X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5 ตกใจแต่ไร้อันตราย

ฝูหมัวกับโต้วหวั่นเอ๋อร์อยู่ไม่ไกลกัน ชิงหลวนแสร้งทำเป็นสาวใช้ยกกาสุราไปรินให้เขาก็หาได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไม่

นางก้มหน้า สายตาเสมองน้อยๆ ก็เห็นรูปร่างหน้าตาของสตรีนางนั้นได้พอดี

สตรีนางนั้นหน้าตางดงามยิ่ง ทว่าแตกต่างกับมู่อวิ่นจือในความคิดนางอยู่บ้าง

แตกต่างแล้วอย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้…ชิงหลวนเอียงจอกสุราในมือน้อยๆ ‘เผลอ’ ทำสุราหกใส่สตรีนางนั้น

“กรี๊ด!” นางอุทานออกมา มุ่นคิ้วมองมายังชิงหลวน

ชิงหลวนรีบก้มตัวลดเสียงลงกล่าวว่า “ฮูหยินโปรดอภัยด้วย องค์หญิงมีรับสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติ บ่าวมือไม้งุ่มง่าม ทำให้อาภรณ์ฮูหยินสกปรกแล้ว”

สตรีนางนั้นได้ยินว่าเป็นคนขององค์หญิงก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ หันหน้าไปมองฝูหมัว เขากำลังดื่มอย่างออกรสออกชาติ คาดว่าคงไม่มีเวลามาสนใจทางด้านนี้

ขณะกำลังกลุ้มใจว่าควรทำอย่างไรดีนี้เองชิงหลวนก็กล่าวว่า “บ่าวจะพาฮูหยินไปเปลี่ยนชุดนะเจ้าคะ”

สตรีนางนั้นตอบรับ “เอาสิ”

พวกนางถอยออกไปอย่างเงียบๆ ชิงหลวนเดินนำเข้าไปยังทางเล็กสายหนึ่ง

ชิงหลวนเดินไปพลางพูดกับอีกฝ่ายไปพลาง “โปรดอภัยที่บ่าวพูดมาก ฮูหยินมีรูปร่างเล็กบอบบาง เสียงพูดนุ่มเบา เป็นคนทางใต้หรือเจ้าคะ”

อิสตรีเจอคนชมย่อมจะดีใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นสาวใช้ก็ยังยินดีจะพูดมากขึ้นสองประโยค “คนทางใต้? ข้าก็หวังว่าจะใช่เช่นกัน ท่านโหวของพวกข้าชอบสตรีทางใต้”

“แสดงว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

“สาวใช้อย่างเจ้านี่ก็แปลกแท้ ข้าเกิดมาก็เป็นชาวฉางอัน”

“เช่นนี้นี่เอง…” ชิงหลวนรู้ว่าจำคนผิดไปแล้วก็ให้ห่อเหี่ยวใจอยู่บ้าง แต่ก็ถามอย่างพอมีความหวังอีกว่า “บ่าวได้ยินองค์หญิงตรัสว่าฉงเหอโหวพาสตรีนางหนึ่งกลับมาจากเจียงจั่วด้วย เป็นที่โปรดปรานยิ่งยวดทีเดียว”

สตรีนางนั้นสีหน้าเยียบเย็นลง “เป็นที่โปรดปราน? ฮึ ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ตอนนี้เป็นเพียงตัวอัปลักษณ์ ท่านโหวไม่แยแสนางโดยสิ้นเชิง…”

“ตัวอัปลักษณ์?” ในใจชิงหลวนรู้สึกฝาดเฝื่อนอยู่บ้าง “เหตุใดจึงเป็นตัวอัปลักษณ์เล่า ท่านโหวไม่ดีต่อนางหรือเจ้าคะ”

“ไยเจ้าจึงพูดมากปานนี้”

ชิงหลวนหุบปากทันที ก้มหน้าลง และคิดว่าในเมื่อฉงเหอโหวไม่ดีต่ออวิ่นจือ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องพาคนออกมาได้ให้…

เริ่มจะดึกแล้ว พวกนางเดินเลาะริมน้ำ ร่างกายจึงค่อยๆ รู้สึกหนาวเย็น

“ไฉนไกลเพียงนี้แล้วยังไม่ถึงเสียที”

ชิงหลวนหยุดฝีเท้าเล็กน้อย “ฮูหยิน บ่าวดูเหมือนว่า…จะหลงทางแล้วเจ้าค่ะ”

สตรีนางนั้นขนคิ้วตั้งชันในทันใด “เจ้า…เจ้าหลอกข้า!”

“บ่าวมิกล้า” ชิงหลวนทำท่าทางพินอบพิเทาเต็มที่ “บ่าวเป็นโรคหลงทิศทางนี้มาตั้งแต่เล็ก ปกติองค์หญิงก็ไม่วางพระทัยให้บ่าวออกมาข้างนอกคนเดียว…ทว่าฮูหยินอย่าได้ร้อนใจไป บ่าวยังจำทางขามาได้ กลางคืนนี้มีน้ำค้างมาก ฮูหยินรีบตามบ่าวกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”

สตรีนางนั้นฟังน้ำเสียงยามพูดของชิงหลวนดูไม่เหมือนชาววังทั่วไป คราวนี้ได้ยินนางพูดว่า ‘องค์หญิงไม่วางพระทัย’ ยิ่งมั่นใจว่านางเป็นคนสนิทของฝูเป่าจึงไม่สะดวกจะติเตียน ได้แต่พูดอย่างโมโหว่า “ไปสิ!”

 

ครั้นกลับถึงตำหนักไท่จี๋งานเลี้ยงกำลังชื่นมื่น สตรีนางนั้นกลับถึงข้างกายฝูหมัวด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด แล้วก็เอียงศีรษะไปพูดบางอย่างกับฝ่ายหลัง

ฝูหมัวหันหน้ามามองชิงหลวน ชิงหลวนก็รีบหันหน้าหนี

โต้วหวั่นเอ๋อร์หาไปทั่ว ในที่สุดก็หาชิงหลวนพบเสียที จึงรีบลากนางกลับมาที่เดิม “เมื่อครู่ท่านไปที่ใดมา”

ชิงหลวนตอบว่า “ข้างในอบอ้าวเหลือเกินจึงออกไปเดินมาเล็กน้อย”

โต้วหวั่นเอ๋อร์จึงว่า “ที่นี่ไม่เหมือนข้างนอก ท่านอย่าเดินส่งเดช ระวังจะถูกพี่ชายข้าจับตัวเอา!”

“พี่ชายท่าน?”

“ใช่น่ะสิ เขาเป็นหัวหน้ากองราชองครักษ์เชียวนะ!”

“ข้าทราบแล้ว”

ชิงหลวนพูดเช่นนี้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่อยากปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป นางนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฝูหมัวบอกว่าจะไปจวนหวังเหมิ่งกับฝูเจียนแล้วพลันมีแผนการในใจ

นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจเดินไปนอกตำหนักอย่างเงียบเชียบ พูดกับบ่าวรับใช้คนหนึ่งว่า “ข้าเป็นคนของจวนฉงเหอโหว รถลากของท่านโหวอยู่ที่ใด ข้าจะไปหยิบของสักหน่อย”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นชี้มือไป “ด้านหน้า คันที่สาม”

ชิงหลวนเดินไปถึงหน้ารถลากคันนั้น ก่อนอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็นปีนขึ้นรถลากไป

ห้องในรถลากมีพื้นที่ค่อนข้างมาก หน้าตั่งที่นั่งมีโต๊ะยาววางไว้ตัวหนึ่ง ชิงหลวนแหวกผ้าที่คลุมโต๊ะออกแล้วมุดเข้าไป

หลังงานเลี้ยงยุติลงชิงหลวนเห็นคณะของฝูหมัวออกมาจากประตูใหญ่ของตำหนัก ฝูหมัวออกจากวังเป็นเพื่อนฝูเจียน มุ่งหน้าไปยังจวนของอัครเสนาบดีหวังเหมิ่ง มีบ่าวรับใช้และองครักษ์นับร้อยติดตาม

ชิงหลวนรู้สึกว่าตัวรถโยกเยก ตรงหน้าปรากฏรองเท้าหุ้มแข้งเดินเส้นทองคู่หนึ่ง ตามติดมาด้วยรองเท้าผ้าไหมลายเมฆอีกหนึ่งคู่

ฝูหมัวกับอนุของเขาไม่รู้ว่าในรถลากมีคน จึงเริ่มหยอกเย้ากันตามอำเภอใจ

สตรีถูกเขาหยอกเอินจนหัวเราะคิกคักไม่หยุด พูดด้วยเสียงยั่วยวนว่า “ท่านโหว ท่านรีบร้อนปานนี้ไปไย กลับไปก่อน…ก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ”

“ข้าก็เห็นเจ้าดูร้อนใจเป็นหนักหนา มิเช่นนั้นไยกระโปรงตัวนี้ถึงได้ชื้นเป็นวง”

“…น่าเกลียดจริง นี่เป็นสุราหกใส่ต่างหาก!”

“อย่างนั้นหรือ ข้าขอดมที…”

“ตายจริง อย่าเจ้าค่ะ…ท่านโหว…”

ทั้งสองคนยิ่งคุยกันหยาบโลนกว่าเดิม

ชิงหลวนขมวดคิ้ว แทบอยากจะอุดหู

ไม่คาดว่าขณะใกล้จะถึงประตูวังบ่าวรับใช้ผู้ลากรถเกิดเผลอข้อเท้าพลิก รถลากทั้งคันเกิดเอียง โต๊ะล้มลงไป

ระหว่างที่ชิงหลวนตกใจกลัวอยู่นี้เองก็พลันเห็นฉากเหตุการณ์อันชวนกระสันที่เบื้องหน้า ทั้งตัวคนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

“กรี๊ด!” อนุนางนั้นมองเห็นชิงหลวนก่อนจึงตกใจอุทานออกมา

ในใจชิงหลวนมีเสียงหนึ่งฟาดลงมา แย่แล้ว!

โต้วหวั่นเอ๋อร์กับฝูเป่าไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครช่วยนางได้ นางเองก็ไม่ใช่คนในวังโดยสิ้นเชิง พูดไม่กี่คำย่อมถูกพบพิรุธได้แน่…

นางไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมากมาย หมุนตัวกระโดดลงจากรถลาก

เหล่าองครักษ์ได้ยินเสียงก็พากันรุมล้อมเข้ามาแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดได้ใช้ดาบจ่อมาที่คอของชิงหลวนพร้อมตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร!”

ชิงหลวนที่มิอาจหนีรอดได้แต่ตอบไปว่า “ผู้น้อยขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหากสุดวิสัยจะใช้ข้ออ้างว่าเป็น ‘เทวทูตจากเขาปี้ลั่ว’ มาเอาตัวรอด…

“ผู้ที่มีฐานะไม่ชัดแจ้งเยี่ยงนี้ยังคิดจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท?! ยังไม่รีบบอกความจริงมาอีก!”

เสียงของฝูเจียนพลันดังมาจากทางด้านหน้า “โต้วชง ข้างหลังเกิดอะไรขึ้น”

ผู้ที่ถือดาบอยู่นี้ก็คือพี่ชายของโต้วหวั่นเอ๋อร์ เขาตอบไปว่า “กราบทูลฝ่าบาท จับนักลอบสังหารหญิงที่มีที่มาไม่ชัดแจ้งได้นางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

“อ้อ? นักลอบสังหาร?” ฝูเจียนกล่าว “คุมตัวมา!”

ฝูหมัวกับอนุของเขามิได้เดินลงมา คงเพราะว่าสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย

โต้วชงจับสองมือชิงหลวนไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วคุมตัวไปถึงเบื้องหน้าฝูเจียน

แม้เมื่อครู่นางจะปรากฏตัวในตำหนักใหญ่ แต่ฝูเจียนจำนางไม่ได้ เพียงแต่มองนางพลางถามว่า “ใครส่งเจ้ามา”

ชิงหลวนมองดูสีหน้าฝูเจียน เห็นว่าไม่มีเจตนาจะเข่นฆ่าจึงตอบว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันหาใช่นักลอบสังหารไม่ ที่เข้าวังมาก็เพื่อตามหาคนเพคะ”

“หาคน? หาผู้ใด”

ชิงหลวนกำลังคิดจะบอกว่าหาฝูเจียน กลับมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง “ฝ่าบาททรงยั้งพระหัตถ์ด้วย!”

ผู้มาถึงกับเป็นมู่หรงชง เขารีบเดินมาโขกศีรษะใต้ร่มของฝูเจียน “นางเป็นคนของกระหม่อมเอง เมื่อครู่พลัดหลงไป ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินฝ่าบาทแต่อย่างใด ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนข้องใจเล็กน้อย

ชิงหลวนยิ่งประหลาดใจเหลือประมาณ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมาช่วยตนเอง

ฝูเจียนหรี่ตาลงพลางถามว่า “นางเป็นอนุของเจ้า?”

มู่หรงชงตอบ “เป็นเพียงสาวใช้พ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเป็นกังวลปานนี้”

เขาถามเสียงเข้มงวด

ชิงหลวนก้มหน้า เหงื่อออกเต็มฝ่ามือ

มู่หรงชงมิได้ตอบอะไร เพียงก้มตัวโขกศีรษะติดพื้น

ความมืดยามราตรีไร้ที่สิ้นสุด เสียงบอกโมงยามของหน่วยลาดตระเวนราตรีดังมาจากที่ไกลๆ หางตาชิงหลวนเหลือบเห็นเงาร่างที่หมอบอยู่กับพื้นข้างกาย ในท่าทีพินอบพิเทาของเขากลับคล้ายว่ามีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอันยากจะบรรยายแฝงอยู่

เนิ่นนานฝูเจียนถึงได้ถอนหายใจก่อนว่า “ช่างเถอะ ปล่อยคนไป”

ครั้นเห็นว่าขบวนของฝูเจียนเคลื่อนขึ้นหน้าไปไกลแล้ว ชิงหลวนจึงหันไปมองมู่หรงชง “ขอบคุณเจ้าเมืองมู่หรงมาก”

มู่หรงชงปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออกจนสะอาด สองตาจ้องมองชิงหลวนพลางกล่าวแช่มช้า “ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่ว บุตรสาวคนโตของสกุลมู่…มู่เฉิน”

บทที่ 6 เพียงบรรเลงแด่ประชาราษฎร์

ได้ยินมู่หรงชงพูดมาเช่นนี้ ในสมองมู่เฉินก็มีเสียงดังสนั่นอึงอลในทันที นางกล่าวด้วยความตกตะลึง “ท่านรู้ได้เยี่ยงไร”

“ตรวจสอบสักหน่อยก็รู้แล้ว สตรีที่ฝูหมัวพากลับมาจากเจียงจั่วคือมู่อวิ่นจือบุตรสาวของสกุลมู่ เจ้าพูดอยู่ซ้ำๆ ว่าต้องการหาตัวน้องสาว เรื่องที่เห็นได้ชัดปานนี้ แม่นางมู่เป็นห่วงคนจนความคิดสับสนแล้ว” มู่หรงชงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าเป็นกังวลก็กล่าวยิ้มๆ “เดิมทีข้ายังไม่แน่ใจ แต่เจ้าตอบสนองเยี่ยงนี้กลับทำให้ข้าแน่ใจแล้ว วันนี้ฝ่าบาทยังตรัสถึงเทวทูตจากเขาปี้ลั่วขณะอยู่ในท้องพระโรงด้วย หากทรงทราบว่าเจ้าอยู่ที่ฉางอันจะต้องดีพระทัยมากเป็นแน่”

เขาพูดตรงปานนี้มู่เฉินจึงตอบไปอย่างเปิดเผยด้วยเช่นกัน “มู่เฉินไร้ความสามารถ ในสถานการณ์เยี่ยงนี้กลับทำได้เพียงปิดบังชื่อแซ่แล้ว”

มู่หรงชงกล่าวว่า “ตอนเจ้ากับข้าพบหน้ากันครั้งแรกข้าก็มีเรื่องปิดบังเช่นกัน ผู้น้อยมู่หรงชง นามรองว่าเฟิ่งหวง ขอคารวะแม่นางมู่ เจ้าวางใจได้ ข้าได้คุยกับองค์หญิงซีชิ่งและแม่นางโต้วแล้ว จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่พวกนางจะไม่พูดกับผู้ใด”

“คุณชายมีน้ำใจหลายหน มู่เฉินขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้” มู่เฉินผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อไปว่า “รบกวนคุณชายเปลืองสมองแล้ว แต่ข้ามีน้องสาวคนนี้เพียงคนเดียว ในเมื่อมาถึงฉางอันแล้วก็จะต้องพบนางให้จงได้”

“มู่เฉินต้องการพบมู่อวิ่นจือนั้นง่ายดุจพลิกฝ่ามือ แต่หากเป็นชิงหลวนต้องการพบมู่อวิ่นจือกลับมิใช่เรื่องง่ายจริงๆ” มู่หรงชงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าตรึกตรองก็กล่าวว่า “ในเมื่อข้าลั่นวาจาต่อพระพักตร์ฝ่าบาทแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า วันหน้ายามอยู่ที่ฉางอันเจ้าก็ติดตามข้างกายข้าแล้วกัน ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนฝูหมัว อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าไปหาเองโดยปราศจากการไตร่ตรองมากนัก”

เห็นมู่เฉินมิได้รับคำ มู่หรงชงจึงกล่าวอีกว่า “เจ้ามาฉางอันได้หลายวัน คิดว่าคงจะค้นหาทุกวิถีทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมิอาจสมความปรารถนา ซ้ำเมื่อครู่ยังหวิดจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน…”

มู่เฉินพลันหันหน้าไปมองเขา ก่อนจะถามว่า “เจ้าเมืองมู่หรง บทเพลงเมฆมงคลที่ท่านบรรเลงเมื่อครู่นี้ บรรเลงแด่ต้าฉินหรือบรรเลงแด่การฟื้นฟูเยียน”

มู่หรงชงชะงักเล็กน้อย สายตามองไปข้างหน้า เอ่ยตอบเชื่องช้าทว่าหนักแน่น “มิใช่แด่ต้าฉิน มิใช่แด่การฟื้นฟูเยียน เพียงบรรเลงแด่ประชาราษฎร์” เขามองราวสลักลายบุปผาที่อยู่ไกลๆ บนใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยมีแวววาดหวัง “หลายสิบปีมานี้มีศึกสงครามมิหยุดหย่อน ภัยพิบัติหมุนเวียนสับเปลี่ยน ข้าเห็นแว่นแคว้นถูกทำลาย ชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากด้วยตาตนเอง แม้จะไร้ความสามารถ แต่ในใจยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งใต้หล้าจะมีสันติสุข”

มู่เฉินมองดูบุรุษหนุ่มในชุดสีนิลภายใต้ดวงจันทร์ผู้นี้ เขายืนปะทะลม สีหน้าสงบนิ่ง ในดวงตาประหนึ่งว่าสามารถบรรจุสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ไว้ได้

นางอดไม่อยู่ เอ่ยปากขึ้นเบาๆ “ข้าเองก็เฝ้ารอการมาถึงของวันนั้นเช่นกัน ผู้เป็นหมอธำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ผู้เป็นอาจารย์รักษาไว้ซึ่งปณิธาน จงไม่ถือครองบึงใหญ่แม่น้ำเลื่องชื่อ จงปล่อยใจไปตามธรรมชาติ หากมีความปรารถนานี้ มู่เฉินก็ขอติดตามเจ้าเมืองมู่หรงแล้วกัน”

วาจาของนางทะลุผ่านแสงจันทร์สกาวและสายลมเอื่อย พุ่งตรงเข้าก้นบึ้งหัวใจของมู่หรงชง อีกทั้งได้ก่อให้เกิดการสับเปลี่ยนแผ่นดินในอีกหลายปีให้หลัง

 

ฝูเจียนลงจากเกี้ยว มีบ่าวไพร่มายืนรออยู่สองข้างจวนสกุลหวังนานแล้ว พอเห็นฝูเจียนมาถึงก็คุกเข่าลงต้อนรับ เปล่งเสียงร้องดัง “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”

ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นคนอายุราวห้าสิบปีผู้หนึ่ง เขาคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ให้คนพยุงไว้ถึงสามารถยืนได้

ฝูเจียนเร่งฝีเท้าไปประคองเขาไว้ก่อนกล่าวว่า “จิ่งเลวี่ย ท่านไม่นอนบนเตียงดีๆ ออกมาทำอะไร!”

คนผู้นี้ก็คืออัครเสนาบดีหวังเหมิ่งชาวฮั่นที่ฝูเจียนไว้วางใจและพึ่งพาอาศัยเป็นอย่างมาก นามรองคือจิ่งเลวี่ย

หวังเหมิ่งตอบเสียงสั่น “กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างสูง วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแท้ๆ ยังต้องเสด็จมาเยี่ยมคนที่ใกล้จะลงโลงอย่างกระหม่อม กระหม่อมปราศจากสิ่งใดตอบแทน มิกล้าไม่ออกมารับเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนประคองหวังเหมิ่งเดินเข้าด้านใน “จิ่งเลวี่ยอย่าพูดจาเหลวไหล ข้ายังรอวันที่ท่านกับข้าสองราชาและขุนนางขึ้นไปที่สูงด้วยกัน ไปชมดูผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่นับหมื่นหลี่แห่งนี้อยู่ภายใต้ฝ่าเท้า”

หวังเหมิ่งหยุดฝีเท้า มองดูรอบๆ เล็กน้อย ฝูเจียนเข้าใจความหมายของเขา จึงสั่งให้คนทั้งหมดถอยหลบไปให้เหลือเพียงพวกเขาสองคนในทันที

ฝูเจียนกล่าวว่า “จิ่งเลวี่ยมีเรื่องใดก็พูดมาได้เลย”

หวังเหมิ่งพลันโยนเสื้อคลุมบนตัวทิ้งไปด้านข้าง ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น

“จิ่งเลวี่ย!”

ฝูเจียนก้าวไปทำท่าจะประคอง กลับถูกหวังเหมิ่งห้ามไว้ “ฝ่าบาทโปรดทรงสดับวาจาของกระหม่อมสักคำ”

“ท่านพูดมา”

หวังเหมิ่งยันตัวขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ต้าฉินเรามีขุนนางและราษฎรอยู่สิบห้าล้านคน ในขณะที่ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วมีเพียงห้าล้านคน แต่กลับได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อเนื่องมาจากยุคฮั่นและเว่ย กระหม่อมทราบว่าพระราชประสงค์ในท้ายที่สุดของฝ่าบาทคือการปราบแดนใต้ รวบรวมจงหยวนเป็นหนึ่ง แต่เรื่องที่ฝ่าบาทมิอาจไม่ป้องกันไว้ก็คือภายในแคว้นฉินมีชนต่างเผ่ามากเกินไป ตำแหน่งหน้าที่ที่พวกเขาคุมอยู่ก็สำคัญเกินไป เมื่อใดที่ฝ่าบาททรงกรีธาทัพลงใต้ เป็นไปได้มากว่าชนต่างเผ่าเหล่านี้จะก่อกบฏต่อต้าฉิน ถึงเวลานั้นแนวหลังวุ่นวาย ต้าฉินเราก็จะเผชิญกับการโจมตีขนาบหน้าหลัง กระหม่อมมิทราบว่ายังจะอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทไปได้อีกนานเพียงไร แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็ให้วิตกจนยากจะข่มตาหลับได้! กระหม่อมกราบทูลขอร้องให้ฝ่าบาททรงพิจารณาให้ถี่ถ้วน หากไม่มั่นพระทัยเต็มที่ก็อย่าทรงยกทัพไปปราบแดนใต้เลย!”

ฝูเจียนไม่ใช่เพิ่งเคยได้ยินหวังเหมิ่งพูดเช่นนี้เป็นหนแรก ขุนนางทรงอำนาจแห่งต้าฉินก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่เคยเอ่ยวาจาทำนองนี้ แต่ความคิดขยายดินแดนลงใต้ในใจของฝูเจียนกลับมิเคยลบเลือนไป ย้ายไปตั้งมั่นทางใต้เพื่อสัมผัสกลิ่นอายวิถีชีวิตแห่งเจียงจั่ว นี่คือความฝันในตลอดหลายปีมานี้ของเขา

สายลมราตรีหนาวเย็น เห็นหวังเหมิ่งที่สูงวัยคุกเข่าอยู่บนพื้น สุดท้ายแล้วฝูเจียนก็ไม่อาจใจแข็งอยู่ได้ ก้าวไปประคองเขาลุกขึ้น “จิ่งเลวี่ย ท่านคิดว่าข้าใจกว้างไม่พอหรือ”

หวังเหมิ่งส่ายหน้า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระเมตตา”

“เช่นนั้นท่านคิดว่าความเมตตาของข้าไม่เพียงพอที่จะกล่อมเกลาผู้อื่น?”

หวังเหมิ่งคิดเล็กน้อย ยังคงส่ายหน้า “แม้ว่าบัดนี้คนทั้งหมดจะล้วนซ่อนเร้นไว้อย่างดี แต่กระหม่อมเชื่อว่าที่สุดแล้วก็ยังจะมีผู้ที่ไม่หวั่นไหว”

นับตั้งแต่ยุคฮั่นและเว่ยความไม่สงบที่เกิดทั่วทั้งใต้หล้าก็คือประวัติศาสตร์การฆ่าล้างกันเองในเผ่าครั้งใหญ่ พี่น้องเข่นฆ่ากัน บิดาบุตรทำร้ายกัน ตัวอย่างเช่นนี้มีให้ยกมาไม่หวาดไม่ไหว

ฝูเจียนรู้ว่าวาจาของหวังเหมิ่งมีเหตุผล แต่เขายังคงเชื่อว่าความใจกว้างของตนเองสามารถทำให้ชาวเผ่าต่างๆ ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาซาบซึ้งใจได้ ภายภาคหน้าก็สามารถทำให้ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วซาบซึ้งใจได้เช่นกัน นั่นเป็นหลักการสำคัญที่สุดที่จงหยวนสืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นความมุ่งหวังนับหลายสิบปีที่เขาใฝ่หาจากในตำราโบราณของชาวฮั่นมาตั้งแต่เยาว์วัย

“จิ่งเลวี่ย ท่านรู้มาตลอดว่าการทำให้ใต้หล้าสามัคคี ทำให้สกุลซือหม่า สกุลหวัง สกุลเซี่ยกับเผ่าตี เผ่าเชียง เผ่าเซียนเปยดื่มร่วมโต๊ะกันได้เป็นแผนการที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของข้า”

หวังเหมิ่งฟังมาถึงตรงนี้ก็แทบจะน้ำตาไหลพราก แล้วนี่มิใช่ความมุ่งหวังของเขาเสียที่ใดกัน ใต้หล้าโกลาหลมานานแล้ว เขารับใช้ชาวตีด้วยฐานะชาวฮั่นก็เพียงเพราะเชื่อว่าเจ้านายผู้ปรีชาตรงหน้านี้มีความมุ่งหวังเหมือนกันกับเขา ทว่าเขาเองก็รู้เช่นกันว่าความมุ่งหวังนี้เกรงว่าคงมิอาจเป็นจริงได้ในชั่วชีวิตของเขา

ฝูเจียนมองหวังเหมิ่งพลางว่า “หากจะกล่าวถึงต่างเผ่า จิ่งเลวี่ย ท่านเป็นชาวฮั่น แต่สิบแปดปีมานี้ข้าไว้ใจและพึ่งพาท่านเพียงนี้ ไม่เคยเกิดความกินแหนงแคลงใจเนื่องมาจากความต่างของชนเผ่าเลยสักครั้งเดียว!”

หวังเหมิ่งทำท่าจะลงไปคุกเข่าอีกครั้ง เพิ่งจะโน้มศีรษะก็ถูกฝูเจียนประคองไว้ “จิ่งเลวี่ย นับแต่นี้เป็นต้นไปท่านไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าอีก ไม่มีท่านก็ไม่มีข้าในวันนี้ ยิ่งไม่มีต้าฉินในปัจจุบัน”

ในชั่วขณะนั้นหวังเหมิ่งคล้ายหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง มองฝูเจียนด้วยสองตาวาวโรจน์ กล่าวทีละคำว่า “กระหม่อมถึงตายก็มิเสียดายแล้ว!”

 

หลังฝูเจียนจากไปหวังเหมิ่งก็ยืนรับลมคนเดียวอยู่เป็นนาน

ไม่นานบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินมาค้อมตัวคารวะ “อาจารย์ ได้ข่าวแล้วขอรับ หญิงสาวสกุลมู่ที่มีนามว่ามู่เฉินผู้นั้นมาแคว้นฉินจริงๆ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนนางได้สนทนากับมู่หรงชง ทว่ามิทราบเรื่องที่สนทนา”

“นางถึงกับ…ต้องการพึ่งพาชาวเซียนเปย?” หวังเหมิ่งไอเบาๆ สองที “เจ้าบอกมาที เหตุใดเซี่ยอันถึงไม่สังหารนาง”

บุรุษหนุ่มตอบว่า “ใต้เท้าเซี่ยมีนิสัยเยี่ยงนี้ ไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร ไม่ชอบเข่นฆ่าคนโดยไร้สาเหตุ”

“เป็นเช่นนี้หรอกหรือ”

บุรุษหนุ่มตอบอีกว่า “ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเขาไม่คิดว่าหินก้อนเล็กก้อนนี้จะก่อกวนสถานการณ์ในใต้หล้าได้ขอรับ”

หวังเหมิ่งเริ่มไอโขลกอย่างรุนแรง บุรุษหนุ่มกุลีกุจอก้าวไปประคองเขาไว้ “อาจารย์โปรดรักษาสุขภาพด้วย ข้าจะประคองท่านกลับห้อง”

หวังเหมิ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่รีบร้อนจากไป เพียงเอ่ยถามเชื่องช้า “จิ่งสิงเอ๋ย เช่นนั้นเจ้าบอกมาซิว่าคนที่เซี่ยอันผู้นี้ไม่ฆ่าทิ้ง ข้าควรฆ่าหรือไม่ฆ่าดีเล่า”

บุรุษหนุ่มก้มหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ตอบว่า “ศิษย์มิทราบขอรับ”

“อันที่จริงเจ้ารู้แล้วต่างหาก” หวังเหมิ่งตบหลังมือเขาเบาๆ “หากข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักสิบปีก็จะไม่ไปแตะต้องนางเหมือนกับที่อันสือทำ แต่บัดนี้…เวลาใกล้มาถึงแล้ว ข้าไม่กล้าปล่อยอันตรายใดๆ เอาไว้ ถึงแม้ว่า…จะเป็นเพียงหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งก็ตามที”

“อาจารย์…” บุรุษหนุ่มขยับปาก ทว่าสองพยางค์นั้นกลับแผ่วเบาจนเหมือนแทบไม่ได้ยิน เลือนหายไปในสายลมเย็นในชั่วพริบตา

 

มู่หรงชงมาถึงตำหนักชีอู๋กะทันหัน ชุนหยานางกำนัลที่เฝ้าประตูตกใจจนสะดุ้งโหยง นางทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน “บ่าวคารวะเจ้าเมืองผิงหยาง”

“ไม่ต้องมากพิธี” มู่หรงชงเอ่ยถาม “ฟูเหรินหลับแล้วหรือ”

ชุนหยาตอบ “ยังเจ้าค่ะ บ่าวจะไปรายงานให้เจ้าค่ะ”

มู่หรงชงไม่รอให้นางไปรายงานก็เดินตรงเข้าด้านใน ทางหนึ่งตะโกนว่า “พี่หญิง ข้าเข้ามาแล้ว!”

มู่หรงจิ่นเพิ่งเตรียมจะถอดชุดตัวนอก พอได้ยินเสียงของมู่หรงชงก็สวมเสื้อผ้ากลับไปใหม่ เสร็จแล้วก็เดินออกมาต้อนรับ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ ไยจึงมาเสียดึกปานนี้”

มู่หรงชงนั่งลง หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก มู่หรงจิ่นยังไม่ทันห้ามก็เห็นมู่หรงชงวางถ้วยลงด้วยสีหน้าขมขื่น “พี่หญิง ไยท่านกำลังดื่มยาอยู่เล่า”

มู่หรงจิ่นรีบรินน้ำให้เขา ทางหนึ่งก็บ่นว่า “เลินเล่อ ยามเจ้าเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเช่นนี้?”

“ข้าเห็นว่าเป็นพี่หญิงถึงได้เป็นเช่นนี้ต่างหาก” มู่หรงชงดื่มน้ำแล้วยังคงไม่ล้มเลิกคำถามเมื่อครู่นี้ “พี่หญิง ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย ไยจึงป่วยเสียแล้วเล่า”

“มิได้ป่วย ข้าแค่…” มู่หรงจิ่นหน้าแดง ตอบเสียงเบา “ข้าตั้งครรภ์แล้ว”

มู่หรงชงอึ้งไป มองหน้าท้องของมู่หรงจิ่นปราดหนึ่งตามจิตใต้สำนึก ก่อนกล่าวว่า “เช่นนี้หมายความว่าฝ่าบาทนับว่าทรงปฏิบัติต่อพี่หญิงไม่เลว มิได้เป็นดั่งที่ข้างนอกพูดกัน…”

“ไม่หรอก ที่ข้างนอกลือกันนั้นมิผิด” มู่หรงจิ่นตาแดง “นับตั้งแต่เจ้าไปจากฉางอันฝ่าบาทก็ไม่เคยเสด็จมาตำหนักชีอู๋แม้แต่หนเดียว ที่เสด็จมาเมื่อสองเดือนก่อนเป็นเพราะวันนั้นได้รับจดหมายจากเจ้า ทรงทราบว่าเจ้าจะกลับฉางอัน”

มู่หรงชงได้ยินดังนั้นก็มือลื่น ถ้วยน้ำชาตกแตกเป็นเสี่ยงๆ

มู่หรงจิ่นมองเศษซากบนพื้น ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “สรุปว่า…เจ้ามาดึกดื่นป่านนี้ด้วยเหตุใดกัน ไม่รู้หรือว่าอันตราย!”

“พี่หญิง คืนนี้ฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมอัครเสนาบดีหวัง ยังไม่กลับมาในชั่วครู่ชั่วยามนี้หรอก” มู่หรงชงอธิบาย “ข้าได้รับจดหมายจากพี่หง บอกว่าคืนวันพรุ่งนี้จะหารือกับพวกเสด็จพี่และท่านอาผิง ข้ามาด้วยอยากถามพี่หญิงว่าท่านมีวิธีใดรั้งฝ่าบาทไว้ในคืนวันพรุ่งนี้หรือไม่ ข้าเกรงว่าถ้าเกิด…”

“ไม่มีถ้า” มู่หรงจิ่นมองมู่หรงชงด้วยสายตาแน่วนิ่งแล้วกล่าวว่า “ห้าปีแล้ว บุรุษสกุลมู่หรงเราควรได้หารือกันเสียที พี่หญิงอาจช่วยงานใหญ่อะไรไม่ได้ แต่คืนวันพรุ่งนี้จะรั้งฝ่าบาทให้ประทับอยู่ที่ตำหนักชีอู๋ให้ได้แน่นอน”

มู่หรงชงกล่าวว่า “ดี เฟิ่งหวงมิควรอยู่นาน ขอตัวไปก่อน พี่หญิงต้องรักษาสุขภาพให้ดี”

มู่หรงจิ่นมาส่งมู่หรงชงที่หน้าประตู มองส่งเขาจากไปไกลจนไม่เห็นเงาแล้วก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตู สายตามองไปด้านหน้า

ชุนหยาก้าวมาเอ่ยปากว่า “องค์หญิง ข้างนอกอากาศเย็น เข้าตำหนักเถิดเพคะ”

มู่หรงจิ่นรู้สึกว่าฝีเท้าไม่มั่นคงอยู่บ้าง จึงให้ชุนหยาประคองเดินเข้าด้านในพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเบา “ชุนหยา คิดถึงเมืองเยี่ยเฉิงหรือไม่”

คนผู้นี้เป็นสาวใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกายนางมาตั้งแต่เล็ก ขณะแคว้นเยียนถูกทำลายก็ได้มายังฉางอันด้วยกัน หลายปีมานี้ข้างกายนางมีเพียงคนผู้นี้ผู้เดียวที่สามารถคุยด้วยได้

ชุนหยากะพริบตาพลางพึมพำว่า “องค์หญิง ทูลตามตรงหม่อมฉันจำมิได้แล้ว…ปีนั้นหม่อมฉันเพิ่งอายุได้สิบขวบ วังหลวงเมืองเยี่ยเฉิงมีหน้าตาเช่นไร หม่อมฉันจำได้ไม่ชัดจริงๆ เพคะ”

หลังมือของชุนหยาถูกหยาดน้ำทำให้เปียกชื้น ครั้นช้อนตามองเห็นมู่หรงจิ่นกำลังหลั่งน้ำตาก็ให้ลนลานในทันที กล่าวด้วยอารามร้อนใจว่า “ชุนหยาไม่ดีเอง! ชุนหยาโง่ ทำให้องค์หญิงเสียพระทัยแล้ว!”

มู่หรงจิ่นส่ายหน้า พูดเจือสะอื้น “อันที่จริงข้าเองก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน”

บัดนี้นางเองก็เพิ่งอายุได้สิบเก้า แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตนี้ไฉนจึงยาวนานปานนี้หนอ

มู่หรงจิ่นเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วก็จูงมือชุนหยาเข้าห้อง ลงกลอนประตูหน้าต่างเสร็จก็พูดกับชุนหยาว่า “วันพรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรจงช่วยไปขอยาตัวหนึ่งมาให้ข้า จำไว้ให้มั่น ห้ามให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด…”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: