเราเจ็บกว่าพวกร้ายเปิดเผยมากนัก

พอเดินเลี้ยวไปถึงมุมปลอดคนในจวน เสิ่นกุยหย่าก็ยิ่งใจกล้าขึ้นกว่าเก่า ถึงกับดึงผ้าคาดเอวของกู้เจาตง แล้วลากเขาเข้าไปในห้องเก็บฟืนด้วยกัน!

“เจ้าจะทำอะไร” กู้เจาตงขมวดคิ้ว

เสิ่นกุยหย่าหัวเราะคิกคักพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวเอวเขาไว้ “ปากคุณชายไม่ยอมรับ แต่ร่างกายซื่อสัตย์มากเลยนี่”

มือนางลูบลงไปข้างล่าง การกระทำใจกล้าอย่างที่สตรียุคโบราณไม่มีทางทำได้ กู้เจาตงถึงกับตะลึงลานจนลืมขัดขืนไปโดยสิ้นเชิง

วิญญาณที่อยู่ในร่างเสิ่นกุยหย่านี้มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่หาใช่วิญญาณดีไม่ เป็นสาวเริงราตรีที่ขลุกอยู่ตามบาร์นั่งดื่มมานาน ช่ำชองในการรับมือกับบุรุษยิ่งนัก เมื่อข้ามมิติมาอยู่แปลกที่แปลกถิ่นเช่นนี้ย่อมต้องหาบุรุษไว้เป็นหลักยึดเกาะอันดับแรก

ดูไปดูมาก็มีแต่อีตากู้เจาตงคนนี้ล่ะที่พอจะถูไถตรงความชอบอยู่บ้าง เจ้าของร่างเดิมก็เหมือนจะถูกใจเขาด้วย เช่นนั้นก็เอาคนผู้นี้แล้วกัน

ลองว่านางหมายตาบุรุษคนใด ไม่มีทางเสียหรอกที่จะหลุดมือไปได้

กู้เจาตงกำลังจะขยับปากตวาดก็พลันหน้าแดงก่ำ ลมหายใจหอมรวยรื่นของสตรีเป่ากระทบใบหูเบาๆ “จะต้องขัดขืนไปไย ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังอยู่แล้ว คุณชายไม่อยาก…สนุกกับหย่าเอ๋อร์อีกสักยกหรือเจ้าคะ หือ?”

คนงามไม่น่ากลัว กลัวแต่พวกที่มีท่วงท่าชั้นยอดบนเตียงนี่ล่ะ กู้เจาตงกำลังหงุดหงิดและเหนื่อยใจกับเรื่องดวงเป็นทุนเดิม พอเจอเสิ่นกุยหย่ายั่วยวน เขาก็ไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น จึงปล่อยให้ตนเองจมลงไปในห้วงปรารถนาทางกาย

บ่าวในจวนเดินผ่านมาได้ยินเสียงเข้าก็สูดลมหายใจเฮือก แล้วหันหลังวิ่งแน่บไปทางเรือนเสิ่นฮูหยิน

ทว่าเสิ่นฮูหยินยังคงเยือกเย็น เมื่อรู้เรื่องก็ไม่ได้ทำเป็นเรื่องราวใหญ่โตแล่นไปจับคนกระทำผิดให้เอิกเกริก แค่พาสาวใช้จำนวนหนึ่งในเรือนตนไปดักรอหน้าห้องเก็บฟืน เมื่อสองหนุ่มสาวเสร็จสมอารมณ์หมายก็พาตัวทั้งคู่กลับไปเจรจาที่เรือน

ไม่รู้เหตุใดเสิ่นกุยเยี่ยนถึงใจคอไม่สู้ดีอย่างไรชอบกล นางลุกขึ้นมานั่งปักชุดแต่งงานได้สักพักก็เดินออกไปดูดาวบนฟ้า

“คุณหนูเข้านอนแต่หัววันดีกว่าเจ้าค่ะ ทุกอย่างราบรื่นดี” สาวใช้ประจำตัวกระเซ้ายิ้มๆ “เหลือเวลาอีกเดือนกว่า อย่าใจร้อนสิเจ้าคะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินกลับไปนอน กระนั้นก็ยังฝันสะเปะสะปะไปหมด เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นใต้ตาก็เขียวคล้ำเป็นปื้น ต้องส่องคันฉ่องนวดคลึงอยู่พักใหญ่รอยคล้ำถึงค่อยพอทุเลา

“วันนี้ข้าอยากเอาเวลาตกฟากของตนเองไปดูที่สกุลกู้” นางกล่าว “เวลาตกฟากที่แม่สื่อเอาไปคราวก่อนอาจมีปัญหาอะไรก็ได้”

“เจ้าค่ะ” เป่าซั่นเลือกกระโปรงยาวสีเหลืองขนห่านกับเสื้อกั๊กสีรากบัวมาใส่ให้ ดูสดใสแต่สง่างาม

ทว่าเพิ่งจะเดินออกจากห้องก็ถูกเสิ่นฮูหยินขวางไว้

“อีกประเดี๋ยวคนสกุลกู้จะมาที่นี่” หญิงสูงวัยพูดหน้าตึง “เจ้าไปรอในห้องโถงใหญ่ก็ได้ ไม่ต้องไปเองหรอก”

เสิ่นกุยเยี่ยนมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่ง ได้แต่ค้อมศีรษะรับคำ แล้วเดินไปนั่งในห้องโถงใหญ่

ปรากฏว่ากู้เจาตงมาเยือนด้วยใบหน้าซีดเผือด บุคลิกสุขุมมั่นใจที่เคยมีหายไปหมดสิ้น เสิ่นกุยเยี่ยนอยากถามเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าป้าซิ่วหรงขวางเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้นางพูดอะไรทั้งนั้น

กู้เจาตงยืนอยู่ในห้องโถงพักใหญ่ หลังมองนางด้วยสายตาซับซ้อนฉายแววละอายแก่ใจ สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยขึ้น “เวลาตกฟากของคุณหนูสามไม่มีปัญหาอะไร งานแต่งงานจะจัดขึ้นตามที่ตกลงกันไว้”

“ว่าอย่างไรนะ!” เสิ่นฮูหยินถามอย่างมีโทสะ “ครั้งที่สองจับได้คาหนังคาเขา คุณชายยังจะบอกว่าถูกหย่าเอ๋อร์บีบบังคับ? มาถึงขั้นนี้ยังไม่ยอมรับผิดชอบหย่าเอ๋อร์อีกหรือ”

เสิ่นกุยเยี่ยนฟังแล้วงุนงง “อะไร…ครั้งที่สองนะเจ้าคะ”

เสิ่นกุยหย่าที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ยิ้มอย่างฝืดฝืน “ท่านแม่อย่าได้โมโห…กับคุณชายกู้ในห้องเก็บฟืนก็เป็นเพราะลูกทำตัวไร้ค่าเอง ถึงได้ยอมมอบกายให้คุณชายกู้อีกครั้ง หากคุณชายกู้ไม่เต็มใจรับผิดชอบ ลูกก็ขออวยพรให้คุณชายกู้กับพี่สาว…ครองรักกันจนแก่เฒ่า”

“หย่าเอ๋อร์!” ฮูหยินเอ็ดเสียงดัง “เขาทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้า ซ้ำยังทำให้เจ้ามีมลทินมัวหมอง แล้วเจ้ายังจะปกป้องบุรุษพรรค์นี้อีกหรือ!”

เสิ่นกุยเยี่ยนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้เนื้อตัวนางชาดิกจนไม่อาจขยับเขยื้อน ทำได้เพียงฟังและมองอย่างตะลึงงัน

สตรีโง่ๆ สมัยโบราณไม่เคยอ่านกระทู้บอร์ดเทียนหยา* ไม่เคยดูละครน้ำเน่าท็อปฮิตติดชาร์ตในโต้วปั้น** ไหนเลยจะรู้ว่าสตรียุคปัจจุบันแย่งบุรุษเก่งฉกาจเพียงใด เจอเรื่องเช่นนี้เข้าสมองก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

เสิ่นกุยหย่าร่ำไห้อย่างรันทด กู้เจาตงถลกชายเสื้อคลุมทิ้งตัวลงคุกเข่า แววตาเต็มไปด้วยความสับสน “เรื่องนี้ผู้น้อยทำผิดต่อคุณหนูห้า ขอคุณหนูห้าโปรดอย่าได้ด้อยค่าตนเองเลย”

เสิ่นกุยเยี่ยนยังคงทำได้แค่มอง

“จะเอาอย่างไรเล่าเรื่องนี้” เสิ่นฮูหยินหันมามองเสิ่นกุยเยี่ยน “หรือว่าเจ้ายังจะแต่งงานกับคนที่สร้างราคีให้น้องสาวตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

กู้เจาตงรีบเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างคาดหวัง เสิ่นกุยหย่าก็ปรายตามองมาแวบหนึ่งเช่นกัน

คำถามเช่นนี้ไม่ว่าตอบอย่างไรก็ไม่ถูกต้องทั้งนั้น เสิ่นกุยเยี่ยนจึงกัดฟันบอกไป “ให้ท่านพ่อตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ”

 

* ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก มาจากสำนวนเต็มว่า ‘ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ท่อนไม้กลายเป็นเรือ’ หมายถึงเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก

* เทียนหยา คือเว็บไซต์รวบรวมกระทู้และนิยาย

** โต้วปั้น คือเว็บไซต์ที่มีพื้นที่ให้ผู้ใช้งานเข้าไปให้คะแนน รวมถึงวิจารณ์หนังสือ ภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และสื่อบันเทิงต่างๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: