บทที่สี่
วันถัดมายามที่หลี่หลิงหว่านตื่นนอน นางก็พบว่าหิมะข้างนอกได้หยุดตกลงไปแล้ว
กระนั้นหิมะที่ตกหนักมาตลอดทั้งคืนก็ทำให้โลกภายนอกยามนี้มิต่างจากโลกที่สร้างขึ้นมาจากหิมะ
ในใจหลี่หลิงหว่านมีความสุขจนกระโดดโลดเต้น เพราะชาติก่อนนางเป็นคนใต้ ต่อให้เป็นฤดูหนาวก็ยังยากจะได้เห็นหิมะ
เสี่ยวอวี้ยกน้ำเข้ามาให้หลี่หลิงหว่านล้างหน้า จัดการเปลี่ยนยาที่แผลและพันผ้าพันแผลให้ใหม่ เสี่ยวซานก็ถูกฮว่าผิงสั่งให้ไปหยิบชุดที่ผู้เป็นนายจะต้องใส่ในวันนี้
เห็นเมื่อวานที่เสี่ยวอวี้คุกเข่าให้แล้ว ยามนี้หลี่หลิงหว่านจึงไม่ค่อยกล้าเกรงใจพวกนางเท่าไรแล้ว แต่จะให้นางทนเห็นฮว่าผิงทำตัวใช้อำนาจสั่งการคนอื่นเช่นนี้ก็ยากอีก อาจเป็นเพราะว่ามีอคติมาก่อน ในนิยายฮว่าผิงผู้นี้ก็ไม่ใช่ตัวละครที่ดีอะไร อีกทั้งสามวันที่ผ่านมานี้นางได้มองจากมุมมองของคนนอก รู้สึกว่าฮว่าผิงผู้นี้ค่อนข้างจะคิดเองเออเองมากเกินไปแล้วจริงๆ
ปีนี้ฮว่าผิงอายุสิบสาม ในบรรดาสาวใช้ของเรือนอี๋เหอทั้งหมดอายุของนางนั้นมากสุด แม้จะมีบ่าวหญิงอาวุโสสองคนที่อายุมากกว่า ทว่าพวกนางก็เป็นแค่บ่าวทั่วไปเท่านั้น ปกติถูกฮว่าผิงสั่งการจนหัวหมุนอย่างไรบ้างนั้นไม่พูดถึง แต่หากมีตรงส่วนใดที่ทำได้ไม่สมใจนางแล้วล่ะก็ ฮว่าผิงจะถลึงตาเลิกคิ้วด่าทอบ่าวหญิงอาวุโสทันทีจนสองคนนั้นพากันหวาดกลัว เมื่อเทียบกับหลี่หลิงหว่านแล้ว ฮว่าผิงทำตัวราวกับเป็นคุณหนูเสียมากกว่า
หลี่หลิงหว่านทนท่าทีเช่นนี้ของฮว่าผิงไม่ไหวอย่างยิ่ง อยากจะไล่อีกฝ่ายออกไปเสียเลย แต่พอคิดถึงว่ายามนี้ตนเองยังเข้าใจไม่กระจ่างถึงสภาพทุกอย่างภายในจวนสกุลหลี่ ทั้งมารดาของฮว่าผิงยังเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน เกรงว่านางคงไม่อาจจะจัดการกับฮว่าผิงได้โดยง่ายในช่วงนี้
เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ นางทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน วันหลังค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมโยกย้ายฮว่าผิงออกไปจากเรือนอี๋เหอก็ได้
ในเมื่อฮว่าผิงเกล้าผมเก่ง ทั้งหลี่หลิงหว่านเองก็ไม่อยากเห็นนางเอาแต่ขยับปากสั่งให้เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ทำงานกันแค่สองคน ดังนั้นตนจึงเรียกให้นางมาเกล้าผมให้
ฮว่าผิงรับคำ เดินมาหยิบหวีงาช้างที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
หลี่หลิงหว่านให้นางเกล้ามวยคู่แบบเรียบๆ ลักษณะคล้ายดอกไม้ตูมๆ โดยไม่ลำบากกับผ้าพันแผลที่อยู่กลางศีรษะ อีกทั้งยังติดเครื่องประดับผมทองคำเล็กๆ อันหนึ่ง มองดูแล้วเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งโดยแท้
เสี่ยวซานนำชุดที่หาเจอแล้วเดินเข้ามา
เนื่องจากหลี่หลิงหว่านยังเป็นเด็กน้อย ทั้งยังเป็นวันที่หิมะเพิ่งหยุดตก แน่นอนว่านางต้องสวมชุดที่มีสีสันสดใสอยู่แล้ว สุดท้ายหลี่หลิงหว่านก็สวมเสื้อบุซับในกระดุมผ่าหน้าผ้าต่วนสีชมพู เข้าคู่กับกระโปรงจีบรอบสีแดงทับทิม ชั้นนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมผ้าต่วนสีแดงสดปักดิ้นทองกุ๊นขอบด้วยขนสัตว์ ในอ้อมแขนอุ้มเตาพกใบหนึ่ง พาเสี่ยวซานไปยังเรือนซื่ออันด้วยกัน
แม้ตลอดทั้งร่างจะมีอาภรณ์สีแดงเข้มๆ อ่อนๆ สวมอยู่บนตัว ทว่าก็ไม่ได้ทำให้หลี่หลิงหว่านดูแก่กว่าวัยแต่อย่างใด กลับกันดูจะขับให้ความงามของนางโดดเด่นยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ไม่น่าแปลกใจ เพราะเดิมทีตัวละครหลี่หลิงหว่านก็ถูกออกแบบมาให้เป็นคนงดงามมีเสน่ห์เช่นนี้อยู่แล้ว เหมาะจะสวมอาภรณ์สีสันสดใสแบบนี้ พวกสีเรียบๆ นั้นไม่เข้ากับนางโดยสิ้นเชิง
รอจนผ่านเส้นทางคดเคี้ยวมาจนถึงเรือนซื่ออันแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งตื่นนอน
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ทั้งอากาศยังหนาวยะเยือกเช่นนี้ นางย่อมอยากจะอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ให้นานขึ้นสักหน่อย
พอได้ยินสาวใช้รายงานว่าคุณหนูสามมาคารวะแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังคิดว่าตนเองใช่ฟังผิดไปหรือไม่เลย
เมื่อก่อนหลี่หลิงหว่านเป็นคนที่เกียจคร้านมากคนหนึ่ง ที่ผ่านมาเวลาที่นางมาคารวะจะต้องมาถึงเป็นคนสุดท้ายเสมอ เหตุใดวันนี้นางจึงมาถึงเช้าเช่นนี้ได้เล่า
ในใจฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดว่า หรือจะเป็นไปตามที่ซวงหงพูดไว้เมื่อวานจริงๆ จู่ๆ หว่านเจี่ย เอ๋อร์ก็รู้ความขึ้นมาแล้ว?
ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนางหกล้มไปหนหนึ่งหรือไร…
หรือเป็นเพราะศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินจนทำให้นางตาสว่างขึ้นมาได้จริงๆ?
เขตที่พักของเรือนซื่ออันบริเวณด้านหลังมีห้องหลักอยู่ทั้งหมดห้าห้อง ตรงกลางเป็นห้องโถง ปีกตะวันตกและปีกตะวันออกเป็นห้องรอง ถัดไปที่ริมทั้งสองฝั่งยังมีห้องอยู่อีกฝั่งละห้อง
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังอยู่ภายในห้องริมปีกตะวันออก
ห้องริมปีกตะวันออกห้องนี้ตั้งใจกั้นเป็นห้องอุ่นอีกห้องขึ้นมา ในฤดูหนาวฮูหยินผู้เฒ่าก็จะพักผ่อนอยู่ในห้องอุ่นแห่งนี้
สาวใช้เลิกผ้าม่านหนาบริเวณประตูกั้นห้องขึ้น หลี่หลิงหว่านก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว นางเป็นคนขี้หนาว แม้ตอนกลางคืนจะพักผ่อนอยู่ในห้องอุ่นแล้ว แต่ตรงกลางห้องก็ยังวางกระถางไฟสามขาชุบทองเขียนลายกระถางหนึ่งเอาไว้ ยามปกติคงมีสาวใช้มาคอยเติมถ่านอยู่เสมอ เพราะยามนี้เปลวเพลิงภายในนั้นยังคงลุกไหม้โชติช่วงเป็นสีแดงสว่าง
แต่ต่อให้เป็นถ่านที่ดีแค่ไหนก็ยากจะไม่มีกลิ่น แม้ในกระถางไฟจะเพิ่มถ่านหอมดอกเหมยลงไปแล้ว ทว่ากลิ่นหอมหวานของดอกเหมยก็ยังคงกลบกลิ่นของถ่านได้ไม่มิด
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังให้สาวใช้ปรนนิบัติหวีผม เห็นหลี่หลิงหว่านเดินเข้ามาแล้วนางก็ผงกศีรษะให้ พลางยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาเช้าขนาดนี้ได้เล่า”
หลี่หลิงหว่านปลดเสื้อคลุมบนร่างให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง และนำเตาพกที่ถืออยู่ส่งกลับไปให้เสี่ยวซาน ก่อนจะเดินขึ้นหน้าแล้วรับหวีเสนียดที่อยู่ในมือสาวใช้มาถือ หยุดยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปรนนิบัตินางหวีผม พร้อมกับเอียงศีรษะยิ้มแย้มเอ่ย “หลานไม่ได้เจอท่านย่ามาหลายวันเลยรู้สึกคิดถึงท่านย่าเจ้าค่ะ วันนี้หลานทนรออีกไม่ไหว อยากรีบมาหาท่านย่าแต่เช้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ใช่คนที่ชอบกำหนดกฎระเบียบอะไรมากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้กำหนดให้บรรดาลูกหลานหรือสะใภ้ต้องมาคารวะนางทุกๆ วัน สาเหตุสำคัญคือหากพวกเขามาคารวะทุกวัน นางเองก็ต้องตื่นเช้าตามไปด้วย นางไม่อยากตื่นเช้าทุกวัน ด้วยยังอยากนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบให้ยาวนานขึ้นมากกว่า ดังนั้นจึงกำหนดให้พวกเขามาคารวะนางทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือนก็พอแล้ว
วันนี้เป็นวันแรกของเดือนสิบสองพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยเช่นนี้กับตนเอง นางก็อดหยักยิ้มขึ้นมาไม่ได้ นางกำลังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีแดงปักลายอู่ฝูเผิ่งโซ่ว* มองไปในกระจกสำริดฝังอัญมณีที่ถูกขัดจนเงาวับ ภายในนั้นสะท้อนภาพเด็กหญิงอายุแปดขวบกำลังยืนอยู่ข้างหลังนาง อีกฝ่ายมีส่วนสูงเพียงแค่ตัวนางที่นั่งอยู่เท่านั้น ทว่าในมือกลับถือหวีเสนียดช่วยนางหวีผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เมื่อก่อนนิสัยหลี่หลิงหว่านซุกซนราวกับลิงอย่างไรอย่างนั้น ทั้งไม่เคยมีช่วงเวลาที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็ไม่เคยเห็นสีหน้าตั้งใจเช่นนี้จากบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านมาก่อนเลย
จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกเชื่อคำพูดเหล่านั้นที่ซวงหงพูดขึ้นมาเมื่อวานแล้ว หลานสาวคนนี้ของนางราวกับว่ารู้ความขึ้นมาในชั่วข้ามคืนจริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้ในใจนางก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น เพราะนางชื่นชอบเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความอยู่แล้ว
เห็นหลี่หลิงหว่านยังคงค่อยๆ ช่วยนางหวีผม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด เจ้าไม่ต้องหวีผมให้ข้าแล้ว เมื่อยมือเปล่าๆ เรียกซวงหงมาช่วยข้าหวีผมเถอะ”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะยื่นหวีเสนียดในมือส่งไปให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เดิมทีนางก็เกล้ามวยผมไม่เป็นอยู่แล้ว ทรงผมมวยคู่บนศีรษะตนเองนี้นางยังให้ฮว่าผิงเป็นคนทำให้อยู่เลย
ซวงหงเดินขึ้นหน้ามาแล้วโน้มตัวลงหยิบหวีไม้จันทน์ที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเกล้าผม
ทรงผมที่ซวงหงเกล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเพียงมวยกลมธรรมดา อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นผู้อาวุโส จะให้เกล้าเป็นทรงสลับซับซ้อนก็ไม่เหมาะ แต่รอจนซวงหงปักปิ่นขนนกและปิ่นระย้าลงไปแล้ว มวยกลมที่แสนจะธรรมดานี้กลับดูสูงศักดิ์ขึ้นมาได้เช่นกัน
วันนี้นับได้ว่าเป็นวันทางการวันหนึ่ง เนื่องจากลูกหลานและสะใภ้ทั้งสามล้วนต้องมาคารวะ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงต้องแต่งกายให้มากกว่ายามปกติบ้างเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวปักลายดอกเบญจมาศสีทอง คู่กับกระโปรงผ้าต่วนสีขมิ้นเหลืองสดใส บนหน้าผากรัดด้วยแถบคาดสีทองซึ่งตรงกลางฝังเม็ดทับทิมเอาไว้ ด้านข้างมวยผมยังประดับด้วยดอกไม้ผ้าไหมสีแดงสดดอกใหญ่
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่แต่งตัวแล้วช่างดูหรูหราจริงๆ นางราวกับเปล่งประกายไปทั้งร่าง ตัวคนราวกับดวงอาทิตย์เดินได้
ด้านข้างมีสาวใช้ใบหน้ารูปไข่ยกถาดเดินเข้ามา บนนั้นวางถ้วยมีฝาครอบสีขาวลายดอกบัวบานสีน้ำเงิน เมื่อเปิดฝาออกแล้ว ภายในถ้วยนั้นก็คือน้ำแกงรังนกใส่พุทราแดงที่กำลังร้อนๆ
หลี่หลิงหว่านทอดถอนใจอยู่ด้านข้าง ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง
ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือออกไปหยิบน้ำแกงรังนกใส่พุทราแดงจากบนถาดขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง เห็นหลี่หลิงหว่านที่ยืนอยู่ข้างกายมองตรงมายังน้ำแกงในมือนางเช่นนี้จึงเอ่ยถาม “เจ้ากินอาหารเช้ามาหรือยัง”
หลี่หลิงหว่านดึงสติกลับมาแล้วรีบยิ้มเอ่ย “หลานตั้งใจจะมาขออาหารอร่อยๆ จากท่านย่ากินสักมื้อหนึ่งเจ้าค่ะ เลยจงใจไม่กินอาหารเช้ามา ท่านย่าเจ้าขา อีกประเดี๋ยวท่านย่าจะต้องเอาของว่างอร่อยๆ มาให้หลานเยอะๆ นะเจ้าคะ”
คำพูดประโยคนี้ไม่เพียงหยอกให้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มได้เท่านั้น เพราะแม้แต่ซวงหงกับซวงหรงที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างก็ยังยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน เมื่อครู่นี้คนที่ยกถาดประคองน้ำแกงรังนกใส่พุทราแดงมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าก็คือสาวใช้ซวงหรงนั่นเอง
“เห็นแก่กิน” ฮูหยินผู้เฒ่ามือหนึ่งถือถ้วย อีกมือที่ว่างอยู่ก็ยื่นมาเคาะหน้าผากหลี่หลิงหว่าน
นางไม่ได้หลบทั้งยังยิ้มรับอย่างสดใส
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในจวนสกุลหลี่ เพื่อวันเวลาอันสุขสงบในภายภาคหน้าแล้ว นางจะต้องประจบเอาใจอีกฝ่ายให้ดี
“ยามนี้วาจาของคุณหนูสามช่างชวนให้ผู้คนเอ็นดูจริงๆ นะเจ้าคะ” ซวงหงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีก็รีบเอ่ยเอาใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้บ่าวไปบอกกับทางห้องครัวตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ ให้พวกเขาทำของว่างที่คุณหนูสามชอบเป็นพิเศษมาด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้ม เหลือบมองหลี่หลิงหว่านคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองซวงหงพร้อมเอ่ยยิ้มๆ “หากไม่ไปบอกทางห้องครัวให้พวกเขาเตรียมของว่างที่หว่านเจี่ยเอ๋อร์ชอบเอาไว้สักหน่อย เกรงว่าในใจคุณหนูสามของพวกเราจะต้องตัดพ้อใหญ่เป็นแน่ ทั้งๆ ที่ตั้งใจมาขอของอร่อยๆ จากท่านย่ากินแท้ๆ กลายเป็นว่าท่านย่ากลับใจแคบถึงเพียงนี้ ทำให้หลานไม่มีจะกิน”
คำพูดเอ่ยออกมาแล้วสาวใช้ทุกคนที่อยู่ในห้องก็พากันหัวเราะขึ้นมา ซวงหงกลั้นยิ้มแล้วเลิกม่านตรงประตูกั้นห้องขึ้น เดินออกไปกำชับกับทางห้องครัวด้วยตนเอง
หลังฮูหยินผู้เฒ่าดื่มน้ำแกงรังนกใส่พุทราแดงไปอีกสองอึกแล้วก็ลุกขึ้นยืน หลี่หลิงหว่านจึงรีบเดินขึ้นหน้ามาช่วยประคอง
คาดว่ายามนี้คนอื่นๆ ก็คงจะทยอยมากันแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้หลี่หลิงหว่านประคองตนเองเดินออกไปยังห้องโถงหลักด้านนอก
ที่ด้านหน้ามีสาวใช้คอยเลิกม่านรอไว้อยู่ก่อนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปพร้อมกับมองผ้าพันแผลสีขาวหนาๆ รอบศีรษะหลี่หลิงหว่านไปด้วย
ก่อนหน้านี้ความรู้สึกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีต่อหลี่หลิงหว่านค่อนข้างจะซับซ้อน
ทางหนึ่งเป็นเพราะนางเห็นบุรุษสำคัญกว่าสตรี ในใจย่อมชมชอบหลานชายมากกว่าหลานสาว แต่หลี่หลิงหว่านก็เป็นหลานสาวคนโตของนาง ในบรรดาหลานสาวทั้งหมด ความรู้สึกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีต่อหลี่หลิงหว่านย่อมใกล้ชิดมากกว่าหลานสาวคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อย ทว่าอีกทางหนึ่งนางก็ไม่ชอบโจวซื่อเช่นกัน ทำให้นางรู้สึกขัดหูขัดตาหลี่หลิงหว่านอยู่บ้าง กระนั้นหลี่ซิวป๋อก็เป็นบุตรชายที่มีอนาคตที่สุดในบรรดาบุตรชายของนาง เพื่อเห็นแก่หน้าของหลี่ซิวป๋อแล้ว นางก็ไม่อาจทำตัวเย็นชากับบุตรสาวคนโตของเขาได้ หลังรวมเหตุผลหลายอย่างเข้าด้วยกัน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่กระจ่างว่าก่อนหน้านี้ความรู้สึกที่ตนเองมีต่อหลี่หลิงหว่านเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อก่อนหลี่หลิงหว่านมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ทำให้นางรู้สึกปวดหัวจริงๆ มีช่วงหนึ่งที่นางไม่อยากเห็นหน้าหลี่หลิงหว่านเสียด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้มองไปแล้วหลี่หลิงหว่านเหมือนจะรู้ความมากขึ้นไม่น้อย ในใจนางพลันเกิดความรักความเอ็นดูขึ้นหลายส่วน
นางจึงเอ่ยถามหลี่หลิงหว่านอย่างเป็นห่วง “บาดแผลที่ศีรษะเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เหตุใดวันนั้นท่านหมอจึงกล่าวว่าร้ายแรงมากเล่า”
จะไม่ร้ายแรงได้หรือ ถึงกับทำให้เจ้าของร่างเดิมตายไปเพราะสาเหตุนี้!
ทว่าฉากหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงยิ้มเอ่ย “อาศัยบุญบารมีจากท่านย่า ทั้งได้ยันต์คุ้มภัยที่เมื่อวานท่านย่าตั้งใจไปขอจากที่วัดมาให้หลานอีก หลานตื่นขึ้นมาเช้าวันนี้ก็รู้สึกว่าบาดแผลที่ศีรษะดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วหลี่หลิงหว่านก็รู้อยู่แก่ใจ เมื่อวานที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ซวงหงนำยันต์คุ้มภัยมามอบให้นั้นก็เป็นแค่ของที่ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบติดมือมาตอนไปไหว้พระที่วัดเท่านั้น ใช่ตั้งใจเอามาให้นางเสียหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่านับว่าไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านอะไรมากมาย มิเช่นนั้นหลานสาวบาดเจ็บที่ศีรษะหนักถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เคยเห็นมาคอยเฝ้าอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างเตียงเลยเล่า เพียงแค่สั่งให้สาวใช้แวะมาดูบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่ต่อหน้าก็ยังต้องพูดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงนางมาก ทำเช่นนี้ในใจฮูหยินผู้เฒ่าจึงจะดีใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะอย่างชื่นชมจริงๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยถามอีก “แล้ววันนั้นเจ้าหกล้มได้อย่างไร ท้ายทอยถึงกับกระแทกถูกหินเช่นนี้ สาวใช้ที่ติดตามเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”
หลี่หลิงหว่านคิดในใจ นี่นับเป็นโอกาสอันดีในการฟ้องเรื่องฮว่าผิงและเพิ่มความดีความชอบแล้ว
นางเอ่ยว่า “วันนั้นหลานได้ยินพวกสาวใช้คุยกันว่าดอกเหมยแดงในสวนดอกไม้บางส่วนบานแล้ว หลานอยากไปเด็ดมาให้ท่านย่าปักแจกันสักหน่อย จึงพาฮว่าผิงสาวใช้ข้างกายไปยังสวนดอกเหมยด้วยกัน แต่ตอนที่หลานกำลังเด็ดกิ่งเหมยอยู่นั้น หันกลับมาอีกทีก็ไม่เจอฮว่าผิงแล้ว หลานจึงรีบร้อนตามหานาง ไม่ทันระวังจนหกล้ม ศีรษะก็กระแทกถูกก้อนหินเข้าด้วย โชคดีที่ตอนนั้นพี่ใหญ่เดินผ่านมาพอดีเจ้าค่ะ เขาเห็นศีรษะหลานกระแทกกับก้อนหินเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขามาพันแผลให้ มิเช่นนั้นดีไม่ดีหลานอาจจะเสียเลือดมากจนตายก็ได้ ไม่มีโอกาสมาเจอท่านย่าได้อีกแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้เด็กหญิงอายุแปดขวบก็บีบแขนฮูหยินผู้เฒ่าพลางสะอื้นไห้ขึ้นมา ร่ำไห้จนในใจฮูหยินผู้เฒ่าทั้งซาบซึ้งทั้งปวดใจ
ซาบซึ้งที่วันนั้นเด็กน้อยคนนี้คิดถึงนางจึงอยากไปเด็ดกิ่งเหมย ตอนที่ศีรษะโดนกระแทกยังคิดว่าตนเองจะต้องตายแน่ ไม่มีวันได้เจอท่านย่าอีก ที่ปวดใจก็คือโทษทัณฑ์ครั้งนี้ที่เด็กน้อยได้รับมานับว่าไม่เบาเลย และยามนี้ที่ศีรษะของอีกฝ่ายก็ยังคงมีผ้าพันแผลสีขาวหนาๆ พันเอาไว้อยู่
ทว่าหลังความปวดใจแล้วก็ยังมีโทสะผุดขึ้นมา “ฮว่าผิงคนนั้นรับใช้เจ้าอย่างไรกัน ไปบอกพ่อบ้านให้โบยนางยี่สิบไม้ แล้วตัดเงินเดือนของนางสามเดือน”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็รีบเอ่ย “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านย่า หากตีจนนางอาการย่ำแย่แล้ว วันหลังหลานจะให้ใครมาคอยดูแลเล่า ช่างเถิดเจ้าค่ะ วันนั้นนางเองก็คงไม่มีเจตนา เรื่องโบยไม่ต้องแล้ว แค่ตัดเงินเดือนนางสามเดือนเป็นการลงโทษก็พอ”
ฟ้องก็ต้องฟ้อง แต่ร้องขอความเมตตาก็ต้องร้องขอ เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นว่านางเป็นเจ้านายใจกว้าง รู้จักเป็นห่วงสาวใช้ผู้หนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็พอใจ เอาแต่ผงกศีรษะติดๆ กัน ยื่นมือมาตบลงบนหลังมือนางเบาๆ และเอ่ยอย่างสุขใจ “ในที่สุดหว่านเจี่ยเอ๋อร์ของย่าก็โตเสียที รู้ความขึ้นมาแล้ว” ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะชะงักไป แล้วขมวดคิ้วถามขึ้นมาอีกครั้ง “เหตุใดวันนั้นถึงเป็นพี่ใหญ่มาช่วยเจ้าไปได้ เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ แล้วจะช่วยเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลี่หลิงหว่านหัวใจกระตุกวูบ
แย่แล้ว! คำโกหกนี้เห็นทีจะถูกเปิดโปงแล้ว!
ทว่าหลี่หลิงหว่านเองก็มีไหวพริบ
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของฮูหยินผู้เฒ่า สมองของนางก็ทำงานอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะต่อมาจึงเอ่ยตอบ “ท่านย่า ท่านเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่มีนิสัยรักสันโดษ ยามปกติเขามักรำคาญที่จะสนทนากับผู้อื่น ตอนนั้นพอพี่ใหญ่พันแผลให้หลานแล้ว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจึงรู้ว่าฮว่าผิงมา ด้วยเขาไม่อยากเจอผู้อื่นจึงหลบไปอยู่ด้านหลังต้นดอกเหมย หลานเองก็ได้แค่มองโดยไม่มีแรงเรียก ตอนนั้นฮว่าผิงมาถึงแล้วเห็นหลานมีเลือดออกเต็มศีรษะก็ตกใจจนลนลาน หมุนตัววิ่งไปตามคนอื่นๆ มา จึงไม่ทันสังเกตเห็นพี่ใหญ่ที่อยู่หลังต้นไม้เจ้าค่ะ รอจนสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสคนอื่นๆ รีบเร่งมาก็แบกหลานกลับห้อง ส่วนพี่ใหญ่อยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าใดหลานก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ของหลี่หลิงหว่านมีความจริงเจ็ดส่วน ความเท็จสามส่วน นางมั่นใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าย่อมแยกแยะไม่ออก
อาศัยเพราะนางเป็น ‘เทพผู้สร้าง’ แม้ตอนที่นางข้ามมิติมาจะเป็นช่วงเวลาหลังเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นไปแล้ว แต่นางก็ยังกระจ่างดีว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นความจริง นางแค่เอาคนก่อเหตุอย่างหลี่เหวยหยวนที่ผลักเจ้าของร่างเดิมจนถึงแก่ความตายเปลี่ยนมาเป็นคนช่วยนางแทนเท่านั้นเอง
แม้จะมีผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเพิ่มขึ้นมา ทว่าใครจะไปสนใจแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกันเล่า หากฮูหยินผู้เฒ่าไปถามกับบรรดาสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา หลี่หลิงหว่านก็บอกได้ว่าตอนที่พวกนางแบกนางกลับเรือนมานั้น ท่ามกลางความวุ่นวายอาจจะทำผ้าผืนนั้นหายไปแล้วก็ได้
ดังนั้นคำโกหกนี้ของหลี่หลิงหว่านจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสิ่งใดเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นความน่าเชื่อถือบนใบหน้าของหลานสาวก็เชื่อไปแล้วเช่นกัน
ทว่าในใจนางยังคงรู้สึกไม่ชอบในตัวหลี่เหวยหยวนอยู่
ประการแรกเป็นเพราะชาติกำเนิดของหลี่เหวยหยวน นางรู้สึกว่าแม้หลี่เหวยหยวนจะมีสายเลือดของสกุลหลี่ แต่เขาก็มีสายเลือดของสกุลตู้อยู่ด้วย เหมือนที่ตาเฒ่าเคยพูดไว้ในครานั้น ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน อีกประการคือปีนั้นท่านเจ้าอาวาสมิได้กล่าวหรอกหรือว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนเป็นกาลกิณี ยามที่เขาคลอดออกมานั้นเดิมทีตาเฒ่าก็ยังสุขสบายดีแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ จึงได้หกล้มตายไปเสียได้ เห็นได้ว่าท่านเจ้าอาวาสมิได้กล่าวผิดแต่อย่างใด หลายปีมานี้นางมองดูหลี่เหวยหยวนแล้วก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกคนหนึ่งจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำสีหน้าเคร่งขรึม ยามพบปะกับผู้อื่นจะยิ้มหรือไม่นั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพราะแค่สายตาที่เขาใช้มองผู้คนก็เย็นยะเยือกมากแล้ว ทำให้ผู้คนอดหนาวเหน็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่ได้
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่กล่าวอะไรอีก เพียงให้หลี่หลิงหว่านประคองออกไป ค่อยๆ เดินไปนั่งบนเตียงหลัวฮั่น ที่อยู่ในห้องโถงหลัก
เป็นเพราะอากาศเย็น บนเตียงหลัวฮั่นที่เดิมรองด้วยเบาะสีแดงเข้มเอาไว้ก่อนแล้วจึงเพิ่มเบาะขนจิ้งจอกสีดำขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเป็นพิเศษ
หลี่หลิงหว่านประคองฮูหยินผู้เฒ่าไปนั่งบนเบาะขนจิ้งจอกสีดำนั้น ตอนที่นางกำลังจะผละไปนั่งยังเก้าอี้กลมที่อยู่ด้านข้างก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือมาโอบไว้ในอ้อมกอด ทั้งยิ้มเอ่ย “นานๆ ทีหว่านเจี่ยเอ๋อร์ของย่าจะรู้ความเช่นนี้ ในใจย่ามีความสุขยิ่งนัก หลานมานั่งอยู่ข้างกายย่าเถิด”
นั่งที่ข้างกายไม่ใช่นั่งในอ้อมกอดกระมัง หากต้องทนนั่งอยู่ในอ้อมกอดฮูหยินผู้เฒ่าก็นับว่าไร้อิสระเกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงย้ายร่างจากอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่าไปยังที่นั่งข้างๆ อย่างเงียบเชียบ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสดใส “เจ้าค่ะ วันนี้หลานจะนั่งอยู่ข้างกายท่านย่า”
ขณะที่สองย่าหลานกำลังนั่งสนทนากันอย่างมีความสุขบนเตียงหลัวฮั่นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน แจ้งว่านายหญิงสามมาถึงแล้ว
นายหญิงสามก็คือโจวซื่อ…ซึ่งก็คือมารดาของหลี่หลิงหว่าน
พูดไปแล้วโจวซื่อก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่งเข้ามาไม่ถึงครึ่งปีหลี่ซิวป๋อสามีก็โยกย้ายไปรับราชการยังมณฑลเจ้อเจียง ยามนั้นบิดาของโจวซื่อยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง สกุลเดิมยังคงรุ่งโรจน์ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่กล้าสร้างความลำบากให้โจวซื่อ บอกให้นางติดตามหลี่ซิวป๋อไปด้วย แต่หลี่ซิวป๋อกลับยืนกรานปฏิเสธ เอาแต่พูดว่าตนเป็นบุตรอกตัญญู ไม่สามารถอยู่ดูแลข้างกายมารดาได้ทุกวัน เดิมทีในใจก็เต็มไปด้วยความละอายอยู่แล้ว เขายังจะพาภรรยาไปด้วยได้อย่างไร ดังนั้นจึงได้ทิ้งโจวซื่อไว้ที่บ้าน บอกให้นางเคารพนอบน้อมต่อฮูหยินผู้เฒ่า คอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินผู้เฒ่าทั้งเช้าเย็น
และการดูแลครั้งนี้ก็กินเวลาถึงแปดปีแล้ว ช่วงเวลานั้นบิดาของโจวซื่อเสียชีวิต สกุลเดิมพลันตกอับ นางยิ่งไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อมีการเข้ามาแทรกกลางของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งทำให้นางไม่สนิทกับบุตรสาวของตนเอง อีกทั้งจุดจบสุดท้ายของโจวซื่อยังถูกบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองพลั้งมือผลักตกน้ำตายไปด้วย
ตอนที่หลี่หลิงหว่านเขียนเรื่องของโจวซื่อออกมาก็คิดถึงแต่ภาพรวมของนิยาย นางคิดแค่ว่าจะต้องแสดงความจองหองและความร้ายกาจของเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านซึ่งเป็นตัวประกอบหญิงผู้นี้ออกมา จะได้ทารุณตัวละครหลี่หลิงหว่านในภายหลังได้ง่ายๆ ให้ถึงขั้นเวลาที่หลี่หลิงหว่านตายไปจะได้รับเสียงตอบรับจากนักอ่านอย่างสูงสุด ให้พวกเขาเกิดความสะใจขึ้นมา
แต่นั่นเป็นเพราะหลี่หลิงหว่านไม่คิดว่าตนเองจะต้องข้ามมิติมาเป็นตัวประกอบหญิงที่ตนกระทำทารุณไปสารพัดอย่างเสียเองเช่นนี้ ดังนั้นยามมองโจวซื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินเข้ามาข้างใน ในใจหลี่หลิงหว่านพลันปรากฏอยู่สามคำ
เวรกรรมจริงๆ
นางก็แค่เขียนนิยายน้ำเน่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายตัวละครทุกตัวในนิยายจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ทั้งยังยืนอยู่ต่อหน้านางตัวเป็นๆ เช่นนี้ด้วย
ในใจหลี่หลิงหว่านทางหนึ่งรู้สึกขมขื่นจนไม่สบายไปทั้งร่างโดยที่ไม่อาจพูดออกมาได้ อีกทางก็รู้สึกละอายใจต่อโจวซื่อยิ่งนัก บุคคลน่าสงสารผู้นี้เป็นคนที่นางเขียนออกมาเองกับมือ รวมไปถึงจุดจบนั่นด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะนับจากนี้นางจะทำดีต่อโจวซื่อ ชดเชยความสัมพันธ์แม่ลูกที่โจวซื่อควรได้สัมผัสแต่แรก ส่วนจุดจบสุดท้ายของโจวซื่อก็ไม่มีทางจะถูกผลักตกสระจนจมน้ำตายอยู่แล้ว…นางจะไปผลักโจวซื่อได้อย่างไรกัน
ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความละอายต่อโจวซื่อ หลี่หลิงหว่านกะพริบตาให้กับโจวซื่อที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมส่งยิ้มให้
หลังจากโจวซื่อเดินเข้ามาแล้ว ดวงตาก็เอาแต่จับจ้องไปยังร่างของหลี่หลิงหว่าน เห็นที่ศีรษะของบุตรสาวยังคงพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวหนาๆ นางก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ใช่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ตรงนี้ นางจะต้องรีบวิ่งเข้าไปสำรวจบาดแผลของหลี่หลิงหว่านแน่นอน
ตอนนั้นเองโจวซื่อก็เห็นหลี่หลิงหว่านทั้งกะพริบตาทั้งส่งยิ้มมาให้ หัวใจนางพลันอุ่นวาบในทันที จากนั้นก็รู้สึกว่าปลายจมูกตีบตัน
บุตรสาวของนางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนแล้วจริงๆ เมื่อก่อนยามที่หลี่หลิงหว่านเห็นนางไม่เคยมีความสนิทสนมให้เช่นนี้ กระทั่งคำว่า ‘แม่’ ยังไม่เคยเรียกเสียด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อวานหลังจากที่หลี่หลิงหว่านฟื้นขึ้นมา ไม่เพียงเรียกนางว่าท่านแม่เท่านั้น กระทั่งในน้ำเสียงก็ยังแฝงความใกล้ชิดสนิทสนม จนยามนี้บุตรสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่านั้นก็ยังกะพริบตาและส่งยิ้มให้นางอยู่เลย
แม้ในใจจะตื้นตันมากเพียงใด ทว่าเบื้องหน้าโจวซื่อกลับไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมามากมาย นั่นเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบเห็นนางกับหลี่หลิงหว่านสนิทสนมกัน
ดังนั้นโจวซื่อจึงเก็บสายตาก่อนย่อกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการตอบรับแล้ว สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็เดินขึ้นหน้ามาเชิญโจวซื่อไปนั่ง หลังจากนั้นคนของบ้านใหญ่กับบ้านรองก็ทยอยกันเข้ามา
เทียบกับสภาพอันน่ารันทดของโจวซื่อที่มาเพียงลำพัง ข้างกายมีแค่สาวใช้เพียงคนเดียวคอยตามแล้ว บ้านใหญ่กับบ้านรองนั้นกลับเต็มไปด้วยสมาชิกในครอบครัว
หลังจากที่ตู้ซื่อของบ้านใหญ่ถูกกักบริเวณ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้หลี่ซิวซงแต่งภรรยาเอกเข้ามาอีกครั้ง แม้หลี่ซิวซงจะเป็นบุตรชายคนโตแต่ก็ไม่มีความดีความชอบ ทั้งยังเป็นพ่อม่าย บรรดาสกุลดีๆ จึงไม่กล้าให้บุตรสาวของตนแต่งเข้ามา สุดท้ายจึงเลือกคนที่ไม่ดีไม่แย่โดยแต่งกับบุตรสาวของขุนนางลำดับหลักขั้นเจ็ดตำแหน่งผู้รวมฎีกาแห่งกองอุทธรณ์ฎีกา ซ้ำยังมีเหตุมาจากที่คนสกุลสวีผู้นี้เป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ และเคยติดหนี้บุญคุณนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่มาก่อน
ทว่าสวีซื่อเองก็พึ่งพาได้ แต่งเข้ามาไม่ถึงสองปีก็คลอดลูกแฝดออกมาแล้ว ตอนนี้อายุได้เจ็ดขวบ ในบรรดาลูกหลานทั้งหมดนับเป็นลำดับที่สี่หลี่เหวยเหลียงกับลำดับที่ห้าหลี่หลิงเจียว
แน่นอนว่าลูกของภรรยาเอกจากบ้านใหญ่ย่อมเป็นเดือนในหมู่ดาว ดังนั้นนิสัยของเด็กทั้งสองจึงเย่อหยิ่งยโสเช่นกัน
หลี่เหวยเหลียงกับหลี่หลิงเจียวคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเรียกท่านย่าเสียงหวานกันคนละคำ จากนั้นจึงก้าวกระโดดมาอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
หลี่หลิงเจียวอายุน้อยกว่าหลี่หลิงหว่านเพียงปีเดียว ยามปกติก็ชอบแก่งแย่งสิ่งของทุกอย่างกับหลี่หลิงหว่านมากที่สุด ครั้งนี้เห็นหลี่หลิงหว่านได้นั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่า นางก็เบียดก้นลงมานั่งแทรกคั่นกลางระหว่างหลี่หลิงหว่านกับฮูหยินผู้เฒ่า พอตนเองได้นั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็เงยหน้าหันไปยิ้มแย้มเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าเจ้าขา เจียวเจียวไม่ได้เห็นท่านมาหลายวันแล้ว ท่านคิดถึงเจียวเจียวหรือไม่เจ้าคะ”
คิดถึงบ้าอะไร
หลี่หลิงหว่านนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในใจผุดความคิดขึ้นมา ท่านย่าของเจ้าให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีไม่รู้หรือไร ท่านย่าของเจ้าไม่ชอบเด็กจองหองไม่รู้หรือไร คนเช่นเจ้ายังจะมากระพือเปลวเพลิงให้ลุกโหมขึ้นมาอีก หาเรื่องให้ถูกด่าเสียมากกว่ากระมัง
หากให้ถกกันอย่างจริงจังแล้ว ในบรรดาลูกหลานของสกุลหลี่ทั้งหมด คนที่เกิดมาจากภรรยาเอกไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่ถูกนางวางให้มีนิสัยเย่อหยิ่ง ช่วยไม่ได้จริงๆ ใครใช้ให้นางเอกหลี่หลิงเยี่ยนกับตัวประกอบชายอันดับสองหลี่เหวยหยวนล้วนเป็นลูกอนุกันเล่า หากบุตรของภรรยาเอกไม่มีนิสัยเย่อหยิ่ง นางก็คงไม่มีหนทางจะสร้างเรื่องจากฐานะลูกอนุของนางเอกกับตัวประกอบชายอันดับสองขึ้นมาได้ เช่นนี้นางเอกกับตัวประกอบชายอันดับสองก็จะไม่มีความเข้าอกเข้าใจกัน สุดท้ายนางเอกก็ไม่สามารถกลายเป็นแสงอาทิตย์ในใจตัวประกอบชายอันดับสองได้
หลี่หลิงหว่านผู้มีฐานะเป็นหลานสาวคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาเอกหลั่งน้ำตาเงียบๆ ในใจ รู้สึกว่าความรู้สึกของการกระโดดลงไปในหลุมที่ตนเป็นผู้ขุดเองนั้นราวกับมีม้าฝูงหนึ่งห้อตะบึงผ่านในอกไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบใจการกระทำเช่นนี้ของหลี่หลิงเจียวดังคาด นางขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยกับหลี่หลิงเจียว “เจ้าทำความเคารพพี่สามของเจ้าแล้วหรือยัง แล้วขึ้นมาเบียดพี่สามของเจ้าไปด้านข้างเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลี่หลิงหว่านรีบแสดงความใจกว้างของตนเองออกมา “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านย่า น้องห้าอายุยังน้อย หลานในฐานะพี่สาวควรยอมให้นางอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะให้กับหลี่หลิงหว่านอย่างชื่นชม ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยกับหลี่หลิงเจียวอย่างเย็นชา “เจ้าดูพี่สามของเจ้าสิ ทั้งที่โตกว่าเจ้าแค่ปีเดียวแต่กลับรู้ความกว่าเจ้ามากนัก”
“ข้าเห็นด้วยว่าหว่านเจี่ยเอ๋อร์รู้ความกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะจริงๆ เจ้าค่ะ” คนที่พูดประโยคนี้ขึ้นมาคือเฉียนซื่อจากบ้านรอง นางเป็นคนพูดเก่งคนหนึ่ง ในบรรดาสะใภ้ทั้งสามนางเป็นคนที่เอาอกเอาใจผู้อื่นเก่งที่สุดแล้ว “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหว่านเจี่ยเอ๋อร์ที่หกล้มไปหนหนึ่งกลายเป็นคนที่ภายนอกดูงดงาม ภายในก็ฉลาดเฉลียวขึ้นมาแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ชื่นชอบเฉียนซื่อเท่าไรนัก ในฐานะแม่สามีจะมีสักกี่คนกันที่ชื่นชอบสะใภ้ของตนเองจริงๆ ทว่าสกุลเดิมของเฉียนซื่อนั้นไม่เลวเลย บิดาเป็นถึงขุนนางลำดับหลักขั้นห้าตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายราชเลขาธิการของสำนักราชกิจ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงปฏิบัติต่อเฉียนซื่อค่อนข้างดี
ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะให้กับสวีซื่อและเฉียนซื่อ จากนั้นจึงบอกให้พวกนางนั่งลง ก่อนจะให้สาวใช้ยกชาเข้ามา
ผู้ที่มาคารวะพร้อมกับบ้านรองเฉียนซื่อยังมีหลี่เหวยหลิงอายุสิบสองกับหลี่หลิงเจวียนอายุสี่ขวบด้วย หลี่เหวยหลิงเกิดจากเฉียนซื่อ ส่วนหลี่หลิงเจวียนเป็นลูกที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้างผู้หนึ่ง
ทว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานมากที่สุดก็คือหลี่เหวยหลิง
เด็กคนนี้เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาหมดจด ทั้งอายุยังน้อยก็รู้หนังสือแล้ว กระทั่งอาจารย์ที่สอนสั่งเขายังพูดว่าเด็กคนนี้มีอนาคต
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าภารกิจในการนำความรุ่งโรจน์มาสู่สกุลหลี่นั้นไม่แน่อาจต้องตกลงบนตัวของหลี่เหวยหลิงแล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นหลี่เหวยหลิง นางจึงกวักมือเรียกเขาให้เข้ามาใกล้ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเมตตา เอ่ยถามเรื่องการเรียนของเขาในระยะนี้อย่างละเอียด
หลี่หลิงหว่านที่อยู่ด้านข้างฟังไปฟังมาก็รู้สึกเบื่อหน่าย นางจึงก้มหน้าลงพลางยื่นนิ้วออกมาเคาะลงบนฝาทองแดงฉลุลายดอกไม้ของเตาพกในมือตนเองโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปเช่นนี้สักพักนางก็ได้ยินสาวใช้ข้างนอกเอ่ยรายงานว่าคุณชายใหญ่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
หลี่เหวยหยวน?!
หลี่หลิงหว่านสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางรีบร้อนเงยหน้ามองไปทางเขา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มิ.ย. 62
Comments
comments