X
    Categories: ทดลองอ่านฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 6

ในวันอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อ ตั้งแต่ก่อนฟ้าสางก็มีเหล่าเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมและสำนักห้องเครื่องสองแห่งเร่งมือทำงานอยู่ในตำหนักเป่าเหอ เรียงโต๊ะวางเก้าอี้ เตรียมแผ่นติดประกาศสีทอง กระทั่งขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาวจึงจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย

นอกประตูวังตะวันออกเมื่อเปรียบกันแล้วดูเงียบเหงา ข้าราชบริพารหลายคนยืนอยู่ใต้ระเบียงเงียบๆ เห็นข้างในมีแสงเทียนสว่างไสวก็ไม่มีใครกล้ารบกวน

มีคนเดินมาจากที่ไกล ข้าราชบริพารคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางที่หน้าประตูตามสัญชาตญาณ รอคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ พอเขาเห็นชัดก็ยิ้มบอก “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าเสิ่น”

เสิ่นจือหลี่มือถือสมุดบางเล่มหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ มองคนผู้นั้น “หลายวันก่อนองค์รัชทายาทมีรับสั่งให้กรมทหารตรวจสอบคนผู้นั้น ข้าตั้งใจเร่งส่งมาให้องค์รัชทายาทผ่านพระเนตรก่อนการอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อ” นางพูดพลางชะโงกหน้ามองไปในตำหนัก แล้วถาม “องค์รัชทายาทไม่ได้บรรทมทั้งคืนอีกแล้วหรือ”

ข้าราชบริพารพยักหน้า สีหน้าอับจนปัญญายิ่ง “อุปนิสัยขององค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่นก็ทราบดี” เขาพูดพลางเบี่ยงตัวเดินไปข้างหน้า เคาะประตูรายงาน “องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่นจากฝ่ายจื๋อฟางซือพ่ะย่ะค่ะ”

รออยู่นานจึงมีเสียงอนุญาตให้เข้าไปดังมาจากข้างใน

เสิ่นจือหลี่ผลักประตูเข้าไปข้างใน เดินไปพลางร้องเรียกไปพลาง “องค์รัชทายาท”

อิงกว่าเดินออกมาจากข้างใน บนร่างมีเสื้อคลุมตัวนอกคลุมไว้หลวมๆ พอเห็นนาง สีหน้าก็เยียบเย็นขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดคนของกรมทหารจึงให้เจ้ามา”

“หม่อมฉันก็เป็นคนของกรมทหาร มีอันใดถึงมาไม่ได้” นางยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปส่งมอบของที่อยู่ในมือ “องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้คนตรวจสอบชาติกำเนิดของเมิ่งถิงฮุย พวกหม่อมฉันเลยไม่ได้นอนกันทั้งคืน เวลานี้ได้คัดลอกลงสมุด เร่งนำมาถวายพระองค์ก่อนรุ่งสาง”

สีหน้าของเขาเฉยเมย เพียงยื่นมือไปรับมา “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว”

เสิ่นจือหลี่กลับไม่ออกไป นางรออยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกเปิดสมุดเล่มนั้น กวาดสายตาอ่านไปทีละหน้าๆ อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าของเขาดูแปลกประหลาดคลุมเครือ

ไม่ผิดจากที่คาด หลังจากเขาพลิกไปหลายหน้าคนก็ตัวแข็งทื่อแล้ว พักใหญ่จึงปิดสมุดลง หันมาพูดกับนาง “เพราะเหตุใดยังไม่ไป”

นางเบ้ปาก “ถึงหม่อมฉันจะไม่มีความดีความชอบแม้แต่น้อย ก็ต้องมีความเหนื่อยยากอยู่บ้างกระมัง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันเช่นนี้หรือ” ส่วนลึกในดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดูจากลักษณะท่าทางของเมิ่งถิงฮุย กลับมองไม่ออกว่าชาติกำเนิดของนางจะน่าสงสารเพียงนี้ ตั้งแต่เล็กไม่มีบิดามารดา ตอนเด็กถูกคนลักพาตัวไปที่อารามชีทางตอนเหนือของเมืองชงโจว เฉาอันเป่ยลู่ ยังไม่ทันมีชื่อในทะเบียนครัวเรือนก็ถูกโกนผมบวช ปีที่อายุแปดขวบเจอกับราชโองการของฝ่าบาทพอดี มีรับสั่งให้ถอดถอนยกเลิกวัดวาอารามในเฉาอันเป่ยลู่ที่ไม่มีชื่ออยู่ในราชโองการ มีคำสั่งให้เณรแม่ชีอายุน้อยลงทะเบียนครัวเรือน ตอนนั้นจางเยวี่ยผู้ดำรงตำแหน่งทงพั่นจัดการคำสั่งได้ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เณรแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากไม่มีบ้านให้กลับในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ และเมิ่งถิงฮุยก็เป็นหนึ่งในนั้น”

เขาสีหน้าไม่พอใจ ชายตามามองจ้องนาง คล้ายรู้ว่านางจะพูดอะไรต่อไป

เสิ่นจือหลี่หลุบตาลงมองสมุดบางในมือเขา แล้วบอก “แต่ภายหลังนางกลับได้รับความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์ ได้มีชื่อในทะเบียนครัวเรือน จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปสำนักศึกษาสตรีแห่งชงโจวที่ตอนนั้นเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน” นางหยุดไปชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อว่า “แต่ผู้สูงศักดิ์ในตอนนั้นคือใคร กรมทหารกลับยังตรวจสอบไม่พบ องค์รัชทายาทจะให้พวกหม่อมฉันตรวจสอบต่อไปหรือไม่เพคะ”

เขาจ้องเขม็งดุดัน “ออกไปจากวัง”

นางเม้มปากยิ้มบาง ถอยออกไปที่ประตู ปากก็บอก “ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิด คดีเณรและแม่ชีน้อยของเฉาอันเป่ยลู่เมื่อสิบปีก่อนพระองค์ทรงจัดการแต่เพียงผู้เดียว ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียงสิบสี่พรรษา กลับทำให้ขุนนางที่โอหังอวดดีในเฉาอันต่างรู้สึกถึงอันตราย เรื่องนี้ในตอนนั้นครึกโครมไปทั้งใต้หล้า ในราชสำนักใครจะลืมได้”

เขากำสมุดเล่มนั้นไว้แน่น แล้วพูดซ้ำอีกครั้ง “ออกไปจากวัง”

เมื่อเห็นว่าตนเองทายถูกแล้วจริงๆ นางก็หยุดคำพูดที่จะกล่าวต่อไป ใบหน้ายังคงเจือรอยยิ้มบาง ล่าถอยออกไป แล้วยื่นมือมาปิดประตู

ห่วงแดงสั่นไหวเบาๆ อยู่บนบานประตู ส่งเสียงดังแกร๊กๆ

เขาย่นหัวคิ้ว มือขวายิ่งกำแน่นขึ้น

ไฉนจึง…

ไฉนเมิ่งถิงฮุยจึงเป็นเด็กคนนั้นไปได้

ปีนั้นเขาขึ้นเหนือไปเฉาอันเป่ยลู่ หลังจากนั้นก็ปลอมเป็นสามัญชนเดินทางเป็นการส่วนตัวมาทางตะวันตก ระหว่างทางพบเห็นเณรและแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากพลัดที่นาคาที่อยู่ระเหเร่ร่อน เขาย่อมช่วยได้เท่าไรก็เท่านั้น

ถ้าไม่ใช่ได้อ่านสิ่งที่กรมทหารส่งขึ้นมานี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงคิดไม่ถึง เมิ่งถิงฮุยถึงกับเป็นหนึ่งในคนที่เขาได้ช่วยเอาไว้

‘…ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’

เส้นสายที่แข็งขึงบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง จากที่นางเขียนมาเช่นนี้ เป็นเขาที่พูดคำพูดนี้กับนางเมื่อตอนนั้น และบนเส้นทางนั้นในค่ำคืนนั้นก็มีเพียงฝนตก ในวัดร้างแห่งนั้น เขากล่าวคำพูดนี้กับนางคนเดียว

คิดไม่ถึงว่านางกลับจดจำมานานปีเพียงนี้

เขาพลันนึกไปถึงวันสอบหน้าพระที่นั่ง สายตาของนางที่มองเขาในท้องพระโรง

นางจะต้องจำเขาได้แน่ บางทีตั้งแต่วันนั้นที่ได้พบกันที่นอกเมืองชงโจว นางก็เฝ้าหวังให้เขาจดจำนางได้แล้ว

พริบตานั้นเขาก็พอจะเข้าใจถึงการกระทำของนางที่มุ่งมั่นจะโดดเด่นเหนือผู้อื่นแล้ว

แต่ชั่วแวบเดียวหัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ถ้าสิ่งที่นางเฝ้าปรารถนาคือเขา นั่นกลับเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายและรับมือไม่ทันเรื่องหนึ่ง

นับแต่ยามเหม่า ด้านนอกตำหนักเป่าเหอก็มีข้ารับใช้ในวังนำจิ้นซื่อสตรีสิบอันดับแรกหลังจากสอบหน้าพระที่นั่งมารอที่นี่ รอจนองค์รัชทายาทมีรับสั่งเรียกพบ ก็ทยอยเข้าไปเข้าเฝ้าในตำหนักทีละคน

ตะวันยามเช้าโผล่ขึ้นมาทางตะวันออก แล้วเคลื่อนช้าๆ ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า อิฐสีเทาอมดำในวังที่ใต้ฝ่าเท้าก็ถูกแผดเผาจนเริ่มร้อนเช่นกัน

เมิ่งถิงฮุยยืนนิ่งไม่ขยับ

ผ่านยามซื่อ มาแล้ว ยังคงไม่มีใครมาเรียกตัวนาง แสงอาทิตย์ยามเที่ยงร้อนระอุ แผดเผาจนใบหน้าของนางแดงก่ำ

รอจนหลังจากคนที่เก้าที่อยู่ตรงหน้าเมิ่งถิงฮุยถูกเรียกไปเข้าเฝ้าแล้ว จึงมีขันทีคนหนึ่งเดินลงมาจากบันไดตำหนักที่อยู่สูง กล่าวกับนาง “แม่นางเมิ่ง ถึงตาท่านแล้ว”

นางหายใจลึกๆ ทีหนึ่งแล้วเดินตามหลังขันทีผู้นั้นเข้าไปในตำหนัก

ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลงข้างหลังนาง เสียงดังน่าครั่นคร้าม

แสงอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผาถูกผนังตำหนักที่แน่นหนากันให้อยู่ข้างนอก ในตำหนักร่มและเย็น ในอากาศคล้ายมีไอน้ำเจืออยู่ ครู่เดียวก็ทำให้ริมฝีปากที่แห้งร้อนลวกของนางชุ่มชื้นขึ้น

“นั่งลง”

ไม่รอให้นางเห็นคนในตำหนักชัด ไม่รอให้นางทำความเคารพตามรูปแบบของขุนนาง เสียงของเขาก็ดังมาเข้าหูนาง เย็นชุ่มชื่นเช่นกัน ทั้งเจือความแหบเล็กน้อย พุ่งตรงไปที่ปลายยอดดวงใจ

นางหลับตาลง ปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างในตำหนัก เหลือบไปเห็นม้านั่งสูงบุผ้าดิ้นตั้งอยู่ข้างๆ แต่นางไม่ได้ขยับ เพียงมองไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า เอ่ยปากขึ้นเบาๆ “องค์รัชทายาท”

เสื้อคลุมบางชั้นเดียวเห็นไปถึงร่างกายแข็งแกร่งที่อยู่ข้างใน ตัวเสื้อด้านหน้ามีลวดลายเส้นสีทองตัดสลับซับซ้อนกัน นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้าอยู่ใต้เงาสลัวเล็กน้อย คิ้วเฉียงดุจคมดาบ สีหน้าเคร่งขรึม

เมิ่งถิงฮุยพลันรู้สึกลำคอค่อนข้างแห้งผาก ปลายนิ้วค่อนข้างชา นางกลอกตามองไป ในตำหนักถึงกับไม่มีใครอยู่เลย หัวใจอดเต้นตึกตักไม่ได้

เขามองตรงมา เอ่ยเรียกนาง “เมิ่งถิงฮุย”

นางพลันได้สติกลับมา รีบก้มหน้า “องค์รัชทายาท”

“อยากได้ตำแหน่งจ้วงหยวนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงดุจคมมีดที่ฟันลม

นางสองหูสั่นสะท้านเล็กน้อย ฟังชัดแล้วกลับคล้ายฟังไม่ชัด สีหน้าดูโง่เขลา

เขาไม่รีบร้อน เพียงรอนางเปิดปากเงียบๆ

ทั้งตำหนักเงียบกริบ ด้านนอกมีเสียงนกกระพือปีกพึ่บพั่บผ่านชายคาเป็นครั้งคราว ก่อกวนให้หัวใจของคนยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น

นางสีหน้าสงบนิ่ง พูดช้าๆ ทีละคำ “หม่อมฉันไม่เพียงอยากได้ตำแหน่งจ้วงหยวน”

เขาฟังคำพูดนี้แล้วกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงบอก “ยังต้องการอะไรอีก”

นางเอ่ยปากเบาๆ “องค์รัชทายาทตรัสไว้ สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งในครั้งนี้จะได้รับอนุญาตให้เข้าบัณฑิตกองอาลักษณ์ ประทานตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นเจ็ด ทว่าตามบันทึกของราชสำนัก ผู้ที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งล้วนได้รับตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นหก เพราะเหตุใดสตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งกลับต้องต่ำกว่าผู้อื่นครึ่งขั้นเล่าเพคะ”

เขาถือที่ทับกระดาษหยกเล่นอยู่ในมือ กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้ายังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ยังไม่มีคุณสมบัติจะวิพากษ์วิจารณ์วิธีการของราชสำนัก”

นางก้มหน้า “ถ้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรอให้อยู่ในตำแหน่งก่อนจึงจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แล้วชื่อเสียงของกองอาลักษณ์ที่ว่าแสดงความคิดเห็นอย่างเที่ยงธรรมมาจากที่ใดหรือ”

เป็นปากที่ร้ายกาจยิ่ง

เขาวางที่ทับกระดาษลง ลุกขึ้นอ้อมโต๊ะลงบันไดเดินมาจนถึงเบื้องหน้านาง แล้วถามขึ้น “เจ้าลองว่ามาซิ ถ้าให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน เจ้าจะเป็นอย่างไร”

นางเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่พระองค์ตรัสแล้ว หม่อมฉันยังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ยังไม่มีคุณสมบัติพูดเรื่องเหล่านี้เพคะ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปลายคางของนางก็ถูกเขากุมไว้ บังคับให้เงยขึ้น

นางตื่นตระหนกเล็กน้อย ช้อนตาขึ้นมองสบสายตาของเขา ดวงตาคู่หนึ่งลึกล้ำดุจสายธารลึกในซอกเขา ในก้นบึ้งมีประกายเยียบเย็น

ข้อศอกของเขางออยู่ครึ่งหนึ่ง ก้มศีรษะลงมองประเมินนาง ความทรงจำในส่วนลึกของเขาผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนแล้วจนรอดก็มองไม่ออกว่านางคือเด็กคนนั้นในตอนนั้น นิ้วมือที่บีบปลายคางนางอยู่ยังคงไม่ผ่อนแรง เป็นนานจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นจ้วงหยวนถึงเพียงนี้ ข้าก็จะให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน ไม่เพียงให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน ยังประทานตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นหกของกองอาลักษณ์ให้เจ้าด้วย อนุญาตให้เข้าวังตะวันออกทำหน้าที่ขุนนางอ่านบรรยายและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อน ทั้งประทานถุงปลาเงินให้พกพา…เป็นอย่างไร”

ทุกถ้อยทุกคำเข้าไปในหูของเมิ่งถิงฮุย สั่นคลอนจิตใจของนางจนทำให้สับสนงุนงง

เมิ่งถิงฮุยเจ็บปลายคางเล็กน้อย เพียงเห็นส่วนลึกในดวงตาของเขามีความนัยลึกซึ้งแผ่คลุมขึ้นมาเป็นชั้นๆ แต่นางกลับไม่เข้าใจ

นางได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษเช่นนี้…

ที่แท้แล้วเขามีจุดประสงค์ใด

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ตอบเขากลับย้อนถาม “…กษัตริย์กับขุนนางแตกต่างกัน พระองค์ทรงกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบเกินไปแล้ว”

เขาคลายมือจากคางนาง “เจ้ากระทั่งผลการสอบจิ้นซื่อก็ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ จะใช้คำว่าขุนนางกับตนเองได้อย่างไร เปิดปากก็พูดจาเหลวไหลครั้งแล้วครั้งเล่า เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่”

นางเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา คลื่นในดวงตาสีประหลาดลึกล้ำกว้างใหญ่ดุจคลื่นที่โหมซัดสาด ท่วมท้นจนหัวใจของนางเปียกปอนชุ่มโชกไปหมด

เขาเลิกคิ้วมองสบสายตาของนาง

คำพูดประโยคนี้กำลังถากถางนาง เมิ่งถิงฮุยคิดในใจ จากนั้นนางย่อมคิดไปถึงเรื่องการสอบระดับมณฑล ก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจของเขาต้องดูแคลนนางแน่นอน

ไม่รู้เหตุใดความคิดนี้กลับทำให้เมิ่งถิงฮุยยิ่งไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอออกมา เลือดในใจที่เดือดพล่านพุ่งตรงขึ้นสู่สมอง ถึงกับขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด มองเขาแล้วบอก “องค์รัชทายาทก็ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์สืบทอดการปกครอง จะแสดงตนเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่กษัตริย์กับขุนนาง เช่นนั้นถึงหม่อมฉันจะโผงผางไปสักหน่อยแล้วอย่างไร”

เขาฟังชัด อ้าปากทำท่าจะพูด

กลับคาดคิดไม่ถึงว่านางพลันขยับเข้ามาประชิดเขา เอียงศีรษะจุมพิตแก้มซ้ายของเขา

ขวัญกล้าเทียมฟ้า!

แก้มซ้ายของเขายังคงมีกลิ่นหอมและความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ ในสมองกลับมีเพียงสี่คำนี้ผุดเข้ามา ยามหลุบตาลงมอง สบเข้ากับดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้น เป็นแววตาที่ใสกระจ่างไร้สิ่งใดแปดเปื้อน

แม้จะรู้ว่าในใจของนางมีบางสิ่งที่ปรารถนาจากเขา แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่านางจะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!

ชั่วขณะนั้นเขาเพียงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่ได้ยื่นมือไปผลักนางออก

นางเห็นเขาทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ ส่วนลึกในดวงตาคล้ายมีประกายไฟวูบไหวระริก นางค่อยๆ ขยับเข้าไปอีก จุมพิตเขาอีกครั้ง

ขมับของอิงกว่าเต้นตุบๆ เขาหลุบตาลง ครานี้จึงคล้ายได้สติกลับคืนมา

ริมฝีปากของนางคล้ายดั่งปีกของผีเสื้อกระพือ เคลื่อนไหวเบาๆ บินโฉบเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเขา

ร่างของเขาแข็งทื่อ ครานี้ยังคงไม่ได้ขยับและไม่ได้ผลักนางออก แต่สายตาที่จับจ้องนางกลับเป็นประกายดุจคมมีดดุจเปลวไฟ ฟาดฟันเข้าไปในส่วนลึกของดวงตานาง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน

ปีที่อายุสิบสองก็มีนางกำนัลมาปรนนิบัติถึงบนเตียง หากใช้คำพูดของบิดาของเขา เรื่องนี้ก็ถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ผู้เป็นกษัตริย์จะสูญเสียพลานุภาพได้อย่างไร

เพียงจำได้ว่าตอนนั้นมารดายิ้มพลางแค่นเสียงฮึทีหนึ่ง ใบหน้าแดงเล็กน้อย

ทว่าเขากลับลิ้มรสถึงความสุขชนิดวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกจากร่างจากเรื่องนี้ไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าเป็นพิธีกรรมที่ทำไปอย่างลวกๆ เพื่อบอกว่าเขากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว นับแต่นั้นสามารถเข้าสำนักราชเลขาธิการเพื่อสังเกตการณ์และร่วมหารือเรื่องการเมืองได้

หลังจากนั้นหลายปีได้บังเอิญพูดถึงเรื่องนี้กับเสิ่นจือซู กลับถูกเสิ่นจือซูหัวเราะบอก คิดว่าเขาเกิดมาเป็นคนเย็นชาและมีความต้องการน้อย ไม่มีท่าทางเฉกเช่นบิดา

เขาไม่ได้ผลักไสนางออกไป เพียงอยากดูว่าสุดท้ายแล้วนางจะกำเริบเสิบสานไปถึงขั้นใด กลับคิดไม่ถึงว่านางถึงกับได้คืบจะเอาศอกจริงๆ ยื่นมือมาโอบกอดเอวของเขา

หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา

นางต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ หาไม่เหตุใดจึงขวัญกล้าถึงกับทำเช่นนี้กับเขาในตำหนัก…

บางทีองค์รัชทายาทผู้ซึ่งฐานะสูงศักดิ์มีรูปโฉมหล่อเหลาหลายปีมานี้ในราชสำนักมีขุนนางสตรีที่มามอบกายถวายตัวให้มากมาย เขาจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก หรือไม่ก็ยินดีที่จะเสพสุขจากความชื่นชอบจากอิสตรีเหล่านี้…

พอคิดได้เช่นนี้ นางพลันหยุดมือ

เขาเองในที่สุดก็ยกมือขึ้น จับมือซ้ายนางไว้ ตวาดให้นางหยุดเสียงเยียบเย็น “เมิ่งถิงฮุย!”

แต่เขาก็เพียงเรียกชื่อนางคำเดียว ไม่มีคำพูดอื่นตามมา

นางมองเขาเงียบๆ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

เมิ่งถิงฮุยเข้าใจว่าเขาจะทำอะไรนาง ไหนเลยจะรู้เขาเป็นเพราะตื่นตะลึงเกินไป ส่งผลให้ไม่รู้ว่าควรจัดการกับนางอย่างไรดี

ประตูตำหนักพลันถูกคนเคาะจากข้างนอกสองที มีขันทีผลักประตูแง้มเป็นช่อง “องค์รัชทายาท เมื่อครู่ฝ่าบาท…”

ยังพูดไม่จบ คำพูดต่อจากนั้นของเขาก็ถูกกลืนกลับลงไปทั้งอย่างนั้น

คนผู้นั้นมองภาพในตำหนักตาปริบๆ จะเข้ามาก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ คนคล้ายถูกตอกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น แม้แต่ก้มหน้าก็ลืมไปแล้ว

การอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อก่อนการติดประกาศใหญ่เดิมก็เป็นเพียงขั้นตอนอย่างหนึ่ง องค์รัชทายาทเรียกพบคนก็เพื่อจะกำหนดบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งบัณฑิตเอกชั้นรองของจิ้นซื่อสตรีทั้งสิบคน ตามระเบียบการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ที่กำหนดไว้ เดิมเข้าใจว่าเวลานี้เมิ่งถิงฮุยน่าจะใกล้ออกจากตำหนัก ใครเลยจะคาดคิด…ใครเลยจะคาดคิด…

มือขวาของนางยังแตะอยู่ที่เอวคอดของเขา มือขวาของเขาก็กุมมือซ้ายนางไว้แน่น

นางตัวแนบชิดอยู่กับเขา ส่วนเขาก็โน้มตัวเข้าหา ระหว่างคนทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงช่วงกระดาษกั้นแผ่นเดียว ท่าทางที่สนิทสนมแนบชิดทำให้คนเห็นแล้วหน้าแดงใจเต้น

นอกประตูมีคนของสำนักห้องเครื่องเฝ้าอยู่ ยามนี้ก็มองผ่านช่องประตูที่เปิดอยู่เข้ามาเห็นภาพข้างใน ชั่วขณะนั้นได้ดึงตัวขันทีที่ยังตะลึงงันอยู่ผู้นั้นออกไปทันที

ปึงๆ!

เสียงดังสนั่นสองเสียง ประตูตำหนักถูกคนลนลานปิดจากข้างนอกแล้ว

ในตำหนักมืดลงมาทันที แม้แต่เปลวเทียนเล็กเรียวตรงมุมห้องก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย

ทั่วร่างของอิงกว่าทั้งบนล่างคล้ายมีไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา ถึงเขาไม่พูดอะไรสักคำก็ทำให้นางหนังศีรษะชาได้

เห็นชัดว่านางไม่คาดคิดว่าจะถูกคนพบเห็นเข้า ในใจใคร่ครวญอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี…

ลักษณะท่าทางระหว่างพวกเขาสองคนไม่ว่าตกอยู่ในสายตาใคร คิดว่าก็คงทำให้คนเข้าใจว่าเขากำลังข่มเหงนาง

ชื่อเสียงดีงามของเขาองค์รัชทายาทที่สั่งสมมาหลายปี วันนี้จะมาถูกทำลายด้วยน้ำมือของนางเช่นนี้ได้อย่างไร

นางพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ถึงกับไม่คำนึงถึงความเดือดดาลของเขา มองเขาแล้วบอก “เป็นหม่อมฉันที่ล่วงเกินเบื้องสูง พระองค์ทรงตัดชื่อเสียงลาภยศของหม่อมฉันได้เลย”

“เมิ่งถิงฮุย” เขาพลันเอ่ยปาก “ตำแหน่งจ้วงหยวนในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีในครั้งนี้ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”

นางประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าจนถึงตอนนี้เขายังเอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้อีก

เขาหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะทองกลางตำหนัก บนนั้นมีแผ่นประกาศทองขนาดใหญ่เล็กพร้อมทั้งพู่กันและหมึก…รอให้เขาใส่ชื่อจิ้นซื่อที่ได้รับตำแหน่งด้วยตนเองหลังจากอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อแล้ว ทว่าเวลานี้เห็นแผ่นประกาศขลิบทองนั่นแล้วกลับรู้สึกขัดตายิ่ง

นางมองเงาด้านหลังของเขาโดยไม่ละสายตา เห็นเขาโน้มตัวลงหยิบพู่กันจุ่มหมึก จรดปลายพู่กันลงไปบนแผ่นประกาศ เขียนชื่อนางลงไปในตำแหน่งบนสุดจริงๆ

เมิ่งถิงฮุยอดตื่นตะลึงไม่ได้ ยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรดี

นางกำเริบเสิบสานเพียงนี้ เขาไม่เพียงไม่ลงโทษนาง กลับยังคงมอบตำแหน่งจ้วงหยวนให้นางอีก

ผู้คนต่างบอกว่าองค์รัชทายาทจิตใจล้ำลึกยากแก่การคาดเดา

พูดได้ไม่ผิดเลย

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 2567)

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: