X
    Categories: ทดลองอ่านบุปผารัตติกาลแห่งฉางอันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่ 1

ลิ่นเซี่ยวมองประเมินสภาพหมู่บ้านเบื้องหน้าคร่าวๆ ด้วยแววตาเคร่งขรึม

บ้านเรือนแตกต่างจากที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนมาก การวางผังของหมู่บ้านเรียกได้ว่า ‘ไร้ระเบียบแบบแผน’ บ้านสิบกว่าหลังสร้างอยู่ติดกัน เรียงจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ ลักษณะภายนอกแลดูหยาบๆ และเรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่ละหลังครอบครองพื้นที่ไม่กว้างขวางอะไร แม้แต่โครงสร้างของบ้านก็คับแคบผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

หน้าบ้านหลายหลังยังแขวนเสื้อผ้าที่สีซีดจางไปนานแล้ว ขื่อคานแต่ละจุดมีใยแมงมุมเกาะอยู่หนาเตอะ ความเปลี่ยวร้างประจักษ์ชัดแก่สายตา ทุกมุมล้วนทรุดโทรมผุพัง มีเพียงกลองป๋องแป๋งสีแดงซึ่งวางนิ่งอยู่ข้างบ่อน้ำแห้งขอดหน้าหมู่บ้านที่สีสันยังคงสดใสไม่เปลี่ยน ดูเหมือนจะเป็นของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงหมู่บ้านแห่งนี้กับความรุ่งเรืองของโลกภายนอกได้บ้าง

ลิ่นเซี่ยวก้าวเดินช้าๆ ไปที่บ่อน้ำ ค้อมกายลงเก็บกลองป๋องแป๋งขึ้นมา ปัดฝุ่นดินที่เปรอะเปื้อนอยู่ออกไป ก่อนจะหมุนด้ามจับกลองเล็กน้อย ลูกตุ้มกลมสองเม็ดด้านข้างก็ตีไปที่หน้ากลองตามแรงหมุน ส่งเสียงทุ้มหนักแน่นดังป๋อง…แป๋ง…ป๋อง…แป๋ง

หากรวบรวมสมาธิตั้งใจฟังให้ดี จะรู้สึกราวกับว่ายังได้ยินเสียงหัวเราะไร้เดียงสาของเด็กน้อยลอยมาด้วย

ลิ่นเซี่ยวหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่านี่คือหมู่บ้านที่โดนทิ้งร้างมาช่วงระยะหนึ่ง ภาพจากทุกหนทุกแห่งในหมู่บ้านล้วนสะท้อนให้เห็นว่าที่นี่เคยคึกคักมีชีวิตชีวามาก่อน แต่ในวันหนึ่งกลับหยุดชะงักลงอย่างน่าประหลาดและกะทันหันยิ่ง

เขาคิดถึงตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดอยู่บนภูเขาลูกนี้มาหนึ่งวันเต็ม ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการเช่นไรก็ไม่สามารถออกไปจากภูเขาประหลาดลูกนี้ได้เลย ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านร้างผู้คนตรงหน้านี้หรือไม่

สายลมเย็นยะเยือกชวนขนลุกระลอกหนึ่งโชยมาขัดจังหวะความคิดของเขา สายลมนั้นประหนึ่งมีตัวตนให้จับต้องได้ มันวนเวียนอยู่ตรงปลายเท้ารอบหนึ่ง และพัดชายชุดสีน้ำเงินเข้มของเขาราวกับจะกลั่นแกล้งกัน

จากนั้นก็มีมือขาวผ่องคู่หนึ่งโผล่มาคล้องพันรอบขายาวเหยียดตรงเอาไว้ เบื้องล่างมีเสียงอุทานอย่างเขินอายของสตรีดังขึ้นว่า “คุณชายรูปงามเหลือเกิน…”

นัยน์ตาลิ่นเซี่ยวหรี่แคบลงโดยพลัน เขาชักกระบี่ข้างเอวออกมาเสือกแทงลงไปอย่างแรงโดยไม่เสียเวลาคิด

กลับพบว่ากระบี่ปะทะกับความว่างเปล่า ตรงหน้าเขาตอนนี้ทั้งมือขาวผ่องหรือแม้แต่เงาดำวูบหนึ่งของผีสาวก็ไม่มีให้เห็นแล้ว

ลิ่นเซี่ยวใจเต้นรัวดั่งตีกลอง หน้าผากขาวสะอาดดุจหยกมีเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าถั่วผุดพราย สัมผัสจากมือคู่นั้นเมื่อครู่นี้สมจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทางเป็นความคิดเหลวไหลของเขาแน่ ตกลงนี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน! เขารีบเงยหน้าขึ้น เหลียวมองรอบกายด้วยดวงตาถมึงทึง กระบี่ในมือรับรู้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาของผู้เป็นนาย มันจึง ‘ส่งเสียง’ ออกมาเบาๆ

แต่ไหนแต่ไรลิ่นเซี่ยวไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ทว่านับตั้งแต่เดินขึ้นเขาเป็นต้นมา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็อยู่เหนือการรับรู้ของเขาไปแล้ว ภูเขาที่ไร้ทางออก การโดนผีบังตาไม่หยุดหย่อน หมู่บ้านร้างผู้คนที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือยามค่ำคืนซึ่งใกล้มาเยือนทุกขณะ หมู่บ้านตรงหน้าถูกความมืดเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว ถ้าหากมีปีศาจร้ายอยู่จริง ภายใต้แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าพวกมันอาจมีความหวั่นเกรงอยู่บ้าง ทว่าเมื่อล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืน ไม่รู้จะใช้วิธีการใดมาปรากฏกายตรงหน้าเขากัน

หมอกบนภูเขาค่อยๆ ลงหนา สายลมยามพลบค่ำพัดพาเสียงกระดิ่งอูฐลอยมาเป็นครั้งคราว ช่วยเหนี่ยวรั้งสัมผัสรับรู้ของลิ่นเซี่ยวกลับมาสู่เหตุการณ์ตรงหน้า

กุบกับ…กุบกับ…

เสียงกีบเท้าม้าดังลอยเข้ามาใกล้ กลุ่มองครักษ์เจ็ดแปดคนควบม้าพุ่งทะยานเข้ามาในหมู่บ้าน

กลุ่มองครักษ์บนหลังม้าที่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มท่วงท่าองอาจโดดเด่น พวกเขาแผ่พลังชีวิตอันล้นเหลือออกมารอบกาย เพียงแค่สะบัดแส้พร้อมกันก็ปัดกลิ่นอายความตายที่อัดแน่นทั่วบริเวณสลายไปด้วยความฮึกเหิม

ลิ่นเซี่ยวเหมือนได้ยินเสียงความมืดถูกฉีกขาดดั่งผ้าไหม ภาพอันน่าพิศวงเมื่อครู่ปลิวหายไปกับสายลมในพริบตา จิตใจของเขาสงบนิ่งลง ก่อนจะนำกระบี่ที่ส่งเสียงแผ่วเบาออกมาเมื่อครู่เก็บเข้าฝักไปอย่างช้าๆ

ชายหนุ่มที่นำกลุ่มองครักษ์มามีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตาหล่อเหลาผิวขาวสะอาด คมดาบแห่งกาลเวลายังไม่ทันทิ้งร่องรอยใดบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น เขาวิ่งปรี่เข้ามาหาลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้าดุดันน่าเกรงขาม เพิ่งลงจากหลังม้าก็เอ่ยรายงานอย่างร้อนรน

“คุณชาย พวกข้าไปสำรวจแถวนี้จนทั่วแล้ว รอบหมู่บ้านไม่มีชาวบ้านอยู่เลยสักคน ไม่มีโรงเตี๊ยมร้านสุรา แม้แต่วัดวาอารามก็ไม่มีให้เห็นขอรับ”

ลิ่นเซี่ยวไม่เอ่ยตอบคำ ไม่พบโรงเตี๊ยมร้านสุราเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายแต่แรก หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด ก่อนหน้านี้จะต้องเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญผู้คน ถึงได้ทำให้หมู่บ้านแห่งหนึ่งกลายเป็นหมู่บ้านร้างได้ภายในคืนเดียว

แต่ว่าแม้กระทั่งวัดและอารามเต๋าก็ยังไม่มี…

ลิ่นเซี่ยวหันกลับไปมองหมู่บ้าน สภาพบ้านเรือนท่ามกลางแสงยามพลบค่ำ ราวกับมีพลังชีวิตดำมืดผุดขึ้นมาและเผชิญหน้ากับเขาอย่างเงียบงัน หลังลายฉลุหน้าต่างซอมซ่อมีเงาเลือนรางวูบไหวไปมา เรียกได้ว่าจะพุ่งทะลุหน้าต่างออกมาในชั่วอึดใจอยู่แล้ว

ความรู้สึกชวนให้คนหวาดผวาสิ้นหวังผุดขึ้นมาอีกครั้ง ลิ่นเซี่ยวพยายามทำใจให้สงบอย่างเต็มกำลัง และพยายามเบนสายตาไปยังทิศทางอื่น

ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาที่พากันหลีกห่างจากภูเขาลูกนี้ไปสามเซ่อ แม้กระทั่งขุนนางท้องถิ่นยังสั่งตัดขาดสะพานเชื่อมโยงระหว่างภูเขาลูกนี้กับโลกภายนอก มีเจตนาปล่อยให้ที่นี่กลายเป็นภูเขาปิดตาย

“คุณชาย!” ชายหนุ่มชื่อฉางหรงส่งเสียงเรียกขัดจังหวะความคิด ตามด้วยเสียงนักพรตใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมมผู้หนึ่งกลิ้งหล่นจากหลังม้ามาหยุดอยู่แทบเท้าเขา

นักพรตผู้นี้ถูกองครักษ์คนหนึ่งด้านหลังฉางหรงควบคุมตัวไว้บนหลังม้า ชุดนักพรตที่สวมใส่สกปรกยิ่งนัก กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปกับแสงยามพลบค่ำ เมื่อครู่เพราะจิตใจของลิ่นเซี่ยวไม่สงบนิ่ง จึงไม่ทันสังเกตไปชั่วขณะว่าในที่นี้มีคนเป็นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกคน

“ตอนที่พวกเราลงเขาไปสำรวจเส้นทางก็เห็นนักพรตผู้นี้ตามหลังพวกเรามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พอถามว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ เขากลับพูดจาอึกอัก ข้าสงสัยว่าเขาจะมีเจตนาคิดไม่ซื่อเลยจับกุมตัวมาด้วย”

เหมือนที่ฉางหรงเป็นมาโดยตลอดจริงๆ…

ลิ่นเซี่ยวนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เพียงขมวดคิ้วมองนักพรตตรงหน้า อีกฝ่ายอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี หัวคิ้วเป็นรอยย่นชัดเจน มีเคราแพะใต้คาง เมื่อเทียบกับชุดนักพรตที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ใบหน้ากลับขาวสะอาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน

เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดไปพลางถลึงตามองพวกลิ่นเซี่ยวอย่างดุดันไปพลาง ก่อนจะเปิดปากด่าทอ

“คนหนุ่มอย่างพวกเจ้านี่ หน้าตาหล่อเหลาสง่างามดี ทว่าการกระทำกลับหยาบคายไร้มารยาท!”

ยามเขาเอ่ยวาจาสำเนียงแปลกแปร่งเล็กน้อย ราวกับว่าอยากจะเน้นย้ำทุกคำให้ชัดเจน เนื่องจากตั้งใจมากเกินไปจึงทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ

ลิ่นเซี่ยวจ้องมองนักพรตด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

นักพรตไม่เอ่ยตอบ ยังคงพร่ำบ่นด้วยความโกรธเคือง ฉางหรงที่อยู่ข้างเขาเริ่มแสดงสีหน้ารำคาญ ก่อนจะชักดาบข้างเอวออกมาจนเกิดเสียงชิ้งดังขึ้น

นักพรตสะดุ้งตกใจจนวิญญาณหลุดลอยหายไปครึ่งหนึ่ง เอามือกุมลำคอแล้วกลิ้งหลุนๆ หนีไปเสียไกลลิบ คล้ายว่าถ้าหากกลิ้งหนีช้ากว่านี้สักนิด ดาบของฉางหรงคงทำให้ศีรษะของเขาต้องย้ายบ้านแล้ว

“มีอะไรค่อยพูดค่อยจา! คุณชายท่านนี้ มีอะไรค่อยพูดค่อยจาสิ!”

ฉางหรงกวัดแกว่งดาบเป็นแนวโค้งกลางอากาศอย่างงดงาม คมดาบชี้ไปทางนักพรตที่อยู่ห่างออกไปพลางกล่าวอย่างมีโทสะ

“ค่อยพูดค่อยจารึ พวกเราติดอยู่บนภูเขาบ้าๆ ลูกนี้มาหนึ่งวันเต็มแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนเป็นเลย ขนาดพวกนกหรือสัตว์สี่เท้ายังไม่โผล่มาให้เห็นสักตัว นักพรตอย่างเจ้าอยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดออกมา ทั้งยังทำท่าทางน่าสงสัยเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ กับดักบนเขากว่าครึ่งจะต้องเป็นฝีมือเจ้าเล่นสกปรกแน่! ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ร่ายอาคมพรางตามาทำร้ายผู้คนอีก!”

นักพรตโมโหเดือดดาลขึ้น “คนหนุ่มอย่างเจ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”

พอเขาเห็นว่าฉางหรงถือดาบสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาหาอย่างดุร้าย ก็ตะเกียกตะกายหลบหนีไปพลางร้องตะโกนโวยวายไปพลาง “ถ้าเจ้าฆ่าข้าก็จะออกจากเขาลูกนี้ไม่ได้จริงๆ นะ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาลูกนี้มีความเป็นมาอย่างไร”

เมื่อลิ่นเซี่ยวได้ยินคำพูดนี้ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปส่งสายตาให้ฉางหรงหยุดมือ แค่ข่มขวัญนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะมีเบื้องหลังเช่นไร แต่สามารถมาปรากฏตัวบนเขาที่ไร้เงาผู้คนโดยสิ้นเชิง สำหรับพวกเขาที่ติดอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ถือว่านำความหวังที่จะรอดชีวิตมาให้อยู่ดี

นักพรตเห็นฉางหรงเก็บดาบเข้าฝัก หัวใจที่ลอยคว้างกลางอากาศก็กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมของมัน เขาซับเหงื่อตรงขมับ ขณะกำลังจะเอ่ยปากพลันเงยหน้าขึ้นมามองเห็นดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อย รัศมีแสงใกล้ลับเลือนหาย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันที

“ไม่ได้การแล้ว! ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทุกท่านรีบตามข้าลงจากเขาโดยเร็ว ถ้าหากก่อนฟ้ามืดยังไม่ลงเขา ก็จะออกไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”

จิตใจลิ่นเซี่ยวตึงเครียดขึ้นมาทันที นักพรตมีความคิดสอดคล้องกับเขาโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านร้างจะเกิดเรื่องราวใดขึ้น แต่สามารถทำให้ขุนนางท้องถิ่นถอยห่างสามเซ่อได้จนทุกวันนี้ เป็นไปได้ว่าตัวการที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญยังอยู่บนเขา

เขารู้ว่าจะมัวรอชักช้าอยู่ไม่ได้ จึงก้าวยาวเดินตรงไปที่ม้าพลางเอ่ย “ฉางหรง พานักพรตไปคอยนำทางข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือตามหลังไปติดๆ ใครก็ห้ามแตกแถวเป็นอันขาด!”

เมื่อทุกคนน้อมรับคำสั่ง ฉางหรงก็จับร่างนักพรตโยนขึ้นหลังม้าไปเหมือนตอนขามา และเป็นฝ่ายออกตัวนำหน้าเพื่อเปิดเส้นทาง

 

ก่อนจะพบนักพรตผู้นี้ พวกเขาเดินผ่านเส้นทางลงเขาวนกลับไปมาเจ็ดแปดรอบแล้ว ทุกครั้งที่ใกล้ถึงตีนเขาก็จะมีทางแยกปรากฏขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทำให้พวกเขาต้องวกกลับมาที่ไหล่เขาอีกครั้ง

ฉางหรงที่ยังจดจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้เอ่ยล้อเล่นขึ้นมา

“คงไม่ใช่เจอผีบังตาเข้าหรอกนะ” แล้วก็เอ่ยต่อว่าเมื่อครั้งยังเด็กมารดาเคยเล่าให้ฟังว่าในสถานที่เปลี่ยวร้างวังเวงเช่นนี้มักจะเกิดเรื่องน่าพิศวงได้ง่ายดายนัก เส้นทางที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้ที่เร่งเดินทางต้องสับสนจนสติกระเจิดกระเจิง

ในกลุ่มองครักษ์หนุ่มมีคนผู้หนึ่งชื่อเว่ยปอ พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ขานรับอย่างเห็นด้วย ทั้งยังกล่าวอีกว่าถ้าหากเจอผีบังตาจริงก็ยังมีวิธีรับมืออยู่

สิ่งที่พวกผีบังตากลัวที่สุดมีสองอย่าง หนึ่งคือวาจาสกปรกหยาบคาย ยิ่งด่าทอดุร้ายเท่าใด อาคมนี้ก็สลายไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น

ส่วนอย่างที่สองคือปัสสาวะของชายหนุ่มพรหมจรรย์

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างพร้อมใจกันหัวเราะครืน

ฉางหรงหัวเราะเสียงดังก้องที่สุด เอามือข้างหนึ่งยื่นไปตบไหล่เว่ยปอแล้วตะโกนขึ้น “ในหมู่พวกเราอย่างอื่นอาจไม่มี แต่ปัสสาวะชายหนุ่มพรหมจรรย์มีเกินพอ! แม้แต่คุณชายข้าก็กล้ารับรองว่าเขายังเป็นชายหนุ่มพรหมจรรย์อยู่แน่”

ลิ่นเซี่ยวไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งเขาฉางหรงก็กล้านำมาล้อเล่น จึงทำสีหน้านิ่งขรึมก่อนจะว่ากล่าวไปเสียหลายประโยค

เรื่องผีสางเทวดาอะไรกันเขาไม่เชื่อทั้งนั้น ได้แต่สั่งพวกฉางหรงให้นำลูกธนูที่พกติดตัวเสียบไว้ข้างทางเพื่อเป็นเครื่องหมายไปตลอดแนว และถือโอกาสที่ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิทนำทุกคนเดินทางลงเขาอีกครั้ง

ใครจะรู้ว่าคราวนี้แม้จะไม่ได้เดินวนเวียนอยู่ในเส้นทางเดิม แต่กลับโผล่มาที่หมู่บ้านร้างนั่นโดยไร้เหตุผล

ลูกธนูที่พวกเขาใช้ทำเครื่องหมายไว้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด เพราะพวกมันกลับเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างน่าประหลาด!

“พอเดินเลี้ยวข้างหน้าไปจะเจอลำธารสายหนึ่ง ถ้าเกิดทุกอย่างราบรื่น เดินต่อไปข้างหน้าอีกประมาณครึ่งชั่วยามก็จะออกจากภูเขาได้แล้ว”

ยามนั้นเองข้างหน้าพลันมีเสียงของนักพรตลอยมา ขัดจังหวะการระลึกความทรงจำของลิ่นเซี่ยว

เขาได้ยินก็เงยหน้าขึ้นและตั้งใจฟัง คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจริงๆ หุบเขาซึ่งเดิมทีมีบรรยากาศชวนพิศวงน่าสะพรึงกลัว พอมีเสียงน้ำไหลเช่นนี้ดังขึ้นแล้ว เหมือนกับสระน้ำนิ่งมีปลาไนแสนร่าเริงหลายตัวแหวกว่ายเข้ามา ทำให้สระน้ำมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

พวกฉางหรงทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “เพราะอะไรก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นลำธารสายนี้เล่า”

พวกเจ้าเห็นเข้าสิถึงจะแปลก

นักพรตคิดในใจพลางแค่นเสียงขึ้นจมูก “ตอนนี้แค่ได้ยินเสียง ยังไม่เห็นของจริง ต้องเดินอ้อมหินก้อนใหญ่ไปถึงจะมองเห็นลำธารต่างหาก” สีหน้าของเขาปรากฏความลำพองใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าเกิดวันนี้พวกท่านไม่ได้พบข้า เกรงว่าเดินอีกสามวันสามคืนก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้เลย สามปีที่ผ่านมามีคนมากมายที่ขึ้นเขาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่นี่เป็นภูเขาอาถรรพ์เลื่องชื่อประจำท้องถิ่น ภายหลังมีคนประสบเคราะห์ร้ายมากขึ้นก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเขามาอีก วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารีบร้อนมาเก็บสมุนไพรที่ขึ้นเฉพาะที่นี่ แล้วอาศัยว่าพอมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง คงไม่กล้าบุ่มบ่ามขึ้นเขามาหรอก”

“พูดเช่นนี้ข้ายิ่งอยากรู้แล้วสิ” ฉางหรงหันกลับมามองนักพรต “ฟังจากที่เล่ามา ภูเขาลูกนี้เพิ่งเกิดเรื่องประหลาดเมื่อสามปีก่อนกระมัง”

นักพรตพยักหน้า “แม้ข้าจะออกบวชเป็นนักพรตที่นี่ แต่กลับไม่ใช่คนท้องถิ่นโดยกำเนิด ข่าวลือเกี่ยวกับภูเขาลูกนี้ก็ได้ยินมาจากสหายร่วมอารามและชาวบ้านแถบนี้พูดถึงน่ะ”

ขณะที่เขาพูดก็เงยหน้าเหลียวมองโดยรอบ “ภูเขาลูกนี้ชื่อเขาหมั่งซาน เดิมทีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว บนเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อหมู่บ้านเหรินจี่…หรือก็คือหมู่บ้านร้างที่พวกท่านเห็นวันนี้นั่นล่ะ ชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นพรานล่าสัตว์ที่เกิดและเติบโตที่นี่ พวกเขาแต่ละรุ่นอาศัยอยู่บนภูเขา ล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ แม้จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและขัดสน แต่ก็นับว่าอยู่กันอย่างสงบสุขดี เมื่อไม่กี่ปีก่อนชาวบ้านเริ่มนำผลไม้ป่าและสัตว์ป่าที่หามาได้ไปขายที่ตลาดในเมือง ขายไปขายมา พวกชาวบ้านก็เริ่มมีฐานะดีขึ้น”

ทุกคนคิดถึงหมู่บ้านร้างที่มีกลิ่นอายความตายปกคลุมอย่างที่เห็นมา ใครจะคาดคิดว่าในอดีตเคยคึกคักรุ่งเรืองมาก่อน ต่อมาเกิดเรื่องร้ายแรงเพียงใดกัน ถึงทำให้หมู่บ้านนี้ต้องรกร้างว่างเปล่า

ดูเหมือนนักพรตจะล่วงรู้สิ่งที่ทุกคนกำลังคิดอยู่ จึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ชาวบ้านแถบนี้ไม่ยอมแย้มพรายเรื่องราวในตอนนั้นออกมาเลยสักคำเดียว ข้าก็ต้องเสียเวลาไปมากโขกว่าจะล้วงความลับมาได้นิดหน่อย ได้ยินว่าเมื่อสามปีก่อนมีชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจี่ไปร้องเรียนยังที่ว่าการอำเภอ บอกว่าในหมู่บ้านเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ช่วงเวลาอันสั้นเพียงเจ็ดวันพวกสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้หายไปสามสิบกว่าตัว อีกทั้งตอนกลางคืนได้ยินเสียงสตรีร่ำไห้ ชาวบ้านจิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข ขอร้องให้ทางการส่งเจ้าหน้าที่ไปจับคนร้าย ใครจะรู้ว่าท่านใต้เท้าแห่งจวนนายอำเภอพอได้ยินว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างสัตว์เลี้ยงหายไปก็ไม่แยแส พูดจาบอกปัดแบบขอไปทีสองสามประโยคก็ไล่ชาวบ้านที่มาร้องเรียนกลับไป”

เรื่องเล่านี้กระทบจิตใจของฉางหรงอย่างยิ่ง เขาสบถด่าด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ขุนนางเลอะเลือน!”

นักพรตไม่แสดงท่าทีใดกับคำสบถของฉางหรง เขาเอ่ยเล่าต่อไป

“ต่อมาไม่กี่วันหมู่บ้านเหรินจี่ก็เกิดเรื่องจริงๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ร้อยกว่าคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนเดียว แม้แต่ศพก็หาไม่พบ…”

นักพรตยังเล่าเรื่องไม่ทันจบก็ราวกับว่ามีดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนตอบรับคำพูดของเขา ป่าเขาซึ่งเดิมทีเงียบสงัด จู่ๆ ก็มีเสียงราวกับเสียงร้องสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ เสียงร่ำไห้นี้เหมือนกำลังระบายความทุกข์โศก น่าหวาดผวาสั่นสะท้านถึงจิตวิญญาณ

พวกเขาต่างสะดุ้งตกใจกันถ้วนหน้า

ลิ่นเซี่ยวสีหน้าเครียดเขม็ง ชักกระบี่ข้างเอวออกจากฝักอย่างฉับไว ฉางหรงและคนอื่นๆ กรูกันเข้ามาตรงหน้าม้า โอบล้อมซ้ายขวาคุ้มครองลิ่นเซี่ยวไว้ตรงกลาง

มีคนหนึ่งมองไปรอบกายด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “นี่…นี่มันเสียงอะไร น่ากลัวถึงเพียงนี้”

“เสียงร้อยวิญญาณครวญยามค่ำคืน” นักพรตหน้าเปลี่ยนสี รีบกระโดดพรวดลงจากหลังม้า เลิกชายชุดนักพรตของตนแล้วสาวเท้าวิ่งเร็วรี่ วิ่งไปตะโกนบอกไปว่า “ไม่รีบไปอีกจะไม่ทันการแล้ว! อ้อมหินก้อนใหญ่ตรงหน้านี้ไป พวกเราก็จะเจอทางลงจากเขา! เร็วเข้า! ฉวยโอกาสที่วิญญาณร้ายพวกนั้นยังไม่ออกมา พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่!”

“ไป!” ลิ่นเซี่ยวควบม้าติดตามไปโดยไม่ลังเล

หลังจากอ้อมผ่านหินก้อนสูงใหญ่เท่าตัวคน เส้นทางบนเขาที่ก่อนหน้านี้คับแคบกลับสว่างโล่งขึ้นทันตา ลำธารใสกระจ่างสายหนึ่งปรากฏแก่สายตาทุกคน

“อยู่ข้างหน้านี้แล้ว เดินผ่านลำธารสายนี้…” คำพูดยังกล่าวไม่ทันจบ นักพรตกลับชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน สองเท้าหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

พวกลิ่นเซี่ยวต่างรู้สึกแปลกใจ ฉางหรงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “มีอะไรรึ” จนกระทั่งเขามองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน คำพูดที่เหลือก็เหมือนโดนคนบีบคอไว้จนกลืนหายไปทันควัน

สายตามองเห็นว่ามีสตรีวัยแรกแย้มนางหนึ่งนั่งยองอยู่ริมลำธาร นางกำลังค้อมกายลงสระเส้นผมยาวสลวย นางสระผมอย่างตั้งอกตั้งใจ แขนเสื้อสีแดงเข้มลื่นไหลตามจังหวะการเคลื่อนไหวไปจนถึงข้อศอก เผยให้เห็นช่วงแขนเรียวเล็ก ผิวขาวผุดผาดดูไม่เหมือนสีสันใดในโลกมนุษย์

แสงจันทร์งดงามราวกับผ้าไหมสีเงินชั้นเลิศสาดส่องลงมา ห่อหุ้มเรือนร่างของนางด้วยแสงสีเงินเอาไว้อย่างอ่อนโยน

สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ เสียงความเคลื่อนไหวร้อนรนผิดปกติของสรรพสิ่งในหุบเขากลับคืนสู่ความสงบพร้อมกับการปรากฏกายของสตรีนางนี้ ท่ามกลางความเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงนางเอามือวักน้ำขึ้นมาภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง

พวกลิ่นเซี่ยวต่างโดนภาพเหตุการณ์ตรงหน้าสยบจนอยู่หมัด ทุกคนจมอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน

ผ่านไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าใครเค้นวาจาออกมาประโยคหนึ่งอย่างยากเย็น

“ดูท่าวันนี้ใครก็ไปที่ใดไม่ได้แล้ว”

 

พวกลิ่นเซี่ยวล้วนเป็นคนที่เกิดและเติบโตในเมืองฉางอัน เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีปีศาจในเมืองแห่งนี้มีมากมาย อย่างเช่นยักษ์หน้าตาดุร้ายอัปลักษณ์ มีเสียงเล่าลือว่ามันหน้าตาน่ากลัวเพียงใด ดวงตาใหญ่โตดั่งระฆังทองแดง เดินเข้าออกเมืองฉางอันยามดึกสงัด พอพบผู้สัญจรผ่านยามค่ำคืนก็จะกวัดแกว่งขวานจากนรกฟันกะโหลกศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี

เมื่อครั้งลิ่นเซี่ยวยังเด็กต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนวิชาทั้งบุ๋นบู๊ มารดาอบรมสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด ไม่เคยเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ฟัง แต่ลิ่นเซี่ยวมีแม่นมอยู่คนหนึ่งนามเวินกู…หรือก็คือมารดาของฉางหรง นางมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีปีศาจอัดแน่นเต็มท้องไปหมด จึงมักจะเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ

‘ถ้าเกิดตอนกลางดึกเห็นเด็กน้อยสวมเอี๊ยมกระโดดเชือกอยู่ คุณชายน้อยจะต้องหลบไปให้ไกลเลยนะเจ้าคะ’

ใบหน้าของเวินกูขาวเนียนกระจ่างใส เสื้อผ้าที่นางสวมใส่มีกลิ่นหอมเจือจางของดอกหลิงหลัน ลิ่นเซี่ยวซุกหน้าลงในอ้อมกอดของนางแล้วผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน

‘เพราะอะไรกัน’ ฉางหรงที่ยืนมองอยู่ข้างมารดาด้วยความอิจฉาอดถามขึ้นไม่ได้ นั่นคือมารดาของเขานะ ตอนนี้เขาอยากให้คนที่มารดากอดเอาไว้เป็นเขาอย่างยิ่ง ฉางหรงจึงพยายามคว้าสาบเสื้อของมารดาเบาๆ อยากจะเข้าใกล้นางให้มากกว่านี้อีกนิด

‘ชู่ววว…’ มารดาส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงลง ‘คุณชายน้อยหลับไปแล้ว’

‘ข้ายังไม่หลับสักหน่อย’ ลิ่นเซี่ยวรีบเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาส่องประกายสุกใสราวกับดวงดาวที่งดงามเจิดจ้าที่สุดบนท้องฟ้า ‘ข้ายังไม่หลับนะ แม่นม ท่านรีบเล่ามาเร็ว เพราะอะไรพวกเราต้องอยู่ให้ห่างจากเด็กน้อยกระโดดเชือกด้วย’

เด็กคนนี้!

เวินกูหัวเราะพลางยื่นมือมาลูบแก้มขาวสะอาดดั่งหยกของลิ่นเซี่ยวแล้วเอ่ย

‘ก็เพราะว่าเด็กน้อยกระโดดเชือกจะถามคนที่ผ่านทางมาว่าเมื่อครู่ข้ากระโดดได้กี่ครั้ง เจ้าช่วยข้านับไว้หรือไม่ ถ้าเกิดคนผู้นั้นพลั้งเผลอตอบออกไปจำนวนหนึ่ง คงจะหมดทางรอดแน่แล้ว ความจริงแล้วเด็กน้อยก็คือวิญญาณอาฆาตที่มาคร่าชีวิตคน จำนวนที่คนผ่านทางตอบไปก็คือวันที่เด็กน้อยจะไปรับวิญญาณน่ะสิ!’

‘อูยยย…’ ลิ่นเซี่ยวตัวน้อยกับฉางหรงตัวน้อยพร้อมใจกันสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ

ภาพเบื้องหน้าของลิ่นเซี่ยวสั่นไหว ใบหน้าของแม่นมกลับกลายเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี นางมีนัยน์ตาสีดำสนิทดุจบ่อน้ำลึก แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังผิวน้ำในลำธารขับเน้นให้ดวงหน้านี้แลดูประณีตงดงามอย่างยิ่ง ผิวขาวกระจ่างชุ่มชื้น เครื่องหน้าได้สัดส่วนทั้งยังดูละเอียดพิถีพิถันยิ่ง ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวน แต่น่าเสียดายที่เป็นสีแดงเข้มจัดจ้าน พออยู่ใต้แสงจันทร์แล้วกลับน่าขนลุก

ฉางหรงกระโดดผลุง มายืนคุ้มครองตรงหน้าลิ่นเซี่ยวโดยไม่คิด ก่อนจะหันไปตะคอกถามเด็กสาวผู้นั้น “เจ้าเป็นใครกัน!”

เด็กสาวเงยหน้ามองประเมินพวกลิ่นเซี่ยวโดยไม่ส่งเสียงตอบ หุบเขาบรรยากาศเงียบสงัดเหลือประมาณ ทุกคนไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ กลัวว่าประเดี๋ยวเด็กสาวจะสละร่างมนุษย์กลายเป็นปีศาจหรือวิญญาณร้าย

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เด็กสาวก็หัวเราะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร นางค้อมกายลงไปอีกครั้ง สระเส้นผมยาวสลวยในลำธาร

“เจ้า…” ความรู้สึกส่วนลึกในตัวฉางหรงอย่าง ‘เห็นผีฆ่าผี เห็นเทพฆ่าเทพ’ พลุ่งพล่านขึ้นมา พอจะก้าวไปข้างหน้าก็โดนนักพรตนั่นพุ่งออกมาขวางไว้

น้ำเสียงของนักพรตที่สั่นสะท้านไม่มั่นคงเท่าไรนักเอ่ยขึ้นว่า “อย่า…อย่าไปยั่วโทสะนาง พวกท่านไม่สังเกตหรือ ทันทีที่นางปรากฏกาย ลมภูเขากลับสงบ แม้แต่ร้อยวิญญาณก็หยุดคร่ำครวญ มากกว่า…ครึ่งเป็นไปได้ว่านางคือเจ้าแห่งวิญญาณร้าย ถ้าตอนนี้ขืนไปยั่วโทสะนาง กลัวว่าพวกเราจะตายไม่เร็วพอหรือ”

อย่างไรเสียพวกลิ่นเซี่ยวก็เคยเข้าสนามรบมาก่อน แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ยามกองทัพเคลื่อนพลก็เคยพักค้างแรมตามภูเขาร้างสุสานโบราณ ภาพคนศีรษะขาดแขนขาดก็เคยเห็นมาไม่ใช่น้อย

แม้ว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจะน่าตกตะลึง แต่หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกผ่านพ้นไปแล้ว จิตวิญญาณของความเป็นนักรบก็ทำให้พวกเขาสงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว

“เจ้าแห่งวิญญาณร้าย?” ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว เด็กสาวคนนี้ปรากฏกายบนภูเขาอาถรรพ์เพียงลำพัง อีกทั้งไม่สะทกสะท้านกับความน่ากลัวท่ามกลางความมืดสลัวยามค่ำคืน ไม่มีทางใช่สตรีอ่อนแอโดยทั่วไปเด็ดขาด แต่ถ้าหากจะกล่าวว่านางเป็นเจ้าแห่งวิญญาณร้าย…ลิ่นเซี่ยวก็หวนคิดถึงหมู่บ้านร้างไร้ผู้คนที่พบเมื่อช่วงกลางวัน ไม่ถูกต้อง บนร่างของนางไม่มีกลิ่นอายของความอาดูรสิ้นหวังซึ่งอัดแน่นอยู่ทุกหนทุกแห่งในหมู่บ้านเลยสักนิด

“จะสนใจไปทำไมว่านางจะใช่เจ้าแห่งวิญญาณหรือปีศาจ” ลิ่นเซี่ยวเหลียวมองรอบกายระยะหนึ่ง พอสังเกตเห็นว่าสตรีนางนี้ดูเหมือนไม่มีเจตนาจะขัดขวางพวกเขา จึงตัดสินใจอย่างสุขุมเยือกเย็น กดเสียงลงต่ำกล่าวกับพวกฉางหรงว่า “ชักช้ากว่านี้อาจมีเหตุไม่คาดคิด พวกเราต้องรีบลงเขาให้เร็วที่สุดถึงจะถูก ท่านนักพรต ท่านบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าผ่านลำธารสายนี้ไปก็จะถึงตีนเขาแล้ว อย่าได้รอช้าอีกเลย รีบไปเดี๋ยวนี้เถิด”

ระหว่างที่เอ่ยวาจา ลิ่นเซี่ยวสัมผัสของบางสิ่งตรงหน้าอกของตนโดยไม่ตั้งใจ โชคดีที่ของสิ่งนี้ยังอยู่ การเดินทางครั้งนี้ ของที่คุ้มกันเพื่อนำส่งปลายทางล้ำค่ามากเกินไป ลิ่นเซี่ยวไม่ยอมให้เกิดเรื่องแทรกซ้อนขึ้นมาอีกแน่

“ใช่ๆๆ” นักพรตจ้องมองสตรีริมลำธารด้วยความตื่นตระหนกไปพลางพยักหน้ารับติดๆ กันไปพลาง “ข้างหน้านี่ล่ะ เดินไปไม่ถึงครึ่งหลี่ ขอเพียงผ่านลำธารนี้ไปได้โดยราบรื่นก็จะลงจากเขาได้แล้ว”

ขณะที่นักพรตอธิบาย ดวงตาก็มีประกายความหวังลุกโชนขึ้นมา อยากกระโดดโลดเต้นก้าวไปข้างหน้า แต่ว่าก็ยังคงหวาดกลัวสตรีนางนั้น ไม่กล้าย่างก้าวออกไปโดยง่าย

ฉางหรงทนมองท่าทีถอยหนีอย่างหวาดกลัวไม่ได้ จึงก้มลงช้อนร่างนักพรตขึ้นมา โยนกลับไปบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วสะบัดสายบังเหียนมุ่งหน้าเปิดทางไปก่อนเช่นเดิม

พวกลิ่นเซี่ยวตามหลังไปติดๆ

ขณะที่ผ่านสตรีนางนั้น ลิ่นเซี่ยวอดชะลอความเร็วลงไม่ได้ เขาก้มหน้ามองไปที่นางอย่างระแวดระวัง

มองเห็นว่านางรวบเส้นผมยาวสลวยขึ้นมาจากลำธาร วางพาดไปทางหัวไหล่ข้างหนึ่ง แล้วใช้นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ สางเส้นผม เส้นผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวผ่องดังหิมะของนาง เดิมทีสมควรเป็นทิวทัศน์น่าชื่นตาชื่นใจ แต่ชั่วขณะนี้กลับทำให้คนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของลิ่นเซี่ยว สตรีนางนั้นก็เหลือบตามองตาม ทันใดนั้นเองนางก็เผยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา

สตรีนางนี้รูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ ยามที่นางไม่ยิ้มราวกับดอกเหมยแดงเคลือบน้ำค้างแข็ง จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่กลับเย็นชาห่างเหิน ไม่มีชีวิตชีวาเท่าใด แต่รอยยิ้มนี้ของนางราวกับฤดูใบไม้ผลิหวนคืนผืนแผ่นดิน น้ำค้างแข็งละลายกลายเป็นน้ำค้างยามเช้า กิ่งเหมยแดงนับไม่ถ้วนต่างประชันชูช่ออวดเกสร ความงดงามนิ่มนวลเป็นที่ประจักษ์

ลิ่นเซี่ยวปรับสภาพจิตใจให้มั่นคง ถอนสายตากลับมาอย่างเฉยชา กระชากสายบังเหียนควบม้าผ่านลำธารไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม นักพรตก็ร้อนรนจนหน้าผากมีเหงื่อไหลซึมขึ้นมาอีกครา

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งที่ทางออกอยู่ด้านหลังก้อนหินชัดๆ เมื่อวันก่อนข้ายังลงเขาจากเส้นทางนี้อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงหาไม่เจอแล้วล่ะ”

ฉางหรงโยนแส้ม้าทิ้งไปอย่างจนปัญญา ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิดๆ ก็แค่ค้างแรมบนเขารกร้างนี่สักคืน วันพรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีลงเขาต่อก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเรามีคนมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งแต่ละคนก็มีฝีมือไม่ธรรมดา ใครหน้าไหนจะกล้าทำอะไรพวกเราได้”

พอเขานึกอะไรได้บางอย่างก็กระโดดพรวดลุกขึ้น ล้วงห่อผ้าในอกเสื้อ หยิบอาหารแห้งและถุงน้ำออกมา ยื่นไปตรงหน้าลิ่นเซี่ยว

“คุณชายไม่ได้กินอะไรมาครึ่งค่อนวันแล้ว อยู่บนเขารกร้างกันดาร กินอะไรง่ายๆ รองท้องก่อนสักคำสองคำ เอาไว้วันพรุ่งนี้พวกเรากลับถึงฉางอันค่อยหาทางชดเชย”

จะได้กลับฉางอันอย่างราบรื่นหรือ

ลิ่นเซี่ยวรับถุงน้ำมาดื่มอึกหนึ่ง ในใจกลับไม่ได้มองทุกอย่างในแง่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาย้อนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในสมองมีความคิดแปลกประหลาดผุดขึ้นมาแล้วหายไปไม่หยุดหย่อน เขาอยากจะจับคว้าความคิดนั้นไว้เหลือเกิน แต่กลับเหมือนน้ำที่ไหลรินตามรอยแยกของนิ้วมือ จะคว้าอย่างไรก็คว้าไม่ได้

ตกลงมีอะไรผิดปกติกันแน่

เขาเงยหน้ามองสตรีนางนั้นที่อยู่ตรงลำธารฝั่งตรงข้าม แต่กลับต้องตกตะลึงที่พบว่านางมานั่งอยู่บนก้อนหินยักษ์ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ในมือของนางหมุนกิ่งไม้เล่น มองตรงมาทางนี้ด้วยแววตาแน่วแน่พอดี

ลิ่นเซี่ยวรู้สึกสะดุดใจโดยพลัน ลอบสังเกตผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่แสดงความรู้สึกใด โชคดียังอยู่ครบทั้งแปดคน ไม่เกินและไม่ขาดไปสักคนเดียว ไม่ว่าค่ำคืนนี้สถานการณ์จะเป็นเช่นไร ขอเพียงพวกเขาทั้งเก้าคนรวมกันเป็นหนึ่ง จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปได้

ลิ่นเซี่ยวตัดสินใจวางแผนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปบอกกับพวกฉางหรง

“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เส้นทางก็ไม่ชัดเจน พวกเราอย่าฝืนหาทางลงเขาต่อไปดีกว่า เอาอย่างนี้เถอะ ข้าเห็นว่าทุกคนเหนื่อยล้าเต็มที บริเวณนี้นับว่ากว้างขวาง พวกเราอาศัยกางกระโจมค้างแรมสักคืนดีกว่า วันพรุ่งนี้ค่อยปรึกษาหารือกันต่อ”

นักพรตผู้นั้นเห็นว่าพวกลิ่นเซี่ยวล้มเลิกความคิดจะลงเขาก็ร้อนใจดั่งไฟรน “ได้อย่างไรกัน! คุณชายทุกท่านจะค้างแรมบนเขาลูกนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาเหลวไหลส่งเดช บนเขาลูกนี้มีวิญญาณร้ายจริงแท้แน่นอน พลังของมันร้ายกาจยิ่งนัก ถ้าเกิดคืนนี้พวกเรายังอยู่บนภูเขา กลัวว่าคงจะไม่มีคนรอดสักคนแล้ว!”

“ถ้าอย่างนั้นท่านนักพรตหาวิธีลงเขาได้หรือไม่เล่า” ฉางหรงเอ่ยขัดอย่างรำคาญ “พวกเรายังอยากกลับฉางอันไปกินอาหารดีๆ สักมื้ออยู่นะ ใครจะอยากค้างแรมบนเขาร้างทุรกันดารกัน แต่พวกเราจะเดินวนเวียนบนหุบเขาทั้งคืนเหมือนแมลงวันไร้หัวไม่ได้กระมัง ข้าแนะนำให้ท่านนักพรตเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ดีกว่า”

“แค่กๆ” นักพรตเกิดอาการสำลักขึ้นมา

พวกฉางหรงไม่สนใจไยดีเขาอีก ต่างแยกย้ายกันไปตั้งกระโจมของตนเอง

ลิ่นเซี่ยวมีคำสั่งลงมาว่าเพื่อป้องกันความเปลี่ยนแปลงใดที่อาจเกิดขึ้นยามค่ำคืน และเพื่อให้มีคนดูแลซึ่งกันและกัน พวกเขาจะแบ่งเป็นสองคนต่อหนึ่งกลุ่ม ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงอยู่กระโจมเดียวกัน ส่วนนักพรตนั่นจะแยกไปอยู่กับเว่ยปอ

สตรีบนก้อนหินยักษ์เฝ้ามองพวกลิ่นเซี่ยวยุ่งวุ่นวายโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่ว่าสุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีน่าสงสัยอะไร

เมื่อจัดแจงตั้งกระโจมเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งตรงลานว่างล้อมรอบกองไฟ ทำร่างกายให้อบอุ่นไปด้วยกัน

แสงจันทร์สาดส่องลงมาที่หุบเขา ทำให้สรรพสิ่งบนเขาถูกอาบย้อมด้วยน้ำค้างแข็งสีเงิน

ลิ่นเซี่ยวมองเห็นสีหน้าของทุกคนแลดูอ้างว้างก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงเอ่ยยิ้มๆ ขึ้น

“ค่ำคืนนี้คงยาวนานนัก พวกเราไม่สู้มาดื่มสุรา ใช้การละเล่นวงสุรา สร้างความครื้นเครงเป็นอย่างไร คราวก่อนใครบอกไว้ว่านำสุราชั้นเลิศติดตัวมาด้วยเล่า คราวนี้ก็อย่ามัวแต่ซุกเก็บไว้ เอาออกมาเถอะ”

พวกฉางหรงส่งเสียงขานรับเห็นด้วย เว่ยปอยิ้มกว้างแล้วนำสุราขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ทุกคนพร้อมใจกันกรูเข้าหา

ลิ่นเซี่ยวนั่งอมยิ้มมองพวกเขาหัวเราะกันครื้นเครง คิดทบทวนครู่หนึ่งก็ชักกระบี่ข้างเอวออกมา ใช้แขนเสื้อค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดตัวกระบี่

นักพรตที่นั่งอยู่ข้างหนึ่งมองลิ่นเซี่ยวตาไม่กะพริบ ก่อนจะเอ่ยชม “กระบี่ดี!” แล้วว่าต่อ “กระบี่สะท้อนประกายแสงหลากสีเลือนราง เกรงว่าคงไม่ใช่ของธรรมดากระมัง”

ฉางหรงมีประสาทสัมผัสการฟังดีเยี่ยม ได้ยินคำพูดของนักพรตก็หันกลับไปตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์นัก ได้ยินว่าใช้กำจัดปีศาจปราบมารได้ด้วย อีกทั้งเคยติดตามเจ้านายแต่ละรุ่นเข้าสู่สนามรบ เป็นกระบี่วิเศษที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้าเชียวล่ะ”

นักพรตได้ยินดังนั้นแววตาก็เป็นประกายวาววับ ขณะกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา เงยหน้าขึ้นก็เห็นลิ่นเซี่ยวมองสบตาแฝงความนัยลึกซึ้ง หัวใจพลันสั่นสะท้าน คำพูดที่ใกล้จะถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง

ลิ่นเซี่ยวลอบหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ พอเขาจะลุกขึ้นเดินกลับกระโจม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพวกฉางหรงเอะอะโวยวาย

เขาหันกลับไปมองอย่างระแวดระวัง เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนแล้วก็อดตะลึงงันไปไม่ได้

เขามองเห็นเด็กสาวซึ่งเดิมทีควรจะนั่งอยู่บนก้อนหินเดินมาหาพวกเขาเมื่อไรก็ไม่รู้ นางจ้องมองขวดสุราในมือพวกฉางหรงแววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หลังเห็นพวกฉางหรงมองนางอย่างตกตะลึงก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ปรบมือพลางเอ่ยว่า “สุราดี! เป็นสุราดี!”

ผมยาวสลวยของเด็กสาวไม่รู้ว่าเกล้าเป็นสองมวยตั้งแต่เมื่อไร นั่นเป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่ยังไม่ออกเรือนในราชวงศ์ปัจจุบัน ใบหน้าเรียบเนียนแม้ว่าจะขาวซีดไปบ้าง แต่ก็ไม่ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างเมื่อตอนแรกพบหน้า

ชุดแขนเสื้อหลวมกว้าง ลวดลายดอกบัวสีแดง แถบผ้าไหมรัดหน้าอกสีม่วงอ่อนอมชมพู รอบคอยังสวมสร้อยทองสีเหลืองอร่ามเส้นหนึ่ง จี้ของสร้อยทองคำเป็นกระดิ่งกลมดิกสามอันส่องสว่างวาววับภายใต้แสงจันทร์ ช่วยเพิ่มความงดงามและไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมไปโดยปริยาย

ภายในใจของพวกลิ่นเซี่ยวเกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นมา เมื่อครู่นี้กวาดสายตามองอย่างรีบร้อน ใครก็ไม่คิดสังเกตรายละเอียดเสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรีนางนี้ ใครจะคิดว่าสตรีที่ปรากฏกายในภูเขาลึกอย่างไร้ที่มากลับสวมเสื้อผ้าแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมืองฉางอัน

ยิ่งไปกว่านั้นนางเดินมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทางนี้มียอดฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีตั้งมากมาย แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน

ฉางหรงรู้สึกอัปยศอดสูอย่างที่สุด กระโดดพรวดลุกขึ้นมาโดยพลันพลางตะโกนถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน มีเจตนาใดกันแน่”

จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปมองข้างหลังของนาง

เอ๊ะ! นางมีเงาอยู่ด้วย ถ้าอย่างนั้น…เป็นไปได้ว่าไม่ใช่วิญญาณสินะ

เด็กสาวไม่ใส่ใจความเป็นปรปักษ์จากน้ำเสียงของฉางหรงสักนิด แต่จับจ้องไปที่ขวดสุราในมือพวกเว่ยปอ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สุรากลิ่นหอมนัก! ลมหนาวในหุบเขาราวกับคมดาบกรีดผิว ข้าหนาวจะแย่อยู่แล้ว ใต้เท้าทุกท่านคงไม่ถือสาที่ข้ามาขอดื่มสุราสักคำกระมัง”

น้ำเสียงของนางช่างผ่อนคลายและเป็นกันเองยิ่งนัก

ลิ่นเซี่ยวมองเด็กสาวอย่างเงียบงัน อากัปกิริยาสุภาพมีมารยาท รูปโฉมงดงามอย่างปฏิเสธไม่ได้ แล้วยังเผยสีหน้าไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยออกมาอีก นางเข้าใจวิชาการคลายเกราะป้องกันจิตใจคนอย่างเห็นได้ชัด…

ถ้าหากพวกฉางหรงมีไหวพริบปฏิภาณแย่กว่านี้สักหน่อย เกรงว่าคงจะคลายความหวาดระแวงในใจที่มีต่อนางลงอย่างง่ายดายแล้ว

นักพรตขยับมาอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยวเงียบๆ กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “คุณชาย ดูท่าปีศาจตนนี้น่าจะบำเพ็ญตบะมาไม่น้อย สามารถล่อลวงจิตใจคนได้ด้วย อย่าได้ปล่อยให้รูปกายภายนอกหลอกเอาได้ล่ะ”

ลิ่นเซี่ยวรูปร่างสูงโปร่งโดดเด่น แต่นักพรตมีรูปร่างค่อนข้างท้วมเตี้ย เมื่อมายืนอยู่ข้างลิ่นเซี่ยวแล้ว เหนือศีรษะก็ตรงกับช่วงคางของลิ่นเซี่ยวพอดี

ลิ่นเซี่ยวไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ชิด จึงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย ขยับตัวสร้างระยะห่างของทั้งสองคนโดยไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นในสมองพลันมีแสงสีขาวส่องสว่าง ความคิดหนึ่งราวกับดอกบัวที่งอกขึ้นมาจากโคลนตม เผยโฉมให้ผู้คนเห็นเล็กน้อย

ในชั่วพริบตานั้นเขาก็ตัดสินใจบางอย่างได้

“ถ้าหากแม่นางน้อยไม่รังเกียจว่าสุรารสชาติกระด้างบาดคอ ก็เข้ามาดื่มสักถ้วยสองถ้วยเถอะ” เขายิ้มแล้วแสดงท่าทางเชื้อเชิญ

พวกฉางหรงตกใจจนอ้าปากค้าง เป็นไปได้อย่างไร สตรีนางนี้ไม่ว่าอะไรล้วนแปลกพิกลไปหมด เป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่ใช่คนดีอะไร คุณชายมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง จะถูกคำพูดแค่ไม่กี่คำของนางล่อลวงสำเร็จได้หรือ

นักพรตผู้นั้นก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา “คุณชาย!” ได้แต่มองสตรีนางนั้นเดินมานั่งลงข้างกองไฟต่อหน้าต่อตา สีหน้าของเขาย่ำแย่ลงทุกขณะ แต่ว่าลิ่นเซี่ยวตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกพ่ายแพ้ยับเยินชนิดไม่มีทางแก้ไขได้อีก ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว

เว่ยปอได้สติกลับคืนมา ส่งสุราให้เด็กสาวด้วยสีหน้าหวาดระแวง นางก็หัวเราะคิกคักพลางยื่นมือมารับ แล้วเงยหน้ายกดื่มหลายอึกอย่างสบายใจ

ลิ่นเซี่ยวทำราวกับไม่ทันสังเกตแววตาร้อนรนและตื่นตัวของพวกฉางหรง เขามองดูเด็กสาวดื่มสุราด้วยความสนใจอย่างยิ่งพลางเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฟังสำเนียงการพูดของแม่นาง ดูเหมือนจะเป็นชาวเมืองฉางอันกระมัง”

“อืม” สตรีนางนั้นยิ้มแล้วพยักหน้ารับ นับว่าเป็นการตอบคำถามลิ่นเซี่ยว ดวงตาของนางกลอกหลุกหลิกรอบหนึ่ง ก่อนจะไปตกอยู่ที่กระโจมที่พวกฉางหรงตั้งขึ้นมา “คืนนี้จะค้างแรมที่นี่?”

“ใช่”

“รวมถึงเขาด้วย?” ทันใดนั้นเด็กสาวก็หันหน้ากลับไป นิ้วมือขาวผ่องดุจหยกยื่นออกมาชี้ไปทางนักพรต

เดิมทีนักพรตกำลังรวบรวมสมาธิ จดจ้องกระดิ่งสีทองที่ห้อยระหน้าอกของเด็กสาว พอโดนนางชี้หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยน สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง เดินจากไปด้วยความโกรธเคือง

สายตาของเด็กสาวไล่ตามนักพรตไป มองเห็นเขาเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง ถึงได้ถอนสายตากลับมาอย่างช้าๆ

นางหันไปเห็นลิ่นเซี่ยวที่กำลังมองตรงมาโดยไม่ละสายตา จึงยิ้มออกมาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย “ยามค่ำคืนในภูเขาลึกทั้งเนิ่นนานและหนาวเย็นนัก อีกทั้งได้ยินผู้คนเล่าลือว่าภูเขาลูกนี้มีเรื่องประหลาดบางอย่าง ข้าเองก็ตัวคนเดียว รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ คุณชายยังมีกระโจมเหลือสักหลังให้สาวน้อยอย่างข้าอาศัยค้างแรมหรือไม่”

เพ้ย! แล้วเมื่อครู่นี้ใครกันเล่าที่อยู่ในภูเขาลึกคนเดียว นางกลัวด้วยหรือ คิดจะหลอกใครกัน! ยังใช้แววตายั่วยวนเหมือนนางจิ้งจอกล่อลวง ‘คุณชายของข้า’ อีก! ไม่รู้จักอายเสียบ้าง! มารดามักเล่าว่าปีศาจจิ้งจอกเชี่ยวชาญการล่อลวงบุรุษที่สุด มองดูท่าทางยั่วยวนหว่านเสน่ห์ของนางแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นภูตผีที่บำเพ็ญตบะจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ใช่แล้ว! จะต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกแน่นอน

ฉางหรงที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งยิ่งมองไฟโทสะยิ่งแรงกล้า แทบอดใจไม่ไหวอยากจะกระโดดเอากระบี่ฟันสตรีนางนี้สักแผล

ทว่าดูเหมือนกิริยาอ่อนหวานของเด็กสาวจะใช้กับลิ่นเซี่ยวได้ผลดีทีเดียว เขาเลิกคิ้วพลางเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องนี้มีอะไรยากเย็น ฉางหรง ช่วยแม่นางน้อยผู้นี้กางกระโจมอีกสักหลัง” เขาหันไปเห็นฉางหรงกำลังจ้องนางเขม็งด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ จึงส่งสายตาเตือนอีกฝ่ายและเอ่ย “กางกระโจมอยู่ข้างกระโจมข้าก็แล้วกัน”

เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ฉางหรงก็เบิกม่านกระโจมเข้ามาอย่างขุ่นเคืองพร้อมกล่าวกับลิ่นเซี่ยว

“เพราะอะไรคุณชายถึงให้นางปีศาจนั่นค้างแรมในกระโจมของพวกเรา นี่ไม่เท่ากับว่าชักศึกเข้าบ้านหรอกหรือ”

ลิ่นเซี่ยวลอบถอนหายใจ รู้สึกคร้านจะสนใจฉางหรง จึงล้มตัวลงนอนโดยไม่ตอบอะไรสักคำ

คำพูดที่อัดแน่นเต็มท้องฉางหรงต้องกล้ำกลืนกลับไปทั้งอย่างนั้น เขามองลิ่นเซี่ยวด้วยความขุ่นเคือง มองดูท่าทางเช่นนี้ของคุณชายแล้วคงไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาอีก

จะว่าไปแล้วนับตั้งแต่ปีก่อนโน้นที่พระชายาจากโลกนี้ไป ท่านอ๋องแต่งงานใหม่กับสตรีสกุลชุย นิสัยของคุณชายก็ยิ่งแปลกพิกลมากขึ้นทุกขณะ

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ พระชายาคนใหม่ของท่านอ๋องที่แต่งเข้ามาอายุมากกว่าคุณชายเพียงสองปี หลังจากแต่งเข้าวังมาแล้วก่อเรื่องวุ่นวายไม่ใช่น้อย ช่วงต้นปีก่อนพระชายาคนใหม่ตั้งครรภ์ก็ยิ่งมองว่าคุณชายเป็นหนามยอกอก ในที่แจ้งประจบเอาใจท่านอ๋อง ในที่ลับก็ใช้วิธีสกปรกลอบทำร้ายคุณชายบ่อยครั้ง

พอคิดถึงหญิงงามที่ร้ายกาจดั่งอสรพิษผู้นั้น ฉางหรงก็แค้นใจจนกัดฟันกรอด หญิงงามส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนดีอะไร ก็เหมือนกับนางปีศาจที่เจอวันนี้ ใบหน้าขาวเนียนดั่งหิมะดั่งหยก ไม่แน่ว่าอาจเหมือนที่ในตำราว่าไว้ ‘งดงามเพียงเปลือกนอก’

หืม?…วันนี้คุณชายท่าทีดูผิดปกติอย่างยิ่ง คงไม่ได้สนใจนางเข้าจริงๆ หรอกนะ

เขาเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเหนือผู้ใดใต้แสงเทียนของลิ่นเซี่ยว คุณชายเกิดปีเดียวกับเขา ปีนี้อายุสิบเจ็ดปีเต็มแล้ว จะว่าไปก็ถึงวัยที่เข้าใจเรื่องราวระหว่างชายหญิง ถ้าหากถูกใจสตรีนางใดขึ้นมาแล้วพากลับไปเป็นหญิงบำเรอ ใครจะว่ากล่าวอะไรได้เล่า

ไม่ๆๆ คุณชายเย่อหยิ่งถือตัวถึงเพียงใดกัน แม้กระทั่งสตรีจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองฉางอันพร้อมเสนอตัวให้ด้วยความเต็มใจก็ยังไม่เหลียวแล แล้วจะโดนสตรีซึ่งมีที่มาไม่แน่ชัดเช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้อย่างไร

ฉางหรงคิดเรื่องราวในใจสับสนวุ่นวายไปหมด เขายังฝืนทำให้สติแจ่มใสเอาไว้ จับตาดูความเคลื่อนไหวนอกกระโจมอย่างระมัดระวัง แต่ไม่อาจป้องกันความง่วงงุนที่โหมซัดสาดเข้ามาราวคลื่นทะเลสูงลิบ เพียงชั่วพริบตาก็พัดพาเขาเข้าสู่ห้วงนิทราดำมืดไม่เห็นก้นบึ้ง

 

“อ๊าก…”

เสียงร้องตะโกนโหยหวนบาดลึกราวมีดคมกริบทำให้ฉางหรงที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องราวเหมือนโดนผ่าออกเป็นสองซีก

ตอนแรกฉางหรงยังมีอาการหวาดผวา แต่ก็ได้สติตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที เขารีบลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน สิ่งแรกที่คิดก็คือต้องปกป้องลิ่นเซี่ยว ใครจะรู้ว่าพอหันไปมองด้านข้าง บนที่นอนของลิ่นเซี่ยวกลับว่างเปล่าไร้ตัวคน!

เขาตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั่วร่าง “คุณชาย!” เพิ่งจะวิ่งไม่คิดชีวิตออกไปนอกกระโจม กลับตกตะลึงที่เห็นลิ่นเซี่ยวยืนถือกระบี่อยู่หน้ากระโจมโดยไม่เป็นอะไร ข้างกายรายล้อมด้วยพวกเว่ยปอ แต่ละคนมีสีหน้าจริงจังคล้ายกำลังรวมสมาธิตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง

ฉางหรงรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก! แม้แต่พวกเว่ยปอยังมีสติตื่นตัวยิ่งกว่า เมื่อเผชิญกับอันตรายก็มาอยู่ข้างกายคุณชายได้อย่างทันท่วงที ส่วนเขาน่ะ กลับนอนหลับเป็นตาย ถ้าหากคุณชายมีอันตรายขึ้นมาจริงๆ เขาจะยังมีหน้าอยู่ต่อไปได้อีกหรือไร

ฉางหรงรีบมาอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยวด้วยความรู้สึกทั้งเก้อเขินและละอายใจ

ขณะที่ฉางหรงกำลังจะเอ่ยปาก นักพรตก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางใด เขาผูกเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่อย่างร้อนรนพลางเอ่ยว่า “องครักษ์แซ่ถานผู้นั้น! และยังมีอีกคน ข้าไม่ทราบว่าชื่ออะไร…เสียงดังออกมาจากกระโจมของพวกเขา ข้าได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ผิดแน่นอน!”

เวลานี้เองมีองครักษ์สองคนวิ่งมาจากอีกทางหนึ่ง รายงานเสียงดังว่า “คุณชาย ถานฉีกับหวังสิงหายตัวไปแล้ว! แม่นางน้อยคนนั้นก็ไม่อยู่ในกระโจม!”

เป็นนางจริงๆ ด้วย! นางปีศาจ!

ฉางหรงพุ่งไปที่กระโจมของสตรีนางนั้นอย่างว่องไว ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ภายในกระโจมว่างเปล่าไร้ผู้คน นางหายตัวไปไม่เหลือร่องรอยนานแล้ว

ลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าเย็นชาฉายชัด เขาเดินอ้อมข้างฉางหรง สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในกระโจมขององครักษ์แซ่ถานและแซ่หวัง เขาเหลียวมองจนทั่วบริเวณรอบหนึ่งก่อนจะสั่งกำชับเว่ยปอว่า “ไปเอาคบเพลิงมา!”

เมื่อคบเพลิงหลายอันถูกนำเข้ามา ชั่วอึดใจกระโจมที่มืดทึบก็ส่องสว่างดุจกลางวัน ลิ่นเซี่ยวมองประเมินสภาพภายในกระโจมอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เขาเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง จึงเลิกชายชุดขึ้นทรุดตัวลงนั่งยองๆ พินิจพิจารณาอย่างละเอียด

ตอนนี้ฉางหรงก็เดินเข้ามาแล้ว พอขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “นี่มันรอยเลือด! รอยเลือดสายนี้ลากยาวคดเคี้ยวไปจนถึงนอกกระโจม ค่อยหายไปที่ทางเข้าหมู่กระโจมของเรา”

ไม่คิดว่าระมัดระวังรอบคอบอย่างที่สุดแล้ว สุดท้ายก็ยังปล่อยให้ปีศาจชิงลงมือได้ ลิ่นเซี่ยวสะกดกลั้นโทสะแล้วลุกขึ้น กดเสียงลงต่ำบอกกับฉางหรงประโยคหนึ่ง ไม่รอให้ฉางหรงแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างไร้เหตุผลก็ก้าวยาวเดินนำพวกเว่ยปอออกไปจากกระโจม

รอยเลือดประเดี๋ยวชัดเจนประเดี๋ยวเลือนราง พาพวกลิ่นเซี่ยวมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากอีกฝั่งของลำธาร

ตรงปากทางเข้ามีกิ่งต้นตู้เจวียน* ภูเขาที่แห้งเหี่ยวไปนานแล้ววางปิดบังเอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีรอยเลือดนำทางมา พวกลิ่นเซี่ยวคงหาพบได้ยากแน่นอน

เวลานี้กิ่งไม้แห้งโดนฟันจนขาดกระเด็นพ้นทาง เผยให้เห็นทางเข้าที่มีความสูงเท่าตัวคน ภายในถ้ำมีกลิ่นคาวตลบอบอวล

พวกเว่ยปอหัวใจเต้นรัวดั่งตีกลอง มองเห็นภาพตรงหน้านี้แล้วเป็นไปได้ว่าปีศาจตนนั้นยังอยู่ในถ้ำ อีกทั้งมีความร้ายกาจไม่ธรรมดาแน่ ถ้าหากผลีผลามบุกเข้าถ้ำไป พวกเขาหลายคนไม่เท่าไรหรอก แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับคุณชาย…

เว่ยปอพยายามขัดขวางลิ่นเซี่ยวด้วยความร้อนใจ “คุณชายอย่าเพิ่งเข้าไปเลย รอให้พวกข้าเข้าไปสำรวจในถ้ำสักรอบหนึ่งก่อนเถอะ…”

ไม่คาดคิดว่าลิ่นเซี่ยวจะโบกมือขัดจังหวะคำพูดของเว่ยปอ เขาถือกระบี่เอาไว้ในมือแล้วเดินนำเข้าไปในถ้ำก่อนใคร

ภายในถ้ำมืดสลัวและเงียบสงัด กว้างขวางกว่าที่พวกลิ่นเซี่ยวคิดเอาไว้มาก

เพิ่งจะเดินเข้าไป กลิ่นคาวเข้มข้นยิ่งกว่าตอนอยู่นอกถ้ำหลายเท่าก็กรูเข้ามาปะทะกับประสาทการรับรู้ของพวกลิ่นเซี่ยวอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาหลายคนอยากจะอาเจียน

น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือเดินเข้ามาก็เห็นตรงจุดเลี้ยวโค้งมีโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์กองรวมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ โครงกระดูกสีขาวซ้อนทับกันชวนขวัญผวาอย่างยิ่ง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วเหมือนจะมีเศษซากโครงกระดูกของเด็กน้อยปะปนอยู่ด้วย

ตลอดเส้นทางเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในมากขึ้น ก็จะมองเห็นว่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแท่นหินใหญ่กว้างประมาณหนึ่งจั้ง ทั้งสี่มุมของแท่นหินถูกขัดเป็นมันเงาวาววับ เห็นได้ชัดว่ามักจะมีคนมาเอนนอนหรือนั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ

บนแท่นหินมีร่างของคนสองคนนอนนิ่งไม่ไหวติง ดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัส ข้างกายยังพอมองเห็นว่ามีรอยเลือดลากยาวจากแรงกระชากลากถู

เด็กสาวชุดแดงที่หายตัวไปก่อนหน้านี้นั่งยองอยู่ข้างกายสองคนนั้น มือขวาของนางกุมกระดิ่งสีทองตรงสร้อยคอเอาไว้แน่น กำลังก้มหน้าลงสำรวจอะไรบางอย่าง

“ถานฉี! พี่รองหวัง!”

พอมองเห็นสภาพของทั้งสองคนชัดเจนแล้วพวกเว่ยปอก็ขอบตาแดงก่ำ พุ่งเข้าไปหาทั้งสองคนด้วยความร้อนใจ

ดวงตาของคนแซ่ถานและแซ่หวังยังปิดสนิท ใบหน้าเป็นสีดำคล้ำ ทรวงอกยังสะท้อนขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง แต่ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้

พอเห็นว่าพวกพ้องที่ยังนั่งดื่มสุราด้วยกันตอนพลบค่ำ ชั่วพริบตากลับต้องมามีสภาพเช่นนี้ เว่ยปอก็มีเลือดลมพลุ่งพล่านในอก เขาแผดเสียงคำรามออกมาคำหนึ่ง ดาบในมือเสือกแทงไปที่เด็กสาวอย่างฉับพลัน “ข้าจะฆ่านางปีศาจอย่างเจ้าเสีย!”

ไม่คาดคิดว่าข้างกายจะมีกระบี่เล่มหนึ่งยื่นออกมาว่องไวปานสายฟ้าแลบ ปะทะกับดาบของเขาเสียงดังเคร้งแล้วปัดออกไป

“คุณชาย?!” เว่ยปอทั้งตกใจทั้งโมโห “เพราะอะไรท่านถึงไม่ให้ข้าฆ่านางปีศาจตนนี้”

“ไม่ใช่นาง!” ลิ่นเซี่ยวตอบอย่างสั้นกระชับแต่ครอบคลุม จากนั้นจึงเก็บกระบี่เข้าฝัก ก้าวเข้าไปใกล้เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของคนแซ่ถานและคนแซ่หวัง

เด็กสาวเหลือบมองเว่ยปออย่างเย็นชา น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยว่า “โง่เง่า!” ก่อนจะคลำหาของบางอย่างจากข้างเอวครู่หนึ่ง ล้วงหยิบขวดน้ำเต้าหยกใบเล็กออกมา

นางเปิดฝาขวดท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างตกตะลึงของพวกเว่ยปอ แล้วเทยาลูกกลอนสีแดงเข้มออกมาสองเม็ด

“รีบเอาให้พวกเขากินเร็ว ช้ากว่านี้อีกก้าวเดียว พิษจากปีศาจจะกัดกร่อนชีพจรหัวใจ เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้แล้ว” นางนำยาเม็ดส่งให้ลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างกายแล้วลุกขึ้นทันที ก่อนจะหันไปถามเว่ยปอที่เพิ่งจะเข้าใจเรื่องราว “แล้วนักพรตนั่นล่ะ”

เว่ยปอยังไม่ทันตอบคำถาม ก็ได้ยินลิ่นเซี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถูกพวกฉางหรงคุมตัวไว้แล้ว คิดว่าตอนนี้คงจะอยู่นอกถ้ำ”

เด็กสาวพยักหน้ารับ “ยังไม่นับว่าโง่” ขณะกล่าววาจาก็สาวเท้าเดินออกไปข้างนอก ระหว่างที่เดินไปนั้นกระดิ่งสีทองที่กุมเอาไว้ก็กระทบกัน ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว ท่าทางตอนลิ่นเซี่ยวป้อนยาก็เชื่องช้าลง

เว่ยปอไม่คิดว่าสตรีนางนี้ แม้กระทั่งคุณชายของเขาก็กล้าพูดจากระทบกระเทียบ ภายใต้ความตกตะลึงนั้น ความเป็นปรปักษ์ต่อนางที่เพิ่งจะสลายไปก็ปะทุขึ้นมาทันควัน

ตอนนี้เองมีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากปากถ้ำ พวกฉางหรงลากตัวนักพรตผู้นั้นเข้ามา

นักพรตโดนมัดอย่างแน่นหนาเหมือนขนมจ้าง แต่ยังคงแหกปากตะโกนลั่น

“เป็นฝีมือนางปีศาจตนนั้นก่อเรื่องชัดๆ เหตุใดพวกเจ้าถึงจับนักพรตอย่างข้าไว้ไม่ยอมปล่อย คงไม่ได้เป็นเหมือนเจ้านายของพวกเจ้า หลงเสน่ห์นางจนสติเลอะเลือนหรอกนะ เจ้าพวกสารเลว! รีบปล่อยข้านะ!”

แต่ทันทีที่หันหน้าไปก็มองเห็นเด็กสาวเดินออกมา นักพรตก็ตาแดงก่ำโดยพลัน เสียงด่าทอยิ่งดังก้องกว่าเดิม “นางปีศาจ! ทำให้คนตายมากถึงเพียงนี้ยังไม่พออีกหรือ ยังโยนข้อหาว่าเป็นปีศาจร้ายมาใส่ศีรษะข้า! ข้าจะสู้ตายกับเจ้าแล้ว!”

นักพรตตะโกนด่าทอไปพลางดิ้นรนเอาศีรษะพุ่งชนไปด้วย แต่จนใจที่โดนฉางหรงคว้าเอาไว้แน่น จึงทำได้เพียงจ้องเด็กสาวอย่างเอาเป็นเอาตายประหนึ่งสัตว์ร้ายที่โดนคุมขัง สองขายกเตะสะเปะสะปะไม่ยอมหยุด

เด็กสาวมองไปที่นักพรตด้วยแววตาเคร่งขรึม น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีคิดว่าขอเพียงวาดค่ายกลหกประสานนอกเขตกระโจมก็จะป้องกันไม่ให้เจ้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้ ไม่คิดว่าจะประเมินพลังตบะของเจ้าต่ำเกินไป”

นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มือซ้ายทำสัญลักษณ์แล้วท่องคาถา มือขวาชูสร้อยคอทองคำขึ้นอย่างช้าๆ ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะสั่นกระดิ่ง

ฉางหรงถลึงตาโตราวกับกระดิ่งพวกนั้น

คุณชายแค่บอกกับเขาว่าให้จับกุมนักพรตเอาไว้ แต่กลับไม่ได้บอกที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด เดิมทีเขาคิดว่านักพรตนี่เป็นพวกเดียวกับนางปีศาจ สองคนร่วมมือคนหนึ่งร้องคนหนึ่งประสาน เพื่อจะได้หลอกให้พวกเขาเชื่อใจ

นี่หรือว่านางปีศาจก็เป็นนักพรต ถ้าเช่นนั้นเจ้านักพรตนี่มาจากที่ใดกันเล่า

ฉางหรงคิดพลางเงยหน้ามองไปทางลิ่นเซี่ยว กลับเห็นลิ่นเซี่ยวกำลังจ้องกระบี่ในมือไม่วางตาอย่างงุนงง กระบี่เล่มนั้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ตัวกระบี่ราวกับขานรับเสียงกระดิ่งในมือเด็กสาว มันส่งเสียงดังแหวกอากาศขึ้นมา

หัวใจฉางหรงต้องสั่นสะท้าน ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ไม่ทันระวังปล่อยให้นักพรตที่อยู่ข้างกายออกแรงดิ้นรนจนหลุดพ้น

จากนั้นนักพรตก็ส่งเสียงคำรามแปลกประหลาด เชือกที่มัดร่างของเขาเอาไว้ขาดสะบั้นพร้อมกัน

ยามเอ่ยวาจาเชื่องช้า แต่ลงมือกระทำกลับรวดเร็วนัก กระดิ่งในมือของเด็กสาวหลุดออกมาจากสร้อยคอ กลายสภาพเป็นลูกไฟสีทองสามลูกเข้าจู่โจมนักพรตอย่างรวดเร็วดุดันปานดาวตก นางตะโกนเสียงดังก้องว่า “ปีศาจร้าย! ยังไม่คืนร่างเดิมอีก!”

ทันทีที่ลูกไฟสัมผัสกับหน้าอกของนักพรตก็เปลี่ยนเป็นมังกรไฟสามตัว ลัดเลาะคดเคี้ยวไปบนร่างของนักพรต โอบรัดร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

ดูเหมือนนักพรตจะได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส มีเสียงประหลาดสะเทือนขวัญผู้คนดังออกมาจากลำคอ

เขามองเด็กสาวด้วยแววตาโหดเหี้ยม สีหน้ายิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที หลังจากนั้นชั่วอึดใจลำคอของเขาก็เอนพับไปทางหนึ่ง ศีรษะถึงขั้นแยกบ้านกับลำคอ กลิ้งหลุนๆ มาถึงปลายเท้าฉางหรง

ฉางหรงนึกว่าตนเองตาลายไปเสียแล้ว เขานวดคลึงดวงตา เพ่งมองปลายเท้าของตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาไม่ได้มองผิดไปกระมัง เจ้าสิ่งกลมกลิ้งหลุนๆ พร้อมดวงตานิ่งสนิทเหมือนปลาตาย หรือว่าจะเป็นศีรษะของนักพรตผู้นั้น

เขามองไปที่นักพรตด้วยความตกใจถึงขีดสุด จึงเห็นว่าตำแหน่งซึ่งเดิมทีควรจะมีศีรษะตั้งอยู่ จู่ๆ กลับมีศีรษะงูรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมสีเขียวสดใสวาววับงอกออกมาแทน ลำตัวของงูยาวประมาณหนึ่งจั้งกว่า พริบตาเดียวก็ทะยานขึ้นไปถึงเพดานถ้ำ

ส่วนมังกรไฟสามตัวที่เด็กสาวเสกออกมาก็ตามติดดุจเงา พัวพันแนบแน่นไม่ยอมห่างแม้แต่นิดเดียว

“นี่…นี่มันตัวประหลาดอะไรกันแน่!” ฉางหรงจ้องเจ้างูยักษ์เขม็ง กลืนน้ำลายไปหลายอึกใหญ่ด้วยความหวาดผวา แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ วิ่งปรี่เข้าไปอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยว คำรามเสียงดังว่า “เร็วเข้า! คุ้มกันคุณชาย!”

พวกเว่ยปอชะงักงันไปเพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ทันมีท่าทีตอบสนองไปชั่วขณะ แต่อย่างไรก็เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน พอได้ฉางหรงเรียกเตือนสติเช่นนี้ก็รีบวางแนวคุ้มกันโอบล้อมลิ่นเซี่ยวเอาไว้

กระบี่ในมือลิ่นเซี่ยวยิ่งกระสับกระส่ายหาความสงบไม่ได้ ราวกับว่าได้เผชิญหน้ากับนักรบที่เป็นศัตรูตัวฉกาจ มีความปรารถนาพลุ่งพล่านอยากจะพุ่งออกไปแนวหน้าสังหารศัตรู

ลิ่นเซี่ยวมองกระบี่ของตนด้วยแววตาซับซ้อน เขายังจำได้ว่าในตอนนั้นเสด็จปู่ทรงก้าวผ่านท่านอ๋องผู้เป็นบิดาของเขา นำกระบี่เล่มนี้มามอบให้เขาที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่ากระบี่เล่มนี้กำจัดปีศาจปราบมารได้ สามารถคุ้มครองหลานชายของข้าให้เติบใหญ่อย่างปลอดภัย

ผู้ร่วมเหตุการณ์ในตอนนั้นทุกคนต่างนึกว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของฮ่องเต้ผู้ทรงชราภาพ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะเป็นความจริง

หลังจากนั้นเขาก็นำมาใช้งานเหมือนเป็นแค่กระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะมีสิ่งใดแปลกประหลาดกว่าปกติ

อาจเป็นเพราะว่ามีความเคารพเลื่อมใสต่อเสด็จปู่ผสมปนเปอยู่ด้วย ถึงได้ให้ความสำคัญและทะนุถนอมเป็นพิเศษ ไม่ปล่อยให้ห่างกายเลยสักชั่วขณะ

พอขึ้นเขามาแล้วกระบี่เล่มนี้ก็ส่งเสียงร้องเตือนอยู่หลายครั้ง หลังจากนักพรตปีศาจคืนร่างเดิมแล้วก็สั่นไหวผิดปกติเช่นนี้อีก หรือว่าจะเป็นกระบี่ที่สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้จริงๆ

ขณะที่กำลังขบคิด เบื้องหน้าก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวลอยมา ลิ่นเซี่ยวเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นงูยักษ์โดนมังกรไฟสามตัวพันรอบ มันกำลังบิดกายด้วยความทรมาน ปลายหางยาวใหญ่ก็ปัดสะเปะสะปะ ทำให้เศษซากโครงกระดูกสีขาวที่กองเป็นภูเขาหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นถ้ำ

กลิ่นคาวเลือดในถ้ำยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เด็กสาวจ้องเขม็งที่งูยักษ์ ริมฝีปากขมุบขมิบร่ายคาถา บริเวณขมับมีเหงื่อไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของนางก็เริ่มขาวซีดเข้าไปทุกที

พวกลิ่นเซี่ยวมองเหตุการณ์ด้วยความเข้าใจกระจ่าง ถ้าหากกล่าวว่าตอนแรกเด็กสาวเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เมื่อกำลังกายถดถอยลงไป เวลานี้จึงเผยความอ่อนแอออกมาให้เห็นมากขึ้น

ศัตรูหรือพวกพ้องแยกแยะชัดเจน มาถึงตอนนี้แล้วมีหรือจะยังนิ่งดูดายอยู่ได้

“บุก!” ลิ่นเซี่ยวโบกมือส่งสัญญาณ กวัดแกว่งกระบี่ปรับพลังลมปราณ วิ่งแฉลบไปอยู่ตรงหน้าเจ้างูยักษ์ พวกฉางหรงก็ชักดาบออกจากฝักอย่างพร้อมเพรียง ตามหลังเจ้านายไปไม่ห่าง

ไม่คาดคิดว่าดาบของพวกฉางหรงเมื่อฟันฉับใส่ร่างงูจะคล้ายกับฟันลงไปบนเพชร แม้กระทั่งประกายไฟก็ไม่มีแลบออกมา

“นี่มัน…” ฉางหรงสีหน้าแปรเปลี่ยนขนานใหญ่ ชั่วขณะที่เห็นว่าหางของงูยักษ์กำลังจะปัดร่างตนเองกระเด็นเหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง ก็มีกระบี่เล่มหนึ่งเสือกแทงมาจากด้านข้าง ฟันหางของงูยักษ์เต็มแรง

แม้ว่าจะไม่ได้ฟันจนหางขาดสะบั้นออกมาทั้งยวง แต่กลับสร้างบาดแผลเหวอะหวะเลือดชุ่มโชก งูยักษ์เจ็บปวดแสนสาหัส รีบขยับหางเก็บเข้าข้างลำตัว ดวงตาสีแดงฉานหันมามองลิ่นเซี่ยว ก่อนจะค้อมตัวลงแล้วพุ่งเข้าหา

การคาดเดาในใจของลิ่นเซี่ยวได้รับการพิสูจน์แล้ว กระบี่เล่มนี้ไม่เหมือนกับกระบี่ทั่วไปจริงๆ พอเห็นงูยักษ์อ้าปากกว้างมาอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป กวัดแกว่งกระบี่ฟันฉับลงไปที่ศีรษะใหญ่โตของมัน

เดิมทีพลังตบะของเด็กสาวไม่เพียงพอจะต่อกรกับปีศาจงูเหลือมพันปีได้ เพียงแต่อาศัยว่ามีของวิเศษที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า และฉวยโอกาสที่จิตใจของเจ้างูยักษ์ไม่สงบนิ่งชิงลงมือก่อนเพื่อครองความได้เปรียบก็เท่านั้น กล่าวถึงกำลังกาย นางจะกล้าเทียบเคียงกับปีศาจงูพันปีเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อใช้พลังควบคุมมังกรไฟถึงสามตัว ร่างกายของนางก็เริ่มจะแบกรับไม่ไหว อาศัยเพียงแค่พลังปราณแท้ฝืนยืนหยัดต่อไป

ตอนนี้ลิ่นเซี่ยวจับกระบี่ของตนเข้าสู่วังวนการต่อสู้ ทำให้เด็กสาวมีกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นางรู้สึกมีกำลังเพิ่มขึ้นมาในทันใด แม้กระทั่งมังกรไฟสามตัวก็เปล่งประกายเจิดจ้าตามไปด้วย

“แทงมันที่ตำแหน่งเจ็ดชุ่น” พอเห็นว่าลิ่นเซี่ยวยังคงกระหน่ำฟันที่คองูยักษ์ แม้ว่าทุกรอยแผลจะเรียกเลือด แต่กลับไม่ทำร้ายถึงจุดสำคัญ นางรู้สึกร้อนใจไม่น้อย ฉวยโอกาสปรับพลังปราณแล้วร้องเตือนเสียงดังกังวาน

ลิ่นเซี่ยวเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ได้ยินคำเตือนของนางก็แสร้งทำเป็นพลาดท่าแทงกระบี่เข้าใส่ดวงตาของงูยักษ์ มันจึงหลบเลี่ยงไม่ทัน ร่างกายใหญ่โตกลิ้งหลบไปด้านข้าง เผยช่วงท้องสีดำคล้ำให้เห็นโดยไม่ตั้งใจ

ในใจลิ่นเซี่ยวรู้สึกปีติยินดี ขณะที่กำลังแทงกระบี่ไปยังตำแหน่งเจ็ดชุ่น ใครจะรู้ว่าพอเจ้างูยักษ์เห็นคมกระบี่ของลิ่นเซี่ยวใกล้จะถึงตัว ไม่รู้ว่ามันเอาพลังมหาศาลมาจากที่ใด สามารถกระเด้งหลบหนีไปข้างหลัง หลบไม่ให้กระบี่โดนจุดสำคัญได้พอดี

“แย่แล้ว! ปีศาจตนนี้กำลังจะหนี!” พวกฉางหรงเห็นงูยักษ์หันหน้าไป ขยับร่างกายใหญ่มหึมาเลื้อยหนีออกไปทางปากถ้ำ หลายคนฉวยโอกาสจะรีบไปดักทาง ขัดขวางเจ้างูยักษ์เอาไว้

ปีศาจงูยักษ์บำเพ็ญตบะมานานปีจนสามารถเหาะเหินและดำดินได้แล้ว ความเร็วในการเลื้อยในยามปกติไม่มีทางเชื่องช้าปานนี้แน่ แต่ว่าบนร่างของมันมีมังกรไฟสามตัวจากคาถาของเด็กสาวนั่นรัดไว้ แผดเผาจนผิวหนังของมันไหม้เกรียมเป็นแผลฉกรรจ์ เจ็บปวดทรมานเหลือเกิน ทั้งลิ่นเซี่ยวยังแทงบาดเจ็บหลายแผล แม้ว่าจะไม่กระทบถึงอวัยวะภายใน แต่เลือดสีแดงสดยังไหลออกมาไม่หยุด สูญเสียพละกำลังไปมากกว่าครึ่งนานแล้ว

ถ้าหากวันนี้ขนาดมนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่กี่คนยังกล้ามาขัดขวาง มันก็ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย! มันทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อ้าปากกว้างหมายจะเขมือบพวกฉางหรงลงท้องในคราวเดียว

ฉางหรงเห็นศีรษะงูยักษ์ที่ใหญ่เหมือนตะกร้าสานใบโตขยับมาอยู่ตรงหน้าพร้อมลมหายใจเหม็นคาวอบอวลจนเขาแทบจะอาเจียนออกมานี้แล้ว เขาก็คำรามเสียงดังก้อง วางท่ากวัดแกว่งดาบส่งเดช ในใจร้องคร่ำครวญว่า ‘ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!’

บางทีอาจเป็นเพราะใกล้ตายแล้วกระมัง เพียงชั่วพริบตาในความคิดของฉางหรงก็มีความทรงจำผุดขึ้นมาให้วุ่นวายไปหมด

เขาคิดถึงเรือนหลีไป๋ในวังหลันอ๋อง สถานที่แห่งนั้นเป็นเรือนที่พักของพระชายาผู้จากไป เมื่อครั้งพระชายายังมีชีวิตอยู่ชื่นชอบดอกสาลี่เป็นที่สุด ฉะนั้นลานเรือนหลีไป๋ในทุกฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกสาลี่บานสะพรั่ง กิ่งก้านที่ประดับด้วยดอกตูมจะยื่นออกไปนอกกำแพงเรือน มองจากที่ไกลๆ ราวหิมะห้ากลีบผลิบาน ช่างงดงามเกินคำบรรยาย

ในความทรงจำนั้นฉางหรงแอบปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงเรือนหลีไป๋ ลอบสอดส่ายสายตาสำรวจเข้าไปในลานเรือน

กลางลานกว้างลิ่นเซี่ยวรูปร่างเล็กกระจ้อย นั่งหลังเหยียดตรงอยู่หลังโต๊ะหนังสือที่ตรงระเบียง เขากำลังคัดลายมือเขียนการบ้านไปทีละเส้นทีละขีด

กลีบดอกสาลี่สีขาวเจอสายลมยามโพล้เพล้ของฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไสว ร่วงหล่นลงบนไหล่ของคุณชายน้อย ทำให้หัวไหล่ของเขาเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ

ภายในห้องดูเหมือนกำลังเคี่ยวยาอยู่ กลิ่นหอมของดอกสาลี่ในลานหน้าเรือนจึงมีกลิ่นหอมของยาปะปน ท่ามกลางกลิ่นหอมเจือจางมีกลิ่นขมปร่าแฝงมาด้วย

เสียงไอของพระชายาลอยมาเข้าหูของฉางหรงอยู่ตลอด

‘แค่กๆ…ต้าหลาง คัดต่ออีกหน่อยก็ไปพักเถอะ การบ้านไม่ต้องรีบทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้ก็ได้ เอาไว้ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็ไปเรียกท่านลุงอู๋ให้พาเจ้ากับฉางหรงไปเล่นเตะลูกหนัง’ น้ำเสียงของพระชายาฟังดูก็รู้ว่าสุขภาพค่อนข้างอ่อนแอ

คุณชายน้อยรีบวางพู่กันลงบนโต๊ะ วิ่งตรงไปที่ข้างประตูแล้วเอ่ยว่า ‘ท่านแม่ ข้าไม่ไปเล่นเตะลูกหนัง ข้าอยากจะอยู่กับท่าน’

พระชายาหัวเราะออกมา น้ำเสียงของนางช่างมีความสุขและปลาบปลื้มใจ ‘เด็กโง่ ไม่พูดกับเจ้าแล้ว แม่ไม่สบาย กลัวว่าจะเอาโรคไปติดเจ้าน่ะสิ’

ฝูเหนียงที่อยู่ข้างกายพระชายาก็เดินมาขวางคุณชายน้อยที่ข้างประตู เอ่ยยิ้มๆ ว่า ‘คุณชายน้อยของพวกเราฉลาดรู้ความที่สุดแล้ว รู้จักกตัญญูต่อพระชายา คุณชายน้อยโปรดวางใจ ช่วงนี้พระชายาพักรักษาอาการป่วย ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นคุณชายน้อยก็เข้ามาหาพระชายาได้แล้วเจ้าค่ะ’

ลิ่นเซี่ยวเอียงศีรษะคิดทบทวน เอ่ยถามฝูเหนียงว่า ‘ถ้าอย่างนั้น…ท่านแม่หายป่วยแล้ว ก็จะมีน้องชายน้องสาวให้ข้าเร็วๆ ได้แล้วใช่หรือไม่’

ฝูเหนียงยิ่งแย้มยิ้มจนตาหยีมากขึ้นไปอีก นางยื่นมือออกไปจัดคอเสื้อชุดผ้าไหมสีดำปักลายกิเลนให้ลิ่นเซี่ยว ‘แน่นอนเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นในวังของเราจะไม่ได้มีแค่ต้าหลาง จะมีเอ้อร์หลาง ซานหลาง ซื่อหลาง และอู่หลาง…เป็นน้องชายที่พระชายามีให้คุณชายอย่างไรเล่า วังของเราจะต้องครึกครื้นมากแน่’

ลิ่นเซี่ยวได้รับคำตอบที่พอใจ ร้องอุทานด้วยความยินดีแล้วหมุนตัววิ่งเสียงดังออกไปข้างนอก

ฉางหรงรีบกระโดดลงมาจากกำแพงในลานเรือน เฝ้ารอลิ่นเซี่ยวด้วยความอดทน

ลิ่นเซี่ยวหาเขาพบที่หน้าประตูนั่นเอง ‘ไปเร็ว…ไปเตะลูกหนังกัน!’

ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานฉางหรงไม่ยอมแพ้ เตะชนะเขาไปตั้งหลายลูก ลิ่นเซี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงส่อเจตนาเอาคืนว่า ‘อีกไม่นานข้าก็จะมีน้องชายแล้ว ถึงตอนนั้นข้าคงไม่สนใจจะเล่นกับเจ้าอีก’

ฉางหรงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณชายน้อยมีน้องชายแล้วจะไม่ยอมเล่นกับเขาอีก

เขามองดูลิ่นเซี่ยววิ่งไปข้างหน้า ก็รีบร้อนก้าวเท้าไล่ตามลิ่นเซี่ยวไป หยิบห่อกระดาษน้ำมันที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อมานานออกมาพลางเอ่ยว่า ‘คุณชายน้อย นี่เป็นขนมปิ่งเหน่ย ท่านแม่ข้าทำเอง อร่อยมากเลยนะ ยกให้ท่านหมดเลย ห้ามเลิกเล่นกับข้าด้วย’

ลิ่นเซี่ยวหันมามองฉางหรงอย่างเย่อหยิ่ง ก็มองเห็นอีกฝ่ายประคองขนมปิ่งเหน่ยห่อหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

ขนมปิ่งเหน่ยสีเหลืองกรอบถูกซุกอยู่ในอกเสื้อฉางหรงอยู่นาน แป้งกรอบชั้นนอกหลุดล่อนเลอะเทอะกระจายทั่วอกเสื้อของฉางหรง

ฉางหรงมองหน้าลิ่นเซี่ยวอย่างระแวดระวัง ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ

ลิ่นเซี่ยวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกปวดแปลบที่ใจเล็กน้อย เขาจ้องหน้าฉางหรงอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยรับขนมปิ่งเหน่ยจากฉางหรงมากัดชิมคำหนึ่งอย่างเงียบงัน ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า ‘ก็ได้ ขอแค่แม่นมทำขนมปิ่งเหน่ยให้ข้าทุกวัน ข้าก็จะเล่นกับเจ้าต่อ’

ใบหน้าของฉางหรงเผยรอยยิ้มกว้าง

กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะตรงปลายจมูกดึงสติให้ฉางหรงกลับมาสู่ความเป็นจริงเบื้องหน้า

ดาบที่เขากวัดแกว่งอยู่ไม่อาจทำอันตรายใดกับเจ้างูยักษ์ได้เลยสักนิด เขาเข้าใกล้ความตายถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

โดนงูกลืนลงท้องเป็นความรู้สึกเช่นไรนะ

เขาอดคิดด้วยความสยดสยองไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความอยุติธรรมอยู่บ้าง ตัวเขายังอายุไม่เต็มสิบเจ็ดดีเลย แม้กระทั่งภรรยาก็ยังไม่ได้แต่ง ต่อให้จะต้องตายไปก็ขอเปลี่ยนวิธีตายไม่ให้น่าอึดอัดถึงเพียงนั้นได้หรือไม่

ยามนั้นเองกระแสพลังรุนแรงจู่โจมเข้ามา ทำให้งูยักษ์ที่เลื้อยมาถึงตรงหน้าฉางหรงถูกกระชากไปด้านหลังโดยพลัน

ฉางหรงลืมตาด้วยความตกใจกลัวก็เห็นลิ่นเซี่ยวกระโจนเข้าใส่ร่างเจ้างูยักษ์โดยไม่แยแสสิ่งใด รัดคอของมันอย่างแน่นหนาแล้วล้มกลิ้งไปกับพื้น คนและงูต่อสู้กันอย่างอุตลุดในพริบตา

ฉางหรงตกตะลึง คุณชายถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเขา!

ขณะที่ในอกกำลังพองฟู ดวงตาก็เริ่มแสบร้อนเล็กน้อย มองดูงูยักษ์ยังดิ้นรนไปมา เพียงพริบตาก็กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาเช็ดร่องรอยตรงหางตา ตะโกนเสียงดังก้องคำหนึ่งแล้วฟันดาบไปทางเจ้างู “ข้าสู้ตายกับเจ้าแล้ว!”

มังกรไฟที่เด็กสาวเรียกออกมาดูเหมือนจะใช้ได้ผลแค่กับปีศาจ ทำให้ลิ่นเซี่ยวที่แม้จะพัวพันประชิดตัวเจ้างูยักษ์แต่เปลวไฟนั้นกลับไม่ลามมาถึงร่างกายของลิ่นเซี่ยว ส่วนช่วงท้องงูยักษ์ถูกมังกรไฟเผาจนเป็นรูโหว่

“แทงทะลุท้องมัน!” พอเห็นลิ่นเซี่ยวถูกร่างกายใหญ่มหึมาของงูยักษ์กดทับไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ชั่วขณะ เด็กสาวจึงตะโกนบอกด้วยความร้อนใจ

นางยังเร่งปลุกกำลังภายในที่หลงเหลืออยู่ในร่าง ทำให้มังกรไฟสามตัวนั้นยิ่งลุกโชนเจิดจ้า นางรู้ดีว่าตนเองคงอดทนได้อีกไม่นาน นี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย ถ้าหากไม่สามารถควบคุมงูยักษ์เอาไว้ได้อยู่หมัด คนกลุ่มนี้จะต้องโดนงูยักษ์กลืนกินแน่

ใบหน้าของลิ่นเซี่ยวมีหยาดเหงื่อไหลรินอย่างต่อเนื่อง ทัศนวิสัยที่เคยกระจ่างชัดเจนพร่ามัวขึ้นทุกขณะ

เขาพยายามคลำหาทางเสือกแทงกระบี่ทะลุท้องงูยักษ์ แต่ว่าจนใจที่ตัวกระบี่ยาวเกินไป เวลานี้เขาก็ถูกงูยักษ์กดทับอยู่ใต้ร่าง ไม่ว่าอย่างไรก็ออกแรงขยับไม่ได้เลย

โชคดีที่พวกฉางหรงและเว่ยปอวิ่งมาถึงด้านหลังงูยักษ์ เอาอย่างวิธีการของลิ่นเซี่ยวเมื่อครู่ พร้อมใจกันตะโกนคำหนึ่งแล้วกรูกันเข้าไปรัดคอเจ้างูยักษ์

เดิมทีงูยักษ์กำลังทุ่มเทสมาธิรับมือกับลิ่นเซี่ยว ไม่ทันได้ระวังจึงถูกพวกฉางหรงกระชากให้หงายหลังสุดกำลัง ถูกบีบให้เผยช่วงท้องที่มีบาดแผลเหวอะหวะอยู่นานแล้ว

โอกาสนี้จะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้!

ลิ่นเซี่ยวกระโดดพรวดลุกขึ้นมา เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น กระบี่เสียบทะลุตำแหน่งเจ็ดชุ่นของงูยักษ์อย่างแม่นยำที่สุด

งูยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องแปลกประหลาดบาดหู ร่างกายใหญ่มหึมาบิดงอคล้ายเป็นตะคริว ทำให้ทั้งถ้ำส่งเสียงดังสะเทือนปานแผ่นดินไหว

เด็กสาวเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเช่นนี้ก็รีบท่องคาถาวาดยันต์ มังกรไฟทั้งสามราวกับมีประสาทสัมผัสดั่งมนุษย์ พุ่งเข้าไปในรอยแผลฉีกขาดตรงตำแหน่งเจ็ดชุ่นของงูยักษ์ตามลำดับ ทันใดนั้นก็แผดเผางูยักษ์จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

“กลับคืน!”

เมื่อเสียงนุ่มนวลของเด็กสาวตะโกนขึ้นคำหนึ่ง มังกรทั้งสามได้ยินเสียงเรียกขานก็กลายร่างเป็นลูกไฟสามลูก ลอยกลับเข้ากระดิ่งทองคำในมือของเด็กสาว

ทุกคนต่างถอนหายใจโล่งอก

พวกฉางหรงยังปรับลมหายใจไม่ทัน มองดูเถ้ากระดูกงูยักษ์ด้วยสีหน้าเหม่อลอย การต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่จะใช้คำว่า ‘โอกาสรอดเพียงหนึ่งจากสิบส่วน’ ก็ไม่เกินไปเลย ไม่รู้ว่าตกลงปีศาจตัวนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ถึงได้มีพลังมากถึงเพียงนี้ ถ้าหากไม่ได้ของวิเศษจากนักพรตหญิงกับกระบี่ของคุณชายร่วมกันรับมือ เกรงว่าทุกคนในที่นี้จะต้องโดนมันกลืนลงท้องหมดแล้ว

ลิ่นเซี่ยวปรับลมหายใจที่ปั่นป่วนให้เป็นปกติ ลุกขึ้นเดินไปตรวจดูสภาพของคนแซ่ถานและคนแซ่หวัง

พอเห็นรอยดำคล้ำบนใบหน้าของพวกเขาทั้งสองจางหายไปหมดสิ้น ลมหายใจก็สงบมั่นคงกว่าเดิมมาก

เขาหันกลับไปมองเด็กสาว กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”

เด็กสาวแย้มยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ดูสิ้นไร้เรี่ยวแรง “จะว่าไปแล้วข้าก็ต้องขอบคุณท่านด้วย ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากกระบี่ในมือท่าน ด้วยพลังตบะของข้ามีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจงูตนนั้นได้”

นางกล่าวขึ้นแล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลุกเดินมาหยุดตรงหน้าเถ้ากระดูกของงูยักษ์ เอามือปิดจมูกเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ไม่นานก็เห็นว่าในมือของนางมีลูกกลอนปราณสีเขียวอมเทาเม็ดหนึ่ง

ลิ่นเซี่ยวเข้าใจกระจ่างโดยพลัน คิดว่านั่นจะต้องเป็นลูกกลอนปราณของปีศาจงูแน่

เด็กสาวนำผ้าไหมห่อลูกกลอนปราณเอาไว้อย่างดีแล้วเก็บลงถุงเงินข้างเอว ก่อนจะลุกขึ้นหันมากล่าวกับพวกลิ่นเซี่ยวว่า “ปีศาจงูตนนี้ก็คือสิ่งชั่วร้ายที่ออกอาละวาดมานานสามปี มาวันนี้สิ่งชั่วร้ายถูกกำจัดสิ้นซาก ทุกท่านสามารถลงจากเขาอย่างสบายใจได้แล้ว”

นางยังชี้ไปทางคนแซ่ถานกับคนแซ่หวังที่ยังไม่ได้สติ “ในร่างของพวกเขายังมีพิษหลงเหลือ ต้องพักรักษาตัวประมาณครึ่งเดือนจึงจะฟื้นฟูเป็นปกติ แต่ว่าโชคดีที่ช่วยชีวิตทันเวลา ยังไม่บาดเจ็บกระทบถึงจุดสำคัญ ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก”

ลิ่นเซี่ยวเห็นว่านางน่าจะอายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น แต่จัดการเรื่องราวได้อย่างละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและสติปัญญา ช่างแตกต่างจากสตรีตระกูลขุนนางที่เคยพบเห็นทั่วไปก็อดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ ทว่าขณะจะเอ่ยถามชื่อของนาง ฉางหรงก็กระโดดเข้ามาขัดจังหวะ

“ท่าน…แม่นางนักพรต ข้ามีตาแต่ไม่รู้จักภูเขาไท่ซาน ก่อนหน้านี้พูดจาล่วงเกินท่านไปมากมาย หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

ในใจของเขากลับกล่าวว่าดูจากท่าทางของคุณชายแล้ว คงมีความรู้สึกดีให้นักพรตหญิงคนนี้มากพอดู ถ้าหากผ่านไปนานวันเข้าเกิดมีความสัมพันธ์อะไรขึ้นมา จะยอมรับนักพรตหญิงคนนี้ได้ด้วยหรือ อย่าว่าแต่ท่านอ๋องจะไม่เห็นด้วยเลย แม้กระทั่งท่านผู้นั้นในวังหลวงก็ไม่มีทางพยักหน้าตกลงเด็ดขาด ถือโอกาสยับยั้งความคิดของคุณชายเอาไว้แต่เนิ่นๆ ดีกว่า เลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้องมาเสียใจอีก

ดังนั้นเขาจึงเน้นย้ำคำว่า ‘แม่นางนักพรต’ หนักแน่นเป็นพิเศษ

ลิ่นเซี่ยวลอบขมวดคิ้ว

เด็กสาวกลับหัวเราะออกมา แม้ว่านางเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่จะคาดเดาความคิดที่แท้จริงในใจของฉางหรงเวลานี้ได้อย่างไร พอเห็นว่าฉางหรงเอ่ยปากขออภัยด้วยความจริงใจ นางก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เก็บมาใส่ใจ”

ฉางหรงมองนางอย่างประหลาดใจ นึกถึงท่าทางน่าสงสัยของนางตอนแรกพบหน้าขึ้นมาจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “จะว่าไปแล้วคืนนั้นเหตุใดแม่นางนักพรตถึงไปสระผมอยู่ริมลำธาร เวลาค่ำมืดดึกดื่น อีกทั้งภูเขาลูกนี้ก็อันตราย ตอนนั้นพวกข้าตกใจมากทีเดียว เกือบมองว่าท่านเป็นปีศาจร้ายไปแล้ว”

เด็กสาวเลิกคิ้วเรียวงามขึ้น อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าเร่งเดินทางรอนแรมมาจากฉางอันเพื่อจับปีศาจ ไม่ได้อาบน้ำให้ชื่นใจมาหลายวัน พอเห็นน้ำในลำธารกลางหุบเขาแลดูใสกระจ่างก็อดใจไม่อยู่ชั่วขณะ เลยสยายผมสระเสียหน่อย”

พวกฉางหรงได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็หัวเราะท้องแข็งแล้ว

นี่น่ะหรือ นี่หรือคือเหตุผลที่ว่านั้น นักพรตหญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ

เมื่อได้ฟังเหตุผลนี้แล้วแม้แต่ลิ่นเซี่ยวที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าก็อดใจไม่ไหว มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มเช่นกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: