บทที่ 77
แววตาที่เฉิงอวี๋จิ่นมองหลินชิงหย่วนราวกับมองเนื้อติดมันชิ้นหนึ่ง นางรู้ตัวว่าแววตาของตนเองชัดเจนเกินไปแล้ว จึงรีบก้มหน้ากระแอม แล้วพูดว่า “ข้าเสียมารยาท ทำให้พี่หลินเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
หลินชิงหย่วนได้ยินคำพูดของเฉิงอวี๋จิ่นที่ว่า ‘จะไม่ถึงขั้นนั้นได้อย่างไร’ นั้นแล้ว หน้าก็แดงขึ้นมา เขาไม่กล้ามองเฉิงอวี๋จิ่น ดวงตาหลุบลงเลื่อนไปมาที่พื้น ได้ยินเฉิงอวี๋จิ่นพูด จึงรีบโบกมือพูดว่า “ไม่เลยๆ ข้าไม่ควรพูดคำเหล่านี้กับคุณหนูใหญ่เฉิงต่างหาก ล่วงเกินเจ้าแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หลินเกรงใจเกินไปแล้ว คำพูดเหล่านี้ไม่มีใครเคยพูดกับข้ามาก่อน พี่หลินยินดีเชื่อใจข้า พูดคำเหล่านี้กับข้า ข้าดีใจยังไม่ทันเลย จะเป็นการล่วงเกินได้อย่างไร”
หลินชิงหย่วนตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเฉิงอวี๋จิ่น “คุณหนูใหญ่เฉิง…”
“พี่หลินมีความจริงใจต่อภรรยาในอนาคต คิดเผื่อนางทุกอย่าง ว่าที่หลินฮูหยินเป็นคนโชคดีมากที่สุดในใต้หล้าจริงๆ” เฉิงอวี๋จิ่นถอนหายใจ ดูแล้วกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง “ถึงแม้ข้าจะเป็นบุตรสาวคนโต แต่ทุกคนต่างรู้ว่าข้าเป็นบุตรสาวที่รับมาเลี้ยง หลายปีมานี้แม้จะไม่กังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร แต่กลับไม่อาจเข้ากับท่านแม่ได้อย่างสนิทใจ ส่วนทางอาสะใภ้รองก็มีน้องหญิงรองอยู่แล้วจึงไม่ต้องการข้า ข้ามักจะคิดบ่อยครั้งว่าไม่มีที่ให้ไป อย่างเช่นวันนี้น้องหญิงรองกลับมาบ้านเดิม ทุกคนต่างล้อมพูดคุยอยู่ข้างกายนาง ข้าเคยถูกถอนหมั้น ไม่เหมาะจะอยู่นาน จึงลอบถอยออกมา โชคดีระหว่างทางได้เจอกับพี่หลิน ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใด”
หลินชิงหย่วนจะเคยเจอยุทธวิธีเช่นนี้ได้อย่างไร เขาตะลึงไปในทันที หญิงสาวตรงหน้างดงามสงบนิ่ง ก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่นางแสดงให้ทุกคนเห็นตลอดมาล้วนเป็นความฉลาด ใจกว้าง เข้าใจจิตใจผู้อื่นได้อย่างดี ผู้ใดจะรู้ว่านางก็มีเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้เหมือนกัน
หัวใจของหลินชิงหย่วนแหลกเป็นชิ้นๆ ในทันที มีความสงสารและรู้สึกหวั่นไหว เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดดังจึงปลอบเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่เฉิงไม่จำเป็นต้องดูถูกตนเองเกินไป เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ไม่ว่าจะนายหญิงใหญ่หรือนายหญิงรองสกุลเฉิง พวกนางมีบุตรสาวที่โดดเด่นอย่างเจ้าได้ ต้องรู้สึกสบายใจมากแน่นอน เพียงแค่พวกนางไม่ได้บอกเจ้าเท่านั้น”
เฉิงอวี๋จิ่นอมยิ้มส่ายหน้า แม้จะยิ้มอยู่ แต่ท่าทางของนางกลับทำให้คนรู้สึกสงสาร ดวงตาของเฉิงอวี๋จิ่นมองไปข้างนอก พูดว่า “พี่หลินไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก ชีวิตก็เหมือนคนดื่มน้ำ ร้อนหนาวมีตนเองที่รู้ ข้าเข้าใจดี ข้าก็แค่อิจฉาสตรีที่ถูกคนรอคอย ถูกคนจัดวางไว้อย่างเหมาะสมเหล่านั้น น้องหญิงรองน่าสงสารมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายนางไม่แข็งแรง มักจะป่วยกระเสาะกระแสะ คนในบ้านต่างดูแลนางอย่างระวัง ถ้าไม่ใช่เพราะยามอยู่ในครรภ์ข้าแย่งสารอาหารของน้อง บางทีน้องหญิงรองอาจจะไม่ป่วยตั้งแต่เด็กก็ได้”
หลินชิงหย่วนทนฟังต่อไปไม่ไหว ผู้ดีไม่พูดวิจารณ์คนอื่น แต่ผู้อาวุโสสกุลเฉิงมีคุณธรรมเป็นเช่นนี้หรือ ลูกคลอดออกมาร่างกายดีแย่ล้วนเป็นเรื่องก่อนเกิดแล้ว เอาเรื่องร่างกายอ่อนแอขี้โรคของคุณหนูรองไปโทษคุณหนูใหญ่ด้วยเหตุใดกัน
หลินชิงหย่วนไม่พอใจ มองสตรีตรงหน้าแล้วรู้สึกสงสารยิ่งขึ้น “คุณหนูใหญ่เฉิง นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักนิด ที่คุณหนูรองร่างกายอ่อนแอนั้นน่าเสียดายก็จริง แต่เจ้าก็เป็นแค่เด็กเช่นกัน เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะเบาๆ บนใบหน้าซีดขาวอ่อนแรงอย่างปิดไม่อยู่ “ขอบคุณพี่หลิน ตอนเด็กข้ารู้สึกหวาดหวั่น กลัวว่าตนเองทำอะไรผิดอีกจะทำให้น้องหญิงรองป่วย แต่พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยใส่ใจอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้น้องหญิงรองแต่งงานกับคนในดวงใจ จิ้งหย่งโหวมีใจเดียวต่อนาง โอบอุ้มราวของล้ำค่า นับว่าได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว ทำดีได้ดี”
หลินชิงหย่วนฟังแล้วเศร้าใจ ความทรงจำของเขาไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร จู่ๆ ก็ดีขึ้นมาเป็นพิเศษ หลินชิงหย่วนนึกขึ้นได้แทบจะในทันทีว่าจิ้งหย่งโหวเดิมทีเป็นคู่หมั้นของเฉิงอวี๋จิ่น
นี่…คู่หมั้นแต่เดิมไปแต่งงานกับน้องสาว ยังโอนอ่อนผ่อนตามน้องสาวอีกด้วย มิน่าเล่าเฉิงอวี๋จิ่นจึงทนอยู่ในโถงหลักต่อไปไม่ไหว ลอบหนีออกมา หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้เช่นกัน
หลินชิงหย่วนรู้สึกว่าการกระทำของคนสกุลเฉิงไม่เหมาะสม นี่นับว่าไม่เหมาะอย่างที่สุด คุณหนูใหญ่เฉิงฉลาดรู้ความเช่นนี้ หากอยู่ในสกุลหลินต้องเป็นของล้ำค่าในฝ่ามือของคนทั้งบ้านแน่นอน จะพูดว่าเป็นดาวล้อมเดือนก็ไม่เกินไป แต่พอมาอยู่ในจวนสกุลเฉิงกลับต้องแบกรับความผิดที่ไม่ใช่ของนางไว้ตั้งแต่เด็ก โตแล้วยังต้องหลีกทางเรื่องการแต่งงานให้น้องสาว ตอนนี้น้องสาว อดีตคู่หมั้น และคนในครอบครัวกำลังมีความสุขเบิกบานใจ เฉิงอวี๋จิ่นยังต้องหลบเลี่ยงออกมาเองอีก หลินชิงหย่วนรู้สึกโกรธไม่เบา อยากดึงตัวเฉิงอวี๋จิ่นมาอยู่ในครอบครัวของเขาเสียเลย จะได้ไม่ต้องรองรับอารมณ์กับเรื่องไร้สาระเช่นนี้
หลินชิงหย่วนลอบตกใจในทันใด ดึงตัวเฉิงอวี๋จิ่นมาอยู่ในครอบครัวของข้าหรือ
เฉิงอวี๋จิ่นพูดต่อไปว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ยึดติดอะไรในตัวจิ้งหย่งโหว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว ในเมื่อน้องหญิงรองชอบเขา เขาก็ชอบน้องหญิงรองเช่นกัน เช่นนั้นให้คนที่มีใจต่อกันได้ครองคู่กันจึงจะเป็นเรื่องดีที่สุด ข้าขวางอยู่ตรงกลางจะนับเป็นตัวอันใดได้เล่า สามารถเชื่อมวาสนาให้ผู้อื่นได้ก็ดีมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าหนทางข้างหน้าของข้าคงเดินได้ค่อนข้างลำบาก”
หลินชิงหย่วนถูกความคิดที่เกินขอบเขตของตนทำให้ตกใจจนเกร็งไปทั้งร่าง ตอนนี้หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย เลือดสูบฉีดไวอย่างไม่น่าเชื่อ เขารู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทมากเกินไปแล้ว เหตุใดจึงเกิดความคิดล่วงเกินคุณหนูใหญ่เฉิงเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ความคิดมักจะไม่เดินตามสติสัมปชัญญะ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น หลินชิงหย่วนกลับไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป
เขาคิดไม่หยุดว่ามารดาเคยเร่งรัดเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมาหลายครั้งให้เขารีบมีครอบครัว ส่วนบิดาแม้จะไม่ได้พูดตามตรง แต่ก็ปรารถนาจะให้เขาแต่งภรรยามีบุตรเสียที บิดามารดาของเขาต่างมาจากตระกูลบัณฑิต ชอบสตรีที่มีความรู้มีเหตุผล อ่อนโยนใจกว้างที่สุด จวนอี๋ชุนโหวแม้จะไม่ใช่ตระกูลบัณฑิต แต่คุณหนูใหญ่เฉิงมีความรู้เต็มเปี่ยม นิสัยอ่อนโยน มารดาพบนางแล้วต้องชอบอย่างแน่นอน
หลินชิงหย่วนพบว่าตนเองยิ่งคิดยิ่งเลยเถิด เขารู้สึกสิ้นหวัง รีบสั่งให้ตนเองหยุดคิด ในเวลานี้เฉิงอวี๋จิ่นก็พูดขึ้นพอดี หลินชิงหย่วนจึงถามออกไปเหมือนเทพผีดลใจว่า “มีสิ่งใดให้เดินลำบากหรือ”
“เหตุใดจ้วงหยวนหลินจึงเลอะเลือนเสียแล้ว” เฉิงอวี๋จิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “ถูกถอนหมั้นครั้งหนึ่ง จะได้หมั้นหมายกับตระกูลที่ดีอีกได้อย่างไร ชาตินี้ข้าอยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่นั้นไม่เป็นไร แต่จะทำให้ตระกูลเดือดร้อนไม่ได้ ถ้าข้าอยู่ในจวนไปตลอด หลานชายหลานสาวในวันหน้าจะพูดทาบทามหมั้นหมายได้อย่างไร ดังนั้นท่านย่าจึงหาพ่อม่ายคนหนึ่งให้ข้า ภรรยาตายไปหนึ่งปี ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ท่านย่าบอกว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าข้า บุตรชายก็ไม่เด็กแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นภรรยาเอก สภาพการณ์ของข้าเป็นเช่นนี้ ถ้าเลือกต่อไปคงเป็นไม่ได้แม้แต่ภรรยาพ่อม่าย อีกอย่างอีกฝ่ายก็มีบุตรชายแล้ว ความกดดันของข้าก็ลดลงได้มาก ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ใช้ชีวิตอีกแห่งเท่านั้น”
หลินชิงหย่วนยิ่งฟังหัวคิ้วยิ่งขมวดแน่น อะไรนะ ต้องลำบากคุณหนูใหญ่ไปเป็นภรรยาใหม่ของพ่อม่ายด้วยหรือ อีกฝ่ายภรรยาตาย แม้แต่บุตรชายก็ไม่เด็กแล้ว นี่อายุต้องมากเพียงใดกัน หลินชิงหย่วนนึกภาพชายอายุสี่สิบห้าสิบปีพุงพลุ้ยตามสัญชาตญาณ หัวคิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น
เฉิงอวี๋จิ่นที่บังอาจทำลายภาพลักษณ์ของตี๋เหยียนหลินลับหลังเจ้าตัวไม่มีความกดดันในใจแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้พูดคำโกหก ตี๋เหยียนหลินอายุมากกว่านางจริง บุตรชายก็ไม่เด็ก อายุหกขวบแล้ว
หลินชิงหย่วนไม่รู้ว่า ‘พ่อม่าย’ ที่เฉิงอวี๋จิ่นพูดถึงคือไช่กั๋วกงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ย่อมไม่มีทางรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้แม้จะเป็นการแต่งภรรยาพ่อม่าย แท้จริงแล้วไม่ด้อยไปกว่าฮั่วฉางยวนเลย
เขาย่อมมีภาพฉากในบทละครที่ชายชราน่าเกลียดพยายามจะแต่งงานกับสตรีตกอับขึ้นมาเป็นธรรมดาจนทำให้ตนเองรู้สึกโกรธ หลินชิงหย่วนโกรธมาก รู้สึกถึงความไม่คุ้มค่าแทนเฉิงอวี๋จิ่น “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้าฉลาดเข้าอกเข้าใจคน มีความรู้มีเหตุผล ชายหนุ่มในโลกนี้ได้แต่งงานกับเจ้า ควรจะเป็นวาสนายิ่งใหญ่ บุรุษชราไร้ความสามารถ ได้แต่อาศัยบารมีรังแกคนอื่น จะเหมาะสมกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าได้รับการดูหมิ่นถึงขั้นนี้ ไร้เหตุผลสิ้นดีจริงๆ!”
หากไม่ใช่เพราะเฉิงอวี๋จิ่นบีบให้ตนเองต้องอยู่ในบทบาท นางก็เกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว คำพูดของหลินชิงหย่วนนี้ด่าได้ดี ตี๋เหยียนหลินคนเลวผู้นั้นสมควรถูกด่า เฉิงอวี๋จิ่นฟังแล้วมีความสุขอย่างยิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นกลั้นหัวเราะ แสดงภาพคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนมีมารยาท แต่ชะตาชีวิตเลวร้ายต่อไป แล้วพูดอย่างเศร้าใจว่า “แต่ข้าจะมีหนทางใดเล่า ท่านย่ากลัวอำนาจบารมีของเขา ไม่กล้าปฏิเสธ เขาก็ยิ่งบีบบังคับกัน ยังพูดอีกว่าสองวันให้หลังจะให้คนมาทาบทามสู่ขอที่จวน ข้าย่อมไม่ยินดีอยู่แล้ว แต่ข้าจะไม่สนใจสกุลเฉิงไม่ได้ ถ้าข้าโวยวายจะเป็นจะตาย ข้าตายแล้วก็หมดเรื่อง แต่ท่านพ่อท่านแม่คนในครอบครัวข้าจะทำอย่างไร”
หลินชิงหย่วนทั้งโกรธและสงสาร กำหมัดแน่นพลางถามว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง คนผู้นี้เป็นใครกัน บ้านเมืองสงบสุขเช่นนี้ จะปล่อยให้เขากระทำการป่าเถื่อนได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีกฎหมายบ้านเมืองอยู่”
เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้า ไม่ยอมพูดชื่อของอีกฝ่ายออกมา “พี่หลิน ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ท่านอย่าถามเลย ข้าจะหาเรื่องยุ่งยากมาให้ท่านไม่ได้”
หลินชิงหย่วนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เหมือนสูญพลังไปอย่างฉับพลัน เมื่อครู่เขาเลือดขึ้นหน้า พูดจาร้อนแรงอย่างมาก แต่เขาก็สงบสติลงได้อย่างรวดเร็ว หลินชิงหย่วนไม่ใช่ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักโลก การเติบโตท่ามกลางเหล่าขุนนางหลายปีมานี้ ได้ขัดเกลาความไร้เดียงสาเลือดร้อนของเขาไปหมดแล้ว ในเมืองหลวงมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน* น้ำนิ่งไหลลึก ต่อให้เป็นคุณชายในจวนกงหรือจวนโหวก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินคนอื่น ท่านย่าของเฉิงอวี๋จิ่นเป็นถึงฮูหยินผู้เฒ่าในจวนโหว เช่นนี้ยังถูกอีกฝ่ายบีบคั้นได้ เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นหกเล็กๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น จะเอาอะไรไปเรียกร้องความยุติธรรมให้เฉิงอวี๋จิ่นได้เล่า
หลินชิงหย่วนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามอย่างงุนงงว่า “ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มี” เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “อีกฝ่ายต่อให้มีบารมียิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถฝืนชิงตัวข้าได้ ถ้าข้าหมั้นหมายกับผู้อื่นแล้ว ต่อให้เขาเหิมเกริมเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าข้าถอนหมั้นแล้ว จะไปหาคู่หมั้นจากที่ใดเล่า”
เฉิงอวี๋จิ่นพูดพลางถอนหายใจ สีหน้าเศร้าสลด “ข้าเพ้อฝันไปเอง วิธีนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้ พูดไปก็เท่านั้น”
หลินชิงหย่วนขยับริมฝีปากแล้วขยับอีก พูดอย่างลังเลใจว่า “อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย”
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตางดงามคู่นั้นมองเขาอย่างเงียบๆ ทั้งไร้เดียงสาและสงสัย หลินชิงหย่วนถกปัญหากับผู้อื่นมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าปากลิ้นของตนเองขยับได้ไม่คล่องแคล่ว ใบหูของเขาแดงเรื่อขึ้นมา ทันใดนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้าว่า…”
ตอนที่หลินชิงหย่วนเอ่ยปากพูด ดวงตาของเฉิงอวี๋จิ่นก็เปล่งประกายแล้ว นางแสดงละครมานาน ในที่สุดปลาก็ติดเบ็ดแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นมุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางของนางในตอนนี้แตกต่างกับ ‘คุณหนูใหญ่เฉิง’ ที่เข้มแข็งและอ่อนแอเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
เฉิงอวี๋จิ่นรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลุดอาการออกไป แต่นางคิดว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว ความแตกเพียงเล็กน้อยเท่านี้ หลินชิงหย่วนคงไม่สังเกตเห็น เฉิงอวี๋จิ่นยิ้มบางๆ ตั้งตารอให้หลินชิงหย่วนพูดให้จบ
หลินชิงหย่วนไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าอันน้อยนิดของเฉิงอวี๋จิ่นจริงๆ เขาตอนนี้ประหม่าและตื่นเต้น จะมีแก่ใจสังเกตเรื่องอื่นได้อย่างไร เดิมทีเขาคิดจะพูดว่า ‘เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร’ ทว่าเขาเพิ่งพูดคำว่า ‘ว่า’ จบ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกทันใด
หลินชิงหย่วนตกใจ เอาคำว่า ‘ข้า’ กลืนกลับลงท้องไปทันที เฉิงอวี๋จิ่นคาดไม่ถึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ นางลุกขึ้นยืนทันที เพิ่งเดินไปสองก้าวก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เสื้อสีดำขลิบทอง ผูกแถบรัดเอว ดวงตาราวดาราน้ำแข็งเย็นเยือก
เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้ว่ามานานเท่าใดแล้ว ดวงตาของเขากวาดมองภายในห้องช้าๆ หัวเราะเบาๆ ในทันใด “ดูท่าข้าคงมาไม่ถูกจังหวะสินะ”
หลินชิงหย่วนตะลึงไปชั่วครู่แล้วลุกขึ้นยืนทันที ทั้งตกใจและดีใจ “จิ่งสิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
หลินชิงหย่วนถูกกระตุ้นด้วยความตื่นเต้นยินดีอันไม่คาดคิด จะจำได้ว่าเมื่อครู่ตนเองต้องการพูดอะไรได้อย่างไร เขาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเฉิงอวี๋จิ่นลุกขึ้นยืนก่อนเขา ทั้งยังเดินขึ้นหน้ามาก่อน ถึงขั้นที่สีหน้าของนางในตอนนี้ไม่ใช่สีหน้าที่คุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนและอ่อนแอคนหนึ่งควรจะมีเลย
หลินชิงหย่วนเดินไปหาเฉิงหยวนจิ่ง รีบดึงตัวเฉิงหยวนจิ่งมาพูดคุยด้วย เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้มองเขากลับมองผ่านไปยังเฉิงอวี๋จิ่นที่อยู่กลางห้อง
เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไปพักหนึ่ง ชั่วขณะนั้นนางถึงขั้นสงสัยว่าตาของตนเองมองผิดไป นางกะพริบตาอย่างแรง เห็นเงาร่างคนตรงหน้ายังไม่หายไป จึงหลับตาแรงขึ้น
ทว่าสวรรค์ไม่ได้ยินความในใจของนางอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอวี๋จิ่นลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นคนผู้นั้นยังยืนเด่นอยู่ตรงหน้า หัวใจของนางแทบจะสลายแล้ว
สวรรค์หนอ
เป็นครั้งแรกที่เฉิงอวี๋จิ่นสงสัยว่าตนเองถูกคนทำคุณไสย เฉิงหยวนจิ่งวุ่นวายกับเรื่องการกลับสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมา นางคงไม่โชคร้ายเช่นนี้กระมัง นางเพิ่งได้เจอกับหลินชิงหย่วนวันนี้ ปรากฏว่าเฉิงหยวนจิ่งก็กลับมาในวันนี้เวลานี้พอดี หากเขามาช้าไปอีกเพียงหนึ่งถ้วยชาก็คงพอแล้ว
ไม่ถูกสิ เฉิงอวี๋จิ่นได้สติขึ้นมาทันที หลินชิงหย่วนจะพูดประโยคที่สำคัญที่สุดนั้นออกมาอยู่แล้ว ถูกเฉิงหยวนจิ่งตัดบทไปพอดี โลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ เฉิงหยวนจิ่งมาถึงเมื่อใด มานานเท่าใดแล้ว ได้ยินมากน้อยเท่าใด
เฉิงอวี๋จิ่นมองไปทางเฉิงหยวนจิ่งอย่างสงสัย ทว่านางเพิ่งช้อนตาขึ้นก็ประสานเข้ากับสายตาของเฉิงหยวนจิ่ง อีกฝ่ายก็กำลังมองนางอยู่พอดี
อารมณ์ซับซ้อนทั้งสงสัย โมโห เศร้า และฉุนเฉียวของเฉิงอวี๋จิ่นราวกับถุงหนังที่ใส่น้ำจนเต็มถูกเข็มเจาะแตก ลมรั่วจนแฟบ นางก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ เผยให้เห็นเพียงหลังศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมอ่อนนุ่ม
นางรู้ว่าตนเองจบสิ้นแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งเกลียดที่ผู้อื่นโกหกเขามากที่สุด เฉิงอวี๋จิ่นตอนนั้นเคยรับปากเขา ถึงขั้นยังสาบานอีกด้วย รับรองว่าปีนี้จะไว้ทุกข์อย่างสบายใจ ไม่คิดอะไรส่งเดช
ใครจะรู้ว่าเขาจะกลับมาวันนี้ หากเฉิงหยวนจิ่งบอกล่วงหน้า เฉิงอวี๋จิ่นต้องเปลี่ยนสถานที่แน่นอน จะถูกจับคาหนังคาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
เวลาเฉิงหยวนจิ่งโกรธหนักจะกลายเป็นคนสงบนิ่ง เขากวาดตามองเฉิงอวี๋จิ่นอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง ถึงแม้นางจะก้มหน้าอย่างน่ารัก แสดงถึงความโอนอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉิงหยวนจิ่งมั่นใจมากว่านางไม่รู้สึกเสียใจอันใดเลย อาจถึงขั้นวางแผนว่าครั้งหน้าจะทำอีกครั้ง
ช่างดีเสียจริง
เฉิงหยวนจิ่งไม่พูดอะไร เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่เร็วไม่ช้า เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินเสียงฝีเท้าย่างก้าวเป็นจังหวะเข้ามาใกล้ทุกที น่องก็รู้สึกอ่อนแรง เฉิงอวี๋จิ่นหยิกตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง เงยหน้าขึ้น ใช้ฝีมือการแสดงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตพูดกับเฉิงหยวนจิ่งด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาเก้า ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งมองนางแล้วหัวเราะทีหนึ่งเช่นกัน “วันก่อนกลับมาไม่ทัน วันนี้ตั้งใจรีบกลับมาให้เงินยาซุ่ย* เจ้า คิดไม่ถึงว่าหลานสาวคนโตจะต้องให้ข้าตามหา”
เฉิงอวี๋จิ่นหว่างคิ้วกระตุกตุบๆ เฉิงหยวนจิ่งกับนางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ตอนอยู่ส่วนตัวเฉิงหยวนจิ่งจะเรียกชื่อของนางโดยตรง มีน้อยครั้งมากตอนที่เขาโกรธจึงจะเรียกนางปนข่มขู่ว่า ‘หลานสาวคนโต’ เฉิงหยวนจิ่งปั้นหน้าเย็นชายังดีกว่า เขาสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรเช่นนี้ กลับทำให้เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกกลัวมากขึ้น
แย่แล้ว ครั้งนี้องค์รัชทายาทโกรธจริงๆ แล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นราวกับลูกหนังไร้ลม นั่งลงตามเฉิงหยวนจิ่งอย่างเศร้าสลด หลังจากนางนั่งดีแล้วช้อนตาขึ้น สวรรค์ เฉิงหยวนจิ่งนั่งลงบนตำแหน่งที่นางนั่งอยู่เมื่อครู่
กาน้ำชายังมีไอน้ำลอยปุดๆ ออกมาอยู่ เฉิงหยวนจิ่งหลุบตามองม่านน้ำลอยฟุ้งนั้นแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “พวกเจ้าช่างมีความสุขจริงๆ มานั่งต้มชาดื่มอยู่ที่นี่”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวคิ้วกระตุก รีบให้ตู้รั่วยกน้ำที่ต้มเดือดแล้วออกไป เฉิงอวี๋จิ่นนั่งลงที่ข้างกายเฉิงหยวนจิ่ง ครอบครองพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เฉิงหยวนจิ่งอย่างน่ารัก พูดว่า “ท่านอาเก้า ชานี้ต้มนานมาก ใบชาจืดหมดแล้ว ท่านอาเก้าเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ สง่างามไร้ที่ติ ข้านับถือท่านอาเก้าจากใจ จะให้ท่านอาเก้าใช้ของชั้นด้อยได้อย่างไร ตู้รั่ว เปลี่ยนน้ำใหม่มา”
ตู้รั่วตกใจไม่เบาเช่นกัน รีบยกของออกไป เปลี่ยนน้ำใหม่เข้ามา เฉิงอวี๋จิ่นลองไฟอีกครั้ง ต้มน้ำต้มชาด้วยท่าทีที่จริงจัง แสดงฝีมืออันชำนิชำนาญ ยอดเยี่ยมกว่าเมื่อครู่หลายชั้นนัก
ความแตกต่างสองครั้งเห็นได้ง่าย สามารถมองออกได้ว่านี่จึงจะเป็นระดับความสามารถแท้จริงของเฉิงอวี๋จิ่น คนหนึ่งจริงจังทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ อีกคนหนึ่งทำงานให้เสร็จอย่างสบายใจก็พอแล้ว
หลินชิงหย่วนในเวลานี้จึงรู้ว่าที่แท้เมื่อครู่เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้จริงจังแม้แต่น้อย เขาดูอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างขมขื่นว่า “ในบ้านนอกบ้านแตกต่างกันจริงๆ มีจิ่งสิงอยู่ คุณหนูใหญ่เฉิงจึงจะยอมเอาของที่ดีที่สุดออกมา”
เฉิงอวี๋จิ่นลอบเหลือบตามองเฉิงหยวนจิ่งแวบหนึ่ง พูดประจบโดยไม่กะพริบตา “เรื่องนี้แน่นอน ข้านับถือท่านอาเก้าที่สุด ของของเขาย่อมต้องไม่เหมือนผู้อื่น”
หลินชิงหย่วนฟังแล้วจุปากทีหนึ่ง โชคดีที่รู้ว่าพวกเขาเป็นอาหลานแท้ๆ กัน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะขนลุกทั่วตัวแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งได้ยินว่าในบ้านนอกบ้านแตกต่างกัน อารมณ์ก็ดีขึ้นมาบ้าง เฉิงอวี๋จิ่นเอ่ยปากยอมรับในทันที ทำให้เขาสบายอารมณ์ขึ้นมาอีกนิด ทว่าคิดจะอาศัยลูกไม้เล็กๆ เหล่านี้ผ่านด่านนี้ไป ยังห่างไกลนัก
เฉิงอวี๋จิ่นสังเกตสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งอยู่ตลอด พอนางพูดจบเห็นเฉิงหยวนจิ่งไม่พูดต่อก็รู้ว่าตนเองจบสิ้นแล้ว นางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มเฮือกหนึ่ง ใช้มือครอบชา แบ่งถ้วยอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นยกถ้วยแรกให้แก่เฉิงหยวนจิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น กะพริบตาส่งเสียงเรียก “ท่านอาเก้า”
เสียงของนางจงใจพูดให้อ่อนโยนลง คำเพียงสองคำราวกับเลี้ยวไปหลายสิบโค้ง เฉิงหยวนจิ่งเดิมทีคิดจะไม่สนใจนาง แต่พอเห็นสายตาของนางแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะหักหน้านางต่อหน้าคนนอก
เฉิงหยวนจิ่งยื่นมือไปรับถ้วยชามา เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกโล่งอกจริงๆ หลังจากนั้นนางจึงเทชาถ้วยที่สองยื่นให้หลินชิงหย่วน
หลังจากเฉิงหยวนจิ่งเข้ามาหลินชิงหย่วนก็รู้สึกเหมือนมีหนามแหลมแทงหลัง* ผิดปกติไปทั้งตัว แต่เขาคิดว่าตนเพียงคิดไปเอง ความแตกต่างในการปฏิบัติของเฉิงอวี๋จิ่นที่เห็นได้ง่ายนี้ทำให้หลินชิงหย่วนถือสาอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นท่านอาของเฉิงอวี๋จิ่นก็รู้สึกว่าเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้
คนครอบครัวเดียวกันย่อมสนิทกันมากสักนิด หลินชิงหย่วนเหนือกว่าไม่ได้ก็เป็นปกติ
แท้จริงแล้วหลินชิงหย่วนอยากจะพูดหัวข้อเมื่อครู่นั้นต่ออย่างมาก แต่มีเฉิงหยวนจิ่งอยู่ คำพูดเหล่านั้นเขาไม่สะดวกจะพูดอีก อีกทั้งเวลาผ่านเรื่องราวเปลี่ยน คำพูดมากมายหากผ่านจังหวะนั้นไปแล้ว พูดออกมาก็จะเปลี่ยนความรู้สึกไป หลินชิงหย่วนรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทำได้เพียงกลืนคำพูดครึ่งประโยคหลังลงไป ไม่พูดถึงชั่วคราว
มีเฉิงหยวนจิ่งอยู่ หลินชิงหย่วนไม่อาจพูดกับเฉิงอวี๋จิ่นโดยตรง ทำได้เพียงหันไปพูดกับเฉิงหยวนจิ่ง “จิ่งสิง เหตุใดเจ้าจึงจากจวนไปนานเช่นนี้ เกิดเรื่องสำคัญอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร” เฉิงหยวนจิ่งน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องส่วนตัวเท่านั้น”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินแล้วเบ้ปาก เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวที่สามารถส่งผลกระทบต่ออำนาจยิ่งใหญ่ใต้หล้าเท่านั้น
เฉิงหยวนจิ่งพูดว่าเรื่องส่วนตัว หลินชิงหย่วนก็ไม่สะดวกจะถามต่อ และหลินชิงหย่วนก็เชื่อมั่นเฉิงหยวนจิ่งอย่างบอกไม่ถูก มักจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงส่งมอบถึงมือของเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ความรู้สึกตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลง ค่อยๆ เล่าเรื่องราวชีวิตบางอย่างขึ้นมา
เฉิงหยวนจิ่งฟังหลินชิงหย่วนพูดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ตอนนี้เป็นช่วงวันขึ้นปีใหม่ ถึงแม้บรรพชนสกุลหลินจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่ช่วงนี้แขกไปใครมาคงมีไม่น้อยเช่นกัน เหตุใดเจ้าจึงคิดมาที่จวนสกุลเฉิงได้”
หลินชิงหย่วนรับคำ “อ้อ” แล้วตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าอยู่จวนรู้สึกเบื่อจึงอยากมายืมตำราที่เจ้า ได้ยินว่าเจ้าไม่อยู่ข้าก็คิดว่าจะกลับออกไป บังเอิญเจอกับคุณหนูใหญ่เฉิงระหว่างทางพอดี”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าต่ำลงอีกนิด เฉิงหยวนจิ่งชำเลืองมองเฉิงอวี๋จิ่นด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “บังเอิญจริงๆ”
“ใช่แล้ว บังเอิญมาก” หลินชิงหย่วนเป็นคนไม่คิดมาก จึงไม่ได้สังเกตถึงบรรยากาศที่ผิดปกติอย่างน่าประหลาดตรงหน้า เพียงพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไรว่า “ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอยืมตำรารวมบทกลอนกับตำราถกเรื่องร้อยแปด คุณหนูใหญ่เฉิงบอกว่าตำราสองเล่มนี้อยู่ที่นางพอดี นางให้สาวใช้ไปหาแล้ว ช่วงเวลาที่รอนั่งพูดคุยกัน คุณหนูใหญ่เฉิงจึงต้มชาให้ดื่ม”
เฉิงอวี๋จิ่นอยากจะยับยั้งแต่ไม่อาจยับยั้งได้ หลินชิงหย่วนยังเป็นคนไม่คิดมากอีกด้วย มีอะไรก็พูดอย่างนั้น พอหลินชิงหย่วนพูดจบ เฉิงอวี๋จิ่นแทบอยากจะขุดหลุมฝังตนเองเสียเลย
นางใจสลายเป็นเถ้าถ่าน ลอบชำเลืองมองเฉิงหยวนจิ่งแวบหนึ่ง เฉิงหยวนจิ่งใช้นิ้วมือลูบถ้วยกระเบื้อง มุมปากมีรอยยิ้ม “ตำรารวมบทกลอน ตำราถกเรื่องร้อยแปด?”
เฉิงหยวนจิ่งพูดพลางหันมองเฉิงอวี๋จิ่น แววตามีรอยยิ้ม “ตำราสองเล่มนี้อยู่ที่เจ้าหรือ”
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ เฉิงอวี๋จิ่นเพียงแค่พูดจาส่งเดชเท่านั้น นางไล่สาวใช้กลับไปหา ย่อมหาไม่เจออยู่แล้ว ทว่าของเช่นตำรานี้เหตุใดต้องไปหา นางเพียงอ้างว่าลืม จากนั้นให้หลินชิงหย่วนยืมตำราของตนเองสักเล่ม ตอนที่หลินชิงหย่วนเอามาคืน ย่อมต้องมาหานางอีก การติดต่อไปมาเช่นนี้ ระหว่างพวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ต่อกันได้แล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น ในดวงตาผสมปนเปทั้งความอ่อนแอ ไร้เดียงสา และน่าสงสาร “ท่านอาเก้า”
บทที่ 78
เฉิงหยวนจิ่งมีไฟโทสะเต็มอก ความอดกลั้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกที แต่เมื่อเขาก้มลง เห็นแววตาไร้เดียงสาของเฉิงอวี๋จิ่นก็รู้สึกว่าความโกรธทั่วร่างไม่อาจระบายออกมาได้อีก
เฉิงหยวนจิ่งรู้ว่านางแสร้งทำ รู้ว่านางเจ้าเล่ห์ใช้ลูกไม้เก่ง ถนัดการทำให้ชายหนุ่มหลงใหลที่สุด ทั้งหมดนี้รวมไปถึงแววตาออดอ้อนและว่านอนสอนง่ายในตอนนี้ของเฉิงอวี๋จิ่นด้วย
กระทั่งการสนิทสนมเอาใจของเฉิงอวี๋จิ่นในช่วงที่ผ่านมานี้ ทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์อย่างอื่น
เขาย่อมรู้ดี แต่นั่นจะทำอะไรได้
เมื่อต้องเผชิญกับดวงตาที่ประณีตงดงาม แฝงการพึ่งพิงแต่ไม่หวาดกลัวคู่นี้ เขาจะทำสิ่งใดได้
หลังจากเฉิงหยวนจิ่งเดินออกจากเรือนพักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เดินไปทางเรือนจิ่นหนิงทันที ไปถึงแล้วจึงพบว่าเฉิงอวี๋จิ่นไม่อยู่ เขาตกใจมาก สุดท้ายสงบสติลงได้ ให้คนติดตามไปสอบถาม จึงรู้ว่าวันนี้หลินชิงหย่วนมาที่นี่
เฉิงหยวนจิ่งยืนอยู่ข้างนอก ฟังเฉิงอวี๋จิ่นพูดอ้อมถามถึงเรื่องการแต่งงานของหลินชิงหย่วน ได้ยินนางแสร้งทำท่าน่าสงสารพูดว่านางอยู่ในจวนสกุลเฉิงไม่ง่ายเลย ถึงขั้นที่ว่าเขายังได้ยินเฉิงอวี๋จิ่นพูดว่านางจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงให้แต่งงานอีกด้วย อีกฝ่ายเป็นพ่อม่ายภรรยาตาย
เฉิงหยวนจิ่งไม่เหมือนกับหลินชิงหย่วน เขาเพิ่งฟังไปครู่หนึ่งก็วิเคราะห์คุณสมบัติหลายข้อเช่นเป็นพ่อม่าย มีบุตรชายหนึ่งคน ตรงใจสกุลเฉิงก็รู้ว่าคนคนนี้คือไช่กั๋วกงตี๋เหยียนหลิน
ตี๋เหยียนหลินถูกทำให้ชื่อเสียงแปดเปื้อนอย่างไรเฉิงหยวนจิ่งไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาสนใจเพียงว่าอีกไม่กี่วันสกุลตี๋จะมาทาบทามสู่ขอถึงจวนหรือ
ตี๋เหยียนหลินไม่ได้ฟังคำเตือนของเขาในตอนนั้นอย่างใส่ใจ เฉิงหยวนจิ่งเตรียมการไว้นานแล้ว แต่พอเขาได้ยินเรื่องนี้จากปากของเฉิงอวี๋จิ่นโดยไม่ทันตั้งตัว ยังคงรู้สึกโกรธมาก
เหตุใดนางจึงไม่บอกเขา เหตุใดจึงยินดีจะขอความช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าที่มีวาสนาได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มาขอความช่วยเหลือจากเขา ตัวเขาในใจของเฉิงอวี๋จิ่นไม่มีความสำคัญถึงเพียงนี้เชียวหรือ
สกุลตี๋ สกุลฮั่ว หรือแม้แต่สกุลหลินล้วนไม่ใช่ปัญหา พวกเขาไม่ว่าผู้ใดมาพูดทาบทามสู่ขอก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ว่าเฉิงหยวนจิ่งกลับสนใจท่าทีของเฉิงอวี๋จิ่นมาก
เฉิงหยวนจิ่งอยู่ข้างนอกโดยไม่พูดอะไร เหล่าผู้ติดตามอยู่ข้างหลังเฉิงหยวนจิ่งต่างไม่กล้าหายใจแรงสักคน จนกระทั่งเฉิงหยวนจิ่งล่วงรู้ได้ว่าหลินชิงหย่วนจะพูดอะไรก็อดรนทนไม่ไหว ผลักประตูเปิดเข้าไป
เขาเดิมทียังตัดสินใจว่าครั้งนี้จะไม่ให้อภัยเด็ดขาด จะแสร้งเมินเฉยไม่สนใจนาง ทว่าตอนนี้ก้มหน้าเห็นดวงตาของเฉิงอวี๋จิ่น รูปทรงงดงาม ลูกตาดำขาวแยกชัดเจน ทั้งไร้เดียงสาและดูประจบเอาใจ เฉิงหยวนจิ่งก็ใจร้ายไม่ลง เขาถึงขั้นคิดว่าคนตายเพราะทรัพย์นกตายเพราะอาหาร* เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะไขว่คว้าผลประโยชน์ เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ความตั้งใจของเขา นางกระตือรือร้นจะหาทางออกให้แก่ตนเองเท่านั้น ใช่ว่าจะอภัยให้ไม่ได้สักทีเดียว
เฉิงหยวนจิ่งเองรู้สึกจนใจ เขาคิดว่าตนเองแยกแยะการให้รางวัลและบทลงโทษชัดเจน สงบนิ่งมีเหตุผลเสมอ ตอนนี้เขากลับหาเหตุผลให้กับเฉิงอวี๋จิ่น
เฉิงหยวนจิ่งนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ไม่รู้จะจัดการนางอย่างไรดี แววตาของเขาดูจนปัญญา รู้สึกแค้นใจที่คนไม่ได้ดั่งใจ
เหตุใดสมองของเฉิงอวี๋จิ่นจึงใช้งานได้ไม่ดีเช่นนี้ ต้องทำเหมือนมองไม่เห็นเขาที่เป็นองค์รัชทายาทผู้นี้ ใช้ความสามารถทั้งหมดดึงดูดใจหลินชิงหย่วน หลินชิงหย่วนต่อให้มีอนาคตดีเพียงใด ขึ้นตำแหน่งสูงได้อย่างง่ายดาย แต่สุดท้ายก็ครอบครองได้เพียงตำแหน่งสูงสุดของขุนนางฝ่ายบุ๋นเท่านั้น จะเทียบเขาได้หรือ
เฉิงหยวนจิ่งไม่อาจเข้าใจได้ แต่ในฐานะผู้สูงศักดิ์ไม่สามารถแสดงความคิดของตนเองออกมาโดยตรงได้ ยิ่งไม่อาจเปิดเผยความชอบของตน เวลาส่วนใหญ่จะอาศัยคนเบื้องล่างทำความเข้าใจเอง ขุนนางที่สามารถอยู่ในหน้าที่ได้ดี ไม่มีใครที่ไม่ใช่ยอดฝีมือในการเดาความคิดของผู้สูงศักดิ์
เฉิงหยวนจิ่งได้รับการอบรมสั่งสอนสำหรับองค์รัชทายาทที่เข้มงวดตั้งแต่เด็ก จนเติบใหญ่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจบอกเฉิงอวี๋จิ่นตามตรงว่าให้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นตัวเขาแทน แต่ดวงตาเฉิงอวี๋จิ่นราวกับขึ้นสนิม มองอย่างไรก็ไม่เข้าใจความคิดของเขาเสียที เฉิงหยวนจิ่งจนปัญญาอย่างยิ่ง กับตัวปัญหาที่ตัดใจตีไม่ลง จะหมางเมินก็ทำไม่ได้เช่นนี้ เฉิงหยวนจิ่งจนหนทางนัก ทำได้เพียงหันปลายหอกไปที่ชายคนอื่น
เหตุใดเฉิงอวี๋จิ่นจึงเอาแต่ทำให้เขาโกรธด้วย นั่นไม่ใช่เพราะชายหนุ่มข้างนอกเหล่านี้ไม่อยู่ในกรอบ ปรากฏตัวผ่านหน้านางทั้งวัน รบกวนการตัดสินใจของเฉิงอวี๋จิ่นหรือ เรื่องนี้สำหรับองค์รัชทายาทแล้วง่ายมาก บุรุษที่ขวางตาต้องขุดทิ้งไปให้หมด
หลินชิงหย่วนเป็นคนแรกในบัญชีดำ
เฉิงอวี๋จิ่นเป็นใคร นางสังเกตเห็นรางๆ ถึงท่าทีอ่อนลงของเฉิงหยวนจิ่ง จากนั้นจึงทำทุกอย่างให้เฉิงหยวนจิ่งอย่างเชื่อฟังราวกับไม่ต้องการเงิน ทั้งไม่มีหลักการและไม่มีจุดยืน ท่านอาเก้าพูดอะไรก็ล้วนถูกทั้งหมด หลินชิงหย่วนเห็นแล้วทนไม่ไหวจุปากทีหนึ่ง เขารู้ว่าวันนี้เป็นวันที่บุตรสาวสกุลเฉิงที่ออกเรือนไปแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งยังมีธุระติดตัว กอปรกับหลินชิงหย่วนทนไม่ไหวกับท่าทางที่คุณหนูใหญ่เฉิงประจบเฉิงหยวนจิ่งเกินกว่าเหตุ จึงหยิบตำราแล้วรีบลากลับไป
เฉิงอวี๋จิ่นกวาดมองตำราสองเล่มนั้น แล้วเหลือบมองเฉิงหยวนจิ่งอย่างระวังตัวแวบหนึ่ง พอเฉิงหยวนจิ่งเห็นเข้า เฉิงอวี๋จิ่นก็เลื่อนสายตากลับมาทันที
เฉิงหยวนจิ่งให้คนของตนเองรวมตำราบทกลอนสองเล่มนี้มาให้ เฉิงอวี๋จิ่นกลัวมากว่าเฉิงหยวนจิ่งจะเปิดเผยความผิดต่อหน้าพวกตน โชคยังดีที่เฉิงหยวนจิ่งดูแล้วใจกว้างมาก ไม่ได้เปิดโปงนางต่อหน้าหลินชิงหย่วน
ทว่าพอหลินชิงหย่วนจากไป สีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่มีการปิดบังใดอีก เย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอวี๋จิ่นไม่ต้องรักษาหน้าต่อหน้าคนนอกอีกเช่นกัน คุกเข่าขยับไปตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่งทันที กระตุกแขนเสื้อของเฉิงหยวนจิ่งอย่างประจบเอาใจ “ท่านอาเก้า ข้าผิดไปแล้ว”
เฉิงหยวนจิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย “หลานสาวเตรียมการทุกอย่างไว้ดีมาก จะมีความผิดใดหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นฟังแล้วก็ยิ่งโอนอ่อนผ่อนตาม ดึงแขนเสื้อเฉิงหยวนจิ่งไว้อย่างน่าเอ็นดู กะพริบตาพูดว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ท่านอาเก้าเดินทางรอนแรมกลับมา ข้ากลับไม่ได้ไปต้อนรับท่านอาเก้าในทันที คืนวันสิ้นปีข้ารออยู่ทั้งคืน ทั้งที่ตัดสินใจจะอวยพรปีใหม่ท่านอาเก้าเป็นคนแรก ผลปรากฏว่ารอเท่าไรท่านก็ไม่มา วันที่หนึ่งก็ยังไม่เห็น วันนี้พวกน้องหญิงรองกลับมากันหมด ข้าไม่อยากเจอฮั่วฉางยวนที่โถงหลัก จึงหลบออกมาเดินเล่น คิดไม่ถึงว่าจะคลาดกับท่านอาเก้าเสียได้”
เฉิงหยวนจิ่งเดิมทีเป็นคนแข็งนอกอ่อนในอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะปั้นหน้าเย็นชา แท้จริงแล้วกลับตัดใจทำอะไรเฉิงอวี๋จิ่นไม่ลง ตอนนี้ได้ยินเฉิงอวี๋จิ่นบอกว่าคืนสิ้นปีรอเขาอยู่ทั้งคืนก็ยิ่งใจอ่อนมากขึ้น
สำหรับคำพูดนี้จะจริงเท็จเพียงไร เฉิงหยวนจิ่งไม่อยากไปใคร่ครวญ ขอเพียงคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของนางก็เพียงพอแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งอารมณ์ดีขึ้น มีเพียงบนใบหน้าที่ยังฉายแววเย็นชาอยู่ “เช่นนั้นข้าถามเจ้า เจ้าผิดตรงที่ใดหรือ”
ความสามารถในการควบคุมสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งเป็นเลิศ เฉิงอวี๋จิ่นมองไม่ออกว่าเฉิงหยวนจิ่งไม่โกรธแล้ว นางเห็นเขายังมีสีหน้าเย็นชา คิดว่าเขายังไม่คลายโกรธ จึงยอมรับผิดอย่างจริงจังมาก ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อย “ข้าไม่ควรหลบทุกคนมาที่โถงข้างสวนดอกไม้ ไม่ควรคลาดกับท่านอาเก้า ไม่ควรพูดว่าตำราสองเล่มนั้นอยู่ที่ข้า”
เฉิงอวี๋จิ่นพูดโดยเหลือบมองสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่ง นางเห็นสีหน้าเฉิงหยวนจิ่งยังคงเย็นชาอยู่ ทำได้เพียงพยายามรับผิดต่อไป เสียงพูดเบาลงทุกที
เฉิงหยวนจิ่งกลับไม่มีท่าทีจะปล่อยผ่านแม้แต่น้อย ถามว่า “มีแค่เท่านี้หรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นลอบกัดริมฝีปาก เฉิงหยวนจิ่งไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้เชียวหรือ หรืออยากให้นางพูดออกมาเองว่าไม่ควรเกิดความคิดจะยุ่งกับหลินชิงหย่วน เฉิงอวี๋จิ่นกัดฟัน พูดว่า “ข้ายังไม่ควรหยุดพูดที่โถงข้างสวนดอกไม้ อาลักษณ์หลินเป็นชายคนนอก ข้าพบชายคนนอกควรจะหลบเลี่ยง ไม่ควรอยู่ตามลำพังเพื่อสอบถามข่าวคราวของท่านอาเก้า”
เฉิงหยวนจิ่งคิดว่านางช่างแต่งข้ออ้างเก่งจริงๆ คำพูดมีมาเป็นชุดๆ พูดเช่นนี้นางกับหลินชิงหย่วนอยู่กันตามลำพังก็เพื่อเขาอย่างนั้นหรือ
เฉิงอวี๋จิ่นเห็นเฉิงหยวนจิ่งไม่ได้แสดงท่าทีในทันที จึงขยับเข้าใกล้พลางกุมชายเสื้อของเฉิงหยวนจิ่งเอาไว้ เรียกเสียงเบาว่า “ท่านอาเก้า”
เสียงพูดอ่อนโยนเสนาะหู อ่อนยวบเข้าไปถึงกระดูก เฉิงหยวนจิ่งถอนใจคราหนึ่ง ปั้นหน้านิ่งเหลือบมองนาง “ครั้งหน้าไม่มีข้อยกเว้น”
“เจ้าค่ะ” เฉิงอวี๋จิ่นมีรอยยิ้มเบิกบานในทันที ในดวงตาเปล่งประกายเย้ายวนตาออกมา เฉิงหยวนจิ่งเหม่อมองไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ แล้วพูดเสียงใสว่า “ท่านอาเก้า ขอให้มีความสุขในปีใหม่ ในปีใหม่นี้ท่านต้องทำทุกเรื่องได้อย่างราบรื่น สำเร็จดั่งใจคิดแน่นอน”
เฉิงหยวนจิ่งดึงสติคืนมา แล้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว “เจ้ายังจำได้อีกหรือ”
“เรื่องนั้นแน่นอน” เฉิงอวี๋จิ่นเห็นเฉิงหยวนจิ่งคลายโกรธแล้ว นางก็ไม่อยู่ในท่านั่งหลังตรงต่อไปอีก แต่เอนตัวพิงโต๊ะน้ำชา เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งนั่งอยู่ในฟากเดียวกัน เฉิงหยวนจิ่งยังคงนั่งอย่างดี ส่วนเฉิงอวี๋จิ่นใช้แขนเท้าขอบโต๊ะ ท่าทางเป็นกันเอง รูปร่างงดงาม พูดด้วยท่าทีจริงจังว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนแรกที่อวยพรปีใหม่ให้ท่านอาเก้า รอวันหน้าข้าต้องชิงเป็นคนแรกแน่นอน”
เฉิงหยวนจิ่งมองเฉิงอวี๋จิ่นแล้วยิ้ม เขามีกิริยาสง่างามเสมอ จิตใจกว้างขวาง ถึงแม้รายละเอียดทุกอย่างจะน่าดูมาก แต่กลับเหมือนเหล่าเซียนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ตอนนี้มองนางแล้วยิ้ม ในดวงตาแฝงความคิดลึกซึ้งที่เฉิงอวี๋จิ่นดูไม่เข้าใจ ในที่สุดก็มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นไม่เข้าใจความหมายในสายตาของเฉิงหยวนจิ่ง แม้แต่คำพูดของเขาที่อยู่ข้างหูยังเหมือนมีความนัยลึกซึ้งด้วย “วันหน้าโอกาสยังมีอีกมาก เจ้าต้องทำให้เป็นจริงได้แน่นอน”
อำลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ยามค่ำคืน คิดจะอวยพรเป็นคนแรก อยู่ห่างกันย่อมทำไม่ได้แน่นอน แต่หากเป็นคนข้างหมอน เช่นนั้นโอกาสก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นตกอยู่ในรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเฉิงหยวนจิ่งก็เกิดความรู้สึกถึงอันตรายออกมาตามสัญชาตญาณ แผ่นหลังก็แข็งตึงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เฉิงหยวนจิ่งได้ยินประโยคที่ชวนให้สบายใจที่สุดในปีนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก จึงยื่นมือไปลูบผมของเฉิงอวี๋จิ่น แล้วพูดว่า “อย่าโวยวายเลย พูดเรื่องสำคัญให้จบก่อน ที่เจ้าพูดเมื่อครู่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เฉิงอวี๋จิ่นยังวิเคราะห์อยู่ว่ารอยยิ้มของเฉิงหยวนจิ่งหมายความว่าอย่างไร ผลปรากฏว่าได้เจอคำว่า ‘อย่าโวยวายเลย’ เฉิงอวี๋จิ่นพลันตกใจ แม้แต่เฉิงหยวนจิ่งยื่นมือมาทำให้ผมนางยุ่งก็ยังไม่มีเวลาเอาความ “เรื่องสำคัญที่พวกเราพูดเมื่อครู่เป็นเรื่องล้อเล่นหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกไม่สบายไปทั้งร่าง นางคิดว่าตนเองไล่ความโกรธในใจขององค์รัชทายาทได้แล้ว ผลปรากฏว่าองค์รัชทายาทกลับพูดว่า ‘อย่าโวยวายเลย’ หรือ
เฉิงหยวนจิ่งสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย ถามว่า “แต่งงานใหม่มันเรื่องอะไรกัน”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินแล้วมีสีหน้าตกใจ นั่งตัวตรงเช่นกัน เม้มปากแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เรื่องเล็กน้อยของเรือนส่วนในสกุลเฉิง ไม่ต้องลำบากท่านอาเก้าให้เหนื่อยใจหรอก”
“ตี๋เหยียนหลินหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีไม่อยากพูด แต่เฉิงหยวนจิ่งพออ้าปากก็พูดชื่ออีกฝ่ายออกมา เฉิงอวี๋จิ่นเผยอปาก สุดท้ายก็พูดอย่างจนใจว่า “ใช่”
เฉิงหยวนจิ่งมองสีหน้าของเฉิงอวี๋จิ่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง แล้ววางมือลงบนผมของนาง “ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังเรียกข้าว่าท่านอาเก้า ข้าย่อมต้องทำหน้าที่ของอาอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเจ้า เจ้าเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่เช่นนี้ ยอมบอกหลินชิงหย่วนแต่ไม่บอกข้าหรือ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” เฉิงอวี๋จิ่นรีบพูดแย้ง นางเห็นสายตาของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว สุดท้ายก็ทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “เป็นเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ข้ายังอยากรักษาภาพลักษณ์อันดีในสายตาของท่านอาเก้าไว้ ไม่อยากจะเอาเรื่องแย่เช่นนี้มารบกวนท่านจริงๆ”
“ไม่เป็นไร” เฉิงหยวนจิ่งอาศัยเรื่องส่วนรวมมาจัดการเรื่องส่วนตน ฉวยโอกาสลูบผมของเฉิงอวี๋จิ่น ผลปรากฏว่าสัมผัสที่มือดีมาก เขายังพูดอย่างจริงจังอีกว่า “ในเมื่อข้ารู้แล้วก็ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉยไม่จัดการ เจ้ามีเรื่องลำบากก็พูดมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้สังเกตการกระทำที่มือของเฉิงหยวนจิ่ง นางสร้างภาพลักษณ์อย่างมากมาตั้งแต่เด็ก ทนรับไม่ได้ที่สุดกับการจะถูกคนลูบหัวเหมือนเด็กๆ เฉิงหยวนจิ่งมีความสง่างาม ในเวลานี้พูดคำจริงจังออกมาตามตรงเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจ จึงพูดว่า “แท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไร ครั้งก่อนข้าพูดสั่งสอนซื่อจื่อน้อยในสวนดอกไม้ ถูกไช่กั๋วกงเห็นเข้าพอดี ท่านอาเก้าตอนนั้นก็อยู่ด้วย คิดว่าคงเข้าใจสภาพการณ์ตอนนั้นดี”
เฉิงหยวนจิ่งพยักหน้า เฉิงอวี๋จิ่นจึงพูดต่อไปว่า “ต่อมาตอนอยู่ที่วัดเซียงจีฮูหยินผู้เฒ่าตี๋มาพูดคุยกับท่านย่า เจอข้าพอดี บอกว่าจวนพวกเขาขาดคนที่คอยดูแลสั่งสอนซื่อจื่อ และข้ามีความเหมาะสมนี้พอดี ข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋จึงคิดจะแต่งข้ากลับไปเป็นภรรยาเอกคนใหม่ จากนั้นข้าก็บังเอิญเจอกับไช่กั๋วกงที่ข้างนอกสวนดอกไม้ ข้าไม่อยากเข้าไปร่วมเหยียบในน้ำขุ่นกับสกุลตี๋ จึงพูดเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งกับไช่กั๋วกง ข้าคิดว่าได้พูดกระจ่างแล้ว คิดไม่ถึงว่าไช่กั๋วกงยังคงแสดงความต้องการอยากจะขอแต่งงานกับท่านย่าอย่างชัดเจน ท่านย่ารู้สึกว่าเหมาะสมมาก ตอนที่ข้าได้รู้ข่าวนี้จากท่านแม่ จะไปพูดเกลี้ยกล่อมท่านย่า ท่านย่าก็ไม่ฟังคำข้าแล้ว”
เพราะคนตรงหน้าคือเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงอวี๋จิ่นจึงไม่ได้ปิดบังความไม่ยินดีของตนเองกับการวางแผนของสกุลเฉิง เฉิงหยวนจิ่งได้ยินแล้วก็หรี่ตาลงอย่างเงียบๆ เฉิงอวี๋จิ่นเจอกับตี๋เหยียนหลินนอกสวนดอกไม้ที่วัดเซียงจี เขากลับไม่รู้เรื่องนี้เลย
เห็นทีเขาต้องส่งคนไปให้เฉิงอวี๋จิ่นเพิ่มแล้ว และตี๋เหยียนหลินผู้นี้ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกจริงๆ
เฉิงอวี๋จิ่นเล่าความรำคาญใจรวดเดียวจบแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างอย่างที่คิด นางกัดฟัน แล้วพูดโอดครวญว่า “ไช่กั๋วกงผู้นี้พูดจาเชื่อถือไม่ได้เลย วาจากลับกลอกนัก วันนั้นที่วัดเซียงจี ทั้งที่ข้าบอกต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการเขาไม่มีให้ สิ่งที่เขาต้องการข้าก็ทำไม่ได้ เดิมทีพูดกันดีแล้วว่าจะพบกันและลาจากแต่โดยดี แต่เขากลับดีจริงๆ กล้ากลืนคำพูดตนเอง ไปบอกท่านย่าข้าโดยตรง”
เฉิงอวี๋จิ่นโกรธมาก เฉิงหยวนจิ่งฟังแล้วนิ่งเงียบไม่พูดจา นิ้วมือเลื่อนมาที่จอนผมข้างหู เขี่ยเส้นผมของนางเล่นเบาๆ
“อวี๋จิ่น บนโลกนี้ใช่ว่าเรื่องทุกอย่างจะพูดด้วยเหตุผลกันได้” เฉิงหยวนจิ่งมองนาง ในแววตามีความหมายแฝง “โดยเฉพาะกับบุรุษ บุรุษทุกคนต่างเห็นแก่ตัว ยามพวกเขาเห็นสิ่งที่งดงามจะคิดเพียงแย่งชิง ครอบครอง และยึดมาเป็นของตนเอง ต่อให้เจ้าหยิบยกเหตุผลที่ไม่เหมาะสมร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาก็สู้ความเห็นแก่ตัวของพวกเขาไม่ได้”
เฉิงอวี๋จิ่นมองเขาอย่างตกใจ เฉิงหยวนจิ่งจ้องหน้านางเช่นกัน ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “ไม่มีข้อยกเว้น”
บุรุษต่างเห็นแก่ตัว…ไม่มีข้อยกเว้น
รวมทั้งเขาด้วย
จะต่างกันแค่เพียงเขามีอำนาจมากกว่าตี๋เหยียนหลินอยู่บ้างเท่านั้น
* พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน หมายถึงบุคคลที่มีความสามารถแต่หลบซ่อนตัวไม่เผยความสามารถของตัวเองหรือคนที่มีความสามารถแต่ยังไม่ถูกค้นพบ
* เงินยาซุ่ย คือเงินอั่งเปา (ซองแดง) ที่ผู้ใหญ่ให้เป็นเงินขวัญถุงแก่เด็กและผู้น้อย หรือมอบให้ผู้อาวุโสเพื่อเป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน โดยชาวจีนตีความคำว่า ‘ยาซุ่ย (压岁)’ ไว้สองลักษณะ หนึ่งคือความหมายแฝงที่พ้องเสียงกับการข่มเคราะห์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และความหมายตรงตามอักษร แปลว่าเงินข่มอายุ สื่อถึงการอวยพรให้พ่อแม่ผู้สูงวัยมีอายุยืนยาว
* หนามแหลมแทงหลัง หมายถึงกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติด
* คนตายเพราะทรัพย์นกตายเพราะอาหาร มีเรื่องเล่าว่าชายสองคนพากันขึ้นเขาไปหาสมบัติ เมื่อขุดจนเจอสมบัติ ชายคนหนึ่งก็เสนอตัวเฝ้าสมบัติ โดยให้ชายอีกคนไปหาอาหาร ระหว่างที่แยกกันชายทั้งสองต่างคิดจะกำจัดอีกฝ่ายเพื่อยึดสมบัติไว้เอง เมื่อชายคนที่ไปหาอาหารกลับมา ชายคนที่เฝ้าสมบัติก็ฆ่าเขาทิ้ง จากนั้นก็กินอาหารที่อีกฝ่ายหามาโดยไม่รู้ว่าอาหารนั้นมียาพิษ ทำให้ตายไปอีกคน นกที่บินผ่านมาจิกกินอาหารนั้นไม่นานก็ตาย จึงเกิดเป็นสำนวน ‘คนตายเพราะทรัพย์นกตายเพราะอาหาร’ อุปมาถึงคนที่โลภในทรัพย์สินเงินทองจนไม่คิดถึงชีวิต
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.