บทที่ 7 แผนใหญ่ในการฟื้นฟูเยียน
มู่หรงชงไม่รู้ว่าเหตุใดมู่เฉินจึงยอมเลือกเขา เป็นเพราะบทเพลงเมฆมงคลนั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะเขาปิดบังความตั้งใจที่จะแก้แค้นไว้สำเร็จโดยใช้ประชาราษฎร์มาเป็นข้ออ้าง
ไม่ว่าเป็นอย่างใด เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วในตำนานผู้นี้ท้ายที่สุดก็ยืนอยู่ข้างข้า คิดถึงตรงนี้มู่หรงชงก็พลันรู้สึกว่าความอดทนอดกลั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูจะไม่ได้ยากเกินทนถึงเพียงนั้นแล้ว
มือเขาค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด จ้องมองขอบฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวพลางกล่าวเสียงกระซิบ “สวรรค์เบื้องบนเป็นพยาน ตราบใดที่เฟิ่งหวงยังมีชีวิตอยู่ จักฟื้นฟูต้าเยียนให้จงได้”
หมอกบางเบาตรงหน้าค่อยๆ สลายตัวไป หมู่เรือนค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงเลือนรางท่ามกลางแสงตะวัน
มู่หรงชงคลับคล้ายนึกขึ้นได้ว่าในช่วงที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวเมื่อห้าปีก่อนเขากับเหล่าคนในเผ่าของเขาแบกชื่อว่าสิ้นแคว้น ดั้นด้นเดินทางผ่านที่ราบซึ่งปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งมุ่งหน้ามาทางตะวันตก จวบจนปัจจุบันเขายังคงจดจำความหนาวเย็นจากการที่หิมะสะสมเปียกซึมผ่านถุงเท้ารองเท้านั้นได้ บุรุษชาวเซียนเปยเปลี่ยนจากที่เงียบขรึมอยู่แล้วเป็นยิ่งเงียบขรึมกว่าเดิม น้ำตาของเด็กและสตรีชาวเซียนเปยถูกลมเหนือพัดจนแห้ง พวกเขาเดินบนทุ่งร้างราวกับฝูงผีไร้ญาติจำนวนมหาศาล ยามเดินมาถึงแม่น้ำป้าเหอ ริมแม่น้ำมีขบวนคนที่มาต้อนรับฝูเจียนซึ่งกลับมาพร้อมชัยชนะยืนอยู่เต็ม มีคนขับร้องว่า ‘สีใบหลิวสดใหม่ ผู้จากไปย้อนคืนมา’
มู่หรงชงจดจำได้ตลอดมา ท่ามกลางขบวนคนในเวลานั้นนอกจากบุรุษชาวเซียนเปยผู้เงียบขรึมร่ำไห้แล้ว สตรีชาวเซียนเปยที่หลั่งน้ำตาจนแห้งผากก็ร่ำไห้แล้วเช่นกัน สุดท้ายเด็กๆ ก็เริ่มร้องเพลงขึ้นว่า
‘หยกงามแด่เจ้า ฝันเก่าคลุมเครือ
สลักซวิน ดินเผา มิมีเหน็ดเหนื่อย
โกฐจุฬาลัมพาชั่วนา ทุ่งร้างตาปี
ผืนป่างอกงามดี สุรีย์ใกล้ลับลา’
ต่อมามู่หรงเหว่ยฮ่องเต้แคว้นเยียนในกาลก่อน สนมชายา วงศาคณาญาติ ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ของเขาก็ต่างเปล่งเสียงร้องขึ้นตามกัน
ฝูเจียนไม่ไยดีพวกเขา เนื่องจากท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้องของกองทัพฉิน เสียงของพวกเขาจึงดูไร้ค่าให้กล่าวถึง
บทเพลงนี้เป็นพี่หงสอนเขา
มู่หรงชงคิดถึงว่าคืนนี้จะได้พบมู่หรงหงก็อดจะเริ่มครวญทำนองที่อยู่ในความทรงจำขึ้นมาไม่ได้
“โกฐจุฬาลัมพาชั่วนา ทุ่งร้างตาปี
ผืนป่างอกงามดี สุรีย์ใกล้ลับลา”
ความหลังเปรียบดั่งทุ่งรกร้าง ส่วนการหลงลืมเปรียบดั่งแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง เขายืนอยู่ตรงนี้ เผชิญหน้ากับความว่างเปล่ามหึมาจากการถูกคนหลงลืม อยากจะทำให้สีสันที่เผือดหายไปและบทสนทนาเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ดวงตามองเห็นมีเพียงสีขาวอันน่าสังเวชที่ราวกับลอยอยู่บนผิวทะเล
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง เขาไม่ทันหันกลับไปผู้มาก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายตื่นเร็วจริง”
มู่หรงชงเห็นว่าเป็นมู่เฉิน นางสวมชุดลำลอง ในมือถือตะกร้าใบเล็กไว้ใบหนึ่ง มองเห็นมู่หรงชงจ้องตะกร้าของนาง นางก็กล่าวยิ้มๆ “หอมมากใช่หรือไม่ อาหารว่างยามเช้าที่ข้าทำเอง อยากลองชิมหรือไม่”
“เอาสิ” มู่หรงชงตอบพลางเดินไปยังศาลาเล็กทางด้านหน้า “ลับหลังผู้อื่นเจ้ากับข้ามิใช่นายบ่าว เรียกข้าว่าเฟิ่งหวงก็ได้”
คนทั้งสองเดินเข้ามาในศาลา มู่เฉินวางตะกร้าใบเล็กลงบนโต๊ะศิลา เปิดฝาหยิบซาลาเปาลูกน้อยที่บรรจงทำออกมาหนึ่งจานก่อนเอ่ยว่า “มีสารพัดรสชาติเลย เชิญกินได้ตามสบาย”
มู่หรงชงหยิบบรรดาซาลาเปาขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือมาถือไว้ในมือ “เจ้าตื่นแต่เช้ามาทำสิ่งนี้?”
“มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ” มู่เฉินพูดยิ้มๆ “เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคน เมื่อก่อนข้าทำกับข้าวกินเองทุกวัน หลายปีมานี้ฝีมือนับว่าไม่เลว”
มู่หรงชงกัดไปคำหนึ่ง เป็นไส้เม็ดบัวหอมสดชื่น เขาพยักหน้าพลางเอ่ยชม “ไม่เลวจริงๆ”
มู่เฉินเองก็หยิบลูกหนึ่งขึ้นมาพลางถามว่า “เมื่อครู่ท่านร้องเพลงอะไร”
“เพลงรบของเซียนเปย”
มู่เฉินจึงว่า “ข้าเป็นชาวฮั่น ไม่เข้าใจบทเพลงชนเผ่า แต่ท่านร้องที่ฉางอันออกจะไม่ถูกกาลเทศะนัก”
มู่หรงชงกินซาลาเปาลงท้องไปสองลูก อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วจึงกล่าวว่า “จู่ๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจ นึกว่าเช้าตรู่คงไม่มีใครได้ยิน”
“ใครจะไปรู้ว่ายังอุตส่าห์มีคนตื่นเช้ามาเข้าครัว…จริงหรือไม่” มู่เฉินถามเองตอบเอง “ตื่นเช้าถึงจะมีของอร่อยให้กินสินะ”
คนทั้งสองกินซาลาเปาลูกน้อยหมดจานแล้ว มู่หรงชงยังดูจะไม่หนำใจ ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ยังคงถามว่า “เจ้าทำทุกวัน?”
มู่เฉินยิ้ม “อยากจ้างข้าเป็นแม่ครัวให้ท่านใช่หรือไม่”
มู่หรงชงตอบ “มิกล้า ความสามารถของแม่นางมู่ไหนเลยจะมีเพียงงานครัว เฟิ่งหวงมิกล้าใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน”
มู่เฉินเห็นเขาพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วก็กล่าวตามตรง “ในใต้หล้าลือเรื่องเขาปี้ลั่วกันเสียลี้ลับเกินไป อันที่จริงข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าข้าต้องทำอะไรในโลกอันวุ่นวายใบนี้ เดิมทีข้าอยากพาน้องสาวกลับไปหนานเหยาอันเป็นบ้านเกิดของมารดา ไม่ต้องการลุยน้ำขุ่นนี้ด้วย แต่เรื่องมาถึงบัดนี้ ข้ารับปากท่านแล้ว ท่านช่วยข้าหาอวิ่นจือให้พบ ข้าก็จะมอบศาสตร์แห่งกษัตริย์ให้ท่าน หลังจากนี้พวกเราสองคนไม่ติดค้างกัน ข้าพาอวิ่นจือกลับหนานเหยา ท่านดำเนินตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ของท่านต่อไป”
มู่หรงชงรีบขอบคุณ ถัดจากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกด้วยความข้องใจ “หนานเหยาคือที่ใด ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ทุกคนล้วนบอกว่าไม่เคยได้ยิน” มู่เฉินท้อแท้ใจอยู่บ้าง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แต่โลกนั้นกว้างใหญ่ บางทีอาจจะมีสถานที่ลับตาคนอยู่ ค้นหาให้ทั่วสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างไรก็ต้องหาเจอ”
มู่หรงชงชื่นชมในความใจกว้างไม่อนาทรร้อนใจนี้ของมู่เฉินจึงถามอีกว่า “กำลังทหารของฝูเจียนแข็งแกร่งเกรียงไกร เจียงจั่วก็เป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย เหตุใดเจ้าจึงเลือกขุนนางสิ้นแคว้นอย่างข้า”
“ทุกเรื่องเน้นว่ากันที่วาสนา” มู่เฉินตอบ “บนถนนฉางอัน ท่านกับข้าต่างเคยเอ่ยถึงเรื่องในอดีตที่เสียใจ นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบกันอีก ไหนเลยจะคาดคิดว่ากลับได้พบกันในวังหลวงแคว้นฉิน ข้าเป็นคนเรียนไม่เก่ง ไม่เข้าใจสถานการณ์ใต้หล้า รู้เพียงว่าท่านบ้านแตกสาแหรกขาดคล้ายกันกับข้า บังเอิญว่าท่านมีปณิธานกว้างไกลอีก ข้าจึงยืมดอกไม้ถวายพระ* แล้ว”
มู่หรงชงฟังเงียบๆ คิดในใจว่าเพลงพิณบทนั้นแค่บรรเลงเอาใจฝูเจียน ในใจข้ามีเพียงสกุลมู่หรง ใต้หล้ามาจากที่ใด แต่เพียงเพราะวาจานั้นของมู่เฉิน จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดเกี่ยวกับประชาราษฎร์ในใต้หล้าขึ้นมาเล็กน้อย ในชั่วประกายไฟแลบนี้ก็คลับคล้ายว่าจะเหลือบเห็นศรัทธาอันแข็งแกร่งเบื้องหลังความมุ่งหมายของฝูเจียน
เขาถึงกับกระวนกระวายขึ้นมาชั่วขณะ คิดในใจว่าภายภาคหน้าเกรงว่ามู่เฉินคงจะรู้สึกว่าเลือกคนผิดแล้วกระมัง
มู่หรงชงคิดแล้วก็ถามว่า “แม่นางมู่ ตามความเห็นของเจ้า ก้าวแรกในยามนี้ควรทำสิ่งใด”
มู่เฉินรู้ว่าเขามีเจตนาหยั่งเชิง จึงบอกออกไปอย่างหนักแน่นสองคำ “ปราบจิ้น”
“ปราบจิ้น?”
มู่เฉินย้อนถาม “ท่านคงมิใช่คิดไม่ได้แม้แต่เรื่องนี้กระมัง”
ระหว่างที่มู่หรงชงขบคิดหาคำตอบมู่เฉินก็เก็บจานเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจากไปได้กล่าวยิ้มๆ “วันหน้ากินด้วยกันก็แล้วกัน ข้าทำคนเดียวกินคนเดียวน่าเบื่อมากจริงๆ”
มู่หรงชงยิ้มพลางตอบว่า “ตกลง”
นับตั้งแต่มู่หรงเหว่ยมาถึงเมืองฉางอันก็อาศัยอยู่ที่เรือนจิ่งผิงมาโดยตลอด ในสายตาคนนอกเขาดูเป็นคนระวังตัวแจ ไม่ถามไถ่เหตุการณ์บ้านเมืองใดๆ ซึ่งอันที่จริงเขาก็ไม่มีความกล้าและความสามารถที่จะทำเรื่องฟื้นฟูต้าเยียนให้เป็นจริงได้จริงๆ จวบจนกระทั่งคืนนี้ จู่ๆ มู่หรงหงก็ถือกระดาษม้วนหนึ่งมายังเรือนจิ่งผิง
“พี่เหว่ย ท่านพอใจจะเป็นซินซิงจวิ้นโหวเพียงเท่านี้หรือ”
มู่หรงเหว่ยตัวสั่นเทา น้ำชาในถ้วยกระฉอกลงพื้น เขามองน้องชายที่โตจนสูงกว่าตนเองแล้วตรงหน้าผู้นี้ อยากจะค้นหาความไร้เดียงสาเฉกเช่นในสมัยก่อนจากใบหน้าอีกฝ่าย แต่กลับหาไม่พบ
มู่หรงผิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบปิดประตูหน้าต่าง เตรียมจะสั่งให้คนไปเฝ้าด้านนอกในทันที มู่หรงหงกลับห้ามไว้ แล้วกล่าวกับผู้ติดตามที่ด้านหลัง “อาหย่ง เจ้าไปเฝ้าประตู”
“ขอรับ!”
มู่หรงเหว่ยกล่าว “น้องหง เรื่องฟื้นฟูเยียน ข้าเก็บซ่อนไว้ลึกในใจมาตลอดห้าปี ไม่กล้าลืมแม้แต่วันเดียว แต่…”
“แต่ก็ไม่กล้าทำแม้แต่วันเดียว?” มู่หรงหงพูดต่อจากอีกฝ่าย “วันนี้ข้ายังนัดชงเอ๋อร์มาด้วย ประเดี๋ยวเขาก็มาถึงแล้ว”
มู่หรงเหว่ยพูดด้วยความตกใจ “เจ้าเรียกเฟิ่งหวงมาด้วย?”
มู่หรงหงตอบ “เขามิใช่เด็กแล้ว”
มู่หรงชงแต่งกายชุดลำลองมุ่งหน้าไปพบกับพวกมู่หรงเหว่ยเพียงลำพังคนเดียว
ครั้นมาถึงเรือนจิ่งผิงกลับถูกคนขวางไว้ “เจ้าเป็นผู้ใด จวิ้นโหวพักผ่อนแล้ว ไม่สะดวกพบแขก”
มู่หรงชงเห็นเป็นคนหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง หน้าตาขาวผ่อง หล่อเหลาพริ้มเพรา อีกทั้งน่าจะเป็นชาวเซียนเปยจึงกล่าวว่า “มู่หรงชงขอพบจวิ้นโหว”
ไม่คาดว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะไม่ปล่อยผ่านไปในทันที กลับถามว่า “เป็นจงซานอ๋องมู่หรงชงหรือเจ้าเมืองผิงหยางมู่หรงชง”
มู่หรงชงใจหล่นวูบ ความคิดนานัปการพรั่งพรูขึ้นมาในบัดดล ขณะอยู่ที่แคว้นเยียนเขาเคยได้รับแต่งตั้งเป็นจงซานอ๋อง ในห้าปีหลังแคว้นเยียนถูกทำลายไม่เคยได้ยินคำเรียกขานนี้อีกเลย เคยมีพวกสอดรู้หัวเราะเยาะลับหลังว่าแคว้นเยียนให้เด็กสิบขวบคนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการกลาโหม ไม่แปลกที่แคว้นถูกทำลาย
ห้าปีต่อมาได้ยินคำเรียกขานนี้อีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดาในสมัยเยาว์วัยที่แสนเลือนราง ในวังหลวงเมืองเยี่ยเฉิงเขาเองก็เคยถูกคนทั้งหลายประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ เอาอกเอาใจจนเป็นท่านอ๋องน้อยผู้หยิ่งยโส
มู่หรงชงฝืนข่มกลั้นความเจ็บแสบที่ปลายจมูก กล่าวเสียงเข้ม “ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในยามนี้ย่อมเป็นจงซานอ๋องมู่หรงชง”
คนหนุ่มผู้นั้นได้ยินเขาตอบเยี่ยงนี้ก็ฉีกยิ้มทันที “ผู้น้อยมู่หรงหย่ง วันหน้าแล้วแต่จะบัญชา!”
มู่หรงชงมิได้สนใจความนัยในวาจาอีกฝ่าย เพียงเดินตรงเข้าไปข้างใน
ภายในห้องมู่หรงผิงและมู่หรงหงเพิ่งจะกางกระดาษ ภาพที่สะท้อนเข้าม่านตาของมู่หรงชงคือแผนที่ผืนหนึ่ง เขาอึ้งงันในทันที
มู่หรงเหว่ยกับมู่หรงผิงมองเขา ในสายตามีแววกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ครั้นมองมู่หรงหงอีกฝ่ายก็วางแผนที่ลง กล่าวกับมู่หรงชงว่า “เจ้ายังมีหน้ามาจริงๆ!”
มู่หรงชงรู้ว่าด่านนี้ผ่านได้ยาก แต่ยามมู่หรงหงพูดคำนี้ออกมาจริงๆ เขาก็ยังคงอดที่จะตาแดงไม่ได้ เขาหยิบมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาวางบนฝ่ามือ “หากพี่หงรู้สึกว่าข้าไม่มีหน้าให้พบผู้ใดได้ ก็ทำเรื่องที่ไม่ทันได้ทำเมื่อห้าปีก่อนเสียเถิด ห้าปีที่ข้ามีชีวิตอยู่มานี้หาได้สุขสบายไม่”
เขาจำได้ว่าห้าปีก่อนขณะเดินออกจากตำหนักชีอู๋มู่หรงหงถูกองครักษ์ขวางไว้ด้านนอก ตะโกนลั่นโดยที่บนหน้าน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ‘มู่หรงชง เหตุใดเจ้ายังต้องมีชีวิตอยู่! คนทั้งตระกูลรักเจ้าเอ็นดูเจ้าอย่างที่สุดเพื่อให้เจ้ามาเป็นอนุของฝูเจียนอย่างนั้นหรือ!’ แล้วไหนจะวาจาที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นในกลางดึกทุกครั้งนั่นอีก ‘อยู่ในโลกมนุษย์ไม่รู้จักกัน ลงไปยมโลกอย่าได้พบกันอีก’
นี่คือพี่ชายที่แต่ไหนแต่ไรมาเอ็นดูเขาเป็นที่สุด พี่ชายที่ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องอะไรจะปกป้องเขาไว้ด้านหลังเสมอ
เวลานั้นเขาก็แทบอยากจะคว้าดาบของมู่หรงหงมากรีดลงบนคอ หากทำให้เรื่องมันจบลงก็จะได้หมดเรื่องหมดราวไป แต่ในหูกลับมีเสียงร่ำไห้ของมู่หรงจิ่น ‘เฟิ่งหวง พี่หญิงรู้ว่าเจ้าคับข้องใจ แต่วาจาของเจ้าจะดีจะชั่วฝ่าบาทก็ทรงรับฟัง หากเจ้าตายไปสกุลมู่หรงของเราก็จบลงแล้ว’
เขารู้สึกว่าตนเองได้ตายไปหลายรอบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เขานึกว่าน้ำตาเหือดแห้งไปนานแล้ว แต่ผ่านมาห้าปี มองเห็นมู่หรงหงที่ยังไม่คลายโทสะตรงหน้านี้ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นน้ำตากลับไหลนองหน้าโดยไม่รู้ตัว
“พี่หง…”
มู่หรงหงรับมีดในมือมู่หรงชงมา มู่หรงเหว่ยรีบก้าวมาขวาง “น้องหง เจ้าจะแค้นก็แค้นข้า! ตอนนั้นเป็นข้าอนุญาตกลายๆ ให้น้องชงเข้าวังเอง เขาได้รับความทุกข์มากปานนั้น เจ้าอย่าตำหนิเขาอีกเลย”
มู่หรงผิงกล่าว “เป็นข้าออกความคิดเน่าๆ นั่นเอง! เสียแรงที่ข้าเป็นอาของพวกเจ้า ข้ามันไม่เอาไหนที่สุด!”
มู่หรงหงมองมู่หรงชงเนิ่นนาน แววในดวงตาแปรเปลี่ยนไปนับหมื่นในชั่วอึดใจ ไม่คาดว่าจู่ๆ จะใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกตนเองอย่างแรง เสื้อเปื้อนรอยแดงเป็นวงใหญ่ในทันที
“พี่หง!”
มู่หรงหงคืนมีดให้มู่หรงชงก่อนเอ่ยว่า “ข้าโมโห…โมโหที่บุรุษสกุลมู่หรงเรา น้องชายที่ดีที่สุดของข้าต้องใช้วิธีเยี่ยงนี้มาสร้างโอกาสให้พวกเรา แต่ข้าก็มิอาจไม่ยอมรับอีกว่าหากมิใช่เพราะเจ้าและจิ่นเอ๋อร์ พวกเราไหนเลยจะมีวันนี้ ชงเอ๋อร์ ข้าคืนแผลนี้ให้เจ้า ขอเก็บวาจาเมื่อห้าปีก่อนคืนมา ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าเป็นพี่น้องที่ดีของข้า!”
มู่หรงผิงรีบหาคนมาพันแผลให้มู่หรงหง หลังห้ามเลือดได้แล้วมู่หรงหงถึงได้พูดว่า “ครั้งนี้ข้าเรียกชงเอ๋อร์กลับมาด้วยก็เพื่อหารือเรื่องแผนการฟื้นฟูเยียน” เขาชี้แผนที่พลางว่า “ปัจจุบันฝั่งตะวันออกฝูเจียนทำลายต้าเยียนของเรา ฝั่งตะวันตกผนวกโฉวฉือ ทางใต้ยึดครองเหลียงอี้ นอกจากพื้นที่แถบเจียงจั่วก็เหลือเพียงแคว้นไต้ทางเหนือและแคว้นเหลียงทางตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำศึกสองทิศ ฝูเจียนจะต้องเลือกตีเอาแคว้นไต้และแคว้นเหลียงก่อนแล้วค่อยบุกจิ้น”
มู่หรงชงนึกถึงคำว่า ‘ปราบจิ้น’ ที่มู่เฉินพูด ตรงหน้าพลันสว่างวาบ เข้าใจความหมายของนางแล้ว
มู่หรงเหว่ยกล่าว “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฝูเจียนจะบุกจิ้นแน่นอน”
มู่หรงหงตอบ “แม้พวกหวังเหมิ่งจะเกลี้ยกล่อมมาตลอด แต่ขอเพียงฝูเจียนต้องการรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง มีหรือจะปล่อยคนเพียงแค่ห้าล้านที่แถบเจียงจั่วนั่นไป”
“นับแต่โบราณมาใครขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงง่ายบ้าง” มู่หรงชงว่า “ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่หง ถึงแม้ฝูเจียนจะไม่บุกจิ้น ข้าก็คิดวิธีทำให้เขาบุกได้อยู่ดี”
มู่หรงหงซักถาม “วิธีอะไร”
มู่หรงชงตอบ “หนึ่ง…เมื่อปีกลายเหลียงโจวอี้โจวก่อกบฏ จางอวี้กับหยางกวงขอให้เมืองขึ้นต่อจิ้น บอกว่าราชวงศ์จิ้นจึงจะเป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย ฝูเจียนยกทัพไปปราบด้วยความเดือดดาล เขาจะต้องรู้ดีแก่ใจแน่นอนว่าถ้าไม่กำจัดราชวงศ์จิ้น เขาจะไม่มีวันเป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ชอบธรรมได้ตลอดกาล สอง…ไม่กี่ปีมานี้ทุกครั้งที่ฝูเจียนมีเจตนานี้ล้วนถูกหวังเหมิ่งเป็นตัวตั้งตัวตีห้ามปราม เขาเองก็ฟังเพียงคำของหวังเหมิ่ง แต่บัดนี้หวังเหมิ่งป่วยหนัก ดูท่าทางอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว วันข้างหน้าไร้เสียงทัดทาน ฝูเจียนจะต้องทำตามอำเภอใจเป็นแน่แท้ สาม…ฝูเจียนรับสมัครผู้มีความสามารถเป็นวงกว้าง หากมีเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วในตำนานช่วยถ่ายทอดศาสตร์แห่งกษัตริย์ให้อีก เขาจะต้องคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมา เรื่องปราบจิ้นขึ้นอยู่กับเวลาช้าเร็วเท่านั้น”
ฟังมาถึงตรงนี้สามคนที่เหลือก็ล้วนแสดงสีหน้าประหลาดใจ
มู่หรงหงพูดขึ้นว่า “เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่ว? มู่เฉินแห่งเจียงจั่ว? มิใช่บอกว่านางหายตัวไปหรือไร”
มู่หรงชงมิได้พูดมาก เพียงกล่าวยิ้มๆ “นางยินดีช่วยต้าเยียนเรา”
“เช่นนี้ก็ดีมาก!” มู่หรงเหว่ยดีใจเป็นล้นพ้น “ดีมาก!”
มู่หรงหงพูดไปอีกขั้น “ข้าประจำการอยู่ทางเหนือ ในมือมีกำลังทหารอยู่บ้าง ชงเอ๋อร์กลับผิงหยางไปคราวนี้ก็ต้องเริ่มวางแผนเตรียมการ ขอเพียงฝูเจียนเริ่มลงใต้ เผ่าต่างๆ จะต้องวุ่นวายแน่นอน”
มู่หรงเหว่ยกล่าว “แต่ถึงเวลานั้นอำนาจหลายฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน พวกเราจะเอาชนะได้อย่างไร”
“พี่เหว่ยลืมไปคนหนึ่ง”
มู่หรงเหว่ยตรงหน้าสว่างวาบ “เจ้าหมายถึง…มู่หรงฉุย?”
บทที่ 8 องค์หญิงชิงเหอ
มู่หรงฉุยเคยเป็นบุคคลทรงความรู้ความสามารถที่ต้าเยียนหาได้ไม่มาก สร้างความดีความชอบในการศึกบ่อยครั้ง แต่กลับไม่ได้ดี ถูกมู่หรงผิงเบียดเบียนจนมาขอพึ่งพาฝูเจียนด้วยความจนใจ
ครั้นกล่าวถึงมู่หรงฉุย มู่หรงผิงก็พลันรู้สึกละอายใจสุดซึ้ง “หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรก…”
“ไม่มีตอนแรก” มู่หรงหงตัดบทเขา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
ขณะแคว้นเยียนถูกทำลายคนนับไม่ถ้วนเคยเจ็บแค้นมู่หรงผิง บอกว่าเขาเป็นขุนนางกังฉิน ทำให้บ้านเมืองล่มจม มีความผิดสมควรประหาร แต่ห้าปีมานี้จะอย่างไรก็เป็นเขาที่คอยอยู่ข้างกายมู่หรงเหว่ย มีใจสำนึกผิด แต่ก็จนใจที่ไร้กำลังจะกอบกู้คืน
มู่หรงชงเอ่ยถาม “นับตั้งแต่มาถึงฉางอันท่านอาฉุยเขาก็…ไม่ต้อนรับพวกเรามาโดยตลอด”
“ไม่ต้องให้เขาต้อนรับขับสู้” มู่หรงหงตอบ “มู่หรงฉุยมีใจคิดกบฏอยู่นานแล้ว ไม่ว่าต่อฝูเจียนหรือว่าต่อพี่เหว่ย เขาล้วนไม่มีทางจงรักภักดี ในระหว่างที่ใต้หล้าโกลาหล มู่หรงฉุยจะต้องตั้งพรรคพวกของตนเองขึ้นแน่นอน แม้พวกเราจะไม่มีกำลังพลจากเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังแซ่เดียวกัน ในสายตาคนนอกผู้ที่เกรียงไกรก็คือทั้งสกุลมู่หรง”
“ข้าเข้าใจความหมายของพี่หงแล้ว!” มู่หรงชงว่า “ถึงเวลานั้นพวกเราก็ชิงเข้าฉางอันก่อน ขอเพียงช่วยพี่เหว่ยออกไปในช่วงชุลมุนได้ ต้าเยียนก็สามารถกลับมารุ่งเรือง!”
มู่หรงหงพยักหน้า “มิผิด”
มู่หรงเหว่ยฟังถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามีความหวังแล้วเช่นกัน “อนาคตของต้าเยียนอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว!”
“พี่เหว่ยเพียงจำเป็นต้องอยู่ที่ฉางอัน เป็นซินซิงจวิ้นโหวที่ดูเหมือนสงบเสงี่ยมเจียมตัวผู้นี้ต่อไปก็เป็นอันใช้ได้ จำไว้ให้มั่นว่ามิอาจแสดงพิรุธให้ฝูเจียนมองออก”
มู่หรงเหว่ยพยักหน้าหงึกหงัก
มู่หรงหงกล่าวอีกว่า “ชงเอ๋อร์ยังต้องทำอีกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือ”
“วันนี้ฝูเจียนพิโรธหนัก เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
มู่หรงชงยังไม่ได้ยินเรื่องนี้จึงถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”
“ฝูเป่าต้องการแต่งงานกับเจ้า”
“อา!” มู่หรงชงอึ้งงัน เดิมทีเขานึกว่าที่เตือนฝูเป่าไปก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์ ไม่คาดว่านางจะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ปานนี้ ไปพูดเรื่องนี้กับฝูเจียนเข้าจริงๆ
“ผู้ที่โมโหไม่ได้มีเพียงฝูเจียน ยังมีฝูฮุยอีกคน” มู่หรงหงพูดพลางยกยิ้มมุมปาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาโมโหเพราะอะไร”
มู่หรงชงตอบ “เขาเกลียดข้าที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ฝูเป่าเป็นน้องสาวของเขา”
“ถูก และก็มิถูก” มู่หรงหงกล่าว “สายลับที่ข้าวางไว้ในวังหลวงแคว้นฉินค้นพบว่าฝูฮุยไม่ได้มีใจผูกพันกับฝูเป่าเพียงพี่น้องธรรมดา”
มู่หรงชงใคร่ครวญวาจาของอีกฝ่ายแล้วก็แทบจะตกใจจนเหงื่อท่วมตัว “พวกเขา…เป็นไปได้อย่างไร…”
“จุดนี้ฝูเป่ายังไม่รู้ ฝูเจียนยิ่งไม่มีทางรู้เข้าไปใหญ่” มู่หรงหงมองมู่หรงชงพลางว่า “ในเมื่อนางมีใจต่อเจ้า หากสามารถใช้เรื่องนี้ให้ดีได้จะต้องมีประโยชน์อย่างมาก”
มู่หรงชงกำลังคิดว่าควรตอบอย่างไร มู่หรงหย่งที่นอกประตูก็พลันตะลีตะลานวิ่งเข้ามารายงานด้วยความร้อนใจ “ข้าได้ยินข่าว องค์หญิงชิงเหอทรงตกพระโลหิต!”
มู่หรงชงผุดลุกขึ้นทันควัน แต่กลับถูกมู่หรงหงกดไว้ “เจ้าทำอะไร”
“ย่อมจะไปดูพี่หญิง!”
มู่หรงหย่งกล่าวว่า “บัดนี้ไปไม่เหมาะสม ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นั่น”
มู่หรงชงนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับมู่หรงจิ่นเมื่อคืนนี้ขึ้นได้ในทันที
‘ข้าได้รับจดหมายจากพี่หง บอกว่าคืนวันพรุ่งนี้จะหารือกับพวกเสด็จพี่และท่านอาผิง ข้ามาด้วยอยากถามพี่หญิงว่าท่านมีวิธีใดรั้งฝ่าบาทไว้ในคืนวันพรุ่งนี้หรือไม่ ข้าเกรงว่าถ้าเกิด…’
‘ไม่มีถ้า…ห้าปีแล้ว บุรุษสกุลมู่หรงเราควรได้หารือกันเสียที พี่หญิงอาจช่วยงานใหญ่อะไรไม่ได้ แต่คืนวันพรุ่งนี้จะรั้งฝ่าบาทให้ประทับอยู่ที่ตำหนักชีอู๋ให้ได้แน่นอน’
ในชั่วขณะนั้นมู่หรงชงเพียงความวิงเวียนตาลาย มือหนึ่งยันโต๊ะไว้ถึงทรงตัวยืนอยู่ได้
พี่หญิงถึงกับใช้วิธีพรรค์นี้มารั้งฝูเจียนไว้?
มู่หรงชงพยายามย้อนนึกถึงสีหน้าท่าทางของมู่หรงจิ่นยามพูดคำเหล่านั้น กลับนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เขาถามเสียงเบา น้ำเสียงเจือสะอื้น “พี่หง เพื่อฟื้นฟูเยียน ไม่ว่าสิ่งใด…ก็เสียสละได้ใช่หรือไม่”
สายตาของมู่หรงหงตกลงบนหน้าเขา เนิ่นนานถึงได้ตอบเรียบๆ “ใช่”
เขามองมู่หรงหย่งปราดหนึ่ง “เจ้าส่งชงเอ๋อร์กลับไป แล้วพักผ่อนให้เต็มที่” ก่อนจะกล่าวกับมู่หรงชงต่อว่า “ชงเอ๋อร์ ข้างกายเจ้ายังขาดคน มู่หรงหย่งทำงานมีไหวพริบ วันหน้าให้เขาติดตามเจ้าแล้วกัน”
มู่หรงชงพยักหน้าโดยที่ยังตะลึงงัน ในใจคิดถึงแต่มู่หรงจิ่นกับ…หลานชายที่ยังไม่เป็นตัวเป็นตนผู้นั้น
กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว มู่หรงชงนอนบนเตียงอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ยังนอนไม่หลับ เขาหลับไม่ลงจนเป็นความเคยชินแล้ว จึงคลุมเสื้อแล้วลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไป
ภายในลานเรือนเงียบสงัด เขานั่งลงบนระเบียงทางเดิน ตรงกำแพงเมืองที่อยู่ไกลๆ คล้ายว่าได้ยินเสียงขับร้องเพลงของทหารดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าราตรีอันเวิ้งว้าง เสียงขับขานดังเอื่อยไปในราตรีและบนพื้นดินอันเก่าแก่ผืนนี้ พร้อมกับอารมณ์ลึกซึ้งและความวิเวกวังเวงจากท่วงทำนองโบราณ มู่หรงชงเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำมืด คลับคล้ายรู้สึกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านไปในห้าปีนั้นล้วนกลายเป็นเลือนรางไม่ชัดเจน
เขาสวมชุดดำทั้งตัว ประหนึ่งว่าได้ผสานเข้ากับความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดแล้ว
เสียงหนึ่งพลันดังมาจากทางด้านหลัง “ไยท่านจึงมานั่งอยู่หน้าประตูข้า”
มู่หรงชงตกใจ หันไปเห็นมู่เฉินยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ “ข้า…ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นห้องของเจ้า นึกว่าไม่มีใครอยู่”
มู่เฉินเดินตรงมาก่อนเอ่ยว่า “ถึงไม่มีใครอยู่ ท่านมาร้องไห้อยู่ตรงนี้กลางดึกกลางดื่นก็ถูกท่านทำให้ตกใจตื่นกันหมดนั่นล่ะ!”
มู่หรงชงยกมือขึ้นเช็ด บนหน้ามีคราบน้ำอยู่จริงๆ จึงกล่าวด้วยท่าทางอีหลักอีเหลื่อ “ขออภัยด้วย เสียงดังรบกวนเจ้าแล้ว” เขาไม่ชอบคำอธิบายว่า ‘มาร้องไห้อยู่ตรงนี้กลางดึกกลางดื่น’ นี้เอามากๆ แต่ก็ยังชี้ปัญหาออกมาไม่ได้จึงได้แต่เงียบ
“ดีที่ข้ายังไม่หลับ…” มู่เฉินนั่งลงข้างเขา แล้วพลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้จึงขยับไปนั่งไกลขึ้น “ท่านมิใช่มีโรครักสะอาดหรือไร นั่งกับพื้นได้ด้วย?”
มู่หรงชงตอบ “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบสัมผัสกับผู้อื่น”
“เพราะอะไร”
มู่หรงชงมองเงาต้นไม้บนพื้น มิได้ตอบคำ
มู่เฉินกระเถิบตัวไปด้านข้าง รู้สึกว่านั่งทับถูกบางอย่างก็กระเถิบตัวออกดู เป็นซวินดินเผาอันหนึ่ง นางหยิบมันมาส่องดูกับแสงจันทร์ เห็นตรงปากเป่ามีฝุ่นก็ใช้แขนเสื้อเช็ด “งานหยาบไปหน่อย คล้ายว่ามีอายุบ้างแล้ว”
มู่หรงชงมองเห็นการกระทำของนางก็กล่าวว่า “ประเพณีของเซียนเปย ให้สลักนามของคนรักลงบนซวินดินเผาในวันแต่งงาน สวรรค์จะปกปักรักษาให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันไปชั่วกาลนาน”
“บัดนี้ประเพณีนี้ยังคงสืบทอดกันอยู่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้กลับไปหลายปีมากแล้ว”
มู่เฉินพลิกซวินดินเผาดูก็มองเห็นชื่อสองชื่ออยู่ด้านหลังตามคาด
‘ลวี่เฉิงกุย มู่หรงจิ่น’
มู่หรงชงกล่าวว่า “วันที่วังหลวงแคว้นเยียนถูกข้าศึกยึด ข้าอยู่ในห้องพี่หญิง ก่อนจากมาก็ได้นำมันติดมาด้วย ช่วงนั้นพี่หญิงชอบเป่าซวินนี้เป็นที่สุด นางเป่าได้ไพเราะนัก ข้าคิดว่าวันหน้าจะไม่ได้ยินแล้วก็ให้เสียดายไม่น้อย จึงนำมันติดตัวมาด้วย แต่พี่หญิงมาถึงฉางอันก็ไม่เคยเป่ามันอีกเลย ข้านึกสงสัยมาตลอดว่าคนที่ชื่อลวี่เฉิงกุยผู้นี้คือผู้ใด ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ แต่เรื่องเหล่านี้…บัดนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายแล้ว” รอยน้ำตาบนใบหน้ามู่หรงชงยังไม่แห้ง เขามองมู่เฉินพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่งยวด “เจ้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดเช่นกันใช่หรือไม่”
มู่เฉินส่ายหน้า “การหลั่งน้ำตาเป็นความเข้มแข็งประเภทหนึ่ง คนผู้หนึ่งหากแม้แต่ความทุกข์ทรมานและน้ำตาของตนเองยังไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ จำเป็นต้องปิดบังอำพราง ยังจะพูดถึงความกล้าหาญอีกได้อย่างไร”
มู่หรงชงกล่าวเสียงเบา “มู่เฉิน ขอบใจเจ้าจริงๆ”
มู่เฉินเพิ่งคิดจะบอกว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากนางก็ถูกแรงขุมหนึ่งดึงไปด้านหน้า ก่อนรู้สึกร้อนบนบ่า ตรงหน้าคือราตรีอันเดียรดาษไปด้วยดวงดาว มีเส้นผมจำนวนหนึ่งบดบังไว้ ทำให้ราตรีนั้นดูเป็นภาพกระจัดกระจาย
ชั่วครู่ต่อมามู่เฉินถึงได้เข้าใจว่ามู่หรงชงกอดนางไว้ ฝังดวงตาลงกับบ่านาง
เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่า ‘ไม่ชอบสัมผัสกับผู้อื่น…’
มู่เฉินไม่กล้าขยับตัว ความคิดแรกคือเขาที่เป็นชาวชนเผ่าช่างไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรีเอาเสียเลย ประเดี๋ยวจะฟาดเขาสักฉาดหรือจะตบเขาสักฉาดดี ต่อมานางก็คิดว่าคนผู้นี้น่าสงสารถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นก็ปลอบเขาแล้วกัน แต่พอนางยกมือขึ้นแล้วสุดท้ายก็ยังคงไม่ได้วางมันลงบนหลังของเขา
บนบ่าประเดี๋ยวอุ่นร้อน ประเดี๋ยวเย็นชื้น ประเดี๋ยวอุ่นร้อน ประเดี๋ยวเย็นชื้น…บุรุษผู้นี้ไยจึงร้องไห้เก่งปานนี้หนอ…
มู่เฉินมองท้องฟ้าราตรีอย่างเหม่อลอย ท้องฟ้าราตรีที่ผ่านมาหลายหมื่นปีแต่ราวกับผ่านมาหนึ่งวัน ไม่ว่าผ่านมานานเท่าไรก็ล้วนเหมือนเดิม ทว่ามีเพียงคืนนี้…ในชีวิตหลังจากนี้ของมู่เฉิน ในความทรงจำนับครั้งไม่ถ้วนของนางท้องฟ้าราตรีในคืนนี้แตกต่างไปอย่างมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.