X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 11-12

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 11 รักพี่เสียดายน้อง

กู้เจาตงที่ยังยืนอยู่นอกหน้าต่างประดักประเดิดกว่าน้องชายมากนัก พอได้ยินประโยคนั้นทุกคนก็พักการเอาเรื่องคุณชายสี่สกุลกู้ไว้ก่อน แล้วเบนสายตาไปมองคุณชายใหญ่อย่างพร้อมเพรียง

เหตุใดคนที่เพิ่งผ่านพิธีแต่งงานกับคุณหนูห้าและควรเข้าห้องหอในคืนนี้ถึงมาโผล่อยู่นอกหน้าต่างห้องนอนเสิ่นกุยเยี่ยนได้

เสิ่นฮูหยินหน้าตึงอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่สกุลกู้เข้ามาก่อนแล้วค่อยพูดกันเถิด”

กู้เจาตงฝืนยกมุมปากยิ้ม ก่อนจะปีนหน้าต่างเข้ามาด้านใน แล้วปัดฝุ่นตามตัว “หลาน…แค่มาดูเฉยๆ ขอรับ”

“มีอะไรต้องมาดูกัน” กู้เจาเป่ยยิ้มกริ่มพลางวางมือลงบนบ่าพี่ชาย “หรือพี่ใหญ่คิดว่าเจ้าสาวไม่งามพอ เลยมาดูเยี่ยนเอ๋อร์ที่นี่”

กู้เจาตงถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดกลบเกลื่อนอย่างไรก็ไม่อาจรอดตัวไปได้ เขาตัวแข็งทื่อ มองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น “แล้วน้องสี่เล่า มาที่นี่ด้วยเหตุใด”

เสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่บนเตียงเพิ่งได้สติจากการดูละครฉากสนุกอย่างใจจดใจจ่อ ยกมือปิดหน้าร่ำไห้ต่อก็ตอนนี้เอง

กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วพลางปล่อยมือจากพี่ชาย แล้วเดินไปนั่งบนขอบเตียงของเสิ่นกุยเยี่ยน “ทุกท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งรอยเลือดบนเตียงและเยี่ยนเอ๋อร์ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ข้ายังจะมาทำอะไรได้อีกเล่า พี่ใหญ่ได้แต่งงานอยู่คนเดียว ข้าเห็นแล้วเปลี่ยวใจเป็นที่สุด เลยมาเข้าหอล่วงหน้าเป็นเพื่อนพี่ใหญ่บ้างน่ะสิ ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะวิ่งมาที่นี่แล้วถูกข้าเข้าใจผิดว่าเป็นหัวขโมยไปเสียได้”

ระหว่างที่พูดอย่างนั้นเจ้าตัวมิได้หน้าแดงแม้แต่นิดเดียว ผิดกับผู้อื่นในห้องที่สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประหนึ่งโคมม้าวิ่ง* ทั้งเขียว ขาว ดำ ม่วง เรียกได้ว่ามีครบทุกสี

โชคดีที่เสิ่นกุยเยี่ยนกำลังเอาหน้าซุกผ้าห่มแกล้งร้องไห้ หาไม่คงจะซ่อนผิวหน้าที่แดงก่ำดุจไฟอังเอาไว้ไม่อยู่ นางนึกบริภาษความหน้าหนาของกู้เจาเป่ยอยู่ในใจ ทว่าเวลานี้ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว มีแต่แสร้งทำเป็นถูกล่วงเกินเท่านั้นนางถึงยังพอจะมีอำนาจควบคุมสถานการณ์ได้บ้าง หากถูกเอาไปพูดว่านางลอบนัดหมายบุรุษมาพลอดรักกลางดึก รับรองว่าได้จบอนาถอย่างแท้จริงแน่

แต่กู้เจาเป่ยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กิริยาท่าทางแบบพวกคนร้ายเช่นนี้ เพียงมานั่งบนเตียงเฉยๆ โดยไม่ต้องสาธยายอะไรก็รู้แล้วว่าต้องเป็นโจรเด็ดบุปผา

นายผู้เฒ่าเสิ่นสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้ง แล้วยกมือชี้กู้เจาเป่ย “คุณชายสี่สกุลกู้ทำเช่นนี้ออกจะ…ออกจะ…”

พูดได้เพียงเท่านั้นเขาก็เอามือกุมอก ทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก เสิ่นฮูหยินรีบเข้าไปช่วยประคอง “นายท่าน อย่าโมโหมากไปสิเจ้าคะ ระวังสุขภาพด้วย!”

เหล่าอี๋เหนียงต่างกรูกันเข้ามาประคับประคอง ทว่านายผู้เฒ่าเสิ่นกลับหมดสติไปตรงนั้นเหมือนลมจุก อก

“ใครก็ได้! ประคองนายผู้เฒ่ากลับเรือน!” เสิ่นฮูหยินตะโกนสั่ง

คราวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว สองคนพี่น้องทำนายผู้เฒ่าเสิ่นโมโหจนลมจับกลางดึก ไม่ใช่ว่าแก้ตัวเพียงสองสามคำแล้วจะจบเรื่องได้

 

ฟ้าใกล้สางเต็มที อัครเสนาบดีกู้มาที่จวนสกุลเสิ่นแต่เช้าตรู่ ซ้ำยังนำไม้จารึกกฎตระกูลมาด้วย

เสิ่นกุยหย่าตามมาด้านหลังด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ

กู้เจาตงกับกู้เจาเป่ยนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องโถงใหญ่จวนสกุลเสิ่น พอรู้ว่าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตทั้งคู่ต่างพากันคุกเข่าสงบเสงี่ยมอยู่ครึ่งคืน รอจนกว่าผู้เป็นบิดาจะมาถึง

“เดรัจฉาน!” อัครเสนาบดีกู้ถือไม้จารึกกฎตระกูลยาวสี่ฉื่อ พอก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ฟาดลงบนร่างบุตรชายคนเล็กเต็มแรง

กู้เจาเป่ยไหล่ห่อลงเล็กน้อยด้วยความเจ็บ กระนั้นก็ยังคุกเข่านิ่ง ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ

อัครเสนาบดีกู้ยังไม่หายโมโห จึงฟาดบุตรชายคนโตไปบ้างทีหนึ่ง ก่อนจะส่งไม้ให้พ่อบ้านสกุลกู้ที่อยู่ด้านหลัง “โบยไอ้ลูกไม่รักดีสองคนนี้ให้ตาย!”

เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งอยู่อีกด้าน นางเพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จก็ต้องมาเห็นฉากนี้ ทำเอานางรีบลุกขึ้นร้องห้ามด้วยความตกใจ “ท่านอัครเสนาบดีโปรดอย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ”

อัครเสนาบดีกู้หันมามองนางด้วยแววตาเสียดาย “ข้าอบรมบุตรไม่ดีเอง ทำให้คุณหนูสามต้องเจ็บช้ำน้ำใจ”

เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า ความจริงกู้เจาเป่ยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งยังถูกนางแทงด้วยซ้ำไป

“อย่าโบยเจาตงอีกเลยเจ้าค่ะ” เสิ่นกุยหย่าที่อยู่ด้านหลังเห็นกู้เจาตงถูกโบยสองทีก็ถลาเข้ามาสะอื้นไห้ “เจาตงถูกบังคับให้แต่งงานกับข้า จะตัดใจจากพี่สามไม่ได้ก็ควรแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ขอท่านพ่อโปรดตัดสินให้ถ้วนถี่ด้วย!”

กู้เจาตงสะท้านเฮือกแล้วหันไปมองนาง “หย่าเอ๋อร์…”

เสิ่นกุยหย่าเอาตัวบังเขาไว้อย่างปกป้อง มองอัครเสนาบดีกู้ด้วยสีหน้าใจกว้าง “ข้ารู้อยู่แล้วเจ้าค่ะว่าเจาตงมาที่นี่ ยังฝากเขาทักทายพี่สามด้วยซ้ำ เขาไม่มีวันทำเรื่องเสื่อมเสียแน่นอน ดังนั้นท่านพ่อโปรดอย่าได้ลงโทษเขาเลยได้หรือไม่เจ้าคะ”

อัครเสนาบดีกู้อึ้งไปเล็กน้อย ด้วยคิดไม่ถึงว่าคุณหนูห้าสกุลเสิ่นจะเป็นสตรีที่ทุ่มเทให้กับความรักถึงเพียงนี้ จากที่ตอนแรกไม่พอใจในตัวนางอยู่มาก เขาก็รู้สึกว่านางดูรื่นหูรื่นตาขึ้นไม่น้อย

เขาเองก็เฆี่ยนตีบุตรชายคนโตไม่ลงเหมือนกัน ใครเล่าจะคาดคิดว่าชายหนุ่มที่รู้กาลเทศะ เป็นที่ชื่นชมของใครต่อใครมาโดยตลอดจะทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ได้

“เฮ้อ” ในเมื่อลูกสะใภ้ยกบันไดมาให้ลง เขาจึงยอมลดท่าที “ตงเอ๋อร์ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย รอกลับจวนค่อยลงโทษก็แล้วเลยกัน เช่นนั้นเป่ยเอ๋อร์เล่า เจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้ กล้าพูดกับพ่อหรือไม่”

นายผู้เฒ่าเสิ่นยังสลบไสลไม่ได้สติ ห้องโถงใหญ่จึงมีแต่เสิ่นกุยเยี่ยนกับบรรดาอี๋เหนียง ไม่มีใครกล้าพูดแทรกสักคน

กู้เจาเป่ยที่ถูกโบยหลังไปห้าหกทีฉีกยิ้มกว้าง “กล้าทำจะไม่กล้าพูดได้อย่างไรเล่า ท่านพ่อ ข้าจะแต่งคุณหนูสามสกุลเสิ่นเข้าจวนขอรับ”

“เหลวไหล!” อัครเสนาบดีกู้โมโหขึ้นมาอีก “เจ้าอยากแต่งก็ต้องให้ข้าเห็นชอบถึงจะแต่งได้ ขั้นตอนในสามหนังสือหกพิธี* เจ้าไม่ได้ทำแม้แต่อย่างเดียวก็ชิงทำให้ชื่อเสียงฝ่ายหญิงมัวหมองก่อนแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปสกุลกู้เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

“หน้าตาสำคัญนักหรือ” กู้เจาเป่ยหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อห่วงหน้าตาเกินไปแล้ว”

“เจ้า!” ผู้เป็นบิดาลุกพรวดขึ้นยืนอย่างมีโทสะ แล้วดึงไม้จารึกกฎตระกูลที่พ่อบ้านถืออยู่มาลงมือเอง “ไอ้ลูกอกตัญญู!”

‘ผัวะ!’ ไม้ไผ่ที่ทั้งแข็งทั้งกว้างฟาดลงบนหลัง เพียงได้ยินเสียงยังทำให้สะท้านทั้งที่ไม่หนาว เสิ่นกุยเยี่ยนยืนอยู่อีกทาง เห็นกู้เจาเป่ยคุกเข่าตัวตรงก็อดก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งไม่ได้ “ท่านอัครเสนาบดีเจ้าคะ คุณชายสี่เขา…ไม่จำเป็นต้องลงโทษตามกฎตระกูลรุนแรงเช่นนี้ก็ได้เจ้าค่ะ”

พูดจบนางก็นึกเสียใจนัก เพราะถ้อยคำเหล่านี้ไม่ควรหลุดออกจากปากนางซึ่งเป็นผู้เสียหาย จู่ๆ จะสงสารเจ้าคนเสเพลนี่ด้วยเหตุใดกัน

อัครเสนาบดีกู้ยอมหยุดมือ ส่วนกู้เจาเป่ยเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นมองนางพลางหัวเราะเบาๆ “เห็นหรือไม่ อันที่จริงคุณหนูสามก็ชอบข้ายิ่งนักมิใช่หรือ”

กู้เจาตงผงะแล้วมองมาทางนี้บ้าง เสิ่นกุยเยี่ยนมุมปากกระตุก ก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งพลางบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “โบยให้ตายไปเสียดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรพูดมากเลย”

แต่พอถูกเสิ่นกุยเยี่ยนขัดจังหวะ อัครเสนาบดีกู้ก็โบยต่อไม่ลงแล้ว กู้เจาเป่ยยังสวมเสื้อคลุมกันลมของพี่ชาย โชคดีที่เป็นเสื้อสีดำ แม้เลือดจะซึมออกมาก็มองไม่เห็น แต่น่ากลัวว่าเสื้อที่อยู่ข้างในคงกลายเป็นสีแดงไปนานแล้ว

“ใต้เท้าเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง” อัครเสนาบดีกู้ถามพลางปล่อยมือจากไม้จารึกกฎตระกูล

เสิ่นกุยเยี่ยนย่อกายคารวะทีหนึ่ง “ท่านพ่อนอนป่วยอยู่บนเตียงเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็มองนาง “ข้าเองก็ปรารถนาให้เจ้ามาเป็นสะใภ้สกุลกู้เราเช่นกัน แต่ไม่นึกเลยว่าการแต่งงานครานี้จะเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมากมายเหลือเกิน ตอนนี้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…ข้าขอถามเจ้าก่อน เจ้าสมัครใจจะแต่งมาเป็นภรรยาของเป่ยเอ๋อร์หรือไม่”

เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง ปัญหาข้อนี้นางคิดมาแล้วเมื่อคืน ยามนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไม่ใช่หรือ แต่งกับคนเสเพลตัวจริงย่อมดีกว่าแต่งกับบุรุษจอมปลอม

แต่การพูดจาต้องมีศิลปะชั้นเชิง นางจะตกปากรับคำทันทีไม่ได้ ดังนั้นจึงเพียงแค่ย่อกายคารวะอย่างสุภาพ “เยี่ยนเอ๋อร์ผิดต่อความเอ็นดูที่ท่านอัครเสนาบดีมีให้ เวลานี้เยี่ยนเอ๋อร์มีมลทินเสียแล้ว ไม่มีสิทธิ์พูดอีกต่อไปว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง ขอเพียงเป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ เยี่ยนเอ๋อร์ย่อมยินดีทำตามทุกประการเจ้าค่ะ”

อัครเสนาบดีกู้พรูลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยเบาๆ “ดีที่เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากเจ้าไม่อยากแต่งแล้วเกิดคิดสั้นขึ้นมา มิตรภาพระหว่างข้ากับซื่อชิงคงต้องมีอันขาดสะบั้นลงเท่านี้เป็นแน่”

เสิ่นกุยเยี่ยนก้มหน้า เป็นไปไม่ได้ที่นางจะตาย รอบตัวยังมีคนเลวอยู่ดีมีสุขตั้งมากมาย เรื่องอะไรนางต้องรนหาที่ตายด้วยเล่า หากจะตายก็ต้องลากคนพวกนี้ไปตายด้วยกัน นางจะได้มีเพื่อนร่วมทาง

ส่วนกู้เจาเป่ย นางผินหน้ามองเขาแวบหนึ่ง บุรุษผู้นี้ยังประดับรอยยิ้มเยาะหยันบนใบหน้าเหมือนเดิม พร้อมกันนั้นก็กัดฟันเหยียดริมฝีปากด้วยความเจ็บ แต่คงเป็นเพราะแดดส่องฟ้าอยู่ข้างนอก เขาจึงดูหล่อเหลาขึ้นเล็กน้อย

นางจำต้องหาใครสักคนมาพานางไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วเขาก็เข้ามาพอดี นี่อาจเป็นโชคชะตากระมัง ในเมื่อชะตาต้องกันนางก็ควรลองดูสักตั้ง อีกอย่างก็ต้องมีคนช่วยนางลบเลือน ‘บุรุษจอมปลอม’ ออกจากหัวใจด้วย

อัครเสนาบดีกู้ไปเยี่ยมนายผู้เฒ่าเสิ่นที่เรือนใหญ่ พวกคุณหนูกับอี๋เหนียงในห้องโถงใหญ่ก็ตามไปด้วย แต่คุณชายสกุลกู้ทั้งสองยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น

“เจ้าจะแต่งกับเขาหรือ” กู้เจาตงเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นกุยเยี่ยนด้วยแววตาร้อนรน “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าจะแต่งกับเขาได้อย่างไร!”

เสิ่นกุยเยี่ยนที่ยังนั่งอยู่อีกด้านหัวเราะเบาๆ “คุณชายใหญ่แต่งกับสตรีอื่นได้ แล้วเหตุใดเยี่ยนเอ๋อร์จะแต่งกับบุรุษอื่นไม่ได้เล่า อีกอย่างข้ากับคุณชายสี่ก็มีสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ต่อให้ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่งกระมัง”

กู้เจาเป่ยคำรามในคอเบาๆ พลางเอามือยันพื้น แผ่นหลังแสบร้อนเหมือนถูกไฟคลอก เจ็บเสียจนใบหน้าของเขาซีดเผือด แต่เมื่อได้เห็นว่าใบหน้าของพี่ชายก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร เขาก็เบิกบานใจขึ้นมา “พี่ใหญ่รักพี่เสียดายน้องอย่างนั้นหรือ พี่สะใภ้ก็อยู่กับท่านตรงนี้แท้ๆ”

บทที่ 12 ตกลงตามนี้

กู้เจาตงผงะ หันไปมองเสิ่นกุยหย่าโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นกำลังขมวดคิ้ว ความขุ่นมัวระบายออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด

เดิมทีนางอาศัยบุตรในครรภ์แต่งเข้าสกุลกู้อย่างราบรื่น แต่ในวันแต่งงานอันแสนสำคัญ…สามีกลับหนีออกมาหาเสิ่นกุยเยี่ยนในคืนเข้าหอ มาคนเดียวยังพอว่า นี่คุณชายสี่ก็ตามมาด้วยอีกคน คนที่ทะลุมิติมาคือนางต่างหาก เรื่องอะไรถึงแห่กันมารุมกลุ้มตามพะเน้าพะนอสตรีอื่น

เสิ่นกุยหย่าไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย ไม่สบอารมณ์อย่างมากด้วย ทว่านางเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง รู้ว่าเวลาแย่งบุรุษกับสตรีอื่นจะโวยวายเกรี้ยวกราดไม่ได้ ต้องอ่อนหวานนุ่มนวลเข้าไว้ถึงจะดี

ดังนั้นนางจึงทำเป็นฝืนยิ้ม “หย่าเอ๋อร์ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรการแต่งงานครานี้ก็ควรเป็นของพี่สามอยู่แล้ว ขอเพียงท่านพ่อไม่ทำโทษเจาตง หย่าเอ๋อร์ก็สบายใจแล้ว หากหัวใจเจาตงจะมีพี่สาม หย่าเอ๋อร์ก็บังคับกะเกณฑ์ไม่ได้…”

นางพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพลางบีบน้ำตาคลอเบ้าชำเลืองมองกู้เจาเป่ย

คนถูกมองแค่นหัวเราะหยันๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสบายๆ “คนหนึ่งทำให้เจ็บ คนหนึ่งยอมเจ็บ นี่มันเรื่องของชาวบ้าน พูดมากไปก็เท่านั้น อีกอย่างเยี่ยนเอ๋อร์เองก็สมัครใจจะแต่งงานกับข้า แล้วมันธุระกงการอะไรของพี่ใหญ่ด้วย”

“ข้าถามเยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ได้ถามเจ้า” โทสะของกู้เจาตงแล่นฉิวขึ้นมาบ้างแล้ว “คงเพราะมารดาน้องสี่ด่วนจากไปเร็วกระมัง ถึงไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้าว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เยี่ยนเอ๋อร์เป็นกุลสตรีชนชั้นสูง เหตุใดเจ้าถึงได้…”

“พี่ใหญ่!” รอยยิ้มของกู้เจาเป่ยเลือนหาย สีหน้าบึ้งตึงลงทันตา

เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบ คนที่ทำตัวทะเล้นหยิบโหย่งเป็นวิสัย พอจะจริงจังขึ้นมาก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย

กู้เจาตงเองก็ร่างสะท้านไปชั่วขณะหนึ่ง กระนั้นก็ยังไม่ยอมลงให้ “ข้าพูดผิดหรือ เจ้าประพฤติตนหุนหันเอาแต่ใจเช่นนี้ มีแต่จะทำให้โครงกระดูกมารดาเจ้าที่อยู่ใต้ดินถูกคนเขาชี้นิ้วด่าเท่านั้น…”

กู้เจาเป่ยลุกพรวดขึ้นมาอย่างที่ใครก็เข้าไปขวางไว้ไม่ทัน แล้วเงื้อเท้าถีบพี่ชายที่ยังนั่งคุกเข่าจนหงายหลังล้มตึงไปกับพื้น

“เจาตง!” เสิ่นกุยหย่าหวีดร้อง

เสิ่นกุยเยี่ยนลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “คุณชายสี่!”

ถูกต้องที่ว่ากู้เจาตงพูดแรงเกินไป แต่ก็ไม่ควรใช้กำลังตามใจชอบ

ถีบทีเดียวยังไม่สาแก่อารมณ์ กู้เจาเป่ยก้าวเข้าไปหมายจะถีบซ้ำ แต่พ่อบ้านสกุลกู้ที่อยู่อีกด้านผวาเข้ามาจับตัวเขาไว้ก่อน กู้เจาตงลุกขึ้นได้ก็ประเคนหมัดใส่บ่าน้องชายโดยไม่สนใจว่าจะมีผู้อื่นอยู่ด้วย

ซ้ำร้ายดันต่อยเข้าที่บ่าซ้ายพอดี เสิ่นกุยเยี่ยนใจหายวาบ รีบร้องห้าม “อย่านะ!”

ความเคลื่อนไหวของกู้เจาตงสะดุดลงเล็กน้อย ก่อนจะต่อยเข้าเป้าโดยแรง ฝ่ายกู้เจาเป่ยถูกพ่อบ้านจับตัวไว้แน่น แม้แต่จะขัดขืนยังทำไม่ได้ เลยถูกชกเข้าเต็มแรง

เพียงมองยังเจ็บแทน เสิ่นกุยเยี่ยนปรี่เข้าไปเอาตัวบังกู้เจาเป่ยเอาไว้ “ท่านมีครอบครัวแล้วนะ เหตุใดยังอารมณ์ร้อนจนใช้กำลังกับผู้อื่นอยู่อีกเล่า”

กู้เจาตงโมโหจนลมแทบจับ ไม่หายแค้นแม้แต่น้อย “มันใช้กำลังกับข้าก่อนนะ!”

กู้เจาเป่ยที่อยู่ข้างหลังแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ สีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา ดูออกว่ายังขืนตัวอยู่ ขอเพียงพ่อบ้านกล้าปล่อยมือ เขาก็จะพุ่งเข้าไปต่อยพี่ชายให้หนำใจ

เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก แต่ก่อนนางชมชอบความสุภาพนุ่มนวลของกู้เจาตงมาโดยตลอด แต่วันนี้ภาพลักษณ์ดังกล่าวถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ที่แท้เวลาบุรุษเลือดขึ้นหน้าก็เป็นเหมือนกันหมด

“พวกท่านนั่งพักนิ่งๆ รอท่านอัครเสนาบดีกับท่านพ่อมาสรุปดีกว่า เมื่อครู่ก็ถูกโบยมาด้วย” เสิ่นกุยเยี่ยนก้มหน้าหันไปมองรอยเปียกเหนอะบนบ่ากู้เจาเป่ย “คุณชายสี่ไม่เจ็บใช่หรือไม่”

ฝ่ายนั้นผ่อนคลายร่างที่ขืนเกร็งลงแล้วแค่นจมูกเบาๆ พ่อบ้านที่อยู่ด้านหลังเห็นดังนั้นจึงยอมปล่อยมือ

“ร่างกายคนเราสร้างมาจากเลือดเนื้อ จะไม่เจ็บได้อย่างไร” คุณชายสี่สกุลกู้ทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นกุยเยี่ยน แล้วเผยท่าทีทะเล้นดังเดิม “แต่เห็นเจ้าปกป้องข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ”

อีกทั้งเรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์ดียิ่งกว่านั้นคือใครบางคนที่โมโหจนหน้าเขียว

เสิ่นกุยเยี่ยนมุมปากกระตุกแล้วเลือกถอยไปยืนห่างๆ กู้เจาตงหรี่ตามองน้องชายอยู่พักใหญ่ ถึงค่อยเดินเข้ามาคุกเข่าลงบ้าง

การหารือของบิดาทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว นายผู้เฒ่าเสิ่นเห็นว่าอัครเสนาบดีกู้ถึงกับนำไม้จารึกกฎตระกูลมาสั่งสอนบุตรชายทั้งสองถึงที่นี่ ความขุ่นใจก็คลายลงไม่น้อย จึงรีบรุดมาที่ห้องโถงใหญ่ชนิดว่าหายปวดเอวเมื่อยขาเป็นปลิดทิ้ง

“ถือเสียว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้คุณหนูสามกับไอ้ลูกไม่รักดีของข้าแต่งงานกันโดยเร็วก็แล้วกัน” อัครเสนาบดีกู้สรุปผลสุดท้าย

กู้เจาตงท้วงอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ!”

“เรื่องนี้ไม่มีทางให้ต่อรองเป็นอื่นได้อีกแล้ว” อัครเสนาบดีกู้มองพวกเขา “ในเมื่อเจ้าลูกชั่วกับคุณหนูสามได้เสียเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก รีบกลับไปเตรียมงานมงคลจะดีกว่า”

พูดจบก็หันไปมองนายผู้เฒ่าเสิ่นอย่างให้เกียรติ “ใต้เท้าคิดเห็นเช่นไร”

“ท่านอัครเสนาบดีกล่าวถูกแล้วขอรับ” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วมองไปทางบุตรสาวคนที่สาม “เยี่ยนเอ๋อร์เองก็ไม่ขัดข้องใช่หรือไม่”

เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า

เสิ่นฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างสามีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแต่ปากอย่างไม่จริงใจ “ฤกษ์มงคลถัดจากนี้ไปมีแต่ครึ่งเดือนให้หลังเท่านั้น เวลากระชั้นชิด ต้องเตรียมการออกเรือนอย่างฉุกละหุกสักหน่อย แต่เชื่อว่าเยี่ยนเอ๋อร์คงไม่ขัดข้องเช่นกัน”

การแต่งงานถูกต้องตามพิธีรีตองต้องเตรียมตัวสามถึงสี่เดือนทั้งนั้น เวลาเพียงครึ่งเดือนจะเตรียมอะไรทันเล่า น่ากลัวว่าแม้แต่ชุดเจ้าสาวก็ยังต้องเร่งตัดเย็บ เสิ่นกุยเยี่ยนมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แม้แต่อัครเสนาบดีกู้ก็ไม่ใคร่พอใจนัก “เวลาเพียงครึ่งเดือนออกจะกระชั้นชิดเกินไป”

“ไม่เช่นนั้นก็ต้องรออีกสี่เดือนถึงจะมีฤกษ์มงคลเจ้าค่ะ” เสิ่นฮูหยินเผยสีหน้าใสซื่อ “หากเป็นการออกเรือนปกติยังพอว่า แต่นี่เยี่ยนเอ๋อร์กับคุณชายสี่ได้…ถ้าเกิดท้องโตขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวคงจะ…”

ทุกคนในที่นั้นเงียบงันกันหมด เหล่าอี๋เหนียงที่อยู่ข้างหลังหันไปซุบซิบกันด้วยสีหน้าเยาะหยัน

เสิ่นกุยเยี่ยนหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย แต่แล้วกลับได้ยินกู้เจาเป่ยพูดขึ้น “ใช่ว่าจวนเราจะไม่เคยมีคนท้องโตขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมาก่อนนี่นะ แต่ข้ากลัวว่ารอนานแล้วสถานการณ์จะเปลี่ยน ครึ่งเดือนนี่กำลังดีเลย พอให้ตระเตรียมอะไรต่อมิอะไรได้ทัน ข้าเองก็อยากแต่งสตรีเพียบพร้อมอย่างเยี่ยนเอ๋อร์เข้าตระกูลไวๆ เช่นกัน”

อัครเสนาบดีกู้เอ็ดบุตรชาย “เรื่องนี้เจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ ยังไม่คุกเข่าให้ดีๆ อีก!”

กู้เจาเป่ยเบ้ปาก

พวกอี๋เหนียงเงียบเสียง เสิ่นฮูหยินเองก็ยิ้มไม่ออก คนแรกที่อุ้มท้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวคือบุตรสาวของตนเอง แล้วนางยังจะหัวเราะเยาะผู้อื่นได้หรือ

เสิ่นกุยหย่ากัดริมฝีปาก มองกู้เจาเป่ยด้วยแววตาทะมึน บุรุษผู้นี้ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี ไม่รู้จักวิธีเข้าหาสตรีเอาเสียเลย คอยจ้องจะเล่นงานนางอยู่ร่ำไป ต่อให้สนใจนางจริงก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกเช่นนี้

นายผู้เฒ่าเสิ่นกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็ถือว่าการแต่งงานระหว่างเยี่ยนเอ๋อร์กับคุณชายสี่เป็นอันแน่นอนแล้ว ได้จัดงานมงคลซ้อนกันสองคราพอดี ความขุ่นข้องหมองใจต่างๆ ก็ขอให้ลืมไปให้หมดก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าความผิดพลาดอาจกลายเป็นผลดีก็ได้”

อัครเสนาบดีกู้พยักหน้า ทั้งสองฝ่ายต่างหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น หรืออย่างน้อยการแสดงออกภายนอกก็ดูชื่นมื่น

ตอนที่ทุกคนแยกย้ายกันเสิ่นกุยเยี่ยนสาวเท้าเนิบๆ เดินรั้งท้าย รอจนเห็นเสิ่นกุยหย่าประคองกู้เจาตงออกไปแล้ว นางถึงค่อยเร่งฝีเท้าไปหากู้เจาเป่ย

“นี่”

คนถูกเรียกรั้งฝีเท้าพลางเอี้ยวหน้ามองมา ก่อนจะเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงมารยาทงามมาตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเรียกผู้อื่นเช่นนี้”

เสิ่นกุยเยี่ยนกลอกตาใส่อย่างขุ่นเคือง “หากเป็นคนอื่นข้าก็จะเรียกว่า ‘คุณชาย’ อย่างสุภาพอยู่หรอก แต่เพราะเป็นท่านข้าถึงไม่เรียก นี่ยารักษาแผลถูกของมีคม ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่แทงท่าน”

ขวดกระเบื้องใบจ้อยถูกยื่นมาให้ กู้เจาเป่ยรับไว้ยิ้มๆ แล้วสาวเท้าเข้าใกล้นางก้าวหนึ่ง “บาดแผลฉกรรจ์มากนะ ใช่ว่าพูดเพียงคำสองคำแล้วจะหายกัน น้องหญิง จากนี้ไปก็ช่วยชี้แนะข้าให้มากๆ ด้วยล่ะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนมุมปากกระตุก ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว คำนับเขาอย่างนอบน้อม แล้วหมุนตัวเดินกลับหอนางแอ่นโดยไม่เหลียวหลัง

คนหน้าหนาจะแต่งกายงามหรูอย่างไรก็ยังหน้าหนาอยู่นั่นเอง

กู้เจาเป่ยยืนยิ้มมองตามแผ่นหลังนางอยู่พักใหญ่ จวบจนร่างอ้อนแอ้นลับสายตาไปแล้ว รอยยิ้มตรงมุมปากถึงค่อยๆ คลายออก เขาหันไปมองรถม้าสกุลกู้ที่จอดอยู่หน้าจวน ก่อนจะเดินไปสมทบอย่างเนิบนาบ

 

ตอนแรกจะแต่งกับบุตรชายภรรยาเอก ตอนนี้เปลี่ยนมาแต่งกับบุตรชายของอนุ แม้จะแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีเหมือนกัน แต่สินเจ้าสาวที่จะได้รับติดตัวไปย่อมน้อยลงตามธรรมเนียม ประกอบกับเสิ่นฮูหยินยังตระเตรียมให้อย่างขอไปที ตอนที่เสิ่นกุยเยี่ยนไปดูสินเจ้าสาวจึงเห็นข้าวของเพียงสิบห้าหีบเท่านั้น

สินเจ้าสาวที่เสิ่นกุยหย่าได้ไปตอนออกเรือนเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับนาง ทว่าถูกเสิ่นกุยหย่าเอาไปทั้งหมดสามสิบหีบเต็มๆ การเลือกปฏิบัตินี้ชัดเจนเสียจนบ่าวไพร่ในจวนยังมองออกกันหมด

“เฮ้อ คุณหนูสามช่างอาภัพแท้ ดันมาเกิดเรื่องในเวลาสำคัญ คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า จากที่ได้แต่งเป็นพี่สะใภ้คนโตก็ต้องกลายเป็นน้องสะใภ้ของอีกฝ่าย”

“นั่นสิ คุณหนูห้าก้าวร้าวเอาแต่ใจ ไม่คิดเลยว่าจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาไปกับบุรุษดีๆ สวรรค์ไม่ยุติธรรมจริงๆ”

“หากจวนอัครเสนาบดีได้เห็นสินเจ้าสาวเหล่านี้ ต่อไปยังจะให้ความสำคัญกับคุณหนูสามอีกหรือ”

เป่าซั่นได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วทุกข์ใจ เอ่ยแนะขึ้นขณะประคองเจ้านายตน “ถ้าอย่างไรคุณหนูไปพูดกับนายผู้เฒ่าสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ สินเจ้าสาวน้อยเกินไป ฮูหยินจงใจข่มเหงท่านชัดๆ”

เสิ่นกุยเยี่ยนอมยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปฟ้องท่านพ่อหรอก ข้ามีวิธีจัดการ”

* โคมม้าวิ่ง คือโคมไฟสวยงามชนิดหนึ่งซึ่งมักใช้ในงานเทศกาลรื่นเริง รอบๆ โคมมักวาดเป็นฉาก ภายในแกนกลางตกแต่งด้วยกระดาษตัดเป็นรูปม้าหรือรูปอื่นๆ เมื่อจุดไฟด้านในโคมจะหมุนเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว

* สามหนังสือหกพิธี เป็นขั้นตอนพิธีการตั้งแต่การหมั้นหมายไปจนสิ้นสุดงานแต่งงานของชาวจีนในสมัยโบราณ สามหนังสือ ได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแจ้งพิธี และหนังสือรับเจ้าสาว หกพิธี ได้แก่ เชิญแม่สื่อแนะนำ ถามชื่อและเวลาตกฟาก ส่งของหมั้น ยกขบวนสินสอด กำหนดฤกษ์แต่ง และเข้าพิธีวิวาห์

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: