X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 14

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่สิบสี่

 ระหว่างที่รอเสี่ยวซานกลับมา หลี่หลิงหว่านก็ลุกขึ้นเดินไปมาจนทั่วห้อง เอาแต่นั่งยองๆ อยู่นานจนขารู้สึกชาราวกับถูกเข็มนับพันเล่มแทงอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งนางยากจะทนไหว

โชคดีที่หลี่เหวยหยวนไม่ได้ห้ามเรื่องที่นางเดินไปเดินมาในห้องเขาเช่นนี้ เขายังคงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเขี่ยกระถางไฟตรงหน้า ใช้ไม้คีบปลายทองแดงในมือคอยพลิกถ่านที่อยู่ข้างในอย่างช้าๆ ไปตามเดิม

เปลวเทียนกับไฟจากถ่านหลอมละลายความเย็นชาตรงหว่างคิ้วของหลี่เหวยหยวน ทำให้ตัวเขาในยามนี้มองดูแล้วให้ความรู้สึกราวกับเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามคนหนึ่ง

หลี่หลิงหว่านคอยเหลือบมองใบหน้าด้านข้างอันไร้ที่ติของเขาอยู่บ่อยครั้ง หลังจากนั้นนางก็เคลิบเคลิ้มหลงมัวเมา สีหน้าภาคภูมิใจขณะคิดว่า ให้ตายสิ ช่างหล่อจริงๆ นี่เป็นตัวละครที่ข้าเขียนขึ้นมาเองกับมือเชียวนะ แต่อีกทางหนึ่งก็คิดด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า เหตุใดข้าจะต้องข้ามมิติมาเป็นตัวประกอบหญิงที่สุดท้ายก็ถูกเขาฆ่าตายคนนี้ด้วยเล่า หากข้ามมิติมาเป็นนางเอกจะยอดเยี่ยมเพียงใดนะ มีประกายความเป็นนางเอกติดตัว ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รอให้พวกเขามาคอยรับใช้ที่ใต้ฝ่าเท้าของตนเองก็พอแล้ว เฮ้อ!

ความทุกข์สุขในใจผสมปนเป ดั่งเปลวเพลิงกับน้ำแข็งปะทะกัน สุดท้ายหลี่หลิงหว่านที่เศร้าโศกก็เจอเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กอยู่ที่บริเวณมุมห้องห้องหนึ่ง สองมือเล็กๆ ย้ายเก้าอี้มาที่ตรงหน้าหลี่เหวยหยวน นางเงยหน้าเอ่ยยิ้มแย้มกับเขา “พี่ชาย นั่งสิเจ้าคะ”

นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้กำลังประจบเอาใจ แต่กลายเป็นสุนัขรับใช้ไปแล้วจริงๆ

หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองนางคราหนึ่ง ทว่าไม่ได้นั่งลง เขากลับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง

หลี่หลิงหว่านกำลังงุนงงว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใด ในใจนางกระวนกระวาย ก่อนจะเห็นหลี่เหวยหยวนยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กซึ่งเหมือนกับที่นางเจอเมื่อครู่เข้ามาวางไว้ที่ข้างเท้านาง

เจตนาชัดเจนยิ่งนัก นั่นก็คืออยากให้นางนั่ง

หลี่หลิงหว่านตกใจกับความเมตตาที่ได้รับโดยไม่คาดฝัน นางรีบร้อนนั่งลง ทั้งยังเอ่ยขอบคุณหลี่เหวยหยวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ชาย”

ตอนที่นางนั่งลงบนเก้าอี้ ในใจก็มีความสุขยิ่งนัก

หลังคอยตามอยู่ด้านหลังหลี่เหวยหยวนเพื่อวางแผนโจมตีเขาอย่างยากลำบากมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เขาเป็นฝ่ายทำดีกับนางก่อน แม้จะเพียงแค่ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวหนึ่งมาให้นาง ทว่าในใจหลี่หลิงหว่านก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว

เป็นเพราะว่ามีความสุข รอยยิ้มบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านจึงออกมาจากใจจริง มองดูแล้วยิ่งงดงามเป็นพิเศษ

“พี่ชาย” นางเรียกหลี่เหวยหยวนอย่างมีความสุข “พี่ชอบกินอะไรหรือเจ้าคะ”

การคว้ากระเพาะอาหารของบุรุษมาได้นั้นก็เปรียบเหมือนกับการคว้าหัวใจของเขาเอาไว้ได้ บอกข้ามาเถอะ ภายหน้าข้าจะหาหนทางตามหาของเหล่านั้นมาป้อนเจ้าเอง

หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็ยิ้มเย้ยหยันตนเองขึ้นมา “ข้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงเรื่องชอบไม่ชอบกันเล่า ไม่ว่าคนครัวจะเอาอะไรมาให้ข้า ข้าก็ย่อมต้องกินสิ่งนั้นอยู่แล้ว”

แม้คำพูดที่เอ่ยออกมาจะฟังดูหาเรื่องอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตอบในสิ่งที่นางถาม ถือเป็นความก้าวหน้าไม่น้อยแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงไม่ถือสาท่าทีเช่นนี้ของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังถามถึงงานด้านอื่นๆ ของเขาอย่างกระตือรือร้น

ในนิยายของนาง หลี่เหวยหยวนนับเป็นแค่ตัวประกอบชายอันดับสอง ขณะที่นางทุ่มเทลงรายละเอียดให้กับพระเอกและตัวประกอบชายอันดับหนึ่งมากกว่า เพราะหลักๆ แล้วหลี่เหวยหยวนก็มีบทมาเพื่อเป็นศัตรูกับพระเอกและตัวประกอบชายอันดับหนึ่ง กระตุ้นให้เรื่องราวดำเนินไปข้างหน้าเท่านั้น นางจึงไม่เคยต้องคิดอย่างละเอียดประณีตหรือบรรยายถึงสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่เกลียดต่างๆ นานาของเขา ทว่ายามนี้นางอยากจะปราบหลี่เหวยหยวน จึงจำเป็นต้องถามถึงบรรดาสิ่งที่เขาชอบและเกลียดให้กระจ่างสักหน่อย เพื่อไม่ให้เผลอไปแตะเกล็ดย้อนของเขาเข้าโดยไม่รู้ตัว มิเช่นนั้นถึงตอนนั้นเกรงว่ากระทั่งตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

โชคดีที่แม้หลี่เหวยหยวนจะตอบห้วนสั้นจนถึงขั้นฟังดูหาเรื่องไปบ้าง แต่เขาก็ยังตอบทุกๆ คำถามที่นางถาม

หลี่หลิงหว่านดีใจยิ่งนัก ทั้งรู้สึกว่าในใจหลี่เหวยหยวนได้เริ่มโอนอ่อนให้กับนาง กระทั่งยามนี้นางมองเห็นแสงสว่างแห่งชัยชนะอยู่ที่เบื้องหน้าเรียบร้อยแล้ว

ไม่ว่าวันหน้าหลี่เหวยหยวนจะใจคอโหดเหี้ยมหรือจิตใจบิดเบี้ยววิปริตเช่นไร ทว่าในยามนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสามคนหนึ่ง ส่วนที่เขาจะเติบโตจนออกนอกทางหลังจากนี้ อย่างน้อยนางก็ยังดึงรั้งกลับมาได้ทัน

หลี่หลิงหว่านมีความมั่นใจในตนเองอย่างมาก นางตัดสินใจว่าจะเป็นโคมไฟที่ส่องสว่างบนเส้นทางในวันหน้าของหลี่เหวยหยวนดวงนั้นเรียบร้อยแล้ว จะโน้มน้าวเขาไปยังเส้นทางที่ห่างไกลจากเส้นทางที่นางออกแบบให้เขาต้องกลายเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมและมีจิตใจบิดเบี้ยววิปริต

ภายใต้การปลุกความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ไปรอบหนึ่งนั้น หลี่หลิงหว่านมองดูหลี่เหวยหยวนในคืนนี้แล้วก็มีความสุขเป็นพิเศษ อย่างน้อยในสายตาของเขา รอยยิ้มบนใบหน้านางก็ไม่เคยเลือนหายไป

เดิมทีองคาพยพทั้งห้าของนางก็งดงามชวนมองมากอยู่แล้ว เพียงแต่ในความทรงจำของหลี่เหวยหยวน ความรู้สึกบนใบหน้าของหลี่หลิงหว่านยามที่มองคนอื่นมักจะขาดเสน่ห์อยู่เสมอ ต่อให้องคาพยพจะดูงดงามชวนมองมากกว่านี้ แต่นั่นก็เป็นแค่หุ่นไม้โฉมงามเท่านั้น ตรงข้ามกับยามนี้ที่หลี่หลิงหว่านดูมีชีวิตชีวา รอยยิ้มนางเบิกบานดุจดอกไม้ ราวไข่มุกไร้สีสันเม็ดหนึ่งที่จู่ๆ ก็สะบัดฝุ่นผงบนตัวออกไปทั้งหมดแล้วทั่วทั้งร่างพลันเปล่งประกายสว่างไสวออกมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวยากจะลืมเลือน

ตอนนี้ไข่มุกเม็ดนี้กำลังขยับเข้ามาใกล้หลี่เหวยหยวน มองไปยังชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายสีน้ำเงินสว่างชุดนั้นบนร่างเขาอย่างละเอียด “พี่ชาย ชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดนี้ขาดเป็นรูตั้งหลายที่แล้ว พี่ถอดออกมาเถอะ ข้าจะเอากลับไปให้สาวใช้ช่วยเย็บให้พี่เจ้าค่ะ”

พูดถึงงานเย็บปักถักร้อยแล้วหลี่หลิงหว่านไม่ค่อยจะถนัดนัก เมื่อก่อนแม้แต่จะเย็บกระดุมยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางจึงทำได้เพียงเอากลับไปรบกวนพวกเสี่ยวซานแล้ว

แต่หลี่เหวยหยวนกลับปฏิเสธเสียงเย็นชา “ขาดแล้วก็โยนทิ้งไป”

รูบนชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดนี้ล้วนเป็นร่องรอยจากที่เมื่อครู่ตู้ซื่อใช้แส้ฟาดเขาเหลือทิ้งเอาไว้ ยังจะให้เขาเก็บชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดนี้ไว้เพื่ออะไรอีก เพื่อคอยกระตุ้นเตือนตนเองในทุกขณะว่ามารดาแท้ๆ มักจะทุบตีเขาอย่างโหดร้ายน่ะหรือ เขายอมไม่เก็บไว้เสียดีกว่า

หลังหลี่หลิงหว่านได้ยินก็รู้ว่าคำพูดนั้นของนางทำให้หลี่เหวยหยวนไม่สบอารมณ์อีกแล้ว นางจึงไม่บีบบังคับเขาอีก เปลี่ยนมายิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรชุดคลุมยาวชุดนี้ก็ขาดขนาดนี้แล้ว เย็บไปก็ไม่น่ามอง โยนทิ้งไปเสียเลยดีกว่า ไว้พรุ่งนี้ข้าค่อยให้ชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดใหม่ที่ดียิ่งกว่านี้สองชุดกับพี่ก็ได้เจ้าค่ะ”

ด้วยเกรงว่าหลี่เหวยหยวนจะคิดมากกับคำพูดประโยคนี้ของตนเอง หลี่หลิงหว่านจึงรีบเอ่ยชี้แจงคล้ายกำลังล้อเล่น “ข้ากับพี่เป็นพี่น้องกัน ของพี่ก็คือของข้า ของข้าก็คือของพี่ จะมาแบ่งแยกอะไรกันอีกเจ้าคะ พี่ชาย พี่อย่าได้เกรงใจกับข้าเชียว”

หลี่เหวยหยวนไม่ได้ทำตัวเกรงใจกับนางแต่อย่างใด แม้เขาไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะรับ เขายังคงมีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก มองไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

หลี่หลิงหว่านรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง โชคยังดีที่เสี่ยวซานกลับมาแล้วในที่สุด

เห็นทีข้างนอกหิมะคงจะตกหนักกว่าเดิม ทั้งบนศีรษะกับร่างของเสี่ยวซานจึงล้วนเต็มไปด้วยหิมะ ตัวคนก็ราวกับตุ๊กตาหิมะอย่างไรอย่างนั้น

หลี่หลิงหว่านรีบร้อนเดินขึ้นหน้าไป ทางหนึ่งรับกล่องอาหารในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ อีกทางก็เอ่ยตำหนิ “เหตุใดเจ้าจึงไม่กางร่มเล่า หิมะตกลงมาเต็มตัวเจ้าไปหมดแล้ว รออีกสักพักตอนที่หิมะละลาย อาภรณ์บนตัวเจ้าจะต้องเปียกไปหมดแน่”

เสี่ยวซานยิ้มตอบกลับ “บ่าวกางร่มแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ลมแรงเกินไป กางร่มแล้วก็ไม่ช่วยอะไร เกล็ดหิมะยังคงพัดมาโดนตัวบ่าวเช่นเดิมเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงหันกลับมาดึงเสี่ยวซานให้เดินมาตรงด้านหน้ากระถางไฟ อยากให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวนั้นที่เมื่อครู่นางเพิ่งจะนั่งลงไป

ทว่าเสี่ยวซานกลับไม่กล้านั่ง เพราะสายตาของคุณชายใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามนั้นเย็นชาจนน่าตกใจยิ่งนัก

ดังนั้นเสี่ยวซานจึงส่งเสียงเรียกคุณชายใหญ่หนหนึ่งอย่างตะกุกตะกัก จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หลิงหว่าน “คุณหนู บ่าวแค่ยืนเฉยๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

แต่หลี่หลิงหว่านยังคงดึงตัวนางไว้ “จะยืนได้อย่างไรเล่า ยืนผิงไฟแม้ถึงเท้าก็ไม่ถึงมือ เจ้านั่งลงเถอะ ยื่นทั้งมือและเท้าออกไปข้างกระถางไฟ เช่นนี้เจ้าก็สามารถผิงไฟได้ทั้งตัวแล้ว”

เสี่ยวซานแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว สายตาที่คุณชายใหญ่มองมายังนางเย็นชาถึงที่สุดแล้ว ราวกับว่าหากนางนั่งเมื่อไรเขาก็จะฆ่านางทันที แล้วจะให้นางกล้านั่งได้อย่างไรเล่า

“คุณหนู บ่าวยืนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”

ขณะที่พวกนางสองคนกำลังฉุดรั้งกันไปมา ก็เห็นหลี่เหวยหยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้กะทันหัน เขาเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซานมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าหนนี้เขากำลังจะแสดงท่าทีเช่นไรอีก

เพียงไม่นานก็เห็นหลี่เหวยหยวนกลับมาอีกครั้ง ในมือเขายังถือเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวหนึ่งมาด้วย

หลังเดินเข้ามาแล้วเขาก็วางเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นลงข้างกระถางไฟฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไป ทั้งไม่ระบุนามและไม่ระบุแซ่ เพียงเอ่ยห้วนๆ ออกมาว่า “เจ้ามานั่งตรงนี้”

ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่เขายกมาให้หลี่หลิงหว่าน หรือจะเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่หลี่หลิงหว่านยกมาให้นั้น เขาก็ล้วนไม่อยากให้คนอื่นมานั่ง แต่พอเห็นท่าทียืนกรานของหลี่หลิงหว่านแล้ว สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงเดินออกไปยังห้องของจิ่นเหยียนที่อยู่ด้านข้าง ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กอีกตัวหนึ่งออกมาให้เสี่ยวซานนั่ง

เสี่ยวซานเข้าใจความตั้งใจดีของหลี่เหวยหยวน นางย่อกายลงขอบคุณเขาอย่างหวาดหวั่น ทว่านางยังคงไม่กล้านั่งอยู่ดี

เรื่องให้นั่งลงผิงไฟข้างกระถางไฟกับคุณชายใหญ่เช่นนี้แม้แต่คิดนางก็ยังไม่กล้าเลย กลิ่นอายอำมหิตรอบกายคุณชายใหญ่ที่แผ่ออกมาอย่างไร้รูปร่างนั้นมากพอจะทำให้นางเข่าอ่อนได้แล้ว

กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ยังคงดึงเสี่ยวซานมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นซึ่งหลี่เหวยหยวนเพิ่งยกมาให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังหยิบยาทาที่เสี่ยวซานนำมาให้วิ่งไปข้างๆ หลี่เหวยหยวนแล้วเอ่ยถามเขา “พี่ชาย อยากให้ข้าช่วยทายาให้พี่หรือไม่เจ้าคะ”

ความจริงแล้วถึงนางจะถามเขาไปเช่นนี้ แต่ในใจก็ไม่ได้อยากจะช่วยทาให้เขาจริงๆ เสียหน่อย นางย่อมคิดว่าหลี่เหวยหยวนจะต้องปฏิเสธออกมาอย่างแน่นอน เพราะเมื่อครู่เพียงแค่นางเผลอสัมผัสโดนคอเขาไปเล็กน้อย เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาจนเกือบจะเอาไม้คีบปลายทองแดงฟาดศีรษะนางแล้ว

คาดไม่ถึงเลยสักนิดว่านางเพิ่งจะถามจบก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนผงกศีรษะเอ่ยคำว่า “ดี” ออกมาคำหนึ่งอย่างเรียบง่าย

“…”

หลุมที่ตนเองเป็นคนขุดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกระโดดลงไป ดังนั้นนางจึงเปิดฝาตลับยาออกอย่างปลงตก ใช้นิ้วชี้มือขวาป้ายเนื้อยาแก้ฟกช้ำขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งใจจะทาลงบนรอยเลือดสองรอยนั้นบนลำคอของหลี่เหวยหยวน

ทว่าที่หลังลำคอของเด็กหนุ่มกลับมีเส้นผมหลายเส้นหลุดออกมาบังรอยแผลไว้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงใช้มือซ้ายปัดเส้นผมเหล่านี้ออก จากนั้นก็อาศัยแสงจากเปลวเทียนด้านข้างป้ายเนื้อยาบนนิ้วชี้มือขวาลงไปบนรอยเลือดสองรอย ก่อนจะใช้นิ้วชี้ค่อยๆ เกลี่ยตัวยาลูบไล้ไปมาบนรอยเลือดอย่างช้าๆ

ยาทาแฝงไปด้วยกลิ่นป้อเหอ อันสดชื่น การเคลื่อนไหวของหลี่หลิงหว่านก็ทั้งแผ่วเบาและอ่อนโยน นางมักจะเอ่ยถามเขาอยู่บ่อยๆ ว่า “พี่ชาย ทำเช่นนี้พี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”

ในใจหลี่เหวยหยวนกำลังครุ่นคิด ไม่ว่านางจะมีเหตุผลอะไรที่เข้ามาใกล้และประจบเขาเช่นนี้ แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไม่เป็นไร ขอเพียงในภายภาคหน้านางยังคงเข้าใกล้และประจบเขาเช่นนี้ แม้จะเสแสร้งอยู่แค่ต่อหน้าก็ตาม ทว่าเขายินดียอมรับมัน และในเมื่อยอมรับแล้ว เขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือ

ในใจยังคิดอย่างบ้าคลั่งว่ายากนักที่จะมีคนยินยอมเข้าใกล้และประจบเขาเช่นนี้ เช่นนั้นในภายภาคหน้าต่อให้ต้องตายเขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือ ทว่าจะดึงนางไปด้วยกันเสียเลย

บาดแผลบนร่างกายหลี่เหวยหยวนไม่ได้มีเพียงที่ลำคอเท่านั้น ทว่ายังมีที่หน้าอก โดยเฉพาะยิ่งมีมากที่แผ่นหลังของเขา ยังดีที่ยามนี้เป็นฤดูหนาว อาภรณ์ที่เขาสวมใส่ภายนอกจึงมีหลายชิ้นและตัวชุดก็หนา อีกทั้งเรี่ยวแรงของตู้ซื่อก็ไม่ได้มากมายอะไร ดังนั้นบาดแผลที่หน้าอกกับแผ่นหลังของเขาจึงไม่ได้ลึกเท่ากับบาดแผลที่ลำคอ

ทว่าเมื่อเห็นบนผิวขาวกระจ่างมีรอยแส้เกยทับกันเป็นเส้นๆ เช่นนี้ก็ทำให้คนตื่นตกใจไม่น้อย

รอยแส้บริเวณหน้าอกเหล่านั้นหลี่เหวยหยวนยังสามารถหยิบยามาทาด้วยตนเองได้ แต่รอยบริเวณแผ่นหลังพวกนั้น…

เดิมทีหลี่หลิงหว่านวางแผนแค่จะช่วยทายาตรงรอยแส้สองรอยบริเวณลำคอให้เขาเท่านั้น แสดงความห่วงใยต่อเขาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว ส่วนพวกรอยแส้อื่นๆ บนร่างกายเขานั้นให้เสี่ยวซานเป็นคนทาก็ได้จริงหรือไม่

ทว่าหลี่เหวยหยวนกลับไม่พอใจ

เมื่อครู่นางยื่นตลับยาไปให้เสี่ยวซาน กำชับให้ช่วยทายาตรงรอยแส้บนร่างกายคุณชายใหญ่ เสี่ยวซานเองก็รับคำแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้หลี่เหวยหยวนก็ถูกสายตาเย็นชาของเขาทำให้ตกใจจนถอยร่นกลับมาสองก้าวเสียก่อน แม้แต่ตลับยาในมือก็เกือบจะตกลงพื้น

เห็นได้ชัดว่าหลี่เหวยหยวนไม่อยากให้เสี่ยวซานช่วยทายาให้ แต่เขาก็ยังปากแข็งไม่ยอมเอ่ยปากให้หลี่หลิงหว่านเป็นคนทาให้ เอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ในมือถือไม้คีบปลายทองแดงเขี่ยถ่านในกระถางไฟไปมาอย่างรุนแรง กระทั่งถ่านในกระถางไฟแทบจะถูกเขาป่นเป็นผงหมดแล้วจริงๆ

หลี่หลิงหว่านไม่รู้ว่าเขากำลังเอาแต่ใจอะไรอีก นางคิดแล้วจึงเอ่ยถามเขาอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย บาดแผลบนร่างของพี่…เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”

“เจ็บ” หนนี้หลี่เหวยหยวนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังคล้ายแฝงไปด้วยความแค้นอันลึกล้ำ คำคำนี้แทบจะเค้นลอดไรฟันออกมา

หลี่หลิงหว่านรู้สึกโมโห ให้ตายเถอะ เจ้าเจ็บข้าก็จะให้เสี่ยวซานช่วยทายาให้เจ้าแล้วมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงได้ถลึงตามองนางอย่างดุร้ายเช่นนั้นด้วย ทำเอานางตกใจจนยามนี้หลบอยู่หลังข้าแล้ว ตัวสั่นไปทั้งร่างราวกับลูกนกกลางสายฝนอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเดินขึ้นหน้าไปสักก้าว

หลี่หลิงหว่านข่มกลั้นโทสะลงไปในท้อง ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าให้เสี่ยวซานทายาให้พี่?”

ไม้คีบปลายทองแดงในมือหลี่เหวยหยวนแทงถ่านก้อนหนึ่งในกระถางไฟอย่างรุนแรง ทำเอาถ่านก้อนนั้นแตกออกเป็นหลายท่อน กลายเป็นสะเก็ดไฟกระจายไปรอบทิศทันที

“ไม่ต้อง!” สองคำนี้ราวกับเต็มไปด้วยความแค้นอันลึกล้ำ เบียดลอดไรฟันออกมาจริงๆ

หลี่หลิงหว่านอยากจะพุ่งขึ้นหน้าไปใช้ฝ่ามือทักทายศีรษะเขาแล้วจริงๆ ยังมาพูดว่าเจ็บอีกหรือ พอบอกจะช่วยทายาให้เจ้า ตัวเจ้าก็ดันบอกว่าไม่ต้องเสียนี่ ให้ตายเถอะ เจ้าอย่าได้ทำตัวให้รับใช้ยากเย็นถึงเพียงนี้ได้หรือไม่

หลี่หลิงหว่านเองก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว นางโกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กโดยไม่ขยับเคลื่อนไหว

อยากเจ็บก็เจ็บไปเถอะ เจ็บจนตายไปเสียเลย ถึงอย่างไรไม่ใช่ข้าที่เจ็บก็พอ

หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านไม่พูดไม่จาอีกจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้สายตาเหลือบมองนางอย่างรวดเร็วจนใครก็จับสังเกตไม่ทัน

เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงโกรธแล้ว ริมฝีปากนางเม้มแน่น สีหน้าขมวดมุ่นราวกับว่าจะมีพายุมาเยือน คล้ายกับว่าหากใครกล้าไปหาเรื่องนางในตอนนี้ นางก็กล้าจัดการกับคนผู้นั้น

ทว่าหลี่เหวยหยวนไม่ได้เกรงกลัวหลี่หลิงหว่านเลย ในใจเขาคาดเดาได้ว่านางจะต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอร้องเขาอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นหลายวันมานี้นางคงไม่เข้าใกล้เขา กระทั่งประจบประแจงเขาทั้งๆ ที่หวาดกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้

เขาขยับไม้คีบปลายทองแดงในมือแทงถ่านในกระถางไฟต่อไป สะเก็ดไฟปะทุขึ้นมาเป็นสาย

หลี่หลิงหว่านเพียงทำเหมือนไม่เห็น นางยังเอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่เฉยๆ ริมฝีปากเม้มสนิท

เสี่ยวซานนั่งมองพวกเขาอย่างอกสั่นขวัญผวาอยู่ที่ด้านข้าง เหตุใดจึงรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังเอาชนะกันอย่างไรอย่างนั้น ที่สุดแล้วใครจะเป็นฝ่ายชนะก่อนกันแน่นะ

ความเป็นจริงช่วยยืนยันให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงหว่านที่พ่ายแพ้อยู่ดี นางถอนหายใจยาวออกมาในใจคำรบหนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหวยหยวน น้ำเสียงอ่อนหวานตามเดิม “พี่ชาย พี่อยากจะทำอย่างไรกันแน่ พี่ไม่ให้เสี่ยวซานช่วยทายาให้พี่ เช่นนั้นข้าช่วยพี่ทาดีหรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านยอมเปิดปากคุยกับเขาแล้วในที่สุด มือที่กำไม้คีบปลายทองแดงของหลี่เหวยหยวนจึงคลายลง ขณะเดียวกันในใจเขาก็รู้สึกโล่งอก

“ดี”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: