2
เอาล่ะ…ยายเอิง ตั้งสติหน่อย คนข้างในห้องนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิดหรอก เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่มีตำแหน่งสูงกว่าเราเท่านั้นเอง การให้เหตุผลอย่างมีสติคือวิถีทางของสาวมั่นนะ…จำไว้
สมเหตุสมผล สติ
สมเหตุสมผล สติ
เฮ้อ…
แม้จะพยายามเตือนตัวเองเท่าใด แต่อาการเดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่นหน้าห้องทำงานของเจ้านายไม่ได้บอกเลยสักนิดว่าเธอจะสามารถครองสติแล้วโต้ตอบออกไปได้อย่างใจคิด
เพราะทุกครั้งที่เธอให้เหตุผลกับเขา ต่อให้คิดว่าเด็ดแค่ไหนก็โดนโต้กลับมาได้ทุกที
มือบางกำแฟ้มงานที่สุดท้ายก็ปั่นจนเสร็จภายในห้านาทีเอาไว้แน่น ทบทวนคำตอบสำหรับสิ่งที่เขาน่าจะถาม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าผลักประตูเข้าไป
เพราะการเข้าไปเผชิญหน้ากับราชสีห์ทันทีแบบไม่ตั้งตัวนั้น ถือว่าเสี่ยงมากสำหรับหนูนาตัวเล็กๆ เช่นเธอ
สอางค์สูดลมหายใจเรียกความกล้าอีกครั้ง เป็นไงเป็นกัน พ่นเรื่องงานไปก่อน ส่วนไอ้เรื่องที่ต้องแก้ตัวเอาไว้ทีหลัง ไม่แน่นะ เผลอๆ ถ้างานเป็นที่น่าพอใจ เขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าเธอกล่าวหาเขาไว้ยังไงบ้าง
และเหมือนคนภายในห้องจะรำคาญเต็มแก่ที่หญิงสาวไม่ยอมเปิดประตูเข้ามาสักที จึงส่งเสียงออกไปก่อนที่หญิงสาวจะเคาะประตูเสียด้วยซ้ำ
“เชิญ”
“ค่า!” สอางค์ขานรับไปอย่างลืมตัว
ให้ตายเถอะ อยู่กับเขาทีไร นึกว่าอยู่กับอาจารย์ทุกที
ภาพชายหนุ่มผมสีอ่อนสีหน้าคร่ำเคร่ง เคาะแป้นพิมพ์รัวเร็วอยู่หน้าแล็ปท็อปทำให้หญิงสาวชะงักขา เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า “ถ้าบอสกำลังยุ่ง ฉันออกไปก่อนดีมั้ยคะ”
หญิงสาวตั้งใจถอยกลับไปด้วยใจลิงโลด แต่ชายหนุ่มขัดคนคิดหนีเอาตัวรอดอย่างรู้ทันว่า “ไม่ต้อง เชิญนั่ง งานของผมจะเสร็จภายในสามนาที”
“ค่ะ” สอางค์ตอบเสียงอ่อย กอดแฟ้ม เดินตัวลีบเข้ามานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
อย่างกับจับเวลาการแข่งขัน พอเข็มนาฬิกาเดินครบสามนาทีปุ๊บ ชายหนุ่มก็ปิดแล็ปท็อป หันมาเผชิญหน้ากับเธอราวกับหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมไว้
หรือเขาจะเป็นหุ่นยนต์จริงๆ เพราะเวลาพักที่ใครๆ ลงไปหาอะไรกินในคาเฟทีเรียกลับไม่เคยมีใครเห็นเจ้านายคนใหม่ลงมาด้วยเลยสักครั้ง หญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาอาจจะเจาะกระป๋องดื่มน้ำมันเครื่องหรือเสียบแบตฯ ชาร์จไฟแทนกินข้าวก็เป็นได้
ความคิดแผลงๆ ทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว โทมัสมองคนตรงหน้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว กระแอมสองสามครั้งเป็นการเตือน
“ยิ้มอะไรครับ คิดข้อแก้ตัวดีๆ ได้แล้วหรือยังไง”
“เปล่าค่ะ…” เธอก้มหน้า หุบยิ้มฉับ ใช้มือลูบท้ายทอยแก้เขิน
ยิ่งพอเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีน้ำทะเลถมึงทึง หญิงสาวก็จ๋อยสนิท อาการมั่นใจที่บิลด์มาหายไปหมด
“งานที่ผมให้คุณเอาไปแก้?”
ดวงตาคมจ้องมองเธออย่างรอคำตอบ ทำเอาหญิงสาวนั่งตัวเกร็ง คาถาที่ท่องไว้สลายไปกับอากาศ ขนาดเธอนั่งทำงานช่วงเย็นกับเขามาหลายครั้งแล้วนะ ยังไม่ชินกับท่าทางนิ่งๆ ไร้รอยยิ้มนั่นเลย มองทีไร รู้สึกตัวลีบลงไปทุกที
สอางค์ยื่นแฟ้มให้เขา
ชายหนุ่มกวาดสายตาอ่านอย่างละเอียด ใช้ปากกาหมึกแดงวงตามจุดต่างๆ ราวกับครูตรวจการบ้าน ซึ่งเป็นกิริยาที่เธอเห็นทุกเย็นเวลาอยู่ทำโอที
“อย่างที่บอสบอกเอาไว้เมื่อเช้าน่ะค่ะ ฉันลองแก้ตรงจุดที่แจ้งไป แต่งบประมาณอาจจะต้องเพิ่มขึ้น และถ้าเป็นอย่างนั้น ทางมิสเตอร์แอนเดอร์สันอาจจะไม่พอใจงบที่บานปลาย ซึ่งทางที่ดี ฉันคิดว่า…”
“ถ้าเป็นทางมิสเตอร์แอนเดอร์สัน ผมจะพูดกับเขาเอง เพียงแต่แก้แผนออกมาให้ได้ตามนั้นก็พอ ฝากเรื่องนี้ไปทางฝ่ายออกแบบด้วยก็แล้วกัน ผมจะขอดูงานภายในวันพฤหัสนี้”
“ค่ะ เอ๊ะ…”
อย่าบอกนะว่าผ่านแล้ว
ไอ้บทจะได้ ก็ง่ายแบบนี้เลยเหรอ ทั้งที่นั่งแก้มาสามวันกับอีกหนึ่งเช้าไม่ลงตัวเสียทีเนี่ยนะ
สอางค์กัดริมฝีปาก เอ่ยถามเบาๆ “หมายความว่า…ฉันไม่ต้องอยู่ทำโอทีแล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่” เขาตอบสั้นๆ
“เยส!” หญิงสาวหลุดตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่พอสบสายตานิ่งๆ ของอีกฝ่ายก็รู้สึกอายขึ้นมา จึงรีบลดแขนลง ยิ้มกลบเกลื่อน
“คุณดูจะดีใจมากที่ไม่ต้องอยู่เย็นกับผม” เขาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยากจะบอกได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
สอางค์อยากจะตอบออกไปว่า ‘ใช่’ ใจจะขาด แต่ต้องสำรวมไว้
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ใครจะอยากอยู่นอกเวลาจริงมั้ยคะ บอสก็คงเหมือนกัน ไว้ฉันจะรีบไปเร่งงานกับตาเฉื่อย เอ๊ย คุณพีระ ฝ่ายออกแบบให้ จริงๆ แล้วไปตอนนี้เลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”
เธอพูดเองเออเอง แต่ลุกมาได้แค่ครึ่งทางก็ต้องนั่งกลับท่าเก่า เมื่อเขาชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้นั่งลง
“ผมยังไม่ลืมนะว่า เรามีเรื่องต้องคุยกันอีก”
“เอ…เรื่องอะไรหรือคะ” หญิงสาวทำไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“The reason why you called me Devil.”
“อันนั้นมัน…”
“คิดไว้ด้วยนะว่า การกล่าวหานายจ้างโดยไม่มีเหตุผลสมควร ผลจะเป็นยังไง”
ขู่เก่งจริงเจ้านายฉัน
“บอสไม่ใช้คำพูดแรงไปหน่อยหรือคะ กล่าวหา…ใครกล่าวหาบอสกัน” คนที่ไม่คิดว่าตัวเองผิดชักสีหน้า
“ก็ที่คุณพูดกับเพื่อนทางโทรศัพท์ พาดพิงถึงบุคคลอื่น ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ภาษาไทยเรียกว่า…กล่าวหาหรือนินทาเจ้านายก็ยังได้”
ให้ตายเถอะ อยากรู้จริงๆ ว่าใครสอนภาษาไทยให้เขา
“คุยกับเพื่อนไม่เรียกนินทาหรอกค่ะ เรียก…เล่าสู่กันฟังมากกว่า อีกอย่างมันก็เป็นการพูดคุยไร้สาระระหว่างเพื่อน บอสไม่เห็นต้องเก็บมาใส่ใจเลย”
“ไร้สาระ? คุณยอมรับเองนะว่าที่คุณแอบคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในเวลางานที่คุณควรจะเอามาทำประโยชน์ให้กับบริษัท…เป็นเรื่องไร้สาระ” ชายหนุ่มพูดอย่างนุ่มนวล แต่แทงใจดำทุกคำ
ผิวหน้าของเธอร้อนวาบ แต่ยังเถียงกลับข้างๆ คูๆ อย่างคนไม่ยอมแพ้ว่า
“แล้วทีบอสแอบฟังฉันโทรศัพท์ล่ะคะ ก็ไม่ใช่มารยาทที่ดีของเจ้านายเหมือนกัน”
“นี่คุณกำลังเบี่ยงประเด็นนะคุณสอางค์”
“ฉันกำลังพูดถึงสิทธิส่วนบุคคลที่เราควรจะได้ในที่ทำงานต่างหากค่ะ พนักงานควรจะมีเวลาเป็นของตัวเอง มีความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่ว่าใครต่อใครเดินผ่านไปมา แอบฟังเราคุยสิ่งที่เป็นไพรเวต แล้วเอามาตัดสินว่าเรากำลังนินทาคนอื่นได้” หญิงสาวยืนยันความคิดอย่างไม่ยอมแพ้ แถจนสีข้างถลอกก็ไม่คิดว่าตัวเองผิด
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เอามือกอดอก
“Okay. Fine. So please tell me the GOOD reason why you called me Devil.”
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เตรียมฟังคำโม้ชุดใหญ่จากเธอ
แล้วมีหรือสอางค์จะยอมแพ้
“บอสไม่ได้มาจากอังกฤษ เลยทำให้บอสเข้าใจเรื่องนี้ผิดๆ ไงคะ” สอางค์ปั้นสีหน้าจริงจัง ขึงขังกว่าเดิม
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “การที่คุณนินทาผมลับหลัง มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมไม่ได้อยู่อังกฤษด้วย”
“กรุณาอย่าใช้คำว่า ‘ลับหลัง’ นะคะ ฉันบอกแล้วว่ามันเป็นการ ‘เล่าสู่กันฟัง’ ในหมู่เพื่อนฝูง A conversation between friends you know และการที่บอส ‘บังเอิญ’ เดินมาได้ยิน ก็เรียกว่าลับหลังไม่ได้ด้วย”
เจ้านายหนุ่มพยายามอดทน มองหน้าคนที่ทำตัวเป็นหมาป่าหาเหตุใส่ความลูกแกะว่าทำให้น้ำขุ่นอย่างใจเย็น
ทั้งที่แค่เธอเอ่ยปากขอโทษ เรื่องก็จะจบลงแล้วแท้ๆ
เขาอยากรู้จริงๆ ว่าคนตรงหน้าจะไหลไปได้ถึงไหน
“ก็ถ้าบอสเป็นคนอังกฤษ บอสจะเข้าใจ ‘Devil’ หรือ ‘ปีศาจ’ ว่าไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเลย”
เขายังนั่งหน้าตายระหว่างที่เธอพูด ไม่รู้กำลังพยายามทำความเข้าใจ หรือสงสัยสิ่งที่เธออธิบายกันแน่
“บอสไม่รู้ใช่มั้ยล่ะคะ เอิง…เอ๊ย ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าใครๆ เขาก็ชอบปีศาจแดงกันทั้งนั้น เฮกันไปดูทีเป็นหมื่นเป็นแสนเต็มสนาม ถ้าพูดถึงฟุตบอลหรือซอกเกอร์บอสอาจจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ เพราะคนอย่างบอส ฉันว่าน่าจะรู้จักแค่ชิคาโกบูล หรือไม่ก็เอ็นบีเออะไรทำนองนั้นใช่มั้ยล่ะคะ มันเป็นเรื่องของ culture ซึ่งอาจจะทำให้บอสเข้าใจความหมายที่ฉันพูดผิดไป แต่เรื่องนี้เราทำความเข้าใจกันได้นะคะ ไอ้ตอนที่ฉันเรียกบอสว่าปีศาจ นั่นก็เป็นการเปรียบเทียบ…”
“Are you serious?”
หญิงสาวที่กำลังโม้แตกชะงัก เงยหน้ามองคนตรงข้าม
“คะ?”
“You are such a…”
โทมัส แบรนดอนส่ายศีรษะ มุมปากโค้งคล้ายกำลังยิ้มกับตัวเอง ยิ่งเห็นหญิงสาวพยายามปั้นท่าให้ดูขึงขังยิ่งทนไม่ไหว สุดท้ายจึงหลุดหัวเราะออกมา
นี่เป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่สอางค์เห็นเขาหัวเราะ
แต่เธอไม่เห็นว่าสิ่งที่เธอพูดน่าขำสักหน่อย “บอสหัวเราะอะไรคะ”
“I’ve never met someone like you before.”
เขายักไหล่เปลี่ยนทีท่าสบายๆ สลัดคราบเจ้านายจอมโหด ก่อนจะยิ้มแบบที่ป้าแม่บ้านชอบชมว่าหล่อเหลือเกิน แล้วเอ่ยคำถามที่เล่นเอาหัวใจของเธอกระตุกนิดๆ ว่า
“Are you free tonight?”
“คะ?”
“ผมอยากจะให้คุณไปกับผมหน่อย”
“ไป…ไปไหนหรือคะ” จะให้เธอไปไหนอีกล่ะ ก็ไหนว่าไม่ต้องทำโอทีแล้วไง
“ผมไม่เอาคุณไปฆ่าไปแกงหรอก”
“ในระเบียบบริษัทไม่มีข้อไหนที่บอกว่าพนักงานต้องออกไปข้างนอกกับนายจ้างนอกเวลางานนี่คะ”
“ผมก็ไม่ได้จะใช้คุณเรื่องงาน แต่ผมมีธุระอย่างอื่นให้ทำ”
“ธุระ? ธุระอะไรกันคะ”
ชักจะทะแม่งๆ แล้วสิ
ถ้าต้องออกไปข้างนอก ทำไมเขาไม่เรียกปาริฉัตร เลขาฯ ของเขาไปล่ะ ทำไมจะต้องให้เธอไป ไม่ใช่หน้าที่เธอที่จะต้องตามเจ้านายไปไหนต่อไหนสักหน่อย แล้วอีกอย่างมันก็เลยเวลางานแล้วด้วย
เธอมีสิทธิ์จะปฏิเสธ
ใช่! ปฏิเสธ!
“เอาเป็นว่า เย็นนี้ทำตัวให้ว่างไว้ก็แล้วกัน”
“แต่…ฉันขอปฏิ…”
“ขอบคุณมากครับคุณสอางค์ เชิญไปทำงานของคุณต่อได้”
มัดมือชกกันแบบนี้ก็ได้เหรอ
หญิงสาวเดินคอตกกลับมาที่โต๊ะของตัวเองอย่างหดหู่ นายเฉื่อยซึ่งรอดูสถานการณ์อยู่นานแล้วรีบปรี่เข้ามาถามทันที
“ว่าไง โดนบอสเล่นงานหรือเปล่าจ๊ะคนสวย”
“จะเหลือเหรอ”
“เอาน่า เราว่าบอสเขาก็โหดอย่างมีเหตุผล” พูดพร้อมตบไหล่ปลอบใจเพื่อนแปะๆ
สอางค์มองหน้านายแว่นหนาแล้วถามว่า
“เฉื่อย เย็นนี้นายว่างมั้ย”
“ก็ว่าง ทำไม จะชวนไปกินข้าวฉลองการรอดชีวิตเหรอ” ชายหนุ่มเอามือเท้าโต๊ะ ถามอย่างอารมณ์ดี
“เปล่า ฉันจะให้นายไปธุระกับบอสแทนฉัน” หญิงสาวมองหน้าเพื่อนอย่างจริงจัง เล่นเอาอีกฝ่ายพูดอะไรไม่ออก “ไปให้หน่อยเหอะนะ ฉันไม่อยากไปนี่นา ใครจะอยากผูกติดกับเขาไปจนถึงเย็นล่ะ อีกอย่างจะรีบกลับไปดูละครด้วย ไปให้หน่อยเหอะนะเฉื่อยนะ”
“ไม่เอาอะ ไม่ใช่หน้าที่เรา ให้เราไปแทน มีหวังบอสกริ้วตาย”
“ไม่หรอก ไปเหอะ”
“ไม่!” พีระยืนยันเสียงแข็ง หญิงสาวจึงต้องเริ่มขู่บ้าง
“เอ๊ะ! ไอ้คุณเฉื่อย นายลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันมีบุญคุณอะไรกับนายบ้าง”
“โห…จะมาทวงบุญคุณอะไรกันตอนนี้”
“ก็แล้วใครเป็นคนที่ทำให้นายได้ย้ายมาอยู่ฝ่ายออกแบบนี่ล่ะ” เมื่อเห็นว่าไม้อ่อนไม่ได้ผล สอางค์จึงงัดไม้แข็งมาใช้กับเพื่อนทันที
หนุ่มแว่นหนาตอบเสียงอ่อย “ก็เอิงไง”
“แล้วใครที่เทียวไปเทียวมาแผนกบัญชีเพื่อโม้ความดีของนาย จนสาวเจ้าเห็นใจยอมคบ”
“ก็เอิงอีกนั่นแหละ”
“แล้วใครนะใครที่เคยแก้ตัวให้นายเวลาเข้างานสายประจำ จนบางทีโดนหางเลขไปด้วย”
“ก็เอิงอีกนั่นแหละ”
“นั่นน่ะสิ! แล้วทำไมนายถึงไม่คิดจะทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณฉันบ้างฮะ”
พีระนิ่งคิดอยู่อึดใจ อึดใจเดียวเท่านั้น ก่อนตอบออกไปด้วยรอยยิ้มกวนประสาทว่า
“เพราะเราไม่ได้บ้าหนังจีนเหมือนเอิงไง จะได้มีบุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ เรื่องของตัวเองก็จัดการเอาเองเหอะ เราไม่ยุ่งด้วยหรอก”
“หน็อย ช่วยอะไรไม่ได้เลย ไอ้เพื่อนเฮงซวย อย่าหนีนะ มาให้เคาะกะโหลกสักทีเหอะ”
แต่ไม่ทันที่เธอจะได้หยิบอะไรขว้างหัวคนทรยศ หนุ่มแว่นก็หลบวูบหายไปก่อน ปล่อยให้หญิงสาวโมโหอยู่ฝ่ายเดียว
สอางค์ถ่วงเวลาเก็บของให้ช้าที่สุดเมื่อเวลาเย็นมาถึง ไม่สนใจสายตาที่มองมาจากร่างสูงซึ่งยืนพิงโต๊ะอยู่ฝั่งตรงข้าม
โทมัส แบรนดอนมองเธอเก็บของทีละชิ้น เอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้มากกว่ารำคาญ “ผู้หญิงพกอะไรมาบ้างเวลาทำงาน”
“ก็เครื่องสำอาง สมุดจด ปากกา กุญแจบ้าน ยาดม ขนม…” เธอตอบเพลินตามนิสัย แต่ชักเอะใจว่าทำไมต้องเล่าให้เขาฟัง สอางค์เม้มปาก เงยหน้ามองตาขุ่น “บอสกำลังก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของฉันอีกแล้วนะคะ”
“ผมก็แค่ถาม คุณไม่จำเป็นต้องบอกให้ผมรู้ก็ได้นี่”
สอางค์ย่นจมูก ขยับปากบ่นอุบอิบกับตัวเอง แล้วเงยหน้าถามเขาอีกครั้งว่า
“ว่าแต่ บอสจะพาฉันไปไหนหรือคะ”
“ธุระน่ะ” เขาแกล้งเฉไฉอย่างเธอบ้าง แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ยอมง่ายๆ
“ก็ธุระของบอสมันอะไรล่ะคะ”
สอางค์มัวแต่หงุดหงิด จึงไม่ทันสังเกตสายตาของเขาที่มองพิจารณาเธอต่างไปจากทุกวัน
“ธุระ…เป็นเพื่อนกินข้าวกับผม”
“หา?”
หูฝาดไปหรือเปล่า บอสปีศาจบ้างานเนี่ยนะกำลังชวนเธอไปกินข้าว นี่ เขาไม่ได้เป็นหุ่นยนต์กินน้ำมันเครื่องหรอกเหรอ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.