X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ห้า

 ตอนที่หลี่หลิงหว่านฟื้นขึ้นมาเป็นยามพลบค่ำ แสงอาทิตย์อัสดงกำลังลอดเข้ามาภายในห้อง ทั้งตำแหน่งใกล้และไกลต่างก็อาบด้วยแสงสีส้มเหลืองอันอบอุ่น

หลี่หลิงหว่านหมดสติไปค่อนข้างนาน จู่ๆ ตื่นขึ้นมาเช่นนี้สมองของนางจึงขาวโพลน ทั้งยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง

นางตะแคงศีรษะมองดูใบไผ่ที่สายลมยามค่ำคืนพัดส่งเสียงแซ่กๆ ภายนอกหน้าต่าง และค่อยๆ คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป แล้วนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเคลื่อนมาใกล้ ก่อนจะเห็นว่ามีคนกำลังเลิกผ้าม่านลายดอกไม้หลากสีที่แขวนอยู่ตรงประตูกั้นห้องเดินเข้ามา

แสงอาทิตย์อัสดงราวกับประกายทองคำส่องกระทบลงบนร่างเขา ช่วยขับให้ตัวเขาในยามนี้ราวกับเปล่งแสงประกายอ่อนโยนออกมาอย่างไรอย่างนั้น ดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าหลี่หลิงหว่านยังคงตกใจจนลุกพรวดขึ้นมานั่ง จากนั้นนางก็ถอยไปชิดมุมเตียง ซ่อนศีรษะเอาไว้แนบสนิทในอ้อมแขน ทั้งยังส่งเสียงหวาดผวาขึ้นมา “อย่าเข้ามานะ เจ้าอย่าเข้ามา!”

ตอนที่หลี่เหวยหยวนเลิกม่านแล้วเห็นหลี่หลิงหว่านได้สติขึ้นมานั้น ในใจเขาก็ปีติยินดียิ่ง กำลังจะเดินเข้าไปพูดคุยกับนาง ชั่วขณะนั้นก็เห็นว่าบนใบหน้านางปรากฏสีหน้าหวาดผวาราวกับเห็นผี ทั้งยังหลบเลี่ยงเขา ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ หลี่เหวยหยวนพลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้งเป็นอย่างมาก

เขาเข้าใจ สภาพการตายในคืนนั้นของตู้ซื่อจะต้องทำให้หลี่หลิงหว่านตกใจอย่างแน่นอน หลังกลับมาแล้วนางก็นำเรื่องราวมาปนเปกับความกลัวเดิมที่นางมีอยู่ในใจตั้งแต่แรก ยามนี้เมื่อนางเพิ่งฟื้นขึ้นมา จู่ๆ ก็เห็นเขาถึงได้หวาดกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้ไป จิตใต้สำนึกคิดแต่อยากหลบเลี่ยง

แม้สมองจะกระจ่างดีว่าที่ยามนี้หลี่หลิงหว่านหวาดกลัวเขาเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว หลี่เหวยหยวนก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีเข็มเหล็กนับพันนับหมื่นกำลังทิ่มแทงหัวใจ

หลี่เหวยหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงเดินไปด้านหน้าเตียงของนางด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาที่สุด แล้ววางถ้วยยาที่ประคองอยู่ในมือลงบนโต๊ะเล็กบริเวณหัวเตียง

เขาไม่วางใจให้ผู้อื่นต้มยาให้ ดังนั้นหลายวันมานี้ขอเพียงเป็นยาที่หลี่หลิงหว่านต้องดื่ม ล้วนเป็นเขาที่ไปต้มมาเองกับมือ ทั้งยังนำมาแยกกากยาออกก่อนจะยกเข้ามา แล้วประคองหลี่หลิงหว่านที่หมดสติให้ขึ้นมาเอนพิงบริเวณหน้าอกเขา ค่อยๆ ป้อนยาให้นางดื่มไปทีละช้อน

ต่อให้กำลังหมดสติ แต่จิตใต้สำนึกของหลี่หลิงหว่านยังคงไม่ชอบดื่มยาที่มีรสขม นางมักจะขมวดคิ้วและกัดฟันแน่นไม่ยอมดื่ม ต่อให้หลี่เหวยหยวนกรอกยาช้อนหนึ่งเข้าไปในปากนางอย่างยากลำบากแล้ว แต่ก็จะถูกนางพ่นออกมาทั้งหมดในทันที สุดท้ายหลี่เหวยหยวนจึงไร้หนทาง ทำได้เพียงดื่มยาเข้าไปในปากตนเอง บีบปลายคางหลี่หลิงหว่านเพื่อให้นางอ้าปาก จากนั้นจึงก้มศีรษะลงไป นำยาที่อยู่ในปากทั้งหมดป้อนเข้าไปในปากของนาง และเพื่อป้องกันไม่ให้นางพ่นยาออกมาอีกครั้ง เขาจึงใช้ปากตนเองปิดปากนางให้แน่นสนิทอยู่ตลอดเวลา จวบจนมั่นใจว่านางกลืนยาทั้งหมดนี้ลงไปแล้ว เขาถึงได้ปล่อยริมฝีปากนาง จากนั้นก็ใช้วิธีการเช่นนี้ป้อนยาคำต่อไปเข้าไปใหม่อีกครั้ง

“หว่านวาน” หลี่เหวยหยวนทอดเสียงตนเองให้อ่อนโยนที่สุดแล้ว แต่ในตอนที่หลี่หลิงหว่านได้ยินเขาเรียกเช่นนี้ ทั้งร่างของนางก็สั่นสะท้านเล็กน้อย “เจ้าเป็นอะไรไป ข้าคือพี่ชายของเจ้า” กล่าวจบหลี่เหวยหยวนก็ยื่นมือไปจับมือของนาง

แต่หลี่หลิงหว่านกลับหลบเลี่ยงมือของเขา ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองเขา คำพูดที่เอ่ยออกมายังแฝงไปด้วยเสียงสะอื้น “เจ้าอย่าเข้ามา อย่าเข้ามาเลยนะ”

หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านเป็นเช่นนี้ เขามีแต่จะรู้สึกปวดใจ ทว่าเขาเองก็รู้ดี หากยามนี้เขาใช้แรงบังคับดึงมือของนางมา หรือว่ากอดตัวนางเอาไว้ คงมีแต่จะทำให้นางยิ่งหวาดกลัว แล้วก็ยิ่งขัดขืนเขามากขึ้น สุดท้ายเขาจึงเก็บมือกลับมาเงียบๆ ทั้งยังเดินไปหยิบเสื้อกันลมตัวหนาตัวหนึ่งมาจากราวแขวน และคลุมทับลงบนร่างของหลี่หลิงหว่านอย่างอ่อนโยน

บนร่างของหลี่หลิงหว่านสวมเพียงเสื้อชั้นกลางสีม่วงอ่อนตัวบาง แม้จะอยู่ภายในห้อง แต่ก็ยังเป็นหวัดได้ง่ายมาก

ยามที่วางเสื้อกันลมคลุมลงบนร่างของหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหยวนจับสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าทั้งร่างของนางสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความกลัว ศีรษะก็ก้มลงต่ำกว่าเมื่อครู่มากนัก

ในใจลอบถอนหายใจคราหนึ่ง ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงไม่เอ่ยอะไร กระนั้นเขาเองก็ไม่ได้จากไปไหน เพียงแค่นั่งลงบนขอบเตียงเงียบๆ สายตามองไปที่หลี่หลิงหว่านอย่างใส่ใจและอ่อนโยน

เขากำลังรอให้นางลุกขึ้นมาสู้ด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าดอกทานตะวันของเขาเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง โลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรหรือผู้ใดสามารถส่งผลกระทบต่อนางได้จริงๆ นางเพียงแค่ต้องการเวลาปรับตัวเท่านั้น และสิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือการรออยู่ข้างกายนาง คอยอยู่เป็นเพื่อนนางเสมอ

ดวงอาทิตย์ลาลับไปทางทิศตะวันตก แสงสว่างค่อยๆ เลือนหาย ยามกลางคืนกำลังจะมาถึง

เดิมทีเสี่ยวซานอยากจะเข้าไปจุดเทียนภายในห้อง แต่เพิ่งเลิกม่านขึ้นก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนยกมือขึ้นโบกให้นางสองครั้งซึ่งเป็นการบอกให้นางออกไป

เสี่ยวซานชะโงกหน้ามองไปยังหลี่หลิงหว่านซึ่งนั่งซุกศีรษะอยู่ที่มุมเตียงโดยไม่ขยับแม้แต่น้อยคราหนึ่ง ในใจนึกสงสัยพลางคิดว่า คุณหนูฟื้นแล้วหรือ แต่ท่าทางเช่นนี้คุณหนูกำลังทำอะไรอยู่เล่า ทว่าเสี่ยวซานไม่กล้าถาม นางทำได้เพียงปล่อยม่านลงแล้วเดินย่องออกไปเงียบๆ

หลี่เหวยหยวนเห็นเสี่ยวซานจากไปแล้วจึงหันหน้ากลับมามองหลี่หลิงหว่านต่อ จากนั้นเขาก็เห็นว่าหลี่หลิงหว่านกำลังเงยหน้าขึ้นน้อยๆ เปิดเผยดวงตาคู่หนึ่งออกมาจับจ้องเขา สายตามองประเมินเขาอย่างระแวดระวัง

หลังสบตากับหลี่เหวยหยวน หลี่หลิงหว่านก็ราวกับสัตว์ตัวเล็กที่ได้รับความตระหนกตกใจ นางก้มศีรษะกลับลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

หลี่เหวยหยวนรู้สึกยินดียิ่ง เขารู้ว่าหลี่หลิงหว่านเริ่มคลายความหวาดกลัวลงบ้างแล้ว เขาจึงรีบส่งเสียงอ่อนโยนเรียกนาง “หว่านวาน”

หลี่หลิงหว่านไม่ได้ตอบกลับ แต่หลี่เหวยหยวนยังเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อไปเรื่อยๆ “หว่านวาน” ทั้งยังเอ่ยถามนาง “เจ้าหิวหรือไม่ ข้าให้เสี่ยวซานต้มโจ๊กไก่ฉีกไว้แล้ว ให้คอยอุ่นเอาไว้ตลอดเวลา ยามนี้เจ้าอยากจะกินสักหน่อยหรือไม่”

ผ่านไปสักพักก็เห็นหลี่หลิงหว่านเงยหน้าขึ้นมองเขาน้อยๆ

บนใบหน้าหลี่เหวยหยวนจึงปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างยิ่งออกมา ทั้งยังปล่อยให้สายตาหวาดหวั่นของนางมองสังเกตเขาได้ตามใจ

ผ่านไปสักพักใหญ่อีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงสั่นๆ ของหลี่หลิงหว่านเอ่ยเรียกเขาอย่างไม่แน่ใจ “พี่ชาย?”

“อืม” หลี่เหวยหยวนรีบขานรับ “ข้าอยู่นี่”

หลี่หลิงหว่านเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อีกครั้ง “พี่ชาย”

“ข้าอยู่ตรงนี้”

ดวงตาหลี่หลิงหว่านมีน้ำตาไหลริน จากนั้นนางก็ใช้ทั้งมือและเท้าคลานมา ก่อนจะยื่นแขนออกไปโอบกอดรอบคอหลี่เหวยหยวนอย่างแนบแน่น แก้มอ่อนนุ่มฝังอยู่ข้างลำคอของเขาพลางสะอึกสะอื้นเอ่ย “คนผู้นั้น…สตรีผู้นั้น…นางตายแล้ว”

หยาดน้ำตาอุ่นร้อนร่วงหล่นลงมาบนลำคอของหลี่เหวยหยวน แล้วก็หล่นลงมาบนหัวใจเขาด้วยเช่นกัน ความรู้สึกสงสารเอ่อล้นอยู่เต็มอก

เขายื่นแขนออกไปโอบรอบร่างกายอ่อนนุ่มของนาง แล้วเอ่ยปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ แต่ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว มีข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้รับอันตรายใดๆ อย่างแน่นอน”

ร่างกายอ่อนนุ่มของหลี่หลิงหว่านที่ซบใบหน้าลงข้างลำคอหลี่เหวยหยวนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของนางดังขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบา “แต่ว่าพี่ชาย ข้ากลัว ข้า…ข้าฝันมากมายจริงๆ ฝันว่าสตรีผู้นั้นมาตามล่าชีวิตข้า ข้า…ข้ายังฝันว่าพี่ชายตัดลิ้นข้า เพื่อพี่สาม…พี่ยังจะสังหารข้าอย่างโหดเหี้ยม พี่ชาย ข้ากลัวเจ็บ ข้าไม่อยากตาย”

พูดมาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาจากดวงตาไม่หยุด นางยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม กระทั่งวาจาก็เอ่ยไม่ออก

ต่อให้หลี่เหวยหยวนฉลาดรู้ทันเพียงใด แต่ยามที่ได้เห็นนางร้องไห้จนเป็นเช่นนี้ ทั้งยังส่งเสียงเรียกอย่างอ่อนหวานอยู่ริมหูเขาว่าพี่ชาย เอ่ยว่านางกลัว นางไม่อยากตาย เขาไหนเลยจะยังมีใจสงสัยถึงสิ่งอื่นที่ซ่อนอยู่ในนั้นอีก ถึงจะรู้ว่าใบหน้าที่กำลังร้องไห้ของนางนี้ยังมีเป้าหมายอื่นแฝงอยู่ กระนั้นเขาก็ยินยอมที่จะกระโดดลงไปในหลุมพรางที่นางสร้างมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หลี่เหวยหยวนกระชับสองแขนที่กอดร่างหลี่หลิงหว่านแนบอกให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ก่อนที่เขาจะก้มหน้ามองนางอย่างสงสารแล้วเอ่ยเสียงเบา “เด็กโง่ ชีวิตของเจ้าสำคัญกว่าชีวิตของข้าเสียด้วยซ้ำ พี่ชายจะตัดลิ้นเจ้าได้อย่างไร แล้วจะสังหารเจ้าเพื่อคนนอกได้อย่างไร พี่ชายมีแต่จะปกป้องเจ้า ทั้งจะปกป้องเจ้าให้ดีไปตลอดชีวิต ไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้า ต่อแต่นี้เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวพี่ชายอีกต่อไปแล้ว ดีหรือไม่ หืม?”

เรียกได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่ใช้ปลอบโยนเด็กน้อยโดยเฉพาะ

หลี่หลิงหว่านเองก็แสดงท่าทีเฉกเช่นเด็กน้อยออกมา นางซบอยู่บนอกเขาและส่งเสียงสะอื้น

หลี่หลิงหว่านรู้ว่าหลี่เหวยหยวนมักจะตกหลุมพราง ‘แผนแสดงความอ่อนแอ’ เช่นนี้ของนางเสมอ ส่วนเรื่องของตู้ซื่อนั้น เมื่อนางคิดดูแล้วก็ไม่เห็นหนทางใดที่จะโกหกหลี่เหวยหยวนให้ผ่านไปได้สำเร็จจริงๆ ดังนั้นมิสู้ร้องไห้ออกมาก่อนหนหนึ่ง ทำให้ในใจหลี่เหวยหยวนรู้สึกโอนอ่อนเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยเอ่ยเรื่องคืนนั้นกับเขา

มิหนำซ้ำวิธีการที่หลี่หลิงหว่านเลือกใช้ยังเป็นการโจมตีก่อน ไม่รอให้หลี่เหวยหยวนเอ่ยปากถาม ตัวนางก็สะอึกสะอื้นเอ่ยขึ้นมาด้วยตนเองก่อน “คืนนั้นหลังข้ากลับมาจากเรือนของพี่ชาย จู่ๆ ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมพัดโชยมา ข้าจึงอยากไปดูสักหน่อยว่าเป็นดอกไม้อะไรกันแน่ แต่ข้ากลับหลงทางในความมืด ไม่รู้ว่าเดินไปจนถึงเรือนแห่งนั้นได้อย่างไร ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเห็นเรือนนี้อยู่ในสวนดอกไม้มาก่อน รู้สึกประหลาดใจจึงเดินเข้าไปดู นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะมีคนอยู่ พอสตรีผู้นั้นเห็นข้าเข้าไปก็ไม่รู้ว่านางเป็นอะไร พุ่งเข้ามาใช้สองมือบีบคอข้าทันที ยังดีที่พี่ชายมาช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา มิเช่นนั้นข้าคงตายไปนานแล้ว” ทั้งยังสะอื้นฮักอีกสองครั้ง จากนั้นนางก็เงยหน้าถามหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย คืนนั้นพี่ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร พี่ไปตั้งแต่เมื่อใด แล้วก็…สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน พี่รู้หรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็อดยิ้มต่อว่านางขึ้นมาในใจไม่ได้ เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์

ยามที่หลี่หลิงหว่านเพิ่งฟื้นขึ้นมานั้นเขามองออกว่าความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของจริง ไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย กระทั่งนางซุกตัวอยู่ที่มุมเตียงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ นางจะต้องคิดตกในบางเรื่องแล้วอย่างแน่นอน ด้วยเกรงว่าเขาจะถามถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา และกังวลว่าเขาจะได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับตู้ซื่อ ประโยคเหล่านั้นนางย่อมหาคำแก้ตัวไม่ได้แน่ ยามนี้นางจึงซ้อนแผนเสียเลย แสร้งแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาแล้วร้องไห้กับเขา

อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ฉลาดอยู่อย่างหนึ่ง ในประโยคที่นางเอ่ยออกมานี้มีความจริงหกส่วนซ่อนอยู่ในคำโป้ปดสี่ส่วน หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าจะถูกนางหลอกลวงจนผ่านไปได้จริงๆ อีกทั้งประโยคที่นางพูดมาเหล่านี้ไม่เพียงแค่หยั่งเชิงเขาเท่านั้น นางยังเอ่ยเรื่องที่ในใจตนเองรู้สึกวิตกกังวลที่สุดออกมาด้วย จึงเริ่มซักถามเขาขึ้นมาเช่นนี้

ชั่วขณะนั้นในใจหลี่เหวยหยวนก็รู้สึกทั้งรักทั้งโกรธนางจริงๆ แทบอยากจะตลบพลิกร่างนางแล้วเงื้อมือขึ้นตีก้นนางสักสองฝ่ามือ ไม่นึกเลยว่านางจะไม่เชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้ หากนางกล้าเอ่ยเรื่องทุกอย่างที่รู้มาให้เขาฟัง เช่นนั้นไม่ว่าต่อนางหรือต่อเขาก็ล้วนเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ยิ่ง แต่นางกลับไม่ยอมพูด ทั้งยังซุกซ่อนเอาไว้เช่นนี้ด้วยกลัวว่าเขาจะรับรู้ความจริง

ในใจหลี่เหวยหยวนก็รู้ว่ายามนี้หลี่หลิงหว่านยังไม่เชื่อถือเขา หากเขาเอ่ยไล่ต้อนซักถามหรือเปิดเผยว่าตนเองรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เกรงว่าชั่วขณะต่อมาหลี่หลิงหว่านจะต้องเป็นเช่นกระต่ายที่ตระหนก หมุนตัววิ่งหนีไปทันทีและไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็แสร้งเป็นคนฉลาดที่เลอะเลือนไปก่อนชั่วคราวแล้วกัน

หลี่เหวยหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงใจ “คืนนั้นเสี่ยวซานมาหาข้า บอกว่าเจ้ามีคำพูดบางอย่างลืมบอกข้า จึงจะกลับมาหาข้าแล้วให้นางกลับไปก่อน แต่เสี่ยวซานรู้สึกไม่วางใจ กังวลว่าตอนกลางคืนเจ้าจะเดินทางไม่สะดวก ดังนั้นจึงเดินถือโคมมาตามหาเจ้าที่เรือนของข้า ภายหลังนางถามขึ้นมาแล้วถึงรู้ว่าเจ้าไม่ได้มาหาข้า ข้ากับเสี่ยวซานและจิ่นเหยียนจึงพากันร้อนใจ รีบร้อนออกตามหาเจ้าไปทั่ว ยามนั้นข้าบังเอิญตามหาเจ้าไปจนถึงด้านข้างเรือนแห่งนั้นพอดี พอได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้าดังออกมา ข้าจึงผลักประตู แต่ประตูถูกลงกลอนไว้จากข้างในทำให้ผลักไม่ออก ข้าร้อนใจจึงปีนกำแพงเข้าไป พอเข้าไปก็เห็นสตรีผู้นั้นกำลังใช้สองมือบีบคอเจ้า ข้าจึงรีบเข้าไปช่วยเจ้า ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเจ้าเองก็ล้วนรับรู้แล้ว”

พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของเขาก็ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย สีหน้าก็ดูหม่นหมองอยู่หลายส่วน “ส่วนสตรีผู้นั้นเป็นใคร ข้าเองก็ไม่กระจ่าง แต่คืนนั้น…เฮ้อ…ข้าถึงขั้นพลั้งมือผลักนางจนศีรษะไปกระแทกโดนผนังเช่นนั้น ส่วนนางก็…ก็ตายไปทั้งแบบนั้นแล้ว”

ในน้ำเสียงแฝงรอยสะอื้นอยู่หลายส่วน ทว่าต่อมาเขาก็เงยหน้ามองหลี่หลิงหว่าน ในแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “หว่านวาน ข้า…ข้าถึงกับสังหารคนไปแล้ว เจ้าจะกลัวข้าหรือไม่”

พริบตานั้นในใจหลี่หลิงหว่านเกิดความคับข้องใจขึ้นมาแล้ว

ในใจนางย่อมกระจ่างดี หากคืนนั้นหลี่เหวยหยวนไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับตู้ซื่อย่อมเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว แต่ยามนี้เมื่อได้ยินเขาบอกเป็นนัยชัดเจนว่า ‘ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น’ นางกลับรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถือขึ้นมา

แต่มองดูสีหน้าจริงใจและเศร้าโศกเช่นนี้ของหลี่เหวยหยวนไม่คล้ายว่าเสแสร้งแต่อย่างใด นางเองก็ไม่อาจไม่เชื่อถือ

ตู้ซื่อเป็นมารดาของเขา เป็นเพราะช่วยนางเขาถึงได้พลั้งมือผลักตู้ซื่อ ทำให้ศีรษะตู้ซื่อกระแทกผนังจนตาย ยามพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเสียใจจริงๆ และมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ แต่เขาก็ยังกลัวว่านางจะรู้ว่าตู้ซื่อเป็นใคร ดังนั้นจึงต้องข่มความโศกเศร้าในใจพูดว่าตนเองไม่รู้จักตู้ซื่อออกมา

หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเสียสติแล้วจริงๆ แต่เมื่อมองดูท่าทางเศร้าโศกเสียใจในตอนนี้ของหลี่เหวยหยวน นางยังคงอดยื่นมือออกไปตบหลังมือเขาและเอ่ยปลอบเขาไม่ได้ “พี่ชาย พี่ไม่ต้องเสียใจจนเกินไป พี่…พี่ต้องการช่วยข้า ดังนั้นถึงได้พลั้งมือผลักคนผู้นั้น หากจะกล่าวโทษจริงๆ เรื่องนี้ก็ควรโทษข้า ไม่เกี่ยวกับพี่เลย พี่ไม่ต้องตำหนิตนเองแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนพลันยื่นมือออกไปโอบกอดนางอย่างแนบแน่นอีกครั้ง

หากใต้หล้านี้มีเทพเซียนอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นก็นำเรื่องทั้งหมดมาโทษลงที่ข้าเพียงคนเดียวเถิด ข้าต้องการแค่ให้หว่านวานของข้าอยู่อย่างสงบสุขตลอดไป

หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองถูกเขารัดร่างจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว นางรีบยกมือขึ้นตบบ่าเขาพลางบอก “พี่ชาย พี่จะรัดข้าตายอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนรีบร้อนปล่อยหลี่หลิงหว่านออก เขาเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วเอ่ยกับนางอย่างจริงจังยิ่ง “หว่านวาน เจ้าไม่ต้องกลัวพี่ชาย พี่ชายไม่มีวันทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำร้ายเจ้า”

เมื่อได้รับคำยืนยันที่หนักแน่นเช่นนี้จากหลี่เหวยหยวนแล้ว หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกวางใจ อีกทั้งเมื่อครู่ที่นางได้ซุกตัวอยู่มุมเตียงเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่ครู่ใหญ่นั้น นางก็รู้สึกว่าแม้จุดจบของตู้ซื่อจะเกิดขึ้นเหมือนกับในนิยายเดิม แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วก็ยังพบว่ามีความแตกต่างอยู่มาก

ในนิยายหลี่เหวยหยวนจะฆ่าตู้ซื่อตอนสอบได้เป็นซิ่วไฉ มิหนำซ้ำยังเป็นเพราะตู้ซื่อมักดุด่าทุบตีทรมานเขาอยู่เสมอ หัวใจเขาจึงบิดเบี้ยวจนไม่อาจทนรับต่อไปได้ไหว หลี่เหวยหยวนจึงลงมือสังหารมารดาก่อนอย่างอำมหิต แต่ตอนนี้เพื่อช่วยเหลือนาง หลี่เหวยหยวนจึงพลั้งมือผลักตู้ซื่อ ทำให้ศีรษะกระแทกผนังจนตาย นี่ไม่นับเป็นการลงมือก่อน ทั้งตอนนี้หลี่เหวยหยวนก็อายุสิบเก้าปีแล้ว ช่วงเวลาไม่เหมือนกับที่วางไว้ในนิยายเดิมเลย

จากนั้นหลี่หลิงหว่านก็คิดถึงสภาพการตายของฮว่าผิง

จุดจบเดิมที่วางไว้ให้ฮว่าผิงคือในปีเดียวกับที่นางตาย หลี่เหวยหยวนจะจับฮว่าผิงกรอกสารหนู แต่ตอนนี้ฮว่าผิงกลับกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายไปก่อนนานแล้ว เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นไม่เหมือนกับในนิยายเดิมเช่นกัน บางทีความตายของตู้ซื่ออาจเป็นแค่เหตุไม่คาดฝัน เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น นี่ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าในอนาคตนางจะต้องพบจุดจบเช่นเดียวกับที่ตนเองเขียนไว้เสียหน่อย

หลี่หลิงหว่านสบายใจขึ้นมาก จากนั้นนางก็คิดว่าจะลองหยั่งเชิงหลี่เหวยหยวนอย่างไรดี ในเมื่อคืนนั้นนางไม่มั่นใจว่าหลี่เหวยหยวนไปถึงที่เรือนตั้งแต่เมื่อใด ที่สุดแล้วเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับตู้ซื่อหรือไม่ ทั้งได้ยินไปมากน้อยเพียงใด ทว่าดูแล้วตอนนี้เหมือนกับว่าหลี่เหวยหยวนจะไม่ได้ยินประโยคพวกนั้นจริงๆ ไม่เช่นนั้นหากเขารู้ว่าระหว่างนางกับเขาหาได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ทางสายโลหิต ไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เกรงว่าเขาคงไม่มีทางปฏิบัติต่อนางดีเหมือนกับในตอนนี้

คิดมาถึงตรงนี้ในใจหลี่หลิงหว่านก็ยิ่งสงบมากขึ้น ยามนี้ภายในห้องมีแสงเทียนวูบไหว ทุกบริเวณล้วนส่องสว่าง ความหวาดกลัวในใจนางจึงยิ่งลดน้อยลง ทั่วทั้งร่างก็ผ่อนคลายลงมาก และเมื่อผ่อนคลายลงนางก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว

นางหมดสติไปถึงสองวันสองคืน ไม่มีข้าวตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย

“พี่ชาย ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ” หลี่หลิงหว่านเอียงศีรษะมองหลี่เหวยหยวนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ข้าอยากกินโจ๊กไก่ฉีก”

หลี่เหวยหยวนส่งเสียงเรียกเสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ ให้พวกนางเข้ามาจุดเทียนภายในห้องทั้งหมด แล้วก็ไปนำโจ๊กไก่ฉีกร้อนๆ มาด้วย

เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้เห็นว่าตอนนี้หลี่หลิงหว่านมีท่าทางกระปรี้กระเปร่า เห็นทีอาการป่วยน่าจะหายดีแล้ว ในใจพวกนางจึงมีความสุข บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวซานอยู่จุดเทียนภายในห้อง ส่วนเสี่ยวอวี้ก็ออกไปเอาโจ๊กไก่ฉีก

หลี่เหวยหยวนหยิบถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กบริเวณหัวเตียงขึ้นมาแล้วยื่นส่งไปให้ “หว่านวาน ดื่มยา”

แม้แต่ยามหมดสติจิตใต้สำนึกของหลี่หลิงหว่านยังปฏิเสธที่จะดื่มยา แล้วนับประสาอะไรกับยามนี้ที่นางมีสติครบถ้วนสมบูรณ์แล้วเล่า

หลี่หลิงหว่านยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก น้ำเสียงอู้อี้ลอดผ่านฝ่ามืออ่อนนุ่มของนางออกมา “แค่กลิ่นก็ขมขนาดนี้ เวลาดื่มต้องยิ่งขมมากแน่ ข้าไม่อยากดื่มเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนจนใจ แต่ยังคงเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางอย่างอดทน “ยาดีย่อมขมปาก ดื่มยาไปแล้วอาการป่วยของเจ้าก็จะหายดี เด็กดี รีบดื่มเร็วเข้า”

สุดท้ายหลี่หลิงหว่านที่ถูกหลี่เหวยหยวนเกลี้ยกล่อมจนไร้หนทางให้บ่ายเบี่ยงแล้วก็เริ่มหาข้ออ้างอื่นแทนด้วยการชี้ไปยังถ้วยยาในมือหลี่เหวยหยวนพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “นี่ไม่มีแม้แต่ช้อนเสียด้วยซ้ำ จะให้ข้าดื่มอย่างไรกัน พี่ชาย พี่โง่หรือ ตอนยกยาถ้วยนี้มาเหตุใดจึงไม่รู้จักหยิบช้อนมาด้วยสักคันเล่า”

หลี่เหวยหยวนก้มหน้ามองถ้วยยาในมืออย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

จะต้องการช้อนไปทำไม สองวันที่ผ่านมาเขาป้อนนางดื่มยาโดยไม่เคยต้องใช้ช้อนเลย แต่ก็ไม่อาจบอกให้หลี่หลิงหว่านรู้ได้ว่าที่ผ่านมาเขาใช้วิธีการป้อนยาแบบปากต่อปากให้นาง

เมื่อคิดถึงเรื่องการป้อนยาให้หลี่หลิงหว่านแบบปากต่อปากแล้ว หัวใจหลี่เหวยหยวนก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลิ้นนุ่มหอมหวานลื่นละมุนดุจหยก ต่อให้เป็นยาที่ขมยิ่งกว่านี้ก็ยังไม่อาจลบล้างความงดงามตราตรึงของส่วนนี้ไปได้ ช่างเป็นสัมผัสที่ชวนให้ผู้คนอาวรณ์หายิ่งนัก

ในตอนนั้นเองหลี่หลิงหว่านก็หาเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องดื่มยาชั่วคราวขึ้นมาได้แล้ว นางยื่นมือออกไปลูบถ้วยยา จากนั้นก็หดมือกลับมาทันที “ยาถ้วยนี้เย็นเฉียบ จะดื่มได้อย่างไรเจ้าคะ พี่ชาย ข้าไม่ดื่ม”

หลี่เหวยหยวนทำได้เพียงยอมไปก่อน เขาส่งถ้วยยาไปให้เสี่ยวซานแล้วสั่งให้นางนำยาถ้วยนี้ไปอุ่น จากนั้นจึงหันหน้ามาเอ่ยกับหลี่หลิงหว่าน “รอเจ้ากินอาหารเย็นเสร็จแล้วค่อยดื่มยาอีกที”

หลี่หลิงหว่านลอบเบ้ปาก รอหลังนางกินโจ๊กไก่ฉีกเสร็จแล้ว นางก็จะหาเหตุผลไล่หลี่เหวยหยวนกลับไป รอหลี่เหวยหยวนกลับไปแล้ว ผู้ใดจะยังกล้าบังคับนางให้ดื่มยาอีก

กระทั่งถึงตอนที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้ว นางก็รีบร้อนเอ่ยว่า “สองวันมานี้พี่ชายลำบากมากจริงๆ ตอนนี้อาการป่วยของข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ชายรีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”

น่าเสียดายที่หลี่เหวยหยวนไม่ใช่คนที่หลอกลวงได้ง่ายถึงเพียงนั้น

หลี่เหวยหยวนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังเหลือบตาขึ้นมองนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า “รอดูเจ้าดื่มยาเสร็จแล้วข้าค่อยกลับไป”

จากนั้นก็ให้เสี่ยวซานนำยาถ้วยนั้นที่อุ่นเรียบร้อยแล้วเข้ามา

หลี่หลิงหว่านสบถคำหยาบขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้ นางถลึงตามองหลี่เหวยหยวนทีหนึ่ง หากสายตากลายเป็นคมอาวุธขึ้นมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้ร่างกายของหลี่เหวยหยวนจะต้องถูกนางมองจนพรุนไปนานแล้วเป็นแน่

หลี่เหวยหยวนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งยังนำถ้วยยาที่ถืออยู่ในมือยื่นไปข้างหน้าพลางยิ้มเอ่ย “หากเจ้าไม่ดื่มยาถ้วยนี้ ข้าก็ไม่มีวันกลับไป”

หลี่หลิงหว่านถลึงตามองเขาอีกครั้ง จากนั้นจึงยื่นมือไปรับถ้วยยาในมือเขามา ก่อนจะกัดฟันแล้วหลับตายกยาถ้วยนั้นขึ้นดื่มด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยวดั่งผู้กล้าตัดข้อมือ อย่างไรอย่างนั้น นางดื่มอึกๆ ลงไปจนหมดในคราวเดียวราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่า รอจนดื่มเสร็จแล้วก็ยื่นถ้วยเปล่าไปตรงหน้าหลี่เหวยหยวน เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเช่นนั้นยามนี้พี่ก็กลับไปได้แล้วใช่หรือไม่ ข้าจะนอนแล้ว”

หลี่เหวยหยวนยื่นมือออกไปรับถ้วยยามาถือไว้แล้วโน้มตัวไปใกล้นาง บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นยัดของบางอย่างเข้าไปในปากนาง

หลี่หลิงหว่านตกใจ ขณะที่กำลังจะถามว่าเขาให้นางกินอะไร ปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาติที่ทั้งเปรี้ยวและหวาน ก่อนจะเห็นหลี่เหวยหยวนล้วงโถกระเบื้องลายครามเขียนรูปดอกบัวออกมาจากแขนเสื้อราวกับเล่นกลพร้อมยัดใส่มือนางแล้วยิ้มเอ่ย “ผลไม้เชื่อมของร้านไฉ่เยวี่ยไจ”

ไฉ่เยวี่ยไจเป็นร้านขายผลไม้เชื่อมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวง ต่อให้เป็นแค่ผลไม้เชื่อมโถเล็กๆ เช่นนี้ แต่โถหนึ่งก็มีราคาที่แพงมากแล้ว กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ไม่ได้เกรงใจหลี่เหวยหยวนแต่อย่างใด นางรีบรับโถมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

หลี่เหวยหยวนยังกำชับหลี่หลิงหว่านอีกหลายประโยค สุดท้ายก็ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง” จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องนอนของนางไป

แต่ในยามที่เดินออกมานั้น สายตาของเขาก็มองไปที่เสี่ยวซาน บอกเป็นนัยให้นางตามเขาออกมาด้วย เสี่ยวซานเห็นแล้วก็รีบร้อนติดตามมา ก่อนเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “คุณชายใหญ่มีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ”

บนใบหน้าของหลี่เหวยหยวนไม่ได้ประดับรอยยิ้มอบอุ่นเฉกเช่นที่อยู่ต่อหน้าหลี่หลิงหว่านอีก บริเวณหว่างคิ้วปรากฏความกังวลขึ้นมา

“แม้หว่านวานจะฟื้นและอาการดูดีขึ้นมากแล้ว แต่เกรงว่าจะเป็นแค่ในตอนนี้เท่านั้น หลังนอนหลับนางอาจจะฝันร้ายอีก ตอนกลางคืนให้เจ้ากับเสี่ยวอวี้มานอนอยู่ด้านนอกฉากบังลมในห้องนอนนาง พวกเจ้าทั้งสองคนก็ตื่นตัวเสียหน่อย หากคุณหนูฝันร้ายแล้วกรีดร้องขึ้นมา ให้รีบเข้าไปดูนาง และหากเกิดความผิดปกติอันใดขึ้นกับคุณหนู จำไว้ว่าต้องมาบอกให้ข้ารู้ทันที”

เสี่ยวซานรีบร้อนขานรับทุกคำ

หลี่เหวยหยวนยังกำชับอีก “ตอนกลางคืนภายในห้องนอนนางจะต้องจุดโคมไฟเอาไว้เสมอ หากช่วงนี้นางตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน เกรงว่าจะกลัวความมืดเอาได้”

เสี่ยวซานขานรับอีกครั้ง

หลังจากนั้นหลี่เหวยหยวนยังกำชับถึงเรื่องอื่นๆ ที่ต้องระวังอย่างละเอียด จากนั้นถึงค่อยหมุนตัวเดินจากไปอย่างช้าๆ

เดิมทีเขายังคงอยากเฝ้าหลี่หลิงหว่านอยู่ที่เรือนนี้โดยไม่จากไปไหนเลยสักก้าว แต่ในเมื่อยามนี้นางตื่นขึ้นมาแล้ว ทั้งยังเอ่ยปากบอกให้เขากลับไปก่อนด้วยตนเองเช่นนี้ หากเขายังรั้งอยู่อีก เกรงว่านางจะคิดมาก เขาจึงทำได้เพียงจากไปก่อนชั่วคราว รอวันพรุ่งนี้ค่อยกลับมาหานางใหม่อีกครั้ง

แต่ที่สุดแล้วในใจหลี่เหวยหยวนก็ยังเป็นกังวลกับเรื่องหลี่หลิงหว่านอยู่ดี ตลอดทั้งคืนเขาจึงหลับไม่สนิท กระทั่งตื่นขึ้นมาอยู่หลายหน รอจนวันถัดมา หลังกินอาหารเช้าอย่างรีบร้อนแล้วเขาก็โยนตะเกียบ เร่งรีบไปเยี่ยมหลี่หลิงหว่านยังเรือนอี๋เหอ เพียงแต่ตอนที่ใกล้จะไปถึงเรือนอี๋เหอนั้น เขาก็เห็นสาวใช้ผู้หนึ่งกำลังนำคนคนหนึ่งเดินมุ่งหน้ามายังเรือนอี๋เหอของหลี่หลิงหว่านเช่นกัน

เขาเดินขึ้นหน้าเพื่อจะได้มองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเป็นเหลียงเฟิงอวี่

หลี่เหวยหยวนมองออกว่าวันนี้เหลียงเฟิงอวี่พิถีพิถันในการแต่งกายเป็นพิเศษ บนร่างสวมเจี้ยนอี ผ้าต่วนสีน้ำเงินสว่างลายกลุ่มดอกไม้ตัวใหม่เอี่ยม บริเวณเอวคาดด้วยผ้าสีเงินปักมุก ยิ่งแสดงให้เห็นถึงรูปร่างที่สูงโปร่งสง่างามของเขามากขึ้น

สาวใช้นำทางผู้นั้นก็มองเห็นหลี่เหวยหยวนแล้วเช่นกัน นางจึงรีบร้อนย่อกายลงคารวะเขา ส่งเสียงเรียกคุณชายใหญ่คำหนึ่ง เหลียงเฟิงอวี่เองก็ประสานมือคารวะให้ เรียกเขาคำหนึ่งว่าพี่ใหญ่หลี่

ด้วยมารยาทหลี่เหวยหยวนจึงประสานมือคารวะเหลียงเฟิงอวี่กลับเช่นกัน จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปยังสาวใช้ผู้นั้นแล้วเปิดปากถาม “เจ้ากำลังจะพาเหลียงซื่อจื่อไปที่ใด”

สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เป็นฮูหยินผู้เฒ่าส่งบ่าวมา ให้บ่าวนำทางเหลียงซื่อจื่อมาหาคุณหนูสี่เจ้าค่ะ”

เหลียงเฟิงอวี่รีบร้อนเอ่ยอธิบายเช่นกัน “ข้าได้ยินว่าน้องหว่าน เอ้อ คุณหนูหลี่ไม่สบาย ผ่านมาหลายวันยังไม่ดีขึ้น ในใจรู้สึกเป็นห่วง วันนี้จึงอยากจะมาเยี่ยมนาง เมื่อครู่ข้าไปเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่าและแจ้งถึงสาเหตุที่มาเยือน ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากอนุญาตแล้วจึงได้ส่งสาวใช้ผู้นี้มานำทางข้าไปหาคุณหนูหลี่”

เหลียงเฟิงอวี่รู้ว่าปกติหลี่เหวยหยวนไม่ชอบให้เขาใกล้ชิดกับหลี่หลิงหว่าน ยามนี้ที่เขาเอ่ยเช่นนี้ก็ด้วยมีเจตนาจะยกฮูหยินผู้เฒ่ามากดข่มหลี่เหวยหยวนเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่สะดวกที่จะขัดขวาง

เมื่อหลี่เหวยหยวนได้ยินประโยคนี้ของเหลียงเฟิงอวี่แล้ว คิ้วเรียวยาวก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ สายตาที่มองอีกฝ่ายก็เย็นชาลงหลายส่วน

เดิมทีเหลียงเฟิงอวี่คิดไปว่าหลังยกชื่อฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาพูดแล้ว ต่อให้ในใจหลี่เหวยหยวนจะไม่ยินยอมให้เขาพบหลี่หลิงหว่านมากเพียงใด แต่ก็คงไม่กล้าขัดขวางอีก ย่อมไม่เคยคิดว่าหลังจากที่หลี่เหวยหยวนได้ยินประโยคนี้แล้ว อีกฝ่ายจะแค่มองเขาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียดื้อๆ ว่า “ท่านไปพบหว่านวานไม่ได้”

ต่อให้ในยามปกติเหลียงเฟิงอวี่จะกลัวหลี่เหวยหยวนมากกว่านี้ กระนั้นในใจเขายามนี้ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้วสองส่วน

มีสิทธิ์อะไรเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตแล้ว ทั้งยังให้สาวใช้นำทางเขามาหาหลี่หลิงหว่านถึงที่นี่ แต่ไม่นึกเลยว่าหลี่เหวยหยวนจะยังไม่ยอมรับปากอีก ในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจมิใช่หรือ ต่อให้หลี่เหวยหยวนร้ายกาจยิ่งกว่านี้ แต่จะร้ายกาจมากไปกว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร

เหลียงเฟิงอวี่มีใบหน้าที่เคร่งขรึมลง ในน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “เพราะอะไรหรือ เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้อนุญาตแล้ว”

ยามนี้หลี่เหวยหยวนไม่แม้แต่จะมองเหลียงเฟิงอวี่เสียด้วยซ้ำ “หว่านวานเป็นคุณหนูในเรือน ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับเหลียงซื่อจื่อ เหลียงซื่อจื่อเป็นคนนอกผู้หนึ่ง แล้วจะเข้าไปในห้องส่วนตัวของนางได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของหว่านวานจะอยู่ที่ใด ไหนจะชื่อเสียงของสกุลหลี่อีกเล่า เหลียงซื่อจื่อเองก็เป็นบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์ เหตุไฉนจึงไม่เข้าใจเหตุผลเหล่านี้ ส่วนทางฮูหยินผู้เฒ่านั้น หลังจากนี้ข้าจะไปขอรับโทษกับนางด้วยตนเองเอง เชิญเหลียงซื่อจื่อกลับไปเถิด”

กล่าวจบก็สั่งให้สาวใช้ผู้นั้นพาเหลียงเฟิงอวี่จากไป

ประโยค ‘ถูกต้องชอบธรรม’ นี้ของหลี่เหวยหยวนสามารถอุดปากเหลียงเฟิงอวี่ให้พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวได้ ทว่าดวงตาเห็นเรือนอี๋เหออยู่ตรงหน้าเช่นนี้ จวนจะพบหลี่หลิงหว่านได้อยู่แล้วแท้ๆ หากยามนี้ถูกคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของหลี่เหวยหยวนทำให้ต้องกลับตัวจากไป เหลียงเฟิงอวี่จึงรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง อีกทั้งในใจเขายังมีโทสะอยู่หลายส่วน หลี่เหวยหยวนมีสิทธิ์อะไร แค่บอกไม่ยอมให้เขาพบหลี่หลิงหว่าน เขาก็จะพบไม่ได้หรือ

ด้วยเหตุนี้เหลียงเฟิงอวี่จึงเอ่ยอย่างดื้อดึง “ข้าบอกกับท่านพ่อท่านแม่ไปแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะส่งคนมาสู่ขอน้องหว่านถึงจวน รอจนข้ากับน้องหว่านหมั้นหมายและแต่งงานกันแล้ว นางก็จะเป็นภรรยาของข้า ข้าย่อมสามารถพบหน้านางได้ทุกวัน”

เขากำลังโกรธ ยามนั้นจึงไม่เรียกหลี่หลิงหว่านว่า ‘คุณหนูหลี่’ อีก แต่เอ่ยเรียกนางตรงๆ ว่า ‘น้องหว่าน’ แทน

ทันทีที่หลี่เหวยหยวนได้ยินประโยคนี้ของเหลียงเฟิงอวี่ สีหน้าของเขาก็เย็นชาไปทั้งหมด น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับหิมะอย่างไรอย่างนั้น ทั้งเย็นยะเยือกทั้งแข็งกร้าว “เช่นนั้นรอให้เหลียงซื่อจื่อแต่งหว่านวานเสียก่อน ท่านค่อยมาเอ่ยประโยคนี้ก็แล้วกัน”

กล่าวจบเขาก็สะบัดชายเสื้อก้าวเดินจากไป หลังเข้าไปในเรือนอี๋เหอแล้วยังสั่งให้สาวใช้ปิดประตูเรือนทันที ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาอีกแม้แต่คนเดียว

บทที่หก

เหลียงเฟิงอวี่ที่อยู่ด้านนอกพอได้เห็นภาพเช่นนี้ก็โกรธจนมือไม้สั่น ในใจคิดว่า ข้าจะกลับไปหาบิดามารดาตอนนี้เลย บอกให้พวกเขาเชิญแม่สื่อมาสู่ขอน้องหว่านทันที นอกจากนี้จะหาวันมงคลแต่งนางกลับไปโดยเร็วที่สุด ถึงตอนนั้นไม่เพียงแค่ข้าจะได้พบหน้าน้องหว่านทุกวัน สุดท้ายหากหลี่เหวยหยวนอยากพบนางขึ้นมา ข้าก็อาศัยสถานะ ‘สามีของหลี่หลิงหว่าน’ บอกไม่ยินยอมให้หลี่เหวยหยวนพบหน้านางได้ ฮ่าๆ ทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสโทสะที่ข้าได้รับมาในวันนี้ทั้งหมดด้วย

คิดมาถึงตรงนี้ความหงุดหงิดในใจเหลียงเฟิงอวี่ก็สลายไปกว่าครึ่งในทันที ทั้งยังเร่งให้สาวใช้ผู้นั้นรีบพาเขาไปจากที่นี่ เขาต้องการจะกลับจวนก่วงผิงโหวทันที

ก่อนหน้านี้สาวใช้ผู้นั้นเห็นหลี่เหวยหยวนกับเหลียงเฟิงอวี่เผชิญหน้ากันเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจล่วงเกินได้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายควรฟังผู้ใดกัน ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าเหลียงเฟิงอวี่จะเปิดปากพูดออกมาก่อนว่าต้องการกลับไป นั่นเป็นเรื่องที่ดีจนไม่อาจดีไปกว่านี้แล้วจริงๆ

นางผ่อนลมหายใจ จากนั้นบนใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มขณะเอ่ยกับเหลียงเฟิงอวี่ “เชิญเหลียงซื่อจื่อตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนเพิ่งเดินไปได้ไม่เท่าไรก็เห็นว่าที่ด้านหน้ามีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเด็ดกิ่งเหมยอยู่ เด็กสาวผู้นั้นสวมเสื้อบุซับในกระดุมผ่าหน้าคอตั้งสีฟ้ากระจ่างปักลายดอกกล้วยไม้ ช่วงล่างเป็นกระโปรงจีบรอบทำจากผ้าแพรสีเหลืองนวล เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น รูปโฉมงดงามบริสุทธิ์

เมื่อสาวใช้เห็นแล้วก็รีบร้อนเดินขึ้นหน้าไปคารวะพร้อมส่งเสียงเรียก “คุณหนูสาม”

หลี่หลิงเยี่ยนได้ยินก็หันหน้ากลับมา เมื่อเห็นเหลียงเฟิงอวี่ยืนอยู่ข้างกายสาวใช้คนนั้น บนใบหน้านางก็ปรากฏรอยยิ้มบางจนดูงดงามมากยิ่งขึ้น พร้อมย่อกายลงคารวะเขา “เหลียงซื่อจื่อ”

เหลียงเฟิงอวี่เองก็ประสานมือคารวะนางกลับพร้อมส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง “คุณหนูหลี่”

หลี่หลิงเยี่ยนจึงยิ้มเอ่ยถาม “วันนี้เหลียงซื่อจื่อมาเยือนถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระใดหรือเจ้าคะ”

“ข้าได้ยินว่าสองวันมานี้น้องหว่านไม่สบาย อาการไม่ดีขึ้นเสียที ข้าร้อนใจจึงได้คิดมาเยี่ยมนาง” ความรู้สึกที่หลี่หลิงเยี่ยนมอบให้คนอื่นๆ นั้นช่างเป็นมิตรนัก ในใจเหลียงเฟิงอวี่เองก็คิดว่ารอจนเขากับหลี่หลิงหว่านแต่งงานกันแล้ว จะว่าไปเขาก็ยังต้องเรียกหลี่หลิงเยี่ยนว่าพี่สาม ดังนั้นยามที่เขาเอ่ยกับนาง ในน้ำเสียงจึงแฝงไปด้วยความเกรงใจ มีอะไรก็พูดออกไปจนหมด

ยามนี้หลี่หลิงเยี่ยนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เหตุผลที่นางประหลาดใจมีอยู่สองประการ ประการแรก ไม่นึกเลยว่าเหลียงเฟิงอวี่จะเป็นห่วงหลี่หลิงหว่านมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่สบายก็รีบร้อนมาเยี่ยมในทันที ส่วนประการที่สอง สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายเหลียงเฟิงอวี่ผู้นั้นนางเองก็รู้จัก เป็นสาวใช้ภายในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งที่เหลียงเฟิงอวี่เป็นคนนอกสกุล แต่กลับมีสาวใช้ภายในเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามานำทางเขาไปยังเรือนส่วนตัวของหลี่หลิงหว่าน เช่นนั้นย่อมเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าถ่ายทอดคำสั่งลงมา หรือพูดอีกอย่างว่ายามนี้ในใจฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่ยอมรับเรื่องที่จะให้หลี่หลิงหว่านแต่งกับเหลียงเฟิงอวี่โดยนัยแล้วหรือ มิเช่นนั้นจะยอมให้เหลียงเฟิงอวี่มาพบหลี่หลิงหว่านอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้อย่างไร จะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของหลี่หลิงหว่านหรอกหรือ

หลี่หลิงเยี่ยนพลันคิดไปถึงวันที่พวกนางไปชมงิ้วและดูดอกไม้ไฟที่จวนก่วงผิงโหว ประโยคที่ฮูหยินก่วงผิงโหวจับมือหลี่หลิงหว่านเอ่ย ทั้งยังคำพูดหยอกเย้าของฮูหยินคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างนั้น ดูไปแล้วในใจฮูหยินก่วงผิงโหวเองก็มีเจตนาที่จะจับคู่หลี่หลิงหว่านกับเหลียงเฟิงอวี่อยู่

นางมองออกว่าฮูหยินก่วงผิงโหวเป็นคนประจบสอพลอผู้ที่มีฐานะสูงกว่า และเย่อหยิ่งต่อผู้ที่มีฐานะต่ำกว่าด้วย เดิมทีสกุลหลี่กับสกุลของก่วงผิงโหวก็ไปมาหาสู่กันแต่แรกแล้ว หากฮูหยินก่วงผิงโหวชื่นชอบหลี่หลิงหว่านจากใจจริง ต้องการให้อีกฝ่ายมาเป็นสะใภ้ของตนเองจริงๆ ฮูหยินก่วงผิงโหวก็สามารถหมั้นหมายการแต่งงานในครั้งนี้ได้ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้าแล้ว เหตุใดต้องรอมาจนตอนนี้ถึงเพิ่งเอ่ยปากบอกเป็นนัยๆ ออกมาด้วย

นี่ต้องเป็นเพราะฮูหยินก่วงผิงโหวเห็นว่าบิดานางกลับมาจากหังโจวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว รู้ว่าหน้าที่การงานของเขาจะเจริญก้าวหน้า อีกทั้งเมื่อปีก่อนในจวนสกุลหลี่เองก็มีจวี่เหรินอายุน้อยถึงสองคน ฮูหยินก่วงผิงโหวรู้ว่าภายภาคหน้าจวนสกุลหลี่จะต้องรุ่งโรจน์แน่ ดังนั้นถึงได้เร่งร้อนอยากจะเกี่ยวดองกับสกุลหลี่เช่นนี้

คิดมาถึงตรงนี้ในใจหลี่หลิงเยี่ยนก็เกิดความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อพิจารณาแล้วนางต่างหากที่เป็นบุตรสาวคนโตของบิดา แล้วก็เป็นบุตรสาวที่บิดารักใคร่มากที่สุด แต่ผู้ที่ฮูหยินก่วงผิงโหวอยากเกี่ยวดองด้วยนั้นกลับเป็นหลี่หลิงหว่าน มิใช่นาง คงจะเห็นความสำคัญของสถานะบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของหลี่หลิงหว่านเท่านั้น

แต่ต่อให้ในใจไม่ยินยอมเพียงใด บนใบหน้าของหลี่หลิงเยี่ยนก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาแม้แต่น้อย กลับกันบริเวณหว่างคิ้วยังแฝงไปด้วยความกังวลสองส่วนขณะที่เอ่ย “อาการป่วยหนนี้ของน้องสี่นับว่าหนักหนาจริงๆ เมื่อครู่ข้าเองก็อยากจะไปเยี่ยมน้องสี่เช่นกัน ทว่าตอนที่กำลังผ่านเส้นทางนี้ข้าก็มองเห็นดอกเหมยกำลังเบ่งบานงดงามเข้าพอดี จึงคิดเด็ดกิ่งเหมยสองกิ่งนำไปมอบให้น้องสี่เสียหน่อย ยามนี้แม้น้องสี่จะป่วยอยู่ แต่หากได้กลิ่นหอมของดอกไม้ล่ะก็ น่าจะช่วยให้นางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้” ก่อนจะถามเหลียงเฟิงอวี่ด้วยความเป็นห่วง “เมื่อครู่เหลียงซื่อจื่อได้พบน้องสาวของข้าแล้วกระมัง นางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ อาการป่วยของน้องสาวข้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”

เมื่อได้ยินหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยถามเรื่องนี้ ใบหน้าของเหลียงเฟิงอวี่ก็ปรากฏความผิดหวังและไม่พอใจอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่ข้าไม่ได้พบน้องหว่านหรอก”

ต่อมาเขาก็เอ่ยเล่าเรื่องราวเมื่อครู่ระหว่างเขากับหลี่เหวยหยวนให้ฟัง

หลี่หลิงเยี่ยนได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้มน้อยๆ “ปกติพี่ใหญ่ข้าก็มีนิสัยซื่อตรงเช่นนี้เสมอ ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา อีกอย่างระหว่างเขากับน้องสี่ของข้าก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันพี่น้องจริงๆ พี่ใหญ่ดูแลน้องสี่อย่างเข้มงวดยิ่ง ทำราวกับว่าน้องสี่ของข้ายังเป็นเด็กน้อย ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะเป็นคนชั่วหรือมีประสงค์ร้ายต่อนางไปเสียหมด”

หลี่หลิงเยี่ยนยังคงยิ้มเอ่ย “ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าพี่ใหญ่ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรน้องสี่ก็โตแล้ว วันหน้าหากน้องสี่ต้องไปอยู่ที่บ้านสามี เขาจะยังปกป้องนางเช่นนี้ไปตลอดชีวิตได้อีกหรือ ไม่รู้ว่าสามีนางจะรู้สึกเช่นไรนะเจ้าคะ”

ประโยคนี้พูดได้ตรงใจเหลียงเฟิงอวี่ ต่อให้ยามปกติเขาจะไม่ใช่คนที่พูดมากสักเท่าไร แต่ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่หลิงเยี่ยนแล้วก็เหมือนได้พบกับคนรู้ใจ ไม่ว่าตนเองมีเรื่องราวอะไรในใจก็ล้วนพูดให้นางฟังได้ทุกเรื่อง

บนใบหน้าหลี่หลิงเยี่ยนไม่ปรากฏแววรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังประดับรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลาขณะที่รับฟังเขาพูด บางคราวยังส่งเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นมาประโยคสองประโยค แล้วก็เอ่ยได้ตรงประเด็นพอดี ทำให้เหลียงเฟิงอวี่ยิ่งอยากสนทนากับนางต่อไปเรื่อยๆ

รอจนเหลียงเฟิงอวี่พูดไปเกือบหมดแล้ว เขาก็ได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นของหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาคล้ายไม่ตั้งใจ “ดูเหมือนเหลียงซื่อจื่อจะห่วงใยน้องสี่ของข้ามาก พูดไปแล้วรูปโฉมของน้องสี่ข้าก็งดงามมีเสน่ห์มากจริงๆ”

เมื่อได้ยินหลี่หลิงเยี่ยนพูดถึงหลี่หลิงหว่าน รอยยิ้มบนใบหน้าเหลียงเฟิงอวี่ก็ยิ่งสดใสมากขึ้นไปอีก

“ไม่ ไม่เพียงแต่นางจะมีรูปโฉมงดงามเท่านั้น นิสัยนางก็ดีมากเช่นกัน”

“หืม?” บนใบหน้าหลี่หลิงเยี่ยนแสดงท่าทีสนใจคำพูดนี้ของเขาเป็นอย่างยิ่ง “เหลียงซื่อจื่อเองก็คงทราบ แม้ข้ากับน้องสี่จะเป็นพี่น้องร่วมบิดากัน แต่หลายปีมานี้พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย ข้ากับนางจึงไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไรนัก ดูเหมือนน้องสี่เองก็น่าจะมีเรื่องที่เข้าใจข้าผิดอยู่ด้วย ดังนั้นตั้งแต่ข้ากลับมาเมื่อปลายปีก่อน นางจึงไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับข้านัก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วน้องสี่ของข้าผู้นี้มีดีอะไรบ้างกันแน่ เหลียงซื่อจื่อพอจะสะดวกบอกให้ข้าทราบหรือไม่ ภายหลังข้าจะได้สนิทสนมกลมเกลียวกับน้องสี่ได้ดียิ่งขึ้น”

เหลียงเฟิงอวี่ฟังหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่านางช่างเป็นเด็กสาวที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นคนหนึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นพี่สาวที่ดีคนหนึ่งด้วย ภายหลังนางจะต้องเข้ากันได้ดีกับหลี่หลิงหว่านแน่นอน เขาจึงเอ่ยว่า “ความจริงเมื่อก่อนนี้น้องหว่านก็เป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองผู้หนึ่ง ยามนั้นในใจข้าเองก็ไม่ชื่นชอบนางเช่นกัน ต่อมานางโตขึ้น นิสัยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แน่นอนว่านางไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนกับคุณหนูหลี่ แต่ความร่าเริงสดใส ความใสซื่อ และความน่ารักในตัวนางนั้น ช่าง…ช่างชวนให้ผู้คนหลงใหลจริงๆ ข้าคิดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีสตรีใดสามารถเทียบเคียงนางได้อีก แล้วก็คงไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบนาง”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มสว่างไสวของเขาก็แทบจะเอาชนะดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะแล้วจริงๆ

มือของหลี่หลิงเยี่ยนที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวค่อยๆ กำขึ้นมาช้าๆ เมื่อได้ยินเหลียงเฟิงอวี่กล่าวชื่นชมหลี่หลิงหว่านต่อหน้าเช่นนี้ หลี่หลิงเยี่ยนก็ราวกับได้ดื่มน้ำส้มรสเปรี้ยวไปหนึ่งไห อย่างไรอย่างนั้น ในใจรู้สึกริษยาอย่างร้ายกาจ

นางอดแค่นเสียงดูแคลนขึ้นมาในใจไม่ได้ เหลียงเฟิงอวี่ผู้นี้ช่างเป็นคนที่โง่งมและตาไร้แววจริงๆ หลี่หลิงหว่านไฉนเลยจะดีงามดั่งที่ปากเขาพูดออกมาเช่นนั้น ก็แค่ในสายตาเขาเห็นหญิงที่ตนเองรักเป็นดั่งซีซือ ยังจะพูดว่าใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดสามารถเทียบเคียงนางได้ แล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบนางอีกหรือ คนที่ไม่ชอบหลี่หลิงหว่านนั้นมีอยู่มากมายนัก กระทั่งบิดาของนางก็ไม่ชื่นชอบบุตรสาวผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกันในใจหลี่หลิงเยี่ยนก็ลอบริษยา หลี่หลิงหว่านมีความสามารถใดกันแน่ ถึงทำให้พี่ใหญ่รักถนอมดั่งแก้วตาตนเอง หรือทุกครั้งที่หลี่เหวยหลิงพูดถึงหลี่หลิงหว่าน ในน้ำเสียงก็จะเต็มไปด้วยความเอ็นดู ตอนนี้ยามที่เหลียงเฟิงอวี่พูดถึงอีกฝ่าย บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหลงใหลและเปี่ยมด้วยความสุขล้นอีก

ทว่าหลี่หลิงเยี่ยนกลับคิดว่าไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมก็ดี หรือความสามารถก็ช่าง หลี่หลิงหว่านล้วนเทียบเคียงตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง เพียงแค่เรื่องที่อาจารย์หญิงผู้สอนเย็บปัก เพลงพิณ และมารยาทเหล่านั้นต่างพากันชื่นชมนางไม่หยุด หลี่หลิงหว่านเคยได้รับคำชมจากเหล่าอาจารย์หญิงมากเท่านางหรือไม่เล่า

ต่อให้ในใจกำลังมีทะเลน้ำส้มซัดสาดอยู่รุนแรงแค่ไหน ฉากหน้าของหลี่หลิงเยี่ยนก็ยังคงยิ้มได้งดงามบริสุทธิ์ “คิดไม่ถึงว่าน้องสี่จะมีข้อดีมากมายขนาดนี้ เห็นทีภายหน้าข้าจะต้องใกล้ชิดกับนางให้มากขึ้นกว่านี้แล้ว”

เหลียงเฟิงอวี่ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย “หากคุณหนูหลี่ได้ใช้เวลากับน้องหว่านสักระยะหนึ่งก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง ความจริงนางเป็นคนที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่ายมากคนหนึ่ง ก็เหมือนกับน้องสาวข้าและคุณหนูอวี๋ ในตอนแรกพวกนางก็ไม่ชื่นชอบน้องหว่านเช่นกัน ทว่ายามนี้กลับชอบอยู่กับน้องหว่านมากที่สุดแล้ว”

หลี่หลิงเยี่ยนยิ้มรับ ทว่ากลับลอบบีบผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่แล้ว

จู่ๆ นางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามคล้ายไม่ตั้งใจ “ไม่กี่วันก่อนข้าบังเอิญได้ยินสาวใช้ปากมากในจวนแห่งนี้เอ่ยขึ้นมา ได้ยินว่าในอดีตรองข้าหลวงตู้ หรือก็คือบิดาของท่านป้าสะใภ้ใหญ่คนก่อนของข้าถูกคนใส่ความ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็มีคดีของรองข้าหลวงซุนอีกผู้หนึ่งที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้น ทั้งยังต้องโทษเนรเทศเช่นเดียวกัน ข้าได้ยินว่ายามนี้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนคำพิพากษาให้กับคดีของพวกเขาทั้งคู่แล้ว ทั้งยังส่งคนไปรับรองข้าหลวงซุนจากสถานที่ที่ถูกเนรเทศไปกลับมาเมืองหลวง ไม่ทราบว่าตอนนี้รองข้าหลวงซุนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วหรือยังเจ้าคะ”

เรื่องนี้เหลียงเฟิงอวี่เองก็รับรู้ เขาจึงเอ่ยตอบ “ผู้ที่ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้ไปรับรองข้าหลวงซุนกลับจากอวิ๋นหนานนั้นมีอยู่สองคนที่เป็นคนจากห้ากองกำลังรักษาเมืองของข้า พวกเขาเร่งรีบเดินทางไปอวิ๋นหนานตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เพียงแต่มีหิมะตกหนักจนปิดทาง ขวางการเดินทางของพวกเขาเอาไว้จนไปต่อไม่ได้ เมื่อสองวันก่อนพวกเขาสองคนเพิ่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งกลับมาพอดี บอกว่าไปถึงอวิ๋นหนานและรับครอบครัวรองข้าหลวงซุนมาแล้ว ทว่ารองข้าหลวงซุนมีโรคภัยรุมเร้ายังไม่หายดี เขาผู้สูงอายุจะเดินทางทั้งที่ร่างกายเจ็บป่วยได้อย่างไร ทำได้เพียงอยู่รักษาตัวไปก่อน รอจนหายป่วยแล้วก็ค่อยออกเดินทางกลับเมืองหลวงอีกที เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าอย่างเร็วสุดต้องรอจนถึงเดือนสี่เดือนห้าจึงจะกลับมาถึงเมืองหลวงกระมัง”

หลี่หลิงเยี่ยนผงกศีรษะโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

เดิมทีนางคิดว่าพวกท่านตาน่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงตั้งแต่หลังปีใหม่ ถึงยามนั้นนางจะต้องติดตามซุนหลันอีไปพบท่านตาอย่างแน่นอน หากภายหลังตำแหน่งขุนนางของท่านตาเลื่อนสูงขึ้นไปอีก เขาจะต้องไม่มีทางยอมให้บุตรสาวของตนเองไปเป็นอนุผู้อื่นแน่ๆ คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ท่านตากลับมาป่วยเสียได้ ถึงกับต้องรอถึงเดือนสี่เดือนห้า หรืออาจช้ากว่านี้กว่าจะกลับมาถึงเมืองหลวง

ในใจหลี่หลิงเยี่ยนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่นางจะได้ยินเหลียงเฟิงอวี่เอ่ยถาม “เหตุใดคุณหนูหลี่ถึงได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้กันเล่า”

“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าได้ยินสาวใช้บางคนพูดเรื่องท่านป้าสะใภ้ใหญ่คนก่อนขึ้นมาเจ้าค่ะ พอคิดว่าปีนั้นหากมิใช่เพราะมีคดีใส่ร้ายเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ผู้นั้นก็คงไม่ต้องจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งครอบครัวก็คงไม่ต้องตายทั้งหมด หลังจากนั้นยังมีคดีของรองข้าหลวงซุนเกิดขึ้นมาอีก ประจวบเหมาะที่ฝ่าบาททรงกลับคำตัดสินคดีเหล่านี้พอดี ในใจนึกโศกเศร้าอยู่หลายส่วนจึงได้ถามขึ้นมาเท่านั้นเจ้าค่ะ”

เหลียงเฟิงอวี่ได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจ “คุณหนูหลี่ช่างมีจิตใจดีงามมากจริงๆ”

หลี่หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นอ่อนหวาน

เหลียงเฟิงอวี่ผู้นี้แม้มองดูแล้วหาใช่คนฉลาดเฉลียวมากมายอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นซื่อจื่อของจวนก่วงผิงโหว ในอนาคตย่อมสืบทอดบรรดาศักดิ์นี้ อีกทั้งตอนนี้เขายังรับตำแหน่งอยู่ในห้ากองกำลังรักษาเมืองอีกด้วย มีบิดาก่วงผิงโหวของเขาเป็นตัวกลางคอยช่วยเหลือ หน้าที่การงานในวันหน้าของเขาย่อมไม่แย่อย่างแน่นอน

ก่วงผิงโหว…หากแต่งให้กับเขาได้ เช่นนั้นก็จะได้เป็นฮูหยินท่านโหวแล้ว ยามออกไปข้างนอกมีผู้ใดบ้างที่จะไม่นอบน้อมเล่า

คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงเยี่ยนจึงหันตัวกลับไปหยิบกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งมาจากมือชิงถง นางยื่นมือไปข้างหน้า เอียงศีรษะน้อยๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ดอกเหมยงามสง่าเหมาะกับเหลียงซื่อจื่อเป็นที่สุด หลิงเยี่ยนหาญกล้าขอเหลียงซื่อจื่อได้โปรดรับกิ่งเหมยกิ่งนี้เอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”

เหลียงเฟิงอวี่อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้ามองนาง

เด็กสาวแก้มแดงระเรื่อ ขนตาดำยาวราวขนกาหลุบลงน้อยๆ ทั้งยังสั่นไหวเบาๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ช่างชวนให้ผู้คนเห็นแล้วนึกอยากทะนุถนอมขึ้นมาเสียจริง

ผ่านไปครู่หนึ่งเหลียงเฟิงอวี่ก็ยื่นมือออกไปรับกิ่งเหมยที่หลี่หลิงเยี่ยนยื่นมาให้ พอเห็นว่าในมือสาวใช้คนนั้นยังถือกิ่งเหมยอยู่อีกกิ่ง เขาจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนูหลี่ กิ่งเหมยอีกกิ่งจะมอบให้น้องหว่านใช่หรือไม่”

หลี่หลิงเยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นจึงนึกคำตอบไม่ทันในทันที เงยหน้ามองเขาอย่างงุนงงชั่วครู่ แต่ชั่วพริบตานางก็เข้าใจความหมายของเขา นางรีบยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็อยากจะเด็ดกิ่งเหมยส่งไปให้น้องสี่ปักแจกันอยู่แล้ว”

เหลียงเฟิงอวี่ได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะก่อนเอ่ยต่อ “ข้าเคยได้ยินจือหลันบอกว่าน้องหว่านชอบใช้แจกันเคลือบสีขาวคอสูงมาปักดอกเหมยที่สุด โดยเฉพาะดอกเหมยสีแดงเช่นนี้ เพราะแจกันคอสูงจะช่วยแสดงความงดงามของดอกเหมยออกมาได้เด่นชัดยิ่งกว่าเดิม รอประเดี๋ยวคุณหนูหลี่ส่งกิ่งเหมยแดงไปให้น้องหว่านแล้ว คาดว่านางจะยังป่วยอยู่ คงไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ขอให้คุณหนูหลี่เตือนสาวใช้ของนางสักคำหนึ่ง ให้พวกนางหาแจกันเคลือบสีขาวคอสูงออกมาด้วย”

มือที่บีบผ้าเช็ดหน้าของหลี่หลิงเยี่ยนสั่นขึ้นมาน้อยๆ ทั้งลอบกัดฟันกรอด ทว่าบนใบหน้ายังคงยิ้มอย่างอ่อนหวาน “เหลียงซื่อจื่อช่างใส่ใจนัก”

ทว่าเหลียงเฟิงอวี่กลับไม่รู้ถึงความรู้สึกของหลี่หลิงเยี่ยน ยังคงเอ่ยกำชับต่ออีกประโยค “ขอให้คุณหนูหลี่อย่าได้ลืมเรื่องนี้เป็นอันขาด”

หลี่หลิงเยี่ยนกัดฟันจนแทบจะหักอยู่แล้ว ทว่าฉากหน้ายังคงยิ้มแย้มผงกศีรษะ “ข้าจำได้แล้ว ขอให้เหลียงซื่อจื่อวางใจได้เจ้าค่ะ”

ในยามนั้นเหลียงเฟิงอวี่ก็ก้มหน้ามองกิ่งเหมยในมือตนเอง หลังลังเลอยู่สักพักเขาก็ยื่นมือออกไป “น้องหว่านชื่นชอบดอกเหมยยิ่งนัก แม้กิ่งเหมยกิ่งนี้คุณหนูหลี่จะมอบให้ข้า แต่ตอนนี้ข้าขอยืมดอกไม้ถวายพระ ทั้งยังต้องรบกวนให้คุณหนูหลี่นำมันไปมอบให้น้องหว่านด้วย บอกว่าข้าเป็นคนมอบให้นาง ดีหรือไม่”

ยามนี้หัวใจของหลี่หลิงเยี่ยนกรุ่นโกรธจนสั่นระริกไปหมดแล้ว แต่รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้ากลับไม่อาจหดหาย นางยังคงผงกศีรษะตอบรับ “เจ้าค่ะ ข้าจะต้องนำกิ่งเหมยกิ่งนี้ไปมอบให้ถึงมือน้องสี่แน่นอน”

เหลียงเฟิงอวี่ขอบคุณหลี่หลิงเยี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะติดตามสาวใช้ผู้นั้นจากไป และเดินไปยังประตูใหญ่ของจวนสกุลหลี่

ส่วนทางด้านนี้ชิงถงเห็นคุณหนูของตนเองเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม หลังครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู พวกเราจะส่งกิ่งเหมยกิ่งนี้ไปให้คุณหนูสี่หรือไม่เจ้าคะ”

ในใจชิงถงเองก็สงสัยเช่นกัน ก่อนหน้านี้คุณหนูเพียงพูดว่าจะมาเดินเล่นในสวนดอกไม้แห่งนี้ ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าต้องการไปหาคุณหนูสี่ทางด้านนั้น เหตุใดเมื่อครู่กลับพูดขึ้นมาว่าจะไปอย่างกะทันหันเสียได้เล่า

เดิมทีหลี่หลิงเยี่ยนก็โกรธจนหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่แล้ว จู่ๆ มาได้ยินประโยคนี้จากชิงถงอีก ชั่วขณะนั้นในใจนางยิ่งโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม ปลายหางตาเหลือบไปเห็นกิ่งเหมยกิ่งนั้นในมือชิงถง นางยิ่งมองมีแต่จะยิ่งรู้สึกขัดตา จึงเอื้อมมือไปแย่งกิ่งเหมยมา ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นไปพร้อมกับกิ่งเหมยที่อยู่ในมือตนเองกิ่งนั้นเสียเลย ทั้งยังเหยียบย่ำอย่างรุนแรงอีกสองครั้ง มองดูกิ่งเหมยที่ถูกนางเหยียบจนเละเทะแล้วถึงค่อยสลายความหงุดหงิดในใจนางไปได้บ้าง

จากนั้นหลี่หลิงเยี่ยนก็ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงหมุนตัวเดินกลับไปยังเรือนเจียนจยาของตนเองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ชิงถงเองก็รีบร้อนติดตามไปเช่นกัน

 

หลี่เหวยหยวนเข้ามาในเรือนอี๋เหอแล้วก็ได้เห็นเสี่ยวซานเลิกผ้าม่านเดินออกมา ในมือถืออ่างทองแดง ภายในนั้นบรรจุน้ำอยู่

เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวน เสี่ยวซานก็รีบย่อกายคารวะเขาพร้อมส่งเสียงเรียก “คุณชายใหญ่”

หลี่เหวยหยวนผงกศีรษะให้นางก่อนจะเอ่ยถาม “คุณหนูของพวกเจ้าตื่นแล้วหรือ”

“เพิ่งตื่นเจ้าค่ะ” เสี่ยวซานก้มหน้าตอบคำถาม “ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวอวี้กำลังหวีผมให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

“เมื่อคืนคุณหนูของพวกเจ้านอนหลับสนิทดีหรือไม่ ยังฝันร้ายหรือเปล่า ตื่นขึ้นมาทั้งหมดกี่ครั้ง แล้วร้องไห้บ้างหรือไม่”

เสี่ยวซานตอบกลับทีละคำถามอย่างตั้งใจ “เมื่อคืนคุณหนูตื่นขึ้นมาทั้งหมดสามครั้ง ทุกครั้งจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับร้องไห้ บ่าวกับเสี่ยวอวี้อยู่ด้านข้างคอยปลอบประโลม คุณหนูจึงสงบลงได้อย่างช้าๆ หลังยามโฉ่ว คุณหนูก็ค่อยๆ หลับสนิทไปในที่สุด หลับไปจนกระทั่งเมื่อครู่ถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา ระหว่างนั้นไม่มีร้องไห้ขึ้นมาอีกเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนถึงค่อยวางใจได้เสียที เขาขยับเท้าก้าวเข้าไปในห้องเพื่อจะเยี่ยมหลี่หลิงหว่าน ส่วนเสี่ยวซานก็ไปเทน้ำในอ่างทองแดงทิ้ง

หลี่หลิงหว่านที่อยู่ในห้องได้ยินคำพูดซึ่งหลี่เหวยหยวนถามเสี่ยวซานทั้งหมดแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเลิกม่านดังขึ้น นางจึงหันหน้ากลับมา มองหลี่เหวยหยวนแล้วยิ้มเอ่ย “พี่ชาย เสี่ยวซานเกือบถูกคำถามชุดนี้ของพี่ถามจนโง่งมแล้ว”

ความหมายโดยนัยคือการหยอกเย้าเขาว่าเหตุใดจึงมีคำถามมากมายเช่นนี้

แม้วันนี้ในห้องจะมีแสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามา แต่นางเพิ่งจะหายป่วยหนักมา ย่อมยังรู้สึกหนาวง่ายอยู่ ดังนั้นจึงยังสวมเสื้อยาวคอตั้งกระดุมผ่าหน้าสีแดงดอกไห่ถัง บริเวณปกและข้อมือกุ๊นด้วยขนสัตว์ สีร้อนแรงเช่นนี้หากนางสวมใส่ในยามปกติจะต้องดูงดงามจับตาอย่างแน่นอน ทว่ายามนี้ร่างกายของนางกลับอ่อนแอยิ่ง สวมชุดสีแดงดอกไห่ถังเช่นนี้จึงยิ่งขับสีหน้าซีดขาวของนางให้เด่นชัดมากขึ้น

หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วในใจก็ยิ่งรู้สึกสงสารนางขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนโยนกว่าปกติมาก “มิใช่เพราะพี่ชายเป็นห่วงเจ้าหรอกหรือ”

หลี่หลิงหว่านยิ้มแย้มก่อนเชิญเขานั่งลงบนตั่งไม้ริมหน้าต่าง “พี่ชายนั่งลงก่อน รอข้าหวีผมให้เสร็จก่อนนะเจ้าคะ”

ตอนนี้นางป่วยอยู่ ยังไม่คิดจะออกจากห้อง ดังนั้นจึงให้เสี่ยวอวี้เกล้ามวยผมทรงทั่วไปให้เท่านั้น กระทั่งเครื่องประดับนางยังไม่สวมใส่สักชิ้น เผยเพียงเรือนผมยาวสีดำขลับ รอจนหวีผมเสร็จแล้วนางก็จับมือเสี่ยวอวี้ไว้ก่อนจะกระโดดขาเดียวไปนั่งบนตั่งไม้ เสี่ยวอวี้หยิบกล่องอาหารที่เมื่อครู่สาวใช้เพิ่งนำมาให้มาเปิดฝาออก แล้วเริ่มจัดวางลงบนโต๊ะเล็ก

หลี่หลิงหว่านเพิ่งจะหายป่วย สำรับอาหารที่ส่งมาย่อมไม่อาจเป็นของที่มันเลี่ยนเกินไปนัก อาหารจึงเป็นแค่ข้าวต้มเปล่าชามหนึ่งกับกับข้าวที่เน้นผักไม่กี่อย่างและขนมบ๊วยจานหนึ่งเท่านั้น

หลี่หลิงหว่านกินขนมบ๊วยไปหนึ่งชิ้น พอรู้สึกว่าอร่อยนางก็เงยหน้ายิ้มเอ่ยกับหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ขนมบ๊วยนี่เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก พี่อยากกินหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เหวยหยวนยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญ เขาจึงหยิบขนมบ๊วยขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง ทว่าสายตายังคงมองข้อเท้าขวาของนางอย่างกังวลก่อนเอ่ยถาม “เจ้ายังปวดข้อเท้าขวาอยู่หรือไม่”

คืนนั้นด้วยความลนลานหลี่หลิงหว่านถึงกับข้อเท้าขวาแพลง เดิมทียังคิดไปว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คิดไม่ถึงว่าหลังกลับมาแล้วจะพบว่าบริเวณข้อเท้าขวาของนางบวมเป่ง เมื่อครู่เวลาที่นางเดินก็ต้องกระโดดขาซ้ายขาเดียว เกรงว่าข้อเท้าขวาของนางจะยังไม่หายดี

หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็มองดูข้อเท้าขวาของตนเองคราหนึ่งเช่นกัน จากนั้นจึงยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่ายังมีอาการปวดอยู่บ้าง แต่อีกไม่กี่วันก็ต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

ขณะที่พูด เสี่ยวซานก็ถือยาแก้ฟกช้ำมาเพื่อนวดข้อเท้าให้คุณหนูของตน เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านยังกินอาหารอยู่ นางจึงถือยาแก้ฟกช้ำไปยืนรวบมืออยู่ด้านข้าง รอให้หลี่หลิงหว่านกินอาหารเสร็จก่อนแล้วค่อยไปนวดให้

แต่หลี่เหวยหยวนทนความอยากรู้ของตนเองไม่ไหวแล้ว เขาอยากเห็นว่าตอนนี้อาการที่ข้อเท้าขวาของหลี่หลิงหว่านเป็นอย่างไรบ้าง เขาจึงยื่นมือไปหาเสี่ยวซาน “เอายาแก้ฟกช้ำมาให้ข้า”

เขาอยากทายาแก้ฟกช้ำและนวดข้อเท้าให้หลี่หลิงหว่านด้วยตนเอง

ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่หน้าบางคนหนึ่ง แม้ฉากหน้านางกับหลี่เหวยหยวนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ยามนี้หากให้มาถอดถุงเท้าต่อหน้าเขา ทั้งให้เขานวดข้อเท้าให้ตนเองเช่นนี้ นางก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง นางจึงรีบร้อนชักเท้าขวาไปข้างหลังพร้อมกับยิ้มกว้างเอ่ย “ไม่ต้องรบกวนพี่ชายหรอกเจ้าค่ะ รอสักพักให้เสี่ยวซานช่วยนวดให้ข้าก็พอแล้ว”

หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองนางคราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มตัวลงจับข้อเท้าขวาของนางมาวางบนต้นขาตนเองทันที ทั้งยังยื่นมือออกไปถอดถุงเท้าให้นางด้วย

เท้าของหลี่หลิงหว่านขาวกระจ่างดุจหิมะ ปลายเล็บสีชมพูอ่อนราวกับกลีบดอกไม้เล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น สัมผัสที่มือยิ่งอ่อนนุ่มเนียนลื่น เพียงแต่ยามนี้ข้อเท้าของนางทั้งแดงทั้งบวม หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วความรู้สึกรักถนอมพลันผุดขึ้นมาทันที

หลี่เหวยหยวนสัมผัสได้ว่าหลี่หลิงหว่านอยากจะชักเท้าตนเองกลับ เขากลัวว่าจะเผลอทำร้ายข้อเท้าที่แพลงของนางเข้าจึงรีบยื่นมือออกไปจับฝ่าเท้าของนางไว้แผ่วเบา จากนั้นก็เงยหน้ามองนางพลางเอ่ยเสียงต่ำออกมา “อย่าขยับ”

หลี่หลิงหว่านรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่นางก็คิดอีกมุมหนึ่งว่ายามนี้หลี่เหวยหยวนเห็นนางเป็นน้องสาว เขาย่อมไม่คิดหลีกเลี่ยงอะไรมากมาย หากตนเองยังเอาแต่ปฏิเสธต่อไป มีแต่จะทำให้ดูไม่ค่อยมีเหตุผลแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้เขานวดข้อเท้านางไปเสียเลย

คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็ไม่ขัดขืนอีก ทั้งยังยืดเท้าออกไปอย่างใจกว้าง ปากก็เอ่ยว่า “พี่ชาย เช่นนั้นพี่ก็ต้องนวดดีๆ หากนวดดีข้าจะให้ขนมบ๊วยหนึ่งชิ้นเป็นรางวัล หากนวดไม่ดีพี่ก็จะต้องโดนโบยแล้ว”

ตอนที่หลี่หลิงหว่านพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของนางก็ฉอเลาะออดอ้อนยิ่งนัก ในดวงตายิ่งเต็มไปด้วยความซุกซน หลี่เหวยหยวนมองแล้วแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปกัดริมฝีปากนางแรงๆ สักคราหนึ่ง

ยามนั้นเขากดข่มความคิดว่อกแว่กในใจตนเองลงไปอย่างยากลำบาก ต่อมาจึงป้ายยาแก้ฟกช้ำนำไปทาที่ข้อเท้าขวาของหลี่หลิงหว่านให้อย่างอ่อนโยน

ผิวบริเวณที่ฝ่ามือสัมผัสนั้นอ่อนนุ่ม แม้แต่ผ้าแพรหรือผ้าไหมชั้นเลิศยังเทียบไม่ได้ กระนั้นในใจหลี่เหวยหยวนยามนี้กลับไม่กล้ามีความคิดว่อกแว่กแม้แต่นิดเดียว ทางหนึ่งเขาเกรงว่าเรี่ยวแรงตนเองจะเบาเกินไป นวดไปก็เทียบได้กับไม่นวด แต่อีกทางเขาก็กังวลว่าเรี่ยวแรงตนเองจะหนักเกินไป กระทั่งอาจทำให้หลี่หลิงหว่านเจ็บ หลี่เหวยหยวนจึงออกแรงที่ฝ่ามือเบาๆ ก่อน ขณะที่นวดไปอย่างช้าๆ ก็เอ่ยถามหลี่หลิงหว่านด้วยว่า “หว่านวาน เจ็บหรือไม่”

หลี่หลิงหว่านส่ายศีรษะ “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ พี่ชาย พี่ออกแรงมากกว่านี้อีกหน่อยก็ได้”

หลี่เหวยหยวนจึงออกแรงมากกว่าเดิม ขณะที่นวดก็คอยสอบถามความรู้สึกของหลี่หลิงหว่านไปด้วย เพื่อที่ตนเองจะได้ควบคุมแรงนวดที่ดีที่สุดเอาไว้

สุดท้ายเขาก็หาเรี่ยวแรงที่เหมาะสมที่สุดพบ จึงใช้ฝ่ามือที่ถูกถูจนร้อนจากตัวยานวดข้อเท้าให้นางด้วยเรี่ยวแรงเท่านี้

เรี่ยวแรงนี้นับว่าดีเกินไปแล้วจริงๆ ไม่หนักไม่เบาเกินไป ภายหลังหลี่หลิงหว่านยังรู้สึกสบายเสียจนสีหน้าผ่อนคลายเกียจคร้าน กระทั่งดวงตายังปรือลงน้อยๆ ราวกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังอาบไล้แสงแดดของฤดูหนาว

หลี่เหวยหยวนเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ชั่วขณะนั้นในใจก็รู้สึกอ่อนยวบ ไม่ว่าเขาจะรักถนอมนางเท่าไรก็ยังไม่เพียงพอจริงๆ

นวดไปได้พอสมควรแล้วหลี่เหวยหยวนก็สวมถุงเท้าให้หลี่หลิงหว่านอย่างใส่ใจ เขาเงยหน้ามองนางแล้วยิ้มเอ่ย “หว่านวานจะตกรางวัลเป็นขนมบ๊วยให้พี่ชายหรือว่าจะโบยพี่ชายเล่า”

ความหมายโดยนัยคือการสอบถามว่าตนเองนวดได้ดีหรือไม่

ต่อให้หลี่หลิงหว่านหน้าหนาเพียงใด ทว่ายามนี้นางก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้

หลี่หลิงหว่านกัดริมฝีปากโดยไม่ยอมตอบกลับ แล้วก็ไม่กล้ามองหลี่เหวยหยวนด้วยเช่นกัน นางเพียงยื่นมือออกไปผลักจานขนมบ๊วยบนโต๊ะไปทางหลี่เหวยหยวน “นี่…ให้พี่”

หลี่เหวยหยวนมองใบหน้าเขินอายของนางแล้วในอกพลันร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ เขาเองก็ไม่กล้าหยอกเย้านางอีก เพียงหันหน้ามองไปยังแสงอาทิตย์สดใสภายนอกห้องแล้วเอ่ยถามนาง “หว่านวาน อยากจะออกไปรับแดดข้างนอกบ้างหรือไม่”

หลี่หลิงหว่านเองก็หันมองออกไปที่นอกหน้าต่างเช่นกัน

นางป่วยคราวนี้นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายวันนัก ในใจก็อยากจะออกจากห้องไปเดินเล่นเช่นกัน ทั้งหาได้ยากยิ่งที่อากาศหนาวๆ จะมีแสงแดดดีขนาดนี้ เหตุใดจะต้องเลือกซ่อนตัวอยู่ในห้องแทนการออกไปรับแดดข้างนอกด้วยเล่า หลี่หลิงหว่านจึงผงกศีรษะแล้วเอ่ยอย่างมีความสุข “ไปสิเจ้าคะ”

หลี่เหวยหยวนยิ้มน้อยๆ จากนั้นเขาก็เรียกให้เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้เข้ามา สั่งให้พวกนางสองคนย้ายตั่งเตี้ยตัวหนึ่งไปยังลานเรือนในตำแหน่งที่มีแสงแดดแต่ไม่ถูกลมพัดกระทบโดยตรง นอกจากนี้ยังให้วางเบาะผ้าฝ้ายหนาๆ ไว้บนตั่งเตี้ยด้วย

เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้รับคำก่อนจะรีบหมุนตัวไปจัดการ รอจนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามารายงานหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่าน

หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็เรียกให้เสี่ยวซานเข้ามาประคองนางลุกขึ้น นางจะได้กระโดดขาเดียวไปจนถึงลานเรือนด้านนอกได้

หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านตั้งใจจะกระโดดขาเดียวไปที่ลานเรือนจึงเอ่ย “ข้าเพิ่งจะนวดข้อเท้าขวาของเจ้าไปได้เพียงครู่เดียว เจ้าอย่าได้กระโดดไม่ระวัง หากเผลอบาดเจ็บเพิ่มขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะไม่เป็นการนวดยาไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ เจ้ามีพี่ชายอยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังจำเป็นต้องลำบากกระโดดไปอีกทำไม”

กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะโน้มตัวลงอุ้มนางขึ้นมา

หลี่หลิงหว่านไม่ทันระวังว่าหลี่เหวยหยวนจะกระทำเช่นนี้ ราวกับฟ้าดินพลันหมุนตลบไปคราหนึ่ง ตัวนางก็อยู่กลางอากาศแล้ว นางตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปากยังส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมา

หลี่เหวยหยวนก้มหน้ามองนางยิ้มๆ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ “หว่านวาน กลัวอะไรกันเล่า กลัวว่าพี่ชายจะทำเจ้าหล่นหรือไร” ทั้งยังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำกว่าเดิมว่า “หว่านวาน เด็กดี ยื่นมือมาโอบรอบคอพี่ชายสิ”

ตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้ถึงเพียงนี้ ยามที่เขาเอ่ยวาจา ลมหายใจก็จะเป่ากระทบบนแก้มและใบหูของนาง หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าปลายจมูกได้กลิ่นของเขา ใบหน้านางจึงยิ่งร้อนผ่าว

ทว่าสุดท้ายยังคงขัดคำพูดของเขาไม่ได้อยู่ดี นางยื่นสองมือออกไปโอบรอบคอเขาอย่างสั่นเทา ใบหน้าแดงก่ำจนไม่กล้าเงยมองเขา ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกประหลาดใจด้วย

แม้ปกติหลี่เหวยหยวนจะปฏิบัติต่อนางดียิ่ง ทั้งยังคอยอยู่ใกล้ชิด แต่นางก็ยังสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนพฤติกรรมใกล้ชิดที่หลี่เหวยหยวนปฏิบัติต่อนางนั้นยังมีการควบคุมอยู่บ้าง ทว่ายามนี้เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนไม่คิดควบคุมเลยแม้แต่น้อยเล่า ราวกับมีบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ทว่าชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านกลับนึกไม่ออกว่ามีสิ่งใดที่เปลี่ยนไป

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

Jamsai Editor: