X
    Categories: ทดลองอ่านฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5

รัชศกเฉียนเต๋อปีที่ยี่สิบสี่ เดือนสี่ วันที่สิบแปด การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในเมืองหลวง ถนนเจ็ดสายจากทางเหนือของสำนักศึกษาไท่เสวีย ประตูหนานเชวี่ย ถึงทางตะวันออกของสนามสอบกรมพิธีการมีคำสั่งห้ามสัญจร ตอนกลางวันรถม้าห้ามผ่าน ตอนกลางคืนห้ามคนเดินผ่าน

หลังจากนั้นสามวันผู้เข้าสอบออกจากสนาม กู่ชินผู้ควบคุมการสอบเคอจวี่ของกรมพิธีการและเหล่าขุนนางใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำตามกฎระเบียบปิดสนามสอบพิจารณาตัดสินข้อสอบ เรื่องต่างๆ ของสำนักราชเลขาธิการในราชสำนักล้วนมอบให้สวีถิงราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายเป็นผู้ดูแลจัดการ

วันที่ห้าเดือนห้า ติดประกาศผลการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการ เมิ่งถิงฮุยเจี้ยหยวนแห่งเฉาอันเป่ยลู่สอบได้อันดับหนึ่ง ได้รับการตัดสินให้เป็นฮุ่ยหยวน ในการสอบของกรมพิธีการครั้งนี้

ข่าวนี้ไม่ถึงครึ่งวันก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง จวี่เหรินทั้งหลายได้ยินแล้วต่างฮือฮา ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถิงฮุยที่ ‘ประสบโชคใหญ่’ ในการสอบระดับมณฑลก่อนหน้านี้ จะสามารถคว้าที่หนึ่งในการสอบของกรมพิธีการได้อีกครั้ง

ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป มีคนบอกว่านางเป็นดาวเหวินฉวี่ หญิงแห่งยุค และมีคนบอกว่านางดวงกำลังขึ้น แต่ไม่ว่าจะพูดอะไร แทบทุกคนต่างก็กำลังชะเง้อคอรอการสอบหน้าพระที่นั่งในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า…

เมิ่งถิงฮุยผู้นี้ แม้แต่ตำแหน่งอันดับหนึ่งของการสอบหน้าพระที่นั่ง นางก็จะคว้ามาด้วยได้หรือไม่ กลายเป็นจ้วงหยวนหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าผิงที่สอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามสนามหรือไม่

 

เวลาย่างเข้าสู่ราตรีกาล นอกสนามสอบกรมพิธีการเงียบวิเวก แสงโคมเทียนในตัวเรือนอบอุ่น มองผ่านกระดาษที่กรุหน้าต่างก็จะเห็นขุนนางหลายคนยังคงทำงานยุ่งอยู่ข้างใน

กู่ชินทางหนึ่งเรียกคนให้ปิดผนึกกระดาษข้อสอบพลางถามเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมว่า “ปิดที่ทำการอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยินว่าหัวข้อในการสอบหน้าพระที่นั่งที่สำนักราชเลขาธิการกับสำนักที่ปรึกษาสองสำนักหลักหารือกันได้กำหนดออกมาแล้ว ตอนนี้ได้ทูลถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วหรือยัง”

เจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมส่ายศีรษะ “เมื่อวานยังไม่มีขอรับ วันนี้ไม่ทราบว่าทูลถวายแล้วหรือยัง”

กู่ชินใบหน้ามีแววฉงน “ยังไม่มีหรือ ปีที่แล้วๆ มาตอนนี้ต้องกำหนดหัวข้อ ปิดผนึกประทับตราวางบนโต๊ะราชบัณฑิตแล้ว เหตุใดปีนี้จึงล่าช้าเช่นนี้”

คนรอบข้างต่างส่ายศีรษะ แสดงท่าทีไม่รู้

ฉับพลันมีเสียงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดังมาจากนอกประตู…

“มารบกวนยามดึก ไม่ทราบท่านกู่จะยอมให้ข้าเข้าไปหรือไม่”

กู่ชินหันหน้าไป พอเห็นผู้มาเยือนชัดก็รีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปหลายก้าว ก้มเอวจะทำความเคารพอย่างเต็มรูปแบบ ปากก็กล่าว “ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาเยือน กระหม่อมมีความผิดไม่ได้ออกไปรับเสด็จแต่ไกล”

อิงกว่ายื่นมือไปประคองเขาขึ้นมา “ข้าเองก็มาอย่างกะทันหัน เมื่อครู่ออกจากหกกรมมา ตอนรถผ่านมุมถนนเห็นในสนามสอบยังมีโคมไฟสว่างอยู่ คิดว่าท่านกู่คงกำลังปิดผนึกข้อสอบ ดังนั้นจึงถือโอกาสเข้ามาดู”

กู่ชินเชื้อเชิญเขาเข้ามาข้างใน “องค์รัชทายาทเชิญประทับ”

เขากลับไม่นั่ง เพียงเดินไปที่หน้าโต๊ะกวาดตามองไปสองที แล้วหันหน้ามาเอ่ยถาม “อยากจะขอยืมความเรียงของเมิ่งถิงฮุยที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบของกรมพิธีการครั้งนี้มาอ่านดูสักหน่อย ไม่ทราบจะได้หรือไม่”

กู่ชินสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงต่ำ “องค์รัชทายาทโปรดอภัย เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ”

อิงกว่าหันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมที่อยู่ด้านข้างหลายครั้ง แล้วมองไปที่กู่ชิน “ท่านกู่คงยังไม่ทราบ การสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ ฝ่าบาทมีราชโองการแล้ว ให้ข้าเป็นประธานในการสอบแทน”

กู่ชินตอนแรกงงงัน จากนั้นตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ปากก็พูดติดๆ กัน “นี่…นี่…” พักใหญ่เขาจึงพูดออกมาอีกหลายคำ “…กระหม่อมไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ”

ในใจกลับมีความคิดหลายอย่างพลุ่งพล่านเข้ามาปานจะพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล

ผู้ที่สามารถสอบหน้าพระที่นั่งผ่านได้เป็นจิ้นซื่อจะเป็น ‘ลูกศิษย์ของโอรสสวรรค์’ มาบัดนี้ฮ่องเต้กลับจะให้องค์รัชทายาทขึ้นเป็นประธานในการสอบแทน เห็นได้ว่าฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะสละราชสมบัติมอบอำนาจให้องค์รัชทายาทจริงๆ แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าจิ้นซื่อสตรีในปีนี้ไยมิใช่จะกลายเป็นขุนนางคนสนิทกลุ่มแรกขององค์รัชทายาทหลังจากขึ้นครองราชย์หรือ แล้วก็ยิ่งจะได้รับมอบตำแหน่งสำคัญ

เขายิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออก หมุนตัวไปเรียกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านข้างส่งม้วนความเรียงที่ปิดผนึกเรียบร้อยแล้วมา พวกเขาพลิกหาความเรียงของเมิ่งถิงฮุยออกมา สองมือประคองยื่นส่งให้ “ในเมื่อทรงเป็นประธานการสอบหน้าพระที่นั่งแทนฝ่าบาท เช่นนั้นจะทรงอ่านดูก็ไม่เป็นไร”

อิงกว่ารับมา เขาหมุนตัวหันหลังให้แสง คลี่ม้วนกระดาษออกมา อ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อน จากนั้นก็กวาดตาเร็วๆ อีกรอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตาขรึมเล็กน้อย หันไปกล่าวกับกู่ชิน “เอาม้วนความเรียงของห้าอันดับแรกมาให้ข้าดูทั้งหมด”

กู่ชินพยักหน้า เจ้าหน้าที่หลายคนที่อยู่ด้านข้างรีบพลิกหากระดาษข้อสอบออกมาส่งมอบให้

เขาอ่านทีละแผ่นจนจบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นค่อนข้างเยียบเย็น เหลือบตาขึ้นมองกู่ชิน “ความเรียงของเมิ่งถิงฮุยบทนี้แม้จะเขียนได้ไม่เลว แต่ข้ากลับมองไม่ออกว่าความเรียงของนางดีกว่าหลายคนนี้สักเท่าใด เพราะเหตุใดท่านกู่จึงตัดสินให้นางเป็นฮุ่ยหยวน”

กู่ชินกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินเขากล่าวเสริมอีกประโยค “หรือเป็นเพราะก่อนสอบนางเคยได้รับโอกาสยื่นเทียบไปที่จวนท่านกู่”

คำพูดนี้น้ำเสียงเย็นชา เห็นชัดว่าเจือความหมายเชิงตำหนิ

กู่ชินก้มหน้าเล็กน้อย “กระหม่อมได้รับเทียบของนางจริง ทว่าไม่ใช่นางมายื่นที่จวนของกระหม่อม หากแต่เป็นเล่อเยียนมายื่นแทนนาง”

อิงกว่าได้ยินแล้วเหลือบตาขึ้นมาทันที “คำพูดนี้เป็นความจริงหรือ”

กู่ชินพยักหน้า “กระหม่อมมิกล้าหลอกลวงองค์รัชทายาท ความเรียงของเมิ่งถิงฮุยแม้จะพอๆ กับหลายคนนี้ แต่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็สามารถผูกไมตรีกับเล่อเยียนได้ เพียงพอที่จะทำให้เห็นว่านอกจากสติปัญญาความสามารถแล้ว นางยังมีส่วนที่เหนือกว่าผู้อื่น ตอนนั้นฝ่าบาทมีรับสั่งว่าการตัดสินข้อสอบในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการไม่ต้องปิดบังชื่อผู้เข้าสอบ* เพื่อคัดเลือกปัญญาชนอย่างผ่อนปรน ในเมื่อจะคัดเลือกปัญญาชนอย่างผ่อนปรน จึงไม่ควรตัดสินจากความเรียงเท่านั้น”

อิงกว่าบีบนิ้วทั้งสองที่จับม้วนกระดาษแน่น แล้วก้มลงมองชื่อบนกระดาษข้อสอบแผ่นนั้นอีกครั้ง หว่างคิ้วอดขมวดมุ่นไม่ได้

ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงเอากระดาษข้อสอบวางกลับลงบนโต๊ะ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก

กู่ชินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอก “สำหรับความสูงต่ำของสติปัญญาความสามารถ ความดีเลวของความเรียง องค์รัชทายาทสามารถพิจารณาตัดสินชี้ขาดได้หลังการสอบหน้าพระที่นั่งพ่ะย่ะค่ะ”

เขาผงกศีรษะช้าๆ เอามือไพล่หลังเตรียมจะเดินจากไป

กู่ชินกลับพูดอยู่ข้างหลัง “องค์รัชทายาท” เห็นเขาหยุดลง จึงรีบกล่าว “เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินคนบอกว่าหัวข้อในการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้ สำนักราชเลขาธิการยังไม่ได้ทูลถวายให้ฝ่าบาททรงพิจารณาตัดสินพระทัย”

อิงกว่าพยักหน้า พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ฝ่าบาทมีรับสั่ง หัวข้อการสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ให้ข้าเป็นคนกำหนด”

กู่ชินตะลึงงันไปอีกครั้ง ครู่หนึ่งจึงได้สติ “ขอบังอาจถามองค์รัชทายาท เอาหัวข้อที่กำหนดไว้ให้กระหม่อมดูจะได้หรือไม่”

เขากลับส่ายหน้า สีหน้าคล้ายไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้กับผู้อื่นมากนัก “รอถึงวันสอบหน้าพระที่นั่ง ท่านกู่ย่อมรู้อยู่แล้ว”

รัชศกเฉียนเต๋อปีที่ยี่สิบสี่ เดือนห้า วันที่สิบห้า ตอนรุ่งอรุณ ท้องฟ้ามืดราวถูกสาดด้วยน้ำหมึก ลมพัดแทรกเข้ามาในเสื้อยังคงรู้สึกหนาว ทว่าบนแผ่นหินปูถนนนอกวังหลวงกลับมีเหล่าสตรีที่มาเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งยืนเข้าแถวกันอยู่เต็มนานแล้ว

เหล่าขันทีน้อยถือโคมชาววังอยู่ด้านข้าง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการได้เห็นชัดเจนขึ้นเวลาตรวจรายชื่อ มีขุนนางหญิงของสำนักพิธีกรรมหลายคนเอาขนมอบชาววังที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมาแจกจ่ายให้เหล่าสตรีที่เข้าแถวรอคอยอยู่ แล้วสั่งกำชับเสียงเบา “แต่ละคนมีเพียงห่อเดียว ต้องรอจนค่ำย่างเข้าราตรีกาลแล้วจึงออกมาได้ จัดแบ่งเอาเอง”

รอเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่มาเรียบร้อย ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ตอนนี้จึงมีคนของสำนักห้องเครื่องมานำทางเหล่าสตรีทั้งหลายไปรอที่เชิงบันไดหน้าตำหนักเป่าเหออย่างสงบ

เมิ่งถิงฮุยยืนอยู่ในหมู่คน นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสาสูงชายคาปลายงอนเชิดสูงของพระราชวังที่อยู่ไกลๆ กระเบื้องเคลือบบนหลังคาส่องแสงวามวาวภายใต้ผืนฟ้ายามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวคล้ายอยู่ในความฝัน

คนที่ยืนอยู่ด้านข้างคนหนึ่งจู่ๆ ร่างก็สั่นเทา ส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาจากลำคอ

เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาตรวจดู จากนั้นก็หันไปร้องเรียกนางกำนัลที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “อาเจียนแล้ว รีบมาประคองนางออกไป!”

เมิ่งถิงฮุยย่นหัวคิ้วน้อยๆ มองหญิงสาวผู้นั้นถูกนางกำนัลสองคนประคองออกไป สายตาเบนมาตรงจุดที่นางเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่

สีและความวาวของอิฐพระราชวังแผ่นนั้นเข้มทึม มีลวดลายแกะสลักสีเทาอมดำแผ่คลุมอยู่ข้างบน

มุมานะบากบั่นเล่าเรียนมากี่วันกี่คืน ต้องเข้าสอบมากี่สนาม เขียนความเรียงมากี่ความเรียง จึงจะเดินมาถึงที่นี่ได้

แต่กลับเป็นเพราะความตื่นเต้น ทำให้ตนเองต้องสูญเสียโอกาสที่ดีในการก้าวไปตามแผนการอันยิ่งใหญ่

ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง

นางทอดถอนใจเบาๆ อยู่ในใจ ถูๆ ปลายนิ้วที่ชาจากความหนาวเย็น

หลังจากรออยู่อีกราวหนึ่งเค่อ กว่าก็มีคนถ่ายทอดคำพูดออกมาจากในตำหนัก บรรดาเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการจึงให้เหล่าสตรีที่รออยู่ทยอยเข้าไปด้านในตามลำดับ

ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักจุดเทียนสว่างไสว แผ่นอิฐเกลี้ยงเกลามันวาวจนส่องคนได้ เพียงเห็นบัลลังก์มังกรอยู่บนที่สูง ด้านล่างมีโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ในการสอบตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

เมิ่งถิงฮุยหาที่นั่งของตนจนเจอ แล้วลงนั่งเรียบร้อยเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ไกลออกไปตรงมุมห้อง ลายมังกรบนเสาสีทองดูดุร้ายภายใต้แสงเทียน กรงเล็บทั้งเก้าขี่ก้อนเมฆท่วงท่าสยบผู้คน นางจับจ้องอยู่เป็นนาน จึงถอนสายตากลับ มองโต๊ะที่ว่างเปล่าตรงหน้า

ในตำหนักอบอุ่นกว่าข้างนอกมาก แต่ปลายนิ้วกลับคล้ายยิ่งหนาวเย็นขึ้น กลางฝ่ามือก็เริ่มมีเหงื่อเย็นซึมออกมา

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพิ่งจะเอาพู่กันกับหมึกของตนวางเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีโดยนักดนตรีหญิงในวังดังมาจากด้านนอก

บรรดาขุนนางของกรมพิธีการ สำนักห้องเครื่อง และสำนักพิธีกรรมทั้งสามแห่งเข้ามาในตำหนักยืนเป็นระเบียบ เหล่าสตรีที่รอการสอบก็พากันลุกขึ้นยืนอยู่ในที่นั่งของตน

เมิ่งถิงฮุยก็ยืนขึ้นมา ในใจรู้ว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่ตำหนักแล้ว

ต้องขอบคุณในสิ่งที่องค์รัชทายาทประทานให้ เพราะเรื่องการสอบระดับมณฑลทำให้นางมี ‘ชื่อเสียง’ ดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ในเมืองหลวง นางแม้จะไม่ได้พูดไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ แต่ส่วนลึกในใจของนางก็ไม่ชอบใจนัก เดิมเข้าใจว่าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแล้วเสียอีก แต่นางกลับไม่คาดคิดว่าในวันที่สามหลังจากสิ้นสุดการสอบของกรมพิธีการก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้องค์รัชทายาทจะเป็นประธานในสอบแทนฮ่องเต้

เป็นโชคไม่ใช่ภัย…เป็นภัยก็หลบไม่พ้น

นางยังคงจมอยู่กับความคิด ศีรษะก้มเล็กน้อย พอได้ยินผู้คนข้างกายร้องเสียงสูงว่า “องค์รัชทายาท” นางก็คารวะลงตามไปด้วย

แผ่นอิฐที่พื้นเย็นเฉียบและแข็งทิ่มแทงหัวเข่าของนางจนเจ็บมาก

มีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังมาจากที่นั่งสูงที่อยู่เบื้องหน้า “ทุกคนนั่งลงเถิด อยู่ในตำหนักไม่ต้องระมัดระวังตัวจนเกินไป ประเดี๋ยวตั้งใจเขียนความเรียงให้ดีจึงจะชอบด้วยเหตุผล”

เสียงนี้เปรียบเสมือนไม้ตีกลองเล็กๆ อันหนึ่งเคาะตึงเข้ามาที่แก้วหูของนาง

ในสมองมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา

นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด มองตรงไปข้างหน้า…

สองด้านของรองเท้าหุ้มแข้งสีดำมีลายเส้นสีทอง มังกรหยิ่งผยองห้าเล็บบนเสื้อคลุมสีดำดูดุดันฮึกเหิม สองมือของบุรุษวางอยู่บนหัวเข่า ขายาวงออยู่ครึ่งหนึ่ง นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์มังกร

คิ้วรูปดาบเข้มแข็งทรงพลัง ใบหน้าเรียวปานสลักด้วยมีด นัยน์ตาคู่หนึ่งถึงกับมีสีต่างกัน นัยน์ตาซ้ายมีสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาขวามีสีน้ำเงินอมดำ

ปิ่นหยกขาวรูปมังกรที่ด้านหลังศีรษะของเขาส่องประกายแวววาว เสียดแทงจนนางรู้สึกแสบตา

นางคล้ายถูกสาดด้วยน้ำร้อนถังหนึ่ง จากนั้นก็ถูกโยนลงไปในก้นเหวลึกหมื่นจั้งอันหนาวเหน็บ ทั่วร่างกายทั้งบนล่างรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่กลับถูกแช่แข็งไว้จนไม่อาจขยับตัวได้เลย

คนผู้นี้ ใบหน้าดวงนี้…

เหตุใดจึงเป็นเขา

เหตุใดจึงเป็นเขา!

ตาข้างขวาของเขา…

นางกัดริมฝีปากแน่น มือที่ยันพื้นกำเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว

หาใช่คนที่มีดวงตาข้างเดียวไม่ เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของตนเอง

ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้กันทั่วว่าองค์รัชทายาทเกิดมาก็มีนัยน์ตาสองสี ดวงตาซ้ายสืบทอดสีน้ำตาลมาจากผิงอ๋อง ดวงตาขวารับสีดำมาจากฮ่องเต้ นับแต่วันที่ถือกำเนิดมาก็ถูกมองว่าเป็นทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งใหญ่ของคนทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว

นางเคยคาดเดาถึงฐานะของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าเขาจะเป็นรัชทายาทของแว่นแคว้น

นางเคยคิดถึงภาพการได้พบเขาอีกครั้งอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นที่สนามสอบหน้าพระที่นั่งของการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรี

ตอนนี้ เวลานี้ นางเพียงรู้สึกมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูกอย่างที่สุด

เรื่องที่ก่อนหน้านี้ตนคิดการวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในพริบตาที่ได้เห็นเขาก็พังทลายลงมาทั้งหมด

นางเฝ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พบเขาอีกครั้ง

แต่หลังจากนางได้รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาอยู่ที่ใดแล้ว กลับยิ่งรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา

เดิมคิดว่าถ้าวันหนึ่งสามารถเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก นางก็จะปีนป่ายขึ้นไปผูกสัมพันธ์กับเขาได้ ทว่าเวลานี้เมื่อพบเจอจริงๆ เกรงว่าชั่วชีวิตของนางคงไม่อาจปีนป่ายขึ้นไปผูกสัมพันธ์กับเขาได้แล้ว

วันนั้นบนถนนหลวงนอกเมืองชงโจว เขาถามชื่อของนางแล้วชัดๆ เห็นอยู่ว่าเขารู้ว่านางเป็นใคร เมื่อพูดเช่นนี้ หลังจากนั้นเรื่องที่เขาเจาะจงให้นางเป็นเจี้ยหยวน แสดงว่าเขารู้อยู่แก่ใจดีว่านางเป็นใคร แต่เขากลับยังคงเจตนาที่จะทำให้นางตกเป็นเป้าหมายที่ผู้คนโจมตี

ขณะคิดสองมือของนางที่ทาบอยู่กับพื้นอิฐของตำหนักก็อดจะกำหมัดเข้าหากันแน่นกว่าเดิมไม่ได้

กลัวก็เพียงว่าในใจของเขาจะไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อนางแล้ว เข้าใจว่านางเป็นสตรีที่จะทำทุกอย่างไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ตนเองได้เป็นจุดสนใจของผู้คนเท่านั้น

 

สายตาของอิงกว่าค่อยๆ กวาดผ่านทุกคนที่นั่งอยู่ เมื่อเห็นนางแล้ว เขาก็ละสายตาผ่านนางไป มองไปยังเจ้าหน้าที่กรมพิธีการที่อยู่ด้านข้าง แล้วพยักหน้าน้อยๆ

มีบัณฑิตกองอาลักษณ์เดินขึ้นมาจากด้านข้างของตำหนัก หยิบหัวข้อสอบออกมาจากบนโต๊ะด้านใน สองมือประคองส่งให้เจ้าหน้าที่กรมพิธีการที่รออยู่

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการคลี่กระดาษหัวข้อที่จะใช้ในการสอบออก จากนั้นอ่านเสียงสูง…

“วิเคราะห์หัวข้อที่ว่าเป็นกษัตริย์ยากเป็นขุนนางไม่ง่าย”

เสียงทุ้มหนักทำให้เมิ่งถิงฮุยสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง นางพลันได้สติกลับคืนมา

ในสมองยังคงมีแต่ความว่างเปล่า นางคุกเข่ารับกระดาษข้อสอบขลิบสีทองที่เจ้าหน้าที่กรมพิธีการแจกจ่ายให้

นางนั่งประจำที่ด้วยร่างที่แข็งทื่อ ยังคงคิดถึงเรื่องเขาอยู่

กลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาอีก

เหล่าสตรีที่อยู่รอบข้างต่างเริ่มจรดพู่กันเขียนอย่างรีบร้อน เสียงปลายพู่กันสัมผัสกระดาษดังแว่วมาเข้าหูนาง นางจึงหลุบตาลง มองกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือตน

มีเสียงเจ้าหน้าที่กรมพิธีการดังขึ้นมาที่ข้างหูอีกครั้ง “…ห้ามเปลี่ยนหัวข้อ ตะวันตกดินต้องส่งกระดาษข้อสอบ”

ครานี้นางจึงได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์

นางรวบชายแขนเสื้อ หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึก จรดพู่กันลงบนกระดาษข้อสอบ…

 

เป็นกษัตริย์ยาก เป็นขุนนางยิ่งไม่ง่าย’

ประตูสีชาดของตำหนักปิดแน่นหนา โคมไฟภายในเป็นสีอบอุ่น ทั้งตำหนักเงียบอย่างประหลาด

ตะวันขึ้นแล้วก็ตก บนพื้นอิฐของตำหนักมีเงาสีเทาหรุบหรู่ทอดยาว เห็นลวดลายที่ละเอียด ปลายขอบไม่ชัดเจน คล้ายอารมณ์หดหู่หลากหลายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

เขานั่งอยู่ มองสตรีในชุดสีเรียบแต่งหน้าบางเบาเหล่านี้นิ่งไม่ขยับ

ล้วนยังอายุน้อยเพียงนี้ เปี่ยมไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวาเพียงนี้ ทว่าพวกนางรู้หรือไม่ว่าราชสำนักที่แท้จริงมีสภาพเช่นไร

มีหญิงสาวไม่น้อยวางพู่กันในมือลง หยิบขนมอบชาววังที่ได้รับมาในช่วงก่อนฟ้าสางตอนอยู่ที่ถนนนอกวังหลวงออกมานั่งกินเงียบๆ อยู่ในที่นั่งสอบ

มีเพียงนางคนเดียวที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ยกข้อมือสะบัดพู่กัน หมึกดำกระดาษขาว แผ่นหลังตั้งตรง คล้ายไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

ลูกนัยน์ตาสีหมึกเข้มขรึม ขยับพู่กันดุจโบยบิน ตัวอักษรในช่องตารางสีแดงประณีตเรียบร้อย กระดาษข้อสอบขลิบสีทองทางซ้ายมือได้วางซ้อนกันเป็นกองบางๆ แล้ว

เขาค่อยๆ เบนสายตามาที่นาง ริมฝีปากสีแดง คิ้วเรียวละเอียด ใบหน้าขาวใส มองแพขนตาของนางกระพือขึ้นลงอย่างไม่รู้ตัว มองปอยผมตรงมุมหน้าผากปิดคลุมหางคิ้วของนาง มองสีหน้าจริงจังตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่งบนใบหน้าของนาง มองดูนางเขียนความเรียงนี้อย่างทุ่มเทกระตือรือร้น

สตรีหลายคนที่อยู่รอบข้างกินอาหารเสร็จแล้วก็เริ่มเขียนความเรียงอีกครั้ง

มีเพียงขนมอบชาววังที่อยู่ข้างกายนางห่อนั้นที่ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้แตะต้อง

เขาสังเกตเห็นสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ของนาง มองประเมินนางอย่างจดจ่อโดยไม่รู้ตัว

ในสมองหวนนึกถึงวันนั้น บนถนนหลวงดินเหลืองทางด้านเหนือของเมืองชงโจว วัดร้างแห่งหนึ่ง คนในชุดสีขาวคนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองเขาอย่างดื้อรั้นและแน่วแน่ ถึงกับเปิดปากถามเขาว่าเขาสกุลอะไรชื่ออะไร

ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีใครถามคำถามนี้กับเขา

ชื่อของเขาคนทั้งใต้หล้าต่างรู้ แต่กลับไม่มีใครกล้าเรียก ยิ่งมีคนน้อยมากที่รู้ว่าชื่อนี้แฝงความหมายลึกซึ้งไว้ว่าอย่างไร

ผู้โดดเดี่ยว ตัวคนเดียว

นับแต่โบราณผู้เป็นกษัตริย์ล้วนโดดเดี่ยว แม้แต่บิดามารดาของเขาที่คู่ควรกันดุจกระบี่กับฝักกระบี่ก็ต้องเดินตามลำพังมานานกี่ปีกี่เดือน ต้องหลั่งโลหิต หยาดเหงื่อ และน้ำตามามากมายเพียงใด เสียสละผู้คนและเสบียงสรรพาวุธมากมายเพียงใด ถึงได้แลกกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันดูแลกันในช่วงไม่กี่สิบปีสั้นๆ นี้มาได้

ใช้คำว่า ‘กว่า’ มาตั้งเป็นชื่อ หาใช่ต้องการให้เขาโดดเดี่ยวไปทั้งชีวิต หากแต่ผืนแผ่นดินในใต้หล้าที่หลอมรวมสติปัญญาและชีวิตจิตใจของคนทั้งสองมาทั้งชีวิต มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสืบทอดได้

เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวในชั่วชีวิตของคนทั้งสอง ความทุกข์ยาก ความลำบาก และความโดดเดี่ยวของผู้เป็นกษัตริย์ วันข้างหน้านอกจากเขาแล้วยังจะมีใครมีคุณสมบัติเป็นผู้นำแทน

ผู้อื่นเห็นเพียงความรุ่งโรจน์อันไร้ขอบเขตของเขา แต่ไหนเลยจะรู้ว่าภาระที่อยู่บนบ่าของเขาหนักเพียงใด

เป็นกษัตริย์ยาก เป็นกษัตริย์ยากก็ไม่อาจพูด

ถึงพูดได้ ก็ไม่มีใครพูด

 

“องค์รัชทายาท”

เจ้าหน้าที่สำนักห้องเครื่องที่อยู่ด้านข้างเห็นเขามองจ้องสตรีผู้หนึ่งจนใจลอย จึงอดเรียกเสียงต่ำที่ข้างหูเขาไม่ได้

เขาพลันได้สติ รู้ว่าตนเสียกิริยาก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ แล้วเหลือบตามองนางทีหนึ่ง กลับสบเข้ากับสายตาของนางที่มองมาพอดี

ยังคงเป็นแววตาที่ใสกระจ่างเฉกเช่นวันนั้น

เขาเบนสายตาไปเงียบๆ สายตากวาดมองไปทั่วตำหนักรอบหนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตากลับมา

นางดูแล้วอายุน้อยเพียงนี้ อย่างมากก็เพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าใสซื่องดงาม แต่กลับกล้าเขียนความเรียงฝืนกฎเกณฑ์ในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑล แตกต่างกันมากกับสตรีที่เขาเคยพบมา

แต่ที่นางฝืนกฎเกณฑ์ที่แท้แล้วเพราะอะไร เพียงเพื่อต้องการชื่อเสียงเท่านั้นหรือ

เขาหลับตาเล็กน้อย แล้วนึกถึงคำพูดที่กู่ชินพูดกับเขาในสนามสอบของกรมพิธีการเมื่อไม่กี่วันก่อน

เป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วเวลาไม่กี่วันนางกลับสามารถทำความรู้จักเสิ่นจือหลี่ได้ และเสิ่นจือหลี่ถึงกับยอมไปยื่นเทียบที่จวนสกุลกู่เพื่อนาง

เห็นได้ว่านางมีสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ

น้ำตาเทียนสีแดงหยดลงมา สีสันราวกับไฟ เสียดแทงนัยน์ตาดุจโลหิต

ตอนเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่านางยังคงมองมาที่เขา

เขามองนางตรงๆ คิดไม่ถึงว่านางจะขวัญกล้าถึงเพียงนี้

นางสบเข้ากับสายตาเยียบเย็นเล็กน้อยของเขา ครู่เดียวก็เบนสายตาหลบไป

แต่ถึงกระนั้นเขายังคงเห็นประกายความหวังที่วูบวาบอยู่ในดวงตาทั้งสองของนางอย่างชัดเจน

นางกำลังเฝ้าปรารถนาสิ่งใด

ลาภยศหรือเบี้ยหวัดขุนนาง

บนโต๊ะที่มันวาวสะอาดหมดจดตัวนั้นวางกระดาษข้อสอบขลิบทองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยปึกหนึ่ง พู่กันกับหมึกของนางเก็บไปเรียบร้อย ขนมอบชาววังที่วางอยู่ด้านข้างห่อนั้นยังคงไม่ได้กิน

มีเจ้าหน้าที่กรมพิธีการเห็นแล้วเช่นกัน เขาเดินเข้าไปซักถามเสียงต่ำ เห็นนางเขียนตอบเสร็จหมดแล้ว ไม่เพียงตื่นตะลึง ทว่าตามกฎระเบียบไม่อาจออกจากสนามสอบก่อนกำหนด จึงให้นางนั่งอยู่เช่นนั้น รอตะวันตกดินค่อยออกจากสนามสอบพร้อมคนอื่นๆ

เขามองอยู่ไกลๆ ก็เห็นนางก้มหน้าเล็กน้อย มองโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าตนด้วยสีหน้าจดจ่อ เป็นนานไม่ขยับ ก็ไม่รู้กำลังคิดอะไร

สตรีผู้นี้…

กลับทำให้เขาอยากจะรู้จักขึ้นมาแล้ว

ดึกมากแล้ว ในหอนอกของวังตะวันออกยังคงมีแสงโคมสว่างไสว

บัณฑิตกองอาลักษณ์หลายคนและเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของกรมพิธีการต่างกำลังยุ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะยาว คัดแยกกระดาษข้อสอบในการสอบหน้าพระที่นั่งตามชื่อสกุล มีเจ้าหน้าที่อ่านบรรยายของกองอาลักษณ์สองมือประคองกระดาษข้อสอบมาเบื้องหน้าเขาเป็นชุดๆ และอ่านความเรียงในนั้นออกมาดังๆ

เขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ ทางหนึ่งพลิกอ่านหนังสือกราบทูลที่สองสำนักหลักส่งมา ทางหนึ่งก็ฟังคนอ่านความเรียงเหล่านั้น เป็นนานจึงเก็บหนังสือราชการที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะ เงยหน้าขึ้นบอก “เอามา ข้าอ่านเอง”

มีคนยกกระดาษข้อสอบหนาๆ มาไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขาทันที

เขายื่นมือไปพลิกดู ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม “ของคนสกุลเมิ่งอยู่ในนี้หรือไม่”

“องค์รัชทายาทโปรดรอสักครู่” คนผู้นั้นหมุนตัวกลับไปแล้วยกกระดาษข้อสอบมาอีกกองหนึ่ง วางลงอย่างนอบน้อม แล้วดึงชุดหนึ่งจากในนั้นมามอบให้เขา “นี่เป็นความเรียงของเมิ่งถิงฮุยพ่ะย่ะค่ะ”

เขาชายตามองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย กำลังคิดจะบอกว่าเขาไม่ใช่ต้องการของเมิ่งถิงฮุย ก็นึกขึ้นมาได้ว่าในการสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้สกุลเมิ่งมีนางเพียงคนเดียว อดไม่ได้ที่จะปั้นหน้าแข็งกระด้าง หัวคิ้วเย็นชารับกระดาษข้อสอบที่คนผู้นั้นยื่นส่งมาปึกนั้นวางลงบนโต๊ะ กวาดสายตามองไป

 

เป็นกษัตริย์ยาก เป็นขุนนางยิ่งไม่ง่าย

หม่อมฉันเคยได้ยินคนบอก ‘ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’

ด้วยเหตุนี้ราชสำนักของเราจึงสามารถเปิดพรมแดนและเสพสุขจากใต้หล้า ทะเลทั้งสี่รวมเป็นหนึ่งเดียว…’

 

เขาไม่ได้อ่านต่อ สายตาหยุดอยู่ที่ประโยคนั้น และค่อยๆ ร้อนรุ่มใจขึ้นมา

…หม่อมฉันเคยได้ยินคนบอก ‘ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’

นางฟังใครกล่าวคำพูดประโยคนี้มาหรือ

เขาสงบจิตใจ แล้วจึงอ่านต่อไป

บนกระดาษข้อสอบขลิบทองแผ่นแล้วแผ่นเล่า ตัวอักษรเล็กบรรจงที่ทระนงองอาจเรียงตัวกันเป็นความเรียงที่ยิ่งใหญ่งดงาม ทำให้เขาอดที่จะแอบปรบมือทอดถอนใจไม่ได้

แต่ไรมาคนที่มีความรู้ความสามารถส่วนใหญ่มักโอหังตรงไปตรงมา เขาไม่เคยพบเจอสตรีที่เป็นเช่นนางมาก่อน

แล้วนึกไปถึงตอนอยู่ในตำหนักเป่าเหอ สายตาของนางที่เงยขึ้นมามองเขาตอนอยู่ในที่นั่ง กับภายหลังที่นางมองโต๊ะหนังสืออย่างจดจ่อ

สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจที่แท้แล้วคือเรื่องอะไร

ที่แท้แล้วสิ่งที่นางมุ่งหวังคืออะไร

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพิ่งจะจับพู่กันจุ่มหมึกชาด ขีดเครื่องหมายที่มุมขวาบนของกระดาษข้อสอบของนาง จากนั้นก็หันไปเรียกคนมา เอ่ยว่า “บัณฑิตเอกชั้นหนึ่งสามคนกับบัณฑิตเอกชั้นรองเจ็ดคนอย่างช้าวันมะรืนต้องคัดเลือกออกมา จากนั้นใครจะเป็นจิ้นซื่อจี๋ตี้อันดับหนึ่งของบัณฑิตเอกชั้นหนึ่ง รอหลังจากอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อแล้วข้าจะเป็นคนกำหนดเอง”

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการได้ยินแล้วงุนงงประหลาดใจยิ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างลังเล “อันดับหนึ่งของบัณฑิตเอกชั้นหนึ่ง ตอนอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อ พระองค์จะทรงเรียกจิ้นซื่อทั้งสิบคนนี้เข้าพบตามลำดับอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เขาเลิกคิ้ว “บัณฑิตเอกชั้นรองเจ็ดคนก็เรียงไปตามลำดับชื่อ ส่วนบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งสามคน” เขาหยุดเล็กน้อย “พวกท่านจัดการได้เลย แต่จัดให้เมิ่งถิงฮุยเข้าพบหลังสุดก็แล้วกัน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: