X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 9-10

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 9 บุกรุกกลางดึกหากไม่ใช่โจรก็ต้องเป็นโจรเด็ดบุปผา

ไม่นึกเลยว่าคนสุภาพสง่างามเช่นกู้เจาตงจะมีน้องชายไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้ อ้าปากเอ่ยวาจาแต่ละคำทำเอาผู้อื่นพูดต่อไม่ออก เสิ่นกุยเยี่ยนโมโหจนหน้าแดงแล้ว หากแต่อีกฝ่ายยังคงทำตัวยียวนไม่สำรวมเหมือนเดิม

นายผู้เฒ่าเสิ่นอ่อนใจเหลือเกิน ถ้าเป็นผู้อื่นเขาไล่ตะเพิดไปนานแล้ว แต่นี่เป็นคุณชายสี่แห่งจวนอัครเสนาบดี

“เหตุใดคุณชายสี่สกุลกู้ถึงยืนกรานจะแต่งงานกับคุณหนูสามให้ได้เล่าเจ้าคะ” ติงอี๋เหนียงที่ยืนอยู่อีกทางถามขึ้นเบาๆ “ไม่เคยเจอกันมาก่อนมิใช่หรือ”

กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว “ข้าชอบนางตั้งแต่แรกเห็นไม่ได้หรือไร”

เสิ่นกุยเยี่ยนผินหน้ามองคนพูดแล้วอดไม่ได้ที่จะแค่นยิ้ม นางไม่เชื่อหรอกว่าเห็นกันเพียงแวบเดียวแล้วจะผูกใจหมายเป็นคู่ครองได้ คุณชายสี่สกุลกู้ผู้นี้จะต้องวางแผนอะไรในใจสักอย่าง แต่แสร้งทำหน้าหนายืนกรานจะแต่งนางให้ได้

หากแต่งด้วยก็เท่ากับว่านางกลายเป็นน้องสะใภ้กู้เจาตงน่ะสิ อย่ามาล้อกันเล่นนะ!

“เรื่องนี้ไว้รอให้คุณชายกู้สร่างเมาก่อนค่อยหารือกันพร้อมท่านอัครเสนาบดีอีกทีดีกว่า” เสิ่นฮูหยินแย้มยิ้ม “คุณชายพูดเองคนเดียวย่อมไม่มีผลอยู่แล้ว”

กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วพลางชำเลืองมองเสิ่นกุยเยี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือนางโดยไม่เซ้าซี้ต่อ แล้วตอบยิ้มๆ “ก็ได้ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านพ่อมาเจรจาสู่ขอ”

หากอัครเสนาบดีกู้ออกโรง ต่อให้สกุลเสิ่นไม่เต็มใจสักเพียงใดก็ต้องยอมยกคนให้แต่งด้วย

เฟิ่งเซี่ยวที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกหน้าถอดสี เขารีบดึงชายแขนเสื้อเป่าซั่นพลางเอ่ย “พี่เป่าซั่นคนดี เจ้าต้องทัดทานคุณหนูสามให้ได้นะ ข้าจะรีบกลับไปรายงานคุณชายใหญ่เดี๋ยวนี้ จะให้การแต่งงานนี้ลุล่วงไม่ได้เด็ดขาด!”

เป่าซั่นค้อนควัก “คุณชายใหญ่แต่งงานกับคุณหนูห้าแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะถวิลหาคุณหนูของข้าไปเพื่ออันใด”

“พี่สาวคนดี ถือว่าข้าขอร้องล่ะ!” เฟิ่งเซี่ยวปาดเหงื่อ กู้เจาเป่ยที่อยู่ด้านในกำลังจะออกมาแล้ว เขาต้องรีบชิงกลับไปให้ถึงก่อน “พี่สาวต้องช่วยห้ามคุณหนูสามให้ได้นะ รับรองว่าคราวหน้าข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม!”

พูดจบเขาก็รีบวิ่งออกไป ขึ้นขี่ม้าควบกลับจวนอัครเสนาบดีเร็วรี่เหมือนติดปีกบิน

พอกู้เจาเป่ยหมุนตัวจะเดินออกมา ร่างก็โงนเงน บ่งบอกว่าเมามายเป็นอย่างมาก สุดท้ายเดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็ทำท่าจะล้มลงกับพื้น นายผู้เฒ่าเสิ่นเห็นดังนั้นจึงสั่งบ่าวไพร่อย่างอ่อนใจ “พวกเจ้าประคองคุณชายกู้ไปพักที่เรือนรับรองก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยพาไปส่งที่จวน”

“ขอรับ” บ่าวรับคำก่อนจะหิ้วปีกพากู้เจาเป่ยออกไป เสิ่นกุยเยี่ยนหลบออกมายืนข้างๆ หัวคิ้วยังไม่ทันได้คลายออกจากกันก็ได้ยินติงอี๋เหนียงพูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูสามวาสนาดีจริงๆ แต่งกับพี่ชายไม่ได้ก็ไปเข้าตาน้องชายแทน ถึงอย่างไรก็ได้แต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีเหมือนกัน ลาภยศสรรเสริญไม่หนีไปที่ใดหรอก”

เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง “ติงอี๋เหนียงคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ”

“ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร” เสิ่นฮูหยินหัวเราะเบาๆ “หากแต่งออกไปจริงก็เท่ากับเป็นคู่สะใภ้กับหย่าเอ๋อร์ จะได้คอยช่วยค้ำจุนกัน”

คอยช่วยค้ำจุนกัน? เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มบาง คนที่แย่งคู่แต่งงานของนางไปยังหวังจะให้นางไปช่วยค้ำจุนอีกหรือ ตอนนี้นางเพียงแค่ทุกข์โศกเพราะเพิ่งสูญเสียมารดา ยังไม่มีสติไตร่ตรองอะไรให้ถี่ถ้วนเท่านั้น เมื่อใดพายุฝนในคืนนี้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกนางคิดว่ายังสามารถจับนางทำอะไรต่อมิอะไรตามใจชอบได้อยู่หรือ

แต่ก่อนนางยอมข่มอกข่มใจอดทนเพื่อฉินอี๋เหนียง ตอนนี้เมื่อมารดาลาลับไปแล้ว นางยังจะทนต่อไปด้วยเหตุใดเล่า

กระนั้นเสิ่นกุยเยี่ยนยังคงเอาแต่ปิดปากนิ่ง เพราะถึงนางพูดไป ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

พอเห็นนางเงียบ นายผู้เฒ่าเสิ่นก็ถอนหายใจเฮือก “เอาเถิด ทุกคนกลับไปนอนให้หมด ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”

“เจ้าค่ะ” ภรรยาเอกอนุภรรยาต่างแยกย้ายกันกลับเรือน เสิ่นกุยเยี่ยนก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่เช่นกัน เป่าซั่นกางร่มเข้ามาช่วยพยุงนางกลับหอนางแอ่น

“คุณหนู ทางคุณชายกู้นั่น…” เป่าซั่นโกรธแค้นเสิ่นกุยหย่าไม่ต่างกัน ทว่าคุณชายกู้ก็ถูกสับเปลี่ยนเจ้าสาว นับเป็นผู้บริสุทธิ์ ซ้ำยังผูกสมัครรักใคร่กับคุณหนูของนางมานานปี จะให้จบกันไปเช่นนี้หรือ

เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง “เจ้าให้ข้าพักผ่อนสักหน่อยเถิด อย่าเพิ่งถามอันใดเลย”

ต่อให้เจอเรื่องคอขาดบาดตายเพียงใด คนเราก็ต้องพักบ้าง คุณหนูของนางถูกแย่งชุดเจ้าสาว จากนั้นก็สูญเสียมารดา ซ้ำยังจะถูกชายเสเพลบังคับแต่งงานอีก เป็นใครก็รับไม่ไหวทั้งนั้น

เป่าซั่นสงบปากสงบคำ พยุงเจ้านายกลับเรือนไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กระนั้นคุณหนูก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวด ดังนั้นนางจึงเดินออกไปแล้วปิดประตูให้ ไม่กล้าอยู่รบกวน

ความตายของฉินอี๋เหนียงไม่ธรรมดาแน่ เสิ่นกุยเยี่ยนหลับตานอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง ใครเล่าจะโง่เง่าถึงขนาดกินสารหนูเข้าไปมากเพียงนั้นแล้วยังไม่รู้ตัว ซิ่วเจวียนสาวใช้คนสนิทของมารดาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง บอกเพียงว่าตอนไปคารวะเสิ่นฮูหยินที่เรือน หลังฉินอี๋เหนียงกินอาหารเช้าที่นั่นเสร็จแล้วจึงมาเรือนนางเพื่อส่งเจ้าสาว จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น

แต่นั่นเป็นเพียงคำพูด ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่นิดเดียว ใครเลยจะกล้ากล่าวหานายหญิงของจวนเล่า ตราบใดที่เสิ่นกุยเยี่ยนยังอยู่ในจวนสกุลเสิ่นก็ต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของเสิ่นฮูหยิน จะกินจะใช้อะไร จะแต่งงานกับใคร นางจัดการเองไม่ได้เลยสักอย่าง

เว้นเสียแต่นางออกเรือนไปได้

ทว่าบัดนี้กู้เจาตงแต่งงานกับเสิ่นกุยหย่าเสียแล้ว นางจะแต่งกับใครเล่า แต่งกับเขาไปเป็นอนุภรรยาหรือ ก็เท่ากับหวนไปใช้ชีวิตในกำมือของเสิ่นกุยหย่าอีกน่ะสิ

นางขยุ้มผ้าปูเตียง เบิกตาพลางสูดหายใจสองครั้ง สวรรค์ไม่ปิดทางชีวิตคนหรอก จะต้องยังมีทางอื่นแน่

“ข้าคิดอยู่นานสองนานว่าเหตุใดเจ้าถึงปฏิเสธข้า”

เสียงบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นในห้อง

เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งเฮือก เสียงหวีดร้องเกือบหลุดออกจากปาก นางกอดผ้าห่มไว้กับตัวแน่น ลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วมองออกไปนอกม่านหน้าเตียง

ตะเกียงบนโต๊ะจุดสว่าง บุรุษสวมชุดแพรรัดเกี้ยวหยกผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังส่องคันฉ่องพลางพึมพำกับตนเอง “ตอนแรกนึกว่าเจ้ามีความชอบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร กลับไปส่องคันฉ่องถึงได้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ผู้น้อยนี่เอง”

คนผู้นั้นผินหน้ามามอง เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาคมคายปานวาดขึ้นมา เสิ่นกุยเยี่ยนผงะไปเล็กน้อย บทกวีที่อ่านเจอในตำราโบราณเมื่อหลายวันก่อนวาบเข้ามาในความคิดทันที

จงจือยกจอกร่ำสุรา เนตรเหลือบมองนภา ขาววาวเป็นเลื่อมแววไว ท่วงท่านุ่มนวลตรึงใจ ผิวผ่องเนียนดุจแก้วใส แช่มช้อยปานไม้ลู่ลม*

ทั้งที่เป็นบุรุษรูปงามถึงเพียงนี้ แต่ใบหน้ากลับประดับรอยยิ้มหยิบโหย่ง เขามองนางพลางพูด “เนื้อตัวเปียกฝนเสียจนหมดความหล่อเหลา พานทำให้คุณหนูตกใจด้วย ไหนตอนนี้ลองดูใหม่ซิ แต่งงานกับข้าคงไม่น่าลำบากใจนักแล้วใช่หรือไม่”

เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติกลับมาแล้วถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร “คุณชายสี่สกุลกู้?”

“ผู้น้อยกู้เจาเป่ย” เขากล่าว “คุณหนูช่างความจำดียิ่งนัก”

มือเล็กเอื้อมไปจับด้ามมีดสั้นที่เก็บไว้ข้างหมอนมานานเนิ่น นางแย้มยิ้มพลางมองคนนอกม่าน “คุณชายมาเยือนกลางดึกเช่นนี้มีธุระอันใดหรือ”

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถาม พวกที่ย่องเข้าห้องส่วนตัวสตรีกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้มีแต่หัวขโมยหรือไม่ก็โจรเด็ดบุปผาเท่านั้นล่ะ

กู้เจาเป่ยลุกเดินมาที่หน้าเตียงพลางลูบคางตนเอง “ข้ากลับไปส่องคันฉ่องแล้วยังติดใจไม่หาย เลยล้างหน้าล้างตามาหาเจ้าอีกรอบ คุณหนูสามสกุลเสิ่น เทียบกับพี่ใหญ่แล้ว ข้าด้อยกว่ามากเลยหรือ”

เสิ่นกุยเยี่ยนอยากพยักหน้าเหลือเกิน แต่เวลาเช่นนี้นางจะยั่วโมโหอีกฝ่ายไม่ได้ จึงตอบยิ้มๆ “คุณชายสี่สกุลกู้เนื้อหอมไปทั้งเมืองหลวง ได้ยินว่าแม้แต่องค์หญิงตวนเหวินยังมีไมตรีให้ เช่นนี้คุณชายจะด้อยกว่าคุณชายใหญ่มากได้อย่างไร”

“อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ปฏิเสธข้าเล่า” กู้เจาเป่ยยิ้มแต่ปาก

นางกระถดไปข้างหลังเล็กน้อย “ใจข้าเป็นของคุณชายใหญ่สกุลกู้ ใช่จะแปรเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนี้ข้าถึงได้ปฏิเสธคุณชาย”

“หัวใจเป็นของพี่ใหญ่?” คู่สนทนาเลิกคิ้วก่อนจะแค่นหัวเราะขึ้นจมูกทีหนึ่ง “พวกสตรีนี่ชอบฟังคำหวาน ชอบมองแต่เปลือกนอกของบุรุษเสียเหลือเกิน บุรุษเยี่ยงเขามีอะไรดี ต่อหน้าทำเหมือนรักเจ้าแทบเป็นแทบตาย ไม่แน่ว่าลับหลังอาจไปหวานชื่นกับหญิงอื่น แต่ยังแสร้งทำเป็นรักเดียวใจเดียวก็ได้”

เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะในคอพลางพยักหน้าเห็นพ้อง ในใจนึกย้อน…ท่านก็ไม่ผิดกันไม่ใช่หรือ

“แต่ข้าไม่ใช่” กู้เจาเป่ยเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าเสเพลจริง แต่ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็ไม่เคยหลอกผู้ใดด้วย หากบอกว่ามีสตรีรู้ใจอยู่นอกเรือนกี่สิบคนก็จะไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นแม้แต่คนเดียว แม้จะทำตัวไร้ยางอาย ข้าก็ทำอย่างสง่าผ่าเผย”

มุมปากเสิ่นกุยเยี่ยนกระตุกริกๆ ทำตัวไร้ยางอายอย่างสง่าผ่าเผยก็เอามาอวดอ้างอย่างภูมิใจได้ด้วยหรือ

“คุณชายไม่ควรมาที่นี่กลางดึก” นางว่า “บุรุษที่ดีไม่ทำกันเช่นนี้”

“อ้อ?” กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว แล้วหันไปเหลือบมองบานหน้าต่างเป็นนัย “เจ้าแน่ใจนะ”

“ข้าแน่ใจ” เสิ่นกุยเยี่ยนกำด้ามมีดสั้นแน่น พร้อมแข็งใจเอ่ยเตือนยิ้มๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายปีนขึ้นมาบนเตียง “หากยังเข้ามาอีก คุณชายได้เห็นเลือดแน่”

เห็นเลือด? เพราะนางน่ะหรือ คุณหนูที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่เลือดจริงก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำกระมัง? กู้เจาเป่ยแค่นหัวเราะแล้วขยับเข้าไปหานางอย่างไม่เกรงกลัว

ภาพที่เห็นคือเสิ่นกุยเยี่ยนชักมีดสั้นออกมาอย่างว่องไว แล้วจ้วงแทงไหล่เขาโดยแรง

สตรีที่อยู่แต่ในห้องหอไหนเลยจะเคยกระทำเรื่องพรรค์นี้ ย่อมควบคุมน้ำหนักมือไม่ถูกอยู่แล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนเป็นเพราะกำลังห่วงปกป้องชื่อเสียงของตน น้ำหนักมือจึงหนักไปเล็กน้อย แม้จะแทงบ่าของอีกฝ่ายถนัดถนี่แต่ก็ไม่ถึงตาย

กู้เจาเป่ยอึ้งไปทันใดเพราะไม่คิดว่านางจะเอาจริง กว่าเขาจะรู้สึกตัวอีกที บ่าก็เจ็บฉกรรจ์พร้อมกับที่เลือดสดๆ ไหลโกรกออกมา

“เจ้า…”

นางแทงลงจริงหรือนี่!

เสิ่นกุยเยี่ยนชักมีดสั้นกลับมา ก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมากอดแน่นดังเดิมพลางมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณชายโปรดออกไปโดยเร็วเถิด หาไม่หากมีคนมาจะเป็นผลเสียต่อทั้งท่านและข้า”

กู้เจาเป่ยเอามือกุมบ่าพลางสูดหายใจลึกๆ สองที ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนใจ “เจ้าว่าคนที่มาเยือนกลางดึกจะต้องเป็นคนเลวสถานเดียวใช่หรือไม่”

“ไม่เช่นนั้นยังจะเป็นอย่างไรได้อีกเล่า” นางถลึงตาใส่

เขาโบกมือแล้วชี้หน้าต่างของห้องนอนยิ้มๆ

เสิ่นกุยเยี่ยนงงงัน หลังจากความเงียบปกคลุมห้องชั่วระยะเวลาสั้นๆ เสียงเคาะหน้าต่างก็พลันดังขึ้น

บทที่ 10 ท่านยังคงมั่น ข้าย่อมไม่ผันแปร

นางใจเต้นแรง มองกู้เจาเป่ยโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมนั่งลงบนขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว กำลังถอดเสื้อเพื่อสำรวจบาดแผล

“ท่านจะทำอะไร” เสิ่นกุยเยี่ยนลดเสียงลงพลางยื้อมือเขาไว้

ริมฝีปากของกู้เจาเป่ยซีดเผือด ดวงตาเหลือบมองนางพลางชี้แผลตนเอง

สีแดงฉานผุดซึมออกมาข้างนอกจนผ้าแพรชั้นดีเปียกชุ่มแล้ว เขาเพียงแค่จะขอถอดเสื้อดูแผลยังทำไม่ได้?!

เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า มีบุรุษลอบเข้ามาในห้องนางกลางดึกไม่พอ หากยังสวมเสื้อผ้าไม่ครบชุดอีก ต่อให้นางกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน*

หน้าต่างถูกเคาะอีกครั้ง นางรีบหยิบเสื้อคลุมกันลมมาสวม เดินไปถามเบาๆ “นั่นใคร”

ความจริงเสิ่นกุยเยี่ยนไม่ต้องถามก็รู้ คราวก่อนกู้เจาตงก็มาหานางด้วยวิธีเดียวกันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็เป็นคืนแต่งงานของเขา เขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน

“เยี่ยนเอ๋อร์” เสียงด้านนอกดังผ่านลมหายใจหอบหนัก ดูท่าจะเร่งรุดมาที่นี่โดยไม่พักแม้แต่อึดใจเดียว

เพียงแค่ได้ยินเสียงเขา เสิ่นกุยเยี่ยนก็รู้สึกแสบร้อนในโพรงจมูกแล้ว นางเหลียวกลับไปมองกู้เจาเป่ย พบว่าคนผู้นั้นรู้กาลเทศะยิ่ง ไม่รู้หลบไปแอบที่ใดสักแห่งแล้ว

นางเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างแล้วเห็นกู้เจาตงยืนบนกันสาดชั้นหนึ่งอยู่ด้านนอก เหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า “เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าไม่รู้ว่าคนที่แต่งด้วยวันนี้คือ…”

เสิ่นกุยหย่าถูกจับได้แล้วสินะ? นางหัวเราะเบาๆ พลางมองเขา “พวกท่านเข้าหอกันแล้วหรือ”

กู้เจาตงลำคอตีบตัน ดวงตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรักใคร่ “เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าทำเพราะถูกความจำเป็นบีบบังคับจริงๆ ในสถานการณ์เช่นนั้นจะให้ทั้งสองตระกูลเสียหน้าไม่ได้ เลยจำใจต้องแต่งงานกับหย่าเอ๋อร์…”

“ข้าถามว่าพวกท่านเข้าหอกันแล้วหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนผละถอยออกมาก้าวหนึ่ง มองไปยังนาฬิกาทรายในห้อง เวลานี้ยามจื่อ** พอดี น่าจะเข้าหอเรียบร้อยกันแล้วสินะ

หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจกู้เจาตงก็หลุบตาลงแล้วตอบ “ยังหรอก ได้ยินว่าน้องสี่มาก่อเรื่องที่จวนเจ้า ข้าเลยรีบมา”

เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก “ในเมื่อยังไม่ได้เข้าหอก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยา หากใจท่านยังมีข้าอยู่จริงก็ไปพูดกับท่านพ่อให้รู้เรื่อง ส่งตัวหย่าเอ๋อร์กลับมาแล้วรับข้าไปแทน”

“คือ…” กู้เจาตงลนลานเล็กน้อย เขามองเด็กสาวผู้อ่อนหวานเรียบร้อย รู้ว่าอะไรควรไม่ควรมาโดยตลอด ก่อนจะเม้มปาก “พวกเราเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว หากส่งหย่าเอ๋อร์กลับมา นางจะอยู่มองหน้าผู้คนได้อย่างไร มิหนำซ้ำนางยังตั้งครรภ์บุตรของข้าแล้ว…”

แต่งเสิ่นกุยหย่ามาเป็นภรรยาเอก บุตรที่เกิดออกมาย่อมเป็นบุตรจากภรรยาเอก มีฐานะสูงส่งกว่าบุตรจากอนุของกู้เจาหนาน

ดวงตาของเสิ่นกุยเยี่ยนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางพิจารณาบุรุษตรงหน้าใหม่อีกครั้งอย่างตกตะลึง “ในเมื่อท่านตั้งใจแล้วว่าจะเก็บน้องห้าไว้ ยังจะมาที่นี่อีกด้วยเหตุใดเจ้าคะ”

เพ้อฝันว่าจะได้จับปลาสองมือหรือ

กู้เจาตงกระอักกระอ่วนด้วยไม่คิดว่าจะถูกนางถามเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากประสบเคราะห์กรรมอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้เจอกันนางจะต้องรู้สึกอยากพึ่งพิงเขา ขอเพียงเขาเกลี้ยกล่อมเล็กน้อย นางก็จะตกปากตอบรับแม้ฝืนใจไปบ้าง เพราะถึงอย่างไรคนที่เขารักที่สุดก็คือนาง

สตรีควรถูกกล่อมง่ายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเยี่ยนเอ๋อร์ถึงเปลี่ยนไป กลายเป็นใจแข็งถึงเพียงนี้

“เยี่ยนเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันมาหลายปี เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวเจ้าก็ไม่อยากครองคู่กับข้าจนแก่เฒ่าแล้วหรือ” กู้เจาตงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามอย่างเจ็บปวด “ผู้ใดกันที่เขียนกลอนบอกข้าว่า ‘หากท่านพี่เป็นศิลาตั้งตระหง่าน ขอนงคราญเป็นดอกหญ้าขึ้นเกาะหิน’ ”

เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “หากท่านยังคงมั่น ข้าย่อมไม่ผันแปร ในเมื่อใจท่านเปลี่ยนไปแล้วจะเรียกร้องให้ใจข้ายังเหมือนเดิมได้อย่างไรเล่า”

กู้เจาตงสะท้านวาบ ทำท่าจะพูดอะไรต่อ ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนหับหน้าต่างลงเสียก่อน “คุณชายกู้กลับไปเถิด มัวชักช้าเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวฟ้าสางแล้วจะกลับไปไม่ทันยกน้ำชาจอกแรกคารวะผู้ใหญ่นะ”

“เยี่ยนเอ๋อร์!” กู้เจาตงเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่เสิ่นกุยเยี่ยนลงดาลหน้าต่างแล้วเดินกลับไปที่เตียง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

นางเอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ากู้เจาตงจะมาหรือไม่ มาบอกนางว่างานแต่งงานในวันนี้ถือเป็นโมฆะ เพราะเขาประสงค์จะแต่งกับนางเพียงคนเดียว หลังจากนั้นบางทีเขาอาจช่วยสืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของฉินอี๋เหนียง แล้วพานางไปให้พ้นจากจวนสกุลเสิ่น

ปรากฏว่าเขามาจริงๆ แต่มาหลังจากเข้าพิธีกับสตรีอีกนางไปแล้ว

เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้โง่งม ใจเขามีความซื่อสัตย์อันใดกันเล่า หากมีนางอยู่จริง เขาจะยังแต่งงานกับเสิ่นกุยหย่าโดยไม่สนใจความรู้สึกนางได้หรือ

นางทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างมีโทสะ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงร้องอู้ ดูเหมือนนางจะนอนทับใครสักคนเข้า

กู้เจาเป่ยตลบผ้าห่มโผล่ศีรษะออกมาเผยสีหน้าแปลกๆ พลางเอามือกุมบ่ามองนาง

นัยน์ตาของเขาช่างลึกล้ำนัก ไม่รู้ใครกันเคยกล่าวไว้ว่าผู้มีใจกว้างขวางดวงตาย่อมลึกซึ้งดุจจำลองพิภพไว้ข้างใน เสิ่นกุยเยี่ยนมองเหม่อก่อนจะได้สติผละลุกออกมา

แผลที่บ่าไม่ได้ถูกพันไว้ เลือดจึงไหลออกมาเรื่อยๆ จนเลอะเตียงนอน เสิ่นกุยเยี่ยนไม่มีอารมณ์จะพูดด้วยให้มากความ ได้แต่กระซิบบอก “ไว้เขาไปเมื่อไร ท่านก็จากไปบ้างแล้วกัน”

กู้เจาเป่ยแค่นจมูกเบาๆ แล้วยกขาขึ้นทับอีกข้าง “ข้ายังดูเรื่องสนุกไม่หนำใจเลยนะ เมื่อครู่ใครกันบอกว่าคนที่มาเยือนกลางดึกต้องเป็นคนเลว เหตุใดไม่แทงเขาบ้างเล่า”

เด็กสาวกลอกตาอย่างเหลืออด “เขากับท่านเหมือนกันหรือ”

ถึงอย่างไรกู้เจาตงกับนางก็รู้จักกันมาหลายปี ส่วนกู้เจาเป่ยเรียกว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกวันนี้เอง

อีกฝ่ายหลุบตาลงนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้า “ไม่ค่อยเหมือนกันจริงๆ เขาสารเลวกว่าข้านัก”

เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตาใส่แล้วดึงผ้าห่มของตนเองออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ลงไปเสีย”

กู้เจาเป่ยร้องครางในคอก่อนจะเอามือกุมบ่าแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ทำให้ข้าบาดเจ็บนะ อ่อนโยนกับข้าบ้างไม่ได้หรือไร”

“ท่านทำผิดก่อนต่างหาก” นางมองบ่าของอีกฝ่าย สุดท้ายก็ทนใจแข็งไม่ไหว หันไปหยิบยาใส่แผลมา

“เยี่ยนเอ๋อร์ นั่นเจ้าคุยกับใครอยู่” กู้เจาตงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงอดถามขึ้นไม่ได้

ยังไม่ไปอีกหรือนี่ กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชั้นสอง ไม่ง่ายเลยที่คนจะเกาะอยู่ด้านนอก

เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบ ระหว่างอ้าปากค้างไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี คนบนเตียงก็ตวัดตัวลงมาเดินดุ่มๆ ไปทางหน้าต่างแล้ว

“ท่านจะทำอะไร” นางปรี่เข้าไปขวางไว้

กู้เจาเป่ยเดาะลิ้น ‘จิ๊’ แล้วคว้าแขนนางพาไปเปิดหน้าต่างด้วยกัน ภาพที่ปรากฏด้านนอกคือใบหน้าของพี่ชายคนโต เขาคลี่ยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วตะโกนออกไปนอกหน้าต่าง

“มาจับขโมยเร็ว!”

เพียงเห็นน้องชายโผล่มา กู้เจาตงก็หน้าเปลี่ยนสีพอแล้ว พออีกฝ่ายตะโกนเช่นนั้น เขาก็แทบจะพลัดตกจากกันสาด “น้องสี่?!”

ฝนหยุดตกแล้ว เสียงของกู้เจาเป่ยลอยไปไกลลิบ ปลุกผู้คนในเรือนต่างๆ ให้สะดุ้งตื่น เป่าซั่นลนลานสวมเสื้อคลุมออกมาดูก่อนเห็นว่าในห้องส่วนตัวของคุณหนู คุณชายสี่สกุลกู้กำลังจับใครคนหนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนา เหมือนเป็นตายอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังมีแก่ใจตะโกนต่อไป “รีบมาจับขโมยเร็ว!”

คนที่อยู่นอกหน้าต่างดิ้นขลุกขลัก ทว่าไม่กล้าดิ้นแรงเกินไปนัก เพราะหากเคราะห์ร้ายกู้เจาเป่ยปล่อยมือขึ้นมาก็ร่วงตกจากชั้นสองกันพอดี

เหล่าคนสกุลเสิ่นที่เพิ่งเข้านอนได้ไม่ทันไรถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วยกโขยงมาที่หอนางแอ่นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอพ่อบ้านเห็นคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างเข้าก็อุทานเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณชายกู้?!”

คุณชายจวนอัครเสนาบดีจะต้องมีชะตากับคุณหนูสามสกุลเสิ่นเป็นแน่แท้ แรกเริ่มเพียงคุณชายใหญ่ ต่อมาก็คุณชายสี่ สุดท้ายมาพร้อมกันสองคนเลยทีเดียว

แม้แต่นายผู้เฒ่าเสิ่นก็ไม่ได้นอนอย่างเป็นสุข ต้องห่มเสื้อคลุมพาเสิ่นฮูหยินมาดูเหตุการณ์

ตั้งแต่ได้ยินกู้เจาเป่ยตะโกนประโยคแรก เสิ่นกุยเยี่ยนก็ตระหนักว่าตนเองจบสิ้นแน่แล้ว บุรุษสองคนโผล่มาอยู่ที่เรือนนาง คนหนึ่งอยู่ด้านใน คนหนึ่งอยู่ด้านนอก ซ้ำยังยื้อยุดกัน หนีไปที่ใดไม่ได้ทั้งคู่ แล้วผู้ใดกันเล่าที่เดือดร้อน ก็นางน่ะสิ

คนทุเรศกู้เจาเป่ยไม่รู้จักคำนึงถึงชื่อเสียงสตรีเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงได้ลากนางลงโคลนด้วยเช่นนี้!

เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งรอความตายได้หรือไม่เล่า…ย่อมไม่ได้แน่นอน หากยังปล่อยให้สองพี่น้องทำตามอำเภอใจต่อไป นางได้ตายเพราะพวกเขาจริงๆ แน่

ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เสิ่นกุยเยี่ยนใช้มือยีผมจนยุ่ง ดึงชุดนอนให้เผยออ้า ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วกลิ้งไปกอดผ้าห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

สองพี่น้องสกุลกู้ผงะอึ้ง กู้เจาเป่ยเหลียวไปมองเด็กสาวแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะที่กู้เจาตงหน้าเสียไปถนัดตา “เยี่ยนเอ๋อร์…”

คนสกุลเสิ่นแห่มากันแล้ว พอเข้ามาถึงก็เห็นฉากอลหม่านวุ่นวายนั้นพอดี

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นายผู้เฒ่าเสิ่นมองบุตรสาวที่อยู่บนเตียง ไม่มีอารมณ์มาห่วงแล้วว่าตรงหน้าต่างคือคุณชายบ้านใด ในเมื่อโผล่เข้ามาอยู่ในห้องนอนบุตรสาวเขากลางดึกเช่นนี้ ยังจะให้เขาเกรงอกเกรงใจได้อีกหรือ

เสิ่นฮูหยินตาไวเห็นคราบเลือดบนเตียง จึงรีบปรี่เข้าไปถาม “เยี่ยนเอ๋อร์ นะ…นี่ฝีมือของผู้ใด”

กู้เจาเป่ยแหวกสาบเสื้อพี่ชายออก แล้วดึงเสื้อคลุมกันลมของอีกฝ่ายมาใส่เสียเอง จากนั้นก็เหลือบตามองฟ้าทำไม่รู้ไม่ชี้

เสิ่นกุยเยี่ยนสะอึกสะอื้นพลางยกนิ้วสั่นเทาชี้มาทางกู้เจาเป่ย “คุณชายสี่สกุลกู้เขา…”

เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้แล้ว เท่าที่อึกๆ อักๆ ออกมาครึ่งประโยคก็เกินพอ สายตาของทุกคนในสกุลเสิ่นมองตรงไปทางหน้าต่าง

กู้เจาเป่ยถอนหายใจเฮือก “ช้าเร็วอย่างไรเยี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานกับผู้น้อย ผู้น้อยแค่ใจร้อนไปสักหน่อย อย่างไรเสียผู้น้อยก็ยังหนุ่มยังแน่น เลือดลมเลยพลุ่งพล่าน แต่พี่ใหญ่นี่สิ คืนนี้ต้องเข้าห้องหอแท้ๆ แต่มาหาภรรยาข้าถึงห้องนอนกลางดึกด้วยเหตุใด”

 

* ‘จงจือยกจอกร่ำสุรา เนตรเหลือบมองนภา ขาววาวเป็นเลื่อมแววไว ท่วงท่านุ่มนวลตรึงใจ ผิวผ่องเนียนดุจแก้วใส แช่มช้อยปานไม้ลู่ลม’ มาจากกลอน ‘บทเพลงแปดเซียนร่ำสุรา’ ประพันธ์โดยตู้ฝู่ หนึ่งในกวีผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ถัง กลอนข้างต้นเป็นการพรรณนาถึงท่วงท่าการร่ำสุราของชุยจงจือ กวีผู้มีฉายาเป็นหนึ่งในแปดเซียนสุราสมัยถัง

* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน หมายถึงยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำหวงเหอมีสีเหลืองขุ่น เดิมทีใช้อุปมาว่าลงไปล้างตัวในแม่น้ำหวงเหอไม่มีทางสะอาดได้ ยิ่งล้างก็ยิ่งเลอะ แต่นานวันเข้าก็เพี้ยนมาเป็นต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทินได้

** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: