X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 9-11

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 9 โรคกลัวพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน

เช้าวันต่อมามู่หรงชงเดินมาถึงห้องอาหารก็ได้กลิ่นหอมสายหนึ่ง

เขาเห็นมู่เฉินกำลังนั่งดื่มโจ๊กอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่เล็กๆ “เมื่อคืน…ขออภัยด้วยจริงๆ”

มู่เฉินเงยหน้ามอง “ยามนี้ท่านรู้จักขออภัยแล้ว?”

นางเห็นมู่หรงชงหน้าแดงเรื่อก็มิได้พูดสิ่งใดต่ออีก เพียงแต่ดันโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่งไปให้ “เรื่องผ่านไปแล้ว มิต้องคิดมาก”

มู่หรงชงนั่งลงตรงข้ามนาง “เมื่อคืนข้าไปพบพี่เหว่ยกับพี่หงมา หารือกันว่า…จะต่อกรกับฝูเจียนเยี่ยงไร”

มู่เฉินกล่าว “พวกท่านคิดอะไรได้”

“ดั่งที่เจ้าบอก โน้มน้าวให้เขาปราบจิ้น” มู่หรงชงตอบ “แคว้นฉินมีเผ่าต่างๆ รวมตัวกัน เมื่อใดที่ฝูเจียนยกพลลงใต้ แนวหลังจะต้องวุ่นวายแน่นอน”

มู่เฉินดื่มโจ๊กไปหนึ่งอึกก่อนเอ่ยว่า “สำหรับฉินอ๋องในปัจจุบัน การปราบจิ้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทว่าเวลายิ่งเร็วก็ยิ่งเป็นผลดีต่อท่าน แต่…ใครจะโน้มน้าวเขาได้เล่า”

มู่หรงชงตอบ “ข้ายินดีจะลองดู”

“ท่าน?” มู่เฉินถาม “มั่นใจสักกี่ส่วน”

“สามส่วน”

“เช่นนั้นยังอยากจะลอง? ไม่กลัวฝูเจียนจะพาลโกรธท่านหรือ…”

มู่หรงชงเมินประเด็นนี้ไป เปลี่ยนมาพูดว่า “ข้าจะโน้มน้าวให้เขาไปล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินดูก่อน เจ้าช่วยข้าวางหลุมพรางที จะต้องทำให้เขารู้สึกว่าการปราบจิ้นถือเป็นประสงค์ของสวรรค์เช่นกัน เพื่อแสดงความจริงใจ ในวันนั้นข้าจะมอบของขวัญเล็กน้อยให้ชุดหนึ่ง”

“ของขวัญ?”

“ถึงเวลาก็รู้เอง”

มู่หรงชงบอกเล่าเรื่องที่หารือกับมู่หรงหงเป็นการลับเมื่อคืนนี้ให้มู่เฉินฟังอย่างหมดเปลือก นางไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ท่านอายุยังน้อย กลับคิดอะไรได้มากมายเหลือเกิน”

อายุยังน้อย?

มู่หรงชงกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”

พอเขาถามคำถามนี้ออกมาแล้วก็รู้สึกว่าการถามอายุของสตรีชาวฮั่นโดยไม่ไตร่ตรองเยี่ยงนี้ช่างดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่งยวด

ทว่ามู่เฉินตอบตามตรงโดยไม่มีท่าทีลังเล “สิบหก”

มู่หรงชงได้ใจอยู่เล็กๆ “ข้าสิบเจ็ด”

ขณะที่พูดมู่หรงหย่งก็พลันวิ่งเข้ามาบอกว่ามีข่าวจากในวัง เนื่องจากมู่หรงจิ่นตกเลือดฝูเจียนจึงพิโรธหนัก มีคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้จนถึงที่สุด

มู่หรงชงลุกขึ้นยืนพลางกล่าวกับมู่เฉิน “ข้าจะเข้าวังไปดูหน่อย”

 

มู่หรงชงรีบรุดเข้าวัง แล้วให้ชุนหยาพาตรงเข้าตำหนักชีอู๋ในทันทีโดยไม่คำนึงถึงข้อต้องห้าม

มู่หรงจิ่นกำลังนอนอยู่บนเตียง เห็นมู่หรงชงเข้ามาใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แต่เดิมก็ยิ่งซีดลงหลายส่วน

มู่หรงชงคุกเข่าทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท เฟิ่งหวงเป็นห่วงพี่สาว เข้ามาโดยไม่ทันได้กราบทูลรายงาน ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงจิ่นมีสีหน้าเป็นกังวล แต่หัวคิ้วที่เดิมทีขมวดอยู่ของฝูเจียนกลับคลายออกน้อยๆ “ลุกขึ้นเถอะ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก พี่น้องผูกพันกันลึกซึ้ง เราจะไม่รู้ได้อย่างไร” เขาว่าพลางก้มตัวลงใช้มือหนึ่งจับแขนของมู่หรงชงไว้แล้วดึงตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง

รู้สึกถึงผิวร้อนลวกจากฝ่ามือนั้นมู่หรงชงก็ก้มหน้าลง ในใจให้รังเกียจ สีหน้าแปลกไป แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาเป็นปกติ หลบเลี่ยงมือข้างนั้นโดยไม่กระโตกกระตากก่อนเอ่ยว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ”

ฝูเจียนถอนหายใจ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดคุยดีๆ กับเรามานานแล้ว”

ซ่งหยาขันทีประจำตัวฝูเจียนมองเค้าลางออกในทันทีจึงส่งสัญญาณมือไล่บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป

ภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้องและฝูเจียน มู่หรงชงได้ยินเสียงปิดประตู ในใจก็มีเสียงดัง ‘กึก’ ตามไปด้วย

ฝูเจียนนั่งลงบนหัวเตียงของมู่หรงจิ่น ตบเตียงแล้วว่า “เฟิ่งหวงเอ๋อร์มานั่งตรงนี้”

บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งในทันใด

มู่หรงชงลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็เดินเชื่องช้าไปยังเตียง

ขณะเข้าใกล้ฝูเจียนมากแล้วเขาก็พลันคุกเข่าลง “กระหม่อมมิกล้าล่วงเกินฝ่าบาท การนั่งเทียมกับฝ่าบาทถือเป็นการกระทำผิดจารีต”

“จารีต?” ฝูเจียนหัวเราะ “อยู่กับชาวฮั่นนานไปแล้วจริงๆ”

มู่หรงชงกล่าว “กระหม่อมชื่นชมในขนบธรรมเนียมของชาวฮั่นตามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“เรารู้ บทเพลงเมฆมงคลก็บรรเลงได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว” ฝูเจียนพูดพลางวางมือข้างหนึ่งลงบนมือมู่หรงจิ่น อีกข้างยื่นมาหามู่หรงชง

มือของมู่หรงชงสั่นน้อยๆ สุดท้ายก็มิได้ชักกลับไป ปล่อยให้มือถูกฝูเจียนกุมเอาไว้

เปลวเพลิงแห่งความเศร้ารวมถึงความโกรธในหัวใจมู่หรงชงลุกโชนขึ้นในทันใด แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้แม้เพียงน้อยนิด

มู่หรงชงกัดฟันอยู่ชั่วประเดี๋ยว สายตาตวัดมองผ่านเบ้าตาที่แดงเรื่อของมู่หรงจิ่น กล่าวนิ่งๆ ว่า “ฝ่าบาท ได้ข่าวว่าอุทยานซั่งหลินมีกวาง เฟิ่งหวงใคร่จะไปล่าสัตว์”

“เฟิ่งหวงเอ๋อร์โตแล้วจริงๆ ด้วย เดิมทีเห็นเจ้ายังปวกเปียกอยู่บ้าง บัดนี้ถึงกับสนใจการล่าสัตว์เสียแล้ว” ฝูเจียนกล่าวยิ้มๆ “ได้ เช่นนั้นอีกสองสามวันเราจะไปกับเจ้า”

มู่หรงจิ่นหวั่นวิตกอยู่บ้าง “ซั่งหลินเป็นซากปรักหักพัง ไม่เพียงมีกวาง ยังมีเสือมีหมาป่าปรากฏตัว ฝ่าบาทกับเฟิ่งหวงเอ๋อร์ต้องพาคนไปให้มากหน่อยนะเพคะ”

ฝูเจียนตอบ “ได้ พวกเรามาล่าสัตว์กัน เรียกคนไปมากหน่อย จะได้ครึกครื้น”

มู่หรงชงจึงกล่าวว่า “เฟิ่งหวงจะล่าให้ได้หนังดี นำมาทำชุดให้พี่หญิง”

มู่หรงจิ่นกล่าวอย่างอ่อนโยน “เฟิ่งหวงเอ๋อร์มีใจแล้ว”

ฝูเจียนเห็นพี่น้องสองคนนี้อยู่เคียงข้างกาย สนทนาหัวร่อต่อกระซิกกันก็อดจะนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อนไม่ได้ ยามนั้นพวกเขาล้วนยังเป็นเด็ก แรกมาถึงวังหลวงแคว้นฉินยังอิดออด ทำให้เปลืองความคิดความอ่านของเขาไปไม่น้อย

เขาจ้องมองมู่หรงชง มองแล้วมองอีก เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาครามครัน จึงบีบมือตนเอง “ให้ชุนหยาไปเก็บห้องเดิมของเฟิ่งหวงเอ๋อร์ให้แล้ว คืนนี้เจ้าค้างที่นี่แล้วกัน”

ความหมายในคำพูดของฝูเจียนชัดเจนยิ่ง มู่หรงชงกับมู่หรงจิ่นตะลึงงันไปในทันที

มู่หรงจิ่นยังไม่หายตะลึง มู่หรงชงกลับค้อมตัวลง “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อกระหม่อมเป็นอย่างดี เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนพอใจกับคำตอบของเขามากจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “เรายังมีธุระ จะมาดึกหน่อย จิ่นเอ๋อร์ เจ้าอย่าลุกขึ้นมา พักผ่อนให้ดี”

มู่หรงชงเดินไปส่งฝูเจียน ขณะกลับเข้าห้องก็เห็นมู่หรงจิ่นนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางหวาดหวั่นระคนเศร้าสร้อย น้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย ก่อนพูดเสียงสั่นเครือ “เหตุใดเขา…ยังไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอีก”

มู่หรงชงนั่งลงริมเตียงนาง เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง “พี่หญิง ชงเอ๋อร์ไร้ความสามารถ ไม่อาจปกป้องท่านกับ…”

มู่หรงจิ่นตัดบทเขา “หรือจะให้ข้าคลอดลูกให้เขาจริงๆ เล่า”

มู่หรงชงกุมมือนางไว้แน่น “พี่หญิง ทุกสิ่งทุกอย่างในหลายปีมานี้ข้าไม่มีทางลืม สักวันหนึ่งพวกเราจะทวงคืนกลับมาทุกเศษเสี้ยว”

“พี่หญิงจะรอ พี่หญิงเชื่อพวกเจ้า” มู่หรงจิ่นมองมู่หรงชง “ทว่าคืนนี้เจ้าจะทำอย่างไร”

“ข้าย่อมมีวิธี พี่หญิงท่านนอนสักครู่เถิด ข้าจะกลับไป แล้วดึกหน่อยจะกลับมา”

มู่หรงชงพูดพลางกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างช้าๆ จนแน่น เส้นเลือดดำที่หลังมือโปนออกมา ฝ่ามือถูกเล็บแทงเข้าเนื้อแล้วเขาก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ

 

มู่เฉินเดินเล่นในสวนเสร็จรอบหนึ่ง ระหว่างทางกลับได้บังเอิญเจอเข้ากับมู่หรงหย่งที่กำลังเดินอย่างรีบร้อน หวิดจะชนถูกนางเข้า

“แม่นาง ขออภัยด้วย ข้ารีบเดินเกินไป”

“ประเดี๋ยวก่อน!” มู่หรงหย่งเพิ่งทำท่าจะจากไปมู่เฉินกลับเรียกเขาไว้ “ในมือเจ้าถือสิ่งใดไว้”

มู่หรงหย่งซ่อนขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กนั้นไว้ข้างหลัง “ไม่มีสิ่งใด”

“เจ้าเห็นว่าข้าตาบอดหรือ” มู่เฉินยื่นมือออกไป “ให้ข้าดูหน่อย”

มู่หรงหย่งกล่าว “แม่นาง นี่เป็นของที่นายท่านของข้าต้องการ ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย…”

มู่เฉินเร่ง “เอามา!”

มู่หรงหย่งได้แต่วางขวดกระเบื้องเคลือบลงบนมือมู่เฉิน

มู่เฉินเปิดออกดม หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เขาต้องการสิ่งนี้ไปทำอะไร”

“ท่านอย่าถามเลย ข้าต้องรีบนำไปให้เขา ขอตัวก่อนแล้ว!”

มู่เฉินมองเขารีบเร่งจากไป หลังยืนอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่งก็ตามไปด้วย

ม่านบดบังไว้หลายชั้น ภายในห้องจึงค่อนข้างมืด

มู่หรงชงสวมเสื้อชั้นเดียว เขาแหวกชุดท่อนล่างออก เผยเรียวขาแข็งแรงทั้งสองออกมา ในมือเขากำมีดสั้นไว้เล่มหนึ่ง ปลายมีดจ่อที่ต้นขา หลับตา สูดหายใจลึก ก่อนออกแรงแทงลงไป

“ซี้ดดด!”

ความเจ็บปวดรุนแรงถาโถมเข้าใส่ เขากดเสียงไว้ให้เบาที่สุด อดจะสูดลมหายใจเฮือกไม่ได้ มือที่กำมีดอ่อนแรงลงหลายส่วน แต่เพียงไม่นานเขาก็กำมีดแน่นแล้วกรีดลงไปอีกครั้ง

แอ๊ด…เสียงประตูถูกเปิด มู่เฉินที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็บุกเข้ามาโดยไม่สนใจจะเคาะประตู

“มู่หรงชง ท่านเป็นอะไรไป”

มู่หรงชงตกใจ โยนมีดทิ้ง แล้วดึงชุดท่อนล่างปิดร่างกายไว้ทันที ครั้นเงยหน้ามองก็เห็นมู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

นางเห็นเขานั่งอยู่ริมเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ชุดบริเวณขาเปื้อนเลือด บนพื้นก็มีมีดเปื้อนเลือดตกอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปหา “ท่านกำลังทำอะไร”

มู่หรงชงมองนางด้วยใบหน้าซีดเผือด กัดฟันตอบว่า “เจ้า…ออกไป!”

มู่เฉินทำท่าจะเดินเข้าไปอีก กลับถูกมู่หรงชงตวาดเสียงเย็น “อย่าให้ข้าพูดเป็นรอบที่สอง!”

มู่เฉินอึ้งงัน ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงโมโหโทโสหนักปานนี้ นางมองมู่หรงชง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปข้างนอก

มู่หรงชงค่อยโล่งอก ก่อนจะก้มตัวลงเก็บมีดบนพื้น

เสียงปิดประตูดังขึ้นมา…ทว่าไฉนจึงมีสองเสียง

มู่หรงชงเงยหน้าขึ้น เห็นมู่เฉินปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ทั้งยังพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ท่านบาดเจ็บแล้ว ข้าจะใส่ยาให้ท่าน”

“ไม่ต้อง” มู่หรงชงพูดเยียบเย็น “ออกไป”

“ข้าออกไปรอบหนึ่งแล้ว” มู่เฉินพูดพลางก้าวไปหยิบมีดออกจากมือของมู่หรงชง

“เจ้า…”

มู่หรงชงกำลังจะดุ กลับเห็นมู่เฉินก้มหน้ามองทางด้านล่างด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

น่องของเขากำลังเปลือยเปล่า…

มู่หรงชงทำท่าจะปิดบัง มู่เฉินก็ก้าวมาใช้มือหนึ่งจับชุดท่อนล่างของเขาไว้แล้วถลกมันขึ้นด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวแล้ว “มู่หรงชง ข้าจะพยายามไม่สัมผัสถูกท่านอย่างเต็มที่ ถ้าเกิดเผลอสัมผัสถูกตัวขึ้นมา ตามความเคยชินของท่านใช่จะโบยข้าให้ตายหรือไม่”

มู่หรงชงตกใจยกใหญ่ ถอยตัวไปด้านหลังตามจิตใต้สำนึก ก่อนกระทบถูกตรงที่บาดเจ็บ เขาเจ็บจนต้องสูดหายใจ “เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ บุรุษสตรีมีความแตกต่างกัน!”

“ย่อมรู้แน่นอน ข้าเป็นชาวฮั่น…” มู่เฉินพลันหยุดเสียง ตกใจจนต้องใช้มือหนึ่งปิดปากไว้

นางไม่เคยเห็นภาพที่เลือดเนื้อเละเทะเช่นนี้มาก่อน บนต้นขามีรูเปื้อนเลือดอยู่รูหนึ่ง ใต้รูเป็นช่องจากการที่เนื้อหนังปริ เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากรูและช่องนั้น ไหลตามขาลงถึงพื้น

มู่หรงชงเอ่ยเสียงเบา “กลัวก็อย่าดู”

มู่เฉินหันไปหยิบขวดยาบนโต๊ะมาอย่างฉับไว เทยาใส่แผลทั้งหมดลงบนปากแผล “นั่นต้องห้ามเลือดก่อนค่อยว่ากัน”

บริเวณแผลเมื่อถูกยาเทใส่ก็ยิ่งเจ็บกว่าเดิม มู่หรงชงกัดฟันไว้ ไม่ส่งเสียงสักแอะ

มู่เฉินฉีกกระโปรงตนเองออกเป็นเส้นยาวมาพันปากแผลเอาไว้ เสียงพูดของนางสั่นอยู่บ้าง “จะเจ็บ อดทนสักหน่อย”

มือที่วางอยู่ด้านหลังของมู่หรงชงกำผ้าห่มแน่น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมไม่หยุด แต่ยังฝืนไม่ส่งเสียง

“ท่านส่งเสียงร้องเจ็บได้…ข้าไม่หัวเราะท่านหรอก”

มู่หรงชงยังคงไม่หือไม่อือดังเดิม แต่ฟันขบกันดังกรอด

กว่าจะพันแผลเสร็จบนหน้าของมู่หรงชงก็เต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าราวกับผ้าขาวที่ผ่านการซัก เขาพูดเสียงเบา “ขอบใจ”

มู่เฉินก้มหน้าอยู่ มิได้เงยขึ้นมา

มู่หรงชงรู้สึกเย็นบนขาที่เปลือยอยู่ พบว่าถึงกับมีน้ำหยดหนึ่งตกลงบนขา

เขาประหลาดใจอยู่บ้างจึงอดจะยื่นมือไปแตะแก้มมู่เฉินไม่ได้

มู่เฉินนิ่งอึ้ง

“ร้องไห้หรือ” เขายิ้มบางๆ ขึ้นมา “ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บแล้ว”

เขาคิดในใจว่าจะอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กสาวนางหนึ่ง

มู่เฉินปัดมือเขาออก ลุกขึ้นพลางถามว่า “เหตุใดต้องทำกับตนเองเยี่ยงนี้”

มู่หรงชงตอบ “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว”

“ข้าอยากรู้”

“เจ้าไม่เข้าใจ…” มู่หรงชงเงยหน้ามองนาง รอยยิ้มแฝงความเย้ยหยันตนเอง กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “อย่ามีวันที่เข้าใจเลย”

มู่เฉินไม่ได้ถามอีก แต่ช่วยเขาเก็บกวาดห้องแทน

เมื่อมู่เฉินทำความสะอาดเสร็จมู่หรงชงก็กล่าวว่า “ช่วยข้าจุดกำยานบนโต๊ะที ดมกลิ่นคาวเลือดนี้แล้วรู้สึกไม่สบาย”

“สมน้ำหน้า” มู่เฉินบ่นว่า แต่ยังคงทำตามที่เขาขอ

มู่หรงชงพักผ่อนอยู่ถึงช่วงพลบค่ำ สามารถเดินเหินได้เล็กน้อยแล้วถึงได้ให้มู่หรงหย่งประคองไปยังตำหนักชีอู๋

ขันทีพาเขาไปส่งยังห้องที่เคยพักเมื่อสามปีก่อน ภายในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มู่หรงจิ่นรู้ความเคยชินของเขาว่าไม่ชอบให้ในห้องมีสิ่งของเกินจำเป็น เป็นเหตุให้ห้องดูเงียบเหงาวังเวง ไม่มีของประดับแม้แต่ชิ้นเดียว

มู่หรงจิ่นหลับมาตลอดทั้งบ่ายยังไม่ตื่น ชุนหยาเห็นมู่หรงชงกลับมาก็ทำท่าจะไปปลุกนาง กลับถูกมู่หรงชงห้ามไว้

ในเวลานี้เองฝูเจียนได้มาถึงแล้ว

เขาแต่งตัวง่ายๆ ข้างกายพามาเพียงซ่งหยา ครั้นเห็นมู่หรงชงมีสีหน้าไม่ดีจึงถามอย่างค่อนข้างแปลกใจ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ไม่สบาย? อยากกินอะไรบ้าง จะได้ให้ซ่งหยาไปเตรียมมา”

มู่หรงชงตอบ “กินแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงใคร่จะสนทนากับฝ่าบาทตามลำพังสักครู่หนึ่ง”

ซ่งหยาถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ

ฝูเจียนนั่งลงข้างกายมู่หรงชง นั่งใกล้อย่างมาก “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ จากกันสามปี เราคิดถึงเจ้ามากจริงๆ เจ้าดื่มเป็นเพื่อนเราสักสองจอกก่อนดีหรือไม่” เขาพูดพลางใช้มือหนึ่งหยิบจอกสุรา อีกมือเลื่อนไปที่บั้นเอวของมู่หรงชง

มู่หรงชงพลันลุกขึ้นยืน เนื่องด้วยบนขามีแผลจึงทรงตัวยืนได้ไม่มั่นคง ร่างโงนเงนเบาๆ

ฝูเจียนสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขา สายตาเลื่อนไปตกตรงจุดที่เขาบาดเจ็บ ก่อนเอ่ยถามว่า “เป็นกระไรไป”

มู่หรงชงทนเจ็บคุกเข่าลงตอบ “ฝ่าบาท เฟิ่งหวงจะอย่างไรก็เป็นบุรุษเพศ หากฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะกระทำเยี่ยงนี้ให้จงได้ เฟิ่งหวงก็มีเพียงใช้ความตายชดใช้ความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนสะบัดมือ จอกสุราแตกกระจายเต็มพื้น

“จิ่งเลวี่ยเตือนเรามาตลอด บอกว่าพวกเจ้าชาวสกุลมู่หรงเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง” ฝูเจียนเดินมาตรงหน้ามู่หรงชง ย่อตัวลงใช้มือหนึ่งบีบคางเขา “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เราเลี้ยงพวกเจ้ามาตั้งหลายปี เจ้าลองบอกมาที ใช่เลี้ยงไม่เชื่องจริงหรือไม่”

มู่หรงชงเงยหน้าขึ้นมองฝูเจียนด้วยแรงจากมืออีกฝ่าย เขาใช้แววตาที่ดูเชื่อฟังว่าง่ายที่สุดตอบว่า “วาจาของอัครเสนาบดีหวัง ฝ่าบาททรงเชื่อถือที่สุด สามปีก่อนก็เป็นเพราะคำเตือนจากอัครเสนาบดีหวัง ฝ่าบาทถึงได้ทรงให้เฟิ่งหวงออกจากฉางอันไปที่ผิงหยาง…”

“เจ้าโทษเรา?”

“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เฟิ่งหวงมิได้โทษ บุญคุณที่ฝ่าบาททรงมีต่อพวกกระหม่อมพี่น้องและสกุลมู่หรง เฟิ่งหวงถึงตายก็มิกล้าลืม แต่กระหม่อมก็มิสามารถพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับอัครเสนาบดีหวังต่อพระพักตร์ฝ่าบาทได้…” มู่หรงชงมองฝูเจียน ความเจ็บแค้นคับข้องใจแสดงออกมาทางสีแดงในดวงตา “เฟิ่งหวงขอกล่าวเพียงประโยคเดียว เกิดเป็นบุรุษ เฟิ่งหวงยอมตายเพื่อฝ่าบาท”

ฝูเจียนหรี่ตา “ฆ่าตาย…แต่หยามมิได้?”

“ฝ่าบาทไม่เพียงมิได้หยามกระหม่อม กลับทรงให้ความโปรดปรานแก่กระหม่อม กระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงยินดีใช้ความตายเป็นการทดแทน แต่ทว่า…กระหม่อมกับฝ่าบาท…มีความชมชอบต่างกันจริงๆ”

มู่หรงชงมองดูประกายอันตรายในดวงตาฝูเจียน แทบจะกลั้นหายใจ

เนิ่นนานแววตาอันตรายนั้นถึงได้ค่อยๆ จางไป ฝูเจียนเพียงกล่าวเบาๆ ประโยคเดียว “มีก็แค่เจ้าที่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้”

บทที่ 10 ล่าสัตว์ที่ซั่งหลิน

อุทยานซั่งหลินเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในสมัยราชวงศ์ฮั่น ในยามที่รุ่งโรจน์มีพื้นที่ถึงสามร้อยหลี่ มีแม่น้ำจิงเหอและแม่น้ำเว่ยเหอไหลผ่าน มีตำหนักและสระน้ำอยู่ทั่วพื้นที่ ต่อมาหลังผ่านเหตุการณ์หวังหมั่ง ครองอำนาจและไฟสงครามกองทัพชื่อเหมย ที่นี่ก็แทบจะถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง

ปัจจุบันมีแต่ความชำรุดทรุดโทรม หญ้าขึ้นรกราวกับจะขึ้นไปจรดขอบฟ้า กลายเป็นสถานที่รกร้างไปแล้ว

หลังงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฝูเจียน ข่าวว่าเขาจะไปล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินแพร่ออกไปก็มีผู้ติดตามเป็นพรวนในทันที ล้วนแต่อยากไปเป็นเพื่อนฮ่องเต้กันทั้งนั้น ฝูเจียนอารมณ์ดีมาก สุดท้ายก็ให้คนจำนวนมากเดินทางไปด้วยกัน คนในรุ่นเดียวกับฝูเจียนมีหยางผิงกงฝูหรงและฉงเหอโหวฝูหมัว รุ่นลูกมีฝูฮุย ฝูหง ฝูรุ่ย และฝูเป่า ขุนนางต่างเผ่ามีเสนาบดีเซียนเปยมู่หรงเหว่ย เจ้าเมืองนครหลวงมู่หรงฉุย เสนาธิการแดนเหนือมู่หรงหง เจ้าเมืองผิงหยางมู่หรงชง แม่ทัพหยางอู่แห่งเผ่าเชียงเหยาฉาง และนายทหารแห่งโฉวฉือหยางติ้ง

เดือนเจ็ด ฤดูกาลแห่งการเติบโต ต้นไม้เขียวให้ร่มเงา

มู่เฉินติดตามมู่หรงชงมาถึงอุทยานซั่งหลิน นางเห็นคนทั้งหลายแบ่งกันยืนเป็นสองสามแถว บุรุษแต่ละคนสวมชุดเกราะเบา ในมือกุมอาวุธล่าสัตว์ไว้

มู่หรงชงสวมชุดนอกตัวยาวสีขนอีกา สวมหมวกปีกนก ใบหน้าเนียนเกลี้ยงเกลาประดุจหยก แขนเสื้อปลิวไสว รูปโฉมงามล่มเมือง

สายตาของฝูเจียนหยุดอยู่ที่ร่างมู่หรงชงชั่วประเดี๋ยวก่อนจะเลื่อนมาอยู่ที่มู่เฉิน มู่เฉินก้มหน้าลงหลบสายตาของเขา

ฝูฮุยเดินผ่านข้างกายมู่หรงชง แค่นหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “บุรุษรูปโฉมเหมือนสตรี ปีศาจยั่วยวนเจ้านาย!”

มู่หรงชงมิได้สนใจ ยืนอยู่กับที่ราวกับว่าไม่ได้ยิน

เสียงแหลมๆ ของซ่งหยาเริ่มป่าวประกาศกฎในการล่าสัตว์ “ฝ่าบาทมีรับสั่ง แข่งขันโดยการแบ่งกลุ่ม ตรงนี้มีกระดาษที่เขียนนามของใต้เท้าแต่ละท่านไว้ ใช้การจับสลากกำหนดกลุ่ม เมื่อถึงยามโหย่ว* ให้กลับมาที่นี่ กำหนดแพ้ชนะโดยพิจารณาจากจำนวนและขนาดของสัตว์ที่ล่าได้”

คนทั้งหลายเริ่มจับสลาก

ผลลัพธ์สุดท้ายคือมู่หรงชง ฝูฮุย และเหยาฉางอยู่กลุ่มเดียวกัน มู่หรงหง ฝูหมัว และฝูหงอยู่กลุ่มเดียวกัน…

ฝูเป่ามองกระดาษในมือ โมโหจนถามซ่งหยาเสียงต่ำ “มิใช่ให้เจ้าจัดข้าไว้ในกลุ่มของพี่เฟิ่งหรือไร เหตุใดจึงเป็นมู่หรงฉุยกับหยางติ้ง”

ซ่งหยายิ้มปะเหลาะ “องค์หญิง เรื่องจับสลากนี้…เล่นเล่ห์ได้ยากยิ่ง ยิ่งกว่านั้นกลุ่มนี้ของท่านก็เป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาท”

คิ้วเรียวของฝูเป่าชี้ชัน “เจ้าพูดเช่นนี้ คอยดูเถอะว่ากลับไปแล้วข้าจะจัดการเจ้าเยี่ยงไร!”

ซ่งหยาค้อมตัวเอ่ย “องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วย นี่เป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”

“เสด็จพ่อทรงหวังให้ข้าแต่งงานกับหยางติ้ง?” ฝูเป่าแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ยอมให้เขาสมปรารถนาหรอก!”

ฝูเป่าพูดจบก็กระโดดขึ้นหลังม้า

มู่เฉินในฐานะผู้ติดตามของมู่หรงชงจะได้ขี่ลูกม้าสีแดงพุทรา นางเพิ่งจะมาถึงม้า กลับได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นด้านข้าง นางหันหน้าไปก็มองเห็นเพียงในหมู่ผู้ติดตามของฝูหมัวมีสตรีนางหนึ่งกำลังตกลงจากหลังม้า!

มู่เฉินไม่ทันได้คิดมากพุ่งตัวไปคิดจะรับคน

ทว่าฝูหมัวเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง เขาโอบสตรีนางนั้นเข้าอ้อมแขนแล้ว

มู่เฉินสัมผัสถูกเพียงมือนาง แม้จะเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่นางมองเห็นว่าบนข้อมือบางนั้นมีรอยแผลเป็นจางๆ อยู่หนึ่งรอย มู่เฉินใจลอยไปชั่วขณะ นึกขึ้นได้ว่าพวกนางสองพี่น้องเล่นกันในสมัยเด็กแล้วมู่อวิ่นจือเผลอสะดุดล้ม ซึ่งได้ทิ้งรอยแผลเป็นนี้ไว้ มู่เฉินลงข้อสรุปแน่ชัดว่าสตรีนางนี้ก็คือมู่อวิ่นจืออย่างไม่ต้องสงสัย

นางมองคนผู้นั้นด้วยท่าทางอึ้งงัน กลับเห็นอีกฝ่ายคลุมผ้าคลุมหน้าไว้ ทำให้มองเห็นหน้าได้ไม่ชัด

ฝูหมัวหารู้ไม่ว่ามู่เฉินก็คือคนที่หลบอยู่บนรถลากในวันนั้นจึงถามยิ้มๆ “แม่นาง คนไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจับนางไว้ไม่ปล่อยหมายความว่าอย่างไร”

คราวนี้มู่เฉินถึงได้สังเกตเห็นเขา นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วก็รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ นางปล่อยมือก่อนเอ่ยว่า “นางดูคล้ายกับสหายเก่าคนหนึ่งของข้าอยู่บ้าง”

“ปิดหน้าอยู่เจ้าก็ยังมองออกว่าคล้ายได้อีก?” ฝูหมัวมองไปทางมู่หรงชงก่อนเอ่ยว่า “เจ้าบอกข้าว่าได้สตรีชาวฮั่นที่หายากน่าเก็บไว้มานางหนึ่ง ให้ข้าพาคนผู้นี้ของตนเองออกมาเทียบกันดู บัดนี้เห็นได้ชัดแจ้งว่าคนที่ปิดหน้าไม่พูดไม่จาผู้นี้ของข้าดีกว่าคนที่เซ่อๆ ซ่าๆ ผู้นี้ของเจ้ามากทีเดียว”

คราวนี้มู่เฉินถึงได้เข้าใจ นี่ก็คือ ของขวัญ ที่มู่หรงชงบอกไว้ก่อนหน้านี้ แต่…หายากน่าเก็บไว้? เซ่อๆ ซ่าๆ?

ประเดี๋ยวเดียวคนทั้งหลายก็ขึ้นไปอยู่บนหลังม้ากันหมดแล้ว

มู่หรงชงเรียกนางจากด้านข้าง “ชิงหลวน มานี่”

มู่เฉินเดินไปหาแล้วเตรียมจะขึ้นม้า มู่หรงชงที่นั่งบนม้าอีกตัวยื่นมือมาตรงหน้า คิดจะช่วยดึงนาง มู่เฉินอึ้งงันไปเล็กน้อย ยืมแรงจากมือเขาขึ้นหลังม้าของตนเอง ก่อนกระซิบว่า “ขอบคุณ”

มู่หรงชงเอ่ยเตือน “ระวังอย่าเผยพิรุธอีกเชียว”

“ได้” มู่เฉินถามเสียงเบา “เตรียมของเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

“พี่หงจะนำไปไว้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทเอง”

คณะของมู่เฉินกับมู่หรงชงมาถึงส่วนลึกของป่าแล้วก็เดินเลาะลำธาร หูฟังเสียงน้ำและหินกระทบกัน ส่งเสียงไพเราะดังมา

ใบไม้บริเวณยอดต้นเริ่มถูกย้อมด้วยสีแดงแล้ว บางครั้งบางคราวมีนกบินผ่านไปก็จะมีใบไม้ไม่กี่ใบร่วงลงมา

ฝูฮุยเดินอยู่หน้าสุด ข้างหลังเป็นเหยาฉาง เขาอายุสี่สิบกว่า สวมชุดเผ่าเชียง สีผิวคล้ำเล็กน้อย ใบหน้าได้รูป ผู้ที่ติดตามเขาเป็นคนหนุ่มหน้าตางามหมดจดเป็นที่สุด ตลอดทางไม่เคยพูดสิ่งใด

มู่หรงชงกับมู่เฉินอยู่รั้งท้าย มู่เฉินจงใจรั้งม้าเดินช้าลงสองสามก้าว ก่อนกล่าวกับมู่หรงชงว่า “ข้าแน่ใจแล้ว สตรีนางนั้นที่ข้างกายฉงเหอโหวก็คือน้องสาวของข้า”

มู่หรงชงว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะคิดหาทางทำให้พวกเจ้าได้พบหน้ากัน นางรู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นผู้ใด”

มู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อย “น่าจะไม่รู้”

ฝูฮุยที่อยู่ทางด้านหน้าพลันพูดขึ้น “เจ้าเด็กไป๋หลู่! เจ้ามัวกระซิบกระซาบอะไรอยู่ข้างหลัง! อาวุธไม่มีตา อย่าเผลอถูกข้ายิงตายเสียเล่า!”

ฟิ้ว!

ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาทางพวกเขา มู่หรงชงที่อยู่ด้านข้างดึงตัวมู่เฉินไปด้านหน้า ทับกายครึ่งบนของนางไว้ถึงได้หลบพ้นอย่างเฉียดฉิว

ฉึก ลูกธนูพุ่งแทงเข้ากลางลำตัวกระต่ายป่าตัวหนึ่ง กระต่ายดิ้นอยู่บนพื้นได้สองทีก็แน่นิ่งไป

ฝูฮุยขี่ม้าไปเก็บกระต่ายใส่ลงในถุง ก่อนแค่นเสียงเย็นใส่มู่หรงชง “นับว่าเจ้าชะตาแข็ง!”

เหยาฉางกล่าวขึ้น “ยินดีกับผิงหยวนกงด้วยที่ยิงถูกเป้าในดอกแรก”

ฝูฮุยพูดยิ้มๆ “แม่ทัพเหยา หากข้าสู้ไม่ได้กระทั่งเจ้าเด็กไป๋หลู่ผู้นี้ก็ออกจะน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!”

เหยาฉางพยักหน้าน้อยๆ “องค์ชายตรัสได้ถูกต้อง”

มู่หรงชงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าย่อมมิกล้าเปรียบเทียบสูงต่ำกับองค์ชาย และกฎในการล่าสัตว์ก็มิใช่ให้คนในกลุ่มเดียวกันแข่งขันกัน”

ฝูฮุยแค่นเสียงเย็นชาก่อนหันหัวม้าเปลี่ยนทิศทางไปอยู่ด้านหน้าสุดต่อ

ตลอดทั้งเช้าทั้งคณะของมู่หรงชงล่ากระต่ายได้เจ็ดตัว ไก่ป่าสี่ตัว และนกอีกสองตัว

หลังพวกเขากินเสบียงกันลวกๆ เสร็จก็ตามหาเหยื่อกันต่อ

รอบข้างเงียบสงัด ฝูฮุยบ่นขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “นี่มันสถานที่อะไรกัน เหยื่อน้อยปานนี้!” ขณะที่พูดเขาพลันกลั้นลมหายใจ “มู่หรงชง เจ้าอย่าขยับ!”

คนทั้งหลายมองไปทางเขา เห็นเพียงบนต้นไม้ใหญ่ที่ด้านหลังมู่หรงชงกับมู่เฉินมีงูตัวใหญ่เท่าแขนอยู่ตัวหนึ่ง กำลังเลื้อยช้าๆ ไปทางพวกเขา

มู่เฉินตกใจจนสีหน้าแข็งค้าง เห็นฝูฮุยเตรียมน้าวธนูแล้ว แต่จุดที่เขาเล็งมิใช่งูยักษ์โดยสิ้นเชิง แต่เป็น…มู่หรงชง!

นางอดจะตะโกนขึ้นไม่ได้ “หยุดมือ!”

ฝูฮุยเกิดเจตนาจะสังหารมู่หรงชงแล้ว อยากให้เขาก้าวออกจากสถานที่ที่ไร้ผู้คนนี้ไม่ได้ตลอดกาล

ฟิ้ว

ลูกธนูยิงออกมาแล้ว!

เมื่อครู่มู่หรงชงมัวแต่คิดว่าจะหลบงูยักษ์นี้อย่างไรจึงรับมือการโจมตีในยามฉับพลันไม่ทัน ครั้นเห็นลูกธนูกำลังจะมาถึงตัวอยู่รอมร่อและในชั่วขณะนั้นก็เห็นงูยักษ์ตัวนั้นพุ่งเข้าหามู่เฉิน เขาจึงชักดาบแทงเข้าที่ม้าของมู่เฉินทันที

ม้าวิ่งไปข้างหน้าเนื่องจากความเจ็บปวด หลบพ้นการจู่โจมจากงูยักษ์ ทว่าลูกธนูที่ฝูฮุยยิงมาได้พุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว!

มู่หรงชงไม่ทันได้คิดถึงแม้แต่ความเป็นความตาย ได้ยินเพียงเสียงดังเคร้ง ธนูอีกดอกยิงมาจากมุมเฉียง แทงเข้าที่ตัวลูกธนูของฝูฮุย ทำให้ลูกธนูดอกนั้นตกลงพื้น

มู่หรงชงนั่งอยู่บนหลังม้าโดยที่ปลอดภัยดี แม้แต่ขนคิ้วยังไม่ขยับสักนิด

ฝูฮุยเห็นภาพนี้ ขณะคิดจะบันดาลโทสะกับคนที่ยิงลูกธนูดอกนั้นอีกฝ่ายกลับชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน “องค์ชายทรงห้าวหาญโดยแท้! ทว่าไม่เล็งธนูให้ดีก็ยิงออกไปเสียแล้วจะเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง!” นางพูดพลางยิงลูกธนูออกมาอีกดอก แทงตรงเข้าที่ตางูจนทะลุหัวมันออกไป งูยักษ์ดิ้นรนก่อนตายได้ครู่เดียวก็แน่นิ่งไป

“ดูเถิด เช่นนี้ก็หมดเรื่องแล้ว!” คนผู้นี้ก็คือคนหนุ่มร่างผอมที่เมื่อครู่นี้ติดตามอยู่ด้านหลังเหยาฉางโดยตลอด นางสวมชุดบุรุษ พอนางเอ่ยปากคนทั้งหมดถึงได้รู้ว่าเป็นสตรี

เหยาฉางมุ่นคิ้วน้อยๆ พูดเสียงเข้ม “จิ่วเทียน อยู่ต่อพระพักตร์องค์ชาย เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว”

นางพยักหน้าอย่างคล้ายรู้ความผิด “พ่อบุญธรรม ข้าผิดไปแล้ว”

เหยาฉางมิได้กล่าวสิ่งใดอีก แต่ในใจคิดว่าเจตนาของฝูฮุยชัดเจนออกปานนี้ เขาไม่มีความจำเป็นต้องล่วงเกินอีกฝ่ายเพื่อเจ้าเด็กเซียนเปยผู้นี้ ควรหาข้ออ้างหลบหลีก

ม้าของมู่เฉินถูกทำให้ตกใจ แต่เนื่องจากบาดเจ็บหนักมาก มันวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดตัวนั่งลง มู่เฉินจับสายบังเหียนแน่น ก่อนร่วงตกลงบนพื้น

มู่หรงชงเร่งม้าไปหา ยื่นมือออกไปพลางว่า “ขึ้นมา”

มู่เฉินคิดในใจ เขามิใช่ไม่ชอบสัมผัสกับผู้อื่นหรือไร ไฉนจึงทำเช่นนี้หลายหน…

แม้ว่านางจะคิดเช่นนี้ แต่มือได้ยื่นออกไปแล้ว

มู่หรงชงดึงเบาๆ ก็พานางขึ้นหลังม้า ให้นั่งอยู่ด้านหน้าตนเอง

มือที่ดึงสายบังเหียนของเขาก็วางอยู่ตรงหน้าท้องมู่เฉิน มู่เฉินรู้สึกว่าบนหน้าตนเองร้อนซู่น้อยๆ จึงรีบก้มหน้าลง

ฝูฮุยหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ “ที่แท้เด็กหนุ่มบำเรอก็ยังเลี้ยงดูสตรีได้? มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่า ‘ตั้งตระหง่าน’ ขึ้นมาได้หรือไม่…”

เขาพูดยังไม่ทันจบมู่หรงชงก็ใช้มือหนึ่งจับลูกธนู เล็งปลายมาที่คอหอยของเขาพร้อมพูดเสียงเยียบเย็น “องค์ชาย วิชาธนูของกระหม่อมไม่แน่ว่าจะดีกว่าพระองค์”

ฝูฮุยระงับท่าทีลงเล็กน้อยในทันที “เจ้า…เจ้าบังอาจ!”

มู่หรงชงเก็บลูกธนู แต่หาได้วางกระบอกธนูกลับไปไม่ กลับเลือกจะยื่นไปให้มู่เฉินแทน

พวกเขามุ่งหน้ากันไปต่อได้อีกพักหนึ่ง เมื่อพบว่าแทบจะล่าสัตว์ไม่ได้เหยาฉางจึงเสนอว่า “มิสู้พวกเราแยกกันเคลื่อนไหวจะดีกว่า”

ฝูฮุยจึงว่า “ข้าคิดเหมือนกัน”

“ข้าคล้ายจะได้ยินเสียงบางอย่างอยู่ทางด้านหน้า จิ่วเทียน เจ้าตามไปดูกับข้าหน่อย”

สตรีนางนั้นตอบรับ “เจ้าค่ะ!”

นางจงใจผ่อนฝีเท้าช้าลง พอเห็นเหยาฉางขี่ม้าไปไกลพอสมควรแล้วก็หันหน้ากลับไปพูดยิ้มๆ กับฝูฮุย “หม่อมฉันทนเห็นพระองค์ฆ่าคนภายใต้สายตาหม่อมฉันไม่ได้” แล้วก็เงยหน้าพูดกับมู่หรงชงอีกว่า “นี่พี่ชายคนงาม ข้ามีนามว่าหานเหยียน นามรองคือจิ่วเทียน ชาวยุทธภพเรียกขานว่า ‘เฟิ่งจิ่วเทียน!’ ”

พูดจบนางก็กระตุกสายบังเหียนห้อตะบึงไปข้างหน้า

เหยาฉางเพิ่งจะไปได้ไม่นานนักมู่หรงชงก็ค้นพบความผิดปกติแล้ว ในพงหญ้าไม่ไกลคลับคล้ายได้ยินเสียงสวบสาบ

เขากระซิบกับมู่เฉิน “ระวังด้วย”

เขาเงื้อธนูขึ้น กำลังคิดจะยิงไปทางนั้น กลับปรากฏเสียงเช่นนี้ขึ้นรอบด้าน

ฝูฮุยหัวเราะขึ้นมา

ระหว่างที่เขาหัวเราะเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาดักซุ่มอยู่บริเวณใกล้ๆ นี้แต่เดิมได้พากันเดินออกมา

“น้อมฟังพระบัญชาองค์ชาย!”

ฝูฮุยกล่าว “ดีมาก จงฟัง การล่าสัตว์วันนี้เจ้าเมืองผิงหยางไม่ระวัง บังเอิญเจอฝูงสัตว์ ศพ…ถูกกินไม่เหลือซากไปแล้ว!”

“กระหม่อมเข้าใจ!”

มู่เฉินลนลานจับมือมู่หรงชงไว้ด้วยอารามตกประหม่า พอคิดได้ว่าไม่ถูกต้อง กำลังจะปล่อยมือมู่หรงชงกลับกุมมือนางตอบ จับมือนางไว้ในฝ่ามืออย่างแน่นหนาแล้ว

“มู่หรงชง?”

“ข้าอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว”

ฝ่ามือเขาร้อนลวก ความร้อนนี้แทบจะแผ่ลามมาถึงในใจนาง ด้วยเหตุนี้จึงมิได้หวาดกลัวปานนั้นแล้วจริงๆ

บทที่ 11 การเลือกในยามเผชิญอันตราย

ตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา ท้องนภากว้างใหญ่มีเมฆกระจัดกระจาย

คนสิบกว่าคนมือถืออาวุธรุมล้อมมู่หรงชงและมู่เฉิน

ฝูฮุยยืนอยู่นอกกลุ่มคน พูดด้วยสีหน้าเยียบเย็น “มู่หรงชง ตั้งแต่ข้าได้พบเจ้าครั้งแรกก็รู้แล้วว่าสุดท้ายต้องมีวันนี้ นับแต่วันนี้ไปเมืองฉางอันจะไม่มีใครปากยื่นปากยาวอีก!”

เขาพูดจบสิบกว่าคนนั้นก็พร้อมกันกรูเข้าหาเป้าหมาย

มู่หรงชงปกป้องมู่เฉินไว้ในอ้อมแขน มือยกดาบยาวสกัดดาบแรกที่ฟันมา ผู้มาฟันดาบที่สองเข้าหาอย่างไม่ลดละ ขณะเดียวกันก็มีอีกคนจู่โจมเข้าทางด้านหลังของมู่หรงชง

มู่หรงชงฟันดาบออกไปในแนวขวาง ทางด้านหน้ามีคนล้มลงสองคน แต่เขากลับไม่ทันได้ระวังดาบที่มาจากด้านหลัง…

กลับได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทางด้านหลัง คนผู้นั้นถูกลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ช่องท้อง ล้มลงพื้นลุกไม่ขึ้น…ถึงกับเป็นมู่เฉินใช้ลูกธนูที่มู่หรงชงให้นางไว้เมื่อครู่นี้ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามในช่วงเวลาวิกฤต

มู่เฉินมองคนที่ล้มลงกับพื้นพลางจับเสื้อของมู่หรงชงไว้ด้วยความกังวล ก่อนพูดด้วยความหวั่นกลัวว่า “ข้าฆ่าคนเสียแล้ว!”

“ยังไม่ตาย!” มู่หรงชงพูดพลางฟันซ้ำลงไปที่คนผู้นั้นอีกดาบ พอเห็นคนผู้นั้นขาดใจไปแล้วก็พูดยิ้มๆ กับมู่เฉิน “ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนฆ่าเอง เจ้ากอดให้แน่น ไป!”

มู่หรงชงใช้ด้ามดาบฟาดสะโพกม้าอย่างหนัก ก่อนกวัดแกว่งดาบสังหารคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าไปอีกสองคน พุ่งฝ่าวงล้อม ห้อตะบึงไปข้างหน้า

ฝูฮุยตามหลังมาติดๆ พลางตะโกนลั่น “ตาม!”

เมื่อเห็นว่ากำลังคนทางด้านหลังค่อยๆ ประชิดเข้ามามู่เฉินก็พูดด้วยความร้อนใจ “พวกเราสองคนหนักเกินไป ม้าวิ่งได้ไม่เร็ว ท่านปล่อยข้าลงเถิด เป้าหมายของพวกเขาคือท่าน!”

มู่หรงชงจับมือนางไว้แน่นก่อนเอ่ย “มิผิด หนักเกินไปจริงๆ มู่เฉิน นั่งให้ดี! อย่าหันหลังกลับไป!”

เขาพูดจบก็กระโดดลงจากม้า ขณะเดียวกันก็เตะไปที่ด้านหลังม้า ม้าได้รับความตกใจแล้วก็วิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

มู่เฉินนั่งอยู่บนม้า นางมองกลับไปด้านหลัง เห็นเพียงมู่หรงชงกลิ้งตัวกับพื้นสองตลบ ถูกกลุ่มคนที่ไล่ตามมาถึงล้อมเอาไว้

“มู่หรงชง! ท่านมันโง่!”

นางรั้งม้าไม่เป็นผลจึงพลิกตัวทันที ทั้งตัวคนค่อยๆ ไถลตกลงจากตัวม้า ขณะใกล้ตกถึงพื้นก็พลันปล่อยมือ!

ภายใต้แรงครูดหินและทรายกระเด็นมาปะทะหน้า มู่เฉินป้องส่วนศีรษะของตนเองไว้ หลังวิงเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ

ไม่ไกลกันมู่หรงชงแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ พอเห็นมู่เฉินวิ่งมาใกล้เขาก็พูดเสียงดัง “ไยเจ้าจึงกลับมา!”

มู่เฉินพูดอย่างดื้อรั้นทั้งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง “ใครจะไปทิ้งท่านแล้วหนีไปกันเล่า!”

นางเดินไปใกล้มู่หรงชงถึงได้พบว่าเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว หน้าอกมีเลือดแดงเป็นแถบ

“เป็นคู่รักตกยากแท้ๆ เชียว ถึงอย่างไรก็มีคนต้องการชีวิตของพวกเจ้าทั้งสองคน เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันเสียเถอะ!” ฝูฮุยแค่นหัวเราะเบาๆ “ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่ชอบๆ ด้วยตนเอง!”

เขาพูดพลางลงจากม้า เงื้อดาบยาวก้าวเข้ามาหามู่หรงชงและมู่เฉิน

มู่หรงชงดึงตัวมู่เฉินไปไว้ด้านหลังแล้วยกดาบขึ้นสู้

สองฝ่ายปะทะกัน ในเวลาชั่วครู่ชั่วคราวยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ

ฝูฮุยพลันเกิดแผนการในใจ หาช่องโหว่ได้ก็แทงดาบยาวเข้าหามู่เฉิน!

ดาบของมู่หรงชงเข้าใกล้หน้าอกของฝูฮุยแล้ว กำลังจะแทงเข้าไปอยู่รอมร่อ เมื่อเหลือบเห็นมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายในใจก็พลันมีความลังเลแวบผ่าน

สังหารฝูฮุย!

…จะพลาดโอกาสที่ดีที่สุดนี้ไปมิได้!

“กรี๊ด!”

มู่เฉินส่งเสียงอุทาน กลับมิได้รับบาดเจ็บแม้สักกระผีก…เสี้ยวเวลาสุดท้ายมู่หรงชงยังคงเลือกต้านดาบของฝูฮุยเอาไว้

โดยสิ่งที่ฝูฮุยรอคอยก็คือโอกาสนี้ เขาโยนดาบยาวทิ้งไป แล้วเผยมีดสั้นในแขนเสื้อออกมา เงื้อมือแทงเข้าหามู่หรงชง!

มู่หรงชงหันหลังให้ฝูฮุย แต่มู่เฉินกลับมองเห็นเหตุการณ์อย่างชัดแจ้ง นางจึงร้องด้วยความตกใจทันที “ระวัง!”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 2567)

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: