X
    Categories: ทดลองอ่านบุปผารัตติกาลแห่งฉางอันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 4

“ซื่อจื่อ ท่านคิดจะทำอะไรกัน”

พอมองเห็นหลิงหลงถูกมัดแน่นจนดิ้นไม่หลุดนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง ชุยซื่อก็ทั้งตกใจทั้งโมโห เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “อยู่ดีๆ เหตุใดต้องเหยียดหยามหลิงหลงถึงเพียงนี้ หากคิดจะก่อเรื่องก็รู้จักขอบเขตบ้าง!”

ความง่วงงุนของหลันอ๋องก็สลายหายไปหมดสิ้น “เหลวไหล!” เขาหันไปทางพวกหลี่หมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างชุยซื่อ “พวกเจ้ามัวยืนนิ่งเฉยอะไรอยู่ ยังไม่รีบเข้าไปแก้มัดให้นางอีก”

ลิ่นเซี่ยวปรายตามองพวกหลี่หมัวมัวที่กรูเข้าใส่อย่างเฉยชา

หลี่หมัวมัวเจอประกายเย็นเยียบในดวงตาลิ่นเซี่ยวข่มขวัญจนหยุดชะงักไปด้วยความขลาดกลัว

“ท่านพ่อ” ลิ่นเซี่ยวคารวะหลันอ๋องอย่างสุขุมเยือกเย็น “ลูกไม่เคยจงใจหาเรื่องผู้ใด ความจริงแล้วเวลานี้มีพวกคนถ่อยต่ำช้าแฝงตัวเข้ามาในวังอ๋อง ถ้าหากไม่รีบกำจัดโดยเร็ว เกรงว่าอาจมีอันตรายกับสุขภาพของท่านพ่อได้ ขอให้ท่านพ่อโปรดฟังลูกชี้แจงอย่างละเอียดก่อน”

สีหน้าของหลันอ๋องแสดงความลังเลใจ ยามนั้นเองเสียงของชุยซื่อก็หวีดแหลมสูงขึ้นทันควัน

“ซื่อจื่อหมายความว่าหลานสาวของข้าเป็นคนถ่อยต่ำช้าอย่างนั้นรึ”

หางตาลิ่นเซี่ยวคร้านจะเหลียวแลชุยซื่อ เขาเดินมาที่โต๊ะแล้วเปิดห่อผ้าที่ฉวีชิ่นเหยานำติดตัวมา

หลิงหลงเหลือบตามองแวบหนึ่ง นั่นมิได้อยู่เหนือความคาดหมายของนาง ข้างในห่อผ้าเป็นสุราและอาหารว่างจากหอจุ้ยเซียง นางลอบหัวเราะอยู่เบาๆ และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“เจ้ารู้จักสุราอาหารพวกนี้หรือไม่” ลิ่นเซี่ยวทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าหลิงหลง ความสนุกที่ฉายในดวงตายิ่งลึกล้ำ ราวกับพรานนักล่ากำลังชื่นชมการดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์ของเหยื่อ

ทันใดนั้นหลิงหลงก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมา

“ท่านอ๋อง ท่านอา วันนี้หลิงหลงออกไปชมโคมไฟกับพี่ชาย ระหว่างทางพบกับน้องสาวคนหนึ่งชื่ออาเหยา ต่อมาพี่ชายก็พาพวกเราไปชมการแสดงบทเปี้ยนเหวินที่หอจุ้ยเซียง สุราไห่ถังของที่นั่นกลิ่นหอมนัก อาหารว่างก็รสชาติอร่อย แต่น่าเสียดาย ไม่นานน้องอาเหยาก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย แม้แต่บทเปี้ยนเหวินพวกเราก็ยังฟังไม่ทันจบ ต้องแยกย้ายกันกลับจวนแล้ว” นางหันหน้ามองตรงไปที่ฉวีชิ่นเหยา “น้องอาเหยา ตอนนั้นเจ้าบอกเองว่าปวดหัว ต้องกลับจวนหลูกั๋วกง เหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่กับพี่ชายได้เล่า”

เวลานี้หลันอ๋องกับชุยซื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องมีนักพรตน้อยแปลกหน้าเพิ่มมาคนหนึ่ง

ชุยซื่อมองประเมินฉวีชิ่นเหยาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน เพราะอะไรถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”

ฉวีชิ่นเหยาหัวเราะโดยไร้เสียง หลิงหลงผู้นี้รับมือไม่ง่ายเลยจริงๆ วาจาเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็เปลี่ยนเป้าธนูให้ย้ายมาที่นางได้สำเร็จ

นางสำรวจความเรียบร้อยของชุดนักพรตโดยไม่สะทกสะท้าน ก้าวออกมาข้างหน้าคารวะหลันอ๋องกับชุยซื่ออย่างนอบน้อม “ข้าน้อยมีฉายาว่าหยวนเจิน เป็นศิษย์นอกสำนักของนักพรตชิงซวีจื่อแห่งอารามชิงอวิ๋น หลายวันก่อนหน้านี้ซื่อจื่อบอกว่าในวังมีบางอย่างผิดปกติ อยากเชิญให้ท่านอาจารย์มาตรวจดูสักหน่อย แต่เพราะท่านอาจารย์ไม่อยู่ที่ฉางอัน งานทุกอย่างในอารามมีข้าน้อยเป็นผู้ดูแลชั่วคราว ข้าน้อยก็เลยติดตามซื่อจื่อมาที่วังหลันอ๋อง เรื่องราวเร่งด่วนไม่ทันได้แจ้งกับท่านอ๋องและพระชายาให้ทราบก่อน ขอทั้งสองท่านโปรดอย่าได้ถือสา”

แม้ว่าหลันอ๋องจะไม่ได้เลื่อมใสศรัทธานักบวชนักพรตอย่างเชื้อพระวงศ์รายอื่นในฉางอัน แต่ว่าชื่อเสียงเรียงนามของชิงซวีจื่อในอดีตเขาก็พอได้ยินมาบ้าง พอเห็นว่านักพรตน้อยกล่าววาจามีเหตุมีผล ท่าทีสุขุมมีมารยาท ความหวาดระแวงจึงหายไปกว่าครึ่ง

ลิ่นเซี่ยวแสดงสีหน้าชื่นชมฉวีชิ่นเหยาเงียบๆ พลางอธิบายกับหลันอ๋องต่อ

“คืนนี้ตอนอยู่ที่หอจุ้ยเซียง หลิงหลงฉวยโอกาสที่ลูกไม่ทันระวังตัว ใส่พิษกู่ลงในสุราของลูกกับนักพรตหยวนเจิน โชคดีที่นักพรตหยวนเจินสังเกตเห็นก่อน หลิงหลงถึงได้ทำไม่สำเร็จตามแผน” ระหว่างที่เขาอธิบายก็ผายมือเชิญฉวีชิ่นเหยาไปด้วย

ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้า หยิบอาหารว่างในห่อผ้าออกมา นำไปวางในกรงที่มีหนูตัวนั้นอยู่

เจ้าหนูตัวใหญ่ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็กินขนมชิ้นเล็กนั้นจนหมด

ทุกคนต่างพากันกลั้นลมหายใจ มองไปทางหนูในกรงด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เจ้าหนูยังเล่นหางของตนเองอย่างเริงร่าด้วยซ้ำ จนกระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูป มันก็มีอาการกระสับกระส่าย เริ่มจากเอาอุ้งเท้าเขี่ยใบหูของตนเอง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องโวยวาย เอามือกุมหน้าอกและหน้าท้องสะเปะสะปะ ชักกระตุกอยู่ไม่เท่าไร ร่างกายอ้วนพีของเจ้าหนูก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงซากศพหนูที่แห้งกรังตัวหนึ่ง

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ชุยซื่อตื่นตระหนกจนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากอาเจียนแห้งๆ ออกมา

ด้านหลันอ๋องหันไปมองฉวีชิ่นเหยาด้วยความหวาดกลัว “นี่มัน…”

ฉวีชิ่นเหยาค้อมกายตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง พิษกู่ชนิดนี้มีชื่อว่าเคียงคู่นิรันดร์ เป็นกู่ที่มีสองเพศ กู่ผูกใจสามารถล่อลวงจิตใจของบุรุษที่หมายปอง กู่พิษสามารถทำร้ายคนที่ต้องการจะกำจัดทิ้งได้ เป็นกู่ประหลาดอันดับหนึ่งที่โหดเหี้ยมหาใดเปรียบ เป็นอย่างที่ท่านเห็น สิ่งที่อยู่ในอาหารว่างชนิดนี้ก็คือกู่พิษ แต่สิ่งที่อยู่ในจอกสุราของซื่อจื่อคือกู่ผูกใจ หนูตัวเล็กจึงทำให้พิษกำเริบได้รวดเร็วกว่า ถ้าหากใช้กับคน จะต้องรอหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะเห็นผล”

หลันอ๋องเติบโตมาในวังหลวงตั้งแต่เล็ก เคยพบเห็นอุบายร้อยเล่ห์มารยาของสตรีมาจนชินตา แต่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ผู้อื่นนำอุบายเช่นนี้มาใช้กับบุตรชายตนเอง เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ความเห็นอกเห็นใจที่เคยมีให้หลิงหลงแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังในพริบตา

“เจ้าถึงขั้นใช้กู่มาล่อลวงซื่อจื่อ เจ้าช่างบังอาจนัก!”

“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ” ชุยซื่อรีบแก้ต่างแทนหลิงหลง “ฟังความจากนักพรตหญิงเพียงข้างเดียวแล้วจะแน่ใจได้อย่างไร นางเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง อยู่ดีๆ มาแต่งกายเป็นนักพรต มีเรื่องน่าสงสัยอยู่เต็มไปหมด ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกต้มตุ๋นที่โผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้!”

ชุยซื่อหันไปทางฉวีชิ่นเหยาด้วยแววตาโกรธจัด “เจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าหลิงหลงเป็นคนใส่พิษกู่ลงไป ถ้าหากไม่มี เพราะอะไรถึงมาใส่ร้ายป้ายสีหลิงหลงเช่นนี้”

หลิงหลงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจให้ดูน่าสงสาร “ไม่รู้ว่าหลิงหลงล่วงเกินท่านนักพรตหญิงท่านนี้ด้วยเรื่องใด ถึงได้มาสาดน้ำโคลนใส่หลิงหลงได้ พิษกู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้ หลิงหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่กล้ายอมรับอย่างเด็ดขาด”

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาโดยแท้!

ลิ่นเซี่ยวหันไปส่งสายตาให้ฉางหรง ทางฝ่ายฉางหรงที่รับรู้ความนัยก็เดินออกไปไม่กี่ก้าวแล้วร่วมมือกับเว่ยปอ ช่วยกันยกบางสิ่งที่มีผ้าม่านสีดำห่อหุ้มย้ายไปตำแหน่งที่มีแสงสว่างในห้อง

เมื่อเลิกผ้าคลุมผืนนั้นขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าซึ่งเดิมทีลอยเจือจางอยู่ในห้องพลันทวีความเข้มข้นขึ้น ภายในผ้าม่านก็ปรากฏซากศพที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นใคร ทุกส่วนบนร่างกายศพมีแต่รอยบวมน้ำและแผลพุพองเน่าเปื่อย บริเวณปากกับจมูกยุ่ยเละเทะจนกลายเป็นรูโหว่ดำมืด และมีน้ำหนองกำลังไหลซึมออกมา

หลันอ๋องหน้าเปลี่ยนสี ชุยซื่อกับพวกหลี่หมัวมัวยิ่งแตกตื่นจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ทันใดนั้นทุกคนต่างสะกดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เสียงอาเจียนในห้องจึงดังขึ้นเป็นระลอก

ลิ่นเซี่ยวรอให้ทุกคนอาเจียนออกมาพอสมควรแล้วก็รับจดหมายฉบับหนึ่งมาจากมือเว่ยปอ คลี่จดหมายออกจึงเห็นว่าบนกระดาษมีภาพเหมือนของสตรีนางหนึ่ง นางมีใบหน้างามพริ้มเพรา แต่ก็นับว่าอยู่ในระดับกลางๆ เท่านั้น

“เจ้าคงจะรู้จักสตรีในภาพนี้กระมัง” ลิ่นเซี่ยวมองหลิงหลงอย่างเย็นชา

นับตั้งแต่ศพในห่อผ้าเปิดเผยสู่สายตาผู้คน หลิงหลงก็รู้ดีว่าตนเองสูญเสียความได้เปรียบไปแล้ว พอเห็นภาพเหมือนนี้ ใบหน้าของนางก็ยิ่งซีดขาว ร่างกายทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น

ลิ่นเซี่ยวถอนสายตากลับมา ส่งภาพเหมือนให้หลันอ๋อง “ตอนแรกที่หลิงหลงเพิ่งเข้าวังมา ลูกเคยให้คนวาดภาพเหมือนของนางเอาไว้แล้วส่งให้เว่ยปอนำไปสืบข่าวที่โยวโจว เมื่อถามกับจวนสกุลชุยที่โยวโจว แน่นอนว่าไม่ได้ความอะไร แต่พอเปลี่ยนมาถามกับญาติห่างๆ ร่วมสกุลของสกุลชุยเข้า ถึงได้สืบจนรู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดในที่สุด”

ระหว่างเล่าเรื่องเขาเหลือบมองชุยซื่อที่มีสีหน้าเขียวคล้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ “ญาติร่วมสกุลที่ว่านั้นเป็นญาติผู้น้องของนายท่านใหญ่แห่งจวนสกุลชุย มีชื่อว่าชุยจิ่งเซิง เนื่องจากเป็นสายที่แยกตัวออกมา ฐานะทางบ้านลำบากยากแค้น บิดามารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว มีเพียงน้องสาวคนเดียว…ซึ่งก็คือชุยหลิงหลง หลังจากชุยจิ่งเซิงแต่งงาน ภรรยาไม่ลงรอยกับน้องสาว พาลทำให้ชุยจิ่งเซิงรู้สึกว่าน้องสาวขัดหูขัดตาไปด้วย สามีภรรยาคู่นี้จึงใจร้ายกับนางไม่น้อย

ข้างบ้านของชุยจิ่งเซิงมีครอบครัวสกุลจูอาศัยอยู่ โรคระบาดร้ายแรงคร่าชีวิตของสามีภรรยาที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไป เหลือย่ากับหลานสองคนใช้ชีวิตประคับประคองดูแลกัน คนเป็นย่าล่วงเข้าวัยชราหูตาฝ้าฟาง เลี้ยงดูหลานสาวจูฉี่เอ๋อร์ด้วยสมบัติที่มีอยู่น้อยนิด ฐานะทางบ้านลำบากยิ่งกว่าสกุลชุย เรียกได้ว่าบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน

จูฉี่เอ๋อร์กับชุยหลิงหลงอายุไล่เลี่ยกัน ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง เนื่องจากทั้งสองนิสัยเข้ากันได้จึงสาบานเป็นพี่น้องกัน

มีอยู่วันหนึ่ง มีข่าวคราวส่งมาจากผู้สูงส่งในเมืองฉางอัน บอกว่าต้องการเลือกเฟ้นเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น จากสกุลชุยสักคน เรียกตัวมาที่ฉางอันเพื่อเป็นอนุภรรยาของหลันอ๋องซื่อจื่อ ชุยจิ่งเซิงรู้ข่าวนี้ก็วางแผนจะใช้น้องสาวตัวเอง เสนอชื่อชุยหลิงหลงต่อหน้านายท่านใหญ่สกุลชุยหลายครั้ง

ผู้สูงส่งท่านนั้นอาศัยข้ออ้างกลับบ้านเดิมเยี่ยมญาติ ตั้งใจเดินทางจากฉางอันกลับโยวโจวเที่ยวหนึ่ง นางเลือกเด็กสาวที่เหมาะสมในสกุลชุยด้วยตัวเอง โดยมีพี่ชายที่บ้านเดิมหรือนายท่านใหญ่ให้ความช่วยเหลือ แต่ว่านางเลือกแล้วเลือกอีกก็มีแค่ชุยหลิงหลงคนเดียวที่ยังไม่พ้นวัยปักปิ่น รูปโฉมก็นับว่าเข้าตาใช้ได้…”

หลันอ๋องฟังมาถึงตรงนี้ ก็หันไปมองหน้าชุยซื่อด้วยสายตาสื่อความนัยคลุมเครือ เดิมทีชุยซื่อมีสีหน้าย่ำแย่อยู่แล้ว สายตาเช่นนี้ของหลันอ๋องยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าเหมือนนั่งบนพรมเข็ม

“ขณะที่สกุลชุยเร่งฝึกฝนทักษะการดีดพิณ เล่นหมากล้อม คัดอักษร และวาดภาพให้น้องสาวคนนี้อย่างแข็งขัน จู่ๆ ชุยหลิงหลงกลับเสียชีวิตอย่างกะทันหันในคืนเดียว แผนการประจบเอาใจผู้มีอำนาจของชุยจิ่งเซิงต้องพังทลายจึงไม่ยอมรับเรื่องนี้ เขาไม่รู้สึกเสียใจกับการตายของน้องสาวเลย ได้แต่แค้นใจที่สูญเสียโอกาสที่จะมั่งคั่งร่ำรวยในชั่วพริบตา วันๆ ถอนหายใจคร่ำครวญ นิสัยเย็นชาแล้งน้ำใจ น่าผิดหวังยิ่งนัก

ตอนที่ชุยจิ่งเซิงกำลังสิ้นหวังท้อแท้ใจ จูฉี่เอ๋อร์กลับเสนอชื่อตัวเองขึ้นมา บอกว่าขอแค่ชุยจิ่งเซิงไม่ถือสา นางยินดีเป็นต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ ปลอมตัวเป็นชุยหลิงหลงไปฉางอัน เดิมทีจูฉี่เอ๋อร์หน้าตางดงามกว่าชุยหลิงหลงอยู่แล้ว ถ้าหากส่งไปฉางอัน เป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะคว้าหัวใจของซื่อจื่อไว้ได้ ชุยจิ่งเซิงดีใจจนออกนอกหน้า รีบพาจูฉี่เอ๋อร์ไปพบหน้าผู้สูงส่งในฉางอันทันที

ผู้สูงส่งจากฉางอันเห็นความงามโดดเด่นของจูฉี่เอ๋อร์ก็รู้สึกสนใจตั้งแต่แรก ยิ่งได้ยินว่าจูฉี่เอ๋อร์ยอมปลอมตัวเป็นชุยหลิงหลง มีหรือจะไม่ยอมรับนาง ส่งคนมาฝึกฝนจูฉี่เอ๋อร์นานหลายเดือน ค่อยสั่งให้คนมารับตัวนางไปฉางอัน วันนี้ลองคิดดูแล้ว บางทีผู้สูงส่งคนนั้นคงต้องการแค่สตรีรูปโฉมงดงามที่ยอมให้นางบงการตามใจ ส่วนจะแซ่ชุยหรือจริงหรือไม่ นางไม่ใส่ใจเลยสักนิดเดียว”

“เจ้าช่างกำเริบเสิบสานนัก!” โทสะของหลันอ๋องเพิ่มพูนเท่าทวี ตบโต๊ะเสียงดังตามแรงอารมณ์ ดวงตาโกรธเกรี้ยวมองไปทางชุยซื่อ

บ่าวไพร่ทั่วห้องต่างหวาดกลัวจนเงียบกริบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว

ชุยซื่อมีใบหน้าซีดขาวขบกัดริมฝีปาก ผ้าเช็ดหน้าม้วนพันระหว่างนิ้วมือแน่นหนา ยังเอ่ยอะไรออกมาได้ที่ใดกัน

ฉวีชิ่นเหยาลอบเหลือบมองลิ่นเซี่ยวที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉย เป็นอุบายที่แยบยลเสียจริง วางแผนมานานถึงเพียงนี้ ดูเหมือนต้องการตรวจสอบจูฉี่เอ๋อร์ แท้จริงแล้วกลับทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย พุ่งเข้าหาชุยซื่อทีละก้าว

นางเกิดในตระกูลชาวบ้านธรรมดา เรื่องบุญคุณความแค้นของตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์เพียงแค่เคยฟังผ่านหู ไม่เคยประสบกับตนเองมาก่อน คราวนี้ลิ่นเซี่ยวชนะได้โดยไม่ต้องรบให้เสียเลือดเนื้อ ก็สามารถจัดการชุยซื่อจนหมดเรี่ยวแรงตอบโต้ ช่วยเปิดหูเปิดตานางให้กว้างไกลขึ้นมากเลยทีเดียว

“น่าสงสารชุยหลิงหลงคนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่ก็ถูกผู้อื่นใช้เป็นเครื่องมือ แม้กระทั่งโดนทำร้ายจนตายก็ไม่มีใครสืบหาสาเหตุ คนร้ายโชคดีหลบหนีเคราะห์กรรมไปได้ นับจากนั้นก็สามารถสวมรอยเป็นชุยหลิงหลง ใช้ชีวิตเสพสุขอย่างสำราญใจ ทว่าตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว สุดท้ายทำให้คนที่มีความพยายามสืบพบความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้”

ลิ่นเซี่ยวกล่าวพลางเดินเชื่องช้ามาถึงตรงหน้าศพ สั่งเว่ยปอให้ค่อยๆ ถอนเข็มเงินจากหลังคอของศพออกมาเล่มหนึ่ง

เข็มเงินเล่มนั้นยาวประมาณครึ่งฉื่อเศษ ตัวเข็มเปรอะเปื้อนรอยเลือดสีดำชัดเจน ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟสะท้อนประกายดำมืด มีความน่าสะพรึงกลัวที่อธิบายไม่ถูก

ลิ่นเซี่ยวใช้ผ้าเช็ดหน้ารับเข็มเงินเอาไว้ ลุกขึ้นยืนหันมองหลิงหลงที่หน้าซีดไร้สีเลือดไปนานแล้ว “จูฉี่เอ๋อร์ เจ้ายังจำเข็มเงินเล่มนี้ได้หรือไม่”

เมื่อเข็มเงินขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมดอกกุ้ยที่หลิงหลงชอบที่สุดเมื่อครั้งยังมีชีวิตก็ซึมซาบผ่านปลายจมูกเข้ามา จูฉี่เอ๋อร์สั่นสะท้านในใจ หวาดผวาจนรีบเอียงศีรษะหลบไปอีกทาง ไม่กล้ามองอย่างเต็มตา

“เมืองโยวโจวที่เจ้าอาศัยอยู่มีร้านตีเหล็กทั้งหมดสามร้าน เจ้าจงใจเลือกร้านที่อยู่ห่างจากบ้านเจ้ามากที่สุด วาดรูปเข็มเงินแล้วให้ท่านย่าของเจ้าไปสั่งทำ จนตอนนี้ช่างตีเหล็กคนนั้นยังจดจำท่านย่าที่สูงวัยและหูตาฝ้าฟางของเจ้าได้ วาดภาพเหมือนของนางออกมาด้วยตัวเอง” เขากล่าว จากนั้นก็รับม้วนภาพอีกภาพหนึ่งมาจากเว่ยปอ สะบัดมันแผ่วเบาเพื่อคลี่ภาพออก บนกระดาษนั้นปรากฏภาพเหมือนของหญิงชราเส้นผมหงอกขาวทั้งศีรษะ

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” ลิ่นเซี่ยวหลุบสายตาลงมองจูฉี่เอ๋อร์ แววตาเหยียดหยามราวกับมองดูโคลนดินใต้ฝ่าเท้ากระนั้น

ในเวลานั้นเองแสงโคมภายในห้องพลันมืดสลัวลง มีกลิ่นอายเย็นเยียบไหลเวียนอยู่ในอากาศ ฉวีชิ่นเหยามีประสาทสัมผัสทั้งห้าเหนือคนธรรมดา จึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที

นางเหลียวมองรอบกายด้วยความสงสัย ถอดกระดิ่งกลืนวิญญาณตรงคอออกมา กำเอาไว้ในฝ่ามืออย่างเงียบงัน

จูฉี่เอ๋อร์กลับมีท่าทีคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน ลุกพรวดเหยียดกายตรงมองไปทางลิ่นเซี่ยว “ภาพเหมือนนี้คือท่านย่าของข้าไม่ผิด แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นเข็มเงินเล่มนี้มาก่อน และยิ่งไม่เคยใช้มันทำร้ายหลิงหลง อาศัยคำกล่าวอ้างของช่างตีเหล็กฝ่ายเดียว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนร้าย อีกทั้งตอนแรกเรื่องที่ข้ายอมเป็นต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ…ก็เป็นเพราะความยินยอมของชุยจิ่งเซิงทั้งนั้น ไม่ใช่ข้าเป็นฝ่ายรับอาสาเองสักหน่อย ถ้าหากซื่อจื่อกับท่านอ๋องไม่เชื่อ ก็ลอง…ลองให้ชุยจิ่งเซิงมายืนยันต่อหน้าข้าก็ได้ ชุยจิ่งเซิงไม่ลงรอยกับหลิงหลงมานานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือชุยจิ่งเซิงทำร้ายหลิงหลงแล้วโยนความผิดมาให้ข้า!”

สมเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจโดยแท้!

ลิ่นเซี่ยวมองจูฉี่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย วันที่พวกเว่ยปอกลับจากการไปสืบข่าวที่โยวโจว เล่าว่ายามชุยหลิงหลงยังมีชีวิตอยู่เคยเอาใจใส่ดูแลจูฉี่เอ๋อร์อย่างดีเพียงใด แม้ว่าชีวิตตนเองจะไม่ราบรื่นนักเพราะโดนพี่ชายกับพี่สะใภ้กลั่นแกล้ง แต่กลับให้ความช่วยเหลือสกุลจูอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องอาหารการกินไม่ต้องเอ่ยถึง แม้กระทั่งเสื้อผ้ากับเครื่องประทินโฉมก็ไม่เคยขาด มีครั้งหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าจูล้มป่วย ชุยหลิงหลงก็ยังไปขอร้องพี่ชายให้เชิญหมอมารักษา หลังจากนั้นสกุลจูไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ก็ได้ชุยหลิงหลงควักเงินช่วยจ่ายอีกเช่นกัน

แต่ความช่วยเหลือทุกอย่างนี้นอกจากจะไม่ได้รับการตอบแทนจากจูฉี่เอ๋อร์แล้ว เพียงแค่เหยื่อล่อใจอย่างฐานะอนุภรรยาของซื่อจื่อ จูฉี่เอ๋อร์ก็โยนสายสัมพันธ์ดุจพี่น้องระหว่างพวกนางเอาไว้ข้างหลัง ลงมือสังหารอย่างเลือดเย็น เวลานี้หลักฐานประจักษ์ชัดกลับยังเล่นลิ้นอยู่อีก

กลิ่นอายเย็นเยียบในห้องทวีความเข้มข้นขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่ฉวีชิ่นเหยา แม้กระทั่งหลันอ๋องกับพวกชุยซื่อก็ยังรู้สึกได้

ทันใดนั้นบนพื้นก็มีเสียงซ่าๆ ดังแทรกขึ้นมา

ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น มีคนกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจ

“มัน…มันกำลังขยับ…”

ผ้าม่านสีดำที่ห่อร่างของชุยหลิงหลงไว้คลายออกทีละชุ่น กลุ่มหมอกสีดำสนิทดุจน้ำหมึกค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากห่อผ้าราวกับหนวดปลาหมึกก็ไม่ปาน

ทุกคนต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ฉวีชิ่นเหยาก็ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนจึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

กลุ่มหมอกสีดำนั้นส่งกลิ่นหอมดอกกุ้ยเข้มข้น ตอนแรกลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศโดยไร้จุดหมาย แล้วจึงค่อยๆ รวมกลุ่มกันเป็นร่างมนุษย์สีดำสนิท

“หลิงหลง…” จูฉี่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง

ร่างมนุษย์สีดำสนิทล่องลอยมาอยู่ตรงหน้าจูฉี่เอ๋อร์ เพียงชั่วพริบตาก็กระจายตัวออกกลายเป็นภาพเงาของเด็กสาวที่ยังอ่อนเยาว์ โครงหน้าของนางงดงามได้สัดส่วน เกล้าผมทรงหยวนเป่า ดูท่าทางกำลังก้มหน้าทำงานเย็บปักถักร้อย

ไม่นานก็มีเด็กสาวเกล้าผมทรงมวยคล้อยปรากฏกายอยู่ไกลๆ เดินมาถึงตรงหน้าเด็กสาวผมทรงหยวนเป่าช้าๆ ดึงแขนเสื้อของนางให้ลุกขึ้น

ภาพหมอกดำเปลี่ยนไปอีกครั้ง สะท้อนภาพชิงช้าอันหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งคอยผลักเด็กสาวอีกคนที่กำลังนั่งโล้ชิงช้าอยู่ แม้ว่าจะเป็นภาพเงาลวงตา แต่ก็ชัดเจนทุกรายละเอียด สมจริงมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง กระโปรงหรูฉวิน ของพวกนางโบกสะบัด เสื้อคลุมแขนสั้นที่สวมทับกระโปรงลอยขึ้นรับลมโชยพัดมา ดูเหมือนพวกนางร่าเริงเบิกบานไม่สิ้นสุด

“เป็นจิตแค้นเคืองของชุยหลิงหลง”

ในที่สุดฉวีชิ่นเหยาก็มองออกแล้ว จึงหันไปกระซิบบอกลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างกายเสียงแผ่วเบา

กลุ่มหมอกสีดำนี้ไม่มีเนื้อหนัง ไม่อาจส่งเสียง ไม่สามารถทำร้ายใครได้ ทำได้เพียงสะท้อนความคิดผ่านภาพลวงตาที่แปรเปลี่ยนไป

เพิ่งจะสิ้นเสียงของนาง กลุ่มหมอกสีดำก็กลับมารวมตัวและแตกกระจายออกอีกครั้ง เด็กสาวทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ดูเหมือนกำลังพูดคุยอย่างสนิทสนมยิ่ง เด็กสาวเกล้ามวยผมทรงห่วงซ่อนแขนข้างหนึ่งไปด้านหลัง เข็มเงินในแขนเสื้อประเดี๋ยวชัดเจนประเดี๋ยวเลือนหาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ด้านหลังเด็กสาวเกล้าผมทรงหยวนเป่า ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังพูดจาปักเข็มเข้าที่หลังคอโดยไม่ทันตั้งตัว

จนถึงตอนนี้ในที่สุดจูฉี่เอ๋อร์ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน นางส่ายหน้าสะอึกสะอื้นโดยไร้เสียง ใบหน้าเปียกชื้นเป็นแถบ แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นความหวาดกลัวหรือความละอายใจ

หมอกดำขยับเข้ามาใกล้จูฉี่เอ๋อร์ ‘เพราะอะไร’ หมอกดำเงียบงันไม่อาจเปล่งเสียง แต่ว่าทุกคนคล้ายจะได้ยินประโยคคำถามนี้ลอยผ่านหู

จูฉี่เอ๋อร์มองผ่านม่านน้ำตาของตนเองอย่างเลือนราง เห็นภาพหลิงหลงกำลังลอยล่องอยู่บนชิงช้าอย่างสนุกสนาน ด้านหลังเป็นกำแพงดินทรุดโทรม แต่ไม่สามารถบดบังกลิ่นอายสดชื่นแจ่มใสดั่งฤดูใบไม้ผลิของเด็กสาวสองคนได้

ในใจนางทั้งหวาดผวาและเศร้าสลด ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของหลิงหลงในภาพลวงตานั้น

“หลิงหลง…” นางน้ำตาไหลพราก พึมพำด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ทันทีที่สัมผัส ใบหน้ากลมอิ่มของเด็กสาวก็สลายหายไป ข้างชิงช้าพลันว่างเปล่า เหลือแค่นางเพียงคนเดียว

นางเหลียวมองรอบกายอย่างสับสน ตื่นตระหนกอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนมือทั้งสองข้างมาที่ลำคอตนเอง ออกแรงบีบเอาไว้แน่น

“แย่แล้ว นางถูกภาพลวงตาที่ชุยหลิงหลงสร้างขึ้นครอบงำจิตใจ…” ฉวีชิ่นเหยารีบก้าวออกไปข้างหน้า ตั้งใจจะเรียกใช้กระดิ่งกลืนวิญญาณ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าดวงวิญญาณของชุยหลิงหลงจะโดนกลืนกินไปเพราะกระดิ่ง จึงหยิบยันต์สยบวิญญาณออกมาแทน

ลิ่นเซี่ยวมองจูฉี่เอ๋อร์บีบคอตนเองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปช่วยเหลือเลยสักนิด

ยันต์ลงคาถาที่ฉวีชิ่นเหยานำออกมาเพิ่งจะแตะหมอกดำ จูฉี่เอ๋อร์ส่งเสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดแล้วก็ล้มลงกับพื้น ทว่าสุดท้ายก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อฉวีชิ่นเหยาเข้าไปตรวจสอบดู นางก็หมดลมหายใจไปแล้ว

ระหว่างเดินออกจากวังอ๋อง ฉวีชิ่นเหยาก็ถอนหายใจออกมา

“หมอกสีดำนั้นเป็นจิตแค้นเคืองที่ชุยหลิงหลงสร้างขึ้นหลังจากสิ้นใจไปแล้ว ไม่มีเนื้อหนัง ไม่อาจฆ่าใครได้ จูฉี่เอ๋อร์นั้นเป็นไปได้ว่าคงจะสำนึกเสียใจ ถึงได้ฆ่าตัวตายเพราะความหวาดผวา”

พอนางนึกอะไรบางอย่างได้ ก็กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ “แย่จริงเชียว สุดท้ายก็ไม่ทันได้ถามนางว่าผู้ใช้กู่ ‘เคียงคู่นิรันดร์’ คนที่สามคือใคร น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก”

ลิ่นเซี่ยวมองฉวีชิ่นเหยาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เอ่ยถามว่า “กู่เคียงคู่นิรันดร์ก็คือกู่ที่เจ้าพูดถึงเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่”

ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้า “ผู้ใช้กู่ตอนนี้ถึงแก่ชีวิตไปแล้วสองคน แต่ยังไม่พบเบาะแสของผู้ใช้คนที่สาม ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจ จูฉี่เอ๋อร์เพิ่งมาอยู่ที่ฉางอันได้หนึ่งเดือนเศษเท่านั้น นอกจากวังหลันอ๋องแล้ว แม้กระทั่งญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มี ตกลงนางไปได้กู่มาจากที่ใดกันแน่”

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว “ตั้งแต่นางมาอยู่ที่วัง ชุยซื่อก็พาออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง สามถนนหกตรอกก็เคยไปเดินเล่นมาไม่น้อย เอาอย่างนี้เถิด ข้าจะให้พวกฉางหรงไปสืบร่องรอยของพวกนางในช่วงไม่นานมานี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพบอะไร”

“เป็นเช่นนั้นคงจะดีที่สุดแล้ว” ฉวีชิ่นเหยายิ้มออกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มของนางสดใสไร้เดียงสา เทียบกับดอกไห่ถัง ในฤดูใบไม้ผลิแล้วยังงามกว่าสามส่วน

หัวใจของลิ่นเซี่ยวคล้ายมีบางสิ่งมาสะกิดจนสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

เขาถอนสายตากลับมาเหมือนกับโดนของร้อนลวก นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ จึงเอ่ยปากอย่างอึดอัดอยู่บ้าง “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว วันนี้ข้าไปรับตำแหน่งใหม่วันแรก จะต้องเข้าวังไปรายงานตัวยามเหม่า เมื่อคืนลำบากเจ้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะให้พวกฉางหรงคุ้มกันเจ้ากลับอารามชิงอวิ๋น”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” ฉวีชิ่นเหยารีบโบกมือปฏิเสธ ชี้ไปทางนอกประตูจวนพลางเอ่ยว่า “เหล่าโจวที่มากับข้ารออยู่ข้างนอก นี่ก็รอข้ามาทั้งคืน ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นห่วงเพียงใด เดี๋ยวข้าคงต้องกลับแล้ว ความหวังดีของซื่อจื่อข้ารับไว้ด้วยใจ”

นางกล่าวจบก็จัดความเรียบร้อยของชุดนักพรต เตรียมสาวเท้าเดินออกไปข้างนอก

ทันใดนั้นฉางหรงไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด ในมือถือกล่องอาหารทำจากไม้ถานสีแดง ยืนส่งยิ้มให้แต่ไกล “ซื่อจื่อ ข้าซื้อผลอิงเถาสดราดนมหมักร้านเต๋อหรงมาแล้วขอรับ เขาเพิ่งจะเปิดร้าน นี่เป็นชามแรกของวันนี้เลย”

หลังใบหูของลิ่นเซี่ยวเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมาโดยพลัน มองฉางหรงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาได้แต่รับกล่องอาหารจากมือฉางหรงมาเงียบๆ และส่งให้ฉวีชิ่นเหยา “เดิมทีควรเชิญเจ้ากินอาหารเช้า แต่ว่าร่างกายของท่านพ่อไม่สู้ดี ข้ายังต้องเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง ผลอิงเถาสดราดนมหมักร้านนี้รสชาติไม่เลว ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจก็รับไปกินรองท้องก่อนเถอะ”

ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อคืนนางช่วยแก้สถานการณ์ให้จูฉี่เอ๋อร์ เคยกล่าวถึงผลอิงเถาสดราดนมหมักของร้านเต๋อหรงว่ารสชาติอร่อย ตอนนั้นก็แค่กล่าวอย่างขอไปที ไม่คิดว่าเขาจะจดจำใส่ใจเช่นนี้ อีกทั้งยังอุตส่าห์ส่งคนไปซื้อกลับมาแต่เช้าตรู่

เมื่อนางเปิดกล่องอาหารก็เห็นข้างในมีถ้วยกระเบื้องสีขาวลายดอกบัววางอยู่ตรงกลาง นมหมักสีขาวราวหยกมันแพะห่อหุ้มผลอิงเถาสีแดงสดปานจะหยดน้ำออกมาได้ ไอร้อนยังลอยกรุ่น ช่างเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก

นางเอียงศีรษะประเมินสีหน้าของลิ่นเซี่ยวอย่างละเอียด เห็นเขามีสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ก็รับกล่องอาหารมาโดยไม่เกรงใจ “ขอบคุณซื่อจื่อมากเจ้าค่ะ สำหรับน้ำใจอันประเสริฐนี้ ข้าปฏิเสธก็เท่ากับไม่เคารพแล้ว” นางกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ลิ่นเซี่ยว ก่อนจะประคองกล่องอาหารเดินออกไปนอกวังอ๋อง

ฉางหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้าใจแจ่มแจ้งโดยพลัน มิน่าเล่าซื่อจื่อถึงได้บังคับให้เขาออกไปซื้อผลอิงเถาสดราดนมหมักนั่นแต่เช้าตรู่ วุ่นวายเสียตั้งนานที่แท้ก็ซื้อให้นักพรตหญิงตัวน้อยผู้นี้

ฉางหรงเอามือลูบปลายคาง ใช้สายตาของชายหนุ่มคนหนึ่งมองพิจารณาฉวีชิ่นเหยาเป็นครั้งแรก

รูปร่างรึ ก็งดงามชวนมองอยู่ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่างามล้ำเลิศเหนือผู้ใด เพียงแค่บรรดาสตรีตระกูลใหญ่ที่ไปมาหาสู่กับวังหลันอ๋องบ่อยครั้งก็มีไม่กี่คนที่พอจะยกมาเปรียบเทียบกับนางได้

นิสัยของนางช่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ต้องเปรียบเทียบกับบรรดาองค์หญิงท่านหญิงทั้งหลายในวังหลวงเหล่านั้นเลย พวกนางอะไรนิดอะไรหน่อยก็ทำตัวแง่งอน น่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน แต่ว่าอย่างไรก็เพิ่งพบหน้านางไม่กี่ครั้ง นิสัยไม่อาจมองทะลุปรุโปร่งได้ในชั่วขณะเดียว เห็นแก่ที่นางเคยช่วยเหลือซื่อจื่อสองครั้ง เช่นนั้นถือว่านางเป็นคนที่รูปลักษณ์และจิตใจไม่แตกต่างกันกระมัง

เรื่องที่จัดการได้ยุ่งยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องชาติกำเนิด เขาสืบความจากเว่ยปอจนแน่ชัดอยู่นานแล้ว บิดาของนักพรตหญิงเป็นแค่ไท่สื่อลิ่ง และยังเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบขุนนางได้เป็นจิ้นซื่อ เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นตำแหน่งหน้าที่จึงก้าวหน้าไปทีละขั้น บ้านเดิมของมารดานางได้ยินมาว่าเป็นพ่อค้าผ้าอยู่ในย่านการค้าของฉางอัน ชนชั้นทั้งสี่ได้แก่ บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ผู้ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้ามีฐานะต่ำต้อยที่สุด การถือกำเนิดในตระกูลเล็กฐานะธรรมดาสามัญ อย่าได้คิดว่าจะเป็นชายาเอกของซื่อจื่อเลย

รับเป็นอนุภรรยา? ฉวีเอินเจ๋อผู้นั้นเป็นถึงบัณฑิตสอบผ่านการสอบขุนนาง ประวัติความเป็นมาขาวสะอาด จะยอมให้บุตรสาวไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไรกัน

ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางยังเป็นนักพรตด้วย

เรื่องนี้จะมองเช่นไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากซื่อจื่อจะยืนกรานหนักแน่น เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลขอพระราชทานสมรส มิฉะนั้นวาสนาเคียงคู่ของคนทั้งสองจะไม่มีวันเชื่อมถึงกันได้เลย

ทางฝั่งฉางหรงกำลังกลัดกลุ้มแทนลิ่นเซี่ยวด้วยความคิดเชื่อมโยงไร้ขอบเขตเหล่านี้ ส่วนทางฝั่งลิ่นเซี่ยวกลับอารมณ์ดีขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อมองส่งฉวีชิ่นเหยาออกจากจวนไปแล้ว เขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางเอ่ย

“เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเราก็ไปกันเถิด อย่าได้เข้าวังล่าช้า”

เพิ่งจะย่างเท้าออกจากวัง เจี่ยงซานหลางก็ควบขี่ม้าจื่อซิงจากแคว้นต้าหว่านซึ่งมีสีขาวดั่งหิมะตลอดร่างรออยู่หน้าประตูก่อนแล้ว เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วงแสดงตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นสาม สายคาดเอวหยกทอง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เรือนกายสูงตระหง่าน ม้าพันธุ์ดีสีขาวดั่งหิมะใต้ร่างแผ่กลิ่นอายข่มขวัญ หนึ่งคนหนึ่งม้าดึงดูดสายตาผู้คนให้มองมาด้วยความสนใจ

หลูกั๋วกงมีบุตรชายเกิดจากภรรยาเอกสามคน บุตรชายคนโตได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ รับหน้าที่ดูแลเรื่องราวในจวน บุตรชายคนรองเวลานี้ก็รับตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก มีเพียงบุตรชายคนเล็กอย่างซานหลาง เนื่องจากเป็นบุตรชายที่ถือกำเนิดยามหลูกั๋วกงล่วงเข้าวัยชรา สองสามีภรรยาจึงรักใคร่ตามใจมากกว่าบุตรชายคนอื่นอยู่หลายส่วน ครั้นเมื่อเติบใหญ่จึงมีนิสัยเหลาะแหละ เรื่องใดล้วนไม่นำพาใส่ใจ จนเติบใหญ่อายุครบสิบหกเมื่อปีกลาย ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ยังไม่มีความชัดเจน

บิดามารดาผู้สูงวัยทั้งสองเลิกคาดหวังให้บุตรชายคนเล็กมีอนาคตที่สดใสดั่งพี่ชายทั้งสองไปนานแล้ว ได้แต่คิดใคร่ครวญว่าเมื่อพวกเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว จะแบ่งทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้บุตรชายคนเล็กมากกว่าสักนิด ลำเอียงช่วยเหลือเขามากกว่าสักหน่อย ส่วนเรื่องอื่นนั้นก็ต้องดูโชควาสนาของตัวเขาเองแล้ว

ใครจะคาดคิดว่าเมื่อปีกลายเจี่ยงซานหลางตามเสด็จฮ่องเต้ออกไปล่าสัตว์ กลับแสดงความสามารถที่เก็บงำไว้ออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางบุตรหลานเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง คว้าอันดับหนึ่งไปได้โดยไม่มีใครคาดคิด หลูกั๋วกงปลาบปลื้มยินดีเหลือจะกล่าว เห็นฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและคำชื่นชมแก่เจี่ยงซานหลาง รีบฉวยโอกาสกราบทูลขอตำแหน่งแม่ทัพกุยเต๋อลำดับรองขั้นสามให้บุตรชาย ถึงได้ทำความปรารถนาให้เป็นจริงไปได้อีกเรื่อง

ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างเจิดจ้า แสงยามรุ่งอรุณสะท้อนความมืดสลัวออกมาเลือนราง พอเดินเข้าไปใกล้ ลิ่นเซี่ยวก็ต้องตกตะลึงที่พบว่าบริเวณใต้ตาของเจี่ยงซานหลางดำคล้ำกว่าสองวันก่อนหลายส่วน เดิมทีเขามีผิวขาวสะอาดหมดจด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วจึงน่าตื่นตระหนกตกใจอย่างยิ่ง

“ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกอาถรรพ์เล่นงานจริงๆ กระมัง เหตุใดสีหน้าถึงได้แย่ลงทุกวันเช่นนี้เล่า” ลิ่นเซี่ยวที่เพิ่งยกสายบังเหียนขึ้นพลันชะงักมือ

“พูดจาเหลวไหลอะไร กินอิ่มนอนหลับได้ จะถูกอาถรรพ์ที่ใดกันเล่า” เจี่ยงซานหลางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์จำได้ว่าวันนี้เจ้าจะเข้ารับตำแหน่งวันแรก ถึงได้มารอรับเจ้าแต่เช้าตรู่ เจ้ากลับมาสาปแช่งข้าได้” น้ำเสียงของเขากังวานชัดดั่งในวันวาน ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็นเลย

“ข้าจะสาปแช่งเจ้าไปด้วยเหตุใด” ลิ่นเซี่ยวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ช่วงนี้ท่านลุงท่านป้าไม่เอ่ยทักบ้างหรือว่าสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี”

“ไม่เคย! ไม่เคยเลย” เจี่ยงซานหลางเริ่มหงุดหงิดแล้ว “ข้าว่าเจ้าพูดเรื่องอื่นบ้างดีหรือไม่ แค่เดินทางออกนอกฉางอันไปครั้งเดียว เหตุใดกลับมาแล้วถึงได้ทำตัวลึกลับปานนี้” ว่าแล้วก็กระตุกสายบังเหียน มุ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจลิ่นเซี่ยวอีก

ฉางหรงก็คิดว่าสีหน้าเจี่ยงซานหลางดูน่าหวาดหวั่นเล็กน้อย เพียงแต่เขาหาโอกาสเอ่ยขัดจังหวะไม่สะดวก เขาอดเหลียวมองรอบกายไม่ได้ น่าเสียดายที่นักพรตหญิงตัวน้อยจากไปแล้ว พลังตบะของนางลึกล้ำ ถ้าหากเจี่ยงซานหลางโดนอาถรรพ์เข้าจริงนางจะต้องมองออกแน่

ลิ่นเซี่ยวเห็นว่าเจี่ยงซานหลางไม่สนใจคำทัดทานใดของตนก็จนปัญญาจะทำอะไรได้ชั่วขณะ วันนี้เข้ารับตำแหน่งใหม่วันแรก เขายังต้องเข้าวังไปรับฟังโอวาทจากเสด็จลุงอีก จึงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนชั่วคราว

 

เมื่อเข้าวังหลวงยังไม่ทันถึงช่วงประชุมยามเช้า ฮ่องเต้ยังทรงรอพบเขาอยู่ที่วังต้าหมิงกงดังคาด

ปีนี้ฮ่องเต้มีพระชนมายุสี่สิบห้าพรรษา เนื่องจากทุ่มเทพระทัยใส่ราชกิจ บริเวณจอนพระเกศาจึงเริ่มมีสีหงอกขาวแซม ทว่าสายพระเนตรกลับยังกระจ่างชัดเฉียบคมดังเช่นที่เคยเป็นมา

“เหวยจิ่น”

พอเห็นลิ่นเซี่ยวเดินเข้ามา พระองค์ก็เผยรอยแย้มพระโอษฐ์เมตตาเอ็นดู ตรัสเรียกชื่อรองของลิ่นเซี่ยวอย่างสนิทสนม พระอนุชาคนที่หกของพระองค์ตั้งชื่อบุตรชายคนโตว่าเซี่ยว* ยังไม่พอ แม้กระทั่งเมื่อปีก่อนโน้นตอนตั้งชื่อรองให้ลิ่นเซี่ยวยังเลือกชื่อ ‘เหวยจิ่น’ ที่มีความหมายว่าระมัดระวังรอบคอบด้วย ราวกับกลัวว่าจะสะกิดความหวาดระแวงในพระทัยกระนั้น

ในขณะนั้นทันทีที่พระองค์ได้ยินชื่อนี้ก็ทรงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก โชคดีที่ลิ่นเซี่ยวไม่เก็บตัวหลบเลี่ยงทางโลกเหมือนบิดา อายุยังน้อยก็มีพรสวรรค์เปล่งประกาย สะท้อนความรู้ความสามารถเกินใคร ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์อย่างยิ่ง

“เสด็จลุง อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ” ลิ่นเซี่ยวถวายบังคม ตามกฎแล้วเขาสมควรเอ่ยเรียกพระองค์ว่า ‘ฝ่าบาท’ แต่ว่าเสด็จลุงไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่าแสดงความเหินห่างเกินไป ฉะนั้นเมื่อเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ยังให้เรียกว่า ‘เสด็จลุง’ อยู่

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ตอบรับพลางตรัสด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เหวยจิ่นเอ๋ย ตั้งแต่เดือนก่อนที่เจ้าเดินทางออกจากฉางอันไปจัดการคดีของหวังซิงปังอย่างลับๆ หลายวันมานี้เราก็เอาแต่ฝันเห็นฮุ่ยเฟย” ตรัสเล่าด้วยสีพระพักตร์เศร้าหมองอยู่บ้าง “เจ้าก็รู้ว่าหวังซิงปังเป็นพี่ชายร่วมอุทรของฮุ่ยเฟย เรารู้สึกอยู่ตลอดว่าที่ผ่านมาติดค้างฮุ่ยเฟย ฉะนั้นถึงได้ดูแลเอาใจใส่สกุลหวังเป็นพิเศษ ครั้งนี้เราส่งตัวเจ้ามุ่งหน้าไปที่เขตไหวหยาง เพราะหวังว่าเจ้าสามารถช่วยเขาเก็บกวาดร่องรอยก่อนที่ขุนนางตรวจการจะกล่าวโทษหวังซิงปัง ทำให้เขาไม่ต้องถึงขั้นต้องโทษจำคุก”

พระองค์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทอดพระเนตรมองลิ่นเซี่ยวด้วยความพอพระทัย “เจ้าทำได้ดีมาก!”

“หลานเพียงแค่ทำงานตามที่เสด็จลุงมีพระบัญชาลงมา ไม่กล้ายกเป็นความดีความชอบของตัวเองพ่ะย่ะค่ะ” ลิ่นเซี่ยวกราบทูลตอบ

หลายปีมานี้หวังซิงปังอาศัยว่ามีฮ่องเต้คอยให้ท้าย ก่อสร้างจวนที่พักหลังใหญ่หลังโต ทุจริตคดโกงมโหฬาร ในราชสำนักมีคนกล่าวโทษเขามานานแล้ว ครั้งนี้ถ้าหากฮ่องเต้ไม่ส่งลิ่นเซี่ยวไปแจ้งเรื่อง เวลานี้สกุลหวังอาจประสบเภทภัยร้ายแรงแล้วก็เป็นได้

ฮ่องเต้มีพระประสงค์ทั้งจะปกป้องสกุลหวัง และต้องปกป้องอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ให้ตกเป็นที่ติฉินนินทาของผู้ใด นี่เป็นกลยุทธ์ของผู้ครองแผ่นดิน

ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัยหลายครั้งติดๆ กัน “ปีนั้นเรากับฮุ่ยเฟยรู้จักกันที่สำนักศึกษาอวิ๋นอิ่น หลายวันที่ผ่านมาเรามักฝันเห็นเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้นที่นั่น เราไตร่ตรองดูแล้ว หรืออาจเป็นเพราะฮุ่ยเฟยก็อยากกลับไปเยี่ยมสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นถึงได้มาฝากฝังกับเราในความฝัน ให้เราเปิดสำนักศึกษาแห่งนี้ใหม่อีกครั้ง”

ลิ่นเซี่ยวลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย เสด็จลุงประเดี๋ยวทรงคิดถึงสิ่งนี้ประเดี๋ยวทรงคิดถึงสิ่งนั้น ในอดีตหลังจากเกิดเรื่องกับสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นแล้ว ที่นั่นก็ถูกสั่งปิดตายมานานกว่ายี่สิบปี ถ้าหากต้องการเปิดใหม่อีกครั้งอาจมีปัญหายุ่งยากซับซ้อนตามมาอีก ยิ่งไปกว่านั้นราชสำนักก็ไม่เคยสนับสนุนให้เปิดสำนักศึกษาของสตรี ถ้าหากเสด็จลุงยังทรงยืนกรานจะทำเช่นนี้ คงจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายอย่างเลี่ยงไม่ได้

“หลานยังเยาว์วัย ในอดีตเมื่อครั้งสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นยังเฟื่องฟูหลานยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ เกรงว่าคงไม่อาจถวายคำแนะนำเสด็จลุงได้พ่ะย่ะค่ะ” เขาจนปัญญาจริงๆ จึงแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างคลุมเครือ

“ช่างเถิดๆ” ฮ่องเต้ทรงตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน พระองค์นิ่งเงียบไปก่อนจะลุกขึ้นยืน “อีกไม่กี่วันก็จะถึงการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ราชสำนักก็มีเรื่องมากมาย เริ่มประชุมเช้าเร็วสักหน่อยเถอะ ตามเราไปที่ตำหนักหานหยวน”

ฉวีชิ่นเหยาออกมาจากวังหลันอ๋องแล้ว ไม่ได้มุ่งหน้ากลับอารามชิงอวิ๋น แต่สั่งให้เหล่าโจวขับรถม้ากลับมาที่จวนสกุลฉวี

พี่ชายจะต้องเข้าร่วมการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิในอีกไม่กี่วันแล้ว สองวันมานี้นางรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย ฉะนั้นทันทีที่กลับถึงบ้านก็วิ่งตรงไปที่เรือนเล็กของพี่ชาย

พี่ชายของนางตื่นนอนนานแล้ว ขณะนี้กำลังคร่ำเคร่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่าง เขาสวมเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามสะท้อนอารมณ์สงบนิ่ง เมื่อมีกิ่งดอกท้อยื่นเข้าไปทางหน้าต่างอำพรางและขับเน้นรูปโฉม เทียบกับเซียนในภาพวาดแล้วยังตรึงสายตาได้มากกว่าหลายส่วน

ในลานเรือนมีสาวใช้ที่กำลังกวาดพื้นหลายนางลอบสอดส่องมองไปทางพี่ชายนางอยู่ตลอด แต่ละคนทั้งทาชาดเติมแป้ง แววตาปรากฏรอยยิ้มวิบวับ

ไห่ถังเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าโกรธเคือง กดเสียงลงต่ำตะคอกไล่พวกนาง “อีกสองวันคุณชายจะต้องเข้าสนามสอบแล้ว พวกเจ้ามัวมาอืดอาดยืดยาดอยู่ตรงนี้คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่! ไปๆๆ ถ้ามารบกวนคุณชายอ่านหนังสือล่ะก็…ระวังตัวเอาไว้ให้ดี!”

ฉวีชิ่นเหยาหัวเราะอยู่ในใจ ไห่ถังยอดเยี่ยมนัก ทำตัวราวกับเทพทวารบาลข้างกายพี่ชาย

สาวใช้ตัวน้อยทั้งหลายเมื่อโดนพูดจาแทงใจดำเช่นนี้ก็พากันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายแล้วหนีกระเจิงหายไป ไห่ถังหันหลังกลับด้วยท่าทีโมโหฮึดฮัด เหลือบไปเห็นฉวีชิ่นเหยาโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู! ท่านกลับมาแล้ว”

ฉวีจื่ออวี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “อาเหยา” เขาวางตำราในมือลง ลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินออกมาข้างนอก

ฉวีชิ่นเหยากล่าวทักทายไห่ถัง เดินมาพบกับพี่ชายครึ่งทางก่อนจะคล้องแขนเขาพาเดินเข้าห้อง

พี่ชายก้าวเดินอย่างมั่นคงแข็งแรง ทุกอากัปกิริยางามสง่ามีชีวิตชีวา มองไม่เห็นเงาร่างคนอ่อนแอขี้โรคเช่นในอดีตหลงเหลือสักเศษเสี้ยว ความรู้สึกปีติยินดีเอ่อล้นในหัวใจนาง

“เมื่อวันก่อนตอนที่ไปหอไจเยวี่ย ท่านแม่บอกว่าเจ้าเลือกเครื่องประดับอยู่ดีๆ ก็วิ่งออกจากร้านไป กลับมาแล้วท่านก็เป็นห่วงเจ้ามาก ไปเจอเรื่องอะไรมาหรือ เจ้าจัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็น่าจะส่งจดหมายกลับมาสักฉบับ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องคิดมาก” ถ้อยคำของฉวีจื่ออวี้แสดงความไม่พอใจ แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำนุ่มนวล แม้กระทั่งการตำหนิที่แฝงอยู่ก็อ่อนลงไปหลายส่วน

ฉวีชิ่นเหยาเอามือตบหน้าผาก แย่แล้ว สองวันมานี้นางมัวแต่ยุ่งกับการรับมือจูฉี่เอ๋อร์จนลืมบอกกล่าวกับมารดาไปเสียสนิท

นางรีบอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลันอ๋องให้พี่ชายฟัง

ฉวีจื่ออวี้เดิมทีมือยกจอกชาอยู่ รับฟังเรื่องของฉวีชิ่นเหยาแล้วพลันชะงักค้าง ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าพิษกู่น่ากลัวเพียงใด ผู้ใช้กู่มีวิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต หากไม่ทันระวังน้องสาวอาจต้องเผชิญกับอันตราย เป็นหลันอ๋องซื่อจื่อผู้นั้น เคยได้ยินมานานแล้วว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่มีผลงานประจักษ์ชัด ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะมีความคิดอ่านลึกซึ้งละเอียดรอบคอบปานนี้ โชคดีที่น้องสาวเพียงแค่ไปขับไล่สิ่งอัปมงคลในวังหลันอ๋อง ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขามากนัก

จะว่าไปแล้วปีนี้น้องสาวก็อายุสิบสี่ เมื่อการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น ใช่ถึงเวลาจะเอ่ยเตือนเรื่องการแต่งงานของฉวีชิ่นเหยากับบิดามารดาแล้วหรือไม่

แต่เขาเป็นคนมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น แม้ในใจจะครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ สีหน้ากลับยังสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ รอจนกระทั่งฉวีชิ่นเหยาเล่าเรื่องจบแล้วก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจ

“ไม่คิดว่าจะเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ พี่ชายเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว”

“ใช่หรือไม่เล่า!” ฉวีชิ่นเหยาถือโอกาสออดอ้อนพี่ชาย “เมื่อคืนวานไม่ได้หลับตานอนเลยนะ ตอนนี้ข้าง่วงจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ฉวีจื่ออวี้ยกมือลูบศีรษะฉวีชิ่นเหยา รู้สึกรักใคร่เอ็นดูนางเหลือเกิน “ท่านพ่อออกไปประชุมเช้าแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าไปคารวะท่านแม่แล้วไปนอนพักผ่อนเถอะ”

ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้ารับ นางลุกขึ้นมองสำรวจสภาพโต๊ะหนังสือของพี่ชาย มองเห็นบทวิจารณ์เรื่องนโยบายและการปกครองก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย สองสามวันนี้ก็พักผ่อนบ้างเถอะ ไม่เคยได้ยินหลักการที่ว่าบำรุงร่างกายสะสมกำลังบ้างหรือ ไยต้องมาเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทในเวลานี้อีกเล่า”

ฉวีจื่ออวี้ส่งเสียงรับคำ สายตามองตามฉวีชิ่นเหยาไป ทำทีเอ่ยโดยไม่เจตนา “ได้ยินว่าหลันอ๋องซื่อจื่อเป็นคนที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในหมู่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะเลือกคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจให้แล้ว แม้กระทั่งในราชสำนักก็มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยอยากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ต่อไปไม่รู้ว่าจะเลือกบุตรสาวของสกุลใดกัน”

ฉวีชิ่นเหยาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ

ในใจฉวีจื่ออวี้ตึงเครียดโดยพลัน

“เขายังไม่ได้หมั้นหมายอีกหรือ เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์อย่างเขาไม่ใช่ว่าจะต้องหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือไร ข้ายังนึกว่าเขาหมั้นหมายไปนานแล้วเสียอีกนะ” น้ำเสียงของนางเปิดเผยไม่มีความอึดอัดใจเจือปนแม้แต่นิดเดียว

ฉวีจื่ออวี้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉวีชิ่นเหยามีท่าทีไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง ยังคงพลิกดูโน่นนี่บนโต๊ะหนังสือของพี่ชายด้วยความอยากรู้ แต่แล้วก็พบอะไรบางอย่าง จึงถามด้วยความแปลกใจ

“จี้โจวคนนี้คือใครกัน”

บทวิจารณ์เรื่องนโยบายและการปกครองฉบับหนึ่งวางรวมอยู่กับการบ้านของพี่ชาย บทวิจารณ์กล่าวถึงการปกครองสมัยเหยาซุ่น* เนื้อหาปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมห้าวหาญ ตัวอักษรหนักแน่นทรงพลังอย่างหาได้ยาก แทบจะไม่ด้อยไปกว่าอักษรของพี่ชายเลย

“เป็นสหายร่วมสำนักของพี่เอง” ฉวีจื่ออวี้อธิบาย “รู้จักกันเมื่อหลายวันก่อนตอนไปที่เขาหนานซานเยี่ยมคารวะท่านอาจารย์จี้น่ะ เขาเป็นบัณฑิตจากเขตผิงเหลียงเมืองหยวนโจว มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คราวนี้มาฉางอันเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิ ท่านอาจารย์จี้ชื่นชมในพรสวรรค์ของเขาจึงให้เขาพักค้างแรมอยู่ที่หอเจาเจา”

ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง ท่านอาจารย์จี้เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคในตอนนี้ บัณฑิตทั่วหล้ามีใครบ้างไม่ถือว่าการรับคำชี้แนะจากเขาเป็นเกียรติสูงสุด แต่ว่าเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เคยรับศิษย์โดยง่าย

บุรุษที่ชื่อจี้โจวผู้นี้เดินทางมาไกล ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือรู้จักกันมาก่อน กลับได้อยู่ในสายตาของท่านอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าความรู้ความสามารถอยู่ในระดับเหนือคนธรรมดาทั่วไปแล้ว

นางคิดมาตลอดว่าความรู้ของพี่ชายนั้นล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่ง แต่ว่าวันนี้ดูท่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือใต้หล้ายังมียอดคนโดยแท้

ฉวีชิ่นเหยามาหาพี่ชายแล้วก็ไปหาฉวีเฉินซื่อต่อ

สองวันมานี้ฉวีเฉินซื่อเป็นห่วงฉวีชิ่นเหยามากทีเดียว กว่าจะได้พบหน้าบุตรสาวไม่ใช่เรื่องง่าย ก็มีเรื่องให้ตำหนิเรียงรายเป็นหางว่าวอีกแล้ว

ฉวีชิ่นเหยาฝืนทำจิตใจให้กระปรี้กระเปร่าเพื่อฟังมารดาพร่ำบ่นอยู่ก่อน แต่ภายหลังเริ่มทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เปลือกตาบนกับเปลือกตาล่างเริ่มทะเลาะกันขึ้นมา

ฉวีเฉินซื่อเห็นศีรษะฉวีชิ่นเหยาโคลงเคลงไปมาก็รู้สึกทั้งปวดใจและขบขัน รีบปล่อยนางให้กลับเรือนของตนเองไปนอนพักผ่อน

เมื่อฉวีชิ่นเหยาเอนกายนอนลงก็นอนหลับไม่รู้เรื่องไปในทันที นางนอนหลับลึกและยาวนานยิ่ง แม้กระทั่งในความฝันก็ไม่มีมารบกวน

ท่ามกลางจิตใจที่กำลังล่องลอยก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ

“คุณหนู! คุณหนูตื่นเร็วเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงนั้นแสดงความกังวลและร้อนรนอย่างชัดเจน

ในที่สุดฉวีชิ่นเหยาก็ตื่นจากการหลับลึก นางสะดุ้งสุดตัวจนรีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง

“คุณหนู!” สาวใช้ชื่อไฉ่ผิงเห็นฉวีชิ่นเหยาตื่นขึ้นมาแล้วก็มีสีหน้าโล่งอกอย่างชัดเจน “ข้างนอกมีคนอ้างตัวเป็นองครักษ์จากจวนหลูกั๋วกงมาหลายคน บอกว่าท่านกั๋วกงตอนนี้ประสบเคราะห์ รีบมาเชิญคุณหนูไปเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลเจ้าค่ะ”

“จวนหลูกั๋วกง? ขับไล่สิ่งอัปมงคลรึ” ฉวีชิ่นเหยาเอ่ยทวนคำไม่กี่คำนี้อย่างทื่อๆ ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างงุนงงก็เห็นว่าข้างนอกท้องฟ้ามืดสนิท ในห้องของนางจุดโคมไฟแล้ว

นี่ข้านอนหลับยาวจนถึงช่วงค่ำเลยหรือ

ฉวีชิ่นเหยารู้สึกตกใจยกใหญ่ รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปาก

พอเดินออกมาจากห้องสุขา เดิมทีอยากจะเปลี่ยนมาสวมชุดอย่างเด็กสาวทั่วไป พอคิดถึงคนของจวนหลูกั๋วกงที่รออยู่ข้างนอกก็สั่งไฉ่ผิงนำชุดนักพรตมาให้นางเปลี่ยน จากนั้นสวมสร้อยที่มีกระดิ่งกลืนวิญญาณ

นางหันมาส่องกระจกอีกครั้ง ลงมือแปลงโฉมเล็กน้อยด้วยการหยิบหนวดเครากระจุกเล็กๆ ออกมาจากลิ้นชักติดเข้าที่ปลายคาง ถึงได้รู้สึกพึงพอใจ แล้วเดินออกจากห้องไปที่ห้องโถงด้านหน้า

กลุ่มคนที่รออยู่ในห้องโถงไม่ใช่องครักษ์ของจวนหลูกั๋วกงอะไรทั้งนั้น

ฉางหรงเห็นฉวีชิ่นเหยาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้น ส่งสายตาให้ฉวีชิ่นเหยาก่อนเล็กน้อยแล้วคารวะทักทาย

“คำนับท่านนักพรตหยวนเจิน พวกข้ารับคำสั่งจากฮูหยินของท่านหลูกั๋วกงมาเชิญท่านนักพรตไปขับไล่สิ่งอัปมงคลในจวน เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ขอเชิญท่านติดตามข้าน้อยออกจากจวน”

เล่นบ้าบออันใดกัน

ฉวีชิ่นเหยาไล่สายตามองฉางหรงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความสงสัย เขาเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหลันอ๋องซื่อจื่อชัดๆ เพราะเหตุใดถึงสวมรอยเป็นคนของจวนหลูกั๋วกงได้

ยังจำได้ว่าเมื่อเช้าตอนออกจากวังหลันอ๋อง ซื่อจื่อเคยกล่าวว่าจะช่วยสืบร่องรอยของจูฉี่เอ๋อร์ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่ใช่ว่าจะมีเบาะแสของผู้ใช้กู่คนที่สามแล้วหรอกนะ

ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้นมา รีบเอ่ยรับคำ “ที่แท้คนของท่านกั๋วกง เมื่อครู่ได้ยินบ่าวไพร่แจ้งว่าดูเหมือนที่จวนท่านกั๋วกงจะพบสิ่งอัปมงคล ขอบังอาจถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“เรื่องนี้…” ฉางหรงเหลือบมองสามีภรรยาสกุลฉวีที่ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาทางพวกเขา ยังมีคุณชายใหญ่ที่ตั้งแต่เดินเข้ามาก็นั่งเงียบสนิทด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง สีหน้าของคุณชายใหญ่เคร่งขรึม ดวงตาสีดำสนิทดุจน้ำในบ่อลึก มองสบแล้วเปล่งประกายเฉียบแหลมรับมือยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าถ้าหากกล่าวคำโป้ปดคงกลบเกลื่อนไม่ได้แน่

หลังคิดใคร่ครวญดูแล้วเขาก็ตัดสินใจเล่าความจริงออกมา “จะว่าไปแล้วก็ยาวนัก วันนี้ท่านกั๋วกงกลับจากประชุมเช้า เดิมทีก็นั่งดื่มน้ำชาอยู่ในจวนเป็นปกติ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็หมดสติล้มลงกับพื้น ในวังส่งหมอหลวงมาดูอาการครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแค่เป็นลมไป รีบร้อนฝังเข็มต้มยาให้ดื่ม แต่ไม่คิดว่าพอถึงช่วงบ่ายท่านกั๋วกงกลับฟื้นขึ้นมา ทว่าจดจำใครไม่ได้สักคนเดียว อีกทั้งยังวิ่งไปห้องนอนของฮูหยิน นำปิ่นปักผมกับต่างหูประดับร่างกาย นำกระโปรงหรูฉวินมาสวมใส่ เดินร้องเพลงละครและร่ายรำไปทั่วจวน สร้างความปั่นป่วนโกลาหลกันไปหมด ฮูหยินท่านกั๋วกงกลัวว่าจะเจอปีศาจร้ายเข้าสิงสู่ก็เลยให้พวกข้ามาเชิญท่านนักพรตไปขับไล่ขอรับ”

ความลับเช่นนี้เดิมทีไม่มีสิทธิ์บอกกล่าวให้คนนอกรับรู้ แต่ว่าวันนี้จวนหลูกั๋วกงเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต มีข่าวลือเล็ดลอดออกไปนานแล้ว เกรงว่าคนสกุลฉวีคงพอได้ยินมาบ้าง

เป็นดังที่คาดการณ์ สามีภรรยาสกุลฉวีและฉวีจื่ออวี้ไม่แสดงสีหน้าตกตะลึงมากเท่าใด แต่ฉวีชิ่นเหยานั้นตกใจจนอ้าปากค้าง ท่านหลูกั๋วกงชั่วชีวิตนี้ออกศึกสร้างผลงานมานับไม่ถ้วน เป็นดั่งวีรบุรุษในใจชาวฉางอันก็ไม่ปาน สิ่งชั่วร้ายอัปมงคลอะไรขวัญกล้าเทียมฟ้าเช่นนี้ ถึงขั้นกล้าลบหลู่เกียรติเขาได้

“มีอย่างที่ใดกัน!” นางรีบลุกขึ้นทันใด “ข้าจะตามเจ้าไปจวนหลูกั๋วกงเดี๋ยวนี้”

นางหันกลับไปคารวะคนในครอบครัว “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย ข้าไปก่อน จัดการเรียบร้อยแล้วจะกลับมา”

สามีภรรยาสกุลฉวียังไม่ทันกล่าวอะไรสักคำ ฉวีจื่ออวี้ก็เร่งฝีเท้าก้าวยาวๆ ไล่ตามมา

“อาเหยา” เขามองหน้าน้องสาว แววตาฉายความห่วงกังวลจางๆ “อย่าได้ประมาทศัตรู ระวังตัวให้ดีด้วย”

ฉวีชิ่นเหยาแหงนหน้ามองพี่ชายครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

“ข้าจะระวังตัว พี่ชายวางใจได้”

จวนหลูกั๋วกงในยามค่ำคืนบรรยากาศเคร่งขรึมน่าเกรงขาม

เมื่อประตูหนักอึ้งสีแดงเข้มเปิดออกอย่างช้าๆ ก็มีกระแสลมหนาวยะเยือกพัดโชยออกมาระลอกหนึ่ง ทำให้โคมไฟดวงใหญ่สีแดงเปล่งปลั่งที่แขวนข้างประตูสั่นไหวไปมา

บรรดาบ่าวไพร่เดินนำพวกฉวีชิ่นเหยาไปที่สวนดอกไม้อย่างเงียบงัน บรรยากาศช่างแตกต่างกับเรือนด้านหน้าที่เงียบสงัดวังเวง ในสวนดอกไม้ราวกับเป็นอีกภพหนึ่ง เสียงดังเอะอะหนวกหูเหลือประมาณ

ใจกลางความวุ่นวายนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนภูเขาจำลองสูงลิ่ว เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยแป้งขาวและทาชาดจนหนาเตอะ หนวดเคราสีขาวโพลน แล้วยังประดับปิ่นมุกปิ่นหยกเต็มศีรษะจนดูน่าขบขัน ร่างกายกำยำยังมีกระโปรงหรูฉวินตัวใหญ่สีแดงรัดแนบแน่น ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็มีรอยปริขาด

เขาเชิดหน้ามองขึ้นฟ้า สะบัดแขนที่คล้องเสื้อคลุมแขนครึ่งท่อนเอาไว้ กระดกนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้ ขับขานบทเพลงว่า “ข้าคิดถึงท่าน ไยท่านไม่หวนคืน กลางแสงวสันต์ เสาะหาทุกหนแห่ง เป็นศัตรูคู่แค้นหรือไร ทำให้ข้าต้องหลั่งน้ำตา บุรุษไร้หัวใจหนอ…” เสียงซึ่งเดิมทีทุ้มหนักแน่นและแก่ชรา กลับจงใจบีบเสียงให้เล็กและแหลมสูง เมื่อลอยมาเข้าหูแล้วบาดลึกก่อกวนใจยิ่งกว่าเล็บมือกรีดบนกำแพงเสียอีก

ด้านข้างภูเขาจำลองมีกลุ่มบุรุษและสตรีที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรายืนออแน่นขนัด หนึ่งในนั้นมีสตรีสูงศักดิ์ล่วงเข้าวัยกลางคนท่านหนึ่ง คิ้วเรียวยาวจรดจอนผม นางตวาดสั่งบ่าวไพร่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนซึ่งไม่ดูโกรธเกรี้ยวแต่ดูน่าเคารพยำเกรง “มัวยืนนิ่งเฉยอะไรอยู่ ตอนนี้ท่านหลูกั๋วกงกำลังร้องจนเคลิบเคลิ้ม ยังไม่รีบฉวยโอกาสไปประคองลงมาอีก”

บ่าวไพร่หลายคนที่ดูลักษณะคล้ายพ่อบ้านรีบเอ่ยรับคำ แล้วเริ่มปีนป่ายภูเขาจำลองอย่างระมัดระวัง

เสียงขับขานเพลงละครหยุดชะงักอย่างฉับพลัน หลูกั๋วกงเหลียวมองรอบกาย กระโดดทะยานขึ้นไปในอากาศ ลอยพลิ้วลงมาจากภูเขาจำลองที่สูงกว่าตัวคน ฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง

คนทั้งหลายร้องอุทานด้วยความตกใจ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นตกใจจนผงะถอยหลังก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห

“เวรกรรมแท้ๆ ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง หากท่านพ่อพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ พวกเจ้าแต่ละคนก็รีบคิดหาวิธีเข้าสิ” นางร้องสั่งพลางจับแขนสาวใช้ รีบไล่ตามไปข้างหน้า

หลูกั๋วกงทะยานไปข้างหน้าไม่เท่าไร พริบตาเดียวก็ปีนขึ้นต้นอู๋ถง กลางลานบ้าน เขาจับจอนผมให้เข้าที่เรียบร้อย ประคองกิ่งต้นอู๋ถงไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง ส่งเสียงอืออาขับขานบทเพลงอีกครั้ง

คราวนี้ไม่ต้องรอบ่าวไพร่ บุรุษสองสามคนท่าทางองอาจสง่างามพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมปีนขึ้นต้นไม้ พวกเขาต่างสวมชุดขุนนางของราชสำนัก อากัปกิริยาแตกต่างจากคนทั่วไป ดูก็รู้ว่าคงเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกสามคนของท่านหลูกั๋วกงแน่

ฉวีชิ่นเหยาแอบวาดมือท่องคาถา เปิดเนตรสวรรค์แล้วมองไปทางหลูกั๋วกง น่าประหลาดใจนัก เพราะไม่ว่านางจะส่งพลังออกไปอย่างไรก็มองเห็นเพียงเงาสีแดงจางๆ สายหนึ่ง ไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายชนิดใดไปชั่วขณะ

“อาเหยา” เวลานี้มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ส่งเสียงเรียกนางแผ่วเบา

ฉวีชิ่นเหยาหันหน้าไปมองก็เห็นลิ่นเซี่ยวที่ไม่รู้ว่าเดินมาถึงข้างกายนางเมื่อใด เขายังสวมชุดเกราะเงินของหน่วยอวี่หลิน สีหน้าแสดงความอ่อนล้าเล็กน้อย

“เมื่อวานก็รบกวนเจ้าไปทั้งคืนแล้ว มาวันนี้ก็ต้องเชิญเจ้ามาอีก ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” เขาสังเกตสีหน้าของฉวีชิ่นเหยาอย่างละเอียด เห็นนางมีแววตาเปล่งประกายแวววาว สีหน้าสดชื่นอิ่มเอิบ ชัดเจนว่านอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว จึงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้

“ไม่มีปัญหา” ฉวีชิ่นเหยายิ้มรับ “แต่ว่า…” นางชี้ไปทางกลุ่มคนที่ยังเอะอะครึกโครม “อยู่ในสภาพนี้ข้าไม่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาได้ อีกอย่างกลัวว่าจะพลาดพลั้งทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วย จะขอเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ในจวนหลบเลี่ยงออกไปชั่วคราว ข้าจะได้ร่ายคาถาต่อกรสิ่งชั่วร้ายนั้นได้เต็มกำลัง”

ลิ่นเซี่ยวพยักหน้า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็หันกายจากไปทันที

ฉวีชิ่นเหยาเห็นเขาเดินไปหยุดข้างกายฮูหยินหลูกั๋วกง ก้มศีรษะบอกอะไรบางอย่างกับนาง ฮูหยินหลูกั๋วกงตั้งใจฟังอย่างดี ปรายตามองมาทางฉวีชิ่นเหยาอยู่หลายครั้ง ไม่นานก็เห็นนางพยักหน้ารับ เดินนำทุกคนมาทางฉวีชิ่นเหยา

วันนี้ฉวีชิ่นเหยาแปลงโฉมเล็กน้อย อีกทั้งยังติดหนวดเคราเอาไว้ ฮูหยินหลูกั๋วกงและคนอื่นๆ รู้สึกเพียงว่านักพรตน้อยผู้นี้แลดูนุ่มนวลกว่าบุรุษทั่วไปอยู่บ้าง แต่มองไม่ออกในทันทีทันใดว่านางเป็นสตรี

ฮูหยินหลูกั๋วกงมองประเมินฉวีชิ่นเหยารอบหนึ่ง แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“เหวยจิ่นบอกว่าท่านเป็นศิษย์เอกของท่านนักพรตชิงซวีจื่อแห่งอารามชิงอวิ๋น มีวิชาพรตสูงส่ง คิดว่าท่านนักพรตคงเห็นสภาพของท่านหลูกั๋วกงแล้ว เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเราก็ไม่รู้เรื่องคาถาอาคม ทุกอย่างคงต้องอาศัยท่านนักพรตแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยนี้แฝงความน่าเกรงขามอย่างคนที่อยู่เหนือผู้ใดมาเนิ่นนาน

บุรุษทั้งสามด้านหลังนางต่างมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้ที่อ่อนเยาว์ที่สุดในนั้นอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี มีดวงตาดอกท้อฉายแววเจ้าสำราญ เป็นบุรุษรูปงามโดดเด่นที่สุดในบรรดาบุตรชายหลายคนของหลูกั๋วกง

เขามองหน้าฉวีชิ่นเหยาด้วยแววตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย แล้วหันไปมองลิ่นเซี่ยวพลางเอ่ยปากขันอาสา

“ท่านแม่ พี่ชายทั้งสอง วันนี้พวกท่านยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว คิดว่าตอนนี้คงจะเหนื่อยล้าเต็มที พวกท่านกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องสักครู่ก่อน ข้ากับเหวยจิ่นยังรับมือไหว เรื่องตรงนี้มอบให้พวกเราจัดการเถอะ”

เพียงชั่วพริบตาในสวนดอกไม้ก็เหลือเพียงฉวีชิ่นเหยา ลิ่นเซี่ยว เจี่ยงซานหลาง และองครักษ์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งของจวนหลูกั๋วกงไม่กี่คน

หลูกั๋วกงหยุดขับขานบทเพลงละคร หันหน้ามามองฉวีชิ่นเหยาอย่างเย็นชา ผ่านไปพักใหญ่มุมปากจึงยกโค้งขึ้นเล็กน้อย แค่นเสียงขึ้นจมูกคล้ายบุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิง

ฉวีชิ่นเหยาหรี่ตามองให้แน่ใจและไม่เสียเวลาพูดจาพร่ำเพรื่อ หยิบยันต์ชำระจิตออกมาจากอกเสื้อ ตะโกนออกมาคำหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกยาว พุ่งทะยานไปข้างหน้า มุ่งไปตามทิศทางที่หลูกั๋วกงไป

ลิ่นเซี่ยวเคยเห็นฝีไม้ลายมือของฉวีชิ่นเหยามาก่อนแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเหลือเชื่อเหนือความคาดหมาย ทว่าเจี่ยงซานหลางกลับร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ

ฉวีชิ่นเหยาทะยานมาอยู่เบื้องหน้าหลูกั๋วกง เอายันต์ชำระจิตแปะที่หน้าผากของเขาอย่างว่องไวพร้อมร่ายคาถากำกับ “เผยตน!”

เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือ บีบให้ปีศาจร้ายออกมาจากร่างหลูกั๋วกง

หลูกั๋วกงปล่อยให้ฉวีชิ่นเหยาทำทุกอย่างตามใจด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จนกระทั่งการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของนางสิ้นสุดลง เขาก็หลุดหัวเราะเย้ยหยัน ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาฉีกยันต์ลงคาถาของฉวีชิ่นเหยาเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนาง

เขามองฉวีชิ่นเหยาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะมีพลังตบะร้ายกาจสักเพียงใดกันเชียว ที่แท้ก็แค่การละเล่นหลอกเด็กนี่เอง” พอพ่นลมหายใจแผ่วเบา แผ่นยันต์ในฝ่ามือก็กลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา

ฉวีชิ่นเหยายังไม่ทันจะตอบโต้กลับ หลูกั๋วกงสีหน้าอำมหิตขึ้นมาโดยพลัน กรงเล็บหงิกงอเป็นตะขอ เหวี่ยงเข้าใส่ฉวีชิ่นเหยารวดเร็วฉับพลัน “ไม่เจียมตัว! รนหาที่ตาย!”

ฉวีชิ่นเหยาตื่นตระหนกสุดขีด รีบเค้นพลังทั้งหมดหงายไปด้านหลัง หลบกรงเล็บนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด

ทว่าด้านหลังไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเอาไว้ นางร่วงดิ่งลงมาจากต้นไม้สูงเสียดฟ้าเหมือนตีลังกากลับหัวกลับหาง เสียงสายลมคำรามกึกก้องและเสียงกิ่งไม้หักอย่างต่อเนื่องดังอยู่ข้างหู หัวใจของนางเต้นกระดอนขึ้นมาเกือบถึงคอหอย แต่ไม่อาจรวบรวมกำลังภายในและใช้วิชาตัวเบาได้ ทำได้เพียงอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ไขว่คว้าอย่างสะเปะสะปะ สุดท้ายก็คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งเอาไว้ได้อย่างน่าหวาดเสียว

กิ่งไม้นั้นบอบบางราวแขนเด็กทารก จะแบกรับน้ำหนักร่างฉวีชิ่นเหยาที่ร่วงลงมาได้อย่างไร ชั่วอึดใจเดียวก็ส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะแล้วหักครึ่งอีกครั้ง

โชคดีที่ได้กิ่งไม้กิ่งนี้ชะลอแรงปะทะเอาไว้บ้าง ฉวีชิ่นเหยาจึงสามารถรวบรวมกำลังภายในได้ใหม่ เมื่อร่วงถึงพื้นดินแล้วคงจะโซเซไม่น้อย ตอนนี้เองมีคนผู้หนึ่งยื่นแขนออกมาได้รวดเร็วทันเวลา ประคองนางเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

ฉวีชิ่นเหยาที่ยังตื่นตกใจไม่หายเงยหน้ามอง ก็เห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าซีดเผือด สองมือคว้าหัวไหล่ของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงร้อนรนยิ่ง “เจ้าไม่เป็นไรนะ”

เขาอยู่ใกล้นางมากเหลือเกิน กลิ่นอายสดชื่นสะอาดสะอ้านของชายหนุ่มโชยมาปะทะจมูก ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้แค่คืบ ผิวของเขาเรียบเนียนดั่งหยกเนื้อดี หน้าผากขาวหมดจดมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย นัยน์ตาสีดำแวววาวราวอัญมณี ฉวีชิ่นเหยาถึงขนาดมองเห็นเงาร่างของตนเองในนั้นได้ชัดเจน

ฝ่ามือของเขายังจับหัวไหล่นางเอาไว้ไม่คลาย ความร้อนจากฝ่ามือส่งผ่านทะลุเสื้อผ้าลงมา ใบหน้าของนางแดงเรื่อโดยพลัน รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดิ้นรนหลุดพ้นฝ่ามือของลิ่นเซี่ยวอย่างไร้มารยาทไปบ้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร”

ลิ่นเซี่ยวรู้สึกคล้ายโดนตบหน้าฉาดหนึ่ง ยกสองมือขึ้นกลางอากาศอย่างเก้อกระดาก นิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เก็บมือกลับไปอย่างรวดเร็ว มองฉวีชิ่นเหยาด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก

สีหน้าของเด็กสาวกลับแดงก่ำยิ่งกว่าเขา ไม่สิ ไม่ใช่แค่ใบหน้าแล้ว แม้กระทั่งติ่งหูขาวผ่อง ลำคอก็อาบย้อมด้วยสีแดงจางๆ ชั้นหนึ่ง สีหน้าท่าทางอาจเรียกได้ว่ากระบิดกระบวน ต่างจากความเปิดเผยเป็นธรรมชาติอย่างที่ผ่านมายิ่ง

ดูเหมือนจะมีสัดส่วนความเหนียมอายมากกว่ารังเกียจ…

เขาตกตะลึงและยินดีกับการค้นพบโดยบังเอิญนี้อย่างประหลาด “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เพราะยังรู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เขาเงยหน้ามองหลูกั๋วกงอย่างลำบากใจ “เมื่อครู่นี้เสี่ยงอันตรายเกินไป เจ้ารออยู่ที่นี่ไม่ต้องไปที่ใด ข้าจะไปล่อเขาลงมาเอง”

ไม่รอให้ฉวีชิ่นเหยาว่ากล่าวอะไร เขาก็ชักกระบี่ชื่อเซียวออกมา กระโดดเพียงแผ่วเบาก็ทะยานตัวขึ้นต้นไม้ไป

วิชาตัวเบาของเขาล้ำเลิศยิ่ง ท่วงท่างดงาม ไม่กี่อึดใจก็กระโดดขึ้นมาถึงยอดไม้

ตอนนี้จิตใจของฉวีชิ่นเหยาสงบนิ่งเป็นปกติ เห็นว่าลิ่นเซี่ยวเหาะเหินถึงตัวหลูกั๋วกงในพริบตา นางจะห้ามก็ไม่ทัน ใคร่ครวญดูแล้วก็รีบร้อนปลุกเร้ากำลังภายใน กดเสียงลงต่ำท่องคาถา เมื่อกระดิ่งกลืนวิญญาณตรงหน้าอกตอบสนองกับคาถาก็เปล่งแสงสว่างโชติช่วงโดยพลัน ฉวีชิ่นเหยาคำรามออกมา “ไป!”

มังกรไฟสามตัวถูกปลดปล่อยออกมาจากกระดิ่งทันที เพียงไม่นานก็ไล่ตามลิ่นเซี่ยวไป เลื้อยคดเคี้ยวพัวพันอยู่กับร่างกายของเขา คุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนา

เดิมทีแววตาคมกริบของหลูกั๋วกงก็จ้องมองลิ่นเซี่ยวอยู่แล้ว เมื่อกระบี่วิเศษพุ่งมาใกล้ถึงตรงหน้า ตัวกระบี่เปล่งรัศมีร้อนแรง เขาไม่ทันระวังตัว แววตาเผยความหวาดหวั่น ไม่ต้องรอให้กระบี่เข้าประชิดก็รีบกระโดดผลุงตัวลอย หลบคมกระบี่ไปอย่างหวุดหวิด

ลิ่นเซี่ยวไม่มีเจตนาจะทำร้ายหลูกั๋วกง เพียงแค่จะใช้กระบี่หยั่งเชิงเขาแล้วถือโอกาสล่อให้ลงจากต้นไม้ไปเท่านั้น

พอเห็นหลูกั๋วกงมีท่าทีหวั่นเกรงกระบี่เล่มนี้ดังคาด เขาจึงมั่นใจขึ้นมา ขณะกำลังขบคิดหาวิธี ใครจะรู้ว่าหลูกั๋วกงกลับอ้อมกิ่งไม้มาอยู่ด้านหลังเขาราวภูตผี ลงมือรวดเร็วฉับไว นิ้วมือดุจกรงเล็บพุ่งออกไปจะคว้าหัวไหล่ลิ่นเซี่ยว

โชคดีมังกรไฟที่ฉวีชิ่นเหยาเรียกออกมาเหาะมาถึงทันเวลา คุ้มกันร่างของลิ่นเซี่ยวเอาไว้ได้

นิ้วมือของหลูกั๋วกงแตะโดนมังกรไฟโดยไม่ทันตั้งตัว ผิวหนังร้อนลวกเสียงดังฉ่า เขาร้องสะดุ้งตกใจ ร่างกายสูญเสียการควบคุม ร่วงหล่นจากต้นไม้ประหนึ่งใบไม้แห้งเหี่ยว

แสงเงาคล้ายดวงไฟสีแดงกลมถูกกระชากออกจากร่างปานสายฟ้าแลบ ลอยฉิวข้ามกำแพงเรือน พุ่งไปยังด้านนอกสวนดอกไม้

ฉวีชิ่นเหยามองเห็นชัดเจนยิ่ง รีบกล่าวกับพวกเจี่ยงซานหลางอย่างร้อนรน “ปีศาจร้ายนั่นหนีไปแล้ว เร็วเข้า ไปรับท่านกั๋วกงเอาไว้!”

นางร้องสั่งการจบแล้วก็เรียกมังกรไฟกลับมา ก่อนจะเร่งรุดไล่ตามแสงสีแดงนั่นไปทันที

หลูกั๋วกงได้พวกเจี่ยงซานหลางร่วมมือกันรับเอาไว้ได้ อย่างน้อยก็ไม่ร่วงลงมาบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกปลุกเช่นไร ดวงตาคู่นั้นก็ยังปิดสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าสลบไสลไม่ได้สติไปอีกครั้งแล้ว

ลิ่นเซี่ยวยังเป็นห่วงฉวีชิ่นเหยา เห็นหลูกั๋วกงมีพวกเจี่ยงซานหลางคอยดูแลก็รีบไล่ตามฉวีชิ่นเหยาไป

แสงสีแดงกลุ่มนั้นเคลื่อนที่รวดเร็วฉับไว พริบตาเดียวก็ลอยเข้าไปในกำแพงเรือนแห่งหนึ่ง กลืนหายไปท่ามกลางความมืดมิด

จนกระทั่งฉวีชิ่นเหยากระหืดกระหอบตามมาถึงตำแหน่งเดียวกันนั้น ก็มองเห็นเรือนพักขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงหน้า ประตูสีแดงเข้มปิดสนิท กิ่งไผ่สีเขียวสดนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากในหลังกำแพง สภาพแวดล้อมสวยงามสบายตา บรรยากาศเงียบสงบน่ารื่นรมย์ยิ่ง

ลิ่นเซี่ยวที่ตามหลังฉวีชิ่นเหยามาถามด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าเห็นชัดเจนแน่แล้วใช่หรือไม่ว่าปีศาจร้ายหลบหนีมาถึงที่นี่”

ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้า “มองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว” หันกลับไปเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าลำบากใจ จึงเอ่ยถาม “ผู้ใดอาศัยอยู่ที่เรือนนี้อย่างนั้นหรือ”

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว เอ่ยสั่งการบ่าวไพร่ที่กำลังยื่นหน้ายื่นตามองมาทางนี้ว่า “รีบไปเชิญซานหลางมาที่นี่เร็ว”

หรือว่าจะเป็นเรือนพักของคุณชายสาม ฉวีชิ่นเหยาเข้าใจโดยพลัน

ไม่นานนอกจากเจี่ยงซานหลางแล้ว แม้กระทั่งพี่ใหญ่พี่รองของเขาก็เร่งฝีเท้าตามมาด้วย แต่ว่าไม่เห็นฮูหยินของพวกเขากับสตรีนางอื่นในจวน คิดว่าคงจะอยู่ดูแลหลูกั๋วกงกันหมด

เจี่ยงซานหลางก้าวเดินฉับๆ มาหยุดตรงหน้าฉวีชิ่นเหยา ขึ้นเสียงสูงถามว่า “เจ้าดูละเอียดแน่แล้ว? นี่เป็นเรือนพักของข้านะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าน้อยไม่เคยมองผิดพลาด คุณชายสาม เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ขอให้ท่านสั่งบ่าวไพร่เปิดประตูเรือนเพื่อไม่ให้ปีศาจตนนั้นทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีก”

เจี่ยงซานหลางสีหน้าแปรเปลี่ยน มองฉวีชิ่นเหยาอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก็หันไปเคาะประตูเรือน “มัวทำอะไรกันอยู่ รีบเปิดประตู”

เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งยื่นศีรษะออกมาจากข้างใน “คุณชายสาม!”

“ยังไม่ทันเข้านอน เหตุใดถึงใส่กลอนประตูได้เล่า” เจี่ยงซานหลางถลึงตาใส่นาง ก้าวเท้าเข้าไปในเรือน เหลียวซ้ายแลขวาตรวจดูรอบหนึ่งถึงหันกลับมาผายมือเชื้อเชิญฉวีชิ่นเหยา “เชิญ”

ภายในเรือนกว้างขวางกว่าที่ฉวีชิ่นเหยานึกภาพไว้ ตรงกลางมีห้องเรียงเป็นแถวทั้งหมดสามห้อง แต่ละห้องตั้งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ แม้ว่าจะมีไผ่เขียวให้ร่มเงาบดบัง แต่ว่าช่วงกลางวันคิดว่าจะต้องได้รับแสงแดดเต็มที่แน่ แสงสาดส่องสว่างไสวเหมาะแก่การพักอาศัยของผู้คน

ทางตะวันออกและตะวันตกสองฝั่งมีทั้งหมดเจ็ดแปดห้องอยู่ติดกัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตำแหน่งที่ตั้งแย่กว่ามากนัก

เสียงเลิกม่านประตูดังขึ้น ห้องโถงหลักมีสตรีนางหนึ่งเดินออกมาพร้อมด้วยสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยกลุ่มหนึ่งเดินตามหลัง

สตรีนางนั้นท่วงทีกิริยาอ่อนช้อยนิ่มนวล รูปโฉมเรียกได้ว่างามหยาดเยิ้ม รีบร้อนเดินมาที่กลางลานเรือน คารวะเจี่ยงซานหลางและทุกคน ท่าทางร้อนรนกระวนกระวายเล็กน้อย “ข้าเสียมารยาทแล้ว”

สีหน้าของเจี่ยงซานหลางผ่อนคลายลง ประคองนางลุกขึ้น กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวไม่ว่าจะได้ยินความเคลื่อนไหวอะไรก็ไม่ต้องออกมานะ”

จากนั้นเขาหันไปสั่งกำชับพวกสาวใช้ “ไปเรียกพวกเหวินจู๋ออกมาให้ครบ” สาวใช้สองสามคนน้อมรับคำสั่ง แล้วเดินไปที่ห้องทางฝั่งตะวันออกและตะวันตก

ขณะที่เจี่ยงซานหลางประคองสตรีนางนั้นกลับห้อง

“ช้าก่อน” ฉวีชิ่นเหยายิ้มกว้างพลางเดินมาขวางทางเจี่ยงซานหลาง “คุณชายสาม วันนี้ท่านก็เห็นความร้ายกาจของปีศาจตนนั้นแล้ว แม้กระทั่งหลูกั๋วกงยังถูกพวกมันควบคุม วิธีการเรียกได้ว่าพลิกแพลงหลากหลาย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้แม่นางท่านนี้อยู่ที่นี่ด้วยจะดีที่สุด”

“เจ้า…” เจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วขึ้น เตรียมพร้อมจะบันดาลโทสะ

“น้องสาม นักพรตหยวนเจินกล่าวมาใช่ว่าจะไร้เหตุผล” บุรุษที่ดูค่อนข้างอาวุโส ระหว่างคิ้วเผยประกายเฉียบแหลมเอ่ยขัดจังหวะเจี่ยงซานหลาง น้ำเสียงแฝงการเกลี้ยกล่อมตักเตือน “อย่าได้เอาแต่ใจ”

เขากับเจี่ยงซานหลางมีหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง แต่ว่าผิวดำคล้ำกว่า ท่วงทีกิริยาก็ยิ่งสุขุมเยือกเย็นเด่นชัด ดูท่าคงเป็นพี่ชายคนโตของเจี่ยงซานหลาง ซื่อจื่อแห่งจวนหลูกั๋วกงคนปัจจุบันชื่อเจี่ยงฮุยหมิ่นแน่

“ใช่แล้วน้องสาม วันนี้ปีศาจนั่นออกอาละวาดในจวนเราดุร้ายปานนี้ ถ้าหากพลาดพลั้งปล่อยมันหลุดออกไป ไม่รู้ว่าจะก่อหายนะร้ายแรงอะไรอีก ต้องระวังรอบคอบไว้ก่อนจะดีกว่า” คราวนี้คนที่กล่าวคือพี่ชายคนรองเจี่ยงฮุยหง

พี่ชายทั้งสองต่างเอ่ยปาก แม้เจี่ยงซานหลางจะไม่ยินยอมสักเพียงใดก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะพาอาเมี่ยวกลับห้อง

เขาปกป้องอาเมี่ยวไว้ข้างหลัง ยืดอกเชิดหน้ามองฉวีชิ่นเหยาพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะใช้วิธีใดเรียกวิญญาณนั่นออกมา”

ขณะฉวีชิ่นเหยากำลังจะเอ่ยอธิบายก็มีเสียงเอะอะวุ่นวายดังขึ้นโดยรอบ ห้องทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีสตรีกลุ่มหนึ่งประมาณเจ็ดแปดนางเดินเยื้องกรายนวยนาดออกมา แต่ละนางทัดดอกไม้ซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่งกายประทินโฉมอย่างหรูหรา ความงามไม่ด้อยไปกว่าสตรีข้างกายเจี่ยงซานหลางเลย

ฉวีชิ่นเหยาช้อนตาสังเกตพวกนางทีละคน ลอบอุทานชื่นชมอยู่ในใจ จวนหลูกั๋วกงแห่งนี้สมแล้วที่เป็นตระกูลยิ่งใหญ่มานับร้อยปี เพียงแค่คนในเรือนของคุณชายสามท่านนี้ก็อลังการเสียยิ่งกว่าฮูหยินเอกของตระกูลผู้ดีสูงศักดิ์ทั่วไป

“ยังมีใครอยู่ในห้องไม่ออกมาอีกหรือไม่” เจี่ยงซานหลางถามหมัวมัววัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแลเรือน

“เรียนคุณชาย พวกเราคนในเรือนจู่ชิ่นมาอยู่ที่นี่ครบถ้วน ไม่มีใครตกหล่นสักคนเดียวเจ้าค่ะ”

เจี่ยงซานหลางหันไปมองฉวีชิ่นเหยา เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญท่านนักพรตเริ่มเลยเถอะ”

ฉวีชิ่นเหยาเหลียวมองไปทั่วเรือนรอบหนึ่งพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่นางทั้งหลายขอเชิญขยับห่างออกไปสักหน่อย เมื่อข้าน้อยสำแดงอิทธิฤทธิ์จะได้ไม่พลาดพลั้งทำให้ทุกท่านต้องบาดเจ็บ”

เหล่าหญิงบำเรอที่ยืนอยู่ได้ยินดังนั้นก็พร้อมใจกันหันหน้าส่งสายตาตัดพ้อไปหาเจี่ยงซานหลางโดยพร้อมเพรียง ยามขยับกายเคลื่อนไหวพาให้ปิ่นมุกปิ่นหยกบนศีรษะกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่วบริเวณ ช่างครึกครื้นเสียนี่กระไร

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วน้อยๆ

เจี่ยงซานหลางทำราวกับมองไม่เห็นสายตายั่วเย้าส่งความนัยของสาวงาม แต่กุมมืออาเมี่ยวเอาไว้แน่น จูงนางเดินไปหลบอยู่มุมหนึ่งในเรือนที่ห่างไกลออกไป แสดงเจตนาว่าจะดูไฟชายฝั่ง

เหล่าสาวงามต่างกะพริบตาปริบๆ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ จำต้องแยกย้ายกันไปยืนคนละทางด้วยความไม่เต็มใจ

กลางเรือนมีพื้นที่ว่างโล่งกว้างทันตาเห็น

ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ เดินมาตรงกลางเรือน เลือกตำแหน่งที่เหมาะสม ออกคำสั่งเบาๆ ว่า “ไป” แล้วปล่อยมังกรไฟสามตัวออกมาจากกระดิ่งกลืนวิญญาณ

มังกรไฟเหาะวนเวียนเหนือลานกว้างระยะหนึ่งก่อนจะพุ่งตรงลงสู่เบื้องล่าง มังกรทั้งสามตัวรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หยัดยืนบนพื้นดินแล้วกลายร่างเป็นห่วงไฟความสูงเท่าตัวคน

ฉวีชิ่นเหยาชี้ไปทางห่วงไฟที่ทำให้เรือนแห่งนี้สว่างไสวดุจกลางวัน ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของคนทั้งหลาย นางเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือมังกรไฟที่ในอดีตกาลหลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิงหลอมสร้างขึ้นเพื่อกำจัดปีศาจมารร้ายในโลกมนุษย์ สื่อสารกับปีศาจได้ดีที่สุด นอกจากจะเผากายเนื้อของปีศาจทั่วไปให้มอดไหม้ได้แล้ว ยังทำให้จิตวิญญาณของพวกมันแตกสลาย ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกชั่วกาลนาน ถึงได้มีชื่อแสนหยิ่งผยองว่ากลืนวิญญาณ” นางกล่าวพลางกวาดสายตามองผ่านทุกคนอย่างช้าๆ เก็บรายละเอียดสีหน้าของพวกเขาเอาไว้หมด

“แต่สำหรับชื่อเรียกกลืนวิญญาณนั้น มุ่งทำลายเฉพาะวิญญาณของปีศาจมารร้าย ไม่ทำอันตรายมนุษย์แม้แต่นิดเดียว ต่อให้ไม่ทันระวังสัมผัสแตะต้องเปลวไฟของมันเข้าก็ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นอีกสักครู่ทุกท่านในที่นี้จะต้องทำตามที่ข้าบอก เดินข้ามผ่านห่วงไฟนี้ไล่เรียงตามลำดับ เพื่อให้ข้าแยกแยะคนที่โดนปีศาจร้ายสิงสู่ร่างกายได้สะดวก…”

ฉวีชิ่นเหยากล่าวยังไม่ทันจบ ก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายในหมู่คนส่วนใหญ่ เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังระงมทั่วลานกว้าง ทุกคนต่างคลางแคลงสงสัยไม่หาย กายเนื้อของมนุษย์ธรรมดาจะข้ามผ่านเปลวไฟร้อนแรงโดยไร้รอยขีดข่วนได้เช่นไร คำพูดของนักพรตน้อยเป็นเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้

มีสาวใช้ที่อายุยังน้อยหลายคนถึงขนาดร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว

ฉวีชิ่นเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญา เดินมาหยุดตรงหน้ากระดิ่งกลืนวิญญาณก่อนใคร เพียงก้าวเดียวก็ข้ามผ่านห่วงไฟมาได้ นางสะบัดชุดนักพรตของตัวเอง มองคนทั้งหลายในเรือน “เป็นอย่างไร คราวนี้คงเชื่อข้าแล้วกระมัง”

ทุกคนยังคงกระเถิบถอยหนีไม่ก้าวออกมา แววตาแสดงเจตนาปฏิเสธชัดเจน เจ้าเป็นนักพรตน่ะสิ มีพลังอิทธิฤทธิ์คุ้มกาย พวกเราปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร

ลิ่นเซี่ยวยืนอยู่ข้างกายฉวีชิ่นเหยา เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็เอามือถือกระบี่ไพล่หลังไว้ เดินข้ามห่วงไฟอย่างองอาจผ่าเผยให้รู้แล้วรู้รอด

เมื่อทุกคนเห็นว่าลิ่นเซี่ยวนอกจากเสื้อผ้าและกายเนื้อ แม้กระทั่งเส้นผมสักเส้นก็ไม่ได้รับความเสียหาย ในที่สุดก็เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายลง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาลองพิสูจน์

ตอนนี้แม่นางน้อยที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเจี่ยงซานหลางกระตุกเสื้อของเขาด้วยความขลาดกลัว “คุณชาย ห่วงไฟนั่นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน ข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะ…”

เจี่ยงซานหลางรีบเอ่ยปลอบขวัญอย่างนุ่มนวล

ชั่วพริบตานั้นก็เงยหน้ามองฉวีชิ่นเหยาอย่างโกรธเคือง “เจ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไร เหตุใดจะต้องกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัวเช่นนี้ด้วย”

ลิ่นเซี่ยวทนมองเจี่ยงซานหลางวางมาดดุร้ายข่มฉวีชิ่นเหยาต่อไปไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็ไม่คิดจะอดทนอดกลั้นอีก จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ว่ามา ยังมีวิธีใดที่ทั้งไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แล้วก็ค้นหาปีศาจร้ายออกมาได้รวดเร็วทันการณ์”

เจี่ยงซานหลางสำลักคำพูดของตนเองขึ้นมา โกรธจัดเสียจนดวงตาเปล่งประกายวาววับผิดปกติ ใบหน้าของเขาเดิมทีก็ซูบผอมซีดขาวอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายดำทะมึนผิดปกติออกมา

บรรยากาศพลันชะงักงันไปเล็กน้อย

หลังจากเงียบสนิทไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปาก

“น้องสาม เรื่องของปีศาจร้ายไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าก็เห็นแก่ท่านพ่อที่ต้องรับกรรมไปวันนี้เถอะ ตั้งใจเชื่อฟังแผนการของนักพรตหยวนเจิน อย่าดื้อรั้นอีกเลย”

เจี่ยงฮุยหมิ่นผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยขึ้นเช่นนี้ แล้วเดินเข้าใกล้ห่วงไฟที่แผดเผาร้อนแรงพลางสังเกตดูด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ทันใดนั้นก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด “ว่าตามหลักแล้วข้าเดินเข้ามาจากข้างนอกเรือน ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟกลืนวิญญาณเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ในเมื่อทุกคนหวาดกลัวมันนัก ข้าเป็นบุตรชายคนโตของจวนหลูกั๋วกง เรื่องราวทุกอย่างในจวนไม่อาจผลักภาระให้ผู้ใดรับผิดชอบแทนได้ เช่นนั้นก็เริ่มที่ข้าแล้วกัน ลองพิสูจน์ของวิเศษที่ยากจะพานพบสักครั้งชิ้นนี้ดู”

เขาจัดหมวกยศขุนนางให้ตั้งตรง จับชุดหมั่งเผา สีม่วงให้เข้าที่เรียบร้อย เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษผู้กล้าที่ผดุงคุณธรรมไม่รักตัวกลัวตาย ก้าวยาวๆ เดินข้ามห่วงไฟอย่างแน่วแน่ท่ามกลางแววตาซับซ้อนของทุกคน

ฉวีชิ่นเหยาอยากโห่ร้องชื่นชมจนแทบอดใจไม่อยู่ สมแล้วที่เป็นบุตรชายคนโตที่หลูกั๋วกงอบรมเลี้ยงดูมา คุณธรรมน้ำใจและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นหนึ่งเหนือใคร

คุณชายรองเจี่ยงก็ไม่ยอมน้อยหน้า เดินตามหลังพี่ชายคนโตก้าวข้ามห่วงไฟไปติดๆ

เมื่อคุณชายทั้งสองพิสูจน์ด้วยร่างกายตนเองแล้ว คนที่เหลือยังมีข้ออ้างบอกปัดได้อีกหรือ ไม่นานหมัวมัวผู้ดูแลเรือน สาวใช้กลุ่มใหญ่ เหล่าหญิงบำเรอของเจี่ยงซานหลางก็เดินข้ามห่วงไฟมาทีละคน

ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย

สายตาของฉวีชิ่นเหยาจับจ้องไปที่สองคนสุดท้ายในเรือน

เจี่ยงซานหลางมีสีหน้าเขียวคล้ำ “นี่มันเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! อาศัยห่วงไฟประหลาดก็แยกแยะได้หรือว่าใครเป็นมนุษย์ใครเป็นปีศาจ ข้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้เสียอย่าง วันนี้ข้ากับอาเมี่ยวจะไม่มีใครเดินข้ามห่วงไฟไปทั้งนั้น!” เขาหันกายเดินออกไปนอกเรือนพร้อมคว้าตัวอาเมี่ยวไปด้วย

ลิ่นเซี่ยวเข้าไปขวางเจี่ยงซานหลางเอาไว้ “เจ้าเสียสติไปแล้ว? วันนี้ใครเป็นปีศาจแค่มองดูก็รู้แล้ว เจ้ายังกล้าปกป้องนางอีกหรือ!”

เขาลองกระชากตัวเจี่ยงซานหลางจากข้างกายอาเมี่ยว แต่เจี่ยงซานหลางกลับมีเรี่ยวแรงมากจนน่าทึ่ง สลัดหลุดจากมือลิ่นเซี่ยวได้ทันทีพร้อมเอ่ยตอบโต้อย่างเดือดดาล “ใครบอกว่าอาเมี่ยวเป็นปีศาจ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ วันนี้ต่อให้ข้าต้องตายก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าทำร้ายอาเมี่ยวได้แน่!” แววตาเขาเป็นประกายร้อนแรง สีหน้าจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ทุกคนที่อยู่ในเรือนรวมทั้งเจี่ยงฮุยหมิ่นและเจี่ยงฮุยหงต่างตกตะลึง

แปะๆ

ท่ามกลางความเงียบสงัด มีคนปรบมือขึ้นมาโดยไม่รู้กาลเทศะ

“ก่อนหน้านี้บนต้นอู๋ถงในสวนดอกไม้ เจ้าเคยบอกว่าข้าไม่เจียมตัว ตอนนี้ดูแล้วข้าก็ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”

ฉวีชิ่นเหยากล่าวแล้วโบกสะบัดมือเรียกมังกรไฟกลับมา มองอาเมี่ยวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เริ่มจากใช้กู่คนงามล่อลวงอาเมี่ยวให้รับกู่เข้าไปในร่างกาย ค่อยเข้าสิงร่างของนาง ควบคุมเจี่ยงซานหลางเอาไว้ในกำมือชนิดดิ้นไม่หลุด แล้วก็เพราะมีกายเนื้อของอาเมี่ยวคุ้มครอง ทำให้ใครก็ไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายปีศาจของเจ้าได้ เมื่อใดความจริงถูกเปิดเผย เจี่ยงซานหลางก็จะปกป้องเจ้าสุดชีวิต ถึงเจ้าจะจิตวิญญาณแตกสลาย ก็ลากให้เจี่ยงซานหลางตายตกไปตามกันได้ด้วย…”

สายตาของนางจับจ้องที่เส้นสีทองจางๆ บริเวณแขนของอาเมี่ยว กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก ตกลงเจ้ามีหนี้แค้นลึกล้ำอะไรกับหลูกั๋วกงกันแน่ ถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนพวกเขาถึงเพียงนี้”

คำพูดนี้ประหนึ่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา สั่นสะท้านถึงวิญญาณทุกคนในที่นี้ จนพร้อมใจกันเบนสายตาไปมองสาวงามร่างอรชรแลดูบอบบางอ่อนแออย่างตื่นตระหนก

“อะไรนะ อาเมี่ยวเป็นคนบงการเบื้องหลังเรื่องในจวนวันนี้รึ”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ฮูหยินของหลูกั๋วกงเดินเข้ามาในเรือนโดยมีบ่าวไพร่ห้อมล้อม และคำพูดเมื่อครู่นี้บังเอิญลอยเข้าหูนางอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

เจี่ยงฮุยหมิ่นกับเจี่ยงฮุยหงจะรีบเข้าไปประคอง ทว่าฮูหยินหลูกั๋วกงโบกมือห้ามไว้ นางจับมือของสาวใช้คนหนึ่งไว้แล้วเดินเข้ามาหาฉวีชิ่นเหยาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว

“ที่ท่านนักพรตว่ามาเป็นความจริงหรือ”

“ใช่แล้ว” แววตาฉวีชิ่นเหยาสงบเยือกเย็น น้ำเสียงแน่วแน่มั่นใจ

ฮูหยินหลูกั๋วกงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สะบัดมือของสาวใช้ทิ้งไป ก้าวเดินฉับๆ มาถึงตรงหน้าอาเมี่ยว

‘เพียะ!’ นางตบหน้าอาเมี่ยวเสียงดังกังวานชัด “นางคนชั้นต่ำ! เสียแรงที่ข้าไม่ถือสาเรื่องฐานะของเจ้า ยอมให้ซานหลางรับเจ้าเข้ามาอยู่ในจวน ยังเห็นแก่ความกตัญญูรู้คุณของเจ้า กำชับให้ซานหลางดีต่อเจ้ามากๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าใช้อุบายเลวทรามกับซานหลาง วันนี้แม้กระทั่งหลูกั๋วกงก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย เจ้าช่างบังอาจนัก!”

หลังจากตบไปหนึ่งฉาดก็ไม่รอให้อาเมี่ยวได้ตั้งตัว เข้ากระชากตัวเจี่ยงซานหลาง ใช้กระบวนท่างดงามดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ขยับถอยหนีออกมาหนึ่งจั้งอย่างฉับไว

ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วทั้งเรือน

ทุกคนรวมทั้งอาเมี่ยวที่โดนตบหน้าต่างมองฮูหยินหลูกั๋วกงด้วยความตกใจราวกับเห็นผี

ฝีมือวิชาตัวเบาล้ำเลิศ เก็บงำซ่อนประกายไว้มิดชิด

อารมณ์หุนหันพลันแล่น ลงมือรวดเร็วเฉียบขาด

ปฏิภาณไหวพริบฉวยโอกาสยามเผลอ บรรลุเป้าหมายก็หลบหนี

ฉวีชิ่นเหยามองฮูหยินของหลูกั๋วกงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปทันที

ช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งแห่งยุคโดยแท้!

โอกาสพลิกสถานการณ์มาถึงรวดเร็วเช่นนี้ เมื่อได้ฮูหยินหลูกั๋วกงชิงลงมือ เจี่ยงซานหลางก็ไม่ใช่เบี้ยในกำมืออาเมี่ยวอีกต่อไป เรื่องราวเปลี่ยนไปคลี่คลายง่ายขึ้นในพริบตา!

ใบหน้าของอาเมี่ยวงอง้ำลงเรื่อยๆ ความนุ่มนวลอ่อนโยนที่ประดับใบหน้าทุกขณะจิตอย่างที่ผ่านมาคล้ายว่าโดนผ้าผืนหนึ่งเช็ดหายไปหมดสิ้น กลับมีสีหน้ามืดมนอำมหิตเข้ามาแทนที่ โดยรูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนเดิม แต่ว่าทำให้ผู้คนเชื่อมโยงภาพอาเมี่ยวในตอนนี้กับอาเมี่ยวในวันวานได้ยากแล้ว

เจี่ยงซานหลางดิ้นรนสุดชีวิต “อาเมี่ยวจะเป็นปีศาจไปได้อย่างไร ท่านแม่ อย่าได้ฟังนักพรตคนนี้พูดจาเหลวไหลเลอะเทอะ ข้าอยู่กับอาเมี่ยวตลอดเวลา นางใช่ปีศาจหรือไม่ในใจข้ารู้ดีที่สุด! รีบปล่อยข้าสิ! ท่านแม่!”

เขาหันไปมองอาเมี่ยวด้วยความร้อนรนเหลือประมาณ ดวงตาและจิตใจอัดแน่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว น่าเสียดายที่ช่วงนี้กำลังภายในของเขาอยู่ดีๆ ก็หายไปกว่าครึ่ง ตอนนี้เกรงว่าคนธรรมดาก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ แล้วจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือแน่นหนาดั่งคีมเหล็กของมารดาได้อย่างไร

ลิ่นเซี่ยวทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากำหมัดแน่นแล้วคลายออก พอคลายออกก็กำแน่น คนตรงหน้ายังเป็นเจี่ยงซานหลางที่แสดงฝีมือขี่ม้ายิงธนูได้อย่างโดดเด่นสง่างาม จนคว้าอันดับหนึ่งในหมู่คนหนุ่มผู้กล้าของเมืองฉางอันที่ใดกัน เรียกว่าเป็นเจ้าคนเลอะเลือนที่ปล่อยให้ตัณหาราคะครอบงำมากกว่า!

เขาเหลืออดจนอยากจะออกไปสั่งสอนเจี่ยงซานหลางให้สาแก่ใจสักยก ใครจะรู้ว่าเพิ่งก้าวได้ก้าวเดียวก็ถูกฉวีชิ่นเหยาขวางเอาไว้ นางหันมาทางเขาแล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยเตือน “ไร้ประโยชน์เปล่าๆ ด่าว่าเท่าไรก็ไม่ได้สติหรอก”

ผู้ใดก็ตามที่ถูกกู่คนงามเล่นงานเข้าไม่มีทางรอดพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้ รักมั่นลึกซึ้งไม่เสื่อมคลายตราบจนความตายมาพรากจาก นี่เป็นคำสาปของกู่คนงามและเป็นการเฝ้ารอที่ไร้ความหวังที่สุดของหมอผีหญิงนางนั้นในอดีต นางทุ่มเทสรรพวิชาความรู้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างกู่คนงามขึ้นมาเพียงเพื่อผูกมัดบุรุษในดวงใจที่นางไม่มีทางเอื้อมคว้าเอาไว้ด้วยเล่ห์กล เรื่องราวในตอนจบนั้นนางได้สมดังปรารถนาหรือไม่ ไม่มีใครรู้เลย แต่อย่างไรก็ตามพิษของกู่ชนิดนี้ตกทอดแพร่หลายมากว่าร้อยปี ล่อลวงจิตใจสตรีที่มีความปรารถนาดังหุบเหวลึกยากจะถมเต็ม สร้างหายนะให้กับผู้บริสุทธิ์ที่โดนพิษกู่คนแล้วคนเล่า

“ฮ่าๆ” ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆ อาเมี่ยวก็เปล่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา “นักพรตน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แม้แต่ฟันก็ยังงอกไม่ครบคนหนึ่ง ก็กล้าพูดจาส่งเดชต่อหน้าข้า!”

นางกล่าวแล้วกางแขนออก สองเท้าแตะพื้นแผ่วเบาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศโดยมีสายตาทุกคนจับจ้องมองอยู่

“เจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้ามาตลอด ทำลายแผนการของข้าหลายครั้งแล้ว วันนี้ข้าจะทำตามที่เจ้าเรียกร้อง ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน จากนั้นจวนหลูกั๋วกงจะต้องถูกล้างด้วยเลือด!”

ระหว่างนั้นเล็บมือของนางพลันงอกยาวออกมากว่าครึ่งฉื่อ แต่ละเล็บล้วนคมกริบดุจใบมีด พุ่งลงมาหาฉวีชิ่นเหยาอย่างรวดเร็ว

ทุกคนส่งเสียงอุทานตกใจระลอกหนึ่ง ยกเว้นเจี่ยงซานหลางและลิ่นเซี่ยว คนอื่นๆ ต่างหลบหนีไปคนละทิศละทาง

ฉวีชิ่นเหยามองดูอาเมี่ยวที่เข้ามาใกล้ทุกขณะโดยไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าของนางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับตื่นตระหนกจนแผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ

ยามนี้นางตามหาปีศาจร้ายที่ว่านั่นเจอแล้ว แต่ตอนนี้จะรับมือมันอย่างไรดีเล่า

ใช้กระดิ่งกลืนวิญญาณรึ ไม่ได้หรอก มังกรไฟจะเผาทำลายกายเนื้อของอาเมี่ยวไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าจะกำจัดปีศาจได้ตามเป้าหมาย แต่กลับต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ล่วงละเมิดหลักคุณธรรมวิถีเต๋า

นำคันฉ่องไร้ขอบเขตออกมา? ก็ไม่ได้อีกนั่นล่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคันฉ่องไร้ขอบเขตอยู่ในห่อผ้าสะพายหลังไม่สามารถหยิบออกมาในตอนนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางหยิบออกมาได้แล้วจะใช้งานอย่างไร นางคลำหาทางไม่ถูกเลย จะโทษก็ต้องโทษที่ตอนอาจารย์ใช้งานกระจกบานนี้นางไม่เคยสังเกตอย่างละเอียด จึงไม่รู้วิธีการใช้งาน ตอนนี้จะสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว

ในใจของนางสว่างเจิดจ้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ปีศาจตนนั้นกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ก็เพราะว่าอาศัยว่าสิงอยู่ในร่างของมนุษย์ นางไม่มีวิธีจัดการอย่างสมบูรณ์แบบ อยากต่อกรกับนางปีศาจ จะต้องใช้กลวิธีอันแยบยลคว้าชัยในพริบตา!

นางกำหมัดแน่นแล้วรีบก้มหลบโดยพลัน ฉวยโอกาสที่อาเมี่ยวพุ่งเข้ามาตรงหน้า กายลื่นไถลผ่านใต้ร่างอีกฝ่าย พอหันหลังกลับไปค่อยจู่โจมจากด้านหลังอย่างดุดัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: