X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่สาม

เส้นทางในยามกลางคืนยากจะเดินแล้วก็ยากจะแยกแยะ หลี่หลิงหว่านอาศัยภาพของแผนที่จวนสกุลหลี่ที่เคยวาดขึ้นมาช่วงแรกในสมอง ตามหาเรือนที่แยกโดดเดี่ยวแห่งนั้นอย่างยากลำบาก

รอจนเดินมาได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ในที่สุดนางก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนแห่งนั้น

อาศัยแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวอันเลือนราง นางก็มองเห็นประตูของเรือนเล็กตรงหน้าปิดสนิท ด้านบนใส่แม่กุญแจทองแดงที่เต็มไปด้วยสนิมเขรอะตัวหนึ่ง กำแพงขาวที่กระดำกระด่างเต็มไปด้วยเถาผาซานหู่ ที่แห้งเหี่ยว มองดูแล้วให้ความรู้สึกรกร้างว่างเปล่า ทั้งยังน่าสยองขวัญเป็นที่สุด

ชั่วพริบตาหนึ่งหลี่หลิงหว่านรู้สึกอยากจะหมุนตัวจากไปจริงๆ แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วนางยังคงกัดฟันเดินไปยังด้านข้างประตู มองหาก้อนอิฐก้อนที่สามทางด้านซ้าย จากนั้นจึงยกอิฐก้อนที่สี่ออกมาอย่างระมัดระวัง

ไม่ผิดไปจากที่คาด ข้างในนั้นมีกุญแจทองแดงวางเอาไว้ดอกหนึ่ง

นางยื่นมือออกไปหยิบกุญแจดอกนั้นแล้วเดินไปยังประตูเรือน ไขแม่กุญแจบนประตูออก จากนั้นผลักประตูก้าวเข้าไปในเรือน ทั้งยังหันกลับมาปิดบานประตูทั้งสองแล้วลงกลอน

ภายในเรือนไม่ได้จุดโคมจึงมืดสนิทไปทุกด้าน โชคดีที่ยามนี้เมฆสลาย ปรากฏแสงจันทร์อยู่บางส่วน หลี่หลิงหว่านสามารถมองเห็นเรือนผุพังตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ด้านข้างซ้ายขวาเป็นห้องรองที่เพดานเตี้ยและแคบ ส่วนภายในลานเรือนต้นไม้เหี่ยวเฉาตายไปนานแล้ว หญ้ารกร้างขึ้นจนเต็มพื้นที่ อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงอากาศหนาวยะเยือก หญ้ารกเหล่านี้จึงกลายเป็นสีเหลืองแห้งเหี่ยว มองดูแล้วอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง

หลี่หลิงหว่านตั้งสติ ก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาไปตามทางเดินหินตรงกลางลานมุ่งไปยังโถงหลักตรงหน้า แต่ต่อให้ฝีเท้านางเบายิ่งกว่านี้ คนที่อยู่ข้างในก็ยังคงได้ยิน

หลี่หลิงหว่านได้ยินเสียงแหบแห้งดังหวีดแหลมขึ้นมากะทันหัน “เจ้ามาทำไมอีก เมื่อครู่ยังโดนฟาดไม่พอ ยังอยากจะโดนฟาดอีกสักหนหรือ”

เมื่อหลี่หลิงหว่านได้ยิน ในใจก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

เป็นตู้ซื่อที่ทำร้ายหลี่เหวยหยวนจริงๆ เสียด้วย ซ้ำยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น

ในใจรู้สึกโกรธ ชั่วขณะนั้นจึงไม่รู้สึกกลัว หลี่หลิงหว่านเดินตรงเข้าไป ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตู

ประตูไม่ได้ลงกลอน เมื่อนางยื่นมือออกไปผลักประตูก็เปิดออกทันที เมื่อเสียงเอี๊ยดดังขึ้นในค่ำคืนกลางอากาศหนาวยะเยือกเช่นนี้ก็ยิ่งฟังดูน่าหวาดผวาเป็นพิเศษ

หลี่หลิงหว่านไม่ลังเลแต่อย่างใด นางยกเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปทันที

เดิมทีภายในห้องไม่ได้จุดโคมจึงมืดสนิทไปรอบด้าน ทว่ารอจนนางเดินเข้ามาแล้วก็เห็นแสงที่มุมห้องสว่างวาบ มีคนจุดตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บนโต๊ะ

แม้แสงจากตะเกียงน้ำมันจะเลือนรางแต่ก็เพียงพอให้มองเห็น

หลี่หลิงหว่านมองเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ด้านข้างตะเกียงน้ำมัน ปล่อยผมยาวสยาย สีหน้าซีดขาวเฉกเช่นคนที่ไม่ได้พบเจอแสงแดดมาเป็นเวลานาน ทว่าดวงตาของสตรีผู้นั้นกลับสว่างไสวยิ่ง ราวกับเป็นนกที่หากินยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น หากได้พบเห็นกะทันหันในยามราตรี มีแต่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นขวัญผวา

หลี่หลิงหว่านเองก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด นางหัวใจกระตุก ก้าวโซเซถอยหลังไปสองก้าวทันที แผ่นหลังแนบสนิทเข้ากับประตูไม้บานหนึ่ง ผ่านไปสักพักนางถึงได้ฝืนบังคับยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เปิดปากเอ่ยทักทายสตรีผู้นั้นเสียงสั่น “ตู้…ตู้ซื่อ คะ…คารวะเจ้าค่ะ”

ตู้ซื่อ หรือก็คือมารดาแท้ๆ ของหลี่เหวยหยวน ภรรยาร่วมผูกผมของหลี่ซิวซง ยามนี้นางเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับแมว ถือตะเกียงน้ำมันในมือส่องดูหลี่หลิงหว่าน สังเกตอยู่สักพักนางก็เอ่ยอย่างเนิบช้า “เสื้อบุซับในทำมาจากผ้าต่วนหังโจว กระโปรงทำมาจากผ้าไหมหังโจว เครื่องประดับบนศีรษะไม่ใช่ทองคำก็หยก มองจากสีแล้วก็เนื้องามเป็นอย่างยิ่ง เจ้าจะต้องไม่ใช่สาวใช้ภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้แน่ๆ แต่เป็นคุณหนูของจวนสกุลหลี่แห่งนี้ เพียงแต่เหตุใดคุณหนูของจวนสกุลหลี่ถึงได้รับรู้การมีอยู่ของสถานที่ที่แสนจะห่างไกลราวกับหลุมศพคนเป็นแห่งนี้ได้เล่า ทั้งยังเดินเข้ามาได้โดยไร้อุปสรรค ประตูเรือนด้านนอกไม่ได้ใส่กุญแจไว้หรือไร ซ้ำยังเปิดปากเรียกข้าว่าตู้ซื่ออีก ฮ่าๆ หญิงแก่ผู้นั้นแทบอยากจะล้างเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ไป จะยอมให้คุณหนูในจวนรับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าได้หรือ ว่าแต่เจ้าเป็นใครกันแน่ มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”

ต่อมานางก็ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “คนเช่นข้านี้จะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างกัน ข้าเองไม่มีอะไรให้เจ้าใช้ประโยชน์ได้”

ความรู้สึกในตอนนี้ของหลี่หลิงหว่านมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…เวรกรรมจริงๆ เหตุใดถึงได้สร้างตัวละครแต่ละตัวออกมาฉลาดเช่นนี้ ตู้ซื่อผู้นี้พูดไปแล้วก็ถูกกักขังมาเกือบยี่สิบปี ทว่าเพียงมองนางครั้งเดียวก็ยังคงชี้แจงสถานะของนางออกมาได้อย่างละเอียดขนาดนี้ ซ้ำยังไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว

ที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของตู้ซื่อสว่างไสวเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้หลี่หลิงหว่านเกิดภาพลวงตา ราวกับกำลังมองนกเค้าแมวในยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น มองดูแล้วชวนให้รู้สึกขวัญผวาเป็นที่สุด

หลี่หลิงหว่านลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะยิ้มแห้งๆ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ฮูหยินช่างร้ายกาจนัก สุดท้ายข้าก็ถูกท่านมองออกจนหมด”

“เลิกพูดอะไรไร้สาระพวกนั้นสักที บอกมาตามตรงว่าเจ้าเป็นใคร มาหาข้าทำไม หากยังไม่พูดระวังข้าจะเล่นงานเจ้า!” ตู้ซื่อกล่าวจบ หลี่หลิงหว่านก็เห็นแสงสีขาวแวบหนึ่งจากในมือตู้ซื่อ ขณะที่นางเพ่งมองก็เห็นว่าของสิ่งนั้นคือเศษกระเบื้องสีขาวที่ขอบของมันถูกลับจนแหลมคมยิ่งชิ้นหนึ่ง

ดูท่าตอนที่บ่าวรับใช้มาส่งอาหารให้นั้นตู้ซื่อคงจงใจทำชามแตก จากนั้นก็แอบเก็บเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งเอาไว้ ทั้งยังลับเสียจนคมกริบ และขอบของเศษกระเบื้องก็ยังมีรอยเลือดที่แห้งกรังอยู่ นี่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นรอยเลือดของหลี่เหวยหยวน

เจ้าคนเสียสติผู้นี้! เจ้าถึงกับใช้เศษกระเบื้องที่แหลมคมขนาดนี้มาทำร้ายหลี่เหวยหยวน! มิน่าเมื่อครู่ตอนที่ข้าทายาให้หลี่เหวยหยวนจึงเห็นหลังมือข้างซ้ายของเขามีก้อนเนื้อก้อนหนึ่งถูกเฉือนออกไปก้อนใหญ่ กลายเป็นแผลใหญ่

หลี่หลิงหว่านยืดตัวตรงขึ้นมาทันที ก่อนสบถด่าอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว? ถึงกับใช้ของเช่นนี้มาทำร้ายมือลูกชายแท้ๆ ของเจ้า เฉือนเนื้อก้อนหนึ่งของเขาออกมาทั้งเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่ใช้มีดปาดคอเขาในคราวเดียวเสียเลยเล่า เขาจะได้ไม่ต้องมารับโทษทัณฑ์เช่นนี้จากเจ้าอยู่บ่อยๆ”

เมื่อตู้ซื่อได้ยินก็ชะงักไป จากนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับเสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น “ลูกชายของข้า? ลูกชายของข้า? หืม เหตุใดเจ้าถึงได้เป็นห่วงเจ้าลูกโสโครกมากขนาดนี้ หรือว่าเจ้าเป็นภรรยาของเขา แต่ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าลูกโสโครกนั่นบอกว่าเขาแต่งงานแล้ว มิหนำซ้ำทรงผมของเจ้าก็ไม่ได้เกล้าเป็นมวยแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ยังคงเป็นแค่คุณหนูผู้หนึ่ง พูดมา เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้เป็นห่วงเจ้าลูกโสโครกมากขนาดนี้”

หลี่หลิงหว่านไม่ตอบ แต่ยังคงมองไปที่ตู้ซื่อแล้วเอ่ยเสียงเย็น “แต่ละคำที่เรียกลูกชายตนเองว่า ‘เจ้าลูกโสโครก’ เช่นนี้ เจ้าคิดว่าในใจเจ้ารู้สึกสบายขึ้นแล้วหรือ หากไม่ชอบเขา ตอนแรกที่เจ้าตั้งครรภ์เขาก็สามารถหาหนทางทำให้เขาไม่ต้องเกิดมาก็ได้นี่ เหตุใดจะต้องคลอดเขาออกมาด้วย ตอนนั้นเจ้าคงอยากอาศัยเขาที่อยู่ในท้องหวนคืนกลับมายังจวนสกุลหลี่แห่งนี้กระมัง จะได้ยืนได้อย่างมั่นคงในจวนสกุลหลี่ แต่สุดท้ายเจ้าก็พบว่าใช้ประโยชน์จากเขาไม่ได้ เจ้ายังคงถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาอยู่ที่นี่อย่างใจจืดใจดำ ในใจเจ้าจึงเกลียดเขากระมัง

เพียงแต่เจ้าเกลียดเขาแล้วมีประโยชน์อะไร ที่เจ้าควรเกลียดก็คือฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านผู้เฒ่าผู้เลือดเย็นไร้ความรู้สึก กับสามีผู้อ่อนแอไร้ความสามารถของเจ้า เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เหวยหยวนกัน เขาเป็นคนที่เจ้าคลอดออกมา ตอนที่เจ้าคลอดออกมาได้ขอความเห็นด้วยจากเขาหรือไม่เล่า หากรู้ว่าหลังจากที่เขาเกิดมาแล้วจะต้องเผชิญกับวันเวลาเช่นนี้ ไม่แน่เขาอาจจะไม่ยินยอมมาเกิดบนโลกใบนี้ก็ได้ กระนั้นเขาก็ยังเห็นแก่ที่ว่าเจ้าเป็นแม่ของเขา มาหาเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า นับเป็นความรักต่อมารดาอย่างหนึ่ง ถึงขั้นรู้ว่าทุกครั้งที่มาหาจะต้องถูกเจ้าสบถด่าทออย่างร้ายกาจและเรียกว่าเจ้าลูกโสโครก ถูกเจ้าทุบตีอย่างเหี้ยมโหดจนทั้งร่างล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าเขาก็ยังคงมาที่นี่อย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่คิดว่าสามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามารดาผู้นี้ได้ก็ยังดี แต่เจ้ากลับปฏิบัติตัวเช่นไรกับเขาเล่า คืนนี้เจ้าก็ยังทุบตีเขาจนทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล อำมหิตถึงขั้นใช้เศษกระเบื้องในมือเจ้าเฉือนเนื้อบนฝ่ามือซ้ายของเขาออกมาก้อนหนึ่ง แม้แต่เสือร้ายยังไม่กินลูกของมัน เจ้าเป็นเช่นนี้ยังนับเป็นตัวอะไรได้”

การต่อว่าเป็นชุดของหลี่หลิงหว่านทำให้ตู้ซื่อนิ่งอึ้งไปบ้าง ทว่าต่อมานางก็ร้องตะโกนเสียงดังราวกับคนเสียสติ “เจ้าไปรู้อะไรมา เขาเป็นลูกโสโครก! ข้าด่าเขานับเป็นอะไร ทุบตีเขานับเป็นอะไรหรือ ทุกครั้งที่ข้าเห็นเขาล้วนอยากกัดเขาให้ตาย บีบคอเขาให้ตาย เช่นนี้ถึงจะลดความแค้นในใจข้าได้!”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กัดเขา บีบคอเขาให้ตายเสียเลยสิ แต่เจ้าก็ยังอยากจะใช้เขามาแก้แค้นคนทั้งหมดในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ ดังนั้นตั้งแต่เขายังเด็กเจ้าจึงใส่ความคิดที่ต้องแก้แค้นให้แก่เขา ต้องทำให้ทุกคนในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ไม่ได้ตายดี เจ้าทำเช่นนี้เป็นการทำลายเขารู้หรือไม่”

พูดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็แค่นเสียงเย็นชาออกมาอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ตู้ซื่อพลางเอ่ยช้าๆ “มีเรื่องอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้ ที่เจ้าเคียดแค้นเขาเช่นนี้เพราะตอนที่เจ้าอยู่อารามกันลู่ถูกภิกษุต่ำทรามรูปนั้นขืนใจจนตั้งครรภ์ขึ้นมา เจ้ามองเห็นเขาก็จะนึกไปถึงเรื่องเลวร้ายในค่ำคืนนั้นใช่หรือไม่ แต่ข้ายังคงย้ำคำเดิม หากเจ้าเคียดแค้นเขาจริงๆ แรกเริ่มตอนที่เจ้ารู้ว่าตั้งครรภ์ก็ควรจะหาหนทางทำให้เขาไม่ต้องเกิดมา หรือหลังคลอดเขาออกมาแล้วก็สามารถบีบคอเขาให้ตายในคราวเดียวได้ หากทำไม่ได้ ยามที่เขามาหาเจ้า เจ้าก็สามารถทำเหมือนว่าเขาเป็นคนตายก็ได้มิใช่หรือ ไม่ต้องไปสนใจเขา แต่เจ้ากลับใช้ความเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดมาผูกมัดเขาเอาไว้ ต้องการให้เขาเชื่อฟังเจ้า อยากใช้เขาไปแก้แค้นคนในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ พร้อมกันนั้นยังทรมานเขาอย่างเสียสติ ทั้งที่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ตัวเป็นๆ คนหนึ่ง หาใช่ของเล่นที่ไร้ความรู้สึกที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดชิ้นหนึ่ง ยิ่งไม่ใช่เครื่องมือที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้แก้แค้นคนสกุลหลี่ เขาควรจะได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างสงบสุขในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง!”

ยามพูดมาถึงสองประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของหลี่หลิงหว่านก็ยิ่งดังขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการตะโกนโดยแท้

จากนั้นหลี่หลิงหว่านก็เอ่ยถึงเป้าหมายที่นางมาในวันนี้อย่างเหนื่อยล้า “ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถครุ่นคิดถ้อยคำที่ข้าเอ่ยดีๆ ได้ ต่อให้เจ้ารักถนอมและเอ็นดูเขาเฉกเช่นที่มารดามีต่อบุตรชายไม่ได้ แต่อย่างน้อยหลังจากนี้ยามที่เขามาหาเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ด่าทอเขา ยิ่งไม่อาจทุบตีเขา หลายปีมานี้เขาได้รับความยากลำบากและกดดันมามากเกินพอแล้ว ขอร้องล่ะ วันหน้าเจ้าช่วยทำให้เขามีชีวิตอย่างสุขสบายและมีความสุขขึ้นมาหน่อยเถอะ”

ทว่าตู้ซื่อไม่ได้ฟังหลี่หลิงหว่านพูดประโยคเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว นางเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิม พึมพำกับตนเองอย่างคนเสียสติ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในอารามกันลู่นอกจากข้ากับเฝิงหมัวมัวที่รับรู้ ก็ไม่มีคนอื่นรับรู้อีก กระทั่งหญิงแก่คนนั้นกับหลี่ซิวซงก็ยังไม่รู้ ตลอดมาล้วนปฏิบัติต่อเขาดั่งลูกหลานสกุลหลี่ แต่เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้ารู้ได้อย่างไร” ดวงตาของตู้ซื่อหันกลับมาจ้องหลี่หลิงหว่านเขม็งอีกครั้งพร้อมเอ่ยถามนางไปด้วย “เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!”

หลี่หลิงหว่านไม่อยากพูดอะไรกับตู้ซื่อมากกว่านี้ เพราะที่จริงในใจนางเองก็รู้สึกสงสารตู้ซื่อ ทั้งยังรู้สึกผิดด้วยเช่นกัน ในเมื่อทุกคนบนโลกนี้ต่างก็เป็นคนที่นางสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น ทว่ายามนี้นางไม่รู้แล้วว่าที่สุดตนเองควรจะทำอย่างไรกันแน่ นางรู้สึกแค่ว่าเหนื่อย…เหนื่อยทั้งกายและใจ

ชั่วขณะนี้นางรู้สึกเกลียดชังตนเองยิ่งนัก

หลังจากที่หลี่หลิงหว่านใคร่ครวญแล้วก็เอ่ยกับตู้ซื่อว่า “ปีนั้นเรื่องที่บิดาเจ้าถูกใส่ความ ยามนี้ฮ่องเต้น่าจะพลิกคดีให้เขาแล้ว ส่วนภิกษุเลวทรามรูปนั้น เจ้าวางใจ จุดจบของเขาไม่มีทางดีแน่ เขาจะต้องได้รับการตอบแทนที่เขาสมควรได้รับ นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากับหลี่ซิวซง พวกเขาเองก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ฟ้าดินมีตา คนที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ล้วนมีจุดจบที่พวกเขาสมควรจะได้รับทั้งสิ้น ส่วนเจ้า วันหน้าข้าจะพยายามคิดหาหนทางส่งเจ้าออกไปจากจวนสกุลหลี่ หาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งให้เจ้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสุขสงบ เพียงแต่ขออภัยเรื่องสกุลตู้ของเจ้า เฮ้อ ที่สุดแล้วใต้หล้านี้เจ้าก็ไม่เหลือคนในครอบครัวเลยสักคน หากว่าเจ้ายินยอม ไม่ว่าอย่างไรหลี่เหวยหยวนก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าเองก็ควรมองเขาเป็นคนในครอบครัวของเจ้า”

พูดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนที่ทำร้ายตู้ซื่อล้วนไม่มีจุดจบที่ดีอะไร เช่นนั้นนางเล่า เป็นนางที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา เรื่องราวอันน่าเศร้าของตู้ซื่อสามารถพูดได้ว่าเป็นนางที่กำหนด ถ้าเช่นนั้นภายภาคหน้านางจะมีจุดจบอย่างไร ต้องรับผลอย่างไร หลี่หลิงหว่านนิ่งคิดอย่างสงสัย

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ตู้ซื่อก็พุ่งเข้ามาราวกับลูกธนูหลุดออกจากสาย หลี่หลิงหว่านกำลังเหม่อลอยจึงไม่ได้ป้องกัน สองมือราวคีมเหล็กของตู้ซื่อบีบลำคอของหลี่หลิงหว่านไว้อย่างแน่นหนา ทั้งได้ยินเสียงนางเอ่ยถามอย่างดุร้าย “เจ้าเป็นใคร! เป็นใครกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ เรื่องทั้งหมดนี้เจ้ารู้ได้อย่างไร!”

ปากเอ่ยถามเช่นนี้ สองมือที่บีบคอหลี่หลิงหว่านก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองหายใจลำบาก ยิ่งนานอาการขาดอากาศหายใจก็ยิ่งปรากฏชัดเจน

ข้าจะตายแล้ว ข้ากำลังจะตายแล้ว ในใจนางคิดอยู่เช่นนี้ ไม่ได้ตายเพราะถูกหลี่เหวยหยวนป้อนหญ้าไส้ขาดด้วยตนเอง แต่กลับตายด้วยน้ำมือของตู้ซื่อ ทว่าความรู้สึกของการถูกบีบคอจนตายก็ไม่ค่อยสบายจริงๆ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ถือเสียว่าเป็นการชดใช้หนี้ที่นางทำให้ชีวิตของตู้ซื่อต้องยากลำบากถึงเพียงนี้ก็แล้วกัน

 

เดิมทีหลี่เหวยหยวนกำลังคลายอาภรณ์เตรียมขึ้นเตียงไปพักผ่อนแล้ว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูเรือนดังลั่นที่ด้านนอก เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะส่งเสียงผ่านทางหน้าต่างสั่งให้จิ่นเหยียนออกไปดู

จิ่นเหยียนรับคำแล้วหันกายออกไป ผ่านไปสักพักเขาก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยรายงานผ่านหน้าต่าง “คุณชาย เป็นเสี่ยวซานขอรับ นางบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนมากต้องการจะเอ่ยกับท่าน”

เสี่ยวซาน? ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ตามหว่านวานกลับไปแล้วหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงวิ่งมาที่นี่เพียงลำพัง ทั้งยังบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องการจะพูดกับข้า คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหว่านวานหรอกนะ

หลี่เหวยหยวนหัวใจกระตุกอย่างรุนแรง เขาเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เอ่ยเรียกเสี่ยวซานให้เข้ามา ทั้งยังเอ่ยถามนางอย่างร้อนใจ “เกิดเรื่องอะไรกับคุณหนูสี่ใช่หรือไม่ รีบพูดมาเร็วเข้า”

เสี่ยวซานคุกเข่าลงไปทันทีที่เข้ามา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อย่างละเอียดรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยต่อ “คุณหนูบอกว่าต้องการมาหาท่านเจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นว่าทิศทางที่คุณหนูไปไม่ได้มุ่งมาหาท่านที่นี่ ตลอดเส้นทางที่บ่าวรีบเดินมาก็ไม่เห็นเงาร่างของคุณหนูเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้คุณหนูเอ่ยสั่งอย่างเข้มงวดไม่ให้บ่าวติดตามไป บ่าว…บ่าวกลัวจึงไม่กล้าตามคุณหนูไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นห่วงคุณหนู บ่าวคิดดูแล้วจึงมาหาคุณชายใหญ่ อยากให้ท่านตามไปดูเจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูก็เชื่อฟังคุณชายใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว หากท่านไป คุณหนูจะต้องไม่ว่าอะไรท่านอย่างแน่นอน”

“นางไม่ให้เจ้าตาม เจ้าก็ไม่ตามจริงๆ?” น้ำเสียงหลี่เหวยหยวนฟังดูเย็นเยียบ “ดึกดื่นเช่นนี้ ทุกหนแห่งล้วนมืดสนิท หากนางเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น ศีรษะเจ้าแบกรับไหวหรือ”

เสี่ยวซานอยากจะร้องไห้จริงๆ เพราะกำลังหวาดกลัว ใบหน้านางจึงซีดขาวไปหมด

“ยังไม่รีบลุกขึ้นพาข้าไปยังทางแยกก่อนที่เจ้าจะแยกกับคุณหนูอีก” หลี่เหวยหยวนไม่ต่อว่าเสี่ยวซานอีก เพียงแค่เดินอย่างรวดเร็วไปหยิบชุดคลุมยาวผ้าแพรที่แขวนเสื้อมาสวม กำชับให้จิ่นเหยียนรั้งอยู่ที่เรือน จากนั้นเขาก็ก้าวเดินอย่างเร่งรีบออกไป เสี่ยวซานเองก็วิ่งเหยาะๆ ตามหลังเขาไป

รอจนถึงบริเวณที่นางแยกจากหลี่หลิงหว่าน เสี่ยวซานก็ชี้นิ้วไปยังทิศที่หลี่หลิงหว่านเดินไปพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงอาการสะอื้น “ยามนั้นบ่าวหันหน้ากลับไปมองก็เห็นคุณหนูเดินไปตามทางนั้น แต่บ่าวจำได้ว่าตรงนั้นเป็นสถานที่ต้องห้าม ฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดในจวนแห่งนี้เข้าไปทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ตอนนั้น…ตอนนั้นบ่าว…”

ด้วยเหตุนี้ทั้งๆ ที่นางรู้แก่ใจว่าหลี่หลิงหว่านมุ่งไปยังทิศทางนั้น ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า ที่สุดแล้วจึงไม่ได้ติดตามไป แต่หันกลับไปตามหลี่เหวยหยวนแทน

หลี่เหวยหยวนมองไปยังทิศทางนั้นคราหนึ่ง หัวใจพลันหนักอึ้งยิ่งขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงกำชับให้เสี่ยวซานรีบกลับไปรอที่เรือนอี๋เหอ หากระหว่างทางพบเจอผู้ใดเข้า นางไม่อาจเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปได้แม้แต่คำเดียว ถ้ามีสาวใช้ภายในเรือนอี๋เหอถามขึ้นมา ก็ให้บอกเพียงว่าคุณหนูสี่มีเรื่องด่วนจึงย้อนกลับไปหาคุณชายใหญ่ สักพักก็จะกลับมา

เสี่ยวซานรีบร้อนรับคำ ก่อนที่นางจะยกโคมไฟวิ่งเหยาะๆ กลับไปยังเรือนอี๋เหอ

ส่วนทางด้านหลี่เหวยหยวนก็ขยับเท้าก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าแล้ว

 

เรือนเล็กของตู้ซื่อแม้จะแยกห่างออกมา แต่เขาไปเยือนอยู่บ่อยๆ จึงคุ้นเส้นทางเป็นอย่างดี และด้วยความร้อนใจเขาจึงรีบวิ่งมาตลอดทาง ในตอนที่เขาได้เห็นเรือนเล็กแห่งนี้ หลี่หลิงหว่านก็เพิ่งมาถึงเท่านั้น

หลี่เหวยหยวนมองเห็นเรือนร่างสะโอดสะองของนางกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน หัวใจที่หวาดหวั่นมาโดยตลอดของเขาจึงสงบลงได้ พริบตาต่อมาเขาก็อยากจะเปิดปากส่งเสียงเรียกนาง ให้นางรีบตามเขากลับไป แต่ยามนั้นเขาก็ได้เห็นหลี่หลิงหว่านกำลังถืออะไรบางอย่างงัดแงะอิฐก้อนที่สี่ด้านซ้ายมือพอดี

เรือนเล็กที่กักขังตู้ซื่อแห่งนี้ถูกคล้องแม่กุญแจเอาไว้ตลอดเวลา ต่อให้เป็นบ่าวรับใช้ที่มาส่งอาหารก็ไม่อาจเข้าไปได้ เพียงแค่เปิดช่องเล็กๆ เอาไว้บนกำแพง พอถึงเวลาก็นำสำรับอาหารส่งผ่านเข้าไปในช่องนั้น ภายหลังหลี่ซิวซงหาหนทางขโมยลูกกุญแจของแม่กุญแจตัวนี้มาจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ หยิบมาแล้วก็ให้คนทำลูกกุญแจเอาไว้ดอกหนึ่ง จากนั้นนำกุญแจต้นแบบกลับไปวางคืนฮูหยินผู้เฒ่าทางด้านนั้น ส่วนกุญแจที่ถูกทำมาดอกนี้ หลี่ซิวซงได้บอกกับหลี่เหวยหยวนไว้แล้วว่าอิฐก้อนที่สี่ทางซ้ายด้านนอกประตูเรือนมีโพรงอยู่ กุญแจจะวางเอาไว้ในนั้น หากเขาอยากมาหาตู้ซื่อเมื่อใดก็สามารถหยิบกุญแจมาเปิดประตูเรือนเข้าไปเองได้เลย

เพียงแต่เรื่องราวที่เป็นความลับขนาดนี้มีเพียงเขากับหลี่ซิวซงเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้เรื่อง เหตุใดยามนี้หลี่หลิงหว่านกลับกระจ่างได้เล่า

หลี่เหวยหยวนรู้สึกสงสัยจึงไม่ได้เปิดปากเรียกหลี่หลิงหว่านในทันที ทั้งยังขยับตัวเล็กน้อยไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นกุ้ยที่ปลูกอยู่ข้างทาง

จากนั้นเขาก็เห็นหลี่หลิงหว่านหยิบกุญแจขึ้นมาไขแม่กุญแจแล้วผลักประตูก้าวเข้าไปในเรือน ทั้งยังหันกลับมาปิดประตู ยามนั้นเขาถึงได้เดินย่องไปที่ประตู ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูเบาๆ ทว่าบานประตูทั้งสองไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เห็นทีหลี่หลิงหว่านคงจะลงกลอนประตูเอาไว้ที่ด้านหลัง

หลี่เหวยหยวนขมวดคิ้ว หลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าที่ใกล้กำแพงมีต้นการบูรอยู่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านใบอุดมสมบูรณ์ แม้ลำต้นจะไม่ได้แนบชิดกับกำแพงมากนัก แต่เขาคำนวณดูแล้วรู้สึกว่าหากตนเองอยู่สูงพอแล้วกระโดดลงไปด้านล่าง เขาก็จะเข้าไปในเรือนได้พอดี

เขาไม่วางใจให้หลี่หลิงหว่านอยู่กับตู้ซื่อตามลำพังจริงๆ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าการทำเช่นนี้มีอันตรายอย่างแน่นอน แต่หลี่เหวยหยวนยังคงเดินไปที่ใต้ต้นการบูรต้นนั้นอย่างไม่ลังเลแล้วเริ่มปีนขึ้นไป

รอจนรู้สึกว่าความสูงพอได้แล้ว หลี่เหวยหยวนก็จับกิ่งไม้แห้งที่ค่อนข้างหนากิ่งหนึ่งเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า เขาชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่างครู่หนึ่งแล้วก็กัดฟันกระโดดลงไป

โชคดีที่พื้นลานเรือนทุกหนแห่งล้วนมีแต่วัชพืชที่แห้งเหี่ยวไปแล้ว เนื่องจากไม่มีคนมาทำความสะอาด วัชพืชจึงปูอยู่บนพื้นเป็นชั้นหนาๆ ราวกับพรมอย่างไรอย่างนั้น ยามที่เขากระโดดลงมา แม้หัวเข่ากับข้อศอกล้วนกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้แขนหรือขาหักแต่อย่างใด

หลี่เหวยหยวนพยุงกายลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีเวลามาสนใจว่าที่หัวเข่ากับข้อศอกตรงนั้นเจ็บมากเพียงใด เพียงเร่งรีบเดินย่องไปยังโถงหลักที่อยู่ด้านหน้า

ภายในโถงหลักมีแสงตะเกียงน้ำมันสลัวราง แล้วก็มีเสียงหลี่หลิงหว่านกำลังตวาดถามตู้ซื่ออย่างกรุ่นโกรธ หลี่เหวยหยวนนิ่งอึ้ง เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในทันที เพียงแค่ซ่อนตัวอยู่นอกประตูและฟังบทสนทนาระหว่างหลี่หลิงหว่านกับตู้ซื่อที่อยู่ข้างในเงียบๆ

จากนั้นก็เหมือนมีฟ้าผ่าส่งเสียงกัมปนาทอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น เขารู้สึกเพียงว่าตลอดทั้งร่าง ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกาย แต่รวมทั้งจิตวิญญาณของเขากำลังสั่นสะท้าน

นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ใช่บุตรชายของหลี่ซิวซง! เขาเกิดขึ้นเพราะตู้ซื่อถูกภิกษุสารเลวรูปหนึ่งย่ำยี! ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนที่มีชาติกำเนิดสกปรกโสมมเช่นนี้!

ต่อให้ที่ผ่านมาเขาจะเป็นคนเยือกเย็นยิ่งกว่านี้ สุขุมยิ่งกว่านี้ แต่ยามนี้เมื่อได้รับรู้เรื่องราวนี้อย่างกะทันหัน เขายังคงรู้สึกว่าตลอดทั้งตัวราวกับถูกค้อนเหล็กกระหน่ำทุบ สองหูมีเสียงดังกัมปนาท มือเท้าเย็นเฉียบ

จากนั้นทั้งร่างเขาก็ราวกับเส้นบะหมี่ที่ถูกลวกผ่านน้ำเดือดอยู่หลายหน นุ่มราวกับดินโคลนลื่นไถลลงมาตามประตูไม้และทรุดอยู่บนพื้นอย่างหมดแรง

ที่แท้เขาก็มีชาติกำเนิดที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรับรู้ได้เช่นนี้เอง บุตรของสตรีที่ถูกขืนใจ! หลี่เหวยหยวนยิ้มขื่นอย่างไร้กำลัง ชะตาชีวิตช่างเล่นตลกกับเขานัก ช่วงก่อนอายุสิบสามสิบสี่เขาถูกคนในจวนสกุลหลี่กดขี่กลั่นแกล้งถึงเพียงนั้น ช่วงหลังมานี้สถานการณ์เริ่มจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนี้กลับให้เขามารับรู้ว่าตนเองมีชาติกำเนิดที่รับไม่ได้เช่นนี้

หลี่เหวยหยวนซุกศีรษะซ่อนเข้าไปในอ้อมแขนตนเองด้วยจิตใจอันหดหู่

ทว่าต่อมาเขาก็เงยหน้าขึ้น ในดวงตาไม่เหลือสีแห่งความหมองเศร้าอีกต่อไป กลับกันยังเปล่งประกายสว่างไสว

หากเขาไม่ใช่บุตรของหลี่ซิวซงจริงๆ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขากับหลี่หลิงหว่านไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันใดต่อกัน เขากับนางไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันตั้งแต่แรกแล้ว นั่นมิใช่หมายความว่า…

คิดมาถึงตรงนี้หลี่เหวยหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจที่เพิ่งจะตายลงไปนั้น จู่ๆ ก็เริ่มเต้นกระหน่ำขึ้นมา ความยินดีอย่างบ้าคลั่งกำลังถาโถมใส่เขา สองมือสั่นสะท้านน้อยๆ เพราะความตื่นเต้น

ชั่วพริบตานั้นเขาพลันรู้สึกว่าเทพแห่งโชคชะตาได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเมตตานัก ขอเพียงตลอดชีวิตนี้หลี่หลิงหว่านสามารถอยู่ข้างกายเขาได้ ไม่ว่าเขาจะมีชาติกำเนิดน่าอัปยศอดสูเพียงใดก็ได้ทั้งนั้น

เขาไม่สน! ทั้งหมดนี้เขาล้วนไม่สนใจ! ขอเพียงระหว่างเขากับหลี่หลิงหว่านไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องกัน ต่อให้ยามนี้มีคนบอกว่าเขาเป็นบุตรของมารร้าย เขาก็ล้วนรู้สึกปีติยินดีทั้งสิ้น

ตลอดทั้งร่างพลุ่งพล่านไปด้วยความยินดี หลี่เหวยหยวนจับประตูไม้ที่อยู่ด้านหลังพยุงตนเองให้ลุกยืนขึ้นมา บนใบหน้าประดับรอยยิ้มที่ออกมาจากข้างใน

ในยามนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปึกดังสนั่น ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงตู้ซื่อกัดฟันไล่บี้ซักถามว่าหลี่หลิงหว่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ ทว่ากลับมีเพียงเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน ทั้งยังเจ็บปวดยิ่งของหลี่หลิงหว่าน

หัวใจของหลี่เหวยหยวนกระดอนขึ้นสูงอีกครั้ง เขาเร่งเดินไปมองผ่านบานประตู และเมื่อมองไปก็ต้องตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย เขาเห็นตู้ซื่อมีใบหน้าบิดเบี้ยว สองมือกำลังบีบคอหลี่หลิงหว่านอย่างรุนแรง และหลี่หลิงหว่านก็ถูกนางบีบคอจนหน้าแดงไปหมด เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมาทีละเส้นๆ ใกล้จะสิ้นลมหายใจอยู่แล้ว

ยามนั้นในใจหลี่เหวยหยวนตื่นตระหนกยิ่งนัก เขาไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เพียงรีบร้อนพุ่งเข้าไป ยื่นมือออกแรงกระชากสองมือที่บีบคอหลี่หลิงหว่านพร้อมกับตวาดตู้ซื่อเสียงดัง “ปล่อยมือ!”

ทว่าตู้ซื่อราวกับหูหนวกอย่างไรอย่างนั้น นางยังคงใช้สองมือบีบคอหลี่หลิงหว่านแน่นอย่างสุดแรงโดยไม่ยอมปล่อย

หลี่เหวยหยวนในใจร้อนรนยิ่ง เขาจึงใช้แรงที่มีทั้งหมดกระชากตัวตู้ซื่อออก รอจนกระชากนางออกมาแล้ว ตู้ซื่อก็ทรงตัวไม่อยู่เซไปทางด้านข้างอย่างแรง เสียงปึกดังสนั่นขึ้น แต่หนนี้หลี่เหวยหยวนไม่มีเวลาไปสนใจมอง เขาเพียงพุ่งเข้าไป สองมือประคองหลี่หลิงหว่านที่ลื่นไถลลงมาตามประตูไม้ที่ด้านหลังราวกับโคลนเหลวๆ พร้อมกับเอ่ยถามนางไม่หยุด “หว่านวาน หว่านวาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่หลิงหว่านพูดไม่ออก นางรู้สึกเหมือนลำคอถูกเม็ดทรายหยาบหนาครูดผ่านอย่างไรอย่างนั้น เจ็บปวดจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว หลังจากนั้นก็มีอาการไอราวกับจะฉีกกระชากปอดออกมา ไอจนใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ตลอดทั้งร่างยิ่งปราศจากเรี่ยวแรง กระทั่งนิ้วมือยังขยับไม่ได้

หลี่เหวยหยวนมองท่าทางเช่นนี้ของหลี่หลิงหว่านแล้วในใจก็โศกเศร้ายิ่งนัก ทั้งยังวิตกอย่างที่สุด เขารีบโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด ทางหนึ่งลูบหลังให้นางอย่างช้าๆ ช่วยให้นางหายใจได้สะดวกขึ้น ทั้งยังพยายามทำให้เสียงตนเองฟังดูไม่ร้อนรนถึงเพียงนั้น ค่อยๆ ชี้แนะนาง “หว่านวาน หายใจเข้า…แล้วผ่อนออกทางปาก ใช่แล้ว เด็กดี แบบนี้แหละ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ทำ หายใจเข้าอีกครั้ง…ออก”

หลี่เหวยหยวนปลอบโยนอยู่ครู่ใหญ่ หลี่หลิงหว่านถึงค่อยหายใจสะดวกขึ้นมา ลมหายใจก็ปลอดโปร่งขึ้น นางเอ่ยเรียกเขาเสียงแหบแห้ง “พี่ชาย”

หลี่เหวยหยวนได้ยินนางเรียก ในใจจึงสงบลงได้บ้าง ทว่ายังคงเต็มไปด้วยความปวดใจและรักถนอม

“หว่านวาน” เขาโอบกอดนางแน่น ปลายคางวางอยู่บนศีรษะนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เหตุใดเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้ มาที่นี่ทำไมกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าจะให้พี่ชายทำเช่นไร”

ประโยคสนทนาระหว่างหลี่หลิงหว่านกับตู้ซื่อเมื่อครู่นี้เขาได้ยินแทบจะไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว เขาจึงรู้ว่าที่หลี่หลิงหว่านไม่เกรงกลัวอันตราย มาหาตู้ซื่อในยามดึกดื่นเช่นนี้ ก็เพียงแค่หวังให้ภายภาคหน้าตู้ซื่อจะไม่ทุบตีด่าว่าเขาอีกต่อไปเท่านั้น

เมื่อรู้ว่าหลี่หลิงหว่านคิดเพื่อเขาอย่างจริงใจขนาดนี้ เขาจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร แขนที่โอบกอดนางจึงยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้นไปอีก แทบอยากผสานตัวนางเข้ามาอยู่ในเลือดเนื้อของเขาทั้งแบบนี้

หลี่หลิงหว่านได้ยินคำพูดของเขา ในใจก็พลันส่งสัญญาณเตือนเสียงดังขึ้นมา

หลี่เหวยหยวนมาที่นี่ได้อย่างไร ที่สำคัญคือเขามาถึงตั้งแต่เมื่อใด ได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับตู้ซื่อหรือไม่ และได้ยินไปมากเพียงใด หากหลี่เหวยหยวนรู้ว่านางกับเขาไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ต่อจากนี้เขาจะทำตัวห่างเหินกับนางหรือไม่ จะไม่เหมือนแต่ก่อนที่รักถนอมนางราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขาอีกแล้วหรือเปล่า ถ้าหากหลี่หลิงเยี่ยนโยนช่อมะกอกให้เขาหลายครั้งเข้า เขาก็จะไปเข้าข้างทางนั้นแทนหรือไม่ ถึงตอนนั้นจุดจบของนางจะยังสวยงามได้อีกหรือ

ทว่าที่นางหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือหากหลี่เหวยหยวนรู้ความจริงที่ว่าเขากับนางไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องกัน ภายหลังหากนางอยากประจบและเข้าใกล้เขาอีก เกรงว่าเขาคงรู้สึกรังเกียจนางแล้วใช่หรือไม่

คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็ทุกข์ตรมยิ่งนัก ในใจคิดว่าอย่าให้แผนการในหลายปีที่ผ่านมาเหล่านั้นสูญสลายไปดั่งสายน้ำไหลผ่านเช่นนี้เลย

กระนั้นในใจนางก็ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวของความหวังอยู่ บางทีหลี่เหวยหยวนอาจจะเพิ่งมาถึง เขาอาจไม่ได้ยินประโยคสนทนาที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเขาซึ่งข้าได้เอ่ยกับตู้ซื่อไปก่อนหน้านี้ อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเองเลยจะดีกว่า รีบๆ หยั่งเชิงสถานการณ์ดูก่อนจึงจะถูก

เพียงแต่ประโยคหยั่งเชิงไม่ทันได้ออกจากปาก สายตานางก็มองเห็นตู้ซื่อที่กำลังนอนอยู่บนพื้นด้านข้าง

ตู้ซื่อนอนตะแคงข้าง ยามนี้ที่หน้าผากของนางล้วนเต็มไปด้วยเลือด ทั้งรอยเลือดยังไหลคดเคี้ยวตามใบหน้าของนางลงมาบนพื้น สิ่งที่สายตาหลี่หลิงหว่านมองเห็นคือแอ่งเลือดสดใหม่สีแดงข้น ยังมีใบหน้าซีดเผือดของนาง รวมทั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยความเดียดฉันท์คู่นั้น

ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ปิดลง ซ้ำยังเบิกกว้างจ้องเขม็งมาที่หลี่หลิงหว่านตลอดเวลา

หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบ หัวใจในอกแทบจะกระดอนออกมา ผ่านไปสักพักนางถึงผละออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวยหยวน เรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังชี้นิ้วสั่นๆ ไปทางตู้ซื่อ “พี่…พี่…พี่ชาย ดู…ดูนั่น”

หลี่เหวยหยวนหันหน้ากลับไปมองตามนิ้วมือของหลี่หลิงหว่าน จากนั้นสีหน้าบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นซีดเผือด ลมหายใจสะดุด เขารีบร้อนลุกขึ้นยืนแล้วไปคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าตู้ซื่อ ยื่นมือซึ่งสั่นเทาน้อยๆ ออกไปอังที่ใต้จมูกของนาง ทั้งยังคลำไปตามลำคอ ใบหน้าเขาพลันเคร่งขรึมยิ่งขึ้น เขาเงยหน้าส่ายศีรษะช้าๆ ให้หลี่หลิงหว่าน

หลี่หลิงหว่านตกใจจนใบหน้าซีดขาว ร่างสั่นสะท้านพูดอะไรไม่ออก

ใช่ ใช่แล้ว จะต้องเป็นเมื่อครู่ที่หลี่เหวยหยวนช่วยนาง เขาผลักตู้ซื่อออกไปด้านข้างอย่างรีบร้อน ตู้ซื่อจึงเซไปกระแทกโดนผนังเข้า ยามนั้นมีเสียงปึกดังลั่น นั่นจะต้องเป็นเสียงศีรษะตู้ซื่อยามกระแทกเข้ากับผนังเป็นแน่ เพียงแต่ตอนนั้นนางกับหลี่เหวยหยวนยังคงตกใจไม่ได้สติ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้

แต่…แต่ว่าเหตุใดแค่หลี่เหวยหยวนผลักเช่นนี้ตู้ซื่อก็ตายเสียแล้วเล่า

ในนิยายที่เขียนไว้นั้น นางได้วางรายละเอียดให้หลี่เหวยหยวนฆ่าตู้ซื่ออย่างโหดเหี้ยมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความบิดเบี้ยววิปริตและความอำมหิตของเขา เพียงแต่ยามนั้นนางแค่เขียนประโยคหนึ่งไปอย่างผ่านๆ มิหนำซ้ำที่เขียนเอาไว้ยังเป็นตอนที่หลี่เหวยหยวนเพิ่งสอบได้เป็นซิ่วไฉก็ฆ่าตู้ซื่อในทันที แต่เหตุใดยามนี้หลี่เหวยหยวนสอบได้เป็นจวี่เหรินแล้ว รายละเอียดเรื่องนี้ก็ยังเกิดขึ้นตามเดิมอีก บางทีรายละเอียดต่างๆ ที่นางวางไว้ในนิยายที่จริงล้วนแต่จะเกิดขึ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่านางจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในนิยายเดิมไปมากเพียงไร อย่างมากก็ทำได้เพียงยืดเวลาออกไปเท่านั้น ที่สุดแล้วนางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้จริงๆ

เช่นนี้มิใช่เป็นการบอกว่าฉากจบสุดท้ายของนางก็ยังคงเหมือนกับในนิยายเดิมหรอกหรือ นางยังคงถูกหลี่เหวยหยวนตัดลิ้น ป้อนหญ้าไส้ขาด และตายไป

หลี่หลิงหว่านคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าหัวใจตนเองร่วงหล่น สายตาที่นางมองหลี่เหวยหยวนจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

นางกลัวจริงๆ ยามนี้ตู้ซื่อยังคงนอนตายตาไม่หลับอยู่ตรงนี้ ดวงตาจ้องเขม็งมาที่นาง อีกทั้งนางยังได้รู้ว่าความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ของตนเองมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะสูญเปล่าไปทั้งหมด สุดท้ายนางยังต้องพบจุดจบอันน่ารันทดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ชั่วขณะนั้นทั้งร่างของนางจึงสั่นสะท้านราวกับตะแกรงร่อน โลหิตทั่วร่างเหมือนจับตัวเป็นน้ำแข็งไปจนหมด

หลี่หลิงหว่านไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป นางรีบร้อนหมุนตัววิ่งจากไป ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ตนเองกำลังหวาดกลัวถึงขีดสุดจึงไม่ทันระวังการย่างก้าว นางถูกธรณีประตูที่อยู่ด้านหน้าขัดขาเข้า บริเวณข้อเท้ารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในชั่วพริบตา แล้วร่างทั้งร่างก็พุ่งล้มไปด้านหน้า

โชคดีที่หลี่เหวยหยวนรีบเข้ามารับนางได้ทันเวลา ทั้งยังโอบนางไว้ในอ้อมกอดแน่น เอ่ยปลอบนางไม่หยุด “หว่านวาน ไม่ต้องกลัว พี่ชายอยู่ตรงนี้”

แต่คนที่นางกลัวที่สุดก็คือเขา กลัวว่าสุดท้ายคนผู้นี้จะตัดลิ้นนางและป้อนหญ้าไส้ขาดให้นางกิน ยิ่งมองไปเห็นตู้ซื่อนางก็ยิ่งหวาดกลัว

หลี่หลิงหว่านดิ้นรนขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เหวยหยวน แต่เขาเพียงแค่คิดว่านางตกใจเพราะเห็นสภาพการตายของตู้ซื่อ ดังนั้นยิ่งนางดิ้นรนเขาก็ยิ่งกอดนางแน่นขึ้น เขายังคงเอาแต่เอ่ยปลอบโยนนาง “หว่านวาน หว่านวาน ไม่ต้องกลัว อย่าได้กลัว พี่ชายอยู่ตรงนี้”

“พี่ปล่อยข้า ปล่อยข้า ให้ข้าไป!” หลี่หลิงหว่านดิ้นรนไม่หยุด แต่จนใจที่หลี่เหวยหยวนกอดนางแน่นยิ่งนัก ไม่ว่านางจะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด สุดท้ายในใจนางจึงทั้งร้อนรนทั้งหวาดกลัว อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ “พี่ให้ข้าไปเถอะ ข้าไม่อยากตาย”

“มีพี่ชายอยู่ เจ้าจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนหนักแน่น “หว่านวาน ไม่ต้องกลัว พี่ชายจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”

หลี่หลิงหว่านร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ในอกนางเต็มไปด้วยความหวาดผวาและความสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้เกือบถูกตู้ซื่อบีบคอตาย ต่อมาได้หลี่เหวยหยวนช่วยเอาไว้แล้ว เพิ่งจะสงบสติลงได้ก็เห็นสภาพการตายของตู้ซื่อเข้าอีก หลังจากนั้นนางก็คิดเชื่อมโยงไปถึงจุดจบอันน่ารันทดในภายหลังของตนเอง คลื่นอารมณ์ขึ้นสุดลงสุดอยู่หลายหน ยามนี้ยังมาถูกหลี่เหวยหยวนกักตัวเอาไว้ ต่อให้อยากหนีเพียงใดก็หนีไม่รอด

จู่ๆ หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าศีรษะตนเองพลันหนักอึ้ง ก่อนจะปราศจากเรี่ยวแรงไปทั้งร่าง สุดท้ายสติก็ค่อยๆ เลือนราง ศีรษะเอนซบหลี่เหวยหยวนหมดสติไป

เมื่อเสียงร้องไห้ของหลี่หลิงหว่านหยุดลงไปกะทันหัน สองตาปิดสนิท หัวใจหลี่เหวยหยวนก็กระตุกอย่างรุนแรง ความหวาดหวั่นอันใหญ่หลวงถาโถมใส่เขาทันที

มือของหลี่เหวยหยวนสั่นระริกขณะที่ยื่นไปอังใต้จมูกหลี่หลิงหว่าน โชคยังดีที่ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ เห็นทีจะเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น หลี่เหวยหยวนถึงสงบใจลงได้

หลี่เหวยหยวนจึงอุ้มหลี่หลิงหว่านขึ้นมา ให้นางนั่งพิงเสาบริเวณระเบียงทางเดิน ส่วนตนเองก็เดินเข้าเดินออกกำจัดร่องรอยที่บ่งบอกว่าเขากับหลี่หลิงหว่านเคยมาที่นี่ทิ้งไปจนหมดอย่างละเอียดลออ แม้แต่วัชพืชบริเวณที่ถูกทับแบนจากการที่เขากระโดดลงมาจากต้นไม้เมื่อครู่นี้ก็ยังทำให้กลับมานูนหนาดังเดิม มองดูแล้วไม่มีความแตกต่างจากวัชพืชบริเวณอื่นแต่อย่างใด

หลังทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินไปที่เบื้องหน้าตู้ซื่อและหลุบตามองนางอยู่พักหนึ่ง ความเจ็บปวด ความมึนงง และความชาหนึบในหัวใจยังคงมีอยู่

เลือดบนหน้าผากของตู้ซื่อกำลังจับตัวแข็งอย่างช้าๆ จนไม่อาจไหลลงมาได้อีก แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ บนพื้นก็ยังคงมีแอ่งเลือดสีแดงสดแอ่งใหญ่อยู่ ดวงตาของนางยังเบิกกว้าง มองตรงไปข้างหน้าด้วยความไม่ยินยอม

หลี่เหวยหยวนมองดูตู้ซื่อสักพักก็พลันคุกเข่าลงแล้วโน้มตัวโขกศีรษะให้นางสามครั้ง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปปิดดวงตาที่เบิกกว้างของนาง ต่อให้ในหลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยมอบความอบอุ่นให้เขาแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังเอาแต่ดุด่าต่อว่าเขา ทุบตีเขาอย่างอำมหิต แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นคนมอบชีวิตให้กับเขา ในใจเขายังคงรู้สึกติดค้างและเสียใจที่พลั้งมือจนทำให้มารดาถึงแก่ชีวิตเช่นนี้

ใบหน้าของหลี่เหวยหยวนนิ่งสงบ ความเศร้า ความเจ็บปวด และความเย็นยะเยือกปนเปกันในจิตใจ แม้อยากจัดการฝังศพให้มารดาอย่างสมเกียรติ ทว่าเขาก็ไม่อาจให้เรื่องราวในวันนี้แพร่งพรายออกไปได้ เพราะอาจทำให้หลี่หลิงหว่านต้องเดือดร้อน ในใจจึงได้แต่กล่าวขอรับผิดกับมารดา

จากนั้นหลี่เหวยหยวนก็ลุกขึ้น เป่าตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะดับในครั้งเดียว แล้วเดินออกจากห้องนี้โดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป ก่อนจะโน้มตัวลงอุ้มหลี่หลิงหว่านขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

รอจนออกมาจากประตูเรือนแล้วเขาก็วางร่างหลี่หลิงหว่านลง หันกลับไปใส่แม่กุญแจคล้องประตูอีกครั้งแล้วถือกุญแจไว้ ก่อนจะหันกลับมาอุ้มหลี่หลิงหว่านเดินไปยังทิศทางของเรือนอี๋เหออย่างรวดเร็ว ในยามที่ผ่านสระน้ำในสวนดอกไม้ เขาก็หยุดเท้าพลางเงื้อแขนขึ้น โยนลูกกุญแจทองแดงในมือลงไปในสระน้ำ

เสียงจ๋อมดังขึ้นเบาๆ ผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ แต่ในเวลาอันรวดเร็วก็กลับมานิ่งสงบตามเดิมอีกครั้ง

หลี่เหวยหยวนยืนอยู่ข้างสระน้ำสักพักหนึ่ง ลมกลางคืนอันหนาวเหน็บบาดใบหน้าเขาราวกับคมดาบ กิ่งโกร๋นบนต้นสนที่ปลูกอยู่สองข้างทางขยับไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง

เขาหลุบตาลงมองหลี่หลิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอด นางยังคงหมดสติ สีแดงระเรื่อบนใบหน้าที่เกิดจากความตกใจและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยังคงไม่เลือนหายไปจนหมด ทว่าลมหายใจกลับสม่ำเสมอแล้ว

ขอเพียงแค่มีนางอยู่ ต่อให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้มีความจนใจและความอดสูมากกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ยังมีค่าพอให้เขาอาลัยอาวรณ์ และมีแรงขับเคลื่อนให้เขาทุ่มเทพยายามมากยิ่งขึ้น

เขาก้มหน้าจุมพิตลงบนแก้มขวาของนางเล็กน้อย จากนั้นก็กอดนางแน่นขึ้น หมุนตัวจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง

ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ชาติกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับเขา ความสับสนมากมายของเขา รวมทั้งความเจ็บปวดอีกมากมายที่ได้รับมา นับแต่นี้ไปล้วนไม่อาจแผ้วพานเขาได้อีก ตลอดชีวิตนี้เขาจะต้องทำให้หลี่หลิงหว่านอยู่ข้างกายเขาอย่างมีความสุข ไม่มีผู้ใดสามารถแยกพวกเขาจากกันได้

บทที่สี่

หลี่หลิงหว่านเริ่มฝันอีกแล้ว เป็นความฝันเดิมที่คอยรบกวนนางมาโดยตลอดตั้งแต่นางข้ามมิติมา

ช่วงตงจื้อ วันที่หิมะตกหนัก ณ วัดร้าง ปลายลิ้นปวดแสบ หน้าท้องปวดจนตัวบิดงอ หลี่เหวยหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูนางด้วยแววตาเย็นชาอำมหิต

ในความมึนงงนางคืบคลานเข้าไปและยื่นมือไปคว้าขาของหลี่เหวยหยวนเอาไว้ หลังจากถูกตัดลิ้นนางก็พูดจาได้ไม่ชัด ทำได้เพียงเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างอู้อี้ นอกจากหลี่เหวยหยวนจะไม่สนใจนางแม้แต่น้อยแล้ว เขายังเตะร่างนางที่ยื่นมือออกไปหาเขาอย่างรุนแรง รสคาวหวานพลันแผ่กระจายทั่วทั้งปาก มีเลือดสดๆ ไหลลงมาจากมุมปากนางแล้วหยดลงบนพื้น สีแดงเข้มเสียดแทงสายตา

ในความมึนงงภาพเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปกะทันหัน กลายเป็นร่างของตู้ซื่อนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเดียดฉันท์กำลังจ้องเขม็งมาที่นาง นางกลัวจนอยากจะกรีดร้อง แต่ในลำคอเหมือนถูกของบางอย่างอุดกั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น กระทั่งนางไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ จากนั้นก็เห็นตู้ซื่อลุกขึ้นมายืนอย่างกะทันหันด้วยใบหน้าซีดเผือด เลือดบนหน้าผากยังไหลรินไม่หยุด แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ตู้ซื่อก็ยังยื่นมือพลางเดินตรงมาที่นางทีละก้าวๆ พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา “คืนชีวิตข้ามา คืนชีวิตข้ามา”

หลี่หลิงหว่านตกใจจนตัวสั่นไปทั้งร่าง นางอยากจะวิ่งหนี แต่สองขาราวกับถูกผูกไว้ด้วยของหนักอย่างไรอย่างนั้น ประหนึ่งหนักนับหมื่นชั่ง ขยับไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว นางทำได้เพียงมองดูตู้ซื่อเดินเข้ามาหา ยื่นสองมือมาบีบคอนาง แล้วค่อยๆ ออกแรงบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ

หลี่หลิงหว่านตกใจจนร้องไห้โฮ ทางหนึ่งร้องไห้ อีกทางยังวิงวอนตู้ซื่ออย่างร้อนรน “ไม่นะ! อย่า ข้าไม่อยากตาย ข้ายังไม่อยากตาย!”

นางร้องไห้ออกมาจนรู้สึกว่าร่างกายแทบจะหอบหายใจไม่ทันอยู่แล้ว ในความสะลึมสะลือราวกับมีคนเรียกนางอย่างร้อนรนว่าหว่านวาน จากนั้นบนหน้าผาก แก้ม ปลายจมูก และริมฝีปาก ทุกหนแห่งต่างก็มีความรู้สึกอบอุ่นแผ่วเบามาสัมผัส ราวกับมีคนกำลังใช้ปลายขนนกปัดผ่านจุดต่างๆ เหล่านี้ ขณะที่ปัดผ่านไปนั้นยังคอยส่งเสียงเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าหว่านวาน ต่อจากนั้นก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างไหลลื่นเข้ามาในปากนาง กระหวัดเกี่ยวปลายลิ้นนาง และดูดดึงอย่างอ่อนโยน

ทว่าสัมผัสอ่อนโยนนั้นกลับค่อยๆ หนักหน่วงมากขึ้น นางรู้สึกว่าปลายลิ้นเริ่มเจ็บแสบจนรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ น้ำเสียงสะอื้นไห้แฝงไปด้วยความวิงวอน “ได้โปรด พี่ชาย อย่าได้ตัดลิ้นข้า อย่า ข้าเจ็บ ได้โปรด พี่ชาย ได้โปรด”

ได้ยินเสียงละเมอที่ฟังดูเลอะเลือนเช่นนี้ของนางแล้ว หัวใจหลี่เหวยหยวนพลันกระตุก เขาไม่ได้จุมพิตนางต่ออีก แต่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ทั้งยังใช้สายตาลุ่มลึกมองไปที่หลี่หลิงหว่านซึ่งยังคงนอนละเมอ

เจ้ารู้อะไรบ้างกันแน่

คืนนั้นเขาได้ยินตู้ซื่อเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน เรื่องที่อารามกันลู่มีเพียงตัวนางกับเฝิงหมัวมัวซึ่งรับใช้อยู่ข้างกายนางเท่านั้นที่รับรู้ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านผู้เฒ่า และหลี่ซิวซงก็ไม่รู้เรื่อง แต่หลี่หลิงหว่านกลับรู้กระจ่างชัดขนาดนั้นได้อย่างไร ในภายหลังยังเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจถึงจุดจบของภิกษุรูปนั้น ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่า รวมทั้งหลี่ซิวซงซึ่งจะมีจุดจบที่ไม่มีความสุข

นับตั้งแต่เขาอุ้มหลี่หลิงหว่านกลับมายังเรือนอี๋เหอนางก็เอาแต่หมดสติ ในคืนนั้นนางเป็นไข้ขึ้นมา ซ้ำยังมักส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว พลิกตัวกระสับกระส่ายบอกว่านางไม่อยากตาย นางกลัวเจ็บ นางไม่อยากกินหญ้าไส้ขาด ทั้งเมื่อครู่นี้ยังร้องไห้วิงวอนไม่ให้เขาตัดลิ้นของนางอีก

ที่สำคัญที่สุดคือนางพูดว่า ‘พี่ชาย อย่าได้ตัดลิ้นข้า’

นางรู้เรื่องราวทั้งหมดของทุกคนใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต นางล้วนรู้จุดจบของทุกคนราวกับนิ้วมือตนเอง เช่นนั้นในเรื่องราวที่นางรู้มาทั้งหมด ในอนาคตเขาจะทำเช่นไรกับนาง

ตัดลิ้นนาง? ป้อนหญ้าไส้ขาดให้นางกิน? สังหารนาง? ด้วยเหตุนี้แม้ยามนั้นนางจะหวาดกลัวเขา แต่ก็ยังคงพยายามใกล้ชิดและประจบประแจงเขาอย่างที่สุด เพียงเพื่อที่จะมีชีวิตรอด?

แม้จะรู้นานแล้วว่าที่หลี่หลิงหว่านเข้ามาใกล้ชิดประจบประแจงเขาในตอนแรกนั้นก็เพราะว่ามีจุดประสงค์อื่น แต่ยามที่ได้รู้สาเหตุแล้วหลี่เหวยหยวนก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

หลี่หลิงหว่านยังคงนอนละเมออย่างกระสับกระส่าย ทั้งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นส่งเสียงวิงวอนแผ่วเบา “พี่ชาย อย่า ข้าขอร้องพี่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า”

หลี่เหวยหยวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างมาก และยังเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา

เขาโน้มตัวลงไปให้ปลายจมูกแตะโดนปลายจมูกนางเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เด็กโง่ ข้าจะตัดใจทำร้ายเจ้าลงได้อย่างไร เจ้าเป็นชีวิตของข้า ข้ายินยอมทำร้ายตนเองหนึ่งพันครั้ง หนึ่งหมื่นถ้อยคำ แต่ก็ยังไม่อาจตัดใจทำร้ายเจ้าลงแม้เพียงครั้งเดียว” กล่าวจบยังจุมพิตที่ริมฝีปากนางอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง

แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการจุมพิตขณะที่นางไม่ได้สติเช่นนี้ดูไม่สง่าผ่าเผยยิ่ง แต่เขาก็ควบคุมตนเองไม่ได้จริงๆ

ริมฝีปากของนางอ่อนนุ่มถึงเพียงนี้ จุมพิตนางแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกลุ่มหลง มีแต่จะโหยหาริมฝีปากของนางตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น ไม่อยากแยกจากตลอดกาล

แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้ และมีคนผลักเปิดประตูเดินเข้ามา เขาถึงผละออกจากริมฝีปากของหลี่หลิงหว่าน ยืดตัวตรงนั่งอยู่บนขอบเตียงให้เรียบร้อย

มีคนเดินอ้อมฉากบังลมมา เป็นโจวซื่อกับไฉ่เวยสาวใช้ข้างกายนาง ยามนี้โจวซื่อมีใบหน้าที่เป็นกังวล

เมื่อหลี่เหวยหยวนเห็นนางเขาก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยปากส่งเสียงเรียกท่านอาสะใภ้สามออกมาคำหนึ่ง

โจวซื่อผงกศีรษะให้เขา ก่อนจะย่อกายลงนั่งบนขอบเตียง ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากหลี่หลิงหว่าน สัมผัสที่มือยังคงเป็นความร้อนลวกผิวอยู่เช่นเดิม นางจึงถอนหายใจแผ่วเบาคำรบหนึ่งแล้วหันหน้ามาถามหลี่เหวยหยวนอย่างเป็นกังวล “เหตุใดผ่านไปสองวันแล้วหว่านวานยังคงมีไข้สูงไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที”

หลี่เหวยหยวนนิ่งเงียบอยู่สักพักจึงเอ่ยปลอบนาง “ตอนนี้หว่านวานดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากแล้ว ถึงแม้นางจะหมดสติอยู่ แต่อย่างน้อยก็นอนหลับสนิทกว่าเมื่อวาน เร็วๆ นี้นางน่าจะฟื้นขึ้นมาแล้วขอรับ”

โจวซื่อถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครั้ง “ข้าหวังให้นางสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในเร็ววัน”

เรื่องในคืนนั้นหลี่เหวยหยวนได้เคยมาหาเสี่ยวซานและสั่งห้ามนางเปิดเผยกับผู้ใดแม้แต่คำเดียวอย่างเข้มงวดเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดชัดเจนอะไรให้เสี่ยวซานฟัง บอกแค่ว่าบริเวณริมสระน้ำปลูกต้นลวี่เอ้อเหมยสีเขียวที่หาได้ยากยิ่งเอาไว้ต้นหนึ่ง ยามนั้นหลี่หลิงหว่านอยากจะไปดูสักหน่อย ทว่าค่ำคืนมืดมิดยากจะมองเห็น หลี่หลิงหว่านไม่ทันระวังจนข้อเท้าแพลง ทั้งยังตากลมริมสระน้ำ หลังกลับมาถึงได้เป็นไข้สูง

เสี่ยวซานไม่สงสัยในคำพูดของหลี่เหวยหยวนเลยแม้แต่น้อย เพราะหลี่หลิงหว่านเคยพูดเรื่องลวี่เอ้อเหมยต้นนั้นต่อหน้านางหลายหนจริงๆ ทั้งเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับคุณหนู นางที่เป็นสาวใช้ข้างกายไม่ได้ติดตามไป หากฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงสามรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องลงโทษนางอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงรีบร้อนตอบรับคำพูดของหลี่เหวยหยวนอย่างตะกุกตะกัก เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงสาม นางก็บอกเพียงว่าตอนที่คุณหนูเดินทางกลับจากเรือนของคุณชายใหญ่ไม่ทันระวังจนข้อเท้าแพลง ทั้งยังตากลมอยู่นาน หลังกลับมาแล้วถึงได้หมดสติเช่นนี้

ฮูหยินผู้เฒ่ากับโจวซื่อได้ยินแล้วในใจย่อมรู้สึกโกรธ ไม่อาจละเว้นการดุด่าต่อว่าเสี่ยวซานกับบ่าวรับใช้ทุกคนภายในเรือนอี๋เหออย่างรุนแรงไปหนหนึ่งได้ ทางหนึ่งตำหนิว่าพวกนางไม่ดูแลหลี่หลิงหว่านให้ดี อีกทางหนึ่งก็รีบเร่งเชิญท่านหมอมาตรวจอาการของหลี่หลิงหว่าน จ่ายยา ต้มยา ทำให้ทุกคนภายในเรือนอี๋เหอวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน

ในช่วงเวลาสองวันสองคืนนี้ หลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้ออกจากเรือนอี๋เหอไปแม้แต่ก้าวเดียว ยามที่เหน็ดเหนื่อยจนถึงขีดสุดเขาก็ทำเพียงหลับตาลงพักผ่อนครู่หนึ่งบนตั่งไม้ริมหน้าต่างเท่านั้น รอจนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ด้วยความตกใจของหลี่หลิงหว่านเขาก็จะตื่นขึ้นมาทันที และรีบเร่งเข้าไปปลอบโยนนางเสียงเบา

เดิมทีโจวซื่อก็อยู่ด้วยกันกับเขา เฝ้าหลี่หลิงหว่านอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทว่าต่อมานางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมื่อคืนตอนกลางดึกถึงได้กลับไปพักผ่อนยังเรือนเหมยเหอคืนหนึ่ง วันนี้แต่เช้าก็เร่งรีบเดินทางมาอีกครั้ง เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนยังคงเฝ้าอยู่ข้างกายหลี่หลิงหว่านเช่นนี้ ในใจนางก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกสบายใจมากเช่นกัน

นางเงยหน้ามองหลี่เหวยหยวนแล้วเอ่ยอย่างจริงใจยิ่ง “หว่านวานมีพี่ใหญ่ที่คอยเป็นห่วงดูแลนางเช่นนี้ ข้าที่เป็นมารดาก็รู้สึกวางใจ หว่านวานเด็กคนนี้มีชีวิตรันทด แม้นางมีบิดา แต่เจ้าเองก็รู้ว่ามีก็เหมือนไม่มี เกรงว่าในวันหน้าหว่านวานจะไม่อาจพึ่งพาอะไรเขาได้”

กล่าวมาถึงตรงนี้ดวงตาโจวซื่อก็มีหยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาสองหยด นางรีบร้อนยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ด จากนั้นก็มองไปยังหลี่เหวยหยวนแล้วเอ่ยต่อ “ตอนนี้ข้าหวังว่าในอนาคตหว่านวานจะหาบ้านสามีที่ดีได้ แต่บิดาของนางไม่สนใจนาง ข้าผู้เป็นมารดาเองก็ไร้ประโยชน์ ไม่อาจส่งเสริมอะไรนางได้เลย หากว่านางสามารถหาบ้านสามีที่ดีได้ ข้าก็ยังกลัวว่าหลังจากที่นางย้ายไปอยู่บ้านสามีแล้วจะถูกแม่สามีกับสามีรังแก หลายวันมานี้ข้าครุ่นคิดดูแล้ว หยวนเกอเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนมีความสามารถ การสอบถงซื่อกับเซียงซื่อล้วนสามารถสอบได้เป็นอันดับหนึ่ง การสอบฮุ่ยซื่อในเดือนหน้าเจ้าเองก็ต้องสอบผ่านจนได้เป็นจิ้นซื่อตั้งแต่อายุยังน้อยแน่นอน ข้าคิดว่าวันหน้าหากเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว สามารถรักเอ็นดูหว่านวานน้องสาวผู้นี้บ้าง ก็จะไม่เป็นการเสียเปล่าต่อความผูกพันลึกซึ้งระหว่างพี่น้องของพวกเจ้าในตอนนี้”

หลี่เหวยหยวนฟังโจวซื่อพูดเรื่องพวกนี้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

โจวซื่อยังคงกล่าวพิรี้พิไรต่อไป “เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราไปชมงิ้วดูดอกไม้ไฟที่จวนก่วงผิงโหว ข้าได้ยินว่าฮูหยินก่วงผิงโหวคล้ายจะมีเจตนาให้หว่านวานแต่งให้กับเหลียงซื่อจื่อของพวกนาง เกรงว่าอีกไม่กี่วันน่าจะมีแม่สื่อมาสู่ขอ เหลียงซื่อจื่อคนนั้นข้ามองดูแล้วก็เห็นว่าดี แม้จะถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมจนนิสัยเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่หลายปีมานี้เขาก็ปฏิบัติต่อหว่านวานอย่างใส่ใจ อีกทั้งยามนี้เขายังเข้าร่วมในห้ากองกำลังรักษาเมือง มีก่วงผิงโหวคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อนาคตของเขาจะต้องไม่เลวแน่นอน หากหว่านวานสามารถแต่งให้กับเขาได้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรไม่วางใจ แต่…”

ยังกล่าวไม่ทันจบโจวซื่อพลันได้ยินเสียงหลี่เหวยหยวนเอ่ยแทรกว่า “หว่านวานไม่อาจแต่งให้เหลียงซื่อจื่อ”

“อะไรนะ!” โจวซื่อตกใจ นางรีบร้อนเอ่ยถาม “ทำไมหว่านวานถึงแต่งให้เหลียงซื่อจื่อไม่ได้ เด็กคนนี้ได้บอกอะไรกับเจ้าเป็นการส่วนตัวหรือไม่ เฮ้อ ความจริงข้าเองก็รู้ ในใจหว่านวานอาจจะไม่เห็นเหลียงซื่อจื่ออยู่ในสายตา หลายปีมานี้ข้าเองก็สังเกตอยู่ ทันทีที่เหลียงซื่อจื่อมีโอกาสก็จะคิดเข้าใกล้หว่านวาน แต่หว่านวานทำเพียงหลบเลี่ยงเขา กระนั้นยามนี้ก็ไม่อาจมองหาตระกูลใดที่ดียิ่งกว่าจวนก่วงผิงโหวได้อีกแล้ว” กล่าวจบยังถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครั้ง

หลี่เหวยหยวนนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหลียงซื่อจื่อปกป้องหว่านวานไม่ได้ หว่านวานไม่อาจแต่งให้เขา เรื่องเช่นนี้หวังว่าวันหน้าท่านอาสะใภ้สามอย่าได้พูดขึ้นมาต่อหน้าหว่านวานอีกเลยขอรับ”

เขาไม่มีวันยอมให้หลี่หลิงหว่านแต่งงานกับผู้ใด นางทำได้เพียงแต่งให้กับเขา แล้วก็มีเพียงเขาที่สามารถปกป้องนางได้ หากเขาต้องการจะปกป้องนาง เขาก็ต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นมาจึงจะถูก

คิดมาถึงตรงนี้ มือที่ปล่อยอยู่ข้างกายของหลี่เหวยหยวนก็ค่อยๆ กำเป็นหมัด แววตาก็มุ่งมั่นขึ้นมา

เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รอจนเขาแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถแย่งชิงหลี่หลิงหว่านไปจากข้างกายเขาได้อีก…ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้ทั้งนั้น!

 

บ่าวหญิงใบ้ผู้รับผิดชอบส่งอาหารให้ตู้ซื่อทุกวันพบความผิดปกติบางอย่าง กล่องอาหารที่นางส่งเข้าไปผ่านช่องเล็กๆ ตลอดสองวันที่ผ่านมายังคงไม่มีผู้ใดมาเอาไป นางเดินไปเคาะประตู ทว่าภายในเรือนกลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลยสักนิดเดียว สุดท้ายบ่าวหญิงใบ้ผู้นี้รู้สึกกลัว จึงรีบวิ่งมาหาฮูหยินผู้เฒ่า

เป็นเพราะนางเอ่ยวาจาออกมาไม่ได้ หลังแสดงท่าทางอยู่ครึ่งค่อนวัน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้เข้าใจสิ่งที่บ่าวหญิงใบ้ต้องการจะบอกในที่สุด

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหยิบกุญแจของประตูเรือนแห่งนั้นออกมา ให้ซวงหงติดตามบ่าวหญิงใบ้ผู้นั้นไปเปิดประตูและเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต่อมาก็เห็นซวงหงเร่งรีบกลับมาด้วยใบหน้าซีดเผือด เข้ามาแล้วก็คุกเข่ากล่าวรายงานอย่างลนลาน “ฮูหยินผู้เฒ่า เกิดเรื่องขึ้นแล้วเจ้าค่ะ นาง…คนผู้นั้น…นางตายแล้ว”

ในฐานะสาวใช้ผู้รู้ใจฮูหยินผู้เฒ่ามากที่สุด ซวงหงย่อมรับรู้เรื่องราวของตู้ซื่ออยู่บ้าง ยามนี้นางจึงไม่รู้ว่าตนเองควรเรียกขานตู้ซื่อว่าอย่างไร ดังนั้นจึงเอ่ยเพียงว่า ‘นาง’

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินซวงหงเอ่ยเช่นนี้ ในใจก็ตกใจไม่ต่างกัน ทว่าบนใบหน้าไม่แสดงความรู้สึก กลับตวาดซวงหง “นางตายก็ตายไปสิ เจ้าจะลนลานไปทำไม!” ก่อนจะสั่งให้ซวงหงไปปิดประตูห้อง ไม่อนุญาตให้สาวใช้คนอื่นๆ เข้ามาในห้องเลยสักคน ให้เหลือไว้เพียงซวงหง

ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้ซวงหงเดินมาข้างหน้าแล้วเอ่ยถามนางอย่างละเอียด “ตู้ซื่อตายได้อย่างไร”

ซวงหงคุกเข่าลงอีกครั้ง นางพยายามตั้งสติ จากนั้นถึงได้เอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่นางได้พบเห็นหลังไปถึงเรือนแห่งนั้นออกมาโดยละเอียด สุดท้ายนางยังเอ่ยว่า “เกรงว่านางจะต้องโขกศีรษะกระแทกผนังตายเป็นแน่เจ้าค่ะ ทั้งยังตายมาสองวันแล้ว บนหน้าผากแตกเป็นโพรงใหญ่ เลือดที่หลั่งออกมาจับตัวแข็งหมดแล้ว”

พูดมาถึงตรงนี้ซวงหงก็คิดถึงสภาพอันน่าอนาถที่ตนเองได้เห็นในยามนั้น นางอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น

ฮูหยินผู้เฒ่าถามต่อ “เจ้าได้ตรวจสอบบริเวณรอบๆ โดยละเอียดแล้วหรือยัง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

“บ่าวได้ตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกเรือนแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่พบความผิดปกติใด” ซวงหงรีบร้อนรายงาน “ตอนที่บ่าวไปถึง ประตูเรือนยังคล้องแม่กุญแจเอาไว้อยู่ หลังผลักประตูเข้าไป ประตูห้องก็ลงกลอนไว้เช่นกัน เข้าไปในห้องแล้วสามารถมองเห็นนางนอนอยู่บนพื้นได้ในทันที ของอื่นๆ ภายในห้องล้วนไม่มีร่องรอยขยับเขยื้อน คงไม่มีผู้ใดเข้าไปก่อนหน้าเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงผงกศีรษะอย่างช้าๆ จากนั้นในใจก็คิดว่าเดิมทีภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ก็มีคนที่รู้เรื่องราวของตู้ซื่ออยู่ไม่มาก และเรือนที่ใช้กักขังตู้ซื่อแห่งนั้นตนก็บอกกับคนภายนอกว่าที่นั่นไม่บริสุทธิ์ มีสิ่งอัปมงคลอยู่ กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของจวน โดยปกติแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปที่นั่น นอกจากนี้ตู้ซื่อยังอยู่เพียงลำพัง ไม่มีทางที่ใครจะต้องการของสิ่งใดจากนาง แล้วจะมีผู้ใดไปหาเรื่องทำร้ายนางได้อย่างไร หากเป็นผู้อื่นทำร้ายนางจริงๆ เหตุใดจึงไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย นี่จะต้องเป็นเพราะตู้ซื่อถูกขังมาหลายปีจนเสียสติไปนานแล้ว เมื่อจู่ๆ คิดไม่ตกขึ้นมาจึงได้โขกศีรษะกระแทกผนังตาย

ในใจฮูหยินผู้เฒ่านั้นไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ กลับกันนางยังคิดว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลังสกุลตู้เกิดเรื่องในปีนั้น แม้นางจะกักขังตู้ซื่อเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังเลี้ยงดูอีกฝ่ายมานานถึงยี่สิบปี ยังจะมีสิ่งใดติดค้างตู้ซื่ออีกหรือ ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวการตายของตู้ซื่อ นางก็ทำเพียงโบกมือให้ซวงหง บ่งบอกว่านางรับรู้แล้ว จากนั้นจึงเอ่ยสั่งซวงหง “ส่งคนไปซื้อโลงศพบางๆ มาสักใบหนึ่ง แล้วบรรจุตู้ซื่อลงไปเงียบๆ หาสถานที่สักแห่งขุดหลุมฝังนางลงไปก็พอ ป้ายหลุมศพก็ไม่ต้องตั้ง” ทั้งเอ่ยกำชับซวงหงอย่างเข้มงวด “เรื่องนี้ห้ามให้ผู้อื่นในจวนรับรู้เป็นอันขาด มิฉะนั้นข้าไม่อาจละเว้นเจ้าได้”

ซวงหงรีบร้อนรับคำ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น ลอบส่งคนไปจัดการเรื่องนี้

 

ไม่รู้ว่าหลี่ซิวซงรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ยามนั้นเขาวิ่งไปยังเรือนที่กักขังตู้ซื่อ แล้วกอดศพตู้ซื่อก้มหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดรอบหนึ่ง ต่อมาจึงวิ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและวิงวอนต่อนาง ให้ตู้ซื่อสามารถเข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่

“ขอท่านแม่ได้โปรดยอมให้อาเหิงถูกฝังอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่ของพวกเราด้วยขอรับ”

‘อาเหิง’ ก็คือชื่อเล่นของตู้ซื่อ

ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่อนุญาต “เมื่อยี่สิบปีก่อนได้บอกแก่ภายนอกว่าตู้ซื่อตายไปแล้ว ยามนั้นได้ยกโลงศพโลงหนึ่งเข้าไปฝังเรียบร้อย ตอนนี้จะให้นางเข้าไปอีกได้อย่างไร ถือเป็นการรบกวนบรรพบุรุษ เจ้าทำเช่นนี้เป็นการไม่เคารพยิ่ง”

“แต่โลงศพในปีนั้นว่างเปล่า” หลี่ซิวซงร้องขออย่างทุกข์ตรม “ไม่ว่าอย่างไรอาเหิงก็เป็นภรรยาร่วมผูกผมของข้า นางแต่งเข้ามาในจวนสกุลหลี่หลายปีขนาดนี้ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาก่อน ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว ขอท่านแม่ได้โปรดเห็นแก่ความลำบากที่นางได้รับตลอดหลายปีนี้ เชิญภิกษุชั้นสูงมาทำพิธีสวดมนต์ให้นาง และมอบพิธีฝังศพอย่างสง่าผ่าเผยให้แก่นาง ให้นางได้เข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนเถิดขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ นางยื่นมือออกไปตบลงบนโต๊ะข้างตัวเสียงดัง โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าใหญ่ ประโยคนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรเรียกว่านางแต่งเข้ามาในจวนสกุลหลี่หลายปีขนาดนี้ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาก่อน นี่เป็นการตัดพ้อใครกัน ตัดพ้อข้าอย่างนั้นหรือ ปีนั้นใครใช้ให้บิดานางหาเรื่องตายด้วยการไปมีเรื่องกับใต้เท้าหวังเล่า ถึงขั้นเกือบทำให้บิดาเจ้าต้องลำบากไปด้วย หากไม่ใช่ยามนั้นบิดาของนางหาเรื่องตาย ยามนี้นางก็ยังเป็นสะใภ้คนโตสกุลหลี่ของพวกเราเหมือนเดิม จะมาตกอยู่ในสภาพเช่นวันนี้ได้อย่างไร”

หลี่ซิวซงเอาแต่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด พร้อมกับโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่หยุดและร้องขอนาง “ข้า…ข้าปวดใจยิ่งนัก ขอท่านแม่ได้โปรดยอมให้อาเหิงได้จากไปอย่างเหมาะสมด้วย ไม่เช่นนั้นหากวันหน้าข้าตายไปก็คงไม่มีหน้าไปพบนางในปรโลกอีกแล้ว”

หลี่ซิวซงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว เดิมทีจิตใจของเขาก็เก็บกดมานานหลายปีจนทำให้เรือนผมเริ่มขาว ยามนี้มารับรู้เรื่องการตายของตู้ซื่ออีก ในเวลาอันสั้นเรือนผมเขาก็ยิ่งมองดูขาวมากขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ในใจจึงเกิดความรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาหลายส่วน

“ช่างเถอะๆ” นางถอนหายใจยาวแล้วโบกมืออย่างอ่อนล้า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กล้าไปรบกวนบรรพบุรุษง่ายๆ ดังนั้นเรื่องที่ขอให้นางเข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่ของพวกเราเจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่เจ้าสามารถไปเตรียมการพิธีศพให้นางด้วยตนเองได้ จะเชิญภิกษุชั้นสูงมาทำพิธีสวดมนต์ก็ดี หรือจะซื้อโลงศพราคาแพงมาให้นางก็ช่าง ข้าล้วนไม่สนใจ แต่ขอแค่สองเรื่อง หนึ่งคือพิธีศพของนางไม่อาจกระทำภายในจวนของพวกเราเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นผู้คนในจวนจะมองเช่นไร ผู้อื่นรับรู้แล้วจะมองเช่นไร ส่วนเรื่องที่สอง สถานะของนางไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ ป้ายหลุมศพเองก็ไม่อาจแกะสลักคำว่า ‘ตู้ซื่อสกุลหลี่’ ลงไป ยิ่งไม่อาจแกะสลักชื่อของเจ้ากับหยวนเกอเอ๋อร์ เดือนหน้าหยวนเกอเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อแล้ว หากยามนี้ให้ผู้อื่นรับรู้ว่ามารดาแท้ๆ ของเขาตาย เขาไม่ต้องไว้ทุกข์ไปถึงสามปีหรอกหรือ ถึงตอนนั้นเจ้าจะให้เขาเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในเดือนหน้าได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งซวงหง “ข้าเองก็ล้ามากแล้ว เจ้าส่งนายท่านใหญ่กลับไปเถอะ”

ซวงหงไม่กล้าไม่ฟัง นางทำได้เพียงเดินขึ้นหน้าไปเอ่ยกับหลี่ซิวซงเสียงเบา “นายท่านใหญ่ ให้บ่าวส่งท่านกลับเถอะเจ้าค่ะ”

เดิมทีหลี่ซิวซงยังหมอบราบอยู่บนพื้น แต่พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนกะทันหัน ทั้งไม่ร้องไห้อีกแล้ว กลับจ้องเขม็งไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านแม่ วันนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ที่แท้ท่านก็เป็นคนใจคออำมหิตคับแคบผู้หนึ่ง ส่วนข้าก็เป็นคนอ่อนแอไร้ความสามารถเช่นนี้ ถึงกับทำให้ภรรยาร่วมผูกผมกับบุตรชายคนโตของตนเองถูกหยามหมิ่นมาหลายปีขนาดนี้ ข้าผิดต่ออาเหิง ผิดต่อหยวนเกอเอ๋อร์ ข้าไม่คู่ควรจะเกิดมาเป็นคน วันหน้าในปรโลก ข้าไม่มีหน้าไปพบอาเหิงอีกแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็ไปจากเรือนซื่ออันโดยไม่มีการหันหน้ากลับมา

ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง

“ลูกทรพี! เจ้าลูกทรพี! เพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่งถึงกับกล่าวตำหนิมารดาตนเองเช่นนี้ ข้าจะดูว่าวันหน้าเขายังจะมีหน้ากลับมาพบข้าอีกหรือไม่”

กล่าวจบฮูหยินผู้เฒ่าก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องอุ่นที่อยู่ข้างในอย่างกรุ่นโกรธ แต่ยังคงรู้สึกโมโหจนสงบใจไม่ลง นางจึงหาเหตุผลบางอย่างมาตำหนิต่อว่าสาวใช้ไปสองคน ถึงค่อยสลายโทสะที่อยู่ในใจลงไปได้บ้าง

 

หลังหลี่ซิวซงกลับมายังเรือนที่ตนพักแล้ว เขาก็ตามหาสวีซื่อเพื่อขอเงิน สวีซื่อถามว่าเขาต้องการเงินไปใช้ทำอะไร เขาก็เอาแต่ตาแดงก่ำโดยไม่ตอบกลับ ทำเพียงยืนกรานขอให้นางนำเงินสองพันตำลึงออกมา

สวีซื่อจึงเอ่ยด่า “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ เรื่องใหญ่ใดที่คุ้มค่าพอให้ท่านต้องการเงินถึงสองพันตำลึงหรือ ข้าไม่มีหรอก”

หลี่ซิวซงจึงเอ่ย “เงินรายเดือนทุกเดือนของข้าล้วนให้เจ้าเป็นผู้เก็บ ทุกครั้งเมื่อถึงสิ้นปี ส่วนที่ร้านค้ากับหมู่บ้านส่งมา ทุกๆ บ้านต่างก็ได้รับส่วนแบ่ง ที่เรือนนี้ล้วนเป็นเจ้าที่เก็บเอาไว้ ปกติข้าก็ไม่เคยมาขอเงินจากเจ้าแม้แต่นิดเดียว เหตุใดเจ้าจึงนำเงินสองพันตำลึงออกมาไม่ได้เล่า รีบนำออกมา ข้ารีบใช้”

“ท่านช่างละโมบโลภมากเสียจริง” สวีซื่อด่าทอเขา “แม้ท่านจะมีเงินรายเดือนทุกเดือนก็จริง แต่จะมีสักกี่ตำลึงกันเชียว ต่อให้สิ้นปีจะมีส่วนแบ่ง แต่ในอนาคตเหลียงเกอเอ๋อร์ยังต้องแต่งภรรยา เจียวเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องแต่งออกไป งานพวกนั้นไม่ต้องใช้เงินหรือ บิดาเช่นท่านก็ไร้ความสามารถ หลายปีมานี้ไม่เคยหาเงินมาได้เลยสักตำลึงเดียว ทำได้เพียงอาศัยสมบัติตระกูลยังชีพ ทว่ามารดาอย่างข้าไม่อาจไม่คิดเผื่อถึงอนาคตของบุตรชายบุตรสาว ตอนนี้ท่านมาถามหาเงินทองกับข้า จะให้ข้าไปหาเงินมาให้ท่านได้จากที่ใด ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว!”

ด่าทอจบแล้วปากก็ยังบ่นจู้จี้จุกจิกอย่างดูแคลนต่อ “หากท่านสามารถเป็นดั่งน้องสามได้ล่ะก็ รับตำแหน่งขุนนางใหญ่โตสักตำแหน่ง ทุกเดือนๆ ล้วนมีเงินเดือนมาให้ข้า ไม่พูดว่าตอนนี้ท่านต้องการเงินสองพันตำลึง ต่อให้ท่านต้องการสองหมื่นตำลึง ข้าก็จะหยิบออกมาให้ท่านโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่ายามนี้น่ะหรือ เพ้ย! ท่านมีหน้าอะไรมาขอเงินจากข้าเล่า”

หลี่ซิวซงได้ยินแล้วพลันรู้สึกว่าในอกเกิดคลื่นอารมณ์หนึ่งพุ่งสูงไปถึงสมอง กระแทกจนสองหูของเขาเกิดเสียงก้องกังวานไม่หยุด

ดังนั้นเขาจึงเงื้อมือขึ้นสูงแล้วสะบัดมือตวัดผ่านบ้องหูสวีซื่อลงไปอย่างรุนแรง

เมื่อก่อนตู้ซื่อไม่เคยพูดจาเช่นนี้กับเขามาก่อน ต่อให้เขาล้มเหลวในการสอบอยู่หลายครั้ง กระทั่งการสอบถงซื่อก็ยังไม่ผ่าน แต่ตู้ซื่อกลับเอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า ‘ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องร้อนใจไป’

ยามนั้นขอเพียงเขาต้องออกจากจวน ตู้ซื่อก็มักใส่เงินให้เขาจนเต็มถุง เขาบอกว่าไม่ต้องการมากมายขนาดนั้น แต่ตู้ซื่อก็ยิ้มเอ่ย ‘ท่านพี่เป็นบุรุษสูงศักดิ์ ออกไปข้างนอกคบค้าสมาคมกับสหายจะไม่มีเงินติดกายได้อย่างไร จะทำให้ผู้อื่นเขาดูแคลนเอาได้ ท่านพี่ไม่ต้องกังวล นอกจากเงินส่วนที่ให้ท่านพี่ใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว พวกเรายังนับว่ามีเงินเหลืออยู่เจ้าค่ะ’

ทั้งที่เขามีภรรยาที่อ่อนโยนเอาใจใส่เช่นนี้แล้วแท้ๆ แต่เป็นเพราะความอ่อนแอไร้ความสามารถของเขาเองจึงไม่ได้ปกป้องนางให้ดี ปล่อยให้บิดากับมารดาปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นในปีนั้น ต่อมาเขายังเชื่อฟังคำพูดของพวกเขากระทั่งแต่งสวีซื่อเข้ามา

และสวีซื่อก็ถูกฝ่ามือนี้ของเขาตบจนมึนงงแล้ว ก่อนที่นางจะมีอาการตอบสนองกลับมา พุ่งศีรษะเข้าชนกับอกของเขา ทั้งยังยื่นมือออกไปข่วนที่ใบหน้า ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหลี่ซิวซงก็เกิดรอยเลือดสองรอยขึ้นมาทันที จากนั้นสวีซื่อยังร้องไห้ตวาดด่า “เจ้าถึงกับกล้าตบข้า?! สวะเช่นเจ้าถึงกับกล้าตบข้า?! ข้าจะกลับบ้านไปฟ้องท่านพ่อกับพี่น้องข้า ให้พวกเขามาจัดการเจ้าเรื่องนี้”

ระยะนี้บิดากับพี่น้องของสวีซื่อก็ค่อยๆ มีอำนาจในราชสำนักขึ้นมา ดังนั้นนางจึงไม่เกรงกลัวหลี่ซิวซงอีก ยามปกติในคำพูดก็มักจะแฝงไปด้วยการข่มขู่หลี่ซิวซง

ทว่าวันนี้หลี่ซิวซงรู้สึกว่าตนเองไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว

เขาเงื้อมือขึ้นสูงแล้วสะบัดมือตวัดผ่านบ้องหูสวีซื่ออย่างรุนแรงอีกครั้ง ตบจนสวีซื่อโซซัดโซเซถอยหลังไปกระแทกเข้ากับโต๊ะน้ำชาล้มลง ก่อนที่หลี่ซิวซงจะตวาดเสียงดัง “ข้ากลัวเจ้าหรือ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย ตอนนี้ข้าไม่กลัวผู้ใดทั้งนั้น เจ้าไปเลย ไปบอกท่านพ่อกับบรรดาพี่น้องของเจ้า ถึงยามนั้นข้าจะมอบหนังสือหย่าให้เจ้าต่อหน้าพวกเขา ให้เจ้าไสหัวไปได้เลย!”

สวีซื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจก็เกิดความกลัวขึ้นมาหลายส่วน นางนั่งอยู่บนพื้น ทางหนึ่งทุบพื้น อีกทางชี้มือไปที่เขาพลางร้องไห้ตวาดด่า “ดี ดียิ่ง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยากหย่ากับข้า ข้าทำผิดอะไรเจ้าถึงต้องการหย่ากับข้า นับตั้งแต่ข้าแต่งให้เจ้า หลายปีมานี้ข้าได้รับความลำบาก ชีวิตคิดถึงแต่เจ้ากับลูกๆ เท่านั้น ยามปกติเจ้าเคยเอาใจใส่ข้าสักนิดหรือไม่ ตอนนี้กลับดีนัก เจ้าบอกว่าต้องการหย่ากับข้า ข้าขอบอกกับเจ้าไว้เลย ต่อให้วันนี้ศีรษะข้าต้องกระแทกตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ออกจากประตูจวนสกุลหลี่แห่งนี้ของพวกเจ้า ถึงตอนนั้นก็รอดูท่านพ่อกับพี่น้องของข้ายกศพข้ามาหาเจ้า ให้เจ้าไปพบเจ้าหน้าที่ มีความผิดโทษฐานบังคับให้ภรรยาฆ่าตัวตาย เจ้าจะได้ติดคุกไปตลอดชีวิต”

กล่าวจบนางก็พยุงกายลุกขึ้นมา ต้องการจะพุ่งตัวไปกระแทกผนัง สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วรีบร้อนเข้ามากอดนางเป็นพัลวัน กระทั่งสวีซื่อเลิกดิ้นรนที่จะพุ่งไปกระแทกผนังอีก นางก็นั่งลงบนพื้นในสภาพที่ดูไม่ได้ ทางหนึ่งร่ำไห้อย่างรวดร้าวจนน้ำหูน้ำตาไหล อีกทางก็ชี้นิ้วไปที่หลี่ซิวซงพลางสบถด่าไม่หยุด

ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ขึ้นมา คนอื่นๆ ต่างรับรู้กันนานแล้ว ยามนี้เฉียนซื่อของบ้านรองก็เร่งรีบมาดูสถานการณ์ หลี่เหวยเหลียงกับหลี่หลิงเจียวเองก็รีบมา

เมื่อเห็นสองแก้มของสวีซื่อมีรอยนิ้วมือทั้งห้าประทับแดงอยู่ นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นด้วยสภาพที่น้ำตานองหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง หลี่หลิงเจียวก็รู้สึกปวดใจแทนมารดาของตนเอง นางจึงรีบพุ่งเข้าไปกอดสวีซื่อและร่วมร้องไห้ด้วยกัน ขณะที่ร้องไห้ยังเอ่ยซักถามหลี่ซิวซงไปด้วย “ท่านพ่อ ท่านแม่ทำผิดอะไรกันแน่ ถึงกับทำให้ท่านต้องลงมือตบตีนางเช่นนี้ ท่านพูดออกมาสิ”

เฉียนซื่อเข้าไปดึงตัวสวีซื่อขึ้นมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อม “พี่สะใภ้ ท่านเป็นอะไรไป ต่อให้พี่ใหญ่เลอะเลือน แต่อย่างไรท่านก็เป็นเจ้านาย ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ต่อหน้าบ่าวรับใช้เต็มห้อง ยังจะเหลือหน้าตาอะไรอีก ท่านรีบลุกขึ้นมาเถอะ”

สวีซื่อร้องไห้เอ่ย “ข้าจะยังต้องการหน้าตาไปทำไมอีก วันนี้ยอมเสียหน้าตานี้ไปเสียยังดีกว่า ทะเลาะกันให้จบๆ ไปเสียเลย หากไม่สมควรก็ให้เขามอบหนังสือหย่าให้ข้าเสียแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งจะจากไปทันที”

สวีซื่อยื่นมือไปโอบกอดหลี่หลิงเจียวพลางร้องไห้เอ่ย “ข้าเพียงแต่ตัดใจจากเจียวเจียวของข้าไม่ได้ หากแม่ไปแล้ว ท่านพ่อเจ้าแต่งผู้อื่นเข้ามาใหม่อีกครั้ง ผู้คนต่างกล่าวว่าหมัดของแม่เลี้ยงดั่งแสงอาทิตย์แผดเผา ทั้งยังบอกว่าเมื่อมีแม่เลี้ยงก็ย่อมมีพ่อเลี้ยง ถึงยามนั้นจะให้เจียวเจียวของข้าพึ่งพาผู้ใดได้อีก ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า”

เมื่อได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ หลี่หลิงเจียวก็ยิ่งร้องไห้หนักมากกว่าเดิม สองแม่ลูกต่างพากันกอดคอร่ำไห้

ชั่วขณะนั้นเฉียนซื่อก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างทนไม่ได้ บรรดาสาวใช้ภายในห้องต่างพากันก้มหน้าไม่พูดจา

หลี่ซิวซงโกรธจนหน้าตาถมึงทึงไปนานแล้ว ยามนั้นเขากระทืบเท้าอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีกก็หมุนตัวเดินจากไป

หลี่ซิวซงใคร่ครวญแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ นำของที่เขาได้รับตลอดหลายปีนี้มาใส่ห่อบรรจุ เรียกบ่าวรับใช้สองคนมาถือไป นำไปยังโรงรับจำนำแลกเงินมาได้หลายร้อยตำลึง จากนั้นจึงส่งคนไปซื้อโลงศพเนื้อดีมาใบหนึ่ง และเคลื่อนศพตู้ซื่อออกไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซื้ออาภรณ์กับเครื่องประดับชั้นเลิศให้นางสวมใส่ ก่อนบรรจุนางลงโลง ทั้งยังตามหาภิกษุชั้นสูงสิบหกรูปมาสวดมนต์ทำพิธีให้นาง ซ้ำยังซื้อที่ดินแห่งหนึ่ง ฝังนางลงไปอย่างดี

เขาอยู่เคียงข้างโลงศพของตู้ซื่อมาตลอดพิธี สวมชุดไว้ทุกข์ร่ำไห้โอดครวญตลอดทั้งวันทั้งคืน เอ่ยยอมรับผิดต่อตู้ซื่อ บอกว่าเป็นความอ่อนแอไร้ความสามารถของตนเองที่ทำร้ายนาง จวบจนฝังร่างตู้ซื่อแล้วเขาก็หาวัดที่ห่างไกลแห่งหนึ่งโกนผมออกบวชเป็นภิกษุ มีแค่เคยไปแอบมองหลี่เหวยหยวนตอนที่สอบฮุ่ยซื่อผ่านอยู่ครั้งหนึ่ง และนับแต่นั้นมาหลี่ซิวซงก็ไม่เคยกลับไปยังจวนสกุลหลี่อีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว

จนถึงช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็เป็นโรคปอด มีอาการไอไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมกลับบ้านอยู่ดี ทว่าเขาเป็นเพียงภิกษุยากจนรูปหนึ่งเท่านั้น จะหาเงินจากที่ใดไปหาหมอหรือซื้อยา เขาทำได้เพียงทุกข์ทรมานกับอาการของโรคไปเท่านั้น ฝืนทนจนตอนหลังทุกครั้งที่เขาไอจะมีเลือดปนออกมาด้วย ความเจ็บปวดทรมานนั้นคงมีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าใจ

แต่เมื่อเขาไอทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ ภิกษุร่วมวัดรูปอื่นย่อมไม่เก็บเขาเอาไว้อีก ด้วยเกรงว่าเขาจะแพร่เชื้อ ดังนั้นจึงมีภิกษุหลายรูปรวมตัวประชุมกัน ก่อนจะอาศัยช่วงคืนเดือนดับคืนหนึ่งใช้ถุงกระสอบสวมหัวเขาแล้วนำไปโยนทิ้งไว้ในภูเขาลึก ปล่อยให้เขาสิ้นชีวิตไปเอง

หลี่ซิวซงเป็นชายชราผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นโรคปอด แค่ขยับตัวยังแทบไม่ไหว เขายังจะทำอะไรได้อีก สุดท้ายก็ทำได้เพียงหาถ้ำใกล้ๆ และนอนอยู่ในนั้นเพื่อรอความตาย

ในระหว่างที่รอความตายเขาก็ย้อนคิดถึงชีวิตของตนเองในชาตินี้ ก่อนจะคร่ำครวญร้องไห้ออกมาหลายหน ทั้งยังคิดไปว่าตนเองติดค้างต่อตู้ซื่อมากมายนัก แม้ครึ่งชีวิตที่เหลือล้วนกินมังสวิรัติและสวดมนต์ ภาวนาให้นางตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อไปถึงปรโลกแล้วเขาก็คงไม่มีหน้าไปพบนางอีก ดังนั้นเขาจึงยกมืออันสั่นเทาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แล้ววางปิดไว้บนใบหน้าตนเอง

ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของเก่าที่เมื่อก่อนตู้ซื่อเคยใช้ หลายปีมานี้เขาพกติดกายเอาไว้ตลอดเวลา ไม่เคยให้อยู่ห่างกายมาก่อน ยามนี้เมื่อวางผ้าเช็ดหน้าเอาไว้บนหน้า คล้ายกลิ่นหอมจางๆ ยังคงมีเหมือนเก่า เบื้องหน้าสายตาเป็นคืนแต่งงานของเขากับตู้ซื่อในปีนั้น เขายื่นมือออกไปเลิกผ้าคลุมสีแดงบนศีรษะตู้ซื่อ นางเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้ม…ช่างงดงามเฉิดฉายหาใดเปรียบ

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

Jamsai Editor: