X
    Categories: ทดลองอ่านบุปผารัตติกาลแห่งฉางอันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 3

แม้จะกล่าวว่าสามีภรรยาสกุลฉวีมาได้ไม่ถูกจังหวะ แต่ว่าชิงซวีจื่อในฐานะนักพรตผู้ดูแลอาราม ก็ยังต้องวางงานที่รับมาพักไว้ชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่ของเจ้าของสถานที่ให้ดี

เริ่มจากสั่งให้คนไปยกอาหารว่างที่พอมีชื่อประจำอารามมาสองจาน นั่นก็คือ ‘ผลไม้สามรส’ อาหารว่างอย่างผลไม้ที่มีสามรสชาตินี้เป็นผลงานที่นักพรตชิงซวีจื่อภาคภูมิใจ มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและดวงตา กินในช่วงก่อนถึงเทศกาลตวนอู่ ทั้งยังช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยจากอากาศร้อนและพิษงูได้

หลังจากอาหารว่างถูกยกมาวางแล้ว นักพรตชิงซวีจื่อก็อดทนกับความปวดใจ เลือกชาขนขาวเข็มเงิน ที่เก็บทะนุถนอมอย่างดีนานกว่าครึ่งปีออกมา สั่งการให้ลูกศิษย์ไปชงน้ำชามาต้อนรับแขก

สามีภรรยาสกุลฉวีเห็นนักพรตชิงซวีจื่อเรียกใช้ลูกศิษย์หลายคนก็ไม่สะดวกจะเอ่ยปากขัดจังหวะ หลังจากดื่มน้ำชาแล้วก็สนทนาเรื่องสัพเพเหระ แล้วมอบของขวัญที่เตรียมมาขอบคุณนักพรตชิงซวีจื่ออย่างเป็นทางการ

ก่อนกลับยังสั่งกำชับฉวีชิ่นเหยาว่าเวลาอยู่ที่อารามให้ตั้งใจฝึกวิชา ห้ามทำตัวเหลวไหลให้อาจารย์ต้องโมโห

กว่าจะส่งบิดามารดากลับไปค่อนข้างยุ่งยากไม่น้อย จากนั้นฉวีชิ่นเหยาก็หันมาเกาะติดนักพรตชิงซวีจื่อเป็นลูกอมเหนียวๆ ขอให้อาจารย์พานางไปที่หอหมู่ตันด้วย อาหานก็ช่วยขอร้องอีกแรงหนึ่ง

นักพรตชิงซวีจื่อโดนลูกศิษย์ทั้งสองรบเร้าจนหมดหนทางปฏิเสธ ท่านผู้เฒ่าสะบัดเคราแล้วกวักมือเรียก “ไป!”

 

หอหมู่ตันตั้งอยู่บนถนนใหญ่ตงอู่ ถนนสายที่คึกคักที่สุดในเมืองฉางอัน ว่ากันว่าสาวงามในหอนางโลมแห่งนี้ เถ้าแก่เนี้ยเดินทางไปเจียงหนานและยอมเสียทรัพย์ไม่ใช่น้อยเพื่อคัดเลือกเด็กสาวหน้าตางดงามกลับมาด้วยตนเอง เมื่อผ่านการอบรมสั่งสอนด้วยความทุ่มเทนานหลายปี แต่ละคนจึงมีกิริยาอ่อนหวานพราวเสน่ห์ เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ ดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เป็นแหล่งละลายทรัพย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของเมืองฉางอัน

อาจารย์และศิษย์รวมสามคนเดินทางมาถึงหอหมู่ตัน ขณะที่อาหานจะเดินเข้าไปข้างในอย่างเงอะงะก็โดนนักพรตชิงซวีจื่อกระชากตัวกลับมา เอามือเคาะศีรษะแล้วตำหนิ

“เจ้าโง่! สถานที่ที่มีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย ต่อให้มีผีร้ายอาละวาดก็ไม่ยอมป่าวประกาศให้ใครรับรู้ แล้วเจ้าที่เป็นนักพรตกลับเดินวางมาดเปิดเผยเข้าไปเช่นนี้ กลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้หรือว่าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น” กล่าวจบแล้วเขาก็พาอาหานกับฉวีชิ่นเหยาเดินอ้อมไปทางตรอกเล็กซึ่งอยู่ด้านหลังหอหมู่ตันด้วยความคุ้นเคย แล้วเดินเข้าไปในหอแห่งนี้ทางประตูหลัง

เถ้าแก่เนี้ยหอหมู่ตันชื่อว่าจินเหนียง หลายปีก่อนก็เคยเป็นยอดหญิงงามที่โด่งดังทั่วฉางอันอยู่ช่วงหนึ่ง พอนางเห็นนักพรตชิงซวีจื่อพาศิษย์สองคนมาด้วยก็เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “ท่านนักพรตมาได้เสียที!” เห็นได้ชัดว่านางคงรออยู่นานแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉวีชิ่นเหยาเห็นสตรีย่านเริงรมย์เช่นนี้ นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่วงทีกิริยาทรงเสน่ห์เหลือเกิน ชั่วพริบตาเมื่อแรกเห็นรู้สึกว่างามล้ำเกินบรรยาย แต่เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นถึงสังเกตเห็นว่าบริเวณหางคิ้วของนางมีริ้วรอยปรากฏ ผิวพรรณก็ไม่เปล่งปลั่งเหมือนตอนที่มองเห็นอยู่ไกลๆ

สายตาของจินเหนียงสะดุดเข้ากับใบหน้าของฉวีชิ่นเหยาจึงนิ่งงันไปชั่วครู่ นักพรตน้อยคนนี้ผิวขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาคู่นั้นชุ่มฉ่ำแวววาว เป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว นางมองไปทางชิงซวีจื่อด้วยความประหลาดใจ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนางคงอดไปสืบข้อมูลอย่างละเอียดไม่ได้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น

นางส่งสัญญาณให้สาวใช้ยกน้ำชามาวางตรงที่นั่งของทั้งสามคนแล้วกล่าวกับชิงซวีจื่อว่า “ได้ยินชื่อเสียงของท่านนักพรตมานาน วันนี้เชิญท่านมาถึงที่นี่เพราะเจ้าผีร้ายอาละวาดหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆ ถ้ายังวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป กลัวว่าจะมีคนเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกแน่”

ชิงซวีจื่อที่กำลังดื่มน้ำชาชะงักไปเล็กน้อย มองหน้าจินเหนียงอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “มีใครถึงแก่ชีวิตแล้ว?”

จินเหนียงโบกมือให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติยกน้ำชาถอยออกไปจากห้อง แล้วกดเสียงลงต่ำเล่าว่า “เมื่อหลายวันก่อนสาวใช้ที่ทำงานจิปาถะในหอของเราคนหนึ่งชื่อเหมยหง จู่ๆ ก็ตายลงอย่างกะทันหันโดยไม่รู้สาเหตุ สภาพศพของนางเหมือนโดนสูบเลือดจนหมดตัว กลายเป็นศพแห้งเหี่ยวศพหนึ่ง น่าสยดสยองยิ่งนัก ตอนนั้นคนในหอนี้ต่างแตกตื่นตกใจ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่ต้องมีสิ่งชั่วร้ายอยู่แน่”

“เป็นเช่นนี้เอง” คิ้วยาวของชิงซวีจื่อขมวดเข้าหากันแล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้ศพของเหมยหงอยู่ที่ใด”

จินเหนียงเผยสีหน้าหวาดกลัว “หลังจากพวกเราไปแจ้งความ ทางการก็นำศพของเหมยหงไปชันสูตร ต่อมากลับบอกว่าสาเหตุการตายของเหมยหงไม่มีอะไรน่าสงสัย สั่งให้พวกเราไปรับศพกลับมา เพราะว่าเหมยหงไม่มีครอบครัว ตอนนี้ศพของนางจึงยังอยู่ในห้องเก็บฟืนที่เรือนด้านหลัง”

ไม่มีอะไรน่าสงสัย?

ฉวีชิ่นเหยาได้ยินแล้วไฟโทสะพลุ่งพล่านในใจ ทางการเลอะเลือนไร้ความสามารถเสียจริง คนผู้หนึ่งอยู่ดีๆ กลายเป็นศพแห้งเหือดในคืนเดียว แม้กระทั่งคำอธิบายที่พอฟังขึ้นยังไม่มีให้เลย

ชิงซวีจื่อเผยสีหน้าไม่พอใจ นิ่งเงียบไปพักหนึ่งจึงเอ่ยบอกกับจินเหนียงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอเชิญจินมามานำทาง ให้ข้าตรวจสอบศพของเหมยหงแล้วค่อยว่ากันอีกที”

แม้จะเตรียมใจมาพร้อมแล้วก็ตาม แต่ว่าทันทีที่เห็นเหมยหงที่กลายเป็นศพแห้งเหือด ฉวีชิ่นเหยาก็ยังขนลุกซู่ไปทั้งตัว เดิมทีสมควรเป็นร่างกายที่มีเนื้อมีหนังอวบอิ่ม เวลานี้ใบหน้ากลับดำคล้ำ เนื้อหนังแห้งเหือด ขอบตาลึกโบ๋ ส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือดวงตาคู่นั้น แม้จะขุ่นมัวหม่นแสงไปแล้ว แต่กลับยังจ้องเขม็งมองความว่างเปล่าด้านบนอย่างแข็งกร้าว

ชิงซวีจื่อส่งเสียง “เอ๊ะ” ออกมาคำหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้ตรวจดูใบหน้าของเหมยหง ประเดี๋ยวก็หันไปสั่งการอาหานว่า “ยกแขนขวาของนางให้ข้าดูหน่อย”

อาหานตอบรับคำ ยกแขนของศพที่แข็งเหมือนตอไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลิ่นเหม็นเน่าของศพฟุ้งกระจายออกมาในพริบตา

เด็กรับใช้ที่นำทางอาจารย์และศิษย์สามคนมาเห็นดังนั้นก็อาเจียนแห้งๆ เอาแขนเสื้อปิดปากแล้ววิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

ชิงซวีจื่อไม่สนใจแต่อย่างใด เขาก้มลงพินิจดูแขนขวาดำคล้ำของศพอย่างละเอียดไปทีละชุ่น จนกระทั่งมาถึงบริเวณฝ่ามือก็กดเสียงต่ำเรียกฉวีชิ่นเหยาแผ่วเบา “อาเหยา เจ้าก็เข้ามาดูสิ”

ฉวีชิ่นเหยาขยับเข้าไปใกล้ มองเห็นลายเส้นสีทองอ่อนบนฝ่ามืออย่างเลือนราง สายตามองไล่เส้นที่คดเคี้ยวไปจนถึงปลายนิ้วก้อย นางเอ่ยถามอย่างสับสน “อาจารย์ นี่มันอะไรกัน”

ชิงซวีจื่อกลอกตาด้วยความโมโห “ปีที่แล้วเพิ่งจะพูดกับเจ้าเรื่องคัมภีร์ปีศาจสองม้วนจบ ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วหรือไร อาหาน เจ้าเป็นศิษย์พี่ ไหนลองว่ามาซิ นี่คืออะไร”

แต่ไหนแต่ไรมาอาหานเข้าใจว่ามีคำถามฉวีชิ่นเหยาต้องตอบ ไม่คิดว่าอาจารย์จะมาถามเขา จึงตกใจลิ้นพันกันวุ่นวาย

“เป็น…เป็น” เขาเค้นสมองขบคิดคำตอบอย่างเต็มที่ “เป็น เป็นกู่” ตอบแบบคาดเดาส่งเดชแล้วก็รอโดนอาจารย์เคาะศีรษะดังโป๊ก

ใครจะรู้ว่าเมื่อชิงซวีจื่อได้ยินคำตอบแล้ว สีหน้าผ่อนคลายลงโดยพลัน เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อืม นับว่ามีความก้าวหน้าบ้าง ถ้าหากข้าดูไม่ผิด สตรีนางนี้โดนกู่เข้าอย่างแน่นอน แต่ว่านางไม่ใช่ผู้รับกู่เพียงคนเดียว ยังมีผู้รับกู่คนอื่นอยู่อีก”

ฉวีชิ่นเหยาตกใจจนอ้าปากกว้าง “เป็นกู่จริงรึ อาจารย์ ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือว่าวิชากู่ในราชวงศ์ปัจจุบันหายสาบสูญไปนานแล้ว”

“อาจารย์เคยพูดเมื่อไรว่าวิชากู่สาบสูญไป แค่บอกว่าไม่เคยเห็นวิชากู่ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้มานานแล้วเท่านั้น” ชิงซวีจื่อลองพลิกฝ่ามือข้างขวาของศพดูอีกรอบ นิ่งคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกำชับฉวีชิ่นเหยา “ไปตักน้ำในบ่อมาชามหนึ่ง”

เมื่อฉวีชิ่นเหยาไปตักน้ำในบ่อมาแล้ว ก็สั่งให้อาหานไปเฝ้าหน้าประตูห้องเก็บฟืน ห้ามผู้ใดบุกรุกเข้ามาโดยพลการ ประโยคนี้เกินความจำเป็นไปมาก เพราะเวลานี้ทุกคนในหอหมู่ตันต่างระแวดระวัง หลบเลี่ยงเรือนด้านหลังประหนึ่งปีศาจร้าย ใครจะว่างแล้วเดินมาที่ห้องเก็บฟืนกันเล่า

หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ชิงซวีจื่อก็นำชามใส่น้ำบ่อเต็มปริ่มวางลงข้างศพ แล้วกัดนิ้วเป็นแผลฉีก หยดเลือดลงไปในชามใบนั้นหลายหยด ฉวีชิ่นเหยาทราบดีว่าอาจารย์กำลังล่อกู่ออกจากถ้ำแล้ว

เป็นดังที่คาดไว้ นางเห็นอาจารย์ใช้ยันต์แผ่นหนึ่งไปติดหน้าผากของศพ หลับตาลงท่องคาถา โบกสะบัดแส้ขนจามรี ก่อนจะตะโกนเสียงสูงว่า “เผยตน!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงนั้น ศพก็กระตุกเกร็งราวกับเป็นตะคริวขึ้นมา มือทั้งสองข้างหงิกงอเป็นตะขอ เสียงร้องอืออาเปล่งผ่านลำคอชวนให้หนาวสะท้าน

แผ่นยันต์ที่แปะตรงหน้าผากศพสว่างวาบสลับดับวูบ ราวกับมีมือที่ไร้รูปร่างกำลังต่อสู้กับพลังภายในร่างกายศพ ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ในช่วงเวลาอันสั้น ยื้อยุดกันอยู่นานสองนาน ในที่สุดศพนี้ก็สงบนิ่งลงจนได้

ฉวีชิ่นเหยารีบก้มหน้ามองที่มือขวาของศพ ตอนแรกไม่พบความผิดปกติใด แต่แล้วเส้นสีทองบนฝ่ามือก็ค่อยๆ จางและหดสั้นลง กลายเป็นรูปลักษณ์ของแมลงอย่างหยาบๆ ตัวหนึ่ง พอกะพริบตาอีกครั้งลวดลายแมลงสีทองตัวนั้นก็เริ่มขยับยุกยิกใต้ผิวหนัง

มันเคลื่อนที่จากฝ่ามือมาที่ปลายนิ้ว ระยะทางแสนสั้นแค่ไม่กี่ชุ่น แต่แมลงสีทองตัวนั้นกลับใช้เวลาขยับนานถึงครึ่งก้านธูป จนกระทั่งไปถึงสุดปลายนิ้วถึงได้ทะลุผิวหนังออกมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วร่วงลงในชามใส่น้ำบ่อ

เมื่อลิ้มรสน้ำบ่อผสมเลือดของชิงซวีจื่อ เจ้าแมลงสีทองก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัวทันที ฉวีชิ่นเหยาเห็นแล้วสะดุ้งตกใจ เงยหน้าขึ้นกล่าวกับอาจารย์ว่า “เป็นแมลงกู่ที่ชั่วร้ายยิ่ง! อาจารย์ ตกลงว่ามันคือกู่อะไรกันแน่ เหตุใดถึงมีฤทธิ์ร้ายกาจปานนี้”

ชิงซวีจื่อขมวดคิ้วจ้องมองแมลงกู่ในชาม ตอบด้วยความกังวลว่า “กู่ชนิดนี้มีชื่ออันไพเราะว่า ‘เคียงคู่นิรันดร์’ หนึ่งกู่จะมีสามตัว ไม่เคยออกจากกู่ตามลำพัง อาจารย์เป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เกรงว่าตัวที่พวกเราเจอวันนี้เป็นแค่หนึ่งในบรรดากู่ทั้งหมดน่ะสิ”

“หา?” ฉวีชิ่นเหยาเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่าหนึ่งกู่มีสามตัว

ขณะที่นางจะถามต่อ ชิงซวีจื่อก็สะบัดแส้ขนจามรีอีกครั้งพลางสั่งกำชับฉวีชิ่นเหยา “ผนึกแมลงกู่ให้ดี พวกเราจะต้องไปตามหาผู้รับกู่คนแรกในหอหมู่ตันออกมาก่อน”

เมื่ออาจารย์และศิษย์ทั้งสามคนกลับมาที่ห้องโถงด้านหน้า ข้างกายจินเหนียงก็มีเด็กสาวแรกรุ่นสวมชุดสีสันสดใสห้อมล้อมอยู่หลายคน ตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ว่าพวกนางแต่ละคนกลับเปิดเปลือยทรวงอก เผยให้เห็นผิวขาวผ่องดั่งหิมะโดยไม่นึกเสียดาย

เด็กสาวสองคนที่มีความงามล้ำเลิศที่สุดในกลุ่ม คนหนึ่งสวมชุดพลิ้วไหวสีม่วง คนหนึ่งสวมชุดสีชมพู ยืนเคียงข้างจินเหนียงทางซ้ายขวา เฝ้ากระซิบปลอบโยนนาง

อาหานเจอภาพมวลบุปผาหลากสีบานสะพรั่งทำให้ตาพร่าเลือน ได้แต่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างทึ่มทื่อ นัยน์ตาหยุดนิ่งไม่กลอกไปมาแล้ว

คราวนี้ไม่ต้องให้อาจารย์ลงมือ ฉวีชิ่นเหยาก็ชิงหยิกเนื้อศิษย์พี่ด้วยความแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้าก่อน อาหานร้องโอดโอยคำหนึ่งจึงตระหนักได้ว่าพลั้งเผลอเสียกิริยา ใบหน้าแดงก่ำรีบก้มลงต่ำโดยพลัน ไม่กล้าเหลือบมองเด็กสาวกลุ่มนั้นอีกเลย

มีบางคนหัวเราะขบขันอย่างห้ามไม่อยู่ คิดว่าคงไม่เคยเห็นนักพรตท่าทางเงอะงะงุ่มง่ามเช่นนี้

ชิงซวีจื่อสะกดกลั้นไฟโทสะเต็มท้องเอาไว้ ลอบสบถด่าอาหานเสียยับเยิน ก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูกคำหนึ่งแล้วก้าวยาวๆ มานั่งตรงตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติ

จินเหนียงเงยหน้ามองชิงซวีจื่อ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านนักพรต เมื่อครู่ดูศพของเหมยหงแล้ว พบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”

ชิงซวีจื่อกวาดสายตาของทุกคนในที่นี้รอบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เอ่ยตอบคำแต่อย่างใด

จินเหนียงก็กล่าวต่อโดยไม่สนใจ “ท่านนักพรต ขอบอกตามตรง หลังจากเกิดเรื่องกับเหมยหงแล้วกิจการของพวกเราก็ซบเซาลงไปมาก ผู้คนต่างบอกว่าในหอของเรามีผีอาละวาด แขกที่เคยแวะเวียนมาประจำก็ไม่กล้ามาแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปกลัวว่าจะต้องได้ฤกษ์ปิดกิจการในเร็ววันแน่”

ระหว่างที่นางรำพันก็ถอนหายใจไม่ได้หยุด เด็กสาวชุดสีม่วงรีบเอ่ยปลอบ “มามา อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ถึงกิจการในหอจะเงียบเหงาไปบ้าง แต่รออีกไม่กี่วันผู้คนจะลืมเรื่องนี้ไปเอง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นอีกครั้ง”

“จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก” เด็กสาวชุดสีชมพูที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “มีใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้เจ้าไปคว้าตัวคุณชายสี่จวนเวยหย่วนโหวไว้ได้ อีกไม่กี่วันก็จะมีคนมาไถ่ตัวไปเป็นอนุภรรยา กิจการของหอหมู่ตันเราจะรุ่งเรืองจะซบเซามันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย นี่เจ้าเสแสร้งเล่นละครให้ใครดูกัน”

“เจ้า…” เด็กสาวชุดสีม่วงถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ

ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยตอบโต้ จินเหนียงก็ตวาดขึ้น “พอแล้ว! ตอนนี้มีแขกอยู่ด้วย พวกเจ้ายังมีมารยาทเหลืออยู่บ้างหรือไม่”

เด็กสาวทั้งสองคนปิดปากสนิท ต่างฝ่ายต่างเบนสายตาไปทางอื่น

ฉวีชิ่นเหยามองแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ

“ขอถามจินมามา…” ชิงซวีจื่อที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้น “ไม่นานมานี้หอหมู่ตันได้รับคนใหม่เข้ามาบ้างหรือไม่”

“ช่วงไม่นานมานี้?” จินเหนียงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เคย ทุกสองปีข้าถึงจะไปเจียงหนานคัดเลือกเด็กใหม่มาเพิ่ม ครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปคือเดือนสามปีที่แล้ว”

หมายความว่าเกือบหนึ่งปีมานี้ไม่มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ชิงซวีจื่อลูบเคราของตนเองแล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนเหมยหงยังมีชีวิตอยู่ เคยปรนนิบัติรับใช้แม่นางคนใด”

ทั้งห้องโถงเงียบสนิทในพริบตา ครู่หนึ่งเด็กสาวชุดสีชมพูที่มีฝีปากคมกริบก็เอ่ยขึ้น “ตอนเหมยหงยังมีชีวิตอยู่เป็นสาวใช้ของข้าเอง”

นางมีรูปโฉมงามล้ำเลิศหาใดเปรียบ คิ้วและดวงตาเชิดสูง แลดูสดใสมีชีวิตชีวายิ่งกว่าสตรีทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะอยู่ในหอหมู่ตันที่มีร้อยบุปผาประชันโฉม ก็ยังถือว่าเป็นสาวงามที่ไม่เป็นสองรองใคร

เวลานี้นางพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติอย่างสุดกำลัง มือที่กำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้สั่นไหวเล็กน้อย

จินเหนียงกุมมือปลอบประโลมนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อวิ๋นเสา เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ท่านนักพรตฟังโดยละเอียดเถอะ”

อวิ๋นเสาขบกัดริมฝีปากของตนเอง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “เหมยหงเพิ่งจะเข้ามาเมื่อปีก่อน รับใช้ข้างกายข้ามาเกือบหนึ่งปีแล้ว ปกตินางทำงานขยันขันแข็ง แต่ว่าปากมากไปสักหน่อย ชอบหยิบฉวยอะไรเล็กๆ น้อยๆ วันที่เกิดเรื่องนั้นนางทำกระปุกใส่ชาดแดงของข้าแตกแต่เช้าตรู่ พอถึงช่วงเที่ยงมาคอยรับใช้เวลากินอาหารก็เอาน้ำแกงสาดใส่กระโปรงของข้าอีก ข้าเห็นนางเอาแต่เหม่อลอยทั้งวันก็เลยตำหนินางไปยกใหญ่ ไล่นางออกไปคุกเข่าอยู่นอกประตูห้อง ใครจะไปรู้ว่าช่วงบ่ายสาวใช้คนนี้กลับหายตัวไปไม่เห็นเงา ข้าไปบอกจินมามา ทุกคนช่วยกันตามหาทั้งข้างในข้างนอกจนทั่ว ถึงได้เห็นว่าสาวใช้คนนี้ตายอยู่ที่สวนดอกไม้ในเรือนด้านหลัง”

ระหว่างที่นางเล่าดูเหมือนจะนึกถึงสภาพศพของเหมยหงขึ้นมาได้ นางขยับเบียดชิดเก้าอี้เนื้อตัวสั่นสะท้าน

ชิงซวีจื่อขมวดคิ้ว มองหน้าอวิ๋นเสาแล้วเอ่ยถามว่า “วันนั้นเหมยหงพูดจาแปลกประหลาด หรือว่าทำกิริยาแปลกประหลาดบ้างหรือไม่”

อวิ๋นเสาเค้นสมองขบคิดชั่วครู่ก็ส่ายหน้าตอบ “มีแค่จิตใจดูเหม่อลอย แต่ไม่ได้พูดอะไร…” นางชะงักไปทันใด แล้วเอ่ยอย่างสับสน “มีเรื่องหนึ่งที่ข้ารู้สึกแปลกใจมาตลอด ก่อนจะเกิดเรื่องไม่กี่วันเหมยหงเคยมาถามข้าเรื่องบ้านเดิมของใครคนหนึ่งในหอนี้ แต่เพราะข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของเหมยหง ก็เลยไม่เคยบอกกับทางการ”

ชิงซวีจื่อเริ่มมีท่าทีสนใจ “เหมยหงมาถามเจ้าเรื่องของใครกัน”

อวิ๋นเสาเบ้ปากไปทางเด็กสาวชุดสีม่วง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะเย้ยหยัน “ก็นางอย่างไรเล่า ดาวเด่นของหอหมู่ตันเราตอนนี้…ยอดสาวงามเป่าเซิง”

เด็กสาวที่ชื่อเป่าเซิงโกรธจัดจนหัวเราะเย็นชาติดกันหลายคำ “อวิ๋นเสาหนออวิ๋นเสา ข้ารู้ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่! เจ้าเห็นคุณชายหลินไม่แยแสไมตรีจากเจ้า แต่กลับมาถูกใจข้า เจ้ารู้สึกอิจฉาริษยาก็เลยมาสาดน้ำสกปรกใส่ข้าสินะ เจ้าช่างวางแผนได้อำมหิตนัก!”

คิ้วและดวงตาไม่งดงามเพริศพริ้งเท่าอวิ๋นเสา แต่ก็มีอากัปกิริยาเยือกเย็นนุ่มนวลอย่างหาได้ยาก ดูแตกต่างจากสตรีย่านเริงรมย์ กลับเหมือนสตรีผู้ทรงเกียรติจากตระกูลที่มีชื่อเสียงมากกว่า

ฉวีชิ่นเหยาเปรียบเทียบรูปโฉมของพวกนางสองคนอย่างนึกสนุก คิดในใจว่าเถ้าแก่เนี้ยหอหมู่ตันเข้าใจวิธีดูแลกิจการอย่างลึกซึ้งโดยแท้ เพราะสาวงามในหอแห่งนี้ต่างมีความสามารถและความงามโดดเด่นเฉพาะตัว กิจการจะไม่คึกคักรุ่งเรืองได้อย่างไร

จินเหนียงเผยสีหน้าปวดเศียรเวียนเกล้า “นี่มันเวลาใดกันแล้ว พวกเจ้าจะหยุดหาเรื่องกันสักทีได้หรือไม่”

นางหันไปถลึงตาใส่อวิ๋นเสา “บุรุษในแผ่นดินนี้ตายหมดแล้วหรือ ถึงได้มีแค่คุณชายหลินคนเดียวที่เข้าตาเจ้า ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่เพิ่งเข้ามาเป่าเซิงดูแลเจ้าอย่างไร เห็นเจ้าเพิ่งมาถึงไม่รู้เรื่องราวก็คอยดูแลทุกเรื่อง ดีต่อเจ้าราวกับพี่น้องแท้ๆ มาวันนี้เป่าเซิงเจอบุรุษที่พึงใจ เจ้าไม่ดีใจแทนนางก็แล้วไปสิ มาหาเรื่องนางได้ทั้งวี่ทั้งวัน อวิ๋นเสาเอ๋ยอวิ๋นเสา เจ้าจะให้ข้าพูดอย่างไรกับเจ้าดี!”

อวิ๋นเสามีน้ำตาคลอหน่วยทันใด กล่าวตอบอย่างโกรธเคือง “เดิมทีคุณชายหลินสนใจข้าก่อนชัดๆ ผ่านไปแค่ไม่กี่วันจะมาผูกสมัครรักใคร่กับเป่าเซิงได้อย่างไรเล่า จินมามา ท่านว่ามาสิ ไม่ใช่เพราะนางทำทุกทางเพื่อแย่งเขาไปแล้วจะเป็นอะไรได้” นางชี้นิ้วเรียวดั่งหยกขาวไปทางเป่าเซิง แม้กระทั่งยามโมโหเดือดดาลก็ยังงดงามจนน่าตกตะลึง

ฉวีชิ่นเหยาลูบปลายคางด้วยความสงสัย อวิ๋นเสาคนนี้แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างมีเอกลักษณ์ เมื่อเปรียบเทียบกับเป่าเซิงแล้วดูเหนือกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ เสียด้วย

ชิงซวีจื่อสะบัดแส้ขนจามรี มองไปทางจินเหนียงแล้วเอ่ยว่า “จินมามา เรื่องที่เกิดขึ้นในหอของเจ้ามีเบาะแสชัดเจนแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน คงต้องเชิญเจ้ามาปรึกษาหารือกันหน่อย ขอเชิญมาคุยกันทางนี้สักครู่”

จินเหนียงได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น เดินนำชิงซวีจื่อออกไปพูดคุยกันข้างนอก

ประเดี๋ยวเดียวจินเหนียงก็เดินกลับเข้ามาในห้อง สั่งให้สาวใช้ไปเตรียมถ้วยน้ำมาสี่สิบใบ ไม่ให้มากหรือไม่น้อยกว่านี้ นำมาวางเรียงตรงหน้าสาวงามทั้งหลาย

นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทุกคนหยดเลือดลงไปในถ้วยหยดหนึ่ง ความจริงเรื่องของเหมยหงก็จะปรากฏแล้ว”

สตรีทุกนางในที่นี้ส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ

จินเหนียงเห็นพวกนางตกตะลึงกันถ้วนหน้า แต่ไม่มีใครคิดจะฟังคำสั่งนางเลยสักคนเดียว นางกัดฟันกรอด “ข้าเริ่มก่อน” นางกล่าวแล้วเดินมาหน้าโต๊ะ ชูกริชขึ้นมาอย่างว่องไว กรีดที่นิ้วชี้จนเป็นแผลและหยดเลือดลงในถ้วยน้ำ

ในห้องโถงเงียบงันไร้สุ้มเสียงไปชั่วขณะ

ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ ก็มีเสียงอ่อนหวานดังขึ้นว่า “ข้าก็ด้วย” กลับเป็นเป่าเซิง นางเดินเข้ามาใกล้โต๊ะ ทำตามจินเหนียง หยดเลือดจากปลายนิ้วลงในถ้วยอีกใบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “น้องเหมยหงตายอย่างน่าอนาถ พวกเรายังติดค้างคำตอบเรื่องการตายของนาง”

ราวกับว่าได้รับความสะเทือนใจจากประโยคนี้ ทุกคนไม่คิดนิ่งดูดายอีกต่อไป ทยอยกันเดินมาข้างหน้า หยดเลือดลงในถ้วย ชั่วอึดใจเดียวถ้วยทั้งสี่สิบใบก็มีเลือดหยดลงไปครบถ้วนไม่เว้นว่าง

ฉวีชิ่นเหยายิ้มเย็นชาอยู่ในใจ

ช่างเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ขวัญกล้ายิ่งนัก มั่นใจแล้วหรือว่าพวกข้าจะไม่มีปัญญาสาวไปถึงตัวเจ้าได้

นางหลุบตาลงต่ำ หยิบยันต์สยบวิญญาณที่ผนึกแมลงกู่ออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

ชิงซวีจื่อพยักหน้ารับพลางสะบัดแส้ขนจามรีลงไปที่ผนึกของแมลงกู่ ประเดี๋ยวเดียวเจ้าแมลงกู่ตัวนั้นก็เริ่มขยับเขยื้อน คลานยุกยิกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

ฉวีชิ่นเหยาครุ่นคิดอยู่ในใจ รอให้เจ้าแมลงกู่คืบคลานไปถึงถ้วยที่มีหยดเลือดของผู้ใช้กู่ที่เป็นเจ้าของมัน แต่ใครจะคาดคิดว่าแมลงกู่ตัวนั้นกลับคลานไปแค่ครึ่งชุ่นแล้วก็หยุดนิ่งไม่ยอมคลานต่อไปเฉยๆ

ฉวีชิ่นเหยาอดทนรอแล้วรอเล่า หลังจากรอจนเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป แต่เจ้าแมลงกู่ก็ยังไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าโดนคาถาสะกดนิ่งไว้กระนั้น

จินเหนียงเงยหน้ามองชิงซวีจื่ออย่างตกตะลึง เอ่ยอย่างอึกอักว่า “ท่านนักพรต นี่มัน…”

ชิงซวีจื่อกวาดตามองไปทางสตรีกลุ่มนั้นอย่างผ่านๆ ในใจหัวเราะเยือกเย็น มิน่าเล่าคนผู้นั้นถึงได้ทำเช่นนี้โดยไม่หวั่นเกรง ที่แท้ก็เตรียมการมาเป็นอย่างดี

เขาคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็เรียกอาหานให้เข้ามาใกล้ กระซิบบางอย่างข้างหูสองสามประโยค

อาหานพยักหน้าแล้วหันกลับไปหยิบห่อหนังที่สะพายอยู่ด้านหลัง เปิดแผ่นหนังที่ห่อของบางสิ่งเอาไว้ ประคองคันฉ่องห้าเหลี่ยมที่มีฝุ่นเขรอะออกมาบานหนึ่ง

ฉวีชิ่นเหยาเพ่งมองอย่างละเอียด อดทำเสียงจิ๊จ๊ะประหลาดไม่ได้ เพื่อรับมือกับสิ่งชั่วร้ายนั้น อาจารย์ถึงขั้นนำของวิเศษพิทักษ์อารามอย่างคันฉ่องไร้ขอบเขตออกมาใช้งานแล้ว

ชิงซวีจื่อรับคันฉ่องไร้ขอบเขตมา สะบัดแส้ขนจามรีท่องคาถาโดยไร้เสียง พักใหญ่ก็ทำสัญลักษณ์มือพร้อมตะโกนดังก้องว่า “จงตื่น!” แล้วก็เห็นหน้ากระจกดูไร้ราคาบานนั้นเปล่งแสงสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นมาโดยพลัน แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ รัศมีแสงจากในกระจกสาดส่องไปที่แมลงกู่บนโต๊ะ

หลังจากนั้นชั่วครู่แมลงกู่ก็ยืดเหยียดคอ ลำตัวสีทองเริ่มบิดไปมา ชั่วพริบตาเดียวก็คืบคลานไปทางถ้วยที่มีหยดเลือดจากนิ้วอย่างแข็งขืนเล็กน้อย

บรรยากาศภายในห้องโถงชะงักค้างขึ้นมาในทันใด ความรู้สึกกระวนกระวายแผ่กระจายปกคลุมไปทั่ว ตอนแรกแมลงกู่คืบคลานอย่างยากลำบาก แต่แล้วมันกลับเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เร็วขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งถึงหน้าถ้วยใบหนึ่งก็กระโดดผลุงเข้าไปในถ้วยน้ำผสมเลือดเสียงดังจ๋อม

“อ๊า…” มีคนล้มลงไปกองกับพื้น ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

จินเหนียงใบหน้าซีดขาว มองไปทางสตรีนางนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นเจ้ารึ!”

เป่าเซิงไม่เอ่ยตอบคำ ได้แต่จับจ้องแมลงกู่ในถ้วยน้ำด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มองเห็นแมลงตัวนั้นลำตัวขยายใหญ่ขึ้น อึดใจเดียวเท่านั้นก็มีขนาดเท่ากำปั้น นางกรีดร้องเสียงแหลม ตะเกียกตะกายไปหาชิงซวีจื่อ “ท่านนักพรตช่วยด้วย! ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง จู่ๆ ลำตัวของแมลงกู่ก็ขยายจนมีเสียงแตกดังโพละ ตามมาด้วยแมลงเม่าตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากกองเลือด บินพุ่งตรงมาทางเป่าเซิงอย่างแม่นยำยิ่ง

เป่าเซิงตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด เจ้าแมลงเม่าสีเลือดบินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ชิงซวีจื่อกลับปรายตามองนางอย่างเย็นชา ไม่มีท่าทีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ นางผลักเขาออกไปอย่างสิ้นหวัง แล้วโอบกอดความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ด้วยการวิ่งหนีไปทางประตูใหญ่

แต่ว่าต่อให้นางวิ่งเร็วมากเพียงใด มีหรือจะหนีแมลงเม่าสีเลือดที่บินโฉบเฉี่ยวไวปานสายฟ้าได้ พริบตานั้นเมื่อแมลงเม่าสีเลือดไล่ตามนางทัน มันก็ฝังตัวเข้าไปในร่างกายของนาง

ชิงซวีจื่อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “เคราะห์กรรมจากฟ้ายังหลีกหนีพ้น เคราะห์กรรมจากมือตนไม่อาจหลีกหนี! ตั้งแต่ที่เจ้าใช้กู่ทำร้ายผู้อื่นนั้น ก็ควรคิดไว้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้!”

แม้แมลงกู่สีทองจะเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว แต่พิษของมันยังไม่กำเริบในทันทีทันใด ความหวังที่ดับมอดไปของเป่าเซิงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางคลานเข่ามาหยุดตรงหน้าชิงซวีจื่อ โขกศีรษะโดยแรงพลางเอ่ยขอร้อง

“ท่านนักพรต ข้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิด ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายใคร ความจริงแล้วสาวใช้นางนั้นบังเอิญมาเห็นข้าใช้กู่กับคุณชายหลิน นางข่มขู่ข้าว่าจะเปิดโปงเรื่องนี้ คอยรีดไถเงินไม่หยุดหย่อน ข้าก็จนปัญญาเหลือเกินแล้วถึงได้ลงมือทำร้ายนาง หลังเกิดเรื่องข้าก็รู้สึกเสียใจมาตลอด ท่านนักพรต ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านมีพลังตบะลึกล้ำ มีจิตใจเมตตากรุณา ได้โปรดสร้างกุศล ช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ!”

อวิ๋นเสาเจอภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไป พอได้ยินคำสารภาพนี้เข้าก็เอ่ยปากด้วยความหวาดผวาว่า “ที่แท้…เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้ว เจ้าถึงขั้นใช้กู่กับคุณชายหลิน…”

เป่าเซิงหันขวับไปหาอวิ๋นเสาด้วยแววตาอาฆาตแค้นโดยพลัน “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตำหนิข้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร เทศกาลจงชิวปีที่แล้วพวกเราออกไปเดินเล่นกัน ทั้งที่ข้าเจอกับคุณชายหลินก่อน เพราะอะไรเจ้าถึงจงใจเข้าไปประจบฉอเลาะเขาเช่นนั้น เจ้ามีแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดื้อรั้นชอบเอาชนะมาแต่ไหนแต่ไร ต้องแก่งแย่งชิงดีกับข้าไปทุกเรื่อง เมื่อก่อนข้าจะไม่ถือสา แต่เพราะอะไรแม้แต่คุณชายหลินเจ้าก็ไม่ยอมปล่อย”

“เจ้าก็เลยใช้กู่แย่งเขา?” ชิงซวีจื่อมองเป่าเซิงอย่างเย็นชา “ถึงขั้นใช้กู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง?”

พิษกู่ในร่างเป่าเซิงกำเริบขึ้นมาแล้ว ตรงหางตาเริ่มมีเลือดไหลซึมให้เห็น ในท้องราวกับมีพลังมหาศาลสร้างความปั่นป่วน นางยิ่งแตกตื่นลนลาน สะกดกลั้นความเจ็บปวดคว้าแขนเสื้อของชิงซวีจื่อเอาไว้

“ท่านนักพรต รีบช่วยข้าเร็วเข้า วันหน้าข้าจะไม่ทำร้ายใครอีกแล้ว ข้าก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านมีจิตใจเมตตากรุณา ทนเห็นข้าตายอย่างอนาถแทบเท้าตัวเองได้หรือ”

ชิงซวีจื่อลอบทอดถอนใจ เดิมทีเขาแค่อยากใช้แมลงกู่ไปชี้ตัวผู้ใช้มัน ใครจะคาดคิดว่าพิษกู่จะร้ายกาจจนย้อนกลับมากลืนกินผู้ใช้กู่เสียเอง เป่าเซิงก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว เกรงว่าแม้แต่เทพเซียนก็ช่วยนางไม่ได้

เขาใช้คาถาชำระจิตลองช่วยเป่าเซิงสกัดพิษกู่ในร่าง แต่ใบหน้าของเป่าเซิงกลับยิ่งแห้งเหี่ยวและดำคล้ำลงไปทุกที หมดหนทางจะเยียวยาได้อีก

เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ กดเสียงลงต่ำถามเป่าเซิงว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใช้กู่อีกสองคนเป็นใคร อยู่ที่ใด”

สีหน้าของเป่าเซิงราวกับมีสติแจ่มชัดในพริบตา “แค่บอกท่านนักพรต ท่านก็จะยอมช่วยข้าใช่หรือไม่”

ชิงซวีจื่อได้แต่นิ่งเงียบ เขาไม่อาจตัดใจหลอกคนที่กำลังจะตายได้

เป่าเซิงยังไม่ยอมละทิ้งความหวัง อดทนกับความเจ็บปวดทรมานที่กัดกินกระดูก เค้นเรี่ยวแรงเอ่ยอย่างไม่ปะติดปะต่อว่า “ยังมีผู้ใช้กู่อยู่ที่…ต้า…”

ทว่านางยังกล่าวไม่ทันจบ ประกายแสงสุดท้ายในดวงตาก็พลันมืดสนิท ราวกับเปลวเทียนกลางสายลมที่ดับวูบไปอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงตกอยู่ในความมืดมนอนธการไร้ที่สิ้นสุด

ฉวีชิ่นเหยามองดูใบหน้างดงามบอบบางดั่งบุปผาเมื่อครู่ต้องมาแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตา แม้ว่าจะเป็นเพราะก่อกรรมทำเข็ญเอง ก็อดเศร้าสลดใจไม่ได้อยู่ดี

ภายในห้องบรรยากาศเงียบสงัด แต่ไม่นานก็เริ่มมีคนร้องไห้เพราะทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเสียงสะอึกสะอื้นค่อยๆ ดังไปทั่วบริเวณ ฉวีชิ่นเหยาเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องประหลาดใจว่าคนที่ร้องไห้เสียใจหนักที่สุดก็คืออวิ๋นเสา

ชิงซวีจื่อสวดคาถาส่งวิญญาณให้เป่าเซิงแล้วลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ย

“แมลงกู่ในร่างเป่าเซิงตายไปแล้ว แมลงกู่ตัวที่สองคงจะแผลงฤทธิ์กับร่างผู้ใช้ในเร็ววันนี้ แล้วอีกไม่นานคงจะมีคนตายอย่างอนาถอีก เวลาไม่คอยท่า พวกเราต้องรีบตามหาผู้ใช้กู่คนที่สองโดยด่วนที่สุดถึงจะถูก”

ระหว่างเดินทางกลับอารามชิงอวิ๋น ชิงซวีจื่อถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น

“ ‘เคียงคู่นิรันดร์’ ร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ทั้งที่วิชากู่หายไปจากแผ่นดินนับร้อยปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป่าเซิงไปได้มาจากที่ใดกัน”

ฉวีชิ่นเหยาถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ แล้วเพราะอะไรวิชากู่ถึงได้มีชื่อเรียกว่าเคียงคู่นิรันดร์ล่ะเจ้าคะ เรื่องนี้มีที่มาจากตำนานอะไรหรือไม่”

ชิงซวีจื่อลูบเคราของตนเองก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง

“วิชากู่นี้เผยแพร่จากชนเผ่าเหมียวเจียง เข้าสู่จงหยวน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ได้ยินว่าหมอผีหญิงคนหนึ่งสร้างกู่ขึ้นมาเพื่อผูกมัดบุรุษในดวงใจ ถ้าหากสตรีนำกู่ฝังเข้าสู่ร่างกาย นอกจากจะล่อลวงจิตใจบุรุษได้แล้ว ยังสามารถใช้กู่ไปทำร้ายผู้อื่นได้ด้วย เป็นกู่สองเพศที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้ เมื่อแพร่มาถึงราชวงศ์ก่อน ในวังหลวงมีนางสนมยอมเสี่ยงใช้กู่ล่อลวงฮ่องเต้เพื่อแย่งชิงความโปรดปราน ฮองเฮาในราชวงศ์ก่อนทราบเรื่องแล้วก็ชิงชังเข้ากระดูกดำ เที่ยวเสาะหาผู้มีฝีมือในใต้หล้าอย่างลับๆ มากำจัดวิชากู่ของนางสนมผู้นั้น หลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนสติก็รู้สึกละอายพระทัยอย่างสุดซึ้ง จึงมีพระบัญชาสั่งกวาดล้างวิชากู่ของหมอผีอย่างเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนต้องโทษประหารล้างตระกูล จากนั้นเพียงแค่สิบกว่าปี วิชากู่นี้ก็ค่อยๆ หายสาบสูญไป”

สร้างขึ้นเพื่อคว้าบุรุษในดวงใจมาให้ได้อย่างนั้นรึ มิน่าเล่าถึงได้ชื่อว่าเคียงคู่นิรันดร์

ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง อดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้ จะต้องเป็นรักที่ไร้ความหวังสักเพียงใดกัน หมอผีหญิงผู้นั้นถึงได้สร้างวิชากู่ที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นออกมาเช่นนี้

ชิงซวีจื่อก็ดูมีท่าทีสะเทือนใจอยู่เหมือนกัน เขาเผยสีหน้าเหยียดหยามพลางเอ่ยว่า “ต่อให้สมดังปรารถนาแล้วเป็นอย่างไร คนที่นางได้ไปก็แค่ร่างกายที่สูญเสียตัวตนไปแล้วเท่านั้น จะว่าไปก็นับเป็นความปรารถนาของผู้ที่ใช้กู่เพียงฝ่ายเดียว ช่างหลอกตัวเองและผู้อื่นโดยแท้”

ระหว่างที่พูดคุยรถม้าก็มาถึงอารามชิงอวิ๋น เพิ่งจะถึงหน้าประตู นักพรตน้อยคนหนึ่งชื่อฝูหยวนก็วิ่งมาหาถึงหน้ารถม้า

“ท่านนักพรต ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้มีจดหมายด่วนแปดร้อยหลี่ จากลั่วหยางส่งมาที่อาราม บนซองจดหมายใช้ตราประทับทางการ เกรงว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบตัวท่าน”

“จดหมายทางการจากลั่วหยาง?” ชิงซวีจื่อหันไปสบตาฉวีชิ่นเหยากับอาหานด้วยความประหลาดใจ แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในอาราม

หลังฉีกซองจดหมายออกอ่าน คิ้วของชิงซวีจื่อก็ขมวดเป็นปมแน่น ที่แท้เมื่อวันก่อนเมืองลั่วหยางเกิดคดีแปลกพิสดารขึ้น ศพไร้หัวที่ตายไปแล้วหลายวันวิ่งมาถึงจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง ตีกลองร้องทุกข์ด้วยตนเอง ท่านเจ้าเมืองทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว ได้ยินว่านักพรตชิงซวีจื่อแห่งเมืองฉางอันมีพลังตบะลึกล้ำ จึงขอเชิญท่านนักพรตเดินทางมาเมืองลั่วหยางอย่างลับๆ ร่วมมือคลี่คลายคดี

ในจดหมายยังเน้นย้ำว่า ‘ขอให้ท่านนักพรตเร่งเดินทางทันที เรื่องสิ้นสุดจะตอบแทนอย่างงาม’

“อาจารย์ พวกเราจะไปหรือไม่เจ้าคะ” ฉวีชิ่นเหยายืนอยู่ด้านหลังชิงซวีจื่อ อ่านจดหมายจบแล้วเอ่ยถามขึ้น

ชิงซวีจื่อเอามือลูบปลายคาง ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็หันไปบอกฉวีชิ่นเหยาว่า “ในจดหมายเขียนมาเสียอันตรายปานนี้ อาจารย์ต้องรีบออกเดินทางทันที เจ้าเพิ่งกลับมาจากเขาหมั่งซาน ถ้าหากติดตามอาจารย์เดินทางข้ามคืนอีกจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป อย่าตามไปเลยดีกว่า…อาหาน ช่วยอาจารย์เก็บข้าวของเร็วเข้า พวกเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้แล้ว”

อาหานนิ่งอึ้ง เขาเงยหน้ามองฉวีชิ่นเหยาอย่างเร็วๆ แวบหนึ่ง เห็นว่าศิษย์น้องไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาถึงวางใจลงได้แล้วลุกขึ้นเอ่ยตอบ “ขอรับอาจารย์”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฉวีชิ่นเหยาก็มาส่งชิงซวีจื่อและอาหานขึ้นรถม้า ชิงซวีจื่อกล่าวกับฉวีชิ่นเหยาด้วยความเป็นห่วง

“ช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่ในฉางอัน ถ้าหากมีเบาะแสของผู้ใช้กู่อีกสองคน เจ้าอย่าวู่วามเป็นอันขาด ทุกอย่างรออาจารย์กลับจากลั่วหยางก่อนค่อยว่ากัน”

เขารู้ดีว่าฉวีชิ่นเหยาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ทำอะไรรอบคอบรัดกุม แต่ว่าอย่างไรก็อายุยังน้อย พลังตบะก็ยังอ่อนด้อย ถ้าหากบังเอิญพบผู้ใช้กู่ขึ้นมา เขากลัวว่าฉวีชิ่นเหยาจะรับมือไม่ไหว ย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้

ฉวีชิ่นเหยาเห็นชิงซวีจื่อระมัดระวังเช่นนี้ นางก็รีบพยักหน้ารับ “ข้ารู้แล้ว อาจารย์วางใจเถิด”

ลิ่นเซี่ยวเพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนักหานหยวนก็มีขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มใหญ่เข้ามาโอบล้อมอย่างรวดเร็ว แต่ละคนมีสีหน้าแช่มชื่นยินดี ทยอยเข้ามากล่าวอวยพรกับเขา

“ยินดีกับซื่อจื่อที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งท่านเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้”

“ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรเฉียบคมมาแต่ไหนแต่ไร ซื่อจื่อนับว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มจริงๆ”

เสียงกล่าวอวยพรดังขึ้นไม่หยุดหย่อนเหล่านี้ สำหรับลิ่นเซี่ยวแล้วรู้สึกเพียงว่าน่าหนวกหูน่ารำคาญยิ่ง เขาอดทนไว้แล้วคารวะตอบกลับทีละคน กว่าจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

เจี่ยงซานหลางเข้ามาตบไหล่ลิ่นเซี่ยวพลางลอบยิ้มขบขัน “เล่ามาเถอะ ครั้งก่อนออกจากฉางอันไปช่วยเสด็จลุงของเจ้าทำอะไรมา ทำให้เขาดีใจถึงเพียงนี้ พอกลับบ้านมาก็ให้เจ้าเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้”

ลิ่นเซี่ยวมองเจี่ยงซานหลางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อยากรู้มากหรือ”

เจี่ยงซานหลางชะงักฝีเท้า รอคอยประโยคถัดไปของลิ่นเซี่ยว

“ยกม้าจื่อซิงจากแคว้นต้าหว่านให้ข้าสิ แล้วข้าจะบอกเจ้า!”

เจี่ยงซานหลางทั้งหงุดหงิดทั้งขบขัน “เจ้าทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมบอกไปเถอะ ถ้าหากข้าอยากจะรู้อะไรแล้วก็ต้องได้รู้ทั้งนั้น”

พอเห็นลิ่นเซี่ยวเตรียมก้าวเท้าเดินจากไป เขาก็ได้แต่ปล่อยวาง “ได้ๆ เจ้าไม่บอกก็แล้วไป วันนี้น้องชายอย่างเจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง พี่ชายอย่างข้าก็ต้องจัดงานเลี้ยงฉลอง พวกเราไปหอรื่อเฉิงดื่มกันสักจอก”

ลิ่นเซี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ดื่มสุราก็ดื่มสุรา จะทำให้วุ่นวายเกินเหตุไปไย เจ้าเป็นพี่ชายประสาอะไร”

ฉางหรงเดินตามหลังคนทั้งสอง ถอนหายใจติดกันด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อใดที่เจ้านายทั้งสองเลิกตีฝีปากปะทะคารม ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว

 

ลิ่นเซี่ยวมาที่หอรื่อเฉิงกับเจี่ยงซานหลาง พอหลงจู๊เห็นว่าคนทั้งสองเป็นผู้สูงศักดิ์ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองฉางอัน ก็รีบปั้นหน้ายิ้มแย้มเข้ามาเชิญพวกเขาขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวข้างบน

หอรื่อเฉิงตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ตงอู่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองฉางอัน ไม่ต้องเอ่ยถึงหอสุราร้านน้ำชาบนถนนสายใหญ่นี้ ยังมีร้านเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับล้ำค่าไม่น้อย ผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่เป็นปกติ บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง

คนทั้งสองสั่งสุราอาหารเรียบร้อยแล้วก็สั่งผู้ติดตามให้เปิดหน้าต่าง มองทิวทัศน์ภายนอกไปตามอารมณ์ บังเอิญว่าวันนี้ตรงกับวันที่สาม เดือนสาม เป็นเทศกาลหญิงสาว* บนท้องถนนมีเด็กสาวแต่งกายสดใสสวยงามออกมาเดินเที่ยวเล่น

ฝั่งตรงข้ามมีร้านขายอัญมณีแห่งหนึ่งชื่อหอไจเยวี่ย เครื่องประดับในร้านนี้ทำได้ประณีตสูงค่ากว่าร้านอื่น สตรีชั้นสูงในเมืองฉางอันต่างนิยมชมชอบ เจี่ยงซานหลางมองไปทางรถม้าที่จอดหน้าหอไจเยวี่ยหลายคันโดยไม่ตั้งใจ เขาตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามหลงจู๊ว่า “วันนี้มีเทศกาลอะไรกัน เหตุใดบนท้องถนนมีผู้คนมากมายนัก”

หลงจู๊มองตามสายตาของเจี่ยงซานหลางออกนอกหน้าต่างไปพลางเอ่ยตอบยิ้มๆ “วันนี้เป็นเทศกาลหญิงสาวขอรับ ดูท่าคงมีแม่นางน้อยจำนวนมากออกมาเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับ”

“เทศกาลหญิงสาวอย่างนั้นหรือ” เจี่ยงซานหลางมีสีหน้าคิดใคร่ครวญ แล้วเงยหน้าสั่งกำชับหลงจู๊ว่า “เจ้าไปหาหลงจู๊หอไจเยวี่ย ให้เขาเลือกเครื่องประดับที่ภาคภูมิใจที่สุดมาสักหลายชิ้นแล้วรีบมาพบข้าโดยเร็ว”

หลงจู๊ยิ้มด้วยความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยปากรับคำสั่งเดินจากไป

ลิ่นเซี่ยวช้อนสายตามองเจี่ยงซานหลาง “ทำไมรึ ยอมสละทองคำเพื่อแลกหนึ่งรอยยิ้มคนงาม?”

เจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วขึ้น ตอบอย่างไม่สนใจไยดีว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”

ลิ่นเซี่ยวหัวเราะพลางขยับร่างเอนพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “อัญมณีในหอไจเยวี่ยราคาสูงมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน ปิ่นประดับมุกชิ้นเดียวก็ราคาเท่ากับคฤหาสน์ในเมืองฉางอันครึ่งหลัง เจ้าเอาใจใส่อาเมี่ยวคนนั้นไม่ธรรมดาเลยนะ”

เจี่ยงซานหลางยังมองออกไปนอกหน้าต่าง นิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของข้าให้มากนักเลย เจ้าดูข้างล่างนั่น สตรีที่เพิ่งลงจากรถม้าเมื่อครู่ใช่มารดาเลี้ยงเจ้าหรือไม่”

ลิ่นเซี่ยวได้ยินดังนั้นก็มองตามลงไปด้านล่าง เห็นชุยซื่อสวมชุดหรูหราสะดุดตา เกาะมือของสาวใช้เดินลงมาจากรถม้าของวังหลันอ๋อง คาดว่าคงมาซื้อเครื่องประดับที่หอไจเยวี่ยเหมือนกัน

ข้างกายชุยซื่อมีสตรีกิริยางามแช่มช้อยสวมหมวกม่านแพรเดินตาม เจี่ยงซานหลางเพ่งมองครู่หนึ่งก็แอบยิ้มบางๆ “สตรีนางนั้นคงเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของมารดาเลี้ยงเจ้าสินะ มองดูเรือนร่างรูปโฉมก็ไม่ย่ำแย่เลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเจ้ายอมกล้ำกลืนรับนางเป็นญาติผู้น้องแล้วรึ อย่าวางมาดอยู่ต่อไปอีกเลย ยอมผลักเรือตามน้ำ อย่างตรงไปตรงมา แต่งนางเข้าวังเป็นชายาซื่อจื่อเถอะ” กล่าวจบก็หัวเราะหยอกเย้า

เดิมทีฉางหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังช่วยรินสุราให้ลิ่นเซี่ยว ได้ยินวาจาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกทั้งโกรธเคืองทั้งขบขัน พอเขามองหน้าลิ่นเซี่ยวกลับพบว่าดูเหมือนลิ่นเซี่ยวจะไม่ได้ฟังเจี่ยงซานหลางอยู่เลย เขากำลังเพ่งมองลงไปที่ด้านล่างอย่างตั้งใจ

ฉางหรงมองตามสายตาของเจ้านายลงไป ประตูหน้าของหอไจเยวี่ยมีผู้คนเดินเข้าออกตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นสตรีที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ชุยซื่อกำลังจูงมือหลิงหลงเดินเข้าหอไจเยวี่ย ด้านหลังมีสาวใช้เดินตามเป็นพรวน ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ

ขณะที่เขากำลังเบื่อหน่าย จู่ๆ ก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏตัวขึ้นในสายตา สตรีนางนั้นผิวพรรณขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาเปล่งประกายสุกใส กำลังประคองสตรีวัยกลางคนลงจากรถม้าอย่างสนิทชิดเชื้อ นางก็คือนักพรตหญิงที่พวกเขาเคยพบบนเขาหมั่งซาน

ซื่อจื่อกำลังจ้องมองนักพรตหญิงโดยไม่ละสายตาสักชั่วขณะ เมื่อเห็นว่านางเดินเข้าหอไจเยวี่ยไปแล้วจึงหันมาสั่งการเขาว่า “ไปดูหน่อย”

ฉางหรงรู้สึกไม่เต็มใจเอาเสียเลย กว่านักพรตหญิงกับพวกเขาจะแยกย้ายกันไปคนละทางไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุใดถึงบังเอิญมาพบหน้ากันอีกแล้ว เขาจึงอืดอาดยืดยาดไม่ยอมขยับ

ลิ่นเซี่ยวหันกลับไปมองฉางหรงด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยเร่ง

“ยังไม่รีบไปอีก?”

 

สตรีที่กำลังประคองมารดาเข้าหอไจเยวี่ยก็คือฉวีชิ่นเหยา

นับตั้งแต่อาจารย์พาอาหานออกเดินทางไปลั่วหยาง เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาเลย จนกระทั่งเมื่อวันก่อนอาจารย์ถึงได้ส่งจดหมายจากลั่วหยางมาที่อารามฉบับหนึ่ง บอกกับนางว่าทุกอย่างราบรื่นดี อีกไม่กี่วันคงเดินทางกลับ

จิตใจที่กำลังวิตกกังวลกลับมาสงบนิ่งดังเดิม นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีเทศกาลหญิงสาว จึงอยากจะกลับบ้านสักครั้งเพื่อมาเยี่ยมพี่ชายกับบิดามารดา

ร่างกายของฉวีจื่ออวี้หลังจากได้ลูกกลอนปราณจากปีศาจงูช่วยเยียวยาก็ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนานแล้ว ผ่านไปแค่หนึ่งเดือนครึ่งเดือนถึงขนาดออกจากบ้านจูงม้าเดินเล่นได้ เที่ยวชมบุปผางามทั่วเมืองฉางอันในวันเดียวได้

คนทั้งครอบครัวปลาบปลื้มยินดีเหลือจะกล่าว ที่ผ่านมาฉวีจื่ออวี้ต้องพลาดการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิไปหลายครั้งเพราะสาเหตุเรื่องสุขภาพ ตอนนี้การสอบใกล้เข้ามาแล้ว มีหรือจะไม่มานะพากเพียรอย่างเต็มกำลัง ตั้งใจอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ที่บ้าน

วันนี้เป็นวันฉลองเทศกาล ฉวีเอินเจ๋อสั่งกำชับภรรยาและบุตรสาวให้ออกไปเดินเล่นที่ร้านเครื่องประดับ ถ้าหากเจอชิ้นใดถูกตาต้องใจก็ไม่ต้องเสียดายเงินทอง เพราะครอบครัวมีเรื่องน่ายินดี สมควรเฉลิมฉลองสักหน่อย

ฉวีชิ่นเหยาเผยรอยยิ้มน้อยๆ เห็นมารดาดีใจจนเปล่งประกายราศีจับก็เข้าโอบกอดมารดาเอาไว้ “มิน่าเล่าวันนี้ท่านถึงพาข้ามาหอไจเยวี่ยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ข้ายังคิดทบทวนอยู่หลายตลบ ท่านแม่ขี้เหนียวถึงเพียงนี้ ปกติยังไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าให้ข้าหลายๆ ชุดด้วยซ้ำ ยังนึกว่าวันนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วกระมัง”

“ปากมากจริง” ฉวีเฉินซื่อแสร้งชี้ปลายจมูกฉวีชิ่นเหยาอย่างโกรธๆ “ตั้งแต่เล็กจนโตที่บ้านให้เจ้ากินอยู่ขาดแคลนหรือ ไม่รู้สำนึกบุญคุณบ้างเลย”

ระหว่างที่หัวเราะพูดคุยกันก็มาถึงหอไจเยวี่ย เมื่อฉวีชิ่นเหยาเดินเข้าไปด้านใน ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือสตรีชั้นสูงในเมืองฉางอันที่มีท่วงทีกิริยาสุภาพสง่างาม ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยความงดงามโอ่อ่า บริเวณชั้นบนยังมีห้องส่วนตัว เอาไว้ให้ญาติพี่น้องของสตรีแต่ละนางที่มีบรรดาศักดิ์และฐานะสูงส่งได้พักผ่อน

ฉวีชิ่นเหยาเดินดูกำไลหยกมรกตเป็นเพื่อนมารดาหลายวง ฉวีเฉินซื่อไม่อาจตัดใจซื้อให้ตนเองเพิ่มได้ จึงสั่งให้หลงจู๊นำเครื่องประดับมุกและดอกไม้ที่เหมาะกับหญิงสาวออกมาให้ฉวีชิ่นเหยาเลือกแทน

ฉวีชิ่นเหยากำลังจะร้องทัดทาน ผู้ดูแลหญิงคนหนึ่งก็รีบเอ่ยปากรับคำแทน แล้วเดินไปเลือกเครื่องประดับที่คลังเก็บสินค้าด้านหลังร้าน หลังจากรออยู่ประมาณครึ่งก้านธูปนางก็ยังไม่กลับมา ด้านบนกลับมีเสียงสตรีพูดคุยลอยมาให้ได้ยิน ตามด้วยเสียงบันไดลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด มีคนกำลังเดินลงมาจากชั้นสองแล้ว

สตรีที่เดินนำหน้าอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี คิ้วของนางโค้งเรียวยาว ฟันสวยขาวสะอาด กิริยานุ่มนวลสง่างาม บนศีรษะประดับปิ่นหงส์ สวมชุดผ้าทอสู่จิ่นที่มีเนื้อผ้าบางเบา แขนเสื้อหลวมกว้าง ปักลวดลายเมฆมงคล แต่งแต้มด้วยบุปผางามหลากสีสัน การแต่งกายหรูหราแผ่กลิ่นอายกดข่มผู้คน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีชั้นสูงจากตระกูลใหญ่

ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายนางอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี รูปโฉมยิ่งโดดเด่นสะดุดตา ดวงตาคู่นั้นใสกระจ่างแวววาว ยามเอ่ยวาจาเผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ทำให้ผู้คนถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดอย่างไม่รู้ตัว

เวลานี้เองผู้ดูแลหญิงก็ประคองถาดใส่เครื่องประดับเข้ามา เห็นฉวีชิ่นเหยาและมารดาจับจ้องประเมินสตรีชั้นสูงทั้งสองนางก็หัวเราะเบาๆ พลางกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ท่านนั้นคือพระชายาหลันอ๋อง ลูกค้าฐานะสูงส่งอันดับหนึ่งของร้านเรา ส่วนเด็กสาวงามล้ำเลิศข้างกายนาง ได้ยินว่าเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของพระชายา พวกนางสองคนความสัมพันธ์สนิทสนมมากเชียวล่ะเจ้าค่ะ หลายวันมานี้พระชายาพาหลานสาวมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง”

พระชายาหลันอ๋อง?

ฉวีชิ่นเหยานิ่งอึ้งไป หลันอ๋องซื่อจื่อที่พบหน้าบนเขาหมั่งซานคราวก่อน ดูแล้วอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี มองดูพระชายาท่านอ๋องอย่างมากก็อาวุโสกว่าเขาปีสองปีเท่านั้น อย่างไรคนทั้งสองก็ไม่มีทางเป็นแม่ลูกกันได้ นางจึงลองคิดทบทวนอีกครั้ง

จริงสิ เป็นไปได้ว่ามารดาของหลันอ๋องซื่อจื่อคงจากโลกนี้ไปแล้ว พระชายาท่านนี้ก็คือภรรยาใหม่ของบิดาเขากระมัง

คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกขณะ จังหวะที่กำลังจะเดินเฉียดผ่านไป สตรีข้างกายพระชายาหลันอ๋องจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ปิ่นหงส์บนศีรษะท่านอาเอียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

นางกล่าวแล้วยกมือขวาขึ้นช่วยพระชายาหลันอ๋องจัดเครื่องประดับศีรษะ แขนเสื้อหลวมกว้างสีชมพูอ่อนลื่นไหลมาถึงข้อศอกตามการเคลื่อนไหวของนาง เผยให้เห็นท่อนแขนเรียวขาวเนียนหมดจดดั่งรากบัว

ฉวีชิ่นเหยาอยู่ใกล้พวกนางกว่าใคร พอเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจก็เห็นบนแขนสตรีผู้นี้มีเส้นสีทองพาดผ่านผิวพรรณขาวผ่องอย่างเลือนราง เส้นสายนั้นคดเคี้ยวยาวไปจรดกลางฝ่ามือแล้วหายลับไป

ฉวีชิ่นเหยาหนาวสะท้านขนลุกเกรียว เมื่อเห็นสตรีนางนั้นติดตามพระชายาหลันอ๋องออกจากร้านไป นางก็บอกมารดาด้วยความร้อนใจว่า “ท่านแม่ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าในอารามมีงานที่อาจารย์สั่งไว้ยังจัดการไม่เรียบร้อย ข้าคงต้องกลับไปก่อนแล้ว ข้าขอใช้รถม้าด้วยนะเจ้าคะ”

นางกล่าวจบก็ก้าวยาวๆ เดินออกจากร้านไล่ตามไปทันที

 

“นางสะกดรอยตามรถม้าชุยซื่อไปจนถึงวังของเรา?” ลิ่นเซี่ยววางจอกสุราลงด้วยความประหลาดใจ

“ขอรับ” ฉางหรงก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด

เจี่ยงซานหลางกำลังเลือกเครื่องประดับจากถาดไม้จื่อถานลายเมฆมงคล ได้ยินเข้าก็ยิ้มกว้าง เงยหน้ามองฉางหรงแล้วเอ่ยว่า “นายของเจ้าปกติเอาแต่หัวเราะเยาะข้าว่าโดนหญิงขายดอกไม้ยั่วยวนจนหลงใหลโงหัวไม่ขึ้น ตัวเองกลับมาถูกตาต้องใจนักพรตหญิงคนหนึ่ง คราวนี้ดีเลยสิ นางตามไปจนเจอบ้านเจ้าแล้ว มัวแต่รีรออะไรอยู่ ยังไม่รีบกลับไปอีกหรือ”

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน” เขาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ไม่อาจอธิบายให้กระจ่าง จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “วันหน้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”

จากนั้นลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงก็ขี่ม้าเร็วลงแส้กลับวังอ๋อง แต่ว่าถนนสายใหญ่หน้าวังกลับว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว มีรถม้าอยู่สักคันที่ใดกันเล่า

ลิ่นเซี่ยวยังไม่ยอมแพ้ สั่งให้พวกฉางหรงนำพวกเว่ยปอค้นหาทั่วบริเวณอย่างละเอียด พวกเขาค้นหากันนานกว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา

ลิ่นเซี่ยวมีข้อสงสัยผุดขึ้นมามากมาย ตอนรับมือกับปีศาจงูบนเขาหมั่งซานวันนั้น แม่นางน้อยมีพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ ไม่เหมือนคนที่ทำอะไรสะเปะสะปะโดยไร้เป้าหมาย ตกลงวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้นางถึงขั้นติดตามรถม้าของชุยซื่อมาที่วังอ๋อง

ลิ่นเซี่ยวขบคิดมาตลอดทางระหว่างที่เดินเข้าวัง เขาเพิ่งจะเดินเข้าเรือนซือหรู หลี่หมัวมัว ที่รับใช้ข้างกายชุยซื่อก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางใด นางปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม ยอบกายคารวะลิ่นเซี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว พระชายาเชิญท่านไปที่ห้องโถงบุปผาเจ้าค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับท่าน”

ใบหน้าแก่ชรามีริ้วรอยยับย่น กลับยังผัดหน้าทาแป้งเสียหนาเตอะ ในใจลิ่นเซี่ยวรู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก เขากำลังจะออกปากปฏิเสธก็นึกถึงเรื่องในวันนี้ขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนใจ พยักหน้าให้หลี่หมัวมัวแล้วตอบกลับ

“ได้ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกมา”

สองนายบ่าวเดินใกล้ถึงหน้าห้องโถงบุปผาก็ได้ยินเสียงนักดนตรีกำลังบรรเลงบทเพลง ท่วงทำนองสนุกสนานรื่นเริง สะท้อนภาพทิวทัศน์ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่งดงามสดใส เงียบสงบแสนอิ่มเอมใจของฉางอัน

ต้นท้อสองต้นหน้าประตูห้องโถงกำลังผลิบานสะพรั่ง กลีบดอกสีแดงเข้มถูกสายลมพัดจนปลิดปลิวหลุดจากกิ่งท่ามกลางเสียงดนตรีคลอ ก่อกวนความคิดผู้คนให้ล่องลอยไปไกล

ขณะที่ลิ่นเซี่ยวเดินเข้าห้องโถงบุปผา บังเอิญว่ามีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นใส่จอนผมสีดำเข้มดุจน้ำหมึกพอดี ทำให้หลิงหลงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พะยูงหอมใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะคิกคักชอบใจแผ่วเบา

“คิกๆ ไม่คิดว่าพี่ชายที่ปกติเคร่งขรึมไม่ชอบพูดจาล้อเล่น กลับทัดดอกไม้ที่จอนผมเอาอย่างคุณชายเจ้าสำราญข้างนอกนั่น”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของหลิงหลง ก็มีสายตาสองคู่มองตรงมาจากที่นั่งตำแหน่งประธาน หยุดอยู่ที่ร่างของหนุ่มน้อยใต้เงาของดวงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิ

ชุดคลุมยาวสีสดใสดั่งท้องฟ้าโปร่งหลังฝนโปรย พร้อมด้วยสายคาดเอวหินฮั่นไป๋อวี้ รูปร่างสูงสง่าเหยียดตรง อากัปกิริยาสุขุมเยือกเย็น ใบหน้ายิ่งหล่อเหลาคมคายชวนให้นัยน์ตาพร่ามัว ยามที่สวรรค์บรรจงสรรค์สร้างลิ่นเซี่ยวคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงได้ประทานใบหน้าที่หล่อเหลาล้ำเลิศปานนี้โดยไม่เสียดาย ชุยซื่อเบนสายตาออกอย่างเฉยชา แต่หลันอ๋องกลับมีความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม นี่คือบุตรชายคนโตของเขา เป็นบุรุษที่องอาจผึ่งผาย เจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าแสงอาทิตย์แรกยามรุ่งอรุณสามส่วน

ดวงตาเขาแสดงความพึงพอใจที่มีต่อลิ่นเซี่ยวชัดเจน หัวเราะเสียงกังวานแล้วเอ่ยว่า “ลมฤดูใบไม้ผลิช่างก่อกวนใจคนนัก แม้กระทั่งซื่อจื่อก็กล้าแกล้งหยอกเย้า ลองดูสิ จะไม่ให้เหมือนทัดดอกไม้ได้อย่างไร ช่างเถอะ ปล่อยดอกไม้พวกนี้ไป บุตรชายข้ารูปโฉมราวพานอัน ต่อให้เขาทัดดอกไม้ก็ตาม ชายหนุ่มที่จูงม้าทัดดอกไม้ตามถนนในฉางอันยังจะเทียบกับเขาได้หรือ”

ลิ่นเซี่ยวรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ “ท่านพ่ออย่าหัวเราะลูกอีกเลย” ก่อนจะเอ่ยสั่งบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างกายช่วยปัดกลีบดอกท้อที่ร่วงหล่นใส่ศีรษะ

หลันอ๋องยังอยู่ในห้วงอารมณ์คึกคักไม่เปลี่ยน มองหน้าลิ่นเซี่ยวด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“วันนี้เสด็จพี่แต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้ วันหน้าเจ้าก็จะได้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน หน่วยอวี่หลินรักษาการณ์วังหลวง เกี่ยวพันถึงฝ่าบาทและความปลอดภัยของบ้านเมือง เจ้าจงจำไว้ให้มั่นว่าจะต้องละเอียดรอบคอบยิ่งกว่าที่ผ่านมา อย่าได้ทำผิดต่อความไว้วางพระทัยที่เสด็จลุงมีต่อเจ้าเป็นอันขาด”

ลิ่นเซี่ยวเอ่ยรับคำทันที “ขอรับ”

ชุยซื่อยิ้มแล้วเอ่ยเตือนหลันอ๋อง “ท่านอ๋องเจ้าคะ อย่ามัวแต่ดีใจอยู่เลย มีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงอีก”

หลันอ๋องชะงักงันไปชั่วครู่ แล้วยิ้มแย้มออกมาโดยพลัน “ใช่แล้ว วันนี้มีเทศกาลหญิงสาว ได้ยินว่าเสด็จพี่มีพระบัญชาว่าคืนนี้ไม่มีกฎห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล อีกทั้งยังจัดงานชมโคมไฟริมคลองคูเมืองขึ้นเป็นพิเศษด้วย หลิงหลงญาติผู้น้องของเจ้าอยากไปชมดู ถ้าหากคืนนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรก็พานางออกไปชมความคึกคักสักหน่อยเถอะ”

ลิ่นเซี่ยวตอบปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด “น่าเสียดายนัก คืนนี้ลูกมีเรื่องต้องหารือกับเจี่ยงซานหลาง เกรงว่าคงไปเป็นเพื่อนน้องหลิงหลงไม่ได้”

เดิมทีหลิงหลงมองลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้ารอคอย พอได้ยินดังนั้นก็หันไปมองชุยซื่อด้วยแววตาน่าสงสาร

ชุยซื่อเอ่ยออกมาเบาๆ “ท่านอ๋อง…”

หลันอ๋องลูบเคราครุ่นคิด สีหน้าแสดงความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวกับลิ่นเซี่ยว

“ทุกวันเจ้ากับเจี่ยงซานหลางก็เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงด้วยกันอยู่แล้ว มีเรื่องพูดคุยไยไม่พูดเอาตอนนั้น จะต้องมาคุยวันนี้ให้ได้ หลิงหลง เด็กคนนี้เดินทางมาไกลจากโยวโจว ไม่เคยเห็นโคมไฟในเมืองฉางอันมาก่อน แล้วหาได้ยากนักที่วันนี้เป็นเทศกาลหญิงสาว เจ้าสมควรทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดี พานางออกไปเดินเล่น ไม่ต้องบอกปัดอีกแล้ว ตกลงตามนี้ หลังอาหารเย็นเจ้าออกจากวังไปเป็นเพื่อนหลิงหลง”

 

ฉวีชิ่นเหยาแต่งกายเช่นนักพรตน้อย หลบซ่อนอยู่บนรถม้าในตรอกเล็กด้านหลังวังหลันอ๋อง เฝ้ามองวังหลันอ๋องที่อยู่ห่างไกลออกไป

เมื่อเช้านางติดตามสตรีที่นางพบหน้าในหอไจเยวี่ยมาจนถึงวังอ๋อง ตอนแรกคิดว่าจะฉวยโอกาสแฝงตัวเข้าไปข้างใน ใครจะรู้ว่าวังหลันอ๋องคุ้มกันเข้มงวดแน่นหนา นางจับตาดูอยู่พักใหญ่ก็ยังหาหนทางผ่านประตูไปไม่ได้ จำต้องกลับอารามชิงอวิ๋นด้วยความแค้นใจ

พอนึกถึงที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าแมลงกู่ในร่างกายของผู้ใช้กู่คนที่สองจะตื่นขึ้นในอีกไม่นาน นางก็รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย จึงทิ้งจดหมายไว้ให้ฝูหยวนฉบับหนึ่ง พร้อมสั่งกำชับว่าถ้าหากอาจารย์กลับมาให้มอบจดหมายให้ทันที

ส่วนนางก็หยิบคันฉ่องไร้ขอบเขตที่อาจารย์ใช้รับมือกับเป่าเซิงออกมา แล้วก็ซุกเก็บในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง นั่งรถม้ากลับมาที่วังหลันอ๋องอีกครั้ง

นางเฝ้าอยู่ที่เดิมจนกระทั่งท้องฟ้าโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ในที่สุดหน้าประตูก็มีความเคลื่อนไหว มีบ่าวไพร่เดินออกมากลุ่มหนึ่งก่อน พวกเขาจูงม้าหลายตัวและรถม้าคันหนึ่งออกมาจอดนิ่งราวกับว่ากำลังรอคอยใครบางคน

ไม่นานเท่าใดก็มีชายหนุ่มหล่อเหลาองอาจในชุดเสื้อแพรเดินออกมา ฉวีชิ่นเหยาเพ่งพินิจชัดเจนก็พบว่านั่นคือหลันอ๋องซื่อจื่อที่เคยพบบนเขาหมั่งซาน

ข้างกายเขามีเด็กสาวผู้หนึ่งเดินเคียงข้างกันมา นางมีคิ้วและดวงตางามโดดเด่น รอยยิ้มแสนอ่อนหวาน เงยหน้าพูดคุยกับเขาอยู่บ่อยครั้ง

คนทั้งสองเดินมาถึงหน้ารถม้า หลันอ๋องซื่อจื่อก็หยุดฝีเท้า มองดูสาวใช้ประคองเด็กสาวขึ้นรถม้าไป จากนั้นก็หมุนตัวกระโดดขึ้นหลังม้า กระชับสายบังเหียนแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า

ดูจากรูปการณ์แล้ว สองคนนี้คงจะไปชมโคมไฟตรงคลองคูเมืองเป็นแน่

ฉวีชิ่นเหยารีบปล่อยม่านรถม้าลง สั่งให้เหล่าโจวคนขับรถม้าตามรถม้าคันข้างหน้าไปเงียบๆ

ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ฉวีชิ่นเหยาก็นั่งพิงผนังรถม้าครุ่นคิด ผู้ดูแลหอไจเยวี่ยเคยบอกว่าสตรีนางนี้เป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของพระชายาหลันอ๋อง คนทั้งสองความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้น จากที่เห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนหลันอ๋องซื่อจื่อก็ดีต่อนางไม่น้อย ทำให้ฉวีชิ่นเหยาอดปวดศีรษะไม่ได้ ญาติสนิทของวังหลันอ๋องไม่ใช่คนที่ตนจะล่วงเกินโดยง่าย ประเดี๋ยวจะต้องหาวิธีอะไรสักอย่างที่สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้กู่ได้โดยที่ไม่มีใครรู้เห็น

ขณะที่นางกำลังคิดหาวิธี รถม้าก็หยุดชะงักกะทันหันแล้วจอดนิ่งสนิท

ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง กำลังจะเอ่ยถามเหล่าโจวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ เบื้องหน้าก็มีแสงวูบไหว มีคนเลิกผ้าม่านรถม้าอย่างไร้สุ้มเสียง คนผู้นั้นมีดวงตาเปล่งประกายวิบวับดุจดวงดาว อมยิ้มกริ่มมองตรงมาที่นาง

“ตั้งแต่จากกันที่เขาหมั่งซานก็ไม่ได้พบกันเสียนาน ช่วงนี้ท่านนักพรตสบายดีหรือไม่”

ฉวีชิ่นเหยาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “ซื่อจื่อ…”

หลิงหลงกำลังประหลาดใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ลิ่นเซี่ยวจึงสั่งให้หยุดรถม้า ผ่านไปครู่หนึ่งผ้าม่านรถม้าก็เลิกขึ้น มีนักพรตน้อยใบหน้าหล่อเหลาชวนมองก้าวขึ้นมา

แม้ว่าต้าถังจะมีแนวคิดผ่อนปรนเปิดกว้าง ฉะนั้นเรื่องการระวังตัวของบุรุษสตรีจึงไม่เคร่งครัดเท่าราชวงศ์ก่อน แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้บุรุษสตรีนั่งรถม้าคันเดียวกัน

ใบหน้าของหลิงหลงบึ้งตึงลงในพริบตา สาวใช้ข้างกายนางก็ร้องโวยวาย “นักพรตจากที่ใดกัน เหลวไหลสิ้นดี ยังไม่รีบลงไปอีก!”

ฉวีชิ่นเหยาเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ยิ้มแต้เตรียมเอ่ยปากอธิบาย แต่ลิ่นเซี่ยวที่อยู่นอกรถม้าเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องแตกตื่นไป นางคือญาติผู้น้องจากเมืองไกลของเจี่ยงซานหลาง อยากจะออกมาชมโคมไฟถึงได้จงใจแต่งตัวเป็นนักพรตเช่นนี้ แล้วก็ไปทางเดียวกับพวกเราด้วย พวกเจ้านั่งรถม้าคันเดียวกันได้”

หลิงหลงตกตะลึงเล็กน้อย รีบมองสำรวจนักพรตน้อยตรงหน้าอย่างละเอียดก็เห็นจริงดังว่าเพราะนางริมฝีปากแดงฟันขาว ผิวพรรณขาวเนียนดุจหยก นอกจากจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งแล้ว รูปโฉมยังงดงามไม่ธรรมดาอีกด้วย

คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของลิ่นเซี่ยวที่แสดงการปกป้องสตรีนางนี้ หลิงหลงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด ไตร่ตรองถ้วนถี่อยู่สักพักก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าค่ะพี่ชาย หลิงหลงเข้าใจแล้ว”

รถม้าเริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง หลิงหลงลุกขึ้นมาจูงมือฉวีชิ่นเหยาให้นั่งลงข้างกายพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูจากจวนกั๋วกง ช่างมีรูปโฉมงดงามนัก เจ้าก็ออกมาชมโคมไฟ แต่เหตุใดถึงออกมาลำพังล่ะ ไม่กลัวพวกขอทานพาตัวไปหรือ” นางหัวเราะคิกคักแล้วแนะนำตนเอง “ข้าชื่อหลิงหลง เจ้าล่ะ”

“เรียกข้าอาเหยาเถอะ” ฉวีชิ่นเหยานั่งลงข้างหลิงหลง ฉวยโอกาสกุมมือของหลิงหลงเอาไว้ กล่าวชื่นชมจากใจว่า “พี่หลิงหลงต่างหากเล่าที่งามนัก” สายตาเหลือบมองไปที่ข้อมือขาวผ่องดั่งหิมะ ดีจริงเชียว เส้นสีทองเข้มกว่าที่เห็นเมื่อเช้าหลายส่วน ถ้าหากนางเป็นผู้ใช้กู่คนที่สอง พิษกู่ในร่างจะต้องเผยตัวตนออกมาแน่

ฉวีชิ่นเหยาถอนสายตากลับมา เงยหน้ามองหลิงหลง “ฟังจากสำเนียงของท่านแล้ว ท่านไม่ใช่คนฉางอันกระมัง”

หลิงหลงพยักหน้ารับ “ข้าเป็นคนโยวโจว เพิ่งมาที่ฉางอันครั้งแรก หาได้ยากนักที่จะมีการปล่อยโคมไฟเช่นวันนี้ ถึงได้ขอร้องพี่ชายให้พาข้าออกมาชม จริงสิ ยังไม่ได้ถามเลยว่าน้องสาวพักอยู่ที่ใด”

“ข้าก็มาขออาศัยอยู่ที่จวนหลูกั๋วกงชั่วคราว” ฉวีชิ่นเหยาเลิกผ้าม่านรถมองออกไปข้างนอก เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยไม่ตั้งใจ “พี่หลิงหลงดูนี่เร็วเข้า บนท้องถนนคึกคักมากเลย”

ถนนสองข้างทางมีโคมไฟสารพัดรูปแบบแขวนประดับส่องสว่าง ถนนใหญ่ตลอดเส้นทางมีบุรุษและสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดออกมาชมโคมไฟ เหล่าพ่อค้าส่งเสียงร้องเรียกลูกค้าเข้าร้าน หอสุรามีเงาร่างผู้คนวูบไหวไปมา เครื่องสายจากหอดนตรีบรรเลงเพลงต่อเนื่องไม่ขาด ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความมั่งคั่งรุ่งเรือง

นี่คือเมืองฉางอันที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในแผ่นดินนี้

หลิงหลงดวงตาเป็นประกายพลางส่งเสียงอุทานชื่นชมแผ่วเบา

ฉวีชิ่นเหยาลอบมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ พอนางจะเอ่ยปาก รถม้าก็หยุดนิ่งลง เสียงของลิ่นเซี่ยวดังมาจากนอกรถม้า

“ยังไม่ถึงคลองคูเมือง แต่ว่าตรงนี้มีหอดนตรีเลื่องชื่อของเมืองฉางอัน ขับร้องบทเปี้ยนเหวินได้ไพเราะทีเดียว ลงจากรถตรงนี้ก่อน นั่งฟังสักเพลงแล้วค่อยไปต่อ”

“ดียิ่งนัก” หลิงหลงตอบรับด้วยความดีใจ สั่งให้สาวใช้เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นก่อนจะหันมาจูงมือฉวีชิ่นเหยา “ไปเถอะ พวกเราลงจากรถกัน”

 

ร้านสุราข้างทางบรรยากาศคึกคักรื่นเริง กับแกล้มสุราในร้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การตกแต่งร้านเรียกได้ว่าประณีตพิถีพิถัน ส่วนที่โดดเด่นที่สุดก็คือชั้นสองอยู่ตรงข้ามกับหอดนตรี ทัศนวิสัยเปิดกว้าง เป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมสำหรับดื่มด่ำกับบทเพลง

ลิ่นเซี่ยวเดินนำหลิงหลงและฉวีชิ่นเหยาขึ้นมาที่ชั้นบน เลือกห้องส่วนตัวที่เงียบสงบห้องหนึ่ง พวกเขานั่งลงไล่เรียงกันตามลำดับ

แม้ว่าฉางหรงจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของลิ่นเซี่ยว แต่ว่าที่นั่งอยู่กับคุณชายเป็นกุลสตรีในห้องหอทั้งสองคน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาจึงต้องมานั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่าง กินอาหารร่วมกับบ่าวไพร่ที่เหลือแทน

ลิ่นเซี่ยวมองหน้าฉวีชิ่นเหยาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับหลิงหลงกินอาหารเย็นแล้วถึงออกมา เจ้าล่ะ กินอะไรมาแล้วหรือยัง”

ตอนนี้ฉวีชิ่นเหยาเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังหิว นางเอามือลูบท้อง ส่งยิ้มกว้างเห็นฟันขาวด้วยความเกรงใจ “ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้เริ่มรู้สึกหิวนิดหน่อยแล้ว”

ลิ่นเซี่ยวเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหารพลางคิดไปว่าฉวีชิ่นเหยามีฐานะเป็นนักพรต ไม่รู้ว่ามีข้อห้ามใดเรื่องอาหารการกินหรือไม่ ทบทวนดูแล้วก็สั่งอาหารมังสวิรัติมาสองสามอย่าง เสี่ยวเอ้อร์กำลังจะเดินจากไป ลิ่นเซี่ยวก็นึกขึ้นได้ว่ากว่าอาหารจะทำเสร็จเรียบร้อยต้องใช้เวลา กลัวว่าฉวีชิ่นเหยาจะหิ้วท้องรอนานเกินไป จึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์กลับมาอีกและสั่งความเพิ่มเติมว่า “รีบยกอาหารว่างมาก่อน”

ฉวีชิ่นเหยาลอบชื่นชมความละเอียดรอบคอบของลิ่นเซี่ยว หลิงหลงกลับไม่เคยเห็นลิ่นเซี่ยวเอาใจใส่ใครอย่างทั่วถึงมาก่อน ที่ผ่านมาเวลาคนทั้งสองพบหน้ากันในจวน ถ้าหากเขาไม่พูดน้อยประหยัดถ้อยคำ ก็ต้องผลักไสให้อยู่ห่างเป็นพันหลี่ มีหรือจะแสดงสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นนี้

ในใจนางดุจมีคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลรอยยิ้มบนใบหน้ากลับกดลึกลงไปกว่าเดิม

“คิดว่าพี่ชายคงจะเป็นแขกประจำของร้านสุรานี้ แม้กระทั่งเวลาสั่งอาหารก็คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ ไม่รู้ว่าใกล้ๆ แถวนี้ยังมีร้านใดน่าอร่อยน่าสนุกอีกบ้าง อีกประเดี๋ยวพี่ชายจะต้องพาข้ากับน้องอาเหยาไปเดินเที่ยวเล่นให้ทั่วแล้ว”

ที่แท้นางชื่ออาเหยา

ลิ่นเซี่ยวหันไปมองฉวีชิ่นเหยา เขารู้แค่ว่านางเป็นบุตรสาวของไท่สื่อลิ่งฉวีเอินเจ๋อ ร่างกายป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เล็ก ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าญาติพี่น้องและสหาย การมีตัวตนของนางเกือบคล้ายกับเงาอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่มีทางรู้ชื่อของนางได้เลย และยิ่งไม่มีทางสืบได้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงมาเป็นนักพรต

หลิงหลงรออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีการตอบรับจากลิ่นเซี่ยว นางรู้สึกใกล้จะประคองใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ฉวีชิ่นเหยาสังเกตเห็นจึงรีบออกหน้าแก้ไขสถานการณ์

“แม้ข้าจะไม่ค่อยออกจากบ้าน แต่ก็รู้ว่าใกล้ๆ แถวนี้มีร้านหนึ่งทำผลอิงเถา สดราดนมหมักได้อร่อยมาก ปกติแล้วจะมีคนต่อแถวรอซื้อยาวเหยียดเลยเชียวล่ะ ร้านนั้นห่างไปไม่ไกลด้วย อยู่ที่ตรอกหย่งชุนข้างๆ ที่นี่เอง เอาไว้พวกเราไปลองซื้อมาชิมดูดีหรือไม่เจ้าคะ”

หลิงหลงหัวเราะออกมาโดยพลัน “แหม ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้รอบรู้เรื่องฉางอัน เยี่ยมไปเลย พี่ชายไม่สนใจใครก็ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเกาะติดแต่เจ้า ห้ามรังเกียจว่าข้าน่ารำคาญเหมือนพี่ชายล่ะ”

ลิ่นเซี่ยวยกจอกสุราขึ้นดื่มคำหนึ่งโดยไม่เอ่ยตอบอะไรออกมาเลย

หลิงหลงก็เลิกสนใจเขาไปโดยสิ้นเชิง ลากตัวฉวีชิ่นเหยาไปยืนที่ริมหน้าต่าง ชี้ชวนดูโคมไฟท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

หอดนตรีฝั่งตรงข้ามตั้งแท่นการแสดงร่ายรำชุดหนึ่งตรงกลางถนน เงาร่างของคณะนักแสดงสะท้อนเป็นภาพเลือนรางอยู่ด้านหลังม่าน เสียงดนตรีบรรเลงค่อยๆ ดังขึ้น ละครน่าสนุกกำลังจะเปิดฉากแล้ว

เสียงร้องแหลมสูงของนักแสดงดังกังวานขึ้นพร้อมกัน ผู้ชมรอบทิศทางต่างยื้อแย่งกันโห่ร้องชื่นชม บทเพลงที่จะแสดงในวันนี้ก็คือ ‘ทำนองสยบมาร’ พระเซ่อลี่ สวมหน้ากากใบหน้าดุร้ายขึ้นเวที ต่อสู้ปะทะภูตผีปีศาจที่ไร้รูปร่างอย่างทรงพลังน่าเกรงขาม เสียงร้องที่ขับขานแหลมสูงก้องกังวาน ท่วงทำนองแปรเปลี่ยนไร้จุดสิ้นสุด น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในอากาศราวกับมีกลิ่นอายชวนขนลุกฟุ้งกระจายในพริบตา

“เจ้ากลัวหรือไม่” หลิงหลงกระซิบถามฉวีชิ่นเหยา

ฉวีชิ่นเหยายิ้มแล้วส่ายหน้า

“ข้าไม่ค่อยชอบดูการแสดงบทเปี้ยนเหวินเท่าไร จำได้ว่าตอนยังเล็ก ทุกครั้งที่ดูจะต้องฝันร้ายน่ะสิ” หลิงหลงกุมมือของฉวีชิ่นเหยาเอาไว้แน่น

ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกตึงเครียดหรือหวาดกลัว ฉวีชิ่นเหยาสัมผัสได้ว่าเล็บยาวของหลิงหลงกรีดลงที่ข้อมือของนางจนเจ็บเล็กน้อย

นางพยายามหลบเลี่ยงสัมผัสของหลิงหลงอย่างเยือกเย็น แต่เมื่อหลิงหลงกรีดร้องตกใจออกมา ก็กุมมือของนางเอาไว้แน่นอีกครั้งพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว “กิริยาท่าทางของพระอรหันต์องค์นี้น่ากลัวเหลือเกิน”

ฉวีชิ่นเหยามีสีหน้าเย็นชา สลัดข้อมือจากการเกาะกุมของหลิงหลงอย่างเชื่องช้าและแน่วแน่

หลิงหลงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองฉวีชิ่นเหยา สีหน้าที่เคยแตกตื่นลนลานค่อยๆ จางหายไป ในดวงตามีคลื่นอารมณ์ปั่นป่วนไม่ชัดเจนพลุ่งพล่านอยู่

ฉวีชิ่นเหยาสบสายตากับนางอย่างเงียบงัน ไม่นานด้านหลังก็มีคนเดินเข้ามาใกล้

“คราวก่อนเจี่ยงซานหลางยังบอกกับข้าว่าเจ้าขี้กลัวมาแต่เล็ก ไม่เคยกล้าชมบทเปี้ยนเหวินเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เหตุใดวันนี้ทำใจแข็งกล้าชมขึ้นมาได้ล่ะ” ลิ่นเซี่ยวกล่าวพลางเดินเข้ามาแทรกฉวีชิ่นเหยาออกจากหลิงหลงอย่างแนบเนียน

ดวงตาของหลิงหลงยิ่งลึกล้ำกว่าเดิม มุมปากกระตุกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น นางเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นว่า “ดูท่าน้องอาเหยาคงเหมือนกับข้า หาโอกาสออกมาเดินเล่นได้ยากนัก ก็เลยไม่สนใจความกลัวแล้ว” พอหันกลับมาก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์ทยอยยกจานอาหารว่างมาขึ้นโต๊ะ นางส่งเสียงทอดถอนใจก่อนเอ่ยชื่นชม “อาหารว่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์เสียจริง เห็นเข้าข้าก็หิวอีกแล้ว น้องอาเหยา รีบมากินกันเถอะ”

ฉวีชิ่นเหยามีสีหน้าผ่อนคลายลง ยิ้มแย้มบางเบา เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ

ขณะกำลังกินอาหารว่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกกาสุราไห่ถังที่อุ่นเรียบร้อยแล้วมาขึ้นโต๊ะ อธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นี่คือสุราชื่อไห่ถัง หลงจู๊ของร้านเราเป็นผู้หมักเองกับมือ มีฤทธิ์อุ่นกำลังดี ไม่ทำให้เมามายโดยง่าย ต่อให้เป็นสตรีก็สามารถดื่มได้ คุณหนูทั้งสองลองชิมได้นะขอรับ”

แม้ว่าฉวีชิ่นเหยาจะแต่งกายเป็นนักพรตน้อย แต่เสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับแขกเหรื่อมานานปี มีคนเช่นไรบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตั้งแต่ตอนฉวีชิ่นเหยาเดินเข้ามา เขาก็มองออกแล้วว่านางคือสตรี

หลิงหลงปรบมือหัวเราะเสียงใส “ร้านของพวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ สุรานี้กลิ่นหอมหวน ตรงกับความชอบของข้าพอดี” นางรับกาสุรามาโดยไม่เอ่ยปฏิเสธ ช่วยรินสุราให้ลิ่นเซี่ยวและฉวีชิ่นเหยา ตามด้วยรินให้ตนเองจนเต็มปริ่มแล้วยกจอกสุราขึ้นพลางเอ่ย “พี่ชาย น้องอาเหยา ข้าตัวคนเดียวเพิ่งมาฉางอันครั้งแรก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำตัวไม่เหมาะสม โชคดีที่พี่ชายดูแลเอาใจใส่ถึงไม่ก่อเรื่องน่าอับอาย วันนี้ได้พบหน้าน้องอาเหยาดั่งพบคนรู้จักมานาน ข้ารู้สึกยินดีจากใจ มา ข้าขอคารวะพวกเจ้าก่อนหนึ่งจอก”

นางเผยรอยยิ้มจริงใจ วาจาน่าเชื่อถือ ฉวีชิ่นเหยาหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้เลย ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น ข้างกายก็มีมือเรียวขาวหมดจดยื่นออกมารับจอกสุราไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “อาเหยาร่างกายอ่อนแอแต่เล็ก ไม่เหมาะจะดื่มสุรา ตกลงสุราจอกนี้ข้าจะดื่มแทนนางเองแล้วกัน”

ฉวีชิ่นเหยาหันไปมองลิ่นเซี่ยวอย่างตกตะลึง ใบหน้าหลิงหลงก็ชะงักค้างในพริบตา

ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนเข็มร่วงหล่นยังได้ยินเสียง

สีหน้าของหลิงหลงแปรเปลี่ยนสลับไปมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่ชายคอยปกป้องน้องอาเหยาปานนี้ คนที่ไม่รู้ความจะนึกไปว่านางต่างหากที่เป็นญาติผู้น้องของท่าน” นางนิ่งเงียบไป เห็นว่าลิ่นเซี่ยวยังไม่แตะต้องจอกสุราของตนเองก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “จอกสุราของพี่ชายยังไม่ได้ดื่มเลยนะเจ้าคะ”

ลิ่นเซี่ยวยิ้มออกมาบางๆ จังหวะที่จะยกจอกสุราขึ้น นอกหน้าต่างก็มีเสียงดังปุ้งสนั่นหวั่นไหว กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับมีดาวตกนับไม่ถ้วนพาดผ่าน ชั่วอึดใจเดียวก็กลายเป็นแสงงดงามหลากสีสันกระจายออกมา ทั้งเหมือนจริงและคล้ายภาพลวงตาที่เจิดจ้าหาใดเปรียบ

“นั่นดอกไม้ไฟ…” ฉวีชิ่นเหยาอุทานอย่างตกตะลึง จูงมือหลิงหลงเดินมาที่หน้าต่าง

ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนมีดอกไม้ไฟส่องสว่างพร่างพราวราวกับกลางวัน ผู้คนที่รายล้อมแท่นการแสดงต่างโดนทิวทัศน์งดงามตรงหน้าดึงความสนใจไป พวกเขาตกตะลึงพร้อมแหงนหน้ากวาดสายตามอง มีเพียงนักแสดงที่แต่งกายเป็นภูตผีไม่เสียสมาธิ ยังคงขับขานบทเพลงน้ำเสียงแผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ต่อ

“งดงามจริงๆ สมแล้วที่เป็นฉางอัน” ใบหน้าหลิงหลงที่ส่องสะท้อนโดดเด่นภายใต้แสงดอกไม้ไฟสีสันแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ประกายในดวงตาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ทำให้คนสังเกตสีหน้านางได้ไม่ชัดเจน

คนทั้งสองยืนชื่นชมตรงหน้าต่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จนกระทั่งดอกไม้ไฟถูกจุดหมดแล้วถึงได้กลับมานั่งที่โต๊ะ

หลิงหลงเพิ่งจะนั่งลง มองปราดไปเห็นจอกสุราตรงหน้าลิ่นเซี่ยวว่างเปล่า ดวงตามีประกายร้อนแรงวูบหนึ่ง นางก็รีบยกกาสุราขึ้นช่วยรินให้เต็มจอกอีกครั้ง

ตอนออกมาฉวีชิ่นเหยาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเนื้อบาง เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามดึกไปทุกขณะ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องหน้าต่างมากระทบ สัมผัสได้เพียงว่าความหนาวเย็นปกคลุมทั่วร่าง นางสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“รู้สึกหนาวหรือ” ลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นในทันที

ฉวีชิ่นเหยารีบเหยียดหลังนั่งตัวตรงพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าในใจกลับร้องโอดครวญ ตอนนางออกจากอารามชิงอวิ๋นรีบร้อนเกินไป จึงสวมชุดตัวในมาเพียงสองชิ้น แม้กระทั่งเสื้อคลุมก็ลืมสวมมา เวลานี้จึงรู้สึกหนาวจนเกือบทนไม่ไหวอยู่บ้าง

ลิ่นเซี่ยวขยับลุกขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ลมช่วงดึกแรงนัก อีกสักพักกลัวว่าจะหนาวยิ่งกว่านี้ ชุดของเจ้าบางเกินไปแล้ว เช่นนี้จะทนได้อย่างไร เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้ากลับจวน”

“เอ่อ…คือ…” ฉวีชิ่นเหยายิ้มอย่างลำบากใจ

สีหน้าของหลิงหลงย่ำแย่ลงทันใด นี่เพิ่งจะออกมาได้นานเพียงใดกันเชียว ละครร้องรำยังฟังไม่ทันจบ แค่เด็กสาวชื่ออาเหยามีท่าทีว่าหนาว แม้กระทั่งคลองคูเมืองก็ไม่ไปแล้วหรือ ในใจนางมีความเปรี้ยวคละคลุ้งแทบมีฟองผุดออกมา ลอบขบฟันกรอดซ้ำแล้วซ้ำอีก

กว่าจะกดข่มความเปรี้ยวฝาดในลำคอได้ไม่ง่ายเลย ดวงตาแฝงรอยยิ้มของนางมองไปทางฉวีชิ่นเหยาพลางเอ่ย “ข้าไม่เป็นไรหรอก กลัวก็แต่ว่าน้องอาเหยานานๆ จะได้ออกมาสักครั้ง จะยังไม่ทันเดินเล่นให้สมใจ เอาอย่างนี้สิ ตอนข้าออกมามีเสื้อคลุมติดมาด้วย อยู่ในรถม้านี่เอง ถ้าหากน้องอาเหยาไม่รังเกียจ ข้าจะให้สาวใช้ไปหยิบมา เจ้าก็สวมไว้ก่อน”

‘ยังอยากเดินเล่นต่อหรือไม่’ ลิ่นเซี่ยวขยับปากถามฉวีชิ่นเหยาโดยไร้เสียง และรอฟังความคิดเห็นของนาง

ฉวีชิ่นเหยาแอบมองข้อมือของหลิงหลง เปรียบเทียบกับตอนที่เห็นบนรถม้าแล้วเส้นสีทองตรงข้อมือกลับจางลงไปมาก ไม่เพ่งมองให้ดีก็มองไม่เห็น นางตกใจไม่น้อย เปลี่ยนความคิดของตนเองในพริบตา เอามือแตะหน้าผากแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณน้ำใจของพี่สาวมากเจ้าค่ะ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คงเป็นเพราะเมื่อครู่โดนลมเย็นเข้าแล้ว คงต้องกลับบ้านก่อน เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสค่อยออกมาเที่ยวเล่นกับพี่สาวอีกครั้ง”

“เหตุใดจู่ๆ ถึงปวดหัวขึ้นมาได้ล่ะ จะต้องเรียกท่านหมอไปดูอาการที่จวนหรือไม่” ดวงตาหลิงหลงสว่างวาบขึ้นเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น แต่ฉวีชิ่นเหยาสังเกตเห็นอย่างชัดเจน เพียงชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของหลิงหลงก็กลับมาแสดงความห่วงใยดังเดิม

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” ฉวีชิ่นเหยาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหันไปบอกลิ่นเซี่ยวว่า “ท่านพี่ซื่อจื่อ รบกวนท่านส่งข้ากลับจวนหลูกั๋วกงด้วยเถอะ”

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เรือนอี้จู่ที่ร้างไร้ผู้คนมานานปรากฏแสงโคมไฟวูบไหว เด็กสาวผู้หนึ่งวางโคมไฟลงบนโต๊ะ อาศัยแสงสลัวจากโคมไฟมองสำรวจไปรอบด้าน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้วยความกระวนกระวาย

เขาจะมาหรือไม่นะ…

นางเฝ้ารอความเคลื่อนไหวภายนอกอย่างใจจดใจจ่อ ใส่ของสิ่งนั้นลงไปแล้ว ป่านนี้น่าจะออกฤทธิ์ได้เสียที ความจริงพรุ่งนี้ค่อยลองหยั่งเชิงเขาก็ได้ แต่นางรอมานานเหลือเกิน กว่าจะสบโอกาสลงมือไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่อยากรอต่อไปอีกสักชั่วขณะเดียว

นางมีภาพที่วาดหวังไว้อย่างเลือนราง บุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนั้น ยามที่จิตใจเกิดความหวั่นไหวจะแสดงอาการเช่นไร จะคอยถามไถ่เอาใจใส่ดูแลเหมือนดังที่ปฏิบัติต่อสตรีอื่นวันนี้หรือไม่

พอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ว นางก็ขบกัดริมฝีปากล่างด้วยความขุ่นเคือง นางก็แค่ชาติกำเนิดต่ำต้อยไปบ้าง ถ้าหากกล่าวถึงรูปโฉม กล่าวถึงความสามารถ นางด้อยกว่าสตรีที่พบหน้าวันนี้ตรงที่ใดกัน เขาอาจจะหลีกเลี่ยงความข้องเกี่ยวกับท่านอาแต่ในนามของนาง ความบาดหมางก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน นางก็เป็นแค่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดึงมาใช้เป็นหมากเท่านั้น แต่เขาช่างใจร้ายเสียจริง แม้กระทั่งมองก็ยังไม่ยอมมองนางเลย

เรื่องน่าขบขันที่สุดก็คือท่านอาแต่ในนามผู้นั้น ตนเองแต่งเข้ามาเป็นภรรยาใหม่ของผู้อื่นยังไม่พอ ต้องการจะผลักดันให้นางเป็นอนุภรรยาอีก ‘ท่านอ๋องพอใจเจ้ามาก แต่ว่าความหมายของเขาก็คือชาติกำเนิดของเจ้าต่ำต้อยไปสักนิด จะให้เป็นชายาซื่อจื่อคงไม่ได้หรอก’

แค่เพราะชาติกำเนิดต่ำต้อย ข้าก็เลยเป็นได้แค่อนุภรรยาที่ใช้รูปโฉมยั่วยวนบุรุษอย่างนั้นหรือ

นางหลุดหัวเราะ นางไม่เชื่อโชคชะตาเสียอย่าง และมีวิธีที่จะทำให้ซื่อจื่อมาหลงรักนาง เขาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองถึงเพียงนั้น อายุยังน้อยก็มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน ขอแค่เขายอมรับและตั้งใจว่าจะทำแล้ว เขาต้องมีวิธีแต่งนางเป็นภรรยาเอกแน่

ถึงตอนนั้น…นางเงยหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิ กวาดสายตาประเมินของตกแต่งล้ำค่าเต็มห้อง ตำแหน่งนายหญิงของวังหลันอ๋องจะต้องตกเป็นของนาง

ประตูเรือนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เสียงฝีเท้าดังขึ้นในลานเรือนอย่างกะทันหัน

มีคนเดินเข้ามาแล้ว?! หลิงหลงดวงตาเป็นประกาย

เป็นเขา! นางลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วก็นั่งลงไปอีก ยกมือขึ้นจัดจอนผมด้วยความประหม่า จากนั้นก็รีบร้อนตบรอยพับจีบบนกระโปรง รอจนกระทั่งมีคนผลักประตูเดินเข้ามา นางก็แสดงสีหน้าสับสนได้จังหวะพอเหมาะพอดี “พี่ชาย?”

คนที่เดินเข้ามาเป็นลิ่นเซี่ยวดังคาด แสงโคมไฟสีส้มอมเหลืองสาดส่องใบหน้าไร้ที่ติของเขา แม้กระทั่งสีหน้าเฉยชาเป็นนิตย์ก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน

ชั่วขณะที่เขาสบตาหลิงหลงอย่างเงียบงัน ก็ก้าวเข้ามาหานางอย่างช้าๆ

แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างจากภาพที่หลิงหลงเฝ้ารอ ลิ่นเซี่ยวยังเดินมาไม่ถึงตรงหน้านางก็ชักกระบี่วางพาดลำคอนางอย่างฉับไวเสียก่อน

หลิงหลงไม่ทันได้ตั้งตัว รอยยิ้มอ่อนหวานนุ่มนวลชะงักค้าง “พี่ชาย นี่ท่านจะทำอะไรกัน”

“ไม่คิดว่าเจ้าอายุเท่านี้กลับรู้จักวิชามารชั่วช้าไม่น้อย ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป” ลิ่นเซี่ยวมองสีหน้าหลิงหลงด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขายังประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับสาดประกายเย็นเยียบบาดลึกถึงกระดูก

ตามด้วยเสียงเท้าดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบที่ลานด้านนอก

ความคิดของหลิงหลงยังแข็งค้างอยู่กับคำพูดของลิ่นเซี่ยว เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันทันใดทำให้จิตใจของนางยิ่งสับสนวุ่นวาย ข้างลำคอยังมีกระบี่วางพาด นางไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช ทำได้เพียงฝืนกลอกตามองออกไปด้านนอก

ประตูเรือนเปิดกว้าง คนกลุ่มหนึ่งสวมเครื่องแบบองครักษ์วังอ๋องก้าวเข้ามา

คนที่เดินนำหน้าก็คือฉางหรง เขากับเว่ยปอช่วยกันยกสิ่งของบางอย่างที่มีผ้าม่านสีดำห่อหุ้ม เดินเข้ามาถึงตรงกลางห้อง แล้ววางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง

จู่ๆ ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าเบาบางกระจายอยู่ในอากาศ

หัวใจหลิงหลงพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ความทรงจำบางส่วนที่นางจงใจลืมเลือนไปปรากฏในห้วงความคิดไม่หยุดหย่อน กลิ่นดินสีเข้มคละคลุ้งคาวเลือดไหลทะลักเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน นางกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว จับจ้องที่ผ้าผืนนั้นไม่ละสายตาเลยสักชั่วขณะเดียว

ลิ่นเซี่ยวไม่สนใจมองนางอีก กล่าวกับคนนอกประตูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงว่า “เจ้าก็เข้ามาเถอะ”

ทันทีที่กล่าวจบก็มีนักพรตน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา มือข้างซ้ายของนางถือห่อผ้า มือข้างขวาของนางหิ้วกรงขังหนูตัวหนึ่งเอาไว้ สายตาปรายมองไปทางหลิงหลงแวบเดียว ก็เดินตรงมาที่กลางห้องอย่างเชื่องช้า

หลิงหลงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน่าตื่นตะลึงแล้ว ตอนนี้ประสาทของนางตึงเครียดถึงขีดสุด แต่นางก็สงบสติอารมณ์ลงได้

นางเร่งปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกชวนน่าสงสาร “น้องอาเหยา พี่ชาย ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

สตรีนางนี้เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ เลื่อนกระบี่ที่พาดคอนางออกอย่างเย็นชาแล้วสั่งให้ฉางหรงมัดตัวนางเอาไว้

เขามองออกไปที่ประตูเรือน รอคอยอย่างอดทน ไม่นานนอกเรือนก็มีเสียงเอะอะโวยวายลอยมาระลอกหนึ่งตามคาด สาวใช้และผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมหลันอ๋องที่ยังสะลึมสะลือไม่ตื่นดี รวมถึงชุยซื่อที่มีสีหน้าโกรธจัดเดินเข้ามาแล้ว

ฉวีชิ่นเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างลอบส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความประหลาดใจ วันนี้เห็นทีจะมีละครฉากใหญ่จริงๆ ด้วย เจ้านายของวังหลันอ๋องมากันพร้อมหน้าไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คนเดียว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: