X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1

ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วง ณ กรุงปักกิ่งในเดือนตุลาคมค่อยๆ กล้ำกรายเข้ามา แม้จะมีความรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นภายหลังวันศารทวิษุวัต* ทว่าขณะนี้ชูหนิงรู้สึกแต่ว่าร้อนเท่านั้น

เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก สวมแค่เสื้อเชิ้ตตัวบางๆ แล้วนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ ส่วนคนที่นั่งติดกันข้างๆ เป็นเฝิงจื่อหยางที่พอลงจากเครื่องบินก็รีบมาหาทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้ปลดชุดเครื่องแบบทางการออก ชูหนิงเหลือบตามอง มีเหงื่อชั้นบางๆ ผุดออกมาบริเวณจอนผมของเขา

“ทำรายชื่อแขกเหรื่อครบถ้วนแล้ว เลขาฯ โจวทำงานละเอียดรอบคอบ กระทั่งผู้สูงอายุไม่กี่คนจากทางตอนเหนือของเสฉวนก็ยังมีชื่ออยู่ในรายชื่อด้วย” ครั้นคุณแม่เฝิงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ส่งเสียงถอนหายใจสั้นๆ “ลุงเขยของเธอติดต่อทางโรงแรมนั้นแล้ว ยกพื้นที่หลักของสวนโซนตะวันตกให้พวกเธอเอาไว้จัดงาน” คุณแม่เฝิงมองขาขวาของชูหนิงแวบหนึ่ง แล้วสายตาก็ยิ่งผิดหวังเกินกว่าจะปกปิดได้ “น่าเสียดาย…น่าเสียดาย”

พอได้ยินแบบนี้เฉินเยวี่ยก็เอ่ยตอบว่า “รบกวนให้คุณต้องหนักใจเสียแล้ว ในวันธรรมดาชูหนิงก็ได้คุณดูแลอยู่บ่อยๆ เธอมักจะพูดกับฉันเป็นประจำว่าคุณดีกับเธอเสมอเลย” เฉินเยวี่ยค่อนข้างอับจนคำพูด เธอรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นความประมาทของลูกสาวตัวเอง อธิบายมากความก็ยิ่งไร้เหตุผล ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วฉวยโอกาสเอาชูหนิงมาบ่นเสียเลย “เจ้าเด็กคนนี้ เดินดีๆ ก็ยังสามารถล้มขาหักได้”

“เธอก็ไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้หรอก อย่าตำหนิเธอเลย” เสียงอ่อนโยนของคุณแม่เฝิงเอ่ยห้ามปรามแล้วถามอีกว่า “บาดเจ็บกระดูกหักฟื้นตัวได้ยากที่สุด แต่ต้องรักษาให้ดีๆ แล้วไปพบหมอหรือยัง”

ชูหนิงก้มหน้าก้มตาพร้อมพยักหน้าพูด “ไปพบแล้วค่ะ”

“โรงพยาบาลไหน”

“โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกของปักกิ่งค่ะ”

คุณแม่เฝิงไม่วางใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะติดต่อฟู่เหล่า ให้เขาตรวจดูให้เธออีกหน่อย”

“มะ…แม่ อย่าทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย ขาเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก พันเฝือกอ่อนไว้สักสองสัปดาห์ก็หายแล้ว” เฝิงจื่อหยางพูดพลางเดินเข้าไปกดไหล่แม่ของเขาไว้ด้วยท่าทีเร่งรีบ “มีผมอยู่นะ วางใจได้”

เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ คุณแม่เฝิงก็ยิ่งรู้สึกไม่วางใจ แต่ก็ไม่กล้าไปก้าวก่ายมากนัก จึงเปลี่ยนเรื่องบ่น

“การงานสำคัญก็จริง แต่ก็ต้องดูแลใส่ใจการใช้ชีวิตควบคู่ไปด้วย แต่ละคนยุ่งวุ่นวายหายตัวกันไปทั้งวัน มันใช้ได้ไหมล่ะ พวกเธอเป็นหนุ่มสาว อย่าดูแลใส่ใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนสูญเสียอีกสิ่งหนึ่งไป เงินหาได้ไม่รู้จบ อย่าเอาความมุ่งมั่นไปใช้กับเรื่องงานทั้งหมด”

การฟังผู้ใหญ่พูดจาด้วยหลักเหตุผลเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด เริ่มต้นด้วยคำพูดยาวเหยียดหลายพันตอน ให้หวนย้อนคิดถึงความทรงจำในสมัยนั้นที่ขมขื่นกว่าจะมีวันนี้ที่สุขสบายได้ แล้วตามมาด้วยคำเทศนาถึงความรักของแม่หลายหมื่นบท เมื่อปีก่อนคุณแม่เฝิงเพิ่งจะเกษียณออกมาจากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศแห่งปักกิ่ง รูปแบบการใช้ภาษาเป็นของแท้ต้นฉบับสุดๆ เรื่องนี้จึงยิ่งเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่งสำหรับชูหนิง

เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้หลังกระเป๋าถือระหว่างขาสองข้าง แอบอ่านข้อความที่ยังไม่ได้อ่านจากเลขาฯ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดคุณแม่เฝิงก็ตบท้ายด้วยเสียงทอดถอนใจ “พวกเธอไม่ได้ชอบฟังที่คนแก่พูดจานักหรอก รู้อยู่แก่ใจดีก็พอ งานหมั้นก็ชะลอเอาไว้ก่อน รอให้ขาของชูหนิงหายดีเป็นปลิดทิ้ง แล้วพวกเราสองครอบครัวค่อยปรึกษาหารือกันอีกที”

เฉินเยวี่ยลุกขึ้น จูงมือคุณแม่เฝิงอย่างสนิทสนมอบอุ่น ขณะเดินไปข้างนอกก็ผงกศีรษะไปด้วย “ได้ค่ะ รบกวนคุณแล้วค่ะ”

เฝิงจื่อหยางลุกขึ้นส่งทั้งสองคนออกไป หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีก็กลับมา เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าก็ได้ยินเสียงชูหนิงกำลังคุยโทรศัพท์

“สัญญาเขียนเป็นหลักฐานอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ คู่สัญญาเขาแซ่เฉิงสินะ เซ็นชื่อลงนามก็เซ็นแล้ว ตราประทับทางการก็ประทับแล้ว จะฟ้องฉันเหรอ ได้เลย ให้เขาฟ้อง ติดต่อประสานงานกับกระทรวงยุติธรรม ก่อนอื่นเลยนะ ถ้าเขากล้าที่จะลองของให้ฉันขาดทุนดูสักนิดล่ะก็ เงินงวดสุดท้ายสักหยวนเดียวก็อย่าคิดจะได้ไป”

น้ำเสียงของชูหนิงยังถือว่าค่อนข้างนุ่มนวล แต่เวลาขึ้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ เสียงนั้นเด็ดขาดห้วนๆ ยากที่จะหาความเป็นมิตรเจอ

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว บอกกับภายนอกว่าฉันเดินทางไปทำงานที่เสฉวน ยังไม่จองวันเดินทางกลับ ใช้เวลากับเขาเถอะ แล้วก็ไม่ต้องรีบ ต้อนรับทักทายเขาด้วยน้ำชาชั้นดี” ชูหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเบอร์โทรศัพท์ของฉี่หมิงอินดัสทรีให้ฉันหน่อย ประธานแซ่เว่ยใช่ไหม ฉันจะแจ้งเขา”

ชูหนิงหากระดาษไม่เจอ จึงไขว่ห้างพาดขาขวาที่ ‘ได้รับบาดเจ็บ’ แล้วหมุนปลอกปากกาออกก่อนจะจดหมายเลขลงบนเฝือกเสียเลย มือของเธอว่องไว ตัวอักษรก็เขียนอย่างบรรจงคล่องแคล่ว เฝิงจื่อหยางเดินเข้าไปแล้วเคาะลงบนเฝือกของเธอเบาๆ อย่างร่าเริงสุดๆ

“โอ้ เฝือกจริงนี่นา เอ๋? เคลื่อนไหวได้ไหม”

ชูหนิงยกขาข้างหนึ่งขึ้น เกือบจะถีบเอาเฝิงจื่อหยางล้มคว่ำ “ไป ชิ่วๆ”

เฝิงจื่อหยางชูนิ้วโป้งขึ้นมา “ดีที่เธอนึกขึ้นได้นะ”

ชูหนิงคร้านจะกลอกตาใส่อย่างเอือมระอา โดยหลักแล้วเรื่องนี้พูดไปก็ยาว ใช้ลูกไม้แบบนี้เพื่อหลบเลี่ยงงานหมั้นของสองครอบครัวก็ไม่ค่อยจะมีเกียรติจริงๆ นั่นแหละ ชูหนิงมองดูขาข้างขวาที่หนักเทอะทะ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนกับขาข้างซ้ายของเธอที่ยังใส่รองเท้าส้นสูงอยู่

ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด

เธอยันเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ เปลืองแรง เปลืองแรงชะมัดยาด!

“นายอย่ามาพูดจาเย้ยหยันบั่นทอนกำลังใจอยู่ตรงนี้เลย ถ้านายไม่หนีไปซ่อนตัวที่ต่างประเทศ คนที่ขาจะเดี้ยงก็คือนาย” ชูหนิงหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา เริ่มขยับขาซ้ายก่อน แล้วใช้นิ้วมืองัดแหวกเฝือกที่อยู่ตรงขาขวาอีกที ท่าทางกะเร่อกะร่าน่าขำ

เฝิงจื่อหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ช่างเหมือนเสาค้ำฟ้า* จริงๆ”

ชูหนิงหันหลังไปอย่างว่องไว ขี้เกียจจะตอบ

เฝิงจื่อหยางตะโกนอยู่ข้างหลัง “ไม้ ไม้ของเธอเนี่ย!” เขาหยิบไม้เท้าที่วางพิงกับผนังขึ้นมา มองแล้วมองอีกก็ต้องเอ่ยชมอย่างเสียไม่ได้ “สมจริงมาก ทุ่มเทกับงานเหลือเกิน”

ชูหนิงเอี้ยวตัวหันกลับไปหยิบไม้เท้า คิ้วสองข้างขมวดเล็กน้อย สีหน้าหงุดหงิดรำคาญ “ฉันไม่หมั้นนะ นายไปจัดการครอบครัวนายให้เรียบร้อย”

เรื่องนี้มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ เฝิงจื่อหยางมีผู้หญิงอยู่ในใจแล้ว แต่ก็จนใจที่ตระกูลเฝิงไม่ยอมรับ มีญาติโกโหติกามากมายก็เรื่องเยอะกันทั้งนั้น สนใจแต่เรื่องฐานะครอบครัวและสถานะทางสังคมที่เหมาะสมทัดเทียมกัน ส่วนชูหนิงมีตระกูลจ้าวทางตะวันออกของเมืองเป็นที่พึ่งพิง บวกกับตัวเธอเองก็มีบริษัทขนาดใหญ่ใช้ได้ ตั้งอยู่บนตึกงามตระหง่าน สอดคล้องกับความต้องการของตระกูลเฝิงอย่างมาก

พูดตามตรง เฝิงจื่อหยางต้องการตัวหลอกที่สมบูรณ์แบบ และชูหนิงเองก็เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ของเขา ทั้งนอกและในวงการต่างก็ห้อมล้อมด้วยทรัพยากรจำนวนไม่น้อย ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการกันทั้งสองฝ่าย ร่วมมือกันได้อย่างเป็นสุข

ชูหนิงขึ้นไปบนรถแล้ว เฝิงจื่อหยางเกาะประตูรถพลางโน้มตัวลงมากำชับว่า “อย่าลืมนะ อาทิตย์หน้าไปเป็นเพื่อนฉัน…”

ชูหนิงพูดตัดบท “รู้แล้วน่า” ขณะที่หน้าต่างรถเลื่อนขึ้นจะปิด เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชา “การแข่งขันด้วยวิธีเถื่อนๆ แบบไม่เป็นโล้เป็นพาย มีอะไรน่าดูชมกันนะ”

 

ช่วงนี้ชูหนิงยุ่งเป็นพิเศษ งานมากมายกองพะเนินล้นมือ ต้องเสียเวลาช่วงเช้าไปกับการพบผู้อาวุโสคนหนึ่ง แถมยังต้องแกล้งทำเป็นขา ‘เดี้ยง’ อีก ในวงการของเธอจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ข้อมูลข่าวลือแค่นิดเดียวไม่กี่ชั่วโมงก็แพร่สะพัดไปทั่ว ดังนั้นอย่างน้อยเธอก็ต้องแกล้งทำเป็นเดี้ยงไปสักสามวันห้าวันเพื่อแสดงละครให้สมจริง

ตอนแรกเธอวางแผนจะกลับบริษัท แต่พอขับมาถึงประตูเจี้ยนกั๋วเหมิน จู่ๆ เลขาฯ ก็โทรศัพท์มา “ท่านประธานหนิง คนของซิ่นต๋ามาอีกแล้ว อยู่ที่ประตูทางเข้าห้องสำนักงานของคุณ บอกว่าถ้าไม่ได้พบคุณก็จะไม่ไปไหน”

ชูหนิงสีหน้าสงบ ตบขาข้างที่ใส่เฝือกของตัวเองเบาๆ “งั้นก็ให้พวกเขาคอยไปเถอะ”

ครั้นวางสายโทรศัพท์ เธอก็ถามคนขับรถว่า “ข้างหน้าก็คือจิงไท่สินะ พอถึงแล้วจอดข้างๆ เลย”

หลังลงจากรถ ชูหนิงก็ให้คนขับรถกลับไปก่อน ส่วนตัวเองก็พยุงไม้เท้าเดินอย่างเนิบนาบสบายๆ วันนี้ที่ปักกิ่งอากาศดี แสงอาทิตย์ไม่จ้าจนแสบตา ส่องสว่างกำลังดี สายลมอ่อนพัดโชย ราวกับมอบชั้นอุณหภูมิแห่งความอบอุ่นให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ชูหนิงอารมณ์แจ่มใสขึ้นทันใด ก้มหน้ามองดูขาที่ใส่เฝือกของตนเองแล้วใช้ไม้เท้าแตะๆ พื้นอีกหน ปรับอารมณ์ให้เป็นแบบอื่นบ้างก็ออกจะดีไม่น้อย

ในบริษัทของเธอมีพนักงานที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับตระกูลเฝิง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเห็นพิรุธ ชูหนิงตัดสินใจว่าในสองวันนี้จะปรากฏตัวให้น้อยหน่อย แน่นอนว่าการต่อสู้ชิงชัยชิงไหวชิงพริบกับคู่สัญญาที่จ้องจะหาเรื่องอยู่ในช่วงนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ

เดินไปได้ครึ่งทาง เลขาฯ ก็โทรศัพท์มาอีกแล้ว “ท่านประธานหนิง! คุณอยู่ที่ไหน พวกที่มาบริษัทเพื่อเฝ้าคุณเป็นคนกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขายังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามหาคุณอยู่!”

ได้ยินคำพูดแค่ครึ่งเดียว ชูหนิงก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

สายตาของเธอจับจ้องตรงทางแยกเบื้องหน้า คนราวสามถึงห้าคนตั้งแถวกันอยู่ตรงนั้น เหมือนกับแบ่งกองทหารออกเป็นสองแถวเพื่อเฝ้าตอรอกระต่าย*

นำโดยรองประธานคนหนึ่งของซิ่นต๋าที่เคยติดต่อเรื่องธุรกิจกันไม่กี่ครั้ง พอเขาเห็นเธอเข้าก็กล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“โอ้ ประธานหนิง บังเอิญจังนะ”

การแสดงออกของชูหนิงเป็นธรรมชาติสุดๆ เหมือนกับว่าบังเอิญเจอจริงๆ “แหม ประจวบเหมาะเหลือเกิน ฉันกำลังเตรียมตัวจะโทรศัพท์หาคุณพอดี”

ขณะที่เธอพูดอยู่ เขาก็เดินเข้ามาใกล้พลางยิ้มตอบ “ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็ถือโอกาสอดทนอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกับคุณลุงคุณอาทางนี้หน่อยสิ?”

มีความหมายอื่นแฝงอยู่ในคำพูด เธอย่อมรู้อยู่แก่ใจดี

จะว่าไปแล้วบุญคุณและความแค้นระหว่างสองครอบครัวก็เป็นเรื่องที่เรียบง่ายเช่นกัน ในแง่ธุรกิจก็ว่ากันด้วยธุรกิจ ล้วนอยากได้เงินกันทั้งนั้นแหละ กลุ่มซิ่นต๋านี้อยากจะขยายกิจการให้เติบโตที่ปักกิ่ง ทว่าขาดแคลนเครือข่าย ไม่รู้ว่าไปรู้จักนายหน้าคนกลางที่ดูท่าทางค่อนข้างน่าเชื่อถือจากที่ไหน ถ้าพูดถึงคุณวุฒิตามลำดับอาวุโสแล้ว แม้ชูหนิงจะอายุไม่มากก็จริง แต่ว่าประสบการณ์ในแวดวงการทำงานก็เรียกได้ว่ามีมากมายเป็นกอบเป็นกำ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับนายหน้าคนกลาง กึ่งล่อกึ่งหลอกซิ่นต๋าผู้ที่มาใหม่ให้เซ็นสัญญาราคาสูงได้อย่างมึนๆ งงๆ จนเมื่อเจ้าตัวย้อนกลับมาตรวจสอบอีกครั้งจึงได้รู้เข้าในภายหลังก็คิดจะไม่ทำสัญญาด้วยกันแล้ว

ได้เป็ดตัวอ้วนมาอยู่ในเงื้อมมือทั้งทีจะปล่อยให้มันบินหนีไปได้ยังไงกัน

ว่าแล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมา ชูหนิงมีประสบการณ์มากพอ ไม่กลัวหรอก วัดกันไปเลยสิ!

คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีเล่ห์กลอยู่บ้าง จะหลบก็หลบไม่พ้นเสียแล้ว ชูหนิงจึงปั้นหน้าให้ดูดี มีท่าทีเหมือนกับว่านอนสอนง่าย

ฝ่ายตรงข้ามเปิดประตูรถเสียแล้ว จบกัน ทันทีที่ขึ้นรถก็จะเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน** เธอเป็นฝ่ายเดินไปข้างหน้าก่อนสองก้าวพร้อมกับมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงเป็นการจับสังเกตดูด้านหลังของพวกเขาต่างหาก

จากตรงนี้ไปจะเป็นถนนสายแคบๆ สักห้าสิบกว่าเมตรจึงจะเชื่อมไปสู่ถนนเส้นในที่คับคั่งจอแจ

ชูหนิงลากขาข้างขวาที่ใส่เฝือกแล้วค่อยๆ ขยับหันทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ทันใดนั้น…กริ๊งๆ

เสียงกระดิ่งรถดังก้องกังวานต่อเนื่องเป็นระยะ ราวกับมีอาคันตุกะที่คาดไม่ถึงถูกสายลมพัดหอบมา

ภาพที่ตัดสลับกันระหว่างสีเหลืองกับขาวบุกกล้ำกรายเข้ามาจากทางด้านหลัง เป็นจักรยานสีเหลืองสดใส พร้อมกับเงาร่างของผู้ที่ขี่มันซึ่งสวมใส่ชุดสเว็ตเตอร์สีขาวนั่นเอง

ชูหนิงไม่ทันได้มองดูใบหน้าของเขาให้ชัดเจน รีบโบกมืออย่างรวดเร็วแล้วส่งเสียงพูดดังลั่นทันที

“นายมาแล้วเหรอ ฉันคอยนายอยู่ตั้งนานแน่ะ!”

ครั้นอีกฝ่ายใกล้เข้ามา ชูหนิงกวาดสายตามองดูด้วยระยะเวลาที่สั้นมากๆ เป็นผู้ชายวัยรุ่น ผิวขาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา แต่ถลึงตาทั้งสองข้างจ้องมองจนกลายเป็นเครื่องหมายคำถามขนาดเบ้อเริ่มเทิ่ม

เขาจำเป็นต้องเบรกรถอย่างกะทันหัน เกิดเสียงเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด

ชูหนิงดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ ใช้วิธีการอันหยาบคายเกินกว่าจะรับไหวแต่กลับได้ผลชะงัดนัก พร้อมกับเอ่ยพูดเบาๆ อย่างรวบรัดและตรงประเด็น

“ฉันจะให้เงินนายหนึ่งพันหยวน”

ทว่าชายหนุ่มถูกขาข้างที่ใส่เฝือกของเธอดึงดูดความสนใจเข้าแล้ว เขาเองก็ตอบสนองอย่างชาญฉลาดเช่นกันด้วยการเกาหัวแกรกๆ แสดงท่าทีประหลาดใจ

“ไม่จริงน่า รังแกคนเจ็บขนาดนี้เชียวเหรอ”

“…”

ขายาวๆ ข้างหนึ่งของเขาวางเหนือพื้น ส่วนปลายขากางเกงเลิกขึ้นไปเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อเท้าที่มีเส้นเลือดปรากฏแจ่มชัด ชูหนิงจึงคิดในใจว่า อืม ไม่ได้ใส่กางเกงลองจอนสินะ

“ขึ้นรถ!”

ชูหนิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระโดดเหยงๆ ขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังด้วยขาข้างเดียว ยังไม่ทันจะนั่งให้ดี รถจักรยานก็พุ่งถลาออกไปแล้ว เนื่องจากอาการหงายหลังตามแรงเฉื่อยที่เกิดขึ้น เธอจึงจับชายเสื้อด้านล่างของเขาไว้แน่น แต่ว่าการกระทำเช่นนี้ออกแรงมากเกินไป จึงเกือบจะฉุดเอาคนหล่นลงมาจากจักรยาน

“โอ๊ย!!” ชายหนุ่มร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด “รัดท้องฉันจะตายอยู่แล้ว! ฉันจะอ้วกแล้วเนี่ย!” แน่นอนว่าเขาไม่ลืมว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานะคนดีที่กำลังทำเรื่องดีๆ อยู่ จึงออกแรงถีบแป้นเหยียบอย่างแรง “ถ้ากลัวตกก็จับที่ด้านบนๆ หน่อย ไม่เป็นไรหรอก ฉันปั่นเร็วมากนะ”

ชูหนิงขยับเขยื้อนมือ แต่รถจักรยานกลับส่ายอย่างแรงเพราะคนขี่สะดุ้งเหมือนถูกสายไฟที่เชื่อมต่อส่งผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป เขาโพล่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“จ๊าก! ยะ…อย่าจับตรงรักแร้สิ ฉันบ้าจี้”

ชูหนิงหมดคำพูด มือของเธอไม่ได้เปลี่ยนที่เลยนะ

ในขณะเดียวกันเธอก็เห็นพวกกลุ่มคนของซิ่นต๋ากำลังตกตะลึงพรึงเพริด หลังจากพวกเขาได้สติแล้วก็รีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

“ไป ไล่ตามไปๆ”

รถจักรยานบุโรทั่งจะวิ่งสู้รถสี่ล้อได้อย่างไร ชูหนิงหันหน้าไปมอง ตอนที่หันกลับมาก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้คิดจะเผ่นหนีเข้าไปในซอยทางฝั่งขวาของย่านชุมชน

ซอยนั้นเป็นทางสัญจรสำหรับแล่นทางเดียวถสี่ล้อไม่สามารถเข้าไปได้

ค่อนข้างหัวใสใช้ได้เลยนี่นา! ชูหนิงเพ่งพินิจดูด้านหลังของเขาแวบหนึ่ง โครงกระดูกตั้งตรง ตัวสูงชะลูด กระปรี้กระเปร่าเรี่ยวแรงพลุ่งพล่านแบบที่มีเฉพาะในชายวัยหนุ่ม เพราะว่าออกแรงปั่นอยู่ทำให้ตั้งแต่ต้นขาถึงเอวไปจนถึงกระดูกสะบักล้วนแล้วแต่กำลังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว

ชูหนิงได้กลิ่นจางๆ บนเสื้อผ้าของเขา คล้ายกับกลิ่นหลันเยวี่ยเลี่ยง* ที่คุณป้าแม่บ้านใช้ซักเสื้อผ้านิดหน่อยแฮะ

ขณะที่คิดไม่ซื่อเล็กน้อยก็พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

ความเร็วรถกำลังชะลอลง อีกทั้งยังต้องใช้พละกำลังในการปั่น

“ทางขึ้นเนิน เธอนั่งให้นิ่งล่ะ”

ขึ้นเนินลูกนี้ไปถึงจะเข้าสู่ซอยนั้น ชูหนิงหันไปมองดูข้างหลัง รถไล่ตามมาใกล้ทันแล้ว

“จอด”

“หา?”

“จอดรถ”

ลมแรงนิดหน่อยทำให้เขาได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ”

ชูหนิงเงียบเสียงแล้วก็เอื้อมมือไปแหย่ตรงรักแร้ของเด็กหนุ่ม รถจักรยานส่ายอย่างแรง หลังจากนั้นเขาก็เบรกกะทันหันเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ รถจอดนิ่งในฉับพลัน

เด็กหนุ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มือสองข้างกอดอกแน่น ทำเสียงเป่าลมดังฟู่ๆ พร้อมกับพูดว่า “อย่าจั๊กจี้ฉันสิ วางใจได้ เงินหนึ่งพันหยวนนั่นเธอไม่ต้องให้หรอก”

ชูหนิงกระโดดลงจากรถ มองดูรอบๆ บริเวณอย่างรวดเร็ว เธอหมายตาเสาม้านั่งหินที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้และต้นหญ้าเขียวขจีตรงข้างทางเอาไว้อย่างแม่นยำ แล้วจึงเดินก้าวเล็กๆ ด้วยขาสองข้าง สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หนึ่งเฮือก

จากนั้นก็ยกขาขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เธอเอาขาขวาที่ใส่เฝือกของตนเองกระแทกใส่เสาม้านั่งหินเต็มเหนี่ยวโดยไล่จากบนลงล่าง

เกิดเสียงหนักดังโพละ เฝือกแตกออกจนได้

พอไม่มีของที่เกะกะเช่นนี้ ชูหนิงก็วิ่งฉิวได้ทันที ผมยาวเป็นลอนที่สะบัดอยู่นั้นยิ่งขับให้เธอดูโดดเด่นภายใต้สภาพอากาศที่ดี ราวกับเธอคลุมศีรษะด้วยผ้าไหมหลากสี

“อึ้งอยู่ทำไมล่ะ วิ่งสิ!”

พูดเพียงนิดเดียวเธอก็หนีไปจนใกล้จะถึงยอดเนินแล้ว

อิ๋งจิ่งมองดูเฝือกที่แตกเป็นเสี่ยงกองนั้น แล้วมองดูเงาหลังของผู้ที่หลุดจากพันธนาการเหมือนดั่งอาชางามที่หลุดพ้นจากบังเหียน

เขารู้สึกช็อก

 

* วันศารทวิษุวัต (Autumnal Equinox) เกิดขึ้นในวันที่ 22 หรือ 23 กันยายนของทุกปี ตรงกับฤดูใบไม้ร่วง เป็นวันที่ตำแหน่งดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรของโลก ความเอียงของแกนโลกอยู่ในระนาบที่ตั้งฉากกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ ทำให้ในวันนั้นระยะเวลาช่วงกลางวันจะเท่ากับกลางคืน

* เสาค้ำฟ้า เป็นคำพูดเปรียบเปรยบุคคลผู้อยู่ในฐานะที่ต้องรับภาระหนักอึ้งหรือรับผิดชอบเรื่องสำคัญ

* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก

** งานเลี้ยงหงเหมิน คืองานเลี้ยงทานอาหารที่เบื้องหน้าเชิญอีกฝ่ายมาร่วมงานเพื่อแสดงถึงการกระชับมิตร แต่เบื้องหลังแฝงเจตนาอื่นซ่อนเร้นและจัดเตรียมแผนการบางอย่างไว้เสร็จสรรพ โดยที่ใช้ความรื่นเริงบังหน้าเพื่อหาหนทางกำจัดอีกฝ่าย

* หลันเยวี่ยเลี่ยง เป็นชื่อยี่ห้อน้ำยาซักผ้าของประเทศจีน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 .. 65 เวลา 12.00 .

 

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: