X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่หนึ่ง

 หลินหว่าน อืม ตอนนี้ควรเรียกว่าหลี่หลิงหว่านแล้วกระมัง สองแขนของนางกอดเข่าขมวดคิ้วงามนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างหน้าต่างพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวในภายภาคหน้า

ในเมื่อรู้ฉากจบอันน่าอนาถของเจ้าของร่างเดิมอยู่แล้ว นางย่อมคิดหาหนทางเปลี่ยนแปลงจุดจบอย่างแน่นอน เอาแต่นั่งร้องไห้รอความตายอยู่ที่นี่หาใช่นิสัยของนาง

เมื่อครู่นางตั้งใจครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว รู้สึกว่าส่วนสำคัญอยู่ที่ช่วงระยะเวลาห้าปีตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมอายุแปดขวบจนถึงตอนอายุสิบสามปีที่ไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ และก็เป็นเพราะไม่รู้เรื่องราวในช่วงนี้ถึงได้ยิ่งเหมาะในการเปลี่ยนแปลง หลี่หลิงหว่านยังคิดว่านิยายเรื่องนี้นางเป็นผู้เขียนขึ้นเอง กวาดตามองไปทั่วโลกใบนี้ยังจะมีใครเข้าใจได้ทุกตัวละคร หรือรู้ถึงสถานการณ์ภายหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปได้มากกว่านางอีก นิ้วทองคำ อ้วนๆ เช่นนี้นางย่อมนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อยู่แล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ในใจหลี่หลิงหว่านก็รู้สึกมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เฉกเช่นทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ในเมื่อตอนนี้เจ้าของร่างเดิมได้ตายไปแล้วและเปลี่ยนเป็นนางมาสวมร่างแทน เช่นนั้นเหตุการณ์ในภายภาคหน้าก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงด้วยอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังกระจ่างแจ้งดีถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่จะส่งผลร้ายต่อตนเอง ซึ่งนางสามารถหลีกเลี่ยงก่อนล่วงหน้าได้

ความจริงแล้วนางก็ไม่ได้ต้องการไขว่คว้าอะไรมากมาย นางแค่ไม่อยากตาย เพียงหวังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปจนแก่ได้ก็เพียงพอแล้ว และถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมายนี้ จุดสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็อยู่ที่หลี่เหวยหยวนแล้ว

จุดจบของเจ้าของร่างเดิมในนิยายนั้นจะตกไปอยู่ในมือของหลี่เหวยหยวน มิหนำซ้ำยังถูกเขาตัดลิ้น ป้อนหญ้าไส้ขาดอย่างวิปริต ทนทรมานอยู่กว่าสามชั่วยาม ถึงจะตายไป

คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็ขอขมาเจ้าของร่างเดิมอยู่ในใจเงียบๆ ทั้งประณามความโหดร้ายของตนเองไปรอบหนึ่ง จากนั้นจึงปลุกความฮึกเหิมขึ้นมาแล้วเริ่มกำหนดเป้าหมายจากสถานการณ์ในปัจจุบัน

ตามนิยายแล้วเจ้าของร่างเดิมจะถูกหลี่เหวยหยวนฆ่าตายตอนอายุสิบเจ็ดปี ขณะนั้นหลี่เหวยหยวนอายุยี่สิบสอง ทว่าตอนนี้หลี่เหวยหยวนเพิ่งจะอายุสิบสาม แม้ชีวิตในวัยเด็กของเขาจะไม่สวยงามมากนัก ถูกเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านกลั่นแกล้งรังแกมาไม่น้อยในช่วงหลายปีนี้ แต่หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังแก้ไขทันอยู่

คิดไปคิดมานางก็กำหนดวิธีที่ตนเองสามารถกระทำได้จริงเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายในตอนนี้ นั่นก็คือการสร้างความประทับใจดีๆ ทั้งต้องพยายามสร้างความประทับใจดีๆ ต่อหน้าหลี่เหวยหยวนอย่างสุดชีวิตด้วย!

ในนิยายตัวละครหลี่เหวยหยวนเป็นตัวประกอบชายที่มีอารมณ์ร้าย ภายในใจบิดเบี้ยววิปริตถึงที่สุด เป็นลูกพี่ลูกน้องชายของหลี่หลิงหว่าน ตอนที่เขียนนางอิงตามความคิดที่ว่าทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครเป็นคนวิปริตตั้งแต่แรก ดังนั้นนางจึงได้ปูพื้นหลังให้เขาครั้งใหญ่

เดิมที ‘ตู้ซื่อ’ มารดาผู้ให้กำเนิดเขาเป็นบุตรสาวของรองข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวา สังกัดสำนักตรวจการนครหลวง แต่ภายหลังรองข้าหลวงผู้นี้ได้ไปล่วงเกินขุนนางผู้มีอำนาจในราชสำนักคนหนึ่งเข้าจนถูกเนรเทศไปยังชายแดนทั้งครอบครัว ในระหว่างที่เดินทางไปชายแดนยังถูกขุนนางผู้นั้นใช้ลูกไม้ สุดท้ายทุกคนในครอบครัวของรองข้าหลวงก็เสียชีวิตทั้งหมด นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาจึงตัดสินใจส่งตู้ซื่อไปยังอารามชีแห่งหนึ่ง บอกกับคนนอกเพียงแค่ไปถือศีลภาวนา หารู้ไม่ว่าบรรดาแม่ชีในอารามกับภิกษุในวัดข้างเคียงมีความสัมพันธ์ลับๆ คอยไปมาหาสู่สนิทสนมกัน ภิกษุรูปนั้นเองก็มักมากในกามยิ่ง เมื่อเห็นตู้ซื่อมีหน้าตางดงามจึงอาศัยโอกาสในคืนเดือนมืดคืนหนึ่งกระทำการขืนใจตู้ซื่อ และในครั้งเดียวนั้นตู้ซื่อก็ได้ตั้งครรภ์ขึ้นมาเงียบๆ แต่เพื่อชื่อเสียงของตนเอง ตู้ซื่อย่อมไม่อาจโวยวาย ทุกวันทำได้เพียงร้องไห้น้ำตาอาบหน้า เฝิงหมัวมัว แม่นมของนางรับรู้เรื่องนี้ นอกจากร่วมร้องไห้เป็นเพื่อนนางและสบถด่าว่านายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ว่าไม่ใช่คนแล้ว ยังเป็นคนช่วยออกความคิดให้ตู้ซื่ออีกด้วย

อย่างไรก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในสถานที่ย่ำแย่นี้ได้ตลอดไป อีกทั้งเมื่อสองปีก่อนตู้ซื่อก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง ตอนนี้นางถูกส่งมา ‘ถือศีลเงียบๆ’ ที่อารามชีแห่งนี้ แล้วบุตรสาวผู้นั้นจะทำอย่างไรเล่า เดิมทีนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็เป็นคนยกย่องชนชั้นสูงเหยียบย่ำชนชั้นล่างเช่นนี้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขาเอง แต่เขาจะรักใคร่เอ็นดูจากใจจริงได้หรือ ดังนั้นเจตนาของเฝิงหมัวมัวก็คือต้องการให้คนส่งจดหมายแจ้งกลับไปยังสกุลหลี่ บอกว่าเด็กในท้องคนนี้ของตู้ซื่อเป็นบุตรของหลี่ซิวซงสามีนาง ตู้ซื่อมาถึงอารามชีแห่งนี้แล้วถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ ยามนี้อยู่ในอารามชีอย่างยากลำบาก ในเมื่อตู้ซื่อตั้งครรภ์แล้ว ต่อให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ไม่เห็นแก่ตู้ซื่อ อย่างน้อยก็ต้องเห็นแก่เด็กในท้องและยอมรับตู้ซื่อกลับจวนไป ขอเพียงนางได้กลับไป ทุกอย่างย่อมไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ตู้ซื่อคิดถึงบุตรสาวสุดหัวใจ ทั้งยังอยากจะหนีไปจากสถานที่ย่ำแย่เช่นนี้มากจริงๆ ดังนั้นจึงได้ยอมกระทำตามที่เฝิงหมัวมัวบอก

แต่หลังจากนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ทราบข่าวนี้แล้ว เขาก็ยังไม่อยากให้ตู้ซื่อกลับมาอยู่ดี เพราะเรื่องที่บิดาของตู้ซื่อถูกเนรเทศเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างเหมือนกัน อีกทั้งในตอนนี้ขุนนางผู้มีอำนาจผู้นั้นก็กำลังรุ่งโรจน์ เขากำลังคิดวางแผนประจบประแจงเป็นร้อยเป็นพัน หากเวลานี้ไปรับตู้ซื่อกลับมา ถึงบอกว่าตู้ซื่อเป็นสตรีที่แต่งออกมาแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสกุลตู้อีก ทว่าขุนนางผู้มีอำนาจผู้นั้นมิใช่คนใจคอกว้างขวางอะไร กระทั่งครอบครัวรองข้าหลวงตู้ถูกเนรเทศไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยไปอีก ยังลอบส่งคนไปจบชีวิตพวกเขาเงียบๆ หากในเวลานี้เขารับตู้ซื่อกลับมา แล้วขุนนางผู้มีอำนาจผู้นั้นรับรู้เข้า ขอแค่อีกฝ่ายเล่นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ อยู่ลับหลัง เขาก็คงรับมือขุนนางผู้นั้นไม่ไหวแล้ว ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่จึงยืนกรานไม่เห็นด้วย บอกเพียงว่าให้ตู้ซื่อคลอดเด็กคนนี้ที่อารามชี พอเด็กคนนี้คลอดมาแล้วก็ให้มอบให้คนอื่น ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นหลานชายของสกุลหลี่

ยามนั้นนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่คิดว่าต่อให้เด็กคนนี้มีสายเลือดของสกุลหลี่ แต่ก็มีสายเลือดของสกุลตู้ด้วย ประการแรกคือเกรงว่าขุนนางผู้มีอำนาจคนนั้นจะถือสา กระทั่งเป็นการสร้างปัญหาให้กับสกุลหลี่ และประการที่สอง เขาเองก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของรองข้าหลวงตู้ด้วย ไม่อาจรับรองได้ว่าในภายภาคหน้าเมื่อเด็กคนนี้เติบโตแล้วจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง หรือเกิดความคิดแก้แค้นทวงความยุติธรรมให้กับท่านตาของตน ถึงตอนนั้นเขาคงไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร

ทว่าขัดขวางอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ เมื่อยามนั้นหลี่ซิวซงคุกเข่าอยู่นอกประตูถึงสามวันสามคืน สุดท้ายนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็ทำได้เพียงยอมผ่อนปรนให้ไปรับตู้ซื่อกลับมา แต่ยังคงสร้างเงื่อนไขขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นก็คือถึงแม้ตู้ซื่อจะถูกรับตัวกลับมา หากก็ทำได้เพียงซ่อนนางเอาไว้ยังสถานที่สันโดษแห่งหนึ่งในสวนดอกไม้ บอกกล่าวกับคนภายนอกว่านางได้ตายไปแล้ว จากนั้นเด็กที่นางคลอดออกมาก็ให้บอกว่าคลอดมาจากสาวใช้ห้องข้าง เท่านั้น

หลี่ซิวซงเป็นคนกตัญญูที่มีนิสัยซื่อๆ ไม่มีปากมีเสียงคนหนึ่ง ต่อให้เขามีความรู้สึกลึกซึ้งให้กับภรรยาคนนี้มากเพียงใด แต่ก็คัดค้านการบังคับจากบิดาตนเองไม่ได้อยู่ดี ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงยอมรับปากไปอย่างเจ็บปวด

ดังนั้นหลังจากที่ตู้ซื่อถูกรับตัวกลับมาแล้วจึงถูกกักบริเวณอยู่ในสถานที่สันโดษแห่งหนึ่งภายในสวนดอกไม้สกุลหลี่ นางตั้งครรภ์อยู่ที่นั่นนานหลายเดือนก่อนจะคลอดหลี่เหวยหยวนออกมา แน่นอนว่าทันทีที่คลอดหลี่เหวยหยวนแล้ว เด็กน้อยก็ถูกคนอื่นอุ้มพาจากไป ได้แต่บอกกับคนภายนอกว่าหลี่เหวยหยวนเป็นบุตรของหลี่ซิวซงกับสาวใช้ห้องข้างคนหนึ่ง

ที่บังเอิญก็คือในชั่วขณะที่หลี่เหวยหยวนคลอดออกมานั้น นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ที่มีสุขภาพแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรก็เดินสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งหน้าคะมำกระแทกพื้นเสียชีวิตไปทั้งอย่างนั้น ยามที่สมาชิกในครอบครัวกำลังร้องไห้คร่ำครวญก็มีคนกล่าวว่าหลี่เหวยหยวนเป็นตัวอัปมงคล ทันทีที่เกิดมาก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่เสียชีวิต ดังนั้นคนในสกุลหลี่จึงไม่พอใจเขาอย่างมาก อีกทั้งในอีกหลายปีให้หลังก็บังเอิญมีภิกษุรูปหนึ่งเดินเคาะเกราะปลาไม้ ผ่านหน้าจวนมา ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่จึงได้ให้คนไปนิมนต์ภิกษุรูปนั้นเข้ามาทำนายชะตาชีวิตให้กับคนทั้งตระกูล ในตอนที่ทำนายให้หลี่เหวยหยวน ภิกษุรูปนั้นนับนิ้วขมวดคิ้วอยู่นาน ท้ายที่สุดได้กล่าวออกมาว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนแต่กลายเป็นกาลกิณี

เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่เป็นคนเชื่อในพระพุทธองค์ เชื่อมั่นในคำกล่าวของภิกษุเป็นที่สุดอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินภิกษุรูปนี้พูดออกมาเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่ชมชอบหลี่เหวยหยวนเข้าไปอีก แทบไม่อยากให้ตนเองมีหลานชายคนโตผู้นี้เสียด้วยซ้ำ และท่าทีที่นางปฏิบัติต่อหลี่เหวยหยวนนั้นแน่นอนว่าย่อมเป็นการตัดสินท่าทีที่คนทั้งตระกูลจะปฏิบัติต่อเขาด้วย ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของหลี่เหวยหยวนจึงผ่านมาอย่างน่ารันทดยิ่ง

หลี่เหวยหยวนถูกจัดให้ไปอยู่ในเรือนเล็กสันโดษแห่งหนึ่ง ข้างกายมีบ่าวรับใช้เพียงคนเดียว ยามปกติเขาจะถูกผู้อาวุโสในครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่อายุเท่ากันหรือน้อยกว่ารังแกอย่างไรบ้างนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่กระทั่งบ่าวรับใช้ยังกลั่นแกล้งเอาเปรียบ ลิดรอนของกินของใช้ที่เขาควรได้รับ ทั้งยังกล่าววาจาเยาะเย้ยเสียดสีด้วย

ลำบากถึงเพียงนี้แล้วแต่หลี่หลิงหว่านกลับเห็นว่าหลี่เหวยหยวนยังมีชีวิตที่ไม่รันทดมากพอ ในภายหลังยังให้ตู้ซื่อได้รับรู้ว่าปีนั้นที่บุตรสาวป่วยหนักจนตายไป เหตุผลเป็นเพราะตอนที่บุตรสาวของนางป่วยหนักถูกคนสกุลหลี่มองข้าม ไม่แม้แต่จะเชิญหมอมาตรวจดูแต่เนิ่นๆ บุตรสาวของนางถึงได้ตายไปเพราะช่วยเหลือไม่ทัน และเรื่องที่บิดาของนางถูกเนรเทศในปีนั้นหาใช่แค่บิดาของนางไปล่วงเกินขุนนางผู้มีอำนาจคนนั้นเท่านั้น ทว่ายังเป็นเพราะแม้แต่นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่เองก็มีส่วนร่วมกับเรื่องราวเลวร้ายนั้นด้วย เหตุผลก็เพื่อประจบประแจงขุนนางผู้มีอำนาจคนนั้น อยากเกาะขาเขาเพื่ออำนาจ

หลังรับรู้ความจริงทั้งสองเรื่องนี้ตู้ซื่อก็เสียสติไป ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรหลี่ซิวซงก็ยังมีความรักอันลึกซึ้งให้กับภรรยาของตนเอง เขาจึงไม่คิดแต่งงานใหม่ ภายหลังไว้ทุกข์สามปีแล้วฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่จึงตัดสินใจให้หลี่ซิวซงแต่งภรรยาใหม่อีกครั้งเพื่อให้เขาลืมตู้ซื่อ กระนั้นหลี่ซิวซงก็ยังคงลอบพาหลี่เหวยหยวนไปพบกับตู้ซื่ออยู่บ่อยครั้ง เขาหวังให้สองแม่ลูกได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน ด้วยอยากให้ตู้ซื่อได้บรรเทาอาการคิดถึงบุตรชายลงบ้าง

เดิมทีสำหรับตู้ซื่อแล้วหลี่เหวยหยวนก็ถือเป็นจุดด่างพร้อยในใจที่ไม่อาจพูดออกไปได้แต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังมารับรู้ว่าการตายของบุตรสาวตนเองกับทุกคนในครอบครัวล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ทั้งสิ้น หลังจากนางเสียสติก็ไร้ที่ให้ระบาย ดังนั้นทุกครั้งที่ได้อยู่กับหลี่เหวยหยวนตามลำพังนางก็จะทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยัดเยียดความคิดว่าเขาจะต้องแก้แค้นและสังหารทุกคนในสกุลหลี่ด้วย

ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้จิตใจของเด็กน้อยหลี่เหวยหยวนจะไม่บิดเบี้ยววิปริตได้อย่างไร

อิงตามที่หลี่หลิงหว่านเขียนในนิยาย ทั้งตัวและจิตใจของหลี่เหวยหยวนล้วนถูกกักขังอยู่ในความมืดมิด ไม่มีแสงลอดผ่านเข้าไปแม้แต่น้อย ภายหลังเพื่อสร้างความสุขให้กับจิตใจอันวิปริตของเขาแล้ว หลี่เหวยหยวนจึงได้จับทุกคนมาวางกลางฝ่ามือแล้วจัดการจนสาแก่ใจ

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แล้วคนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาทำให้เขาต้องไม่มีความสุขอยู่เพียงคนเดียวด้วย ในเมื่อเขาไม่มีความสุข ทุกคนก็อย่าหวังจะมีความสุขเลย ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่แก้แค้นอย่างบ้าคลั่งกับบรรดาผู้คนที่เคยเอาเปรียบและเหยียบย่ำเขาเท่านั้น การได้เห็นครอบครัวอื่นบ้านแตกสาแหรกขาด มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากยังเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาด้วย เรียกได้ว่าเข้ากับที่ภิกษุรูปนั้นเคยทำนายให้เขาเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน

ชะตาพิฆาต…ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนแต่กลายเป็นกาลกิณี

หลี่หลิงหว่านคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกปวดท้อง นางเสียสติไปแล้วหรือถึงได้เขียนตัวละครเช่นนี้ขึ้นมา ให้ทุกคนตั้งใจเรียนเพื่อทุ่มเทพัฒนาชีวิตไปข้างหน้าไม่ดีกว่าหรือ ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า สุราขมที่บ่มออกมาต้องให้ตนเองเป็นคนดื่มเองแล้ว!

หลี่เหวยหยวนอายุสิบสามปีแล้ว การดูถูกและถูกผู้อื่นเหยียบย่ำทั้งหมดที่ควรได้รับคงได้รับมาหมดสิ้นแล้วกระมัง ทั้งคำด่าทอและการทุบตีอย่างเสียสติจากตู้ซื่อก็คงได้รับมาเช่นกัน ความคิดแก้แค้นที่ถูกกรอกหูเหล่านั้นก็คงได้รับมาหมดแล้วด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือ…การเยาะเย้ยเสียดสีที่เจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านได้กระทำต่อเขานั้นก็ได้กระทำออกไปหมดแล้วใช่หรือไม่

ครั้งนี้ที่เจ้าของร่างเดิมถูกหลี่เหวยหยวนผลักล้มอย่างโหดเหี้ยมจนถึงขั้นเกิดจิตสังหารหวังให้ตายจริงๆ นั้นก็มีสาเหตุมาจากการที่เจ้าของร่างเดิมได้เห็นหลี่เหวยหยวนเดินออกมาจากเรือนที่กักขังตู้ซื่อ และในยามนั้นหลี่เหวยหยวนก็เพิ่งโดนทุบตีและถูกต่อว่าอย่างบ้าคลั่งจากตู้ซื่อมารอบหนึ่ง

ตู้ซื่อใช้เชิงเทียนปลายแหลมที่ทำมาจากทองแดงทิ่มแทงไปยังทุกส่วนบนร่างกายเขา อำมหิตเสียยิ่งกว่ายามที่หรงหมัวมัวแทงเข็มใส่จื่อเวย มากมายนัก

หลี่หลิงหว่านคิดอย่างสิ้นหวังไม่น้อย ตอนนี้นางควรทำอย่างไรดี ควรทำให้ตนเองกลายเป็นแสงสว่างในใจหลี่เหวยหยวนเพื่อส่องแสงให้กับชีวิตอันมืดมนของเขาอย่างนั้นหรือ

นางถูกความคิดที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นนี้ทำให้คลื่นไส้จนตัวสั่นไปทั้งร่าง แม้จะถูกความคิดที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ทำให้คลื่นไส้เพียงใด แต่พอหลี่หลิงหว่านสงบสติอารมณ์ได้แล้วและกลับมาย้อนคิดดู สุดท้ายนางก็ยังคงตัดสินใจที่จะทำให้ตนเองเป็นแสงสว่างในใจหลี่เหวยหยวนให้ได้

นอกจากทอแสงให้กับชีวิตอันอ้างว้างและมืดมิดในวันข้างหน้าของเขาแล้ว นางยังจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า แม้แต่นางเองก็สิ้นหวังแล้วเช่นกัน เพราะหลายปีมานี้เจ้าของร่างเดิมได้กลั่นแกล้งและเอาเปรียบหลี่เหวยหยวนไปไม่น้อยเลย หากอิงตามที่ตนเองวางให้หลี่เหวยหยวนเป็นคนใจคอคับแคบที่เพียงแค่โดนถลึงตามองยังต้องแก้แค้น ทั้งเขายังเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงสงสัยเป็นที่สุด เกรงว่าภายภาคหน้าต่อให้นางพยายามประจบประแจงเขาอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมิสู้ทำให้ตนเองกลายเป็นคนพิเศษสำหรับอีกฝ่ายตั้งแต่วันนี้ไปเสียเลย เช่นนี้ในวันข้างหน้าเมื่อเขาปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้วก็คงไม่ถึงขั้นต้องสังหารนางให้ตายใช่หรือไม่

หลังมั่นใจกับเป้าหมายของตนเองแล้ว ต่อให้เส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายนี้จะยากลำบากยิ่งจนถึงขั้นที่นางต้องแสดงออกถึงความไร้ยางอาย ซึ่งจำเป็นต้องฝึกปรือเป็นเวลานานกว่าจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ยังคงแสดงออกว่านางไม่สนปัญหานี้แต่อย่างใด

ให้นางไร้ยางอายก็ยังดีกว่าไร้ชีวิตมิใช่หรือ ในขณะเดียวกันนางก็สร้างกำลังใจให้ตนเองเงียบๆ ไม่ต้องกลัวๆ ต่อให้หลี่เหวยหยวนผู้นี้จะร้ายกาจเพียงใดก็เป็นคนที่ข้าเขียนขึ้นมาเอง ต้องกล่าวว่าสำหรับทุกคนในนิยายเรื่องนี้แล้ว ตัวตนของนางเปรียบได้กับเทพผู้สร้างอย่างไรอย่างนั้น นางที่เป็นถึงเทพผู้สร้างจะรับมือกับคนที่ตนสร้างขึ้นมาเองไม่ได้เชียวหรือ

เป็นไปไม่ได้หรอก หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะขายหน้าเกินไปแล้ว

และแล้วในเวลาอันรวดเร็ว นางก็โดนความจริงตบหน้าอย่างร้ายกาจ…

 

ยามนี้เป็นช่วงตงจื้อพอดี เมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะมีหิมะแรกของปีตกลงมา

หิมะตกไม่หนัก เพียงตกลงมาราวกับปุยหลิวอยู่สองวัน บนต้นไม้และชายคาก็ปรากฏชั้นหิมะบางๆ ชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเพราะสองวันนี้อากาศเย็นขึ้นมาก ต้นเหมยแดงทุกต้นที่ปลูกภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้จึงได้เบ่งบานภายในชั่วข้ามคืน

หลี่หลิงหว่านเขียนเอาไว้ในนิยายว่าภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่มากอยู่แห่งหนึ่ง ภายในสวนแห่งนั้นปลูกต้นเหมยนับร้อยต้น ยามที่ดอกเหมยเบ่งบานก็ราวกับทะเลดอกเหมยอย่างไรอย่างนั้น กลีบชมพูชาดทบซ้อน หอมหวนเชื้อเชิญคนมาเชยชม

นับตั้งแต่ข้ามมิติมาหลี่หลิงหว่านก็เอาแต่อยู่ในห้องมาสองวันแล้ว นางรู้สึกเบื่อหน่ายจึงอยากจะออกไปเดินเล่นบ้าง เหตุผลแรกก็เพื่อผ่อนคลายจิตใจ เหตุผลที่สองก็เพราะอยากไปเดินดูรอบๆ เพื่อสำรวจสถานที่จริง จะได้รู้ว่านางมาอยู่ในสถานที่แบบไหนกันแน่

เดิมทีนางเป็นคนไม่ละเอียดอ่อน ทั้งยังมักหยุดเขียนนิยายไปเป็นพักๆ นับดูแล้วก็เขียนๆ หยุดๆ ไปประมาณเกือบหนึ่งปีครึ่งแล้ว แม้เหตุการณ์หลักๆ ในเรื่องจะยังจดจำได้อยู่ แต่ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่นางหลงลืมไปหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตัวไว้ก่อน นางจึงคิดว่าการเดินสำรวจดูรอบๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น อย่างน้อยจะได้คอยสังเกตสถานการณ์จริงของสถานที่ที่ตนเองอยู่ในตอนนี้…เหมือนดั่งคำพูดที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

เมื่อคิดเช่นนี้หลี่หลิงหว่านจึงเปิดปากเรียกเสี่ยวซานทันที ต้องการให้อีกฝ่ายไปหยิบชุดตัวหนึ่งมาให้ตนเอง

เสี่ยวซานเอ่ยถาม “คุณหนูต้องการสวมชุดสีอะไรและแบบใดหรือเจ้าคะ”

ทว่าหลี่หลิงหว่านยังไม่ทันได้ตอบก็ถูกฮว่าผิงเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว

“ตาไม่มีแววเสียจริง” ฮว่าผิงหันหน้ามาตำหนิเสี่ยวซาน “เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณหนูไม่ใช่เพิ่งได้รับเสื้อนวมสีแดงทับทิมปักลายผีเสื้อตอมบุปผาสีทองคำมาหรอกหรือ ไปหยิบเสื้อนวมตัวนั้นแล้วก็กระโปรงจีบรอบสีชมพูมาด้วย”

เสี่ยวซานไม่ได้ขยับ สายตามองอย่างขลาดกลัวไปที่หลี่หลิงหว่าน

หลี่หลิงหว่านผู้ถูกคิดแทนกลับนึกในใจว่า ดี! ช่างเป็นสาวใช้ที่ดียิ่งนัก ทำได้กระทั่งคิดแทนเจ้านายแล้ว!

ทว่านางเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่โบกมือเป็นการบอกให้เสี่ยวซานไปทำตามที่ฮว่าผิงพูด

วันที่หิมะตกเช่นนี้ได้สวมชุดสีแดงสดก็ดีเหมือนกัน มิเช่นนั้นหากสวมอาภรณ์สีจืดๆ สีอาภรณ์คงกลืนไปกับหิมะ กระทั่งนางมองตนเองแล้วยังรู้สึกหนาวจนแข็งตายเป็นแน่

ในตอนที่เสี่ยวซานไปค้นหาชุดที่ตู้เสื้อผ้า หลี่หลิงหว่านก็เรียกให้ฮว่าผิงมาทำผมให้ตนเอง

ในช่วงที่นอนอยู่บนเตียงนี้ ผมของหลี่หลิงหว่านปล่อยสยายลงมานานแล้ว นางไม่อาจออกจากเรือนไปในสภาพปล่อยผมเช่นนี้ได้ หากให้ผู้อื่นพบเห็นเข้า พวกเขาย่อมมองนางด้วยสายตาที่แปลกประหลาดแน่นอน แต่นางก็เกล้าผมแบบโบราณไม่เป็น ดังนั้นจึงได้แต่ให้ฮว่าผิงมาทำแทนแล้ว

ฮว่าผิงรับคำก่อนจะพาหลี่หลิงหว่านมานั่งบนเก้าอี้กลมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โน้มตัวลงหยิบหวีงาช้างที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา พยายามไม่หวีไปถูกบริเวณที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ทางหนึ่งก็เอ่ยถามหลี่หลิงหว่าน “คุณหนู ท่านอยากเกล้ามวยผมแบบใดหรือเจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ย “แค่มวยห่วงคู่ก็พอ”

นางเป็นถึงคนเขียนนิยายโบราณ เมื่อก่อนจึงเคยค้นข้อมูลทางด้านนี้มาไม่น้อย

ฮว่าผิงรับคำ มือไม้คล่องแคล่วเกล้ามวยห่วงคู่ให้นางอย่างเบามือ ไม่ให้ผมตึงเกินไปจนส่งผลถึงบาดแผล จากนั้นจึงเปิดกล่องเครื่องประดับสองกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งทำจากไม้พะยูงหอมเคลือบเงาวาดลายผีเสื้อตอมดอกไห่ถัง ภายในนั้นบรรจุไปด้วยเครื่องประดับหลากหลายชนิด ดูงดงามหรูหราเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นหลานสาวคนโตของสกุลหลี่ แม้ยามนี้สกุลทางฝั่งของโจวซื่อจะตกอับไปแล้ว แต่ในปีที่โจวซื่อแต่งให้กับหลี่ซิวป๋อนั้นสกุลโจวก็ยังคงรุ่งเรืองดีอยู่ ดังนั้นจึงมีสินเจ้าสาวดีๆ มาด้วย ทั้งหลี่หลิงหว่านยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ไม่ว่าโจวซื่อมีของดีอะไรย่อมคิดถึงนางเสมอ แม้ในยามนี้หลี่หลิงหว่านจะมีอายุเพียงแค่แปดขวบ แต่นางก็มีเครื่องประดับในครอบครองมากมายแล้ว

ยามที่ฮว่าผิงเห็นบรรดาปิ่นแหวนต่างหูชั้นดีเหล่านี้ภายในกล่องเครื่องประดับ สายตาก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นส่งเสียงเอ่ยถาม “คุณหนู วันนี้ท่านอยากสวมเครื่องประดับแบบใดหรือเจ้าคะ”

กระจกสำริดฝังอัญมณีบนโต๊ะเครื่องแป้งถูกขัดถูจนเงาวับเป็นประกาย กระทั่งเส้นผมยังสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน แม้หลี่หลิงหว่านจะไม่ได้หันไปมองฮว่าผิง นางก็ยังสามารถมองเห็นอาการชะงักของอีกฝ่ายยามที่เห็นเครื่องประดับเหล่านั้นจากในกระจกสำริดได้ชัดเจนอยู่ดี

ในใจหลี่หลิงหว่านกระจ่างชัด เดิมทีฮว่าผิงในนิยายก็เป็นคนละโมบ เป็นคนที่ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว และเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านก็ไม่ใช่คนละเอียดรอบคอบอะไร ทั้งเครื่องประดับของนางก็มีอยู่มาก ภายหลังมีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ฮว่าผิงจึงมักแอบหยิบเครื่องประดับไปจำนำที่ข้างนอก จากนั้นก็จะซื้อเครื่องประดับชิ้นใหม่มาให้ตนเองสวมใส่

ฮว่าผิงนับว่าฉลาดอยู่หรอก นางรู้ว่าต่อให้ขโมยเครื่องประดับของหลี่หลิงหว่านไปแล้วก็สวมใส่อย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่ดี มิสู้หยิบเครื่องประดับเหล่านี้ไปขายแลกเงิน ทางหนึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ตนเองเล็กน้อย อีกทางยังสามารถนำเงินเหล่านี้ไปซื้อเครื่องประดับแบบอื่นมาสวมใส่ ทำเช่นนี้จึงจะปลอดภัยที่สุด

ฮว่าผิงเองยังเป็นคนที่มีวาทศิลป์อันยอดเยี่ยมและรู้ใจหลี่หลิงหว่านเป็นที่สุด เลือกพูดแต่คำพูดที่ผู้เป็นนายชอบฟัง เห็นหลี่หลิงหว่านเกลียดคนไหนก็จะคอยพูดให้ร้ายคนผู้นั้นต่อหน้านางเสมอ ทั้งยังคอยออกความเห็นว่าควรจะกลั่นแกล้งคนผู้นั้นอย่างไรดี ฉะนั้นเรื่องราวความร้ายกาจต่างๆ ที่หลี่หลิงหว่านกระทำต่อนางเอกหลี่หลิงเยี่ยนและหลี่เหวยหยวนในนิยายนั้น มีเจ็ดแปดส่วนที่เป็นความดีความชอบของฮว่าผิง ภายหลังที่ฮว่าผิงไม่ชอบหลี่หลิงเยี่ยนขึ้นมานั้นยังเคยอาศัยชื่อของหลี่หลิงหว่านไปลงมือกับอีกฝ่ายด้วย

ช่างทำผู้อื่นอายุขัยสั้นเสียจริง หลี่หลิงหว่านคิดอยู่ในใจเงียบๆ

เดิมทีในนิยายหลี่หลิงเยี่ยนเป็นเพียงคนเดียวที่ทำดีกับหลี่เหวยหยวน นางคือแสงอาทิตย์ในใจเขาเชียวนะ เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดและความอ้างว้างในใจเขา ต่อให้หลี่เหวยหยวนมีความสุขกับการทรมานผู้คนทั้งใต้หล้าเพียงใด แต่กับหลี่หลิงเยี่ยนแล้วเขาก็ยังทำดีด้วยอย่างถึงที่สุด ในภายหลังที่เขาทรมานหลี่หลิงหว่านเช่นนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากที่เจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านเคยรังแกหลี่หลิงเยี่ยนมาก่อน

เมื่อคิดถึงว่าฮว่าผิงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านต้องมีจุดจบเช่นนั้น ตนก็ไม่อยากเก็บฮว่าผิงไว้ข้างกายอีก ทว่านางเป็นบุตรสาวของคนในจวนสกุลหลี่ บิดานางดูแลรายรับจากการให้เช่าที่นาของจวนสกุลหลี่ มารดานางที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าก็มีหน้ามีตา ไม่ใช่ว่าขอแค่ตนพูดว่าจะย้ายนางไปแล้วก็จะสามารถย้ายนางไปได้ในทันที ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทนกับนางไปก่อนชั่วคราว

สุดท้ายหลี่หลิงหว่านก็เลือกหยิบเครื่องประดับผมรูปดอกไม้สีทองเล็กๆ สองดอกกับปิ่นมุกสองอันในกล่องเครื่องประดับขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ

ฮว่าผิงหยิบเครื่องประดับแต่ละชิ้นมาเสียบลงบนมวยผมทั้งสองข้าง

ขณะนั้นเสี่ยวซานก็หยิบชุดที่ก่อนหน้านี้ฮว่าผิงเป็นคนเอ่ยบอกชุดนั้นออกมารอปรนนิบัติหลี่หลิงหว่านเปลี่ยนชุดแล้ว

เดิมทีหลี่หลิงหว่านคิดอยากเปลี่ยนชุดเอง ด้วยเคยชินกับการแต่งตัวด้วยตนเองมาตลอด จู่ๆ มีคนมาคอยปรนนิบัติเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง ก่อนที่นางจะรู้ว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว

อาภรณ์ชุดนี้แม้มองภายนอกจะดูเรียบง่ายก็จริง แต่ยามที่สวมใส่กลับซับซ้อนยิ่งนัก แม้แต่นางยังสวมใส่ไม่เป็น…

ท้ายที่สุดหลี่หลิงหว่านก็สวมชุดเสร็จเรียบร้อยภายใต้การปรนนิบัติของเสี่ยวซาน ก่อนจะคลุมเสื้อคลุมขนนกสีแดงสดใสตัวเดิมที่เคยคลุมเอาไว้ตั้งแต่แรกทับอีกครั้ง ในอ้อมแขนยังมีเตาพก ทรงฟักทองเล็กๆ ใบหนึ่ง นางตั้งใจจะออกไปสัมผัสสวนดอกไม้จวนสกุลหลี่ที่ตนบรรยายเอาไว้ในหนังสือว่า ‘ดื่มด่ำทิวทัศน์ของหมู่มวลบุปผชาตินานาพรรณ’ เสียหน่อย

ยามที่หลี่หลิงหว่านออกจากเรือนก็พาเพียงเสี่ยวซานมาด้วย ไม่มีฮว่าผิงติดตาม

เห็นได้ชัดว่าฮว่าผิงเป็นคนหัวไวและควบคุมได้ยาก หากหลี่หลิงหว่านคิดอยากหลอกล่อย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเทียบกันแล้วเสี่ยวซานกลับใสซื่อกว่ามาก นางสามารถหลอกล่อและควบคุมอีกฝ่ายได้ง่ายกว่า

ปีนี้เสี่ยวซานอายุเก้าขวบแล้ว เป็นสาวใช้ที่เพิ่งถูกซื้อตัวเข้ามาใหม่ คำพูดคำจาและการกระทำล้วนระมัดระวัง เสี่ยวซานจะคอยเดินตามหลังหลี่หลิงหว่าน หากผู้เป็นนายไม่ชวนคุยขึ้นมาก่อนนางก็ไม่กล้าเปิดปากพูด

เกี่ยวกับเรื่องนี้หลี่หลิงหว่านค่อนข้างพึงพอใจอย่างมาก

แม้ยามนี้ในใจนางจะกำหนดเป้าหมายชัดเจนแล้ว แต่อย่างไรก็เพิ่งมาถึงยังสถานที่แห่งใหม่ พูดไปแล้วที่นี่ก็มิต่างจากสถานที่ลี้ลับ ถ้าบอกว่านางไม่กังวลเลยย่อมเป็นการโกหกอย่างแน่นอน

นางเดินช้าๆ ไปตามทางเดินยาวรอบสวนดอกไม้ ดวงตากวาดมองไปรอบด้าน

สมแล้วที่เป็นสถานที่สำหรับดื่มด่ำทิวทัศน์ของหมู่มวลบุปผชาตินานาพรรณ ต่อให้ในยามนี้จะเป็นฤดูหนาวที่สรรพสิ่งราวกับไร้ชีวิตชีวา ทว่าภายในสวนดอกไม้แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยสีสันมากมาย

ที่นี่มีต้นไม้ที่เขียวขจีตลอดทั้งสี่ฤดูอย่างต้นการบูรและต้นกุ้ย ต้นหนี่ว์เจิน ที่ให้ผลสีอย่างหินปะการังแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ดอกล่าเหมย สีเหลืองที่ยืนหยัดอยู่ตรงมุมกำแพงริมน้ำ มีหิมะบางๆ ชั้นหนึ่งอยู่บนพื้น มองดูแล้วทำให้จิตใจสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง

หลี่หลิงหว่านยกเท้าก้าวลงจากระเบียงทางเดินไป

ในอากาศยังมีเกล็ดหิมะเกล็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมา เสี่ยวซานกางร่มผ้าไหมเคลือบน้ำมันสีเขียวออกบังหิมะบนศีรษะหลี่หลิงหว่าน แต่นางกลับเห็นว่ายุ่งยาก บอกให้เสี่ยวซานกางบังหิมะบนศีรษะตนเองไปคนเดียวก็พอ ส่วนนางกลับยกหมวกคลุมศีรษะของเสื้อคลุมขึ้นสวมแล้วเดินต่อไปในสวนดอกไม้ เท้าของนางสวมรองเท้าที่ทำมาจากหนังแพะจึงไม่กลัวความชื้นจากกองหิมะบนพื้น เพียงมุ่งหน้าเดินไปยังสวนดอกไม้ในมุมที่อยู่ลึกเข้าไป

เสี่ยวซานรีบร้อนติดตามมาด้านหลัง

เดิมทีเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านในนิยายก็เป็นเพียงตัวประกอบหญิงเท่านั้น ทั้งยังเป็นแค่ตัวประกอบหญิงในนิยายช่วงครึ่งแรก จำนวนครั้งในการปรากฏตัวนับได้ว่าไม่มาก เกี่ยวกับสาวใช้ข้างกายนางนั้น หลี่หลิงหว่านย่อมไม่เสียเวลาไปอธิบายอะไรมากมาย เสี่ยวซานเองก็มีกล่าวถึงแค่น้อยนิดเพียงไม่กี่คำว่ามีสาวใช้คนนี้ปรากฏตัวอยู่เท่านั้น แท้จริงแล้วอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นไร เป็นคนแบบไหนนั้นกลับไม่เคยเขียนถึงมาก่อนแม้แต่ประโยคเดียว

แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซานจะเป็นคนจงรักภักดีต่อเจ้านายขนาดนี้

เห็นหลี่หลิงหว่านยังคงมุ่งหน้าเดินตรงไป นางก็ไม่สนใจความลำบากในการย่ำเดิน รีบก้าวเท้าอย่างทุลักทุเลบนกองหิมะมาขวางที่ด้านหน้าหลี่หลิงหว่านพร้อมรีบร้อนเอ่ย “คุณหนู ท่านเดินไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”

“ทำไมข้าจะไปไม่ได้” หลี่หลิงหว่านหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่นาง “ข้างหน้านั่นเป็นสถานที่อะไรกัน กระทั่งข้ายังไปไม่ได้เชียวรึ!”

“ข้างหน้า…ข้างหน้า…” เสี่ยวซานพยายามเค้นคำพูดจนใบหน้าแดงก่ำ กระทั่งตะกุกตะกักออกมาแล้วนางถึงค่อยรวบรวมความกล้าพูดมันออกมาได้ “หากยังไปต่อ ข้างหน้าก็จะเป็นสถานที่ต้องห้ามแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเคยพูดแต่แรกแล้วว่าคนในจวนทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้น หากฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องขึ้นมาเมื่อใด คนผู้นั้นจะถูกโบยและถูกไล่ออกจากจวนเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านเข้าใจเรื่องราวในทันที

เห็นทีข้างหน้านั่นคงเป็นสถานที่ที่ใช้กักบริเวณตู้ซื่อเป็นแน่ เดิมทีนางก็อยากจะไปดูที่นั่นแต่แรกอยู่แล้ว นางจึงเอ่ยกับเสี่ยวซาน “ไม่เป็นไร ข้าเป็นหลานสาวคนโตของท่านย่า เจ้าคิดว่าท่านย่าจะกล้าโบยหรือไล่ข้าออกจากจวนจริงๆ หรือ เจ้าหลีกไปเถอะ ข้าอยากจะเดินไปดูสักหน่อย”

ทว่าเสี่ยวซานกลับไม่ยอมหลีกทางให้ ไม่ว่าหลี่หลิงหว่านจะพูดหรือทำหน้าถมึงทึงใส่อย่างไรนางก็ยังไม่หลีก เพียงพูดซ้ำไปมาว่า “คุณหนู ท่านไปที่นั่นไม่ได้เจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวซานจะหัวรั้นถึงเพียงนี้ ชั่วขณะนั้นจึงคิดหาหนทางไม่ออก ทำได้เพียงกุมขมับอย่างจนปัญญา

ยื้อกันไปมาเช่นนี้สักพักหนึ่ง หลี่หลิงหว่านก็เห็นคนเดินออกมาจากสถานที่ที่เสี่ยวซานบอกว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งนั้น

ท่ามกลางอากาศที่มีหิมะโปรยปรายลงมา กระทั่งชายคายังมีน้ำแข็งห้อยย้อย บนพื้นก็ปรากฏแผ่นน้ำแข็ง ทว่าบนร่างกายคนผู้นั้นกลับสวมเพียงชุดจื๋อตัว บางๆ ชุดหนึ่งที่ซักจนสีน้ำเงินกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ที่เท้าก็สวมเพียงรองเท้าผ้าเก่าขาดคู่หนึ่ง ตัวรองเท้าเองยังชื้นไปด้วยน้ำจากหิมะจนทั่ว ยามที่เดินจะทิ้งรอยน้ำขนาดใหญ่เอาไว้

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้คนผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหนาวแข็งจนตัวหดงอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับยืดแผ่นหลังอันผอมโซได้อย่างมั่นคงราวกับต้นไผ่กลางพายุหิมะที่ไม่มีวันยอมก้มศีรษะให้กับผู้ใด

ภายในสวนดอกไม้แห่งนี้ จู่ๆ ก็ปรากฏเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองสิบสามเช่นนี้ขึ้นกะทันหัน ทั้งยังสวมอาภรณ์เก่าขาด มีกลิ่นอายแข็งกร้าวแผ่ออกมา และเดินมาจากทิศของเรือนที่ใช้กักบริเวณตู้ซื่อพอดี หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองสามารถคาดเดาถึงตัวตนของคนผู้นี้ได้

นี่จะต้องเป็นหลี่เหวยหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย

นางเองก็จินตนาการถึงสถานการณ์ตอนที่ได้พบกับหลี่เหวยหยวนครั้งแรกอยู่หลายแบบ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันในตอนนี้ ช่วงเวลาที่นางไม่ทันได้เตรียมตัวมาก่อน มารดาเถอะ ข้ายังไม่ได้เตรียมใจรับมือกับเขาเลยสักนิด แล้วทีนี้ควรจะทำอย่างไรดีเล่า

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: