บทที่ 3
แม้ตั้งใจว่าจะไม่ออกจากห้องไปในวันนี้ แต่พอถึงเวลาอาหารมื้อกลางวันกาลเวลาจำต้องลากขาตัวเองออกมาจากห้องแล้วสวดภาวนาขออย่าให้ได้พบดารานิสัยเสีย แล้วก็เจ้าพ่อมาเฟียอะไรนั่น
เธอหมายถึงแดนนี่ เฉิน
แล้วก็ขอให้ชาตินี้ไม่ต้องพบหน้ากันเลยยิ่งดี
แต่อย่างว่า สองคนนั้นไม่ใช่คนที่เธอจะพบได้บ่อยๆ ชีวิตเหมือนอยู่คนละซีกโลก ต่างกันราวฟ้ากับเหว อีกอย่างเธอคงไม่ซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรขนาดนั้น
หญิงสาวหยิบบัตรซึ่งได้มาตอนเช็กอิน เป็นการ์ดแข็งๆ แสดงหมายเลขของตัวเอง ใช้ในการสแกนเข้าออกห้อง บอกเลขโต๊ะอาหาร และยังใช้สำหรับการจับจ่ายใช้สอยบนเรือ เพราะเรือลำนี้มีร้านขายสินค้าค่อนข้างหลากหลาย กาลเวลาจึงเลือกผูกบัตรกับบัตรเครดิตเพื่อให้ง่ายต่อการชำระเงินในกรณีที่เธอเตรียมเงินมาไม่พอ มากไปกว่านั้นยังมีกาสิโนสำหรับนักเสี่ยงโชค และกาลเวลาก็คิดว่าจะไปสิงในห้องนั้นเวลาที่เบื่อไม่มีอะไรทำ
แต่อารมณ์แบบนี้เธอคงไม่มีแก่ใจไปนั่งกดตู้สล็อตเล่นแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเซ็งมากเพียงใดแต่กาลเวลาก็บอกกับตัวเองว่าไม่ควรเก็บเอามาเป็นอารมณ์จนไม่เป็นอันทำอะไร อย่างน้อยเธอควรได้เซ็ตภาพบนเรือเพื่อไปใช้ในการโฆษณาโปรดักต์ของลูกค้า ดังนั้นก่อนออกจากห้องเธอจึงไม่ลืมที่จะคว้ากล้องติดมือมาด้วย
ร่างบางในชุดที่ยังไม่ได้เปลี่ยนพาตัวเองไปที่ห้องอาหารซึ่งแพ็กเกจที่เธอซื้อนั้นบริการอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ตลอดทุกมื้อจนครบกำหนดเดินทางกลับ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีเพราะหากต้องซื้ออาหารเองเธออาจควบคุมค่าใช้จ่ายที่บานปลายไม่ได้
กาลเวลากวาดตามองรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มี ‘คู่กรณี’ อยู่ในบริเวณนี้
พริมาเหมือนตู้เรืองแสงเคลื่อนที่ ถ้าเจ้าหล่อนอยู่แถวนี้เธอน่าจะมองเห็นภายในไม่เกินสามวินาที ส่วนเจ้าของเรือ…เขาตัวสูงยังกับเสาไฟฟ้า ไม่น่าจะมองหายาก
เมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีคนที่เธอกลัวว่าจะต้องเจอ กาลเวลาก็พ่นลมหายใจออกมาแล้วรีบกดชัตเตอร์ถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ อย่างใจเย็น คราวนี้หวังว่าจะไม่เผลอถ่ายคนดังคนไหนให้มีเรื่องอีก
อาหารบนเรือถือว่ารสชาติใช้ได้ หรือว่าเธอหิวก็ไม่ทราบ แต่เธอจัดการสเต๊กเนื้อไปหนึ่งและสลัดผักจานโต ของหวานเป็นไอศกรีมหลากหลายรสชาติ ทว่าขณะที่กาลเวลากำลังเพลิดเพลินกับช็อกโกแลตซันเด ใครบางคนก็มาหยุดยืนตรงหน้าเธอ
ชายหนุ่มวัยไม่น่าเกินสามสิบห้าปียืนประสานมือกันในชุดสูทสุภาพ…ตัวเดิม
ใช่! เธอจำไม่ผิด เขาคือลูกน้องคนสนิทของแดนนี่ เฉิน ชื่อปาริธ
“คุณ มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ” กาลเวลามองอย่างระแวง หรือว่าแดนนี่เกิดอยากเปลี่ยนใจโยนเธอลงจากเรือตอนนี้
“ไม่มีอะไรครับ แต่ผมเห็นว่าคุณนั่งทานอาหารคนเดียว เลยเดินเข้ามาทัก รสชาติอาหารเป็นยังไงบ้างครับ ใช้ได้หรือเปล่า”
ปาริธเป็นชายรูปร่างดี สูงโปร่งพอๆ กับแดนนี่แต่เขามีใบหน้าและแววตาที่ดูเป็นมิตรมากกว่า ดังนั้นกาลเวลาจึงลดท่าทีที่เป็นปรปักษ์กับฝ่ายตรงข้ามลงไปกว่าครึ่ง
“อร่อยค่ะ สมคำเล่าลือ” กาลเวลากล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนประชดประชันมากกว่าชมจากใจจริง นั่นเพราะเธอยังหมั่นไส้เจ้าของเรืออยู่มาก
“คุณมาคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาแย่เหรอครับ”
“ถามทำไมคะ คุณต้องสนใจเรื่องนี้ของลูกค้าทุกคนเลยเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเห็นคุณมาคนเดียว คิดว่าน่าจะเหงา”
“เหงาไม่เท่าไหร่ แต่หงุดหงิดมากกว่า ที่ต้องมาเจอคนนิสัยแย่ๆ อย่างเจ้านายคุณและแฟนของเขา”
ปาริธหัวเราะในลำคอ เพราะขันที่กาลเวลาดูเอาเรื่องไม่เกรงกลัวใคร กับเจ้านายของเขาเธอคงเป็นคนแรกที่กล้าต่อปากต่อคำ
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดีครับ ถ้าเป็นผม เจอเหตุการณ์แบบวันนี้ก็คงเซ็งเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจฉัน ช่วยอธิษฐานให้ฉันด้วยนะคะ ขอให้ชาตินี้อย่าได้เจอะได้เจอคนแบบสองคนนั่นอีกเลย อ้อ! แม่ของแฟนเจ้านายคุณด้วย”
ปาริธแอบรู้สึกผิดที่เผลอเข้าข้างคนตรงหน้าแล้วทำตัวเหมือนเกลือเป็นหนอน แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาอยากเอาใจช่วย
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกเขาอยู่กรุ๊ปวีไอพี พักคนละชั้น ทานอาหารคนละห้อง แต่ว่าช่วงกลางวันคุณเดินหลบดีๆ ก็แล้วกัน คุณพริมาไม่ชอบออกแดด เธอน่าจะเดินช็อปปิ้งอยู่ตามห้องเสื้อและกระเป๋าแบรนด์เนม”
กาลเวลาหลุดขำ ไม่คิดว่าปาริธจะอยู่ข้างเธอ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่มีปัญญาซื้อของอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว ขอบคุณที่แนะนำนะคะ”
“ครับ ด้วยความยินดี” ปาริธยื่นมือให้หญิงสาว “แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณกาลเวลา ผมปาริธครับ”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” กาลเวลาจับมือเขาแล้วเขย่าแรงๆ “แด่มิตรภาพค่ะ”
อารมณ์ขุ่นมัวค่อยดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้กินของอร่อย และต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอหายจากความหงุดหงิดคือลูกน้องของคนต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องหงุดหงิด
ปาริธมีมิตรภาพให้เธอ อย่างน้อยเธอก็มีเพื่อนหนึ่งคนบนเรือลำนี้
กาลเวลาออกมายืนเก็บภาพท้องทะเลบริเวณกราบเรือ บันทึกภาพแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าขณะที่ใครๆ ต่างพากันเข้าห้องรับประทานอาหารเย็นไปตั้งแต่สี่โมงครึ่งทำให้บริเวณนั้นร้างผู้คน
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมน้ำเงิน ราวกับหยุดเวลาไว้ในตอนนั้น เธอจับจ้องภาพตรงหน้าแล้วบันทึกไว้ในความทรงจำ
นี่ล่ะ…เสน่ห์ของการเดินทาง
เธอจะได้พบกับภาพที่ไม่มีวันซ้ำกันเลย อย่างน้อยท้องฟ้าก็ไม่เคยเหมือนกันเลยสักวัน
ทว่าความงดงามของภาพตรงหน้ากลับถูกรบกวนด้วยการถกเถียงกันระหว่างใครบางคน เธอหันไปมองอย่างรำคาญใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการเที่ยวแล้วพบคู่รักทะเลาะกัน และทุกครั้งมันทำให้ต้องเสียอรรถรสในการเที่ยวไปเลย
“คุณคิดว่าพริมเดินทางมาถึงนี่เพื่ออะไรคะแดนนี่ พริมแค่ต้องการมีเวลาอยู่กับคุณ”
ภาพที่เห็นทำให้กาลเวลาเผลอเหลือกตา หญิงสาวขยับตัวให้พ้นจากสายตาคนทั้งคู่ แล้วแอบมองอย่างห้ามความ ‘เผือก’ ของตัวเองไม่ได้เลย
“ผมไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นนะพริม ผมต้องทำงาน ถึงคุณมาหาผม ผมก็ไม่มีเวลามาอยู่กับคุณตลอดเวลา ทำไมคุณไม่รอผมอยู่ที่ไทย ผมจะกลับไปที่นั่นก็ตอนไม่มีงาน”
ไหนบอกไม่ใช่แฟน แบบนี้มันยิ่งกว่าแฟนเสียอีก
“รอเหรอคะ ต้องรอไปอีกถึงเมื่อไหร่ พริมรอคุณมาหลายเดือนแล้วนะคะ คุณห่วงงานจนลืมพริมไปแล้ว”
ในมุมที่กาลเวลายืนอยู่ เธอได้เห็นสีหน้าของแดนนี่ เฉินอย่างชัดเจน เขาดูยุ่งยากใจเอามากๆ
นี่แหละผู้ชาย…
ถึงเธอจะไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่ก็พอรู้กิตติศัพท์ของพวกผู้ชาย ได้ใหม่แล้วลืมเก่า ยิ่งเป็นผู้ชายครบเครื่องอย่างแดนนี่ ผู้หญิงคงจ้องกันตาเป็นมัน น่าเป็นห่วงแทนพริมาเหลือเกินเพราะถ้าเป็นเธอ เธอจะไม่มองผู้ชายแบบเขาเด็ดขาด ข้อแรกคือความสมบูรณ์แบบของเขาจะทำให้ผู้หญิงต้องวิ่งเข้าหา และที่สำคัญเขาดุอย่างกับยักษ์ แข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ยุคเก้าศูนย์
“หรือคุณคิดว่าได้พริมแล้วจะทิ้งกันง่ายๆ คะ”
“ถ้าผมจะทิ้งใครสักคน ไม่เกี่ยวกับได้หรือไม่ได้หรอกนะพริม” แดนนี่สวนกลับทันควัน แววตาแข็งกระด้าง เขาไม่ชอบให้ใครล้ำเส้น และพริมากำลังทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้
พริมานิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะถูกตอกกลับแบบนั้น เธอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจเอามากๆ
“ถ้าพริมไม่พอใจ เราเลื่อนดินเนอร์เย็นนี้ไปก่อนก็ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ใจเย็นแล้วค่อยทานมื้อเช้าด้วยกัน” แดนนี่พูดตัดบท
กาลเวลาซึ่งยืนใจเต้นรัวอยู่ในมุมมืดต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพริมาเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงอย่างรวดเร็วเมื่อแดนนี่ตั้งท่าจะหันหลังเดินจากไป
บอกตามตรงว่าใจจริงเธอแอบเชียร์ให้พริมาเชิดใส่เขา ลูกผู้หญิงต้องมีศักดิ์ศรี
“เดี๋ยวสิคะแดนนี่” พริมาคว้าแขนชายหนุ่มไว้ “พริมไม่งี่เง่าแล้วก็ได้ค่ะ วันนี้พริมอยากดินเนอร์กับคุณนะคะ อย่าโกรธพริมเลยนะ พริมแค่กลัวว่าคุณจะไม่รักพริม”
แดนนี่ทำหน้าเมื่อยเมื่อใบหน้าสวยซึ่งแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างประณีตซบลงบนไหล่กว้างของเขา ชายหนุ่มดันเธอออกอย่างสุภาพ แต่ในความรู้สึกของกาลเวลา (ซึ่งยังคงแอบดูอยู่) ถือว่ามันเป็นการเสียมารยาทเอามากๆ และยังทำให้ผู้หญิงเสียหน้าอีกด้วย
พ่อเนื้อทองคำ
“หนึ่งทุ่มตรงผมจะไปรับคุณหน้าห้อง แล้วพบกันนะครับ” แดนนี่บอกแค่นั้นก็สาวเท้าเร็วๆ จากไป
กาลเวลารีบขยับตัวซ่อนขณะที่พริมากระทืบเท้าแล้วทำฮึดฮัดเดินไปอีกทาง
“มาแอบดูคนอื่นคุยกัน มันเสียมารยาทไม่รู้หรือไง”
“ว้าย!” กาลเวลาตกใจจนเผลอเซแท่ดๆ ถอยหลังไปหลายก้าว เพราะการโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงทำเธอขวัญผวา พอตั้งหลักยืนได้จึงเห็นว่าแดนนี่ เฉินยืนอยู่ตรงหน้าเธอ “คุณ เป็นผีหรือไง ผลุบๆ โผล่ๆ”
ร่างสูงหกฟุตเศษมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ กาลเวลาเชิดหน้าขึ้น รู้ว่าถูกจับได้ที่แอบมองเขากับพริมาคุยกัน…แต่เธอไม่ยอมรับหรอก
“คุณนี่เป็นตัวอันตรายจริงๆ เลยนะ”
“ฉันเนี่ยนะ” กาลเวลาจิ้มนิ้วชี้มาที่ตัวเอง
“ใช่ คุณนั่นแหละ”
“ยังไง ฉันไปทำอะไรให้คุณ”
“เมื่อกลางวันคุณถ่ายรูปพริมจนเป็นเรื่อง ตอนนี้คุณยังแอบดูเขาอีก”
“นี่! จะกล่าวหาใครช่วยมีหลักฐานหน่อยได้มั้ย” กาลเวลาเท้าเอว แหงนหน้าสบตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“จับได้คาหนังคาเขายังต้องมีหลักฐานอะไรอีก” แดนนี่นิ่วหน้าจนคิ้วเข้มจัดเคลื่อนมาชนกัน ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาน่ากลัวขึ้นไปอีก
“ฉันไม่ได้แอบดูหรือแอบฟังอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันยืนถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกอยู่ก่อนแล้ว แต่พวกคุณต่างหากที่เดินมาทะเลาะ…เอ้ย! เดินมาคุยกันตรงนี้เอง”
แดนนี่ เฉินไม่พูดอะไร เขาจับจ้องใบหน้ากระจ่างใสของคนตรงหน้านิ่ง กาลเวลาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คล้ายกลัวแต่ก็ปะปนไปด้วยความหวั่นไหว
ก็เขาหล่อมาก…
มากกว่าพระเอกละครที่เธอคลั่งไคล้แทบเป็นแทบตายเสียอีก
แดนนี่สืบเท้าเข้าไปหาคนปากแข็ง อีกฝ่ายยืนนิ่งเป็นหิน มีเพียงเปลือกตาที่กะพริบปริบๆ เป็นจังหวะ กาลเวลาบอกตัวเองให้หนีเขาไปให้ไกล แต่ขากลับไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว
ให้ตายเถอะ เธอไม่เคยสับสนกับความรู้สึกตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย
ความสับสนของกาลเวลาอยู่กับเธอได้เพียงครู่เดียวก่อนความตกใจจะเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อชายที่เธอเผลอหลงรูปไปชั่วครู่กระชากร่างเธอเข้าหาตัว
“ว้าย!” กาลเวลากรีดร้องออกมา มองเขาตาแทบหลุดออกจากเบ้า ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนกอดมาก่อนเลย “คุณจะทำอะไรฉัน นี่! อย่าทำอะไรฉันนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย ถ้าคนบนเรือนี้รู้ว่าคุณทำแบบนี้กับลูกค้า มีหวังเรื่องนี้ต้องดังแน่ๆ แล้วคุณก็จะฉาวโฉ่ ไม่มีใครอยากใช้บริการเรือคุณอีก”
แดนนี่คิดว่าคุยกับคนอย่างกาลเวลาช่างเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เขาไม่สนใจที่เธอโวยวายใหญ่โต ชายหนุ่มคว้ากล้องที่คล้องคอเธอออกมาได้ก็ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระทันที
กาลเวลาหอบหายใจเหนื่อย ก่อนจะเห็นว่ากล้องตัวเองไปอยู่ในมือเขาเป็นที่เรียบร้อย
“นี่คุณ เอากล้องฉันไปทำไม”
“ผมไม่อนุญาตให้คุณใช้กล้องบนเรือผม”
“ว่าไงนะ นี่แฟนคุณโยนโทรศัพท์ฉันลงทะเลไม่พอ คุณยังมายึดกล้องฉันอีกเหรอ”
“ผมต้องแน่ใจว่าคุณจะไม่ถ่ายภาพพริมไปทำอะไร” แดนนี่ไม่ปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับพริมา สำหรับเขา พริมาไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากคู่ควงประเดี๋ยวประด๋าว แต่เขาก็เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะปกป้องเธอจากคนที่คิดหาผลประโยชน์
“คุณเช็กกล้องฉันดูก็ได้ สาบานว่าฉันไม่เคยคิดถ่ายรูปแฟนคุณเลยค่ะ นี่คุณ ฉันซีเรียสนะ ฉันต้องทำงาน” กาลเวลาพยายามต่อรองด้วยเหตุผล เพราะเห็นชัดแล้วว่าการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งไม่ได้ช่วยอะไร เธอยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเธอยอมให้พริมาหนึ่งก้าว บอกรหัสโทรศัพท์ให้เจ้าหล่อนเช็กรูป ตอนนี้โทรศัพท์ของเธอคงไม่จมลงก้นทะเล
พ่อเธอสอนเสมอ…การยอมไม่ได้หมายความว่า ‘แพ้’ เสมอไป
“ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ พรุ่งนี้ผมจะคืนให้คุณ”
กาลเวลามองเจ้าของร่างสูงเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนถูกพรากของรักไป ก่อนมองออกไปยังท้องทะเลกว้างไกล
“ว่ายน้ำจากนี่ไปขึ้นฝั่งได้มั้ยวะเนี่ย”
โทรศัพท์ถูกโยนทิ้งทะเล กล้องถูกยึด
ไอ้เกียง เพราะแกคนเดียว จะรู้บ้างมั้ยว่าพี่สาวแกต้องเจออะไรบ้าง
กาลเวลากุมขมับอยู่ที่โต๊ะตัวสุดท้ายในโถงกลางของเรือซึ่งช่วงเวลานี้กำลังมีกิจกรรมบันเทิงและแขกหลายคนที่เริ่มเมาไวน์ลุกขึ้นร่ายรำ บรรยากาศรอบกายกำลังครึกครื้นเพราะบนเวทีที่เซ็ตเป็นเทอร์เรซเตี้ยๆ กำลังถูกครอบครองโดยนักดนตรีเพลงคลาสสิก
กาลเวลาไม่มีแก่ใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนอภิรมย์ เธอกระดกไวน์ฟรีที่คิดราคารวมกับค่าเดินทางไว้แล้วไปสามแก้ว และเริ่มจะมึนนิดๆ แต่สายตาเธอก็ไม่พร่าเบลอขนาดที่มองไม่เห็นว่าใกล้กับเวทีนั้นมีแดนนี่กับพริมากำลังควงแขนกันมา
ดาราสาวสวมชุดราตรีสีเงินพอดีตัวยาวกรอมเท้า ส่วนแดนนี่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม กาลเวลาเมินหน้าหนีเผลอเบะปากใส่
เมื่อเย็นเถียงกันเหมือนจะเลิกกันให้ได้ ตกดึกควงแขนกันยิ้มหน้าบานเชียว
คิดไปแล้วเวลานี้เธอช่างดูแปลกแยกกับคนในโถงนี้เสียเหลือเกิน เพราะทุกคนต่างสวมชุดสวยงามสำหรับงานเลี้ยงสุดหรู แต่เธอยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อตอนเย็นและไม่รู้จักใครเลยเพราะมาคนเดียว
หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วพาร่างตัวเองเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักของตัวเอง แต่ขณะที่กำลังประคองตัวเองเดินไปให้ถึงลิฟต์หูเธอก็ดันไปได้ยินบทสนทนาของใครบางคนที่กำลังพูดถึงคนที่เธอไม่ชอบหน้าในตอนนี้
“คุณแดนนี่เนี่ย ยิ่งแก่ก็ยิ่งหล่อเนอะ”
“สามสิบสอง กำลังกินค่ะ ใครว่าแก่”
“ก็ฉันหมายถึงเจอกี่ปีๆ ก็หล่อขึ้นทุกปี ฉันชอบเขามากเลยอ่ะแก แล้วเธอเห็นพริม พริมามั้ย หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลย ได้แฟนโคตรหล่อโคตรรวย โคตรน่าอิจฉาเลยว่ะ”
“ก็แค่แฟน…ข่าววงในเขาเล่ามาว่าคุณแดนนี่ไม่ได้อะไรกับยายดารานั่นเลย ไฮโซคนนี้ไม่ยอมลงเอยกับใครง่ายๆ หรอก ยายพริมนั่นก็แค่เกาะไม่ปล่อย”
“เอ้า!”
“จริ๊ง!” เต้าข่าวยืนยันเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังมากด้วยว่าข่าวที่ตัวเองรู้มามีมูลความจริง “คนใกล้ตัวนางเม้าท์ว่านางพูดอวดไปเรื่อยว่าเป็นแฟนกับคุณแดนนี่ แต่เอาจริงแทบไม่เคยเห็นเงาคุณแดนนี่มาหายายนั่นเลยสักครั้ง”
“แหม! มีโอกาสขนาดนั้นแล้ว ใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ ล่ะ เป็นฉันฉันก็เกาะไม่ปล่อย”
“ไม่ปล่อยไม่ได้หรอก เห็นหล่อๆ แบบนั้น โหดไม่ใช่เล่นนะยะ ตระกูลเขาเป็นมาเฟียฮ่องกง ขืนไปวุ่นวายมากๆ จะเหลือแค่ชื่อไม่รู้ด้วย”
“โอ๊ย! ถ้าได้แบบนี้ถึงตายก็ยอมตายย่ะ”
“พูดไปเถอะ รีบเข้าไปข้างในดีกว่า ฉันอยากดื่มต่อแล้ว”
กาลเวลามึนฤทธิ์ไวน์ก็จริง แต่ประสาทหูเธอกลับทำงานดีมาก ต่อมเผือกทำงานไม่มีบกพร่องเลยสักนิดเดียว สองสาวในชุดราตรีเดินผ่านเธอไปโดยไม่เอะใจเลยว่าสิ่งที่พวกหล่อนพูดจะได้ยินไปถึงใครบ้าง
ว่าแต่…รักกับผู้ชายอย่างแดนนี่ เฉิน ถึงกับต้องสังเวยชีวิตเชียวหรือ…โอเวอร์ไปหน่อยมั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.