บทที่ 5
เอลิซซ่า ครูซมุ่งหน้าสู่น่านน้ำสากล ร้านค้าปลอดภาษีเริ่มเปิดให้บริการพร้อมกันกับกาสิโน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของขาช็อปและนักเสี่ยงโชค
กาลเวลาตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึกข้อมูลที่เธอจะใช้เขียนรีวิวไว้อย่างละเอียด ถึงแม้ว่าเธอชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ แต่ถึงเวลาทำงานก็เป็นคนจริงจังมากเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น อันที่จริงเธอไม่ควรไปจดจำอะไรด้วยซ้ำเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ
ที่ทำได้ก็คือภาวนาให้ภาพที่เธอเห็นเป็นแค่ความเข้าใจผิดไปเอง
กาลเวลาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกับร้านปลอดภาษี อีกเกือบสองชั่วโมงกับตู้สล็อต และคงจะนานกว่านั้นหากว่าชิปที่เธอแลกมาไม่หมดไปเสียก่อน เอาเข้าจริงเธอไม่เคยชนะตู้พนันนี่ได้เลย
พอหมดเงินไปเยอะกาลเวลาก็หาที่ปลดปล่อยอารมณ์ด้วยการลงไปจิบค็อกเทล ฟังเพลงคลาสสิก แต่ขณะที่มองเหล่าไฮโซทั้งสาวทั้งแก่เดินเฉิดฉายไปมาในชุดราตรี แต่งตัวจัดจ้านจนเธอต้องคิดว่าพวกหล่อนสามารถแบกชุดอลังการขนาดนี้ขึ้นเรือมาอีท่าไหน มิน่าเล่าตอนมาที่จุดเช็กอินถึงได้เห็นว่ากระเป๋าเดินทางของแต่ละคนใหญ่เบ้อเร่อ
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เพราะแม้ว่าเธอจะตื่นเต้นกับบรรยากาศของเรือสำราญที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่พอเอาเข้าจริงเธอพบว่ามันน่าเบื่อกว่าการตั้งแคมป์ลำบากๆ บนเขาเยอะเลย
อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เรือจะจอดที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย เธอควรนอนพักเอาแรงเพื่อเดินเที่ยวบนฝั่งให้เต็มที่ดีกว่า
ร่างบางขยับลุกจากเก้าอี้แล้วพาตัวเองออกจากบาร์ ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเดินหลบหลีกผู้คนที่แออัด แต่ขณะที่กำลังเลี้ยวไปตามทางเดิน เธอก็พบกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม
“คุณพระ” กาลเวลายกมือขึ้นป้องปาก เบิกตากว้าง
เธออยากตบปากตัวเองเป็นรอบที่สองของวัน นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาถามหาพระหาเจ้า หญิงสาวรีบก้มหน้างุด ใจเต้นรัวจนเหมือนว่าจะกระเด็นออกมาจากอก
ไม่ใช่เพราะเธอไม่เคยเห็นใครจูบกัน แต่เพราะคนที่กำลังจูบกันอยู่นั้นเป็นพริมากับชายคนที่เธอเห็นเขาอยู่กับดาราสาวเมื่อกลางวัน
“ขอโทษค่ะ” เธอรีบกล่าวขอโทษแล้วก้มหน้าก้มตาเดินเลี่ยงคนทั้งคู่ไป ทว่าเพราะมัวแต่ก้มหน้านั่นเองจึงทำให้ชนเข้ากับร่างของใครบางคนเข้าอย่างจัง “อุ้ย! ขอทะ…”
คำขอโทษนั้นถูกกลืนหายไปเพราะเธอพบว่าคนที่เธอเดินชนคือแดนนี่ เฉิน เขายืนนิ่งมองเลยศีรษะเธอไป
จังหวะพอดีราวกับฉากหนึ่งในละครหลังข่าว
และใช่! เธอเป็นตัวประกอบที่น่ารำคาญมากคนหนึ่งที่ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้เลย
“แดนนี่คะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”
นั่นไง! ไดอะล็อกเป๊ะ
‘ไม่ใช่อย่างที่คิด’ แล้วจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร จูบกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนตัวเอง คิดทางไหนก็ ‘นอกใจ’ ชัดๆ
กาลเวลาอยากตะโกนใส่หน้าพริมา แต่ที่ทำได้คือตะโกนก้องในใจเพียงเท่านั้น ส่วนคนที่สมควรโวยวายที่สุดกลับยืนมองนิ่ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเขาสักคำเดียว
กาลเวลาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าขณะที่ภาพเมื่อคืนยังติดตา
เมื่อคืนหลังจากที่บังเอิญเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่ไม่ควรอยู่ เธอก็หนีออกมาจากสถานการณ์ชวนอึดอัดอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าแดนนี่ เฉินจะจัดการกับคนรักและชายชู้อย่างไร แต่ถ้าให้เดา เขาอาจจะตรงไปอัดหน้าผู้ชายคนนั้นสักหมัดสองหมัดให้สาสมกับความแค้น
แต่หวังว่าคงไม่ถึงขั้นจับโยนลงทะเลหรอกมั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ แต่นั่นก็โหดร้ายเกินไปหน่อย
ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างแดนนี่ พริมา และชายชู้ ก็ขออย่าให้เธอได้เข้าไปรู้ไปเห็นอะไรอีกเลย หญิงสาวพนมมือไหว้ฟ้าดิน แต่ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกจากห้องสายตาเธอก็ปะทะเข้ากับคนที่เธอไม่อยากเจอ
“เอ่อ…” กาลเวลาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แดนนี่ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่กี่สิบเมตร เขากำลังคุยกับหยางจงสีหน้าเคร่งเครียด แต่เพราะเธอโผล่มาขัดจังหวะ ชายหนุ่มจึงหยุดแล้วปรายตามามองเธอ
“หวัดดีตอนเช้าค่ะ” หญิงสาวยกมือทักทายคนทั้งคู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเว” หยางจงกล่าวทักทายเธอกลับด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ตามแบบฉบับของเขา
ส่วนแดนนี่นั้นไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ เขาหันไปสั่งอะไรบางอย่างกับหยางจงสั้นๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปทันที ซึ่งกาลเวลาก็ไม่ได้อยากให้เขาทักทายเลยสักนิด และถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าตึงเหมือนหนังหน้าถูกขึงด้วยตะปู แต่เธอจะไม่ถือสาเพราะถ้าหากเธอเป็นเขา เธอก็คงไม่อยากเสวนากับใครเหมือนกัน
“วันนี้คุณเวอยากดำน้ำดูปลาทะเล หรือว่าลงเที่ยวที่ฝั่งครับ” หยางจงแสดงความใส่ใจในฐานะที่กาลเวลาเป็นลูกค้า
“ฉันคิดว่าไปทานของพื้นเมืองที่ปีนังดีกว่าค่ะ ฉันเคยมาเมื่อสองปีที่แล้วจำได้ว่าบะหมี่อร่อยมาก”
“ยังไงก็อย่าทานเยอะเกินไปนะครับ คุณมีบัตรทานอาหารบนเรือฟรีตลอดทริปอยู่ไม่ใช่หรือครับ”
หญิงสาวยิ้ม ไม่คิดว่าหยางจงจะพูดไทยได้หลายประโยคเหมือนกัน
“แน่นอนค่ะ ฉันคิดเมนูมื้อเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวานทานไม่อร่อยเลยเพราะว่าดันไปเจอภาพที่ทำให้กลืนอะไรไม่ลง…”
“ภาพอะไรหรือครับ” หยางจงนิ่วหน้า กังวลว่าจะเกี่ยวกับบริการของลูกเรือหรือไม่
กาลเวลาเม้มปากแน่น ยิ้มจนตาหยี “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไม่สำคัญอะไรหรอก”
“ถ้าพนักงานให้บริการไม่ดีแจ้งได้เลยนะครับ คุณแดนนี่ซีเรียสกับเรื่องแบบนี้มาก”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า แต่ตอนนี้แดนนี่คงไม่ซีเรียสเรื่องไหนเท่ากับเรื่องเมื่อคืนนี้แน่ๆ เพราะดูจากสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้เธอก็รับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง
สีหน้าที่เหมือนว่าพร้อมจะบีบคอทุกคนให้ตายคามือได้ภายในครั้งเดียว
กาลเวลาเดินเที่ยวตลาดปีนัง เพลิดเพลินกับการชิมอาหารย่านถนนคนเดินจนแน่นท้อง โดยปกติอาหารประเทศมาเลเซียจะมีรสชาติและกลิ่นที่ไม่ถูกปากคนไทยเท่าใดนัก แต่กาลเวลาเป็นคนกินง่าย และชอบชิมอาหารประจำท้องถิ่น ไปเที่ยวที่ไหนต้องกินอาหารพื้นเมืองที่นั่น เรียกได้ว่าท้องเธอชินมากพอจะรับอาหารได้ทุกชาติเลยก็ว่าได้
กำหนดการของเรือเอลิซซ่า ครูซจะออกเดินทางต่อไปภูเก็ตในคืนนี้ เธอต้องรีบกลับมาให้ทันเวลาขึ้นเรือเร็วในตอนเย็นซึ่งเรือเร็วรอบสุดท้ายจะต้องมาถึงล่วงหน้าก่อนเรือสำราญออกเดินทางหนึ่งชั่วโมง
มาถึงเรือก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่านพอสมควร เธอเดินหลบหลีกผู้คนเพื่อกลับเข้าห้องพักเพราะเหนื่อยจากการตะลอนทั้งวัน ส่วนอาหารมื้อเย็นที่เธอแพลนไว้ในหัวเป็นอันต้องยกยอดไปทบในวันพรุ่งนี้
“คุณไปเที่ยวบนฝั่งคนเดียวเหรอ”
เสียงใครบางคนถามขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินผ่านหน้าเขา และแม้ว่าไม่ได้เรียกชื่อแต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาผู้นั้นพูดกับเธอ
“คุณ!” กาลเวลานิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าแดนนี่ยืนพิงราวกั้นในชุดที่ดูสบายกว่าทุกครั้ง แต่ที่แปลกกว่าชุดของเขาคือคำทักทายของเขาต่างหาก
เมื่อเช้ายังทำหน้าเป็นผีดิบใส่เธออยู่เลย
“ผม ทำไมเหรอ”
“เมื่อกี้คุณคุยกับฉันเหรอ”
“ใช่! ตรงนี้ไม่มีใครนอกจากผมกับคุณนี่”
พอเขาพูดเช่นนั้นกาลเวลาก็หันไปมองรอบๆ โดยอัตโนมัติ และพบว่าใกล้ๆ กับจุดที่เธอและเขายืนอยู่ไม่มีใครเลยจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอเห็นว่ามีคนเต็มไปหมด
“ทุ่มนึงพอดี เวลาอาหารเย็น”
จริงสิ ที่นี่มีเวลารับประทานอาหารเย็นให้นักท่องเที่ยวเลือกสองรอบคือสี่โมงเย็นกับหนึ่งทุ่ม และคนส่วนมากมักจะเลือกเวลาหนึ่งทุ่มเพราะสี่โมงเร็วเกินไปสำหรับมื้อเย็น
“อ้อ!”
“คุณล่ะ ไม่ไปทานมื้อเย็นเหรอ”
กาลเวลาอดระแวงเล็กๆ ไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าแดนนี่ เฉินคนนี้แท้จริงเป็นคนอย่างไร แต่ส่วนมากเวลาที่พบกันโดยบังเอิญเธอจะเห็นเขาในลุคที่เงียบขรึม พูดน้อย
วันนี้ทั้งเจ้านายและลูกน้องแก๊งผีดิบดูพูดเก่งกว่าทุกวัน
“ฉันอิ่มมาจากปีนังแล้วล่ะค่ะ”
“ผมคิดว่าคุณจะใช้บัตรวีไอพีจนคุ้มเสียอีก”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันใช้คุ้มแน่ คุณนั่นแหละ อย่ามาบ่นฉันทีหลังก็แล้วกัน”
แดนนี่หัวเราะในลำคอ “ตัวแค่นี้จะกินได้สักเท่าไหร่”
“ค่ะ เพราะคนระดับคุณไม่ล้มละลายง่ายๆ หรอก ใช่มะ”
เจ้าของร่างสูงเพียงแค่ยิ้ม ไม่พูดอะไร เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วสูบอย่างสบายใจ กาลเวลาไม่ได้พิสมัยผู้ชายสูบบุหรี่ แต่ต้องยอมรับว่าเวลาที่แดนนี่สูบเจ้ามวนเล็กๆ แล้วพ่นควันออกมา เขาดูเท่เป็นบ้าไปเลย
ตายล่ะ! เธอจะหลงผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ
“ขอโทษนะ ผมลืมไปว่าคุณอาจไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” แดนนี่บอกเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ แล้วกาลเวลาก็เผลอส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ
แดนนี่หัวเราะอีกระลอกกับท่าทีแปลกๆ ของเธอ อันที่จริงเขาไม่รู้ตัวเลยว่าแค่เวลาไม่กี่นาทีที่ได้คุยกับคนตรงหน้า เขาเผลอหัวเราะไปหลายครั้งเลย
“ฉันไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ชอบนะคะ” กาลเวลารีบอธิบาย
“แล้วคุณดื่มหรือเปล่า”
“ถามทำไมคะ”
“ก็ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมเชิญคุณดื่มด้วยกันได้หรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้รังเกียจนะคะ แต่ฉันกลัวถูกคุณพริมาแหกอกเอา” กาลเวลาบอกตามที่คิด เธอไม่นิยมไปไหนมาไหนสองต่อสองกับผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว ต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอเลยก็ตาม
“เมื่อคืนคุณก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ฉันแค่เห็นค่ะ แต่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย ตราบใดที่คุณปรับความเข้าใจกันได้ ชีวิตคู่ก็ถือว่ายังไม่พังลง”
“ไม่หรอก มันไม่เคยมีอะไรมาตั้งแต่เริ่มแล้ว”
กาลเวลาอึ้งไปเมื่อชายหนุ่มบอกแบบนั้น เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะให้เดา เขาอาจจะอยู่ในช่วง ‘ทำใจ’
“ก็ได้ค่ะ แต่ว่า…ฉันถนัดดื่มเบียร์มากกว่าอย่างอื่นนะคะ”
“ผมก็เหมือนกัน”
แดนนี่ เฉินไม่ได้พาเธอไปดื่มเบียร์ในห้องอาหารหรูอย่างที่เธอคิดในตอนแรก แต่เขาสั่งให้ลูกเรือยกเบียร์มาเสิร์ฟตรงลานข้างสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับห้องพักเฟิร์สต์คลาสสำหรับแขกที่จ่ายแพงกว่าคนอื่น
บริเวณสระว่ายน้ำเวลานี้ผู้คนบางตา มีเพียงเธอกับแดนนี่ และคู่สามีภรรยาชาวจีนที่นั่งฝั่งตรงข้ามสระเพียงเท่านั้น กาลเวลามองไปรอบๆ อย่างเสียวสันหลัง เพราะเธอคาดว่าพริมาก็น่าจะพักอยู่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน
“พริมเขาไม่โผล่มาตอนนี้หรอก คุณสบายใจได้”
แดนนี่พูดราวกับอ่านใจเธอออก หญิงสาวเผลอเลียริมฝีปากอันแห้งผากของตัวเอง อยากถามกลับไปเหมือนกันว่าทำไมเขามั่นใจนักว่าพริมาจะไม่โผล่มาแหกอกเธอตอนนี้ ทว่าเธอก็เก็บงำความสงสัยนั้นเอาไว้
“แล้วลูกน้องคุณไปไหนกันหมดล่ะ คุณถึงต้องมาหาเพื่อนดื่มเบียร์แบบนี้”
“สองคนนั่นอยู่ในเวลางาน”
“อ้อ!” เธอพยักหน้ารับรู้ ก่อนยกเบียร์ขึ้นจิบอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก
“ที่ปีนังเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีค่ะ ฉันชอบเดินสตรีตฟู้ดที่นั่น ของกินอร่อย แต่อากาศร้อนไปนิด”
“ผมเคยกินอาหารมาเลย์ ไม่ถูกปากเท่าไหร่” แดนนี่บอกขณะที่ยกเบียร์ดื่มเหมือนกัน เขาไม่ได้จิบแบบกาลเวลาทว่าดื่มรวดเดียวหายไปครึ่งแก้ว
“คุณ ถ้าเมาขึ้นมา ฉันยกคุณไปเก็บไม่ไหวนะ”
“ผมไม่เคยเมา” แดนนี่บอกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘จริงจัง’ แต่กาลเวลาหัวเราะไม่เชื่อคำพูดโอ้อวดนั่น
“พ่อฉันบอกว่าไม่มีใครเก่งเกินเหล้าไปได้หรอก เบียร์ก็ด้วย”
แดนนี่คิดตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง คุณเองอย่าเผลอเมาก็แล้วกัน”
“ได้ไง ของฟรี”
“คุณนี่เห็นแก่กินเหมือนกันนะ”
“อ้าว! นี่ฉันมาดื่มเป็นเพื่อนนะ ไม่ได้มาให้คุณว่า”
“ไม่จริงหรือไง ตอนแรกคุณโกรธผมแทบเป็นแทบตาย แต่พอผมให้บัตรกินอาหารฟรี คุณก็หายโกรธเลย” แดนนี่บอกด้วยนัยน์ตาพราวระยับขบขัน
กาลเวลาทำหน้าคว่ำเพราะเคืองที่ถูกล้อเลียน ถึงเธอจะเป็นอย่างที่เขาพูด แต่ก็ไม่ใช่เสียทุกอย่าง
“ใครว่าฉันหายโกรธ ฉันเห็นแก่ความตั้งใจจริงในการขอโทษของคุณหรอกนะ ถึงได้ไม่เอาเรื่อง แต่ยังไงก็ช่างเถอะ คุณจะไม่รับผิดชอบเรื่องโทรศัพท์ของฉันที่แฟนคุณโยนทิ้งทะเลไปฉันก็เข้าใจ เขาทำกับคุณขนาดนี้คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแทนเขาหรอก”
กาลเวลากล้าพูดเพราะเริ่มมึนฤทธิ์เบียร์ เธอยังคงมีสติสัมปชัญญะ แต่ควบคุมคำพูดได้ยากขึ้นเพียงเท่านั้น เพราะหากเป็นยามปกติเธอคงไม่กล้าพูดเรื่องส่วนตัวกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน
แต่ขณะที่แดนนี่กับกาลเวลาต่างเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง นาทีเดียวกันนั้นก็มีเสียงกรีดร้องอย่างตกอกตกใจดังมาจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลจากที่คนทั้งคู่นั่งอยู่
กาลเวลามองแดนนี่หน้าตื่น เพราะเสียงกรีดร้องอันดังนั้นตามมาด้วยเสียงร้องไห้ปานประหนึ่งจะขาดใจ
“คุณแดนนี่ครับ” ปาริธวิ่งหน้าตื่นมาหาเจ้านาย แดนนี่กับกาลเวลาลุกพรวดขึ้นพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น” แดนนี่ไม่รอคำตอบ เขาเดินแกมวิ่งไปยังทิศทางที่เป็นต้นเสียง
ปาริธเดินตามไปติดๆ กาลเวลาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็รีบเดินตามคนทั้งคู่ไป
แสงไฟสว่างจากห้องพักห้องหนึ่งลอดออกมาจากประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ ที่หน้าประตูหยางจงยืนรออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าซีดเผือดขาวไปทั้งหน้า
แดนนี่กับปาริธไปถึงแล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตู ขณะที่กาลเวลาตามมาติดๆ ก่อนจะชะงักฝีเท้าอยู่เบื้องหลังร่างสูงของคนทั้งสอง ภาพที่เธอเห็นผ่านไหล่หนาไปนั้นทำให้ต้องช็อกตาค้าง กาลเวลายกมือป้องปากเพราะกลัวว่าจะมีเสียงแปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา
เลือดแดงฉานไหลทะลักออกมาจากร่างของหญิงสาวซึ่งนอนสิ้นลมหายใจอยู่ที่พื้นห้อง ที่ลำคอมีมีดปักอยู่ ใบหน้าสวยขาวไร้สีเลือด ดวงตาเบิกโพลง
“คุณพริมา”
กาลเวลาเรียกชื่อหญิงผู้ตายออกมาอย่างแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกวูบคล้ายจะเป็นลมล้มพับลงไป ความจริงเธอควรเบือนหน้าหนีภาพอันน่าสยดสยองนั่น แต่ทุกส่วนของร่างกายกลับขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่เปลือกตา จนกระทั่งมือของใครบางคนดึงร่างเธอเข้าไปกอดแล้วกดศีรษะเธอให้ซุกลงบนหน้าอกกว้างของเขา
“หลับตา อย่ามองมัน”
ความโกลาหลเกิดขึ้นนับตั้งแต่วินาทีนั้น กาลเวลาถูกกันออกจากพื้นที่เกิดเหตุ เธอไม่กล้ากลับเข้าห้องคนเดียวจึงนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มรับรู้เรื่องราวแล้วออกมายืนมองสถานการณ์ห่างๆ
เรือแล่นเข้าใกล้ฝั่งภูเก็ต ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจไทยในการเข้ามาเก็บหลักฐาน
“คุณเวครับ”
กาลเวลาเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตามองคนเรียก พบว่าปาริธยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ
“คุณแดนนี่ให้มาถามว่าคุณโอเคหรือเปล่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรมั้ย”
กาลเวลานิ่งไป เมื่อครู่แดนนี่ดึงเธอเข้าไปกอดและปลอบประโลมเธอ เหมือนความฝันมากกว่าจะเชื่อว่าเป็นความจริง ทั้งเรื่องภาพศพของพริมาและอ้อมกอดของชายหนุ่ม แต่ถึงแม้ว่าอ้อมกอดของเขาจะเป็นอ้อมกอดที่หญิงสาวนับร้อยนับพันต้องการ แต่สำหรับกาลเวลา เธอได้แต่ขวัญผวาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น
แดนนี่คงกลัวว่าเธอจะช็อกตายตามพริมาไปอีกคน
“ฉันไม่โอเคค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน”
“ผมจะจัดการให้ครับ คุณไปเตรียมตัวเถอะ”
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.