X
    Categories: ทดลองอ่านฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

ในเมืองดอกท้อเริ่มผลิบาน กลีบดอกท้อสีแดงอ่อนนุ่มปลิวปรายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยั่วเย้าผีเสื้อและผึ้งให้ไล่ตามไม่หยุด

การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลของสตรีเป็นเวลาสามวันเพิ่งจะเสร็จสิ้นลง ขณะเสิ่นไท่ฟู่และคนอื่นๆ ปิดสนามสอบคัดลอกคำตอบจากกระดาษข้อสอบและพิจารณาตัดสิน ในเมืองชงโจวกลับมีข่าวลือที่น่าตื่นตะลึงแพร่กระจายออกมา…

องค์รัชทายาทเสด็จมาเฉาอันแล้ว!

โดยปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเป็นการส่วนพระองค์ ไม่มีการแจ้งขุนนางคนใดในเมืองต่างๆ ของเฉาอันเป่ยลู่ให้ทราบล่วงหน้า ตัวคนเดียวก็ไปที่ค่ายใหญ่ชิงโจวแล้ว จากนั้นก็เดินทางลงมาทางใต้ ตรวจสอบค่ายทหารหลายสิบแห่งตามแนวชายแดนทางเหนือโดยไม่มีใครรู้ จากนั้นควบม้าเร็วกลับมาที่เมืองชงโจว

พอเข้าเมืองชงโจว องค์รัชทายาทก็ตรงไปยังที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่ ของเฉาอันเป่ยลู่ มีบัญชาให้ขุนนางผู้มีอำนาจพัวพันถึงกิจการทหารตั้งแต่ผู้บัญชาการลงไปกลับมารอในที่ทำการ

เหล่าขุนนางในที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่ของเฉาอันเป่ยลู่ต่างตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปในทันที

จะมีใครคาดคิดได้ว่าองค์รัชทายาทจะเลือกมาเฉาอันในเวลานี้ แล้วจะมีใครคาดคิดได้ว่าองค์รัชทายาทถึงกับไปตรวจสอบค่ายใหญ่ที่ชิงโจว

คำสั่งดุจกระบี่ที่แหลมคม ไม่มีใครกล้าขัดขืน ถึงจะตื่นตระหนกหวาดกลัวเพียงใดก็ต้องรออยู่ในที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่แต่โดยดี แต่ส่วนลึกในใจกลับไม่รู้ว่าหมากก้าวนี้ขององค์รัชทายาทที่แท้แล้วหมายความว่าอย่างไร

 

บนแผ่นหินสีเขียวอมดำที่ลานใหญ่ของที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่มีเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด

บรรยากาศสบายๆ ในฤดูใบไม้ผลิ แต่พอหลังเที่ยงแสงอาทิตย์ก็สาดส่องจากท้องฟ้าลงมาบนร่างของเหล่าบุรุษที่สวมชุดขุนนางหนาหนักกลุ่มนี้ราวกับหินหนืด ไม่ว่าเป็นคนสุขุมเยือกเย็นดุจน้ำเพียงใดก็ไม่อาจทนต่อความร้อนที่แผดเผาเช่นนี้ได้

ด้านหลังชุดขุนนางของคนจำนวนไม่น้อยเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แทบจะทุกคนต่างยกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากเป็นระยะๆ

มีคนบ่นว่าเสียงเบา “องค์รัชทายาทไม่ได้ตรัสคำว่า ‘ลงโทษ’ เสียหน่อย ใต้เท้าต่งอาศัยอะไรให้พวกเราคุกเข่ารออยู่ที่นี่”

คนที่อยู่ด้านข้างกดเสียงลงต่ำบอก “เจ้าไม่มีตาหรือว่าไม่มีสมองกันแน่ ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทกริ้วมากเพียงใดยังมองไม่ออกหรือ ใต้เท้าต่งให้พวกเราคุกเข่าอยู่ที่นี่นับเป็นทางออกที่ดีแล้ว หาไม่ยังไม่รู้องค์รัชทายาทจะทรงลงโทษเช่นไร!”

แล้วก็มีคนเอ่ยถามเบาๆ “ก็แค่ค่ายใหญ่ชิงโจวหย่อนยานไปบ้าง ไม่น่าจะต้องถึงกับกริ้วมากเพียงนี้กระมัง อีกประการหนึ่ง ใต้เท้าต่งจะอย่างไรก็เป็นผู้บัญชาการปลอบบำรุงขวัญทหารในท้องที่ที่ผิงอ๋องทรงคัดเลือกเองในตอนนั้น องค์รัชทายาทคงไม่ถึงกับไม่เห็นแก่หน้าผิงอ๋อง…”

“เจ้าจะรู้อะไร” คนที่อยู่ตรงกลางตัดบทขึ้น “คดีเณรและแม่ชีน้อยที่เฉาอันเมื่อสิบปีก่อนเคยได้ยินหรือไม่ ปีนั้นองค์รัชทายาทเพิ่งอายุเต็มสิบสี่ แต่วิธีการนั้น…” คนพูดตัวสั่นสะท้าน ยกมือขึ้นกรีดไปที่ลำคอทีหนึ่ง “ยังเป็นคนที่เคยติดตามผิงอ๋องทำศึกสถาปนาบ้านเมืองก็ถูกตัดหัวแล้ว! กระทั่งรายงานยังไม่รายงานไปทางเมืองหลวงสักคำ”

คนที่อยู่รอบด้านฟังแล้วก็พากันก้มหน้า ไม่กล้าพูดมากอีก เพียงรู้สึกแสงอาทิตย์เหนือศีรษะดูจะมีความเย็นขึ้นเล็กน้อย แม้แต่เหงื่อบนร่างก็แห้งเหือดไปด้วย

 

องค์รัชทายาทแห่งต้าผิงสกุลอิงนาม ‘กว่า’ เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของฮ่องเต้หญิงองค์ปัจจุบันอิงฮวนกับผิงอ๋องเฮ่อสี่

ถ้าจะบอกว่าใต้หล้านี้ใครมีวิธีการที่เหี้ยมโหดทำให้คนอกสั่นขวัญผวาที่สุด คนผู้นั้นย่อมเป็นผิงอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพูดถึงว่าใต้หล้านี้มีใครคาดเดาจิตใจได้ยากที่สุด คนผู้นั้นย่อมเป็นองค์รัชทายาทอิงกว่า

ตั้งแต่เล็กเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดสมดังชื่อ

ตอนนั้นฮ่องเต้กับผิงอ๋องตั้งชื่อองค์รัชทายาทว่า ‘กว่า’ ทำให้อาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้าต่างฉงนสนเท่ห์ มีเพียงขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักไม่กี่คนที่ติดตามคนทั้งสองมาหลายปีที่สามารถเข้าใจถึงความนัยลึกซึ้งของชื่อนี้

ก่อนต้าผิงจะสถาปนาแว่นแคว้น ใต้หล้าเดิมแบ่งเป็นห้าส่วน

ตะวันออกมีแคว้นเยี่ยฉี ตะวันตกมีแคว้นไถซุ่ย ใต้มีแคว้นหนานฮู่ เหนือมีแคว้นเป่ยเจี่ยน กลางมีแคว้นจงหวั่น

ฮ่องเต้กับผิงอ๋องเดิมแยกกันเป็นผู้ปกครองแคว้นไถซุ่ยกับเยี่ยฉี ทั้งสองต่อสู้ช่วงชิงกันมาสิบปีเต็ม เมื่อพบกันแล้วก็ทำให้พัวพันกันไปชั่วชีวิต นับแต่นั้นในชีวิตก็ไม่อาจขาดอีกฝ่ายได้

นั่นเป็นการต่อสู้เอาชนะกันระหว่างกษัตริย์กับกษัตริย์ และเป็นความรักระหว่างราชากับราชา

แม้จะผ่านมานานปีแล้ว เหล่าขุนนางสูงวัยในราชสำนักก็ยังคงจดจำการต่อสู้พันพัวกันอย่างดุเดือดร้อนแรงภายใต้ม่านเหล็กในตอนนั้นได้ดี

แม่น้ำนับร้อยสายน้ำนับพัน ดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ดาบหอกง้าวขวานสองคมลมฝนที่เจือไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต กองทัพนับหมื่นนับพันต่อสู้ในสนามรบ ห้าแคว้นในใต้หล้าไฟสงครามปะทุไปทั่ว…คลื่นยักษ์มหึมาแห่งความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ความไม่แน่นอนของใต้หล้าและบ้านเมืองอยู่ข้างหลัง นางกับเขาต่างเป็นประมุขของแว่นแคว้น จากความเกลียดชังแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จากหวาดระแวงเป็นความไว้วางใจ จากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบมาเป็นการรวมกองทัพมุ่งหน้าขึ้นเหนือ โจมตีหนานฮู่ จงหวั่นสองแคว้นไปตลอดทาง กลับต้องหยุดก่อนที่จะโจมตีเป่ยเจี่ยน เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยากจะรักษาให้หายดี

ในใต้หล้าไม่มีใครรู้ว่าที่แท้แล้วเพราะเหตุใดท้ายที่สุดเขาถึงได้ยกบ้านเมืองให้กับนาง

ผู้คนรู้เพียงว่าตั้งแต่นั้นมาเขาและนางก็จับมือกันร่วมรุกร่วมถอยไปด้วยกัน และนางยังเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นชื่อบรรดาศักดิ์ของเขา…ผิง

ตอนก่อตั้งราชวงศ์ต้าผิงก็เป็นช่วงที่องค์รัชทายาทประสูติพอดี

เหตุผลที่ใช้คำว่ากว่าเป็นชื่อ หาใช่เพราะคิดจะให้ทายาทเพียงคนเดียวของคนทั้งสองต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิต เพียงแต่ผืนแผ่นดินใต้หล้าที่กลืนกลายสติปัญญาและกำลังทั้งชีวิตของคนทั้งสองเข้าด้วยกันแห่งนี้ มีเพียงคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดได้

องค์รัชทายาทอิงกว่าตั้งแต่เล็กก็เฉลียวฉลาดเปี่ยมไหวพริบ อายุสิบสี่ปีนั้นก็เริ่มรับพระบัญชาให้เข้าร่วมในการจัดการกิจการของราชสำนักและการทหาร และผิงอ๋องได้วางมือจากงานบ้านเมืองตั้งแต่นั้น ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญฮ่องเต้ก็จะร่วมตัดสินใจกับองค์รัชทายาท เพื่อแสดงถึงความหวัง ความเชื่อถือ และความไว้วางใจที่มีต่อพระโอรสพระองค์เดียวที่จะกุมอำนาจการปกครองบ้านเมืองในวันข้างหน้า

ตอนนั้นผิงอ๋องสละตำแหน่ง ฮ่องเต้รวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นต้าผิง รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สามเหล่าขุนนางเก่าในอาณาจักรเดิมของทั้งสองได้มารวมตัวกันที่ซุ่ยหยางเมืองหลวงใหม่ ร่วมกันดูแลอาณาจักรใหม่ ขุนนางฝ่ายพลเรือนของสองแคว้นเดิมหลายปีมานี้ต่างไม่ลงรอยกัน ยิ่งแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ตะวันออกกับตะวันตก ยี่สิบกว่าปีมานี้บางครั้งก็โต้เถียงขัดแย้งกันในเรื่องกิจการของราชสำนักและการทหาร

ดินแดนเดิมของหนานฮู่และจงหวั่นสองแคว้นที่ยึดมาได้ก็ถูกแบ่งแยกเส้นทางใหม่ เฉาอันเป่ยลู่เป็นดินแดนทางเหนือของแคว้นจงหวั่นเดิม มีชายแดนติดกับแคว้นเป่ยเจี่ยน ค่ายทหารหลายสิบแห่งที่สร้างขึ้นตามเส้นทางหลายปีมานี้มีแต่เพิ่มไม่มีลด เพียงพอที่จะทำให้เห็นถึงระดับความสำคัญที่ราชสำนักมีต่อเส้นทางนี้

องค์รัชทายาทปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเฉาอันเป่ยลู่เป็นการส่วนพระองค์ในครั้งนี้ เพราะเห็นค่ายใหญ่ชิงโจวหย่อนยานจึงเดือดดาลบันดาลโทสะ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายได้

 

ในห้องรับรองด้านในของที่ทำการสลัวเยียบเย็นไร้แสงสว่าง

บุรุษผู้หนึ่งดูจากท่าทางอายุราวสี่สิบกว่าคุกเข่าอยู่กลางห้อง ก้มศีรษะบอก “องค์รัชทายาทเสด็จออกจากเมืองหลวงเร่งรุดมาทางเหนือ กระหม่อมไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน นับว่ามีความผิดอย่างใหญ่หลวง ยังหวังว่าพระองค์จะยับยั้งโทสะ”

“ใต้เท้าต่ง”

บุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงเรียกเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง เขาก็คือองค์รัชทายาทอิงกว่า

ต่งอี้เฉิงก้มหน้าหมอบอยู่นานแล้วจึงเงยหน้าขึ้น “ยังหวังว่าพระองค์จะทรงอภัยโทษ”

อิงกว่าใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก น้ำเสียงเยียบเย็นเฉยเมย “ใต้เท้าต่งไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน มีความผิดอันใด กลับเป็นข้าที่ไม่ได้รายงานใต้เท้าก่อนก็มาเฉาอันแล้ว จึงจะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้กับใต้เท้า”

ต่งอี้เฉิงลนลานก้มหน้าลงอีกครา พูดเสียงสั่น “กระหม่อมมิกล้า!” เขานิ่งไปชั่วขณะ แล้วบอก “เรื่องที่ค่ายใหญ่ชิงโจวและค่ายสามสิบเจ็ดแห่งตามแนวชายแดนทางเหนือหย่อนยาน กระหม่อมได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว คนที่คุกเข่าในลานด้านนอกล้วนเป็นผู้ที่ปกติมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการทหารของเฉาอัน จะไถ่ถามจะลงโทษ สุดแล้วแต่พระองค์จะทรงเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ”

อิงกว่าลุกขึ้น “นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สิบเจ็ดจนถึงวันนี้ เฉาอันเป่ยลู่ของเจ้าทุกปีล้วนเรียกร้องเบี้ยรายเดือนและเสบียงทหารจากราชสำนัก ฝ่าบาททรงทราบว่าชายแดนทางเหนือยังไม่สงบ ทั้งกังวลเรื่องทัพใหญ่ของหมู่บ้านทางใต้ของเป่ยเจี่ยน ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยปฏิเสธคำขอของท่าน ท่านต้องการเท่าใดก็ให้เท่านั้น เพียงต้องการให้ทางเหนือปลอดภัยก็พอ”

หน้าผากต่งอี้เฉิงพลันมีเหงื่อหยด เขาไม่กล้าส่งเสียง

อิงกว่าสะบัดมือกวาดหนังสือกราบทูลกล่าวโทษปึกหนาหลายชุดบนโต๊ะลงไปที่พื้น “ในช่วงสองปีมานี้มักมีกลุ่มโจรก่อปัญหาที่ชายแดนทางเหนือ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านการทหารของเฉาอันทำอะไรกิน กองทัพพิทักษ์แผ่นดินสิบหมื่นนายของชายแดนทางเหนือท่านเลี้ยงดูอย่างไร ในราชสำนักไม่ใช่ไม่มีคนร้องทุกข์กล่าวโทษท่าน แต่หนังสือกราบทูลกล่าวโทษท่านล้วนถูกฝ่าบาทระงับไว้ แต่ท่านปฏิบัติต่อราชโองการเช่นไร คงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนานเกินไปแล้ว เข้าใจว่าเป่ยเจี่ยนจะไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นเช่นนั้นหรือ”

ต่งอี้เฉิงเหลือบตาขึ้นคิดจะโต้แย้งสักสองคำ แต่พอมองสบสายตาดุจคมกระบี่ของบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคำพูดอะไรก็พูดไม่ออกแล้ว

อิงกว่ากล่าวเสียงเย็นขึ้นอีก “เข้าเมืองหลวงไปรายงานผลการปฏิบัติงานทุกครั้ง ก็จะบ่นว่าราชสำนักให้ความสำคัญต่อขุนนางจากหัวเมืองทางตะวันออกตะวันตกสองด้าน ดูแคลนพวกท่านขุนนางที่อยู่ในเส้นทางต่างๆ ของดินแดนที่ยอมจำนนเหล่านี้…ท่านลองพูดมาซิ ยี่สิบแปดเส้นทางในแคว้นต้าผิงมีผู้บัญชาการกองบัญชาการอันฝู่ของเส้นทางใดมีทรัพย์สินให้เก็บมากเหมือนท่านบ้าง”

“องค์รัชทายาท กระหม่อมหาได้มี…”

อิงกว่าปลดกระบี่ที่เอวออกมาจ่อไปที่พื้น “ตอนนั้นฝ่าบาทกับผิงอ๋องยกทัพจับศึกครอบครองใต้หล้า ไม่ว่าจะลำบากเพียงใดหรือยากเย็นเพียงใดก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเหล่าทหารหาญอย่างขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย มาบัดนี้ค่ายใหญ่ชิงโจวและค่ายอื่นอีกสามสิบเจ็ดแห่งทหารไม่เข้มแข็งม้าไม่แข็งแรง กำแพงทรุดโทรมผุพังไม่มีใครซ่อมแซม ทหารที่เกราะอาวุธหอกโล่ขึ้นสนิมมีจำนวนนับไม่ถ้วน เงินที่ราชสำนักจัดสรรให้ท่านทุกปีเพื่อดูแลกองทัพไปอยู่ที่ใดหมด” ฝ่ามือของเขาลูบไล้ไปที่ด้ามกระบี่หลายครั้งแล้วกล่าวต่อ “หากวันหนึ่งข้างหน้าเกิดความวุ่นวายขึ้นที่ชายแดนทางเหนือ ต่อให้ประหารพวกเจ้าขุนนางทั้งที่ทำการในเฉาอันก็ไม่อาจชดเชยความผิดพลาดนี้ได้!”

“องค์รัชทายาทโปรดทรงอภัยโทษ! องค์รัชทายาทโปรดทรงอภัยโทษ!…” ต่งอี้เฉิงหมอบลงกับพื้น โขกศีรษะติดๆ กัน

เขามองต่งอี้เฉิงด้วยสีหน้าแววตาเย็นชา ขณะจะพูดต่อ ที่ด้านนอกห้องรับรองพลันมีเสียงคนรายงานอย่างหวั่นหวาดขึ้น “ทูลองค์…องค์รัชทายาท เมื่อครู่ทางสนามสอบส่งคนมา บอกว่าเสิ่นไท่ฟู่ให้คนเอากระดาษข้อสอบชุดหนึ่งมาถวายให้องค์รัชทายาททอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

ต่งอี้เฉิงได้ยินแล้วรีบลุกขึ้นมาจากพื้น ออกไปข้างนอก สั่งขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายให้กลับไปจัดการงานของตนเอง แล้วเชิญคนจากสนามสอบเข้ามา

ผู้มาสวมเสื้อม่วงคลุมเสื้อคลุมสั้น หลังจากทำความเคารพแล้วก็หยิบกระดาษข้อสอบที่คัดลอกมาชุดหนึ่งออกจากในแขนเสื้อ ส่งมอบให้ “แม้จะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ แต่เสิ่นไท่ฟู่ยังคงสั่งให้กระหม่อมนำมาถวายให้องค์รัชทายาทผ่านพระเนตร”

อิงกว่าเลิกคิ้ว รับมาพลางบอก “ในเมื่อปิดสนามสอบพิจารณาตัดสินแล้ว เหตุใดจึงทำผิดธรรมเนียม ไท่ฟู่มีจุดประสงค์ใด…”

ผู้มาก้มหน้าเอ่ย “เสิ่นไท่ฟู่ได้คัดชื่อคนผู้นี้ออกจากการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีในครั้งนี้แล้ว ดังนั้นจึงนำกระดาษข้อสอบที่คัดลอกมาถวายให้องค์รัชทายาททอดพระเนตรได้”

“คัดชื่อออก?” เขาย่นหัวคิ้ว “บากบั่นพากเพียรมานับสิบปีไม่ง่าย เพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงถูกคัดชื่อออก”

“ชี้ข้อบกพร่องของราชสำนักและเสนอให้แก้ไขใหม่ ลงมือเขียนอย่างโผงผางดุดัน อาศัยหัวข้อในการสอบมาเขียนความเรียงที่ไม่สอดคล้องกัน ไท่ฟู่บอกคนผู้นี้แม้จะมีสติปัญญาความสามารถ มีความกล้าหาญ แต่กลับถูกสงสัยว่าต้องการโอ้อวดความสามารถ มีเจตนาจะเสนอความคิดที่แตกต่าง ดังนั้นจึงทำตามกฎระเบียบคัดชื่อออก”

อิงกว่าสีหน้าเยียบเย็นเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใดจึงตั้งใจเอามาให้ข้าอ่านโดยเฉพาะ”

“ไท่ฟู่บอกว่าเสียดายผู้มีความรู้ความสามารถ…ไท่ฟู่ยังบอกว่าความเรียงนี้อาจสอดคล้องกับความต้องการของพระองค์”

เขานิ่งเงียบ นิ้วเรียวยาวของมือขวาขยับเล็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นคลี่ออก หลังจากอ่านอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตาปรากฏประกายฉงนขึ้นจางๆ เขาเงยหน้าขึ้นถามผู้มา “รู้ชื่อสกุลของคนผู้นี้หรือไม่”

ผู้มาพยักหน้า “เมิ่งถิงฮุย”

ต่งอี้เฉิงทั่วร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาเดินออกมาจังหวะก้าวสั้นและเร็ว พอเห็นเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่ด้านนอกเต็มลาน หน้าพลันเปลี่ยนเป็นดำดุจถ่านในทันที “ยังจะคุกเข่าอยู่ทำอะไร เจ้าพวกไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่ง!”

ทงพั่น* ที่คุกเข่าอยู่หน้าสุดรีบลุกขึ้นมา ทนต่อความปวดเมื่อยและชาที่หัวเข่าเดินตามหลังเขา ถามเสียงเบา “ใต้เท้าต่ง องค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง”

ต่งอี้เฉิงหลุบตา สั่นศีรษะติดๆ กันแล้วถอนหายใจ

คนรอบข้างเห็นแล้วในใจต่างลนลาน ไม่กล้าพูดมาก ทยอยลุกขึ้นยืน

ครู่หนึ่งจึงได้ยินต่งอี้เฉิงกดเสียงลงต่ำบอก “ความสามารถในการตัดสินพระทัยเฉียบขาดเที่ยงธรรม ไม่ด้อยกว่าผิงอ๋องในตอนนั้นแม้แต่น้อย!”

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มองหน้ากันไปมา หลังคอมีเหงื่อเย็นซึมออกมาชั้นหนึ่ง

ความเหี้ยมโหดเย็นชาของผิงอ๋องในตอนนั้นใครบ้างไม่รู้

ถือหอกควบม้า โลหิตอาบย้อมแม่น้ำภูเขาห้าแคว้น สองมือประคองมอบใต้หล้าให้ตระกูลเดียว ทั้งชีวิตไม่เคยกลัวผู้ใด เพียงชั่วพริบตาตวัดมือลงก็ปลิดชีวิตคนไปมากมาย!

ต่งอี้เฉิงมองสีหน้าของทุกคน แล้วแค่นเสียงเย็นชาบอก “พวกเจ้าเข้าใจว่าองค์รัชทายาทอยู่ในวังหลวงก็จะไม่รู้วิธีจัดการกองทัพปกครองข้าราชบริพารหรือ คิดผิดอย่างมาก! พวกเจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง สิบปีมานี้องค์รัชทายาททรงตรวจสอบและจัดการราชกิจจากสำนักส่วนกลางในเมืองหลวงแทบทุกวัน คิดจริงๆ หรือว่าราชโองการที่ส่งมาถึงทุกเส้นทางทางเหนือล้วนเป็นพระดำริของฮ่องเต้!”

เขาหมุนตัว โกรธจนถีบคนที่อยู่ข้างหน้าไปทีหนึ่ง “บอกไปกี่ครั้งแล้วว่ากำแพงค่ายทางเหนือต้องซ่อม ต้องซ่อม! ตอนนี้ดีเลย ให้องค์รัชทายาทจับได้ตำตา เจ้าข้าล้วนกินไม่หมดต้องห่อกลับ!”

“ใต้เท้าต่ง” คนผู้นั้นกล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษข้าคนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่เพราะคิดว่าชายแดนทางเหนือคงไม่มีเรื่องอะไร ประหยัดแรงงานราษฎรไว้หน่อย…”

ต่งอี้เฉิงตวัดชายแขนเสื้อเดินไปข้างหน้า “ข้าขอบอกกับพวกเจ้าไว้เลย อย่าเห็นว่าองค์รัชทายาททรงเงียบอยู่ ที่จริงทรงมีวิธีการมากมายมาจัดการ อย่าเข้าใจว่าอาศัยคุณความดีเก่าก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเจ้า! เวลานี้เขายังอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทยังทำได้เช่นนี้ รอวันหน้าได้ขึ้นครองตำแหน่งใหญ่ยังไม่รู้จะเป็นเช่นไร ทุกท่านระวังศีรษะของตนไว้เถิด!”

คนที่เดินตามอยู่ข้างหลังเขาพลันร้อนใจจนขอบตาแดงแล้ว “ใต้เท้าต่ง แล้ว…”

ต่งอี้เฉิงกลับคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เท้าพลันหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมาชี้ส่งๆ ไปที่คนผู้หนึ่ง “ถูกพวกเจ้าทำให้เลอะเลือนแล้ว! ไป ไปที่ห้องโถงข้างของลานด้านหน้า เชิญใต้เท้าเสิ่นมา บอกองค์รัชทายาทมีธุระเรียกหาเขา”

คนผู้นั้นรีบเดินไปที่ลานด้านหน้า

คนรอบข้างเห็นต่งอี้เฉิงยังคงโกรธจัดอยู่ ย่อมไม่กล้าถามอีก กระทั่งเขาออกจากประตูลานไป จึงมีคนถอนหายใจเสียงต่ำเบาๆ “ครั้งนี้เฉาอันไปเย้าแหย่ใครเข้าหรือ คนที่มาล้วนเป็นใครกัน…”

 

เสิ่นจือซูเพิ่งก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้ามาในประตู ปากก็บอก “องค์รัชทายาท…” พูดจบจึงพบว่าในห้องโถงไม่มีคน เขาก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ เดินเข้าไปข้างในหลายก้าว ชะโงกหน้ามองไป จึงเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อจะทรงพักผ่อน เช่นนั้นอีกสักครู่กระหม่อมค่อยมาใหม่”

“ไม่เป็นไร”

อิงกว่านั่งเอนร่างพิงอยู่บนตั่งเตี้ย ก้มศีรษะ เอียงหน้า สีหน้าเคร่งขรึม มือที่ห้อยอยู่ด้านข้างถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนตัวอักษรไว้เต็มไปหมด

เสิ่นจือซูเดินเข้าไป “ได้ยินว่าวันนี้กริ้วหนัก ทำเอาเจ้าหน้าที่ในกองบัญชาการอันฝู่จิตใจหวาดผวาไปหมด”

เขากลับคล้ายไม่ได้ยิน เพียงเลิกคิ้ว ยื่นกระดาษในมือมาให้

เสิ่นจือซูรับมา กวาดสายตาไปแล้วก็ย่นหัวคิ้ว “นี่…ออกจะฝ่าฝืนกฎระเบียบเกินไปแล้ว…” ดวงตาเขากวาดมองขึ้นลงหลายครั้งก็ยิ่งตื่นตะลึง “คนผู้นี้ขวัญกล้าเกินไปแล้ว!”

อิงกว่ายังคงไม่พูด เขาหลับตาลง แล้วขยับขึ้นมานั่งตัวตรง

เสิ่นจือซูสีหน้าจริงจังขึ้นมา ยกชายเสื้อคลุมขึ้น นั่งลงบนม้านั่งที่ด้านข้าง แล้วอ่านข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษคัดลอกอย่างละเอียดลออหลายรอบ จากนั้นถึงปรบมือหัวเราะเสียงต่ำ “ช่างเป็นความเรียงที่ดีเยี่ยม ถ้าให้คนในกองบัญชาการอันฝู่ของเฉาอันได้อ่าน พวกเขาจะต้องอับอายขายหน้า! กระทั่งความรู้ของสตรีผู้หนึ่งยังสู้ไม่ได้”

ครานี้อิงกว่าจึงได้เหลือบตาขึ้น “ไท่ฟู่ได้คัดชื่อคนผู้นี้ออกจากการสอบระดับมณฑลแล้ว”

เสิ่นจือซูประหลาดใจ แล้วมองกระดาษคัดลอกอีกครั้ง “ใช่ เป็นเพราะความเรียงที่ชี้ข้อบกพร่องในการทำงานของขุนนางในเฉาอันเป่ยลู่และเสนอให้แก้ไขนี้ไม่มีประสิทธิผล”

“ไท่ฟู่จะเป็นคนใจแคบเช่นนั้นได้อย่างไร” เขากล่าวเสียงต่ำ “จะต้องเป็นเพราะไม่อาจทำลายกฎระเบียบเพราะคนผู้นี้คนเดียวต่างหาก”

เสิ่นจือซูเลิกคิ้ว “แต่ตอนนั้นหลังจากท่านแม่กระหม่อมเข้าสอบหน้าพระที่นั่งแล้วได้ก่อเรื่องขึ้น ไม่ใช่ท่านพ่อกระหม่อมที่พยายามปกป้องชื่อเสียงความดีความชอบของนางหรือ เหตุใดมาวันนี้กลับไม่ถนอมผู้มีความสามารถแล้ว”

อิงกว่าลุกขึ้นเดินมาทางเขา “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร ตอนนั้นไท่ฟู่ไม่ใช่ผู้ควบคุมการสอบ ทั้งทูลขอให้เสด็จแม่ออกหน้าปกป้องในท้ายที่สุด ครั้งนี้ไท่ฟู่เป็นผู้ควบคุมการสอบระดับมณฑลของเฉาอันเป่ยลู่ ข้างล่างมีสายตากี่คู่มองอยู่ จะไม่คัดชื่อคนผู้นี้ออกได้อย่างไร” เขาเอามือไพล่หลังยืนมั่น “ถ้าไท่ฟู่ไม่ถนอมผู้มีความสามารถก็คงไม่มอบหมายให้คนเอาของสิ่งนี้มาให้ข้าดูแล้ว”

เสิ่นจือซูยิ้มบอก “ตรัสเช่นนี้ พระองค์มีพระทัยจะปกป้องคนผู้นี้?”

เขานิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มีท่าทีลังเลเล็กน้อย “ไม่รู้นางเขียนความเรียงนี้ที่แท้แล้วเพื่อแสดงความคิดเห็นของตนหรือเพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง…ถ้าเป็นอย่างแรกจะต้องเป็นคนโผงผางผู้หนึ่ง วันหน้าอยู่ในราชสำนักจะต้องได้รับความยากลำบากไม่น้อย เกรงว่ายังไม่ทันเผยคมก็คงถูกทำลายเสียก่อน ถ้าเป็นอย่างหลังก็นับว่าเป็นคนประมาทเลินเล่อ คนแสวงหาลาภยศในโลกนี้มีมากมาย คิดจะปีนป่ายให้สูงทั้งยืนได้อย่างมั่นคง อาศัยวิธีการเช่นนี้ไม่มีประโยชน์”

“องค์รัชทายาทใช่ทรงคิดมากเกินไปหรือไม่” เสิ่นจือซูก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “แค่หญิงสาวอายุสิบเจ็ดคนหนึ่ง ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิต คงคิดอะไรก็เขียนเช่นนั้น ไหนเลยจะสนใจอะไรมากมาย ถ้าคนผู้นี้เป็นผู้ปราดเปรื่องที่หาพบได้ยากจริงๆ การถูกคัดชื่อออกจากการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้ไยมิใช่การสูญเสียครั้งใหญ่ของราชสำนัก”

อิงกว่ายกมือกดกระดาษแผ่นนั้นอย่างแรง นิ่งขรึมไม่พูดอะไร

เมิ่งถิงฮุย

เช้าตรู่วันนั้น ดวงตาคู่นั้นมองเขาอย่างสดใสไร้สิ่งแปดเปื้อนเพียงนั้น

เขาหันหน้าไปมองเสิ่นจือซูที่ยิ้มแย้มอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย พูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเยียบเย็น “เอากระดาษข้อสอบนี้ไปที่สนามสอบ ถ่ายทอดคำพูดของข้า ให้คนผู้นี้เป็นเจี้ยหยวน* ในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของเฉาอันเป่ยลู่”

เสิ่นจือซูกลับตื่นตะลึง “เจี้ยหยวน องค์รัชทายาทเพียงปกป้องความชอบและชื่อเสียงของนางก็พอ เพราะเหตุใดยังต้องให้นางเป็นเจี้ยหยวนของเส้นทางนี้ด้วย เมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้ขึ้นมา ถ้าต่อไปเส้นทางอื่นก็เจริญรอยตามคนผู้นี้ควรจะทำอย่างไร”

อิงกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ในเมื่อนางอยากจะโดดเด่นเหนือผู้อื่นเพียงนี้ เช่นนั้นก็ช่วยส่งนางสักระยะ…ให้คนในใต้หล้าได้รู้ว่าเฉาอันเป่ยลู่มีเมิ่งถิงฮุยผู้นี้อยู่ ทั้งดูว่าในการสอบของกรมพิธีการนางจะสามารถเขียนความเรียงที่ยอดเยี่ยมได้อีกหรือไม่”

วันติดประกาศผลสอบระดับมณฑล นอกกำแพงสำนักศึกษาสตรีชงโจวถูกฝูงชนห้อมล้อมแน่นจนน้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้

“ขอทางหน่อยๆ หลบหน่อย ช่วยหลบหน่อย…”

เหยียนฟู่จือดึงเมิ่งถิงฮุยแทรกตัวเข้ามาในฝูงชนตลอดทาง นางเขย่งเท้าพยายามมองไปข้างหน้า

เมิ่งถิงฮุยร่างแข็งทื่อ ย่นหัวคิ้วบอก “ช้าหน่อยค่อยมาดูก็เหมือนกัน แต่ท่านกลับร้อนใจราวกับอะไร”

“ข้าร้อนใจนี่” เหยียนฟู่จือหันหน้ามายิ้มแย้มดุจบุปผา “ข้าไม่ได้ร้อนใจเพื่อตัวข้าเอง ข้าร้อนใจแทนเจ้า!”

เมิ่งถิงฮุยเบนสายตาอย่างอับจนปัญญา มองออกไปนอกฝูงชน

ฉับพลันมีเสียงคนพูดเบาๆ มาจากด้านหน้า “มาแล้วๆ ก็คือนาง…”

“คนไหน”

“ก็คือคนนั้น จุ คนที่สวมกระโปรงหรูฉวิน สีชายืนอยู่ข้างหลัง เห็นแล้วหรือยัง”

“มองไม่ออกเลยจริงๆ”

“เรื่องนี้ยังจะมีมองออกมองไม่ออกด้วยหรือ ได้ยินคนข้างในบอก เดิมทีถูกคัดชื่อออกไปแล้ว บังเอิญองค์รัชทายาทไปสนามสอบเข้าเยี่ยมพบเสิ่นไท่ฟู่ เห็นกระดาษข้อสอบนี้เข้า ถึงได้มีโอกาสได้โงหัว!”

“คำพูดก็พูดเช่นนั้น แต่ใครจะรู้ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น…”

ร่างของเหยียนฟู่จือพลันสั่นสะท้าน มือที่จับมือเมิ่งถิงฮุยบีบแน่นขึ้น นางหันมาพูดด้วยความตื่นเต้น “เจี้ยหยวน! เมิ่งถิงฮุย ชื่อของเจ้าบนแผ่นประกาศคือที่หนึ่ง!”

เมิ่งถิงฮุยสีหน้าไร้คลื่นลม เพียงพยักหน้าน้อยๆ “ไปกันเถิด”

เหยียนฟู่จือถูกนางดึงเดินโซซัดโซเซออกจากฝูงชน เห็นนางหน้าตาไม่ยินดีก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “เมิ่งถิงฮุย เจ้าไม่ได้ตัวร้อนกระมัง เจี้ยหยวน เจี้ยหยวนในการสอบระดับมณฑลของเฉาอันเป่ยลู่เชียวนะ! เจ้าไม่ดีใจ?”

เมิ่งถิงฮุยหยุดลง เงยหน้าขึ้นมองเหยียนฟู่จือ สีหน้ายังคงแข็งกระด้าง ทว่าไม่ได้เปิดปาก

หลังจากถูกคัดชื่อออกก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เรื่องนี้แต่ไรมาเป็นความลับของการปิดสนามสอบตรวจข้อสอบ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่แน่ว่าจะรู้รายละเอียดภายในได้ หากไม่มีคนจงใจแพร่งพรายออกไป คนนอกจะรู้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร

แม้จะบอกว่าเป็นการโปรดเกล้าฯ โดยองค์รัชทายาท แต่นางก็ดีใจไม่ไหว

ที่นางฝ่าฝืนกฎระเบียบในการสอบระดับมณฑล เพราะมีความคิดที่เห็นแก่ตนเองอยู่

การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีมีขึ้นสามปีครั้ง ผู้มีความสามารถจากทุกเส้นทางมีมากมาย และตำแหน่งจ้วงหยวนมีเพียงคนเดียว ถ้าสามารถเป็นจ้วงหยวนในการสอบปีนี้ได้ก็จะเข้ากองอาลักษณ์ได้ วันหน้าก็มีหวังที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางในราชสำนัก และมีเพียงการเลื่อนขึ้นเป็นขุนนางในราชสำนักเท่านั้น นางจึงจะสามารถทำความมุ่งมาดปรารถนาในใจที่มีมานานปีของนางให้เป็นจริงได้

‘ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย…’

นางมีแต่ต้องยิ่งเดินสูงขึ้นไป จึงจะยิ่งมีความหวังที่จะได้พบเขาอีกครั้ง

นางเฝ้าปรารถนาที่จะได้พบเขา ด้วยเหตุนี้จึงปรารถนาที่จะโดดเด่นเหนือผู้คน ครั้นแล้วจึงได้ทำใจกล้าฝ่าฝืนกฎระเบียบในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลที่ผู้คนต่างจับตามองในครั้งนี้

ถ้าความเรียงของนางสามารถได้รับความชื่นชมจากขุนนางผู้คุมสอบเสิ่นอู๋เฉินผู้เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท เช่นนั้นการสอบของกรมพิธีการและการสอบหน้าพระที่นั่งในวันหน้าก็ไปสอบได้อย่างวางใจ

เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าจะถูกเสิ่นไท่ฟู่คัดชื่อออก ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะถูกองค์รัชทายาทเจาะจงให้เป็นเจี้ยหยวนของเฉาอันเป่ยลู่

เรื่องแพร่ออกมาจนคนรู้กันทั่ว หาใช่ความมุ่งมาดเดิมของนาง

และกับองค์รัชทายาทที่เล่าลือกันว่าเงียบขรึมเย็นชา จิตใจล้ำลึกยากแก่การคาดเดาผู้นี้ นับแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไปนางก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอีก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: