บทนำ
“หมื่นนึงเนี่ยใช้ให้มันเพลาๆ ลงหน่อยนะยะ”
ดำเกิงอดีตโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงที่หญิงสาวเคยทำงานด้วยบ่นพลางเลื่อนซองเงินให้
“รู้แล้วน่าเจ๊ ตอนแพมมีเงินแพมก็ให้เจ๊ยืมตลอด ไม่เคยทวงเลยด้วย” ภูริตาสวนกลับทันควัน
“ฉันจำได้ย่ะว่าแกเคยให้ฉันยืม แค่จะเตือนให้แกมีสติ ไม่ใช่เอะอะก็อวดโลกไว้ก่อน”
คนถูกบ่นถอนหายใจแรงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเสียชีวิต ภูริตาคงไม่รู้ความจริงว่าบริษัทมีหนี้สินมากมาย และน้องชายของพ่อก็แอบเชิดเงินก้อนโตของบริษัทพาครอบครัวหนีไปเมืองนอก ทิ้งหนี้ก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มไว้ให้เธอรับผิดชอบเพียงลำพัง
เป็นครั้งแรกที่คุณหนูสายเปย์อย่างภูริตารู้รสชาติของการหนีเจ้าหนี้ชนิดหัวซุกหัวซุน แต่พอตั้งสติได้ในไม่กี่วันถัดมาเธอก็เรียกบรรดาเจ้าหนี้มาพบ และขอร้องให้อดีตทนายประจำตระกูลช่วยจัดแจงขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ไม่เว้นแม้แต่บ้านหลังงามซึ่งเป็นที่ซุกหัวนอนแห่งสุดท้าย
“ก็มันอดไม่ได้นี่เจ๊ เพื่อนไฮโซบางคนมาค่อนแคะว่าแพมตกอับ ฟังแล้วมันจี๊ดก็เลยต้องอวดให้โลกรู้ว่าคนอย่างภูริตาไม่ยอมอับจนหนทางง่ายๆ หรอก”
เพราะความจมไม่ลงนี้เองบีบบังคับให้เธอละเลงเงินก้อนสุดท้ายหลังจากปลดหนี้ไปกับค่าเช่าคอนโดฯ หรูสามเดือน กระเป๋าแบรนด์เนมและอาหารมื้อหรู แล้วตอนนี้เงินก้อนนั้นก็หมดลงเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันถามจริง แกจะอวดโลกไปได้อีกสักกี่น้ำ บอกไว้ก่อนนะยะว่าไม่มีก๊อกสอง ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไหนจะต้องให้แม่ แล้วก็เลี้ยงผู้ชายอีก ฉันออกทั้งนั้น”
“แพมมีลู่ทางรอดแล้วเจ๊”
“ลู่ทางอะไรของแก”
“แพมว่าแพมจะกลับไปง้อแฟนเก่า ตอนนี้เขาเป็นถึงนายหัว เจ้าของฟาร์มไข่มุกที่ภูเก็ต แพมกะจะไปขออยู่ด้วย แพมเคลียร์หนี้ได้แล้ว แต่แพมไม่มีที่อยู่ เงินเช่าคอนโดฯ ก็ไม่มีแล้วด้วย แพมว่าแพมไปง้อเขาดีกว่า”
“แต่เท่าที่ฉันจำได้ แกบอกว่าแกหักอกแฟนเก่าเสียยับเยิน เขาจะยอมคืนดีเรอะ”
ริมฝีปากของภูริตาขบเม้มเข้าหากันคล้ายไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้
“แต่เราโตมาด้วยกัน พ่อก็มีบุญคุณกับเขา แล้ว…แล้วเขาก็รักแพมมาก”
“ก็ไหนแกว่าเขาไม่เคยบอกรัก ไม่เคยขอเป็นแฟนด้วยซ้ำ”
“ของแบบนี้ไม่ได้อยู่ที่คำพูดเจ๊ มันอยู่ที่การกระทำ แค่มองตาก็รู้แล้วว่าเรารักกันแค่ไหน แถมตอนนี้เขาหล่อขึ้นตั้งเยอะด้วยนะเจ๊”
“แล้วแกรู้ได้ไง ไหนว่าห่างกันเป็นสิบปีแล้ว ไม่ได้ติดต่อกันเลย”
“แพมเห็นรูปในไอจีน่ะสิ เขารับรางวัลอะไรสักอย่างบนเวที ใส่สูทผูกไทหล่อมากอ่ะเจ๊”
“มีรูปไหมยะ ขอเจ๊ส่องหน่อย”
ภูริตาจัดแจงเปิดรูปถ่ายที่ตนบันทึกหน้าจอไว้ พออีกฝ่ายเห็นเข้าถึงกับยกมือทาบอก สีหน้าตื่นตะลึง
“ทำไมแกไม่เคยบอกว่าแฟนเก่าหล่อขนาดนี้”
“ก็เมื่อก่อนพี่เขมไม่ได้ล่ำแบบนี้ แล้วผิวก็ไม่เข้มเท่านี้ด้วย”
“ดูดิบๆ เถื่อนๆ แบบนี้ท่าจะแรงดีด้วยนะยะ”
“อย่ามาทะลึ่ง นี่แฟนแพมนะเจ๊”
“แฟนเก่าย่ะ ดูๆ ไปฉันว่าหล่อกว่านังคิมบอมเป็นไหนๆ เลยนะ”
“เจ๊อย่าพูดถึงมันเลย คิดแล้วยังเคืองไม่หาย ถ้าไม่ใช่เพราะมันกับผู้จัดการ แพมคงไม่ถูกแฟนคลับมันถล่มแบบนี้หรอก”
“เรื่องมันแล้วไปแล้วน่า”
“แล้วไปแล้วได้ไงล่ะเจ๊ ทุกวันนี้ยังมีแฟนคลับบางคนเข้ามาเหน็บเวลาแพมลงรูปในไอจีอยู่เลย”
“ก็ถือเสียว่าโปรดสัตว์ผู้ยากไป อีกหน่อยคนรู้ความจริงก็เลิกวอแวแกเอง”
“แพมต้องกลายเป็นจำเลยสังคมไปถึงเมื่อไรล่ะเจ๊ นักร้องก็ไม่ได้เป็น ปริญญาก็ไม่มี รู้งี้แพมไม่ยอมเลิกเรียนหรอก”
“อย่ามาอ้างว่าเลิกเรียนเพราะอยากเป็นนักร้องหน่อยเลยย่ะ ฉันเห็นคนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเยอะแยะ แต่แกน่ะขี้เกียจก็เลยไม่ยอมไปเรียนจนโดนไล่ออกจากมหา’ลัยต่างหาก”
“เจ๊อ่ะ นี่น้องนะ”
“ย่ะ ถ้าไม่ใช่น้อง ฉันสาปส่งแกไปแล้ว ไม่ปากเปียกปากแฉะบ่นแบบนี้หรอก”
ใบหน้าของหญิงสาวงอง้ำลงครู่หนึ่งก่อนจะกู้กลับมาได้ดังเดิม
ทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันอีกพักใหญ่ ภูริตาก็โบกมือลาอดีตโปรดิวเซอร์แล้วเดินเล่นในห้าง เผื่อหาเรื่องใช้เงินก้อนใหม่เสียหน่อย
จังหวะที่หญิงสาวกำลังหยุดยืนรอที่ลิฟต์แก้ว สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบเห็นป้ายเซลส์ขนาดใหญ่ที่ร้านเสื้อผ้าฝั่งตรงข้ามเข้าพอดี เธอจึงสะบัดหน้าเดินลิ่วๆ ไปทางร้านเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันก้าวเข้าร้าน จู่ๆ หญิงสาวหน้าสวย ตาคม ผิวสีน้ำผึ้งก็ขยับมายืนขวางทางไว้
“แพมรึเปล่า”
เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ก่อนจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ฉันเคยรู้จักเธอเหรอ”
“เวไง กาลเวลา”
“เว…กาลเวลา!”
ภูริตาขมวดคิ้วก่อนเบิกตาโพลง “เว ที่เคยออกค่ายอาสาด้วยกันป่ะ”
“เออ เวเอง”
บางครั้งโลกก็กล๊มกลม ใครจะคาดคิดว่าคนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตา ไม่ได้พูดจากันมาหลายปีจะหวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แล้วความทรงจำก็ไหลบ่าเข้ามาราวกับกระแสน้ำในฤดูน้ำหลาก
คุณหนูสายเปย์ผู้เกิดมาไม่เคยกรำงานหนัก ไม่เคยทำอะไรเพื่อใคร แต่กลับจำต้องยอมแปลงตัวเป็นไฮโซบ้านนอกนั่งรถกระบะปุเลงๆ ไปร่วมค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่จังหวัดเชียงราย ก็เพราะถูกอาจารย์บังคับให้ไปออกค่ายอาสาเพื่อแลกกับคะแนนช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในวิชาสังคมศาสตร์ที่คะแนนของเธอคาบลูกคาบดอก
ความลำบากเรียกร้องให้เธออยากหนีกลับใจจะขาด แต่ทำไม่ได้เพราะมีคะแนนค้ำคอ แล้วการทนลำบากเพื่อคะแนนในครั้งนั้นก็ทำให้เธอรู้จักกาลเวลา และจิรัศยา รุ่นน้องอีกคน
ตอนเจอกาลเวลาครั้งแรกภูริตาเรียนอยู่ชั้นปีที่สามและเป็นดาวเด่นของคณะมาโดยตลอด หญิงสาวผู้เชื่อมั่นในเสน่ห์ร้ายกาจของตนกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับสาวสวยตาคม ผิวสีน้ำผึ้งซึ่งป็อปในหมู่รุ่นพี่ค่ายอาสา กาลเวลาจึงถูกเธอกระแทกแดกดันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับสนใจแต่งานเท่านั้น
‘ถ้าจะมาออกค่ายก็ต้องมาช่วยกันสิ มัวแต่นั่งอยู่ในร่มทำไม’
‘ก็ฉันร้อน ผิวแดงไปหมดแล้วเนี่ย เห็นไหม’ ว่าพลางยื่นแขนที่มีรอยแดงยาวเป็นทางโชว์อีกฝ่าย
‘คนอื่นก็ร้อนก็กลัวดำเหมือนกัน’
‘เธอดำอยู่แล้ว จะกลัวดำทำไม เอางี้ ไว้เย็นๆ แล้วฉันค่อยช่วยละกัน เดี๋ยวจะหาว่าแล้งน้ำใจ’
‘เย็นๆ ก็เสร็จหมดแล้วป่ะแพม’
ภูริตาเชิดหน้า ไม่ยอมลุกจากที่นั่งในร่มเด็ดขาด พลางเหลียวหาเหยื่อสาวหน้าใสซึ่งกำลังเดินหน้าเริดมาหา
‘น้องจิช่วยอุ้มลังหนังสือหน่อยได้ไหมคะ พี่แสบผิวไปหมดแล้ว เนี่ยดูสิผิวพี่แดงไปหมดเลย’
‘ได้ค่ะพี่แพม’
จิรัศยาทำตามอย่างว่าง่าย ทำเอากาลเวลาเท้าเอว มองเขม่น แต่คนอย่างภูริตามีหรือจะสนใจ
การอยู่ค่ายอาสาคือความทุกข์ทรมานแสนสาหัสสำหรับคุณหนูผู้ไม่เคยตกระกำลำบาก เอะอะก็ไม่ได้ไม่ดีสักอย่างจนรุ่นพี่และคนอื่นๆ เอือมระอา ยกเว้นอยู่สองคนคือกาลเวลากับจิรัศยา
‘ทำไมดีกับฉันล่ะ ฉันพูดไม่ดีกับเว แล้วก็หลอกใช้งานน้องจิด้วย’
ภูริตาพูดเสียงอ่อนลงเมื่อออกฤทธิ์ออกเดชไปมากจนถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง
‘ถ้าฉันกับน้องจิไม่ทน แล้วใครจะทนเธอล่ะ’
‘จิไม่ได้คิดว่าพี่แพมใช้งานหรอกค่ะ จิเห็นพี่แพมตัวแดงเถือกไปหมดก็เลยอยากช่วยน่ะค่ะ’
‘ขอบใจนะ’
เป็นครั้งแรกที่ภูริตานอนมองดาวเต็มฟ้ากับเพื่อนอีกสองคนบนสนามหญ้า และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เธอยอมเผยเรื่องราวความรักครั้งแรกออกมาจนหมดเปลือก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลังกลับจากค่ายอาสาพวกเธอก็สนิทสนมกันมากขึ้น มาห่างการติดต่อไปก็ตอนภูริตาถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกเพราะขาดเรียนและผลการเรียนไม่ถึงเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย
ภูริตากวาดตามองสาวสวยตาคมซึ่งดูสวยขึ้นทั้งที่อยู่ในชุดลำลองง่ายๆ ก็เลยอดหมั่นไส้ตามประสาคนหลงตัวเอง ไม่ชอบเห็นใครเด่นกว่า
“เวไปทำอะไรมา ท้วมขึ้นนะ แล้วก็ดำขึ้นเยอะเลย”
อ้วนขึ้น…ดำขึ้น…คำต้องห้ามของผู้หญิงทั้งนั้น แต่ก็เนี่ยแหละภูริตา พูดจาไม่นึกถึงใจคนฟัง แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้ตัวสักนิด ยังคงพูดจ้อต่อไม่หยุด
“หมู่นี้กินเยอะไปรึเปล่าเว แก่ไปจะลดลำบากนะ”
กาลเวลาหัวเราะขื่นๆ อยากจะยกมือฟาดอีกฝ่ายสักป้าบ แต่ก็ไม่ได้ทำ
“ฉันเป็นบล็อกเกอร์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวน่ะ ทำงานหนักเลยกินหนักมือ แล้วก็ตากแดดเยอะไปหน่อยเลยผิวเข้มขึ้น แล้วแพมล่ะเป็นไงบ้าง เตี้ยลงรึเปล่า”
ภูริตาชักสีหน้า เธอเตี้ยอยู่แล้ว เรื่องจะเตี้ยลงกว่านี้คงเป็นไปไม่ได้ นอกจากอีกฝ่ายจงใจเหน็บ “พูดจาไม่เข้าหู เดี๋ยวจะโดนไม่น้อยนะเว”
“แล้วนี่แพมมาทำอะไรที่นี่ จะช็อปปิ้งเหรอ ร้านนี้ป่ะ เดี๋ยวเวช็อปเป็นเพื่อน มีสวยๆ หลายตัวเลย”
“คนอย่างภูริตา ไม่เคยซื้อของเซลส์”
กาลเวลาย่นคิ้ว เมื่อครู่เห็นชัดว่าภูริตากำลังจะก้าวเท้าเข้าร้านนี้ด้วยซ้ำไป แต่ขืนพูดไปก็คงหักหน้าอีกฝ่ายเปล่าๆ จึงแสร้งยิ้มอ่อน
“เออๆ ไม่เคยก็ไม่เคย แล้วนี่แพมจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปหาอะไรกินกันไหม”
“ไปสิ ฉันรู้จักอยู่ร้านนึงขายไวน์กับสเต๊ก อยู่แถวพลาซ่าใกล้ๆ ทางเชื่อมรถไฟฟ้า”
“เอาดิ น่าสนใจ ร้านไหนล่ะ”
แล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าสู่โซนพลาซ่าซึ่งเป็นแหล่งรวมของร้านอาหารหลายแห่ง จังหวะที่กำลังลงบันไดเลื่อนภูริตาก็ได้ยินเสียงสดใสตะโกนเรียกเธอกับกาลเวลา พอหันไปทางต้นเสียงก็พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือให้อยู่บนบันไดเลื่อนฝั่งตรงข้าม
“พี่เว…พี่แพมใช่ไหมคะ”
ภูริตาย่นคิ้วมองหญิงสาวด้วยสีหน้าฉงน “แกรู้จักไหมเว”
กาลเวลายังไม่ทันให้คำตอบ หญิงสาวก็ตอบเองเสร็จสรรพ
“จิไงคะ…น้องจิ”
ภูริตาและกาลเวลาออกจากบันไดเลื่อนพลางหันไปมองหญิงสาวหน้าใสที่ตะโกนต่อว่า
“อย่าเพิ่งไปนะคะ อยู่ตรงนั้นนะ จิจะลงไปหาเองค่ะ”
สองสาวทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ครู่เดียวหญิงสาวหน้าใสก็ลงบันไดเลื่อนมาหาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ทั้งสามคนทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง ภูริตาก็ชักชวนจิรัศยาให้ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านไวน์ซึ่งตนเคยมาใช้บริการบ่อยสมัยที่ยังมีเงินจับจ่ายไม่ขาดมือ แถมโซนร้านอาหารยังอยู่ใกล้กับทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า สะดวกแก่การเดินทางกลับยิ่งนัก
“วันนี้พี่เลี้ยงเองน้องจิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะพี่แพม จิกับพี่เวทำงานกันแล้ว จิเกรงใจค่ะ”
“พี่ไม่รีดเลือดกับปูจนๆ หรอกนะ โดยเฉพาะยายจิ ให้พี่เลี้ยงน่ะดีแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เถอะน่า อย่าเถียงผู้ใหญ่ อยากกินอะไรสั่งเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
กาลเวลากับจิรัศยามองหน้ากันคล้ายจดจำข่าวในหนังสือพิมพ์ซึ่งระบุว่าบิดาของภูริตาเสียชีวิต บริษัทมีหนี้สินรุงรัง คนงานถูกลอยแพ และภูริตาก็กำลังเข้าตาจน แต่จะให้สองสาวถามออกไปก็ทำไม่ได้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจและเป็นการเสียมารยาทจึงแกล้งเลยตามเลยไปก่อน
เวลาเคลื่อนคล้อยจากชั่วโมงสู่หลายชั่วโมง แต่ละคนขุดเรื่องราวของตนออกมาเม้าท์และเผากันอย่างสนุกปาก จากลูกค้าเต็มร้านเหลือเพียงโต๊ะของสามสาวซึ่งยังนั่งดื่มกันไม่หยุด ดวงหน้าของแต่ละคนแดงก่ำ คำพูดคำจาก็อ้อแอ้เต็มที
“แล้วตอนนั้นพี่แพมได้กลับไปคืนดีกับแฟนเก่ารึเปล่าคะ”
ภูริตาส่ายหน้าเศร้าๆ “ไม่ได้กลับหรอกยายจิ พี่ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน แต่ตอนนี้พี่รู้แล้ว และก็จะไม่ปล่อยให้เขาหนีหายไปอีกแน่นอน พูดถึงแต่พี่ แล้วเราล่ะเมื่อไรจะมีแฟนกับเขาสักที”
“พี่แพมก็ชอบล้อจิอยู่เรื่อย จิไม่ได้สวยเหมือนพี่แพมกับพี่เวสักหน่อย”
“ใครว่าไม่สวย ทั้งน่ารักทั้งอ่อนหวานแบบนี้ ใครไม่ชอบล่ะตาต่ำที่สุด จริงไหมเว”
กาลเวลาพยักหน้าหงึกหงัก “เห็นด้วยที่สุด”
“พี่ว่านะ ไหนๆ ก็อยู่เซ็นทรัลเวิลด์แล้ว เราไปขอพรพระตรีมูรติกัน เมื่อก่อนนัดกันเสียดิบดีว่าจะมาขอพรก็ไม่ได้ไปสักที วันนี้จัดสักหน่อย เผื่อสมหวังบ้าง” ภูริตาเสนอ
อีกสองสาวมองหน้ากันแล้วพยักหน้าคล้อยตาม
ภูริตาจึงเรียกพนักงานเช็กบิล แต่ทันทีที่เห็นตัวเลขบนกระดาษหญิงสาวกลับขบริมฝีปาก อยากย้อนเวลากลับไปช่วงก่อนเข้ามานั่งที่ร้านอาหารนัก เพราะค่าอาหารปาเข้าไปเกือบห้าพันบาท ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอเหลือเงินแค่หนึ่งหมื่นบาทเอง
กาลเวลาเห็นใบหน้าเผือดสีของภูริตาก็แย่งบิลไปมุงดูกับจิรัศยา ภูริตาเห็นเข้าก็รู้สึกเสียหน้า จึงยื่นมือออกไปหมายจะคว้าบิลกลับมา แต่กาลเวลากลับตีเพียะเข้าที่หลังมือเพื่อนเสียก่อน
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเลี้ยง”
“แล้วพวกฉันบอกตอนไหนว่าโอเค”
“แต่มันเสียศักดิ์ศรีคุณหนูสายเปย์อย่างฉัน”
“ถูกแค่นี้หยามหน้าคุณหนูภูริตาเปล่าๆ ไว้ฉันกับน้องจิค่อยให้แกเลี้ยงมื้อหน้าแล้วกัน”
กาลเวลาควักบัตรเครดิตที่ร่วมรายการกับร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นมาส่งให้พนักงาน แล้วโบกมือให้รีบไปชำระเงิน
“แกแย่งฉันจ่ายแบบนี้ ฉันเสียหน้านะเว”
ภูริตาแหวเสียงแผ่ว จะโกรธก็โกรธไม่ลงเพราะเธอก็เสียดายเงินจริงๆ นั่นแหละ
“เดี๋ยวแกกับน้องจิค่อยคืนเงินสดฉันไง ฉันกำลังอยากได้แต้มบัตรเครดิตเอาไปแลกตั๋วเครื่องบิน”
“ใช่ค่ะ พี่แพมอย่าคิดมากสิ” จิรัศยาปลอบเสียงอ่อนโยน
“มื้อหน้าฉันเลี้ยงนะ”
“ฉันจะล้างท้องรอเลยย่ะ”
หลังจากรับสลิปบัตรเครดิตคืนแล้ว ภูริตาก็ส่งเงินสดครึ่งหนึ่งของค่าอาหารคืนให้กาลเวลา
“ฉันกับแกหารคนละครึ่ง เลี้ยงน้องจิ”
“ดีล!”
กาลเวลาแปะมือพลางรับเงินอีกฝ่ายมา
“ได้ไงคะพี่แพม จิทานด้วยก็หารด้วยสิ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กจ้ะ”
“แต่ว่า…”
“ลุกๆ ไปขอพรกัน”
ภูริตาตัดบทพลางเดินนำอีกสองคนสู่บันไดทางเชื่อมรถไฟฟ้าเพราะประตูห้างปิดเรียบร้อยแล้ว ก่อนเดินลัดเลาะริมถนนไปจนถึงศาลพระตรีมูรติซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บริเวณด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
เพิงร้านค้าขายเครื่องเซ่นไหว้ปิดทำการไปแล้ว ทำเอาภูริตาหน้าเครียด
“ท่านจะงอนไหมอ่ะเว มาขอความรักแต่ดั๊นไม่มีของอะไรมาติดสินบนท่านเลย”
“นั่นสิ สงสัยจะนกอีกเหมือนเคย”
สองสาวส่งเสียงอ้อแอ้พลางหัวเราะให้กัน พานให้จิรัศยาซึ่งเมาน้อยสุดถึงกับลอบถอนหายใจ
“จิว่าแค่พนมมือตั้งจิตอธิษฐานก็คงพอมั้งคะพี่แพมพี่เว”
“เออ จริงของน้องจินะ แค่พนมมือขอท่านก็คงพอ”
ภูริตาเงยหน้าขึ้นมองเทวรูปสีทองอร่ามที่มีไฟสปอตไลต์ส่องสว่าง ไม่รู้ว่าเพราะเมารึเปล่าเธอจึงรู้สึกว่าท่านดูเปล่งปลั่งสุกสกาวเป็นพิเศษ
ภูริตากล่าวคำสวดตามป้ายซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณนั้นเสร็จจึงเริ่มต้นขอพรในใจ
…ขอให้พี่เขมยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีลูก หรือถ้ามีแล้วก็ขอให้รีบหย่าในวันสองวันนี้ ขอให้พี่เขมรักแต่แพมคนเดียว แพมสัญญาว่าแพมจะไม่ทำร้ายจิตใจพี่เขมอีก ท่านช่วยแพมด้วยนะคะ…สาธุ!
เธอขอพรเสร็จก็กราบที่พื้นสามครั้งพอเป็นพิธี เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าอีกสองสาวขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“โทษที รอนานป่ะ”
“ก็สักพัก ขออะไรแพม ยาวเป็นกิโลเชียว” กาลเวลาหยอกยิ้มๆ
“ของแบบนี้ห้ามบอกคนอื่นย่ะ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์”
“แต่ฉันอยากบอก…” กาลเวลาหัวเราะคิก “ฉันบอกของฉันคนเดียวก็ได้ ฉันขอให้ฉันได้แฟนหน้าตาเหมือนพัคซอจุน”
กาลเวลาโชว์รูปพระเอกเกาหลีชื่อ ‘พัคซอจุน’ จากโทรศัพท์มือถือ ทำเอาภูริตาและจิรัศยาทำหน้าแปลกใจ
“ขอมากไปมั้ยแก” ภูริตาถามตรงๆ
“สำเร็จหรือไม่สำเร็จ อีกหกเดือนนัดเจอกันมั้ยล่ะ”
“จิโอเคค่ะ”
“ดีล ถ้าฉันง้อแฟนเก่าสำเร็จ ครั้งหน้าต้องให้ฉันเลี้ยงด้วย”
“สรุปว่าแกขอพรให้ง้อแฟนเก่าสำเร็จว่างั้น” กาลเวลาดักคอ แต่เพราะกลัวคำอธิษฐานไม่ศักดิ์สิทธิ์ ภูริตาจึงเม้มปากแน่น “ย่ะ ครั้งหน้าฉันจะสั่งไม่ยั้งมือเลย”
สามสาวแปะมือกันเป็นสัญญาณนัดแนะถึงคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน และแล้วเรื่องราวความรักของภูริตาก็เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งในอีกสองวันต่อมา
บทที่ 1 โลกต้องเห็น
ภูเก็ตหรือนรกกันเนี่ย ร้อนจนอยากควักตับไตไส้พุงออกมาผึ่งแอร์!
ภูริตายกมือเรียวบางขึ้นปาดเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากกลมมน พลางลากกระเป๋าเดินทางชนิดมีล้อลากออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน หญิงสาวหยุดยืนแถวประตูทางออกพลางปลดเสื้อแจ็กเก็ตยีนลงพาดด้ามจับกระเป๋า เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้มเข้ารูปและรองเท้าส้นสูงสีครีมมีหมุดเหล็กประดับอยู่รอบหน้าเท้า
ผิวขาวใสเนียนละเอียดดึงดูดสายตาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บริเวณทางออกสนามบินได้ไม่น้อย ยิ่งรู้ว่ามีคนมอง ภูริตาก็ยิ่งชอบอกชอบใจ จึงไม่คิดจะปิดบังอำพรางทรวดทรงอ้อนแอ้นอรชรที่จงใจเติมแต่งให้มีความเซ็กซี่เล็กๆ แม้แต่น้อย
ชายหนุ่มสี่ห้าคนรุมเข้ามาล้อมเสนอบริการแท็กซี่และรถเช่า ภูริตาเพียงโปรยรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนยกแว่นกันแดดทรงสี่เหลี่ยมกรอบโตขึ้นสวมด้วยมาดเก๋ราวกับนางแบบ
“ไปฟาร์มมุกดาเท่าไรคะ”
ทันทีที่ได้ยินราคาหลักพันจากปากของโชเฟอร์ ภูริตาถึงกับใจแป้ว เธอเหลือเงินติดตัวเพียงนิดเดียวหลังหมดเงินหลายพันบาทไปกับเสื้อผ้าชุดใหม่และค่าตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว ขนาดดำเกิงยังวีนว่าเธอใช้เงินเกินตัว
‘ตั๋วถูกแบบนั้น ไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ซ่อมครั้งล่าสุดเมื่อไร แพมยังสาวจะให้รีบตายไปไหนเจ๊’
‘โลว์คอสต์ดีๆ ก็มีย่ะ แล้วที่แกจะไปหาพี่เขมอะไรของแกเนี่ย เขารู้ไหมว่าแกยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้’
หญิงสาวขบริมฝีปากลังเล แต่ก็ฝืนตอบไปด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนัก
‘รู้สิ เขาลืมแพมไม่ลงหรอก’
ก่อนจากกันเมื่อสิบปีก่อนเธอสร้างความทรงจำแสบสันทิ้งไว้ในหัวใจเขา แต่…ภูริตามั่นใจว่าความรักความผูกพันที่ทั้งคู่เคยมีให้กันจะหลอมละลายความขุ่นข้องหมองใจระหว่างเขาและเธอได้ในที่สุด
“ตกลงไปไหมน้อง” ชายคนขับรถเร่ง
“ท่ารถแอร์พอร์ตบัสไปทางไหนคะพี่”
ภูริตาขบริมฝีปากเมื่อชายหนุ่มชี้มือส่งๆ ให้จบๆ ไป อย่าให้มีเงินขึ้นมาล่ะ จะเอาเงินฟาดให้ปากเบี้ยวเชียว เธอทิ้งความหงุดหงิดไว้ตรงนั้นแล้วสะบัดหน้าเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็พบรถบัสสีส้มคันใหญ่จอดอยู่ที่ท่ารถ
พนักงานหญิงวัยกลางคนเห็นท่าทางเก้กังของหญิงสาวจึงถามขึ้น
“จะขึ้นแอร์พอร์ตบัสรึเปล่าคะน้อง”
“เอ่อค่ะ คือหนูจะไปฟาร์มมุกดาค่ะ”
“ฟาร์มนายหัวเขมน่ะเหรอ”
“ค่ะๆ ฟาร์มนั้นแหละค่ะ หนูต้องลงแถวไหนถึงจะใกล้สุดคะ”
“ลงเซ็นทรัลก็ได้ แล้วค่อยต่อสองแถวไปนิดนึงก็ถึง”
หลังจากชำระเงินแล้วเธอยังพอเหลือแบงก์สีแดงในกระเป๋าสามใบ กับแบงก์สีเขียวอีกสามใบ การมีเงินเพียงแค่หยิบมือในจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่าค่าครองชีพแพงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เรียกว่ามาตายเอาดาบหน้าล้วนๆ แต่เพื่อความรักแล้วภูริตาพร้อมเทหมดหน้าตัก
“อีกนานไหมคะป้ากว่ารถจะออก”
“อีกครึ่งชั่วโมง จะขึ้นไปรอบนรถก่อนก็ได้ แต่ถ้าจะไปเดินเล่นก็กลับมาให้ทันล่ะ รถออกตรงเวลา”
ภูริตาใช้เวลาระหว่างนั้นไปเข้าห้องน้ำและซื้อน้ำดื่มด้านในอาคารผู้โดยสาร ก่อนกลับมายืนต่อคิวขึ้นรถบัสหลังนักท่องเที่ยวผมสีทอง แต่แล้วจู่ๆ ภูริตาก็หน้าถอดสี เดินออกจากคิวไปหาพนักงานหญิงคนเดิม
“พี่คะ หนูลืมกระเป๋าลากไว้ในห้องน้ำ รอแป๊บนะคะ”
ไม่รอคำตอบรับจากสาวใหญ่ ภูริตาก็รีบวิ่งตื๋อกลับไปที่ห้องน้ำ แต่ไม่พบแม้แต่เงาของกระเป๋าเดินทางซึ่งบรรจุเสื้อผ้าราคาแพงและเครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับโลก
ตอนนี้เธอมีเพียงเสื้อผ้าสวมติดกายชุดเดียวกับกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมใบย่อมติดตัว และเงินไม่กี่ร้อยบาท จะพอเอาชีวิตรอดในภูเก็ตรึเปล่าก็ไม่รู้ หลังจากเจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก็ให้คำตอบว่า
“เท่าที่พบในกล้องวงจรปิด ผู้หญิงคนนั้นลากกระเป๋าขึ้นรถยนต์ส่วนตัวไปแล้วครับ ยังไงหากได้รายละเอียดเพิ่มทางเราจะรีบแจ้งไปตามเบอร์ที่ให้ไว้นะครับ”
ภูริตารับคำอย่างหมดหวัง เสือหลุดจากกรงไปแล้วไฉนเลยจะตามกลับมาได้โดยง่าย เธอเดินคอตกกลับมาที่ท่ารถโดยสาร แต่รถโดยสารสีส้มเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว
“รถไปไหนแล้วคะพี่”
“ออกไปแล้ว ทำไมสายล่ะ ก็บอกแล้วว่าออกตรงเวลา” พนักงานหญิงวัยกลางคนต่อว่ากลายๆ ทำให้คนที่เพิ่งถูกขโมยกระเป๋ามาหยกๆ ถึงกับฟิวส์ขาด
“ก็กระเป๋าหาย จะให้ทำยังไงล่ะคะ ใครจะอยากตกรถล่ะ!”
ถ้ามีเงินเหลือเยอะ เธอนั่งแท็กซี่ไปแล้ว ไม่มาต่อคิวขึ้นรถบัสให้เมื่อยหรอก
“แล้วจะมาขึ้นเสียงทำไม ความผิดของพี่ที่ไหน ทำหายเองแล้วจะมาโทษคนอื่นได้ไง”
ภูริตาขบริมฝีปากแน่น ไม่ทันไรก็ประเดิมความซวยด้วยกระเป๋าหายและตกรถแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าวันข้างหน้าความซวยจะเล่นงานอะไรเธออีก
หนึ่งชั่วโมงต่อมาภูริตาก็ขึ้นรถแอร์พอร์ตบัสมาลงที่ห้างเซ็นทรัล แต่ด้วยเสียงท้องร้องครวญครางหญิงสาวจึงฝากท้องกับร้านอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอ็นด์ซึ่งมีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ
หลังจากกวาดตามองเมนูอาหารพร้อมกับคำนวณเงินในกระเป๋าแล้ว ภูริตาก็สั่งได้เพียงข้าวหน้าปลาดิบแบบหั่นทรงลูกเต๋าและชาเขียวเย็นเพียงหนึ่งแก้วถ้วน
ภูริตาไม่แน่ใจว่าการมาตายเอาดาบหน้าที่ภูเก็ตคุ้มค่าหรือไม่ แต่…เธอไม่ใช่คนคิดเยอะอยู่แล้ว เธออยากทำอะไรก็ทำ ดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง และเพราะนิสัยแบบนี้เธอจึงยอมถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อไล่ล่าความฝัน แม้สุดท้ายเธอจะคว้าได้เพียงความว่างเปล่าก็ตามที
“อาหารได้แล้วค่ะ”
ภูริตามองชามข้าวหน้าปลาดิบด้วยความขมขื่น เมื่อก่อนเธอจะสั่งเซ็ตซาชิมิ ไม่ใช่กินกระเบียดกระเสียรแบบนี้ แต่เอาเถอะ ไหนๆ ชีวิตก็ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เธอก็ต้องเชิดหน้ายิ้มสู้ต่อไป
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดชามให้ได้องศาสวยงามก่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพอาหารและส่งขึ้นอวดในอินสตาแกรมให้โลกโซเชียลรู้ว่าเธอไม่ได้ตกอับอย่างที่ใครๆ ว่ากัน
‘ขอบคุณเจ้าภาพนะค้าบ…ภูเก็ตจ๋าแพมมาแล้วจ้ะ’
หลังจากทานไปได้ครู่หนึ่งหญิงสาวก็หยิบมือถือขึ้นมาสำรวจความป็อปปูล่าร์ของตน และพบว่ารูปของเธอเรียกยอดไลค์และคอมเมนต์ได้ไม่น้อย ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นคอมเมนต์จากหนุ่มๆ
‘น่าร้ากกกก…น่ากินทั้งอาหารทั้งคน…อยากเลี้ยงจังครับ ขอพิกัดหน่อย’
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างยามอ่านข้อความของหนุ่มๆ ที่เข้ามาขายขนมจีบ ขณะที่คอมเมนต์จิกกัดจากสาวๆ ที่หมั่นไส้เธอเป็นทุนเดิมก็ตามมาติดๆ
‘หมั่นไส้พวกอวดรวย…แหวะ ไม่เห็นน่ากิน…เมนูนี้ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์นี่ เพิ่งกินเมื่อวาน…ของเก๊นี่หว่า’
ภูริตาถลึงตาใส่โทรศัพท์มือถือ เดือดปุดกับคอมเมนต์จากพวกเกรียนคีย์บอร์ด
“แกน่ะสิเก๊!”
เธอเลื่อนปลายนิ้วไถหน้าฟีดอินสตาแกรมต่ออีกครู่หนึ่ง ดำเกิงก็โทรศัพท์มาราวกับสิงสถิตอยู่บนหน้าจอมือถืออย่างนั้นแหละ
“แกไปจกหนุ่มที่ไหนมาเลี้ยงข้าวยะ”
“ไม่มีหรอก เงินเจ๊ทั้งนั้น”
“จนแล้วยังไม่สำนึกอีกนะแกเนี่ย”
“บ่นอะไรนักหนาเจ๊ เดี๋ยวแพมก็เจอพี่เขมแล้ว”
“แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะให้แกอยู่ด้วย”
“เขาไม่ใจร้ายกับแพมหรอก พ่อแพมมีบุญคุณกับเขานะ แล้วเราก็เคยรักกันมากด้วย”
“ของอย่างนี้ก็ไม่แน่หรอกย่ะ ไม่เจอกันตั้งสิบปี อาจจะมีลูกหัวปีท้ายปีแล้วก็ได้ แล้วอีกอย่างตลอดเวลาสิบปีเขาเคยโผล่มาที่บ้านหรือโทรหาแกรึเปล่า”
“ก็…จากกันไม่ค่อยดีเท่าไร พี่เขมจะกล้าติดต่อมาได้ไงล่ะ”
“ถ้าเขารักแกมากอย่างที่แกคุยไว้ เขาก็ต้องกลับมาง้อแกสิ”
ภูริตาเม้มปากขัดใจ พลางเสตัดบทเพราะไม่อยากนึกถึงประโยคไม่รื่นหู
“เจ๊รู้ไหมแพมโดนขโมยกระเป๋าเสื้อผ้าตั้งแต่มาถึงเลยนะ ดีที่กระเป๋าเงินอยู่ในกระเป๋าสะพายใบเล็ก ไม่งั้นแย่แน่”
“แล้วหายได้ไง”
“แพมลืมไว้ในห้องน้ำของสนามบิน นึกขึ้นได้อีกทีก็มีคนขโมยไปแล้ว ทั้งเสื้อผ้าเครื่องประทินผิวทั้งหลาย แพงๆ ทั้งนั้นเจ๊ก็รู้ แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่เขมออกจะรวย เป็นเจ้าของฟาร์มไข่มุกด้วย เดี๋ยวแพมขอเงินพี่เขมไปซื้อใหม่ก็ได้”
“เอะอะก็ขอพี่เขม ฉันว่าแกอย่าเพิ่งมั่นหน้าจะดีกว่า รอเจอแฟนเก่าแล้วเขายังโสด ไม่ถูกสอยไปกินแล้วค่อยมาคุย”
“ขู่อยู่ได้อ่ะเจ๊ น้องเพิ่งขวัญเสียมาหยกๆ เงินยิ่งไม่ค่อยเหลือติดกระเป๋าด้วย”
“ไม่มีเงิน แล้วแกจะไปเจอแฟนเก่าแกยังไง”
หญิงสาวกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางตอบเสียงใส “แพมมีวิธีแล้วเจ๊”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.