บทที่ห้า มูลค่าเท่าไข่สองฟองพอดี
อูลั่วซิงแบกบุรุษรูปงามขึ้นหลังอีกครั้ง ใช้กำลังภายในเหินทะยานไปทางตัวเมือง
ทั้งที่เป็นบุรุษตัวโตคนเดียวกัน น้ำหนักเท่ากัน ทว่าแบกครั้งนี้กลับยากเย็นกว่ามากโข ในใจนางกระจ่างชัดยิ่งว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร…เพราะครั้งนี้ เขาตื่นอยู่
บางทีอาจเป็นนางที่คิดไปเอง มักรู้สึกว่าตลอดทางใบหน้าของเขาอิงแอบแนบเข้ามาเสมอ กลิ่นอายบุรุษอันอบอุ่นและเยียบเย็นเป่ารดริมหูและซอกคอของนางอย่างใกล้ชิดมาก ส่งผลให้แผ่นหลังของนางชาหนึบ ชาเรื่อยไปจนถึงกลางกระหม่อม
จากนั้นก็เป็นริมฝีปากเขา ตามที่นางกระโจนร่างขึ้นลง ริมฝีปากเขาเฉียดผ่านผิวข้างใบหูของนางไปอย่างคล้ายเจตนาคล้ายไม่เจตนา ทำเอาผิวบริเวณนั้นทั้งร้อน ชา แสบ และก็คัน นางอยากยกมือขึ้นขยี้อย่างหนักหน่วงสักหน ทว่าชั่วขณะก็ปลีกมือออกไปไม่ได้ ส่งผลให้นางรู้สึกแปลกประหลาดไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า
นางหลบเลี่ยงทหารเฝ้ารักษาการณ์เมืองกระโดดข้ามไปในกำแพง ฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนาวยะเยือก
คดีคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกงถูกลอบสังหารพร้อมกับตัดหัวไป สองสามวันนี้สร้างความวุ่นวายจนอลหม่านไปทั้งเมือง ต่อให้ล่วงเข้ายามวิกาล ภายในเมืองหลวงยังคงมีคนของหน่วยหยาเหมินแห่งสามตุลาการประสานงานกับทหารของจวนจงหย่งกงไล่ตามจับผู้ร้าย ออกคำสั่งห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล หากถูกจับขึ้นมาก็คงไม่น่าสนุกจริงๆ
ถึงอย่างนั้นทางใต้ของเมืองท้ายที่สุดก็เป็นย่านละลายทรัพย์ เป็นสถานที่หาความสุขสำเริงใจของราชนิกุลและคนสูงศักดิ์มั่งมีของเมืองหลวง กฎห้ามออกนอกเรือนยามวิกาลนั้นเมื่ออยู่ที่นี่ค่อนข้างจะใช้การไม่ได้สักเท่าใด
ครั้นแบกคนดอดเข้ามาในเขตทางใต้ของเมือง อูลั่วซิงก็ลอบพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง ด้วยความสามารถของนางต้องการหลบเลี่ยงการไล่ล่าทั่วท้องถนนหนทางมิใช่เรื่องยากเกินไป แต่สุนัขดุร้ายที่จวนจงหย่งกงเลี้ยงไว้ไม่กี่ตัวนั้นเป็นหนามยอกอกอย่างแท้จริง หลบเลี่ยงพวกมันได้อย่างราบรื่นถือเป็นเคราะห์ดีมหาศาล นางไม่ต้องการให้ฉินชิวตกอยู่ในอันตรายเพราะนางอีก
ทว่าก็อดแคลงใจอยู่บ้างไม่ได้ หลายต่อหลายครั้งที่ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนแหลมสูงกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบสับสนปนเปดังมาทางนาง ทุกรอบนางล้วนเตรียมตัวรับมืออย่างดี แต่สุดท้ายคนเหล่านั้น สุนัขดุร้ายไม่กี่ตัวนั้นก็มักจะเปลี่ยนทิศทางกะทันหันเมื่ออยู่ไม่ไกลนัก หรือบางครั้งเสียงก็ขาดหายไปฉับพลัน คล้ายถูกกำราบในชั่วพริบตา ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
เรื่องราวผิดไปจากที่คาดย่อมมีกลลวงอะไรบางอย่าง นางรู้ทั้งรู้เช่นนี้แต่ก็หาต้นตอของกลลวงนั้นไม่พบ
ทว่านางกลับรู้ชัดว่าเกิดความผิดปกติกับตนเอง…ก็นางถูกบุรุษเย้าหยอกอย่างหนักมาตลอดทางนี่นา
สุดท้ายนางส่งบุรุษรูปงามกลับหอซือเฟยของเขาอย่างปลอดภัยไร้ตำหนิ แต่จิตใจที่ว้าวุ่นแล้วถึงเวลาที่ควรตัดขาดก็ไม่อาจตัดขาดได้ จะให้นางหันหน้าจากไปเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะรู้สึกหักใจไม่ลง
เปลี่ยนไปมองทางฝั่งของฉินชิว เพื่อหยอกเย้าแม่นางนักฆ่าผู้จิตใจแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้าอย่างถึงที่สุด เขาเรียกได้ว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดความสามารถ
หยิบยืมข้ออ้างที่นางอยากตอบแทนบุญคุณ ฉวยโอกาสขึ้นหลังนาง ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวนางมาตลอดทาง
เดิมพันว่านางไม่มีวันที่จะล้มเลิกทอดทิ้งเขากลางทางเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้จึงแนบชิดนางพยายามทำคลุมเครือเท่าที่ทำได้ ก่อกวนประสาทสัมผัสทั้งห้าของนาง รุกล้ำลมหายใจนาง…
เขายังต้องรับมือกับกำลังคนที่ไล่ตามพวกเขามาอีกหลายกลุ่ม สำแดงวิชาสวมวิญญาณกลางอากาศฝึกฝนสำเร็จไม่ง่าย ทว่าก็เป็นยอดวิชาสร้างชื่อของเขา อันดับแรกตามหาเสียงเห่าของสุนัขดุร้ายแล้วสืบสาวตามเถาวัลย์ไปหาผลแตง เมื่อลงมือกับสุนัขดุร้ายสองสามตัวนั้นได้ก็จะประสบผลมากโดยไม่ต้องเปลืองแรง ค่อยต่อจากสุนัขไปหาคน ถักทอตาข่ายไร้รูปขนาดยักษ์ เขาก็จะควบคุมทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เขาขับไล่ทั้งคนและสุนัขไปทั้งหมด ทั้งยังยั่วเย้าด้วยเสน่ห์ตลอดทาง ผลคือหลังจากนางหลบเลี่ยงหูตาผู้คนส่งเขาเข้ามาในหอซือเฟย ก็เพียงยืนทื่ออยู่ตรงนั้น
ยืนทื่ออยู่จริงๆ ทื่อเอาเรื่องเลยล่ะ!
นางวางเขาลงบนเบาะนุ่มที่ห้องด้านใน จากนั้นก็ลุกขึ้นถอยหลังอย่างติดจะเอื่อยเฉื่อยไปหนึ่งก้าวสั้นๆ ก่อนจะถอยอีกก้าวสั้นๆ…และอีกก้าว แล้วไม่ขยับอีก แลคล้ายยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรุกหรือถอย ทำท่าจะไปแต่ก็รั้งอยู่
แสงไฟของตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บนแท่นตรงมุมทั้งสี่ด้านในหอยังไม่ดับลง ไส้ตะเกียงที่แช่อยู่ในน้ำมันยังคงทำหน้าที่ให้เปลวไฟดวงเล็กๆ ส่องแสงสว่าง ทุกอย่างมีสภาพเหมือนตอนที่เขาโดนลักพาตัวไปไม่มีผิด
ฉินชิวมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าต่อให้เฟิ่งหมิงชุนที่รู้เรื่องเล็กใหญ่ในสำนักชิงเยี่ยนถ่องแท้เหมือนนับนิ้วบนฝ่ามือ ก็ยังไม่รู้ว่าคืนนี้เขาเคยถูกลักพาตัวและพ้นเคราะห์รอดกลับมาอีก
ณ ขณะนี้เวลานี้ เห็นหญิงสาวถอยแล้วถอยอีก สุดท้ายก็นิ่งไม่ไหวติง เขาอดจะสงสัยตนเองขึ้นมาไม่ได้
เป็นเขาดีไม่พอหรือ ดังนั้นจึงดึงดูดนางไม่ได้
อืม…ก็ได้ เขาไม่ดีจริงๆ
เขายอมรับ เขามิใช่พวกคนดีมีคุณธรรมอย่างแน่นอน
เนื้อในของเขาทั้งชั่วช้าทั้งเลวทราม ที่เรียกกันว่า ‘หลักการถูกต้องของยุทธภพ’ ในสายตาเขาก็คือผายลมเท่านั้น เขาชอบให้ผู้คนที่อ้างความยุติธรรมเหล่านั้นป่นปี้ในมือตนเองเป็นที่สุด ได้เห็นพวกเขาตกเป็นเบี้ยล่าง เขาสาสมใจยิ่งนัก สาสมใจยิ่งยวดจนไม่อาจสาสมใจมากกว่านี้ได้อีก
ดังนั้นเขาดีไม่พอ
แต่รูปลักษณ์ของเขางดงามมากมิใช่หรือ
เขารูปโฉมหล่อเหลา ยามชม้ายตาใบหน้างามสดใส ระบายยิ้มจางๆ ก็ประหนึ่งวสันตฤดูมาเยือน เขาต้องการเกี้ยวพาหญิงสาวให้ตกหลุมพรางตรึกตรองดูหาใช่เรื่องยาก แต่นาง…นางพวงแก้มแดงปลั่งจริงๆ รอยแดงยังแผ่ลามไปถึงกกหูและลำคอ แม้แต่จมูกสูงโด่งก็ยังแดงระเรื่อ ดวงตาคู่นั้นกลมกลึงเพียงนั้น ไร้เดียงสาเพียงนั้น เห็นชัดว่าได้รับผลจากความงามของเขา บังเกิดความรู้สึกผิดแปลกกับเขา แต่เหตุใดจึงถอยแล้วถอยเล่า ไม่ยอมชิดใกล้กันนะ
“ท่านพักผ่อนให้ดี ข้า…ข้าจะไปแล้ว” อูลั่วซิงเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด มือที่แนบติดข้างลำตัวกำแน่นด้วยจิตใต้สำนึก สะบัดหน้าไปก่อนพูดย้ำอีกหน “ใช่ ข้าควรไปได้แล้ว”
ไม่ไปไม่ได้ ใกล้จะสะกดกระแสความร้อนในร่างกายขุมนั้นที่แทบจะเอ่อทะลักออกมาไม่ไหวแล้ว
ความปรารถนาท่วมท้น ไม่รู้จักละอาย นางคิดแต่จะกินเขาเท่านั้น
ขบกรามแน่นอย่างเหี้ยมเกรียม พยายามดับเปลวไฟในส่วนลึกของหัวใจให้มอดลง นางหันกายก็จากไปเลยจริงๆ แต่แล้วด้านหลังก็มีเสียงคำถามแผ่วเบาของเขาลอยมา…
“ไม่อาจรั้งอยู่หรือ”
ฝีเท้าของอูลั่วซิงหยุดชะงัก ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
ทั้งหมดต้องโทษที่นางไม่เอาไหน จากไปอย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้ นางหันหน้ามาถามเสียงค่อยอย่างไม่อาจหักห้าม “รั้งอยู่…ทำอันใด”
เสียงบุรุษนิ่มนวลเนิบช้าดั่งเสียงพิณ แผ่กระจายออกไปช้าๆ “คืนนี้มีคนลักพาตัวข้าไป อยากกินเปล่าๆ หลับนอนเปล่าๆ เอาเปรียบข้า ข้าย่อมไม่พอใจเหลือคณา แต่หากคนผู้นั้นเป็นแม่นางอู…หากเป็นเจ้า ข้าจะรู้สึกยินดีเป็นแน่”
“ข้าไม่มีทางหลับนอนกับท่านเปล่าๆ” อูลั่วซิงหมุนตัวขวับมาเผชิญหน้ากับเขา
ความตั้งใจเดิมของนางคือเพื่อแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้ง พร้อมถือโอกาสโต้แย้งสมมติฐานของเขา แต่พอวาจากล่าวออกจากปาก ดวงหน้านางก็กลับแดงซ่านยิ่งขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า พอเห็นเขายิ้มกรุ้มกริ่มราวกับอ่านอะไรออกทะลุปรุโปร่ง สีหน้านั้นยิ่งพาให้นางหน้าแดงฉานร้อนผ่าว แดงจนแม้แต่ขอบตาก็ยังรู้สึกร้อนลวกอยู่บ้าง
ไม่ว่าสมองของนางจะใช้การได้ดีเพียงใด ล้วนคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนั้น เจ้าเต็มใจหลับนอนกับข้า?”
ทรวงอกของอูลั่วซิงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ปีกจมูกก็พองยุบอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน เปรียบดั่งชั่วพริบตานั้นสูดอากาศเข้าไปไม่ได้ ต้องออกแรงหายใจซ้ำๆ
สมองของนางขาวโพลนไปหมด ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่หูทั้งสองได้ยิน
ฉินชิวดูราวกับยังทำให้นางเสียขวัญไม่พออย่างไรอย่างนั้น เขาไต่ถามขึ้นอีกคราอย่างยืนกราน “แม่นางอูไม่สมัครใจหรือ”
นี่มิใช่คำถามว่าสมัครใจหรือไม่ ทว่านี่คือ…คือการบีบนางชัดๆ!
อูลั่วซิงไม่รู้ควรตอบคำเยี่ยงไรดีไปโดยสิ้นเชิง นางตกที่นั่งลำบากอย่างถึงขีดสุด
ทันใดนั้น เขาหยักมุมปากแย้มยิ้ม เปลือกตาหลุบลง “ข้าเข้าใจ พูดถึงที่สุดก็คือแม่นางอูยังรังเกียจที่ข้าสกปรก”
สองตาที่เบิกกว้างของอูลั่วซิงหรี่ลงฉับพลัน หัวไหล่ก็พานสั่นเทาตามไปด้วย
“แม่นางอูโปรดกลับไปเถิด คืนนี้…ขอบคุณมาก”
เขาออกปากเชิญนางกลับ นางที่ยืนเซ่อเชื่อฟังอย่างว่าง่าย หันหน้าไปอย่างอึ้งงันและสาวเท้าเดินอย่างแข็งทื่อไปทางประตู เพียงแต่ทุกก้าวที่ย่างออกไป หน้าอกซ้ายก็เหมือนถูกมีดทิ่มแทงคราหนึ่ง ในใจเจ็บปวดดุจถูกมีดกรีดเฉือนซ้ำๆ
เขาใช้น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจสอบถาม เกือบจะเรียกว่า ‘อ้อนวอน’ เขาสมควร…จะมีใจให้นาง ทว่าไม่กล้าพูดออกมาอย่างมั่นใจหรือชอบด้วยเหตุผล ได้เพียงเลียบๆ เคียงๆ ถามเช่นนี้ และเลือกมอบอำนาจตัดสินใจสู่มือนาง
หากควักหัวใจออกมาถามตนเองได้ นางควรค่าให้เขาชมชอบให้ความสำคัญเพียงนี้ที่ใดกัน
นางทั้งไม่อ่อนโยนและไม่พราวเสน่ห์ รูปโฉมโนมพรรณก็ไม่โดดเด่นอะไร ทักษะเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ เย็บปัก ทำอาหาร ไม่มีแขนงใดที่นางมีฝีมือพอจะอวดอ้างได้เลย มีแค่ทักษะการสังหารคนที่เป็นจุดแข็งอย่างเดียวของนาง
นางมีนิสัยที่ไม่น่าคบหา ทั้งน่าเบื่อและยังแข็งกระด้าง ใบหน้ายังขาดอารมณ์ความรู้สึกใด รู้จักแต่ตีหน้านิ่งเป็นท่อนไม้ นางไม่ชอบยิ้ม ไม่ปากหวาน หนำซ้ำยังแข็งกร้าวและเย็นชา นางอาศัยอะไรได้รับความชอบจากเขา
แต่เขากลับมายิ้มให้นาง เข้ามาใกล้ชิดนาง เรียกร้องการตอบสนองจากนางอยู่ร่ำไป
ทำเช่นไรดี คืนนี้หากจากไป ก้าวออกจากหอซือเฟยแห่งนี้โดยไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับ ระหว่างนางกับเขาก็จะไม่มีปฏิสัมพันธ์อันดีกันอีกแล้วใช่หรือไม่
เวลาเพียงชั่วอึดใจนี้ สีหน้าและท่าทีหลุบตาเย้ยหยันตนเองของเขาพลันผุดขึ้นอย่างแจ่มชัดในสมองนาง ท่าทีคล้ายไม่อินังขังขอบ ทว่าแท้จริงกลับเจ็บช้ำใจยิ่งนัก
เป็นนางที่ทำร้ายเขา
นางไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่อย่างแน่นอน จนใจด้วยความคิดสับสน ความรู้สึกช้า จึงหมดหนทางเยียวยาอย่างแท้จริง
กระนั้น…หมดหนทางเยียวยาจริงๆ น่ะหรือ
เรือนร่างที่ก้าวไปถึงประตูชะงักกึก นางราวกับถูกน้ำนมชั้นยอดรดศีรษะ ความรู้สึกร้อนระอุชาหนึบแล่นผ่านกระดูกสันหลัง สองมือของนางกำเข้าหากันเป็นหมัดโดยแรง ก่อนจะสะบัดหน้าและหันกายเดินย้อนกลับทันที
เมื่อเห็นนางย่างสามขุมเข้ามาหาตน ฉินชิวอดกลั้นหายใจมองตาค้างไม่ได้ ความสงสัยยังไม่ทันแผ่ลามไปเท่าใด เงาดำที่เกิดจากนางปราดมาเบื้องหน้าเขาก็ครอบคลุมเขาเอาไว้แล้ว
จากนั้นนางก็ใช้สามนิ้วเชิดคางคมสันของเขาขึ้น
เขาเงยหน้ามาสบดวงตานางด้วยใบหน้าตะลึงงันอย่างผู้บริสุทธิ์ ด้านนางหลุบตาลงมองเขา ดวงตาสว่างเจิดจ้าดุจคบไฟ
“ข้ามิได้รังเกียจว่าท่านสกปรก เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ที่จะรังเกียจท่าน ท่านไม่อาจสวมหมวกบนหัวข้าส่งเดช เช่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
อูลั่วซิงทำราวกับชักกระบี่ล้ำค่าออกจากฝัก ท่าทางองอาจผึ่งผาย ยืนตระหง่านประจันหน้าเขา
“…เข้าใจ” ฉินชิวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว สองตาไม่แม้แต่จะกะพริบ นึกไม่ถึงว่ายามนี้ตนเองแท้จริงเป็นอะไรกันแน่
หญิงสาวทำท่าจะไปแต่ยังรั้งอยู่…จากไปแล้วหวนกลับมาอีก ทำเอาอกซ้ายของเขาเต้นเร็วราวกับรัวกลอง ลมหายใจไม่อาจสงบลงได้ในชั่วขณะนี้ แขนขาทั้งสี่รู้สึกเมื่อยล้าอย่างพิลึกพิลั่นเป็นระยะๆ
แต่ไหนแต่ไรมีเพียงผู้อื่นยอมจำนนต่อเขา หมอบคลานแทบเท้าเขา ทว่าบัดนี้เขาถูกจับใบหน้าไว้ ทั้งยังจ้องเขม็งแน่วแน่ เขารู้สึกในทันทีว่าเขายินยอมอย่างยิ่งที่จะลดตัวลงพินอบพิเทาเพียงแค่เพื่อให้นางพึงใจ
ในตอนแรกคือการหยอกเย้านาง เล่นสนุกกับนาง รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนาง จากนั้นก็รู้สึกเข้าใจหัวอกกันและกัน การตกหลุมรักที่แท้เป็นเรื่องชั่วกะพริบตา พวกเขาล้วนแสวงหาความเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวและความเป็นหนึ่งเดียว เขากับนางคนหนึ่งลำพองคนหนึ่งโดดเดี่ยว จิตวิญญาณอันเดียวดายเมื่อได้พบเจอกันด้วยวาสนา จะปะทะกันเกิดเป็นประกายไฟเช่นใดหนอ
พวงแก้มของเขาพลันอาบย้อมด้วยเมฆแดงสองก้อน อดเอ่ยถามนางขึ้นมาไม่ได้ “หากไม่รังเกียจ ก็แสดงว่าเจ้าจะไม่จากไปใช่หรือ…”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา หญิงสาวก็โน้มตัวลงมาครอบครองริมฝีปากเขา ใช้การครอบจริงๆ ริมฝีปากค่อนข้างเล็กรูปผลอิงเถาราวกับกลัวจะปิดปากเขาไม่มิดก็มิปาน กลีบปากอิ่มทั้งสองเปิดกว้างอยู่บ้าง ปกคลุมปากเขาไว้ทั้งหมดดุจต้องการกลืนกินเขาลงไป
เขาผงะอึ้งทันใด ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความขัดเขินงุ่มง่ามของนาง ในใจอดอ่อนยวบลงไม่ได้
นางโผเข้ามาตรงหน้าเขาโดยอาศัยความกล้าหาญชั่ววูบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ายามนี้แล้วเขาไม่มีวันยอมให้นางล้มเลิกกลางคันเป็นอันขาด สองมือเลื่อนไปจับข้อมือนาง ท่าทางราวเกาะเกี่ยวใกล้ชิดอย่างหักห้ามใจไม่ไหว แท้จริงเพื่อยับยั้งมิให้นางถอยหนีไป
เขาเป็นฝ่ายเริ่มแทรกลิ้นเรียวเข้าไปกระหวัดลิ้นจิ้มลิ้มของนางก่อน หลอกล่อให้นางจูบเข้ามาในปากเขา ริมฝีปากและฟันขบกระหวัดกันไปมาแผ่วเบา จุมพิตดูดดื่มไม่หยุดพัก…
ครั้นเมื่อกลีบปากทั้งสี่แยกจากกันในที่สุด อูลั่วซิงหอบหายใจติดๆ กัน พื้นฐานกำลังภายในยอดเยี่ยมเพียงไรก็ไร้ประโยชน์ ชั่วสติเผลอไผล เลือดลมเจือปนด้วยแรงปรารถนา ไอร้อนเดือดพล่านทุกรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย ไม่ใช่สิ่งที่จิตใจแน่วแน่จะควบคุมได้อีกต่อไป
อูลั่วซิงไม่รู้ว่าใบหน้าตนเองแดงก่ำเสียยิ่งกว่าเขา นางมองดูใบหน้าของเขาที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออันปนเปกันของคนทั้งสอง ผิวหน้างามใสส่งประกายฉ่ำน้ำ ปากเรียวบางถูกดูดดุนจนบวมเจ่อ รู้สึกเพียงในกายตนเหมือนถูกจุดไฟร้ายขุมหนึ่ง เปลวไฟยิ่งแผดเผายิ่งลุกโหมขึ้นกว่าเดิม
ทว่านางไม่มีวันเป็นอย่างที่เขาพูด ที่ว่า…ต้องการจะ ‘หลับนอน’ กับเขา
ในสายตานาง เขาหาใช่ชายบำเรอที่ส่งแขกออกไปรับแขกใหม่เข้ามา มอบความรัญจวนแก่ผู้คนอย่างแน่นอน เขาไม่ใช่อะไรทั้งนั้น แต่ก็เป็นอะไรทั้งนั้นเช่นเดียวกัน นางที่ยามนี้อารมณ์ปรารถนาเข้มข้นไม่อาจยืนยันแยกแยะตำแหน่งของเขาในใจนางได้ชัดเจน เพียงเข้าใจว่าเขานั้นอ่อนไหวง่ายและงดงาม นางต้องการปฏิบัติกับเขาอย่างดีเยี่ยม
“คืนนี้ออกมาข้างนอก บน บนตัวข้าไม่มีของมีค่าอะไร…” นางควานหาของในอกอย่างติดจะประหม่า สุดท้ายก็ลูบของเล็กๆ ออกมาได้ จึงเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “มีแค่ไข่ใบชาสองฟอง…”
อูลั่วซิงทำราวกับกำลังร้องขอความรัก ต้องการมอบของแทนใจต่อคนที่มีจิตปฏิพัทธ์ด้วยปานนั้น นางยื่นไข่สุกที่วางอยู่บนกระดาษเคลือบน้ำมันซึ่งหอมกลิ่นชาเต็มเปี่ยมมาตรงหน้าเขา ท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย เรียวคิ้วดวงตาขรึมเคร่งจริงจัง
ไข่ใบชาสองฟองนั้นเป็น ‘ค่าตอบแทน’ ที่พี่น้องสกุลหนีมอบให้นาง เป็นของที่นางสู้ด้วยชีวิตแลกมา
ไหล่สองข้างของนางห่อนิดๆ ของในมือเมื่อยื่นออกมาก็คล้ายอยากดึงกลับไปอีก เพราะนึกว่าเขาจะปฏิเสธ ไม่อยากได้
ทว่านางคิดผิดแล้ว ผิดมหันต์ คนที่ละโมบไร้ขีดสุดอย่างเขา ในเมื่อได้ลิ้มรสหวานล้ำแล้วไฉนเลยจะยอมปล่อยมือ
ดวงตายาวงามล้ำชี้ขึ้นเล็กน้อย เปิดเผยความรู้สึกแท้จริงอันเข้มข้นและเบาบางออกมา ได้ยินเขาหายใจรัวเร็วเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ข้ามีค่าเท่ากับไข่ใบชาสองฟองพอดี ค่าพักค้างคืนนี้ ประจวบเหมาะพอดีทีเดียว”
อะไรกัน! ‘ค่าพักค้างคืน’ อะไรกัน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย!
อูลั่วซิงอ้าปากหมายจะแก้ตัว ห่อกระดาษเคลือบน้ำมันในมือก็ถูกชิงไปเสียก่อนแล้ว พร้อมกับตัวนางก็โดนลากตามแรงไปด้วย
เขาหงายหลังลงนอน ราวกับนางเป็นคนผลักล้มลงไปอย่างนั้น
ทั้งสองนอนหันหน้าเข้าหากันบนเตียงกว้าง เขาสอดนิ้วเข้าไปในแขนเสื้อนาง ลากไล้จากข้อมืองามของนางขึ้นไปยังแขนเล็ก ตามด้วยค่อยๆ เคลื่อนไปยังบั้นเอวนางอย่างเชื่องช้า
เพราะมิได้ออกไปทำภารกิจ ราตรีนี้นางจึงสวมเพียงเสื้อคลุมสั้นผ้าหยาบสีเข้มเรียบๆ ท่อนล่างยังคงเป็นกางเกงคล่องตัวกับรองเท้าหุ้มข้อ มือเขาดึงกระตุกสายคาดเอวที่นางรัดอย่างส่งเดชก่อนออกมาข้างนอก ดึงปมเรียบง่ายให้คลายออกอย่างเงียบเชียบ
“ยามนี้แม่นางอูไม่อาจเปลี่ยนใจแล้ว” ฉินชิวลมหายใจหอมกรุ่นดั่งบุปผา “ข้าจะไม่มีทางทำให้เจ้าเสียใจ”
ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษอยู่ห่างจากนางเพียงหนึ่งระยะลมหายใจ ดวงตาเรียวคิ้วงามล้ำไม่ต่างจากภาพวาด สีของริมฝีปากสดสวย ลักยิ้มหนึ่งลึกหนึ่งตื้นขยับวูบวาบใต้เงาสะท้อนจากแสงไฟ ไฝเล็กใต้คางเม็ดนั้นน่ารักหาใดเปรียบ
คนดียิ่งเช่นนี้กลับยินดีผูกสมัครรักใคร่กับนาง นางกลัว คนที่จะเสียใจคนนั้นจะเป็นเขา
ด้วยเหตุนี้วอนขอเพียงเวลาเฉพาะหน้าตอนนี้ ครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นนางที่จู่โจมก่อน
นางยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขา ใบหน้าเล็กโน้มเข้าหาเขาเวลาเดียวกันก็รั้งใบหน้าหล่อเหลามาหาตนเอง
ครั้งแรกแปลกหน้า ครั้งที่สองคุ้นเคย ปลายลิ้นของนางชำแรกเข้าไปในปากเขา ในที่สุดก็ร่ำเรียนเข้าใจว่าอะไรจึงจะเป็นการจูบ
อูลั่วซิงนึกถึงฝันประหลาด ‘คิดอนาจารต่อบุรุษรูปงาม’ นั้นอยู่ตลอด
ค่ำคืนนี้ ฝันประหลาดนั่นกลายเป็นจริงแล้ว
ทว่าในห้วงฝันนั้นเรื่องที่นางกระทำกับเขา…หากนำมาเปรียบเทียบกับราตรีนี้ นับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินโดยสิ้นเชิง
เรื่องระหว่างบุรุษสตรี นางมิใช่ไม่เข้าใจใดๆ เลย ในอดีตเพื่อสำเร็จภารกิจ ยามหาโอกาสลงมือที่เหมาะที่สุด นางเคยซุ่มโจมตีในหอโคมเขียวสำนักนางโลม ทั้งยังเคยแฝงเข้าไปในคณะละครและหมู่นางร่ายรำที่ชนชั้นสูงศักดิ์กับคหบดีร่ำรวยเลี้ยงไว้ส่วนตัว ดวงตาคู่นี้ของนางเคยลอบเห็นเรื่องทางตัณหามามากนัก โดยมากล้วนสกปรกจนชวนให้คนสะอิดสะเอียน มีทั้งผิดศีลธรรมจรรยาร่วมประเวณีระหว่างสายเลือด บีบบังคับทารุณยิ่งมีไม่น้อย รวมไปถึงระหว่างบุรุษกับบุรุษ สตรีกับสตรี หากไม่ร่วมรักหลงหยางเป่าขลุ่ย ก็ต้องเป็นร่วมอภิรมย์ถูคันฉ่อง ล้วนมิใช่เรื่องหาได้ยากอะไร
แต่ฉินชิวปฏิบัติกับนาง นางปฏิบัติต่อฉินชิว ไม่สกปรกแม้แต่ครึ่ง…ไม่เพียงไม่สกปรก ยังรู้สึกดีจนพาให้นางสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย น้ำตาไหลผ่านสองแก้มนวล…
ตอนที่อูลั่วซิงตื่นขึ้นมาอีกครา ถูกแสงเรืองรองสีฟ้ารอบตัวทำเอาตาลายอยู่บ้าง กะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ครู่ใหญ่จึงค่อยตระหนักขึ้นมาได้ นั่นเป็นแสงเลือนรางที่แผ่ซ่านออกมาจากหินหลินสือสี่ก้อนในมุมของห้องลับ
นางได้สติแจ่มชัดทันควัน พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนเองย้ายจากเตียงกว้างด้านนอกผนังมายังห้องลับได้อย่างไร
เฮ้อ…ไม่อยากรู้ชัดยังยาก…ตอนที่เขาทำลายความบริสุทธิ์ของนาง แทรกเข้ามาในร่างนางนั้น เรือนกายเปลือยเปล่าทั้งสองใช้วิธีการที่แนบชิดจนมิอาจแนบชิดได้อีกเกี่ยวกระหวัดไม่เลิกรา
นางได้ยินเสียงร้องอย่างแจ่มชัด นั่นเป็นเสียงครวญครางและแผดร้องที่ออกมาจากลำคอนางเอง ยามอ่อนละมุนประหนึ่งเสียงแมวออดอ้อนในฤดูวสันต์ ยามเผ็ดร้อนราวกับเสียงอ้อนวอนร้องขอที่ทำให้เขายิ่งฮึกเหิมมากขึ้น
บางทีอาจเพราะเสียงความเคลื่อนไหวที่แว่วออกไปด้านนอกดังเกิน ครู่หนึ่งจึงมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทว่าเขามิได้แยแส และลากนางหลบเข้ามาในห้องลับทันที
ครั้นเมื่อผนังหินปิดสนิท ทั้งสองประดุจถูกแยกตัวออกไปจากโลกหล้า
แสงสีฟ้าของหินหลินสือสะท้อนประกายระยับไม่สิ้นสุดในก้นบึ้งนัยน์ตาเขา นั่นทำให้สีหน้าของเขาแลดูทั้งลึกลับและใสซื่อในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความลึกล้ำยังมีความลึกล้ำ ลึกซึ้งชวนให้พินิจพิเคราะห์ชั้นแล้วชั้นเล่า ชวนให้คนร่วงหล่นลงไปลึกยิ่ง ด้วยเหตุนี้นางราวกับเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ยินยอมพร้อมใจถูกเขาครอบครอง กัดกลืน และแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
ราวกับนางได้ตายไป ตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในอ้อมกอดเขา
ยามนี้นาง ‘เกิดใหม่’ จากความพร่าเลือน เขากลับมิได้อยู่ข้างกาย
นางเอื้อมมือไปสำรวจเบาะนุ่มด้านข้างด้วยจิตใต้สำนึก กลับได้รับสัมผัสที่เย็นยะเยียบกลับคืนมา เห็นชัดว่าเขาลุกจากไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ข้อนี้ทำให้นางอดอึ้งตะลึงไม่ได้ นี่หมายความว่านางอยู่ข้างกายเขา อยู่ภายในหอที่เป็นของเขานี้ จิตใจของนางผ่อนคลายลงโดยสมบูรณ์
ต่อให้กลับไปยังเรือนไผ่ที่นางใช้ชีวิตร่วมกับอาจารย์และศิษย์น้อง นางยังมีโอกาสผ่อนคลายเช่นนี้น้อยยิ่งนัก การฝึกฝนร่างกายนานปีทำให้นางอาศัยเพียงการปรับลมปราณก็สามารถฟื้นฟูกำลังร่างกายคืนมาได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้นางยากที่จะนอนหลับลึก อย่างไรเสียด้วยอาชีพที่นางใช้หาเลี้ยงตนเอง การรักษาความตื่นตัวไว้ตลอดเวลาจึงจะรักษาชีวิตน้อยๆ ได้
ทว่านางกลับนอนหลับจนไม่รู้เรื่องรู้ราว กระทั่งเขาลุกขึ้นไปเมื่อใดยังไม่รู้ตัว…
อูลั่วซิงลุกขึ้นนั่ง พบว่าบนร่างเปลือยเปล่ามีรอยจ้ำแดงนับไม่ถ้วน ระหว่างขาที่เดิมชื้นแฉะไปทั้งแถบก็ได้รับการทำความสะอาดอย่างง่ายๆ เรียบร้อย ไม่เหนอะหนะเหลือทนถึงเพียงนั้นอีก แต่ความรู้สึกประหลาดยังคงดำรงอยู่อย่างรุนแรง
นางก้มหน้ามองสำรวจด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ต้นขาด้านในมีรอยประทับแดงประปรายเช่นกัน รอยขบ รอยกัด รอยดูดเม้ม…
หากจำไม่ผิด นางก็ไม่ได้ให้ฝ่ายตรงข้ามสุขสบายมากเช่นกัน เขากัดนาง นางกัดตอบ เขาขบนาง นางก็ขบตอบกลับไป นี่เรียกว่า ‘ส่งของกำนัลแสดงไมตรีไปมา’ ของกำนัลที่ควรมอบคืนนางไม่ขาดพร่องไปแม้สักชิ้น…
ถึงแม้คิดเช่นนี้ นางก็ยังคงกัดริมฝีปากกุมหัว ท่าทางเหมือนอยากหาโพรงมุดหนีอย่างไรอย่างนั้นอยู่ดี
ทว่ายามนี้ไม่มีที่ให้นางหลบแล้ว ประตูลับตรงผนังหินนั้นโดนผลักเปิดโดยพลัน บุรุษที่พลิกเมฆาคว่ำพิรุณกับนางซึ่งออกไปได้ย้อนกลับมาแล้ว
ฉินชิวเห็นนางกำลังกอดผ้าคลุมผืนบางนั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง เขาก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย มองนางอย่างลึกซึ้งวูบหนึ่งค่อยเยื้องกรายเข้ามาใกล้อย่างสุขุม
เขานั่งลงข้างเตียง คลี่ยิ้มให้นางและเอ่ยว่า “ฟ้าเพิ่งสว่างเท่านั้น คนทั้งหลายในสำนักชิงเยี่ยนเพิ่งจะพักผ่อนกันไปไม่นาน ข้ากังวลว่าเจ้าจะหิวจึงสั่งข้ารับใช้ชราไปเตรียมของกินมาสองสามอย่างก่อน ทั้งยังเตรียมน้ำร้อนสำหรับชำระล้างไว้ในห้องเล็ก ถ้าเจ้าอยากอาบน้ำก็ใช้ได้ทุกเมื่อ”
คนในคลองจักษุสวมเสื้อแขนยาวสีขาวหิมะอันสง่างาม ผมดำรัดหลวมๆ ไว้ด้านหลัง กลิ่นจันทน์หอมผสมผสานกับกลิ่นหอมอ่อนจางของฝักเจ้าเจี่ยว ทั้งร่างสะอาดสะอ้าน สดชื่นโปร่งสบาย ดูเหมือนสภาพผู้ที่ร่วมอภิรมย์กับสตรีทั้งคืนและสูญเสียแรงพลังไปมากที่ใดกัน
อูลั่วซิงรู้สึกเสียความมั่นใจอยู่บ้างทันที
ทั้งที่นางเป็นคนรู้วรยุทธ์ฝึกลมปราณ ร่างกายกับลมปราณไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเขากี่เท่าต่อกี่เท่า เหตุใดหลังจาก ‘ประมือ’ กันคำรบหนึ่ง ตรงกันข้ามกลับเป็นนางที่เหนื่อยอ่อนจนนอนหลับอุตุ เขาซึ่งสุภาพแบบบางกลับใบหน้าเปี่ยมลมวสันต์ แย้มยิ้มสองตาเจิดจ้า…อืม ความเป็นจริงคือสว่างจ้าเกินไปโดยแท้ ส่วนลึกนัยน์ตาเขาราวกับมีประกายไฟเปล่งประกายระยับ รอบตัวคล้ายห้อมล้อมด้วยอากาศไร้รูปก้อนหนึ่งที่นามว่า ‘อิ่มเอม’ อย่างสมบูรณ์
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจน เขามีความสุขอย่างมาก ราตรีนี้นางรั้งอยู่ไม่จากไป สร้างความเบิกบานใจอันมหาศาลแก่เขา และนั่นมิใช่เพียงแต่ความรู้สึกเกี่ยวพันประสานเป็นหนึ่งทางร่างกายอย่างเดียว แต่เป็นกระแสความรู้สึกที่อยู่ลึกลงไปอีกชั้น
นางก็…ก็ชมชอบเขามากเช่นกัน ทว่ารอยยิ้มเช่นนั้นที่เขายิ้มให้นาง ราวกับเติมเต็มยิ่ง อิ่มใจยิ่ง และพึงพอใจยิ่ง แลคล้ายตั้งแต่ต้นจนจบผู้ที่ได้รับการย่ำยีมีแค่นาง ขอถามเถิดว่าจะไม่ให้อึดอัดใจได้อย่างไร
“ข้าอยากลุกไปชำระกายแล้ว” นางนึกว่าตนเองยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ที่แท้พวงแก้มของนางแดงปลั่งดุจโลหิต
“ได้ ข้าจะอุ้มเจ้าไป” คุณชายอันดับหนึ่งผู้ช่ำชองเรื่องการปรนนิบัติรอบด้านพูดพลางคิดจะดึงแขนข้างหนึ่งของนางขึ้น
อูลั่วซิงรีบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ท่านอุ้มข้าไม่ไหวหรอก ขะ…ข้าหนักมาก”
“อย่างนั้นหรือ” ฉินชิวนิ่งค้างกะทันหัน สีหน้าครุ่นคิด ขบคิดครู่หนึ่งก่อนคลี่ยิ้มทันใด “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ากดทับ…กระทำบนตัวข้า รู้สึกเพียงจิตวิญญาณหลุดลอยหาใดเปรียบ กลับไม่รู้สึกว่าเจ้าหนักเลย”
เปรี้ยง!
อูลั่วซิงรู้สึกราวกับไอร้อนพุ่งชนทะลุกระหม่อม และระเบิดเผาไหม้จนนางสุกไปทั่วทั้งร่าง
ยามนี้เองแสงเบื้องหน้านางพลันวูบดับ บุรุษรูปงามฉวยโอกาสที่นางตื่นตะลึงประชิดใกล้ ความอุ่นชื้นบนริมฝีปากนางได้ถูกเขาดูดเม้มแผ่วเบาเรียบร้อย
“ลั่วซิง…” ยามเขาผละออก ลมหายใจของทั้งสองคนยังคงสอดผสาน เสียงแหบต่ำของเขาดังขึ้น “ท่าทางยามนี้ของเจ้า…น่ารักอย่างแท้จริง”
นางในเวลานี้ไม่มีท่าทีระวังป้องกันต่อเขาแม้แต่น้อย อยู่เบื้องหน้าเขาก็เหมือนหญิงสาวขลาดเขลาคนหนึ่ง
สภาพของนางดูยุ่งเหยิงอย่างที่สุด ตั้งแต่ผมเผ้าไปจนถึงข้อเท้าล้วนดู…รุงรังไปหมด ทว่าเขากลับพูดว่าน่ารัก? อูลั่วซิงจึงรู้สึกว่าโดนยั่วโทสะเข้าแล้ว นางโกรธจัดจนขวัญกล้าทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น และพลันโถมใส่อีกฝ่ายกลับไปเสียเลย
นางออกฝ่ามือกดบุรุษ ‘ลงต่ำที่สุด’ ฝ่ายตรงข้ามโดนนางผลักล้มลงอย่างง่ายดาย
ดวงตานางราวกับถูกปกคลุมด้วยดวงไฟเจิดจ้า ก้มหน้าจ้องเขาเขม็ง ไม่สนใจว่าผ้าห่มบางบนร่างจะโดนเขาดึงหลุด ร่างเปลือยของนางนั่งคร่อมบนเอวเขา ออกแรงกระชากสายคาดเอวกับคอเสื้อสีขาวหิมะของเขาออก จนกระทั่งฝ่ามือแนบสนิทไปบนกล้ามเนื้ออกอันราบเรียบแข็งแกร่งของเขา เสียงถอนใจแหบพร่าระบายออกจากลำคอ นางแทบจะลูบคลำอย่างหยาบคาย สัมผัสความร้อนที่อบอุ่นไปถึงห้องหัวใจนั้น สุดท้ายค้อมร่างลงประกบจูบริมฝีปากเขา
ริมฝีปากเรียวลิ้นของนางดุดัน ละทิ้งความสำรวม ไม่ห่วงพะวงเรื่องใดๆ อีกทั้งสิ้น
นางเปลี่ยนบุรุษตรงหน้าให้เปลือยเปล่าเช่นเดียวกันกับตนเอง ปลายลิ้นลากผ่านใต้คาง ซอกคอ และลำคอที่ลูกกระเดือกนูนขึ้นเล็กน้อยของเขาอย่างละโมบ ราวกับกลายร่างเป็นสัตว์ตัวเมียที่หื่นกระหายสุดขีดตัวหนึ่ง ดมได้กลิ่นชวนให้หวั่นไหวไปถึงโลหิต จนอยากกัดลำคอเอาเส้นเลือดที่ลำคอเขาออกมาดื่ม การเคลื่อนไหวบ้าระห่ำหมดสิ้นซึ่งขอบเขต ราวกับต้องการกลืนกินคนทั้งเป็น
“ลั่วซิง…” เสียงเรียกชื่อนางของเขานุ่มนวลยิ่ง ทั้งยังเจือมาด้วยเสียงทอดถอนใจบางๆ ก่อนจะหอบหายใจแผ่วอ่อนแฝงด้วยเสียงแตกพร่า
เสียงเหล่านี้จากเขาแทรกตรงเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของนาง ราวกับร้องเรียกจนไฟปรารถนาในหัวใจนางลุกโชติช่วงขึ้นในพริบตา รูขุมขนทั่วร่างทั้งอุ่นทั้งคัน ทั้งชาทั้งปวด
เนตรงามแฝงประกายไฟคู่นั้นจับจ้องดวงตาเขาอย่างแน่วแน่ นางประคองความฮึกเหิมเบื้องล่างของเขา และค่อยๆ รับชีวิตของเขาเข้ามาในร่างตนเอง
ยามเมื่อร่างกายทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวท่ามกลางความชื้นฉ่ำร้อนลวก ปากที่เม้มแน่นของนางสั่นสะท้าน หมอกสายหนึ่งแผ่ปกคลุมเบื้องหน้าสายตา ไม่ว่าอะไรก็มองไม่เห็น มีเพียงใบหน้าเขา การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์บนองคาพยพทั้งห้าของเขา ทุกความละเอียดอ่อนล้วนสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาของนาง ประทับเข้าสู่ส่วนลึกของใจนาง
ครั้งนี้เขาปล่อยนางกระทำตามแต่ใจปรารถนา เรือนผมแผ่สยายอยู่บนเตียง นัยน์ตาดำขลับแวววาวขับเน้นร่างกายขาวอมชมพูของเขาให้เด่นชัด นางลูบใบหน้าเขา บั้นเอวแข็งแรงยืดหยุ่นยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งรวดเร็ว ปล่อยอารมณ์ควบตะบึงอย่างเต็มที่
เขาสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบหนักมากยิ่งขึ้น ใต้ร่างพลันถูกรัดรึงคราหนึ่งกะทันหัน เขากุมข้อมือนางอย่างยากทานทน ก่อนจะพลิกร่างขึ้นกดทับนางเอาไว้
อูลั่วซิงมิได้พยายามกลับไปยังตำแหน่งด้านบนอีก ทว่าใช้ขาเรียวยาวกอดรัดเอวเขาแน่น ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงครวญแผ่วอย่างไม่อาจหักห้าม ผิวพรรณล้วนโดนบีบคั้นให้เหงื่อออก นางทำคนที่สะอาดเอี่ยมสกปรกเสียแล้ว มาเปียกชื้นฉ่ำแฉะเหมือนกันกับนาง เกี่ยวกระหวัดร้อยรัดยากแยกจาก…
ยามเมื่อสติสัมปชัญญะถูกทำให้หลุดลอยไป นางอาศัยสัญชาตญาณกระแทกบั้นเอวไปทางเขา เขาฝังอยู่ในร่างนางอย่างลึกซึ้ง หน้าผากจรดหน้าผากนาง ก้นบึ้งนัยน์ตาที่มีเพลิงลุกโชนสะท้อนดวงหน้าเมามายในห้วงปรารถนาของนาง
“ไม่…ไม่เสียใจภายหลัง…ไม่เสียใจ…ไม่เสียใจเลย…” นางเผยอริมฝีปากพึมพำ แท้จริงไม่แน่ใจนักว่าตนเองเอ่ยอะไร นั่นเป็นเสียงดั้งเดิมที่ออกมาจากใจจริง เล็ดลอดออกมาตามสติที่ล่องลอยไป
ท่าทีของบุรุษเปลี่ยนไปอีกคราเพราะเสียงพึมพำต่ำๆ ของนาง แรงปรารถนายิ่งเหิมฮึกมากขึ้น
ไม่มียาแก้อาการเสียใจภายหลัง ไม่มีเส้นทางให้หันหลังกลับ ในเมื่อตัดสินใจครองคู่ เช่นนั้นก็ผูกสมัครรักใคร่กันจวบชีวาจะหาไม่
วันนี้เป็นวันที่นางไปจากหอซือเฟยของคุณชายอันดับหนึ่งแห่งสำนักชิงเยี่ยน แม้อูลั่วซิงยังคงทำตัวลับๆ ล่อๆ แต่ไม่ใช่จากไปโดยไม่ลาอีก
หลังผ่านการปลดปล่อยอารมณ์ตามใจต้องการ นางอาบน้ำภายใต้การปรนนิบัติของฉินชิวรอบหนึ่ง และสวมชุดสะอาดที่เขาเตรียมไว้ให้
เสื้อผ้าเหล่านั้นรูปแบบค่อนไปทางไม่มีระบุเพศผู้สวมใส่อย่างแน่ชัด สีสันยังเข้มสุขุม สอดคล้องกับท่วงท่าท่วงทีของนางเป็นอย่างมาก สะดวกแก่การที่นางจะปะปนเข้าไปในฝูงชนยิ่ง นางกระทั่งไม่รู้ว่าเขาตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อใด ขนาดถึงกับไม่ผิดไปแม้แต่นิด สวมพอดีกับรูปร่างนางอย่างสมบูรณ์
ถัดจากนั้นนางก็ถูกดึงไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะ และกินข้าวร่วมกับเขา
พูดว่า ‘กินข้าวร่วมกับเขา’ แลคล้ายไม่ถูกต้องเท่าใด อาหารเลิศรสนานาชนิดเต็มโต๊ะมีเพียงนางคนเดียวที่ขยับตะเกียบส่งเข้าปาก ประกอบกับที่เขาตักอาหารใส่ถ้วยของนางอีกเป็นระยะ หากจะกล่าวให้ถูกคือเขาดูแลป้อนและจัดเตรียมอาหารให้นางเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังมองดูนางกินอย่างสนอกสนใจ ราวกับการทำเช่นนี้สร้างความพึงพอใจแก่เขายิ่งยวด ทำให้คิ้วตาของเขาอ่อนละมุน มุมปากอ่อนโยนลงอย่างไม่อาจห้าม
อาหารเช้ามื้อนี้เริ่มกินสายอย่างยิ่ง ทั้งยังกินยาวนานจนจวนจะกลายเป็นอาหารกลางวันอยู่แล้ว แต่อูลั่วซิงกลับรู้สึกว่ามันเอร็ดอร่อยอย่างมาก
ในชั่วขณะนั้น ในใจนางบังเกิดความรู้สึกว่าตนเองได้รับการเอาอกเอาใจจากผู้อื่นขึ้นมาอีก ความสนใจทั้งหมดตกอยู่บนร่างนางอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เสมือนว่าทุกอากัปกิริยาของนาง อารมณ์สีหน้าที่เล็กน้อยเหลือหลาย ทั้งหมดล้วนสามารถสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจของบางคนได้
ในสายตาเขา นางไม่มีทางเป็นคนนอกที่ว่างเปล่าเลื่อนลอย แต่เป็นการดำรงอยู่อันสำคัญอย่างหาที่สุดมิได้
ดวงตายาวงามงดของบุรุษเปี่ยมด้วยความรู้สึกทั้งร้อนแรงและเก็บงำ นางถูกเขามองจนหัวใจสั่นเทิ้มอย่างแท้จริง ในที่สุดก็อดยอกย้อนเล็กๆ ขึ้นไม่ได้…
“ท่านไม่หิวบ้างหรือไร” นางขบริมฝีปาก ก่อนจะสะบัดหน้าเอ่ย “ท่านขยับตั้งมากเพียงนั้น และยังออกแรงถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หิวนี่ ไยจึงไม่กินเล่า”
ใบหน้าคมคายแดงระเรื่อยามกล่าวตอบ “จริงสินะ ขยับมากยิ่ง ทั้งยังออกแรงอย่างหนักหน่วงด้วย” จากนั้นก็ค้อมศีรษะอย่างสำราญใจ “อืม รู้สึกหิวอยู่บ้าง ข้าจะกิน”
แต่เขาไม่ได้แตะต้องอาหารโอชารสเต็มโต๊ะ กลับล้วงเอาไข่ใบชาสองฟองจากตะกร้ารักษาความร้อนใบเล็กด้านข้าง ปอกเปลือกสีน้ำตาลที่แตกออกทิ้ง ยกประชิดข้างริมฝีปาก ก่อนจะละเลียดลิ้มชิมรสชาติที่อวลด้วยกลิ่นหอมชา
ไข่ใบชาสองฟองนั้น…คืออย่างเดียวที่นางมีติดตัวเมื่อคืน
เมื่อเห็นบุรุษกินอย่างจริงจังเพียงนั้น ทุกคำเล็กๆ ล้วนดูตั้งอกตั้งใจ ราวกับทะนุถนอมอย่างมาก หักใจกลืนคราวเดียวทั้งหมดไม่ได้ นางก็พลันพูดไม่ออกขึ้นมา รู้สึกเพียงแทบจะตายไปโดยไร้สาเหตุในหอแห่งนี้ ขาดอากาศหายใจในบรรยากาศอบอุ่นที่เขาสร้างขึ้น
‘ข้ามีค่าเท่ากับไข่ใบชาสองฟองพอดี ค่าพักค้างคืนนี้ ประจวบเหมาะพอดีทีเดียว’
นั่นมิใช่ ‘ค่าค้างคืน’ ที่เขาเอ่ยถึงโดยสิ้นเชิง กลับเหมือน… ‘ของแทนใจ’ กระนั้น
เพียงแต่จะมีใครใช้ไข่ใบชาสองฟองเป็น ‘ของแทนใจ’ กันเล่า
อีกทั้งหากต้องการยืนยันว่ามีใจต่อกัน เช่นนั้นระหว่างเขากับนางก็ต้องเป็น ‘คนรักกัน’ พวกเขานับว่า…ใช่หรือไม่
อืม ถูไถ…พอจะนับได้กระมัง
ไม่ใช่ผู้ใดต้องการหลับนอนกับผู้ใด ไม่มีปัญหาด้านฐานะสูงต่ำ เพียงรู้สึกใช่ ก็ผูกไมตรีอยู่ร่วมกัน…
โลกใบนี้บางทีอาจมีเรื่องของการตกหลุมรักในแรกเห็น เขากับนางแม้หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ก็อาศัยสัญชาตญาณและความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองจึงได้มีความรู้สึกดีต่อกัน
เวลาที่นางรู้จักเขานั้นสั้นมาก เวลาที่อยู่ร่วมกันยิ่งไม่มากเข้าไปใหญ่ ทว่ากลับมีความรู้สึกชมชอบเขามหาศาล
ชอบเขาที่มีรูปโฉมน่ามอง เจริญตายิ่งนัก ชอบน้ำเสียงยามเขาเอ่ยวาจา ทั้งสุขุมและอ่อนโยน ชอบแววตาและรอยยิ้มของเขา ซึ่งมักจะมองจนหัวใจของนางบีบรัด ความร้อนที่ผิวกายพุ่งขึ้นสูง ชอบการปฏิบัติอย่างนุ่มนวลและตั้งใจของเขาต่อนาง ระหว่างร่วมอภิรมย์กับเขา โดยมากเขาอ่อนโยนเปี่ยมแววรักใคร่ ปฏิบัติกับนางอย่างถนอมรักษา หากไม่ใช่หลายครั้งถูกนางยั่วเย้าหนักข้อจนบีบให้ร้อนรุ่มไปด้วยแรงปรารถนา เขาก็ไม่มีทาง ‘ลงมือหนัก’ เกินไปนัก
กระนั้นนางค้นพบว่าตนเองมิได้ต่อต้านการ ‘ลงมือหนัก’ ของเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต่อต้านไม่พอ ยามเมื่อเขาละทิ้งท่วงท่าอดกลั้น ปฏิบัติกับนางด้วยโฉมหน้าที่แท้จริงอันหิวกระหายเร้าใจผู้คน นั่นยิ่งกระตุ้นให้นางตื่นเต้นยากระงับ
พวกเขาสองคนคือสัตว์ป่าที่ถูกตัณหาราคะครอบงำ สุดท้ายแล้วเป็นเพราะความรักทำให้เกิดไฟปรารถนาหรือเพราะไฟปรารถนาทำให้เกิดความรัก หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงความเห็นใจคนที่หัวอกเดียวกัน ท้ายที่สุดต่างฝ่ายต่างสงสารและถนอมกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างนางล้วนไม่สนใจ รู้แต่เพียงนาง อูลั่วซิง ชอบฉินชิวบุรุษผู้นี้ยิ่ง
สำนักชิงเยี่ยนในเวลากลางวัน เงียบเหงาจนรู้สึกว่ากาลเวลาช่างสงบสุข อูลั่วซิงตอนที่มาไม่ได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ใด ตอนที่ไปก็ยิ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ คนที่รู้คนเดียวคือผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยที่รั้งแขกค้างคืนเท่านั้น
ตอนจะจากไป ร่างของนางใช้เคล็ดวิชาปีนป่ายอยู่นอกหน้าต่างสูง ลังเลใจไปพักใหญ่ ก่อนจะเหลียวหลังกลับมามองเขาที่ยืนตรงริมหน้าต่างพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ขะ…ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านอีก”
หัวคิ้วของฉินชิวมุ่นเข้าหากันน้อยๆ รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนจาง มือข้างหนึ่งจับขอบหน้าต่างแน่น “ตกลง ข้าจะรอเจ้า”
“ท่านมีสิ่งของที่ชอบหรือไม่ ไม่ว่าของกิน ของใช้ หรือว่าของอย่างอื่นอะไร ข้าจะช่วยนำมาให้ท่าน”
“ลั่วซิงยอมมาพบกัน เทียบกับอะไรล้วนดีกว่ามากแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นต้องร้องขอ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ หน้าผากนางพลันร้อนผ่าว ขาสองข้างอ่อนยวบทันใด จนหวิดจะร่วงหล่นจากด้านนอกของชั้นสองอยู่รอมร่อ
จู่ๆ ผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยก็เกี้ยวพานางขึ้นมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว เอ่ยปากพูดส่งเดชเรื่อยเปื่อยก็สามารถยั่วให้คนหน้าแดงหูแดงได้ เบื้องล่างชื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ละอาย
เดิมทีนางยังมีวาจาอยากถามเขามากมาย นางอยากถามเขาว่าเคยคิดไปจากสำนักชิงเยี่ยนไม่เป็นคุณชายอันดับหนึ่งนี้บ้างหรือไม่
นางอยากรู้ เขาติดค้างอะไรเถ้าแก่ชุนกันแน่ เหตุใดจึงต้องติดอยู่ที่นี่ให้ได้ เพราะเงินสีขาวเจิดจ้าหรือว่าเพราะติดหนี้ไมตรีอันหนักอึ้งอันใด
ไม่ว่าติดหนี้อะไร นางล้วนยินดีทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อไถ่ตัวเขา ขอแค่เขาอยากจากไป
ทว่านางก็ฉุกคิดถึงคำสนทนาระหว่างนางกับเขาในอดีตขึ้นมาได้ ตอนที่นางเอ่ยอย่างกังขาในการกระทำของเขา เขาก็ย้อนถามนางอย่างเย้ยหยัน…
‘หากวันใดแม่นางอูจะไม่ทำให้ตนเองลำบากอีก อย่าลืมมาบอกข้าคำหนึ่ง ข้าจะทำตามอย่างเจ้า พวกเราใครก็ห้ามรังแกตนเองอีกดีหรือไม่’
นางที่เป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะมีสิทธิ์ซักไซ้อะไรเขาได้
รอคอยอีกหน่อยแล้วกัน
รอจนนางช่วยตามหาสมุนไพรที่อาจารย์กับศิษย์น้องต้องการครบแล้ว หลังจากนั้นนางก็จะทุ่มเทจิตใจกับตัวเขาเพียงอย่างเดียว
รอเมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าเขาต้องการอะไร นางก็จะทำให้เขาได้ทั้งสิ้น
ไม่นานแน่ ขาดแค่หญ้าหลิงจี้ต้นสุดท้าย ดังนั้น…รอนางอีกหน่อยได้หรือไม่
…ได้หรือไม่
นางถามออกไปในใจเงียบๆ ทั้งยังคล้ายกำลังให้คำมั่นกับตนเอง
เห็นเขาที่อยู่ด้านในหน้าต่างแย้มยิ้มอย่างเป็นอิสระไม่ผูกมัดเช่นนั้น ใบหน้าอ่อนโยนสุขุม คล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวใดๆ ด้านหนึ่งนางไม่อยากเปิดเผยความคิดยุ่งเหยิงในใจออกไป อีกด้านหนึ่งก็อยากทำตามความปรารถนาของตนเอง
ทันใดนั้น นางจึงโน้มตัวเข้าประชิด เรือนกายด้านล่างยังลอยคว้างอยู่นอกหน้าต่างสูง แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปเกี่ยวลำคอเขา ริมฝีปากแนบชิดกับปากเขา
ริมฝีปากบางระบายลมหายใจออกมา เขาปล่อยให้นางล่วงเกินตามอำเภอใจ จากนั้นแรงบนริมฝีปากก็ผละจากไปอย่างรวดเร็วมาก
อูลั่วซิงเมื่อลิ้มรสแล้วก็หยุดยั้ง ประกายในดวงตาลุ่มลึกขึ้นพลางเลียกลีบปากมิได้เอ่ยวาจาใด
สุดท้ายนางก็ถอนสายตาที่จับจ้องเขาอยู่ เบือนหน้าไปอีกทางและกระโจนแผ่วเบาไปทางกำแพงสูง ก่อนจะเหินทะยานจากไปในที่สุด
บทที่หก คนงามหาใช่เป็นเทพแห่งหายนะไม่
“ชิวกวนมีคนที่ผูกสมัครรักใคร่ต่อกันแล้วหรือ”
ดวงตาแหลมคมล้วงลึกของเฟิ่งหมิงชุนมองประเมินเจ้าของหอซือเฟยสลับไปมาจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน
“ยอดนัก เรื่องนี้เป็นความจริง?”
“เถ้าแก่ชุนมองออกได้อย่างไร” ชิ่นซย่าและเหลียนตงคุณชายสองคนในฐานะดาวเด่นของสำนักชิงเยี่ยนเหมือนกันไต่ถามขึ้นหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อสง่า ท่วงทีแตกต่างกันออกไป ทั้งสองนั้นหันมองไปทางฉินชิวที่กำลังต้มชาให้ทุกคนพร้อมกัน
ต้นฤดูร้อน สายลมอบอุ่นกรุ่นกลิ่นบงกชหอม ด้านบนหอซือเฟยด้านในสำนักเปิดหน้าต่างเลิกม่านขึ้น ต้อนรับแขกด้วยน้ำชา
บนพื้นที่ทำจากไม้ตรงโถงเล็กด้านหน้า คุณชายสี่คนนั่งล้อมรอบโต๊ะชาตัวยาวที่ทำจากไม้จันทน์แดง ชิ่นซย่าที่อยู่ในชุดเสื้อตัวบางสีเขียวอ่อนใบหน้านุ่มนิ่มรูปร่างอรชร เหลียนตงที่สวมชุดฤดูร้อนสีเทาเงินยิ่งแลดูขาวเนียนผอมบาง ส่วนรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดตกเป็นของเฟิ่งหมิงชุน เขาคนเดียวยึดครองเบาะรองนั่งนุ่มไปสองอัน ชายเสื้อสีแดงสดที่จงใจตัดเย็บให้ยาวยิ่งแผ่กระจายไปบนพื้น
ขณะที่ฉินชิวสวมเพียงเสื้อสีขาวแขนกว้างที่เรียบง่ายมากตัวหนึ่ง เรือนผมสีดำรวบสูง นั่งคุกเข่าตรงหน้าโต๊ะชงชา
รินน้ำ ต้มชา แจกชา การเคลื่อนไหวของเขาไหลรื่นดุจเมฆาคล้อยสายน้ำไหล ชั่วระหว่างนิ่งและขยับท่วงทำนองที่เหลือสอดประสานต่อกัน
เฟิ่งหมิงชุนรอจนน้ำชาได้รับการแจกจ่ายอย่างเหมาะสมเรียบร้อย จึงค่อยเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อย “เสี่ยวซย่าเอ๋อร์กับตงกวนมองไม่ออกหรือ คุณชายฉินชิวของพวกเราอารมณ์ดียิ่งนัก ไม่อย่างนั้นพวกเราสามคนมีหรือจะได้ขึ้นมาดื่มด่ำชาที่เขาต้มเองกับมือบนหอซือเฟยของเขานี้”
ชิ่นซย่าโบกพัดลายภูผาธาราในมือน้อยๆ ก้มหน้าคลี่ยิ้มหวาน “แต่ไรมาหากก้าวเข้ามาในหอซือเฟยนี้ โดยมากล้วนเป็นการพบปะในห้องรับรองชั้นล่าง วันนี้ได้รับเชิญขึ้นด้านบน รู้สึกตกตะลึงที่ได้เป็นเกียรติอย่างแท้จริง ตรองดูชุดชาที่ชิวกวนได้รับมาใหม่นี้ ท่านคงรักถนอมอย่างมาก ตัดใจย้ายลงไปยังชั้นล่างไม่ได้ แต่การชงชาดื่มลำพังเป็นการสื่อสารกับจิตวิญญาณตนเอง อวดโอ่ต่อภายนอกอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราสามคนจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย”
“ชุดชานี้ทำจากแก้วเจียระไนเงาจันทร์ที่หาได้ยาก หนึ่งชุดมีถ้วยเล็กสี่ถ้วย ฝีมือประณีตบรรจง รูปร่างแตกต่างกันออกไป จึงราคาสูงลิ่ว” น้ำเสียงของเหลียนตงเย็นชาเหมือนเก่า มุมปากระบายยิ้มจางๆ เขาชูถ้วยเจียระไนใบเล็กขึ้นจรดใต้จมูก ดมกลิ่นชาสีน้ำตาลอ่อนที่กระเพื่อมอยู่ด้านใน “ชาก็เป็นของชั้นดีที่เพิ่งได้มาใหม่เช่นกัน”
ชานี้เพียงจิบดื่มคำเล็กๆ ทั่วโพรงปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้ว
เฟิ่งหมิงชุนพลันกดเสียงลงต่ำเอ่ยขึ้น “ก็ไม่รู้ว่าเป็น ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนใดซื้อมาเรียกหนึ่งรอยยิ้มของชิวกวน ทว่าชิวกวนของสำนักเรายังยิ้มจริงๆ เสียด้วย เจ้า…อย่าเถียงว่าเจ้าไม่ยิ้ม ใบหน้าเจ้าไม่แสดงออก ในใจน่ะเบิกบานยิ่ง”
ฉินชิวยกถ้วยขึ้นพินิจยอดอ่อนใบชา หยักริมฝีปากเผยรอยยิ้มให้เถ้าแก่ชุนของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
เขาอารมณ์ดีจริงๆ ไม่มีใครได้รับของกำนัลแล้วจะไม่ดีใจ โดยเฉพาะเป็นของที่คนในใจมอบให้
“นี่แม้แต่เถ้าแก่ชุนก็ล้วงเบื้องลึกของ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนนั้นไม่กระจ่างหรือ” ชิ่นซย่าเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เครื่องหน้าทั้งห้าของเฟิ่งหมิงชุนย่นยู่ “ล้วงเบื้องลึกอะไร แม้แต่คนผู้นั้นหน้าตากลมหรือแบนข้าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
เหลียนตงที่อุปนิสัยเฉยชาก็ถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเช่นกัน “แขกผู้มีพระคุณที่สามารถมอบแก้วเจียระไนเงาจันทร์นี้ได้มิใช่บุคคลทั่วไปเป็นอันขาด ทั้งยังเป็นผู้ที่ชิวกวนเชิญเข้าหอซือเฟย เช่นนี้ก็ยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากคัดกรองดังนี้สองสามรอบ ต้องการสืบรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”
เฟิ่งหมิงชุนส่ายหน้าอย่างมากอำนาจอยู่บ้าง
“ไม่ใช่สองสามคนนั้นอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจได้ เรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงนั้น” เฟิ่งหมิงชุนถอนใจอย่างเกินจริงไปบ้างก่อนกล่าวต่อ “ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ ท่านนี้จ่ายออกมาอย่างใจป้ำอย่างยิ่ง ระยะเวลาอันสั้นแค่สามเดือนกว่า ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยสิ่งล้ำค่าที่เพิ่มขึ้นใหม่บนหอซือเฟยก็มากขึ้นอักโข ที่สวมใส่ ที่ใช้ ที่ดูเล่น มากมายหลายหลากมองดูจนคนตาลายไปหมด”
และที่น่าแปลกก็คือเจ้าสิ่งล้ำค่าที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในหอราวกับงอกขึ้นมาจากอากาศ ส่งมาถึงมือของชิวกวนเมื่อใด เขาผู้เป็นเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนกลับไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้น
ชิ่นซย่าใช้พัดปิดหน้าครึ่งหนึ่ง ดวงตาถลึงเล็กน้อย เสียงอุทานแว่วออกมาจากหลังพัด “เห็นทีคนผู้นี้จะเอาอกเอาใจชิวกวนเหมือนเป็นยอดดวงใจเสียด้วย”
ฉินชิวปล่อยพวกเขาสามคนถกเถียงกันไปเรื่อยเปื่อย
เฟิ่งหมิงชุนนำเรื่องนี้แผ่ออกมาพูด นั่นเพราะใจอยากรู้อยากเห็นถูกกระตุ้นจนไฟโหม ต้องการล่อให้เขาคายความจริง ดูว่าเขาจะอดไม่ได้บอกภูมิหลังของคนผู้นั้นออกมาหรือไม่
ทว่าฉินชิวไม่คิดสนใจอย่างสิ้นเชิง ยังคงแบ่งชาให้ทุกคนด้วยท่วงทีสงบนิ่ง กระนั้นก็ปล่อยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดตอนท้ายของชิ่นซย่า กล่าวว่าคนผู้นั้นเอาอกเอาใจเขาเหมือนเป็นยอดดวงใจ
บางทีนางอาจไม่รู้ว่าตนเองกำลังเอาใจคน คิดแค่อย่างเดียวว่าหอซือเฟยของเขาถูกทำลายเสียหายอย่างโจ่งแจ้งเพราะนางเป็นต้นเหตุ สิ่งของมีค่าหากไม่ถูกหยิบฉวยเอาไปก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี นางจึงช่วยหาของดีมาทดแทน…ในความคิดนางบางทีอาจเป็นเช่นนี้เท่านั้น แต่การกระทำนี้ไหนเลยจะไม่ใช่กำลังเอาใจเขา โปรดปรานเขา
ยิ่งไปกว่านั้น…
“พูดถึง ‘เอาใจ’ ก็ประจวบเหมาะทีเดียว” เฟิ่งหมิงชุนร้อนรนเหลือหลายยกชาหอมถ้วยหนึ่งดื่มหมดรวดเดียว ก่อนถอนใจเฮือกใหญ่ “ให้ข้าว่า เหตุผลที่เกิดเรื่องกับผู้คุ้มกันเรือนจวนจงหย่งกงกลุ่มใหญ่นั้น เก้าสิบเก้าส่วนก็เป็นฝีมือของ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนนั้นเช่นกัน”
เหลียนตงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “ข้าได้ยินมาจากผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว ว่ากันว่าจงหย่งกงตู้เอ้าหราน ด้วยเพราะโศกเศร้าที่สูญเสียหลานหัวแก้วหัวแหวน ซ้ำร้ายคุณชายใหญ่ตู้ผู้นั้นยังตายอย่างอนาถถึงเพียงนั้น กระทั่งศีรษะก็ยังตามกลับมาไม่ได้ จึงทำให้จงหย่งกงนอกจากขอร้องไปถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ผู้ชรา ยังส่งเสริมให้ทหารในจวนกับผู้คุ้มกันเรือนก่อกวนทำร้ายราษฎรอย่างเหิมเกริม เพียงแค่เพื่อลากตัวคนร้ายออกมาให้ได้…แต่แล้วกำลังคนที่จวนจงหย่งกงส่งออกไปไม่จบชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดล้วนถูกฝ่ายตรงข้ามดักซุ่มโจมตี ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จวบจนวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดตอบได้”
เฟิ่งหมิงชุนชูนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา ยังคงมีใบหน้าวางอำนาจ “หามิได้ๆ ไม่ใช่คนที่จวนจงหย่งกงส่งออกไปทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ เป้าหมายที่ประสบเหตุร้ายต่างได้รับการคัดเลือกมาก่อน ข้าต้องเสียเวลาไม่น้อยเลยจึงจะสืบเงื่อนงำออกมาได้ พวกที่จบเห่ทั้งหลายล้วนเป็นคนที่บุกขึ้นหอซือเฟยคืนนั้น ทำร้ายจนชิวกวนเกือบจะต้องถูกหยามเหยียดทั้งสิ้น โดยเฉพาะครูฝึกหลี่ที่เป็นผู้นำคนนั้น ได้ยินว่าสภาพศพอเนจอนาถมาก ไม่เพียงหัวหลุดจากบ่า อวัยวะทั้งสี่ส่วนยังถูกตัดขาด ฝีมือหมดจดยิ่งนัก”
เหลียนตงเม้มปาก พูดแก้ไขให้ถูกต้อง “ได้ยินว่าไม่ใช่สี่ส่วน แต่เป็น…เป็นห้าส่วน…”
“หะ…ห้าส่วน? ส่วนที่ห้าของบุรุษ เช่นนั้น เช่นนั้นก็เป็นชิ้นเนื้อตรงหว่างขาแล้ว…” ชิ่นซย่าสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว สองขาที่นั่งขัดสมาธิหดเกร็งราวกับกลัวเจ็บ
“บรรพบุรุษหนอบรรพบุรุษคนดีของข้า เจ้าคงไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับเทพแห่งหายนะที่ใดกระมัง” ในฐานะเถ้าแก่สำนักชิงเยี่ยน หนทางหาเลี้ยงชีพของคนในสำนักตั้งแต่บนลงล่างล้วนแบกอยู่บนบ่าเขา เฟิ่งหมิงชุนใจเต้นไม่เป็นส่ำ อดร้องโหยหวนกับฉินชิวไม่ได้ ขาดก็แต่ไม่ได้โผเข้าไปกอดเขาแน่นพลางร่ำไห้
ฉินชิวรู้ตั้งแต่ต้น รู้ว่าหญิงสาวที่ยินยอมกำเริบเสิบสานไปกับเขา มอบความบริสุทธิ์ที่สุดแก่เขาทั้งหมดผู้นั้น เบื้องหลังทำอะไรลงไปบ้าง
แม่นางนักฆ่าของเขาในที่สุดก็เปิดเผยด้านโหดเหี้ยมออกมาอย่างปราศจากความกังวลใดๆ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น แค่เพราะอยากทวงคืนความยุติธรรมให้เขา
คืนนั้นผู้คุ้มกันเรือนจวนจงหย่งกงที่ไล่ล่านางบุกขึ้นหอซือเฟยเหล่านั้น นางที่สติพร่าเลือนกลับมีวิธีการจดจำพวกเขาแต่ละคนได้ จากนั้นก็รอคอยโอกาสอย่างเงียบเชียบ ลงมือเมื่อถึงจังหวะเหมาะสม นางไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว และบดขยี้คนเหล่านั้นอย่างถึงที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเขา
นางไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ทว่าได้ทำเพื่อเขาไปมากมาย
เขาได้รับการเอาอกเอาใจ โปรดปราน ทะนุถนอมจากแม่นางอย่างไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ วันเวลาเช่นนี้จะไม่ให้สุขใจได้อย่างไร
ทันใดนั้น เหลียนตงคล้ายฉุกคิดเรื่องอะไรได้จึงถอนใจขึ้นเบาๆ ทำเอาเฟิ่งหมิงชุนที่กำลังคร่ำครวญสะดุ้งเสียขวัญ
“เมื่อเอ่ยดังนี้ กลับทำให้ข้าคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องหนึ่ง” เหลียนตงเหยียดหลังตรงอยู่บ้าง แววตาเลื่อนไปทางฉินชิวที่กำลังยกถ้วยพินิจยอดอ่อนใบชา
“ตงกวนอย่าได้พูดยั่วให้อยากรู้เลย ตกลงคิดไปถึงอะไรกันแน่” เฟิ่งหมิงชุนกับชิ่นซย่าต่างกะพริบตาปริบๆ
เหลียนตงเอ่ยเนิบนาบ “หลายวันก่อนผิงจวิ้นอ๋องมาเยือนเรือนชั่งซือของข้า ขณะอุ่นสุราพูดคุยสัพเพเหระเคยเปิดเผยออกมาโดยไม่ระวัง ไห่หนิงโหวซื่อจื่อระยะนี้ร่างกายไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า ลอบเชิญหมอหลวงหลายคนมาตรวจอาการ ล้วนมองไม่ออกถึงต้นสายปลายเหตุ เพียงพูดว่าถูกพิษ ทว่าก็ค้นหาถึงต้นตอของปัญหาไม่พบ ด้วยเหตุนี้เบื้องหน้าจึงยังไม่รู้ว่าจะแก้พิษอย่างไรดี”
ชิ่นซย่าอุทาน “ไม่รู้จะแก้พิษอย่างไร?! ถะ…ถ้าอย่างนั้นไห่หนิงโหวซื่อจื่อไยมิใช่ต้องตายแน่แล้ว?”
เหลียนตงโบกมือเบาๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ “พิษชนิดนั้นยังไม่ถึงกับทำให้คนเสียชีวิต แต่พลังลมปราณเสียหาย ลมปราณโคจรติดขัด เล่าลือว่า…อีกหน่อยหากต้องการเสพสุขดั่งมัจฉาท่องวารี น่ากลัวจะมีใจสู้ทว่าร่างกายไปไม่ไหว”
“ดังนั้นก็คือ…ไม่ชูชัน!” เฟิ่งหมิงชุนเลิกคิ้วทั้งสองข้าง เสียงแผดสูงจนจวนจะแหบอยู่รอมร่อ
ได้ยินคำกล่าวของเหลียนตง เฟิ่งหมิงชุนพลันใช้สมองขบคิดรวดเร็ว กลับมาขึงตาใส่ฉินชิวที่แลคล้ายไม่เก็บทุกเรื่องราวมาใส่ใจใหม่อีกครั้ง นิ้วมือยาวที่ชี้ไปทางเขาสั่นระริก “ไห่หนิงโหวซื่อจื่อผู้นั้นชอบมาตอแยเจ้าเป็นที่สุด ทว่าเจ้ากลับไม่ชอบเขา ด้วยก่อนหน้านี้ผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้วออกหน้าช่วยเหลือ พวกเรามิอาจไม่รับน้ำใจนี้ ได้เพียงลำบากเจ้าต้อนรับไห่หนิงโหวซื่อจื่อเข้าหอซือเฟย รับรองฝ่ายตรงข้ามทั้งคืน…อย่าบอกนะว่าโรคไม่ชูชันของซื่อจื่อผู้นี้ ก็เป็นเทพแห่งหายนะผู้นั้นกระทำด้วยเช่นกัน”
ฉินชิววางถ้วยกลับตำแหน่งเดิม ท่าทางราวกำลังตรึกตรอง ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยตอบ “เขา…”
“ดี! ข้าตัดสินใจไม่ฟังไม่ถามไม่อยากรู้แล้ว ชิวกวนห้ามพูดสักคำเดียว…ไม่ ครึ่งคำก็ห้ามพูด!” เฟิ่งหมิงชุนพลันรู้สึกชอบกล โลกใบนี้บางทีก็เป็นเช่นนี้ รู้มากเกินไปมิเห็นว่าจะเป็นเรื่องดี
ฉินชิวเผยใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ คลี่ยิ้มจางๆ ประหนึ่งสัตว์เลี้ยงไม่มีพิษภัย…
“คนผู้นั้นหาใช่เทพแห่งหายนะอะไรไม่ เพียงแค่ดีกับข้าอย่างมาก”
ดวงอาทิตย์ฤดูร้อนเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้าเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไกลๆ ลงไป ลมที่พัดผ่านผืนป่าและทุ่งกว้างในที่สุดก็แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมา แฝงด้วยกลิ่นหอมของต้นหญ้าและพื้นดิน นอกเหนือจากนี้ก็คือกลิ่นยาเส้นระลอกแล้วระลอกเล่า
ชายชราร่างกายผอมแห้งนั่งหลังโก่งสูบยาเส้นอยู่ข้างทาง ลาแก่ตัวหนึ่งก้มหัวเคี้ยวอาหารที่พงหญ้า ฝีเท้าของอูลั่วซิงที่เร่งรุดมาถึงพลันหยุดชะงัก นางยืนปรับลมหายใจอยู่กับที่เล็กน้อย ก่อนจะค่อยเดินเนิบช้าเข้าไปใกล้ และนั่งลงข้างชายชรา
“เรื่องคุณหนูใหญ่สกุลเฉินในเมืองหวั่นเฉิงถูกลักพาตัวจัดการทันเวลา ส่งคนกลับไปยังสกุลเฉินเมืองหวั่นเฉิงเรียบร้อยแล้ว” นางเอ่ยเสียงทุ้มเรียบ ต่อให้ไม่ชอบควันสีขาวก้อนแล้วก้อนเล่าที่ชายชรากลืนเมฆคายหมอก พ่นออกมา ทว่าใบหน้าขาวอิ่มเอิบยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ชายชราเอากระบอกยาเส้นยาวไปเคาะบนก้อนหินเล็กด้านข้าง เคาะยาเส้นที่ไหม้หมดด้านในออกมา จากนั้นค่อยยกขึ้นจ่อริมฝีปากสูบอีกสองครา สุดท้ายจึงได้ถามอย่างเกียจคร้าน…
“เงียบเชียบ ไม่สร้างความแตกตื่นแก่ผู้ใดใช่หรือไม่”
“นอกจากคนสนิทข้างกายคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน คนอื่นไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
“โจรเด็ดบุปผาสองคนที่ลักพาตัวคนไปเล่า” ชายชราถามพลางบรรจุยาเส้นเข้าไปใหม่
อูลั่วซิงไม่แม้แต่ขยับเปลือกตา “จัดการเรียบร้อยทั้งหมด ไม่มีทางที่ผู้ใดจะพบเห็นพวกเขาอีก”
นั่นก็หมายความว่าเรือแล่นผ่านไปในน้ำไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งร่องรอยอย่างสิ้นเชิง เรื่องที่เกิดขึ้นเสมือนไม่เคยเกิดขึ้น คุณหนูใหญ่สกุลเฉินที่ถูกโจรเด็ดบุปผาลักพาตัวไปราวกับไม่เคยออกจากบ้าน ชื่อเสียงไม่ได้รับความเสียหาย
ริมฝีปากสีม่วงคล้ำอันแห้งเหี่ยวของชายชราหยักยกขึ้นน้อยๆ ราวกับพึงพอใจเป็นอย่างมาก ตามด้วยคาบกระบอกยาเส้นไว้ในปาก มือหนึ่งหยิบกลักไฟออกมาจุดยาเส้น ก่อนจะสูบยาเส้นอีกหน
อูลั่วซิงเอ่ยต่อ “เรื่องราวเสร็จสิ้น ข้ามารับค่าตอบแทนของข้า”
ไอสีขาวที่ทำให้คนสำลักน้ำหูน้ำตาเล็ดได้ปกคลุมรอบตัวนางอีกครั้ง นางยังคงนั่งเงียบๆ ท่าทางเก็บคิ้วหลุบตาเป็นความดื้อรั้นบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
ชายชราสูบไปถึงครั้งที่ห้าจึงค่อยผ่อนคลายลง ก็ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนอย่างไร เพียงดีดนิ้วดังกังวานครั้งเดียว ลาแก่ตัวนั้นก็ขยับเข้ามาอย่างเชื่องช้ายืดยาด
“โน่น ค่าตอบแทนที่เจ้าต้องการ” คางแหลมที่ช่วยเสริมส่งให้เขาแลดูเหี้ยมโหดพยักพเยิดไปบนหลังลา
อูลั่วซิงช้อนตาขึ้นมอง ก่อนจะก้าวขึ้นไปปลดสัมภาระขนาดยาวบนหลังลาลงมากอดไว้ในอก
“นี่…เป็นของที่ดีที่สุดแน่ๆ ใช่หรือไม่” น้ำเสียงสงบเรียบของนางกลับทอแววกระวนกระวาย
ชายชราเลิกคิ้วสีเทาพลางแค่นเสียงเฮอะคำหนึ่ง “ย่อมมิใช่ที่ดีที่สุด ควรรู้ว่าสรรพสิ่งบนโลกใบนี้มีมากมายสารพัด ของชั้นดีมีมากนัก ผู้ใดกล้าอ้างว่าของตนเองดีที่สุด แต่ข้าเหล่าเต้ารับรองได้ เป็นชิ้นที่ดีที่สุดในของที่ตกมาอยู่ในมือระยะนี้อย่างแน่นอน เจ้ายังจะเอาหรือไม่”
“…เอา” นางพยักหน้า สองแขนกอดสัมภาระขนาดยาวนั้นแน่นยิ่งขึ้น คล้ายกลัวว่าผู้ชราที่มีฉายาว่า ‘เหล่าเต้า’ ผู้มีวรยุทธ์ลึกล้ำมิอาจหยั่งตรงหน้าจะออกกระบวนมาแย่งกลับคืนไป
“ตัวไม่เอาไหน!” เหล่าเต้าบริภาษคำหนึ่ง เม้มปากยังไม่คลายโทสะและก่นด่าอีก “ทั้งที่เพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร ภาพวาดไม่เชี่ยวชาญเลยสักแขนง กลับไปเอาแบบอย่างผู้อื่นคิดวางท่าเป็นผู้มีปัญญารักอิสระอย่างนั้นรึ อาศัยความฉลาดปานนี้ของเจ้า สภาพเช่นนี้ของเจ้า เป็นไปได้หรือไรกัน จะเลียนอย่างได้เหมือนเรอะ ไม่รู้จักปัสสาวะชะโงกดูเงาตนเอง พิจารณาตนเองอย่างดีเสียบ้าง! หากเจ้าเลียนอย่างพวกปัญญาชนนักประพันธ์ที่เกี้ยวพาส่งเดชน่าเบื่อเหล่านั้นจริงๆ วันหน้าก็อย่ามาของานหาเงินที่ข้าอีก”
อูลั่วซิงไม่เชี่ยวชาญการแก้ต่างมาแต่ไหนแต่ไร ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าไม่ได้เอาอย่างใคร ของเหล่านี้เดิมก็มิได้เอาไปใช้เอง” นางหยุดไปเล็กน้อย “พิณอะไร หมากล้อมอะไร ข้าก็เรียนไม่ได้ ของดีเพียงนี้นำมาให้ข้า นั่นไม่ต่างกับทำลาย”
ไม่รู้ว่าในคำพูดนางประโยคใดไปยั่วโทสะนายหน้าคนเก่าแก่แห่งยุทธภพที่มองเห็นชีวิตผู้คนร้อยพันมาจนหมดสิ้นผู้นี้เข้า เห็นเพียงเหล่าเต้าขมับกระตุกอย่างแรง โบกกระบอกยาสูบแทบจะใช้มันเคาะมาทางนาง
“เช่นนั้นเจ้าว่ามา พูดให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เจ้ามาของานทำที่ข้า ที่แล้วมาเพียงช่วยหาเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแทนอาจารย์กับศิษย์น้องเจ้า ทุกเดือนรับงานหนึ่งถึงสองชิ้นก็พอให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว เจ้ากลับลอบรับงานเพิ่มเป็นสองเท่า ค่าตอบแทนที่เรียกร้องยังแปลกพิลึกพิลั่นยิ่งกว่า ไม่ต้องการทองทั้งยังไม่ต้องการเงิน จะต้องมาขอพวกกระดานหมาก ชุดชา เครื่องใช้เวลานอนและเครื่องเขียนอักษรที่ดีที่สุดต่างๆ นานาจากมือข้าให้ได้…เจ้าบอกว่าของเล่นเหล่านี้ไม่ได้ขอให้ตนเอง เช่นนั้นเจ้าขอไปให้ผู้อื่น หญิงสาวยินยอมพร้อมใจทุ่มเทมากมาย กระทั่งเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อหาของดีมา ทำไปทำมาจะทำเพื่ออะไรได้อีก เจ้าว่ามา ว่ามาให้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง เจ้าเอาของเล่นชั้นดีที่ได้มาไปเลี้ยงหนุ่มหน้าขาวหมดแล้วใช่หรือไม่”
เหล่าเต้าท่าทางเจ็บช้ำระกำใจ นึกแค้นใจที่มิอาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า ทำให้อูลั่วซิงตะลึงจังงังไปนานสองนาน
หลังจากรักษาแผลจากพิษ ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ ได้พอสมควร นางก็บอกลาอาจารย์กับศิษย์น้องอีกครั้ง ติดต่อกับเหล่าเต้านายหน้าในยุทธภพที่ไปมาหาสู่กันมานาน ที่เหล่าเต้านี้อย่างไรก็มีงานให้ทำ
ปกติธรรมดาล้วนเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่นางมีความสามารถพอจะแบกรับภาระด้วยตัวคนเดียว ก็จะเป็นนางที่รับงานหาเงินเลี้ยงดูอาจารย์และศิษย์น้อง
หากนางไปจากเรือนไผ่ ต้องเป็นเพราะมีข่าวของหญ้าหลิงจี้ หรือไม่ก็เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงไม่ยับยั้งการจากไปของนาง บางครั้งมีศิษย์น้องดึงตัวไว้ ร่ำร้องให้นางอยู่เป็นเพื่อน อาจารย์ก็จะออกหน้าช่วยปลอบขวัญแทนนาง
อาจารย์ไม่มีทางถามเรื่องอื่นอะไรกับนาง ตราบใดที่นางทำงานในหน้าที่เรียบร้อย ทุกอย่างล้วนปล่อยนางเป็นอิสระ
นางรู้สึกว่าการหาเงินเพื่อดำรงชีวิตนั้นหาใช่เรื่องยาก แต่ครั้งนี้นอกจากทำเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตแทนอาจารย์กับศิษย์น้อง รวมไปถึงใส่ใจข่าวคราวของหญ้าหลิงจี้ นาง…นางยังบังเกิดความคิดเห็นแก่ตัวเล็กๆ ขึ้นมา
“ข้าไม่ได้เลี้ยงหนุ่มหน้าขาว เขา…เขาก็ไม่ใช่หนุ่มหน้าขาว…” ครั้นแย้งประโยคนี้ออกไป อูลั่วซิงก็รู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง เพราะใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษที่ผุดขึ้นในสมองยามนี้ อันที่จริงนั้นขาวนุ่มเนียนละเอียดอย่างมาก ไม่เพียงขาว ในความขาวยังเจือสีแดงระเรื่อพร้อมกับริมฝีปากแดงและฟันขาว มองอย่างไรก็ล้วนเป็นหนุ่มหน้าขาวผู้หล่อเหลาสง่างามไม่มีผิด
เหล่าเต้าแค่นเสียงเฮอะพลางเอ่ย “เขาไม่ใช่หนุ่มหน้าขาว แต่นั่นก็มี ‘เขา’ เช่นนี้อยู่จริงๆ อย่างที่คิดไว้”
อูลั่วซิงลอบกลืนน้ำลายก่อนแย้งอีก “เพื่อปกป้องข้า ทรัพย์สินมีค่าทั้งเรือนของเขาแทบจะหมดสิ้น อย่างไรข้าก็ต้องคิดหาวิธีชดใช้เขาสักหน่อย…” ดังนั้นนางจึงปกปิดอาจารย์รับงานเพิ่มไม่น้อย แลกเปลี่ยนสิ่งของอย่างดีจำนวนมาก พูดว่า ‘ชดใช้’ แท้ที่จริงคืออยากทำให้บุรุษผู้นั้นเบิกบานใจ
ความมุ่งหวังน้อยนิดของนางนี้ นางไม่กล้าคิดถี่ถ้วนเกินไป คิดมากไป จะรู้สึกเพียงร้อนจนแทบจะมอดไหม้
เหล่าเต้าแค่นเสียงเฮอะสองครา “บุรุษไม่มีของดีสักครึ่ง เจ้าเด็กเลอะเลือนอย่าได้โดนหลอกไปขายแล้วยังช่วยเขานับเงิน!”
“ท่านผู้อาวุโสก็เป็นบุรุษ” น้ำเสียงนางดื้อรั้นขึ้นทันที
“ดังนั้นข้าก็ไม่ใช่ของดีอะไรเหมือนกัน!” ดวงตาเล็กของชายชราทอประกายเหี้ยม
อูลั่วซิงจนคำพูดอย่างที่สุด
ไม่มีอะไรจะพูดได้ ไม่มีอะไรโต้แย้งได้ นางก้มหน้าหลุบตาอีกครั้ง เปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนอย่างเก่า กระนั้นยังคงอำพรางรอยสีน้ำตาลแดงสองแถบบนพวงแก้มที่แผ่ขยายไปถึงกกหูนั้นไม่ได้
เหล่าเต้าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำเสียงเฮอะขึ้นจมูกสามครั้งราวกับหายใจไม่ออกปานนั้น “ไปเสียเถอะๆ กอดของเล่นที่เจ้าหามาได้ไปพบบุรุษเสีย ที่ของข้านี้ไม่มีงานใหม่แล้ว งานถูกเจ้ารับไปทำคนเดียวทั้งหมดแล้ว”
อูลั่วซิงรู้ว่าเหล่าเต้าพูดเท็จ ในมือผู้ชรามิใช่ไม่มีงาน เพียงแต่ไม่อยากให้นางเอาชีวิตเข้าแลกอีก
ในเมื่อหาของในอ้อมแขนชิ้นนี้มาได้ ก็สามารถพักผ่อนชั่วคราวได้จริงๆ นางจึงไม่พูดอะไรมาก เพียงอุ้มสัมภาระทรงยาวลุกขึ้น หันไปย่อกายทำความเคารพเหล่าเต้า ก่อนย่างเท้าหมายจะจากไป
“ช้าก่อน”
เหล่าเต้าเรียกนางไว้ พออูลั่วซิงเหลียวหลังมา ใบหน้าผอมซูบดำทะมึนของผู้ชราก็กลับไปฉายแววเอ้อระเหยไม่แยแสไยดีแล้ว
“ผู้อาวุโสมีอันใดชี้แนะ” นางถามเสียงเรียบทุ้ม
เหล่าเต้าคาบกระบอกยาเส้นที่ปาก กลืนเมฆคายหมอกอย่างเชื่องช้าอีกครา หลังพ่นควันอย่างหนักหน่วงก้อนแล้วก้อนเล่าจึงได้เอ่ยว่า “เห็นแก่ที่เจ้าไม่กลัวยาเส้นในปากข้านี้รมเข้า ฝืนพอนับได้ว่าเป็นสหายสูบยาเส้นของข้า จะเปิดเผยข่าวโดยไม่ต้องจ่ายให้เจ้าข่าวหนึ่ง”
“…ผู้เยาว์รับฟังอย่างตั้งใจ”
เหล่าเต้าไม่พูดยั่วให้อยากรู้ เอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า “วันก่อน สำนักเทียนกังที่เจียงเป่ยมีข่าวฉาวโฉ่ใหญ่ยิ่งแพร่งพรายออกมา เจ้าสำนักเทียนกังเหยียนจี้เหยี่ยสร้างอุบายวางยาสลบศิษย์พี่ใหญ่สำนักตนเองหลูหยวนอี้ จากนั้นยังออกฝ่ามือโจมตีศิษย์น้องรุ่นเยาว์ในสำนักตนเองจนสลบ กักขังทั้งสองคนแยกกันพร้อมกับทำการล่วงเกิน…”
อูลั่วซิงขมวดคิ้วทันใด บังเกิดความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็หรี่สองตาลงราวกับขบคิดกระจ่าง
เหล่าเต้าผงกศีรษะ “ใช่ ถูกต้อง คือการล่วงเกินอย่างที่เจ้าคิดประเภทนั้น เหยียนจี้เหยี่ยกลัวว่ายาสลบจะไม่อาจควบคุมศิษย์พี่ใหญ่หลูหยวนอี้ได้เป็นระยะเวลานาน กลับฉวยโอกาสยามคนสลบไสลตัดเส้นเอ็นมือและเท้า ทำลายวรยุทธ์ที่อีกฝ่ายฝึกฝน ส่วนศิษย์น้องรุ่นเยาว์ผู้นั้นจุดจบย่ำแย่ยิ่งกว่า ถูกเล่นสนุกจนตาย”
เหล่าเต้าสูดยาเส้นลึกๆ คำหนึ่ง ปรือเปลือกตาดั่งผ่อนคลายเหลือแสน อูลั่วซิงเพียงยืนเงียบเชียบ รอคอยเขากล่าวต่อนิ่งๆ
“อืม…เรื่องฉาวโฉ่นี้ที่ได้รับการเปิดโปงออกมา เป็นเพราะฮูหยินของเหยียนจี้เหยี่ยจั๋วซื่อ ค้นพบทั้งหมดนี้ นางไม่อาจอดทน ไม่ยินดีช่วยสามีปกปิดการกระทำชั่วร้าย จั๋วซื่อก็เกิดจากสำนักเทียนกังเช่นกัน มีสายสัมพันธ์ร่วมสำนักกับทั้งแซ่เหยียนและแซ่หลูสองคน ภายหลังยังแต่งเป็นภรรยาเหยียนจี้เหยี่ย ให้กำเนิดสองบุตรสองธิดาอีก เดิมนึกว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ กลับนึกไม่ถึงว่าสามีที่แต่งงานกับตนเองนานปีที่รักชอบอย่างแท้จริงกลับเป็นบุรุษเพศ” เขาฉีกมุมปาก คลี่ยิ้มเยาะหยัน…
“พูดเรื่องเหล่านี้หาใช่ประเด็นสำคัญไม่ เรื่องสำคัญในสำคัญก็คือเหยียนจี้เหยี่ยอ้างว่าตนเองถูกควบคุมจากแรงภายนอก มีคนบงการจิตใจเขา ชั่วขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ฝังความคิดต่ำทรามเหล่านั้นเข้าไปในสติสัมปชัญญะของเขา เป็นเหตุให้เขาคลุ้มคลั่งเสียสติเพียงนี้ กระทำเรื่องเหล่านั้นกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องรุ่นเยาว์ร่วมสำนักได้ลง แต่ไม่ว่าเขาจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ มีรูปลักษณ์เช่นไร”
หัวคิ้วของอูลั่วซิงขมวดเป็นปมแน่น มีความคิดบางอย่างวาบผ่านสมองไป
เหล่าเต้าไม่ได้เร่งรัดให้นางพูด ดื่มด่ำกับความเผ็ดปร่าแฝงอาการสำลักอันเฉพาะตัวของยาเส้นต่อ ครู่ใหญ่จึงค่อยเปล่งวาจา…
“นึกถึงอะไรขึ้นมาได้แล้วใช่หรือไม่”
อูลั่วซิงรับคำเสียงต่ำ เอ่ยอย่างลุ่มลึกว่า “ห้าหกปีก่อน เด็กหนุ่มเผ่าจันทราโลหิตคนหนึ่งเพื่อล้างแค้นแทนครอบครัว เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่ายธรรมะทั้งยุทธภพ คนของเผ่าจันทราโลหิตชำนาญการใช้วิชาเข้าฝันและวิชาสวมวิญญาณ เด็กหนุ่มเผ่าจันทราโลหิตคนนั้นยิ่งเป็นยอดอัจฉริยะในเผ่า ยามนั้นมีคนจำนวนมากจากทั้งพรรคและสำนักใหญ่ต่างๆ ถูกวิชานี้เข้า ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกควบคุม ถูกช่วงชิงจิตใจไป บาดเจ็บล้มตายหรือไม่เป็นเรื่องรอง กระนั้นกลับก่อให้เกิดข่าวเน่าเหม็นผิดหลักทำนองคลองธรรม ชวนให้คนเดียดฉันท์ไม่น้อย ส่วนหน้าตาที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นั้น คนที่ภายหลังตื่นขึ้นจากวิชาเข้าฝันหรือวิชาสวมวิญญาณ ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยายอย่างชัดเจน รู้เพียงอีกฝ่ายอายุน้อยยิ่งนัก”
เหล่าเต้าแสยะยิ้ม ส่วนลึกของนัยน์ตาทอแววใกล้เคียงกับการชื่นชม นี่นับว่าเป็นสีหน้าที่จริงแท้ไม่เสแสร้งที่สุดในวันนี้ที่เขาแสดงออกมาแล้ว
“ไม่ผิดๆ ก็คือเรื่องเช่นนั้นในปีนั้นกับเรื่องเช่นนี้ในวันนี้ สองเรื่องกลับคล้ายคลึงกันมากนัก เจ้าสำนักเหยียนแห่งสำนักเทียนกังโต้เถียงให้ตนเองเช่นนี้ ข้าเหล่าเต้ายังอดเชื่อวาจาเขาไม่ได้ เด็กน้อยเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
อูลั่วซิงนิ่งงันหลายอึดใจ ตอนที่เอ่ยปากอีก น้ำเสียงยังคงลุ่มลึก…
“หากใจไม่บริสุทธิ์ ความรู้สึกนึกคิดย่อมถูกช่วงชิงไปโดยง่ายเป็นธรรมดา ปีนั้นบุคคลสายธรรมะที่นับว่าเป็นผู้เสียหายเหล่านั้น ถ้าในใจพวกเขาไม่ขาดศีลธรรม ไม่โสมม ก็ไม่มีทางถูกแรงภายนอกควบคุมโดยง่ายปานนั้น เป็นพวกเขาที่ปลูกความคิดสกปรกผิดจรรยาเช่นนั้นลงไปก่อน ความคิดชั่วร้ายลอบแตกหน่อเบ่งบานอย่างลับๆ ในที่สุดจึงถูกคนจับจุดอ่อน กระทำเรื่องต่ำช้าทำลายหน้าตาของฝ่ายธรรมะทั้งหลายออกมา”
นางเม้มปากหยุดเอ่ยวาจาไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อว่า “บัดนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเทียนกังก็ไม่ต่างกัน เจ้าสำนักเหยียนผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรแม้แต่น้อย เบื้องหน้าแผนร้ายถูกเปิดโปง กระดาษห่อไฟไม่มิด กลับคิดอยากผลักภาระเสียสะอาดหมดจด…อ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ทว่ากระทำแต่พฤติกรรมชั่วช้าสามานย์ทั้งสิ้น ยังมีอะไรน่าพูดอีก”
เหล่าเต้ายิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้น ซ้ำยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอีก
อูลั่วซิงไม่มีวาจาจะกล่าวแล้ว นางอุ้มสัมภาระทรงยาวพลางค้อมศีรษะแสดงการขอบคุณในน้ำใจครั้งนี้อีกครา ก่อนหมุนตัวเตรียมจะเดินไปอีกครั้ง
ทว่าด้านหลังนางกลับมีเสียงดังแว่วมาอีก น้ำเสียงเหล่าเต้าในครั้งนี้ลึกล้ำขึ้นหลายส่วน
“พินิจคนข้างกายที่ได้พบพานอย่างละเอียด เรื่องที่เหยียนจี้เหยี่ยประสบหากเป็นความจริง นั่นแสดงว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คนเผ่าจันทราโลหิตจะปรากฏกายในยุทธภพจงหยวนอีกครั้ง มิอาจไม่ระวังใส่ใจ”
ครั้งนี้อูลั่วซิงมิได้กลับหลังหันไป เพียงยืนมั่นและเอ่ยตอบอย่างเคารพจริงจัง
“ผู้เยาว์ทราบแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่งที่ชี้แนะ”
ด้านหลังนางมีเสียงชายชราร้องเฮอะอย่างเย็นชาไล่หลังมาอีก “เอาเถอะ ไปเสียๆ ทางใดมีความอบอุ่นให้ร้องขอก็ไปทางนั้น ไสหัวไปให้ไกลสักหน่อย อย่ามาอยู่ขัดหูขัดตาข้าอีก”
แม้จะถูกด่า…ถูกขับไล่…ทว่าริมฝีปากรูปผลอิงเถาที่เย็นชาเสมอมาของหญิงสาวกลับอ่อนโยนลงอย่างไม่อาจหักห้าม
นางหยักมุมปากยิ้มอย่างเงียบงันและหัวเราะโดยไร้เสียง “อื้ม ขอท่านผู้อาวุโสรักษาตัวให้ดี ผู้เยาว์ขอตัว”
สิ้นเสียงกล่าว นางก็ก้าวเท้าเดิน ก่อนจะเหินทะยานจากไปไกล
ตอนที่อูลั่วซิงควบม้าเร็วเฆี่ยนแส้รุดถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลากลางดึก
ประตูเมืองทั้งสี่ปิดแล้วทั้งหมด นางผูกม้าไว้ในป่าชานเมือง ก่อนจะอุ้มค่าตอบแทนที่แลกมาได้จากเหล่าเต้าไว้ด้วยสองมืออีกครั้ง และสำแดงวิชาตัวเบาพลิกข้ามเข้าไปด้านในกำแพงเมือง
คดีของจวนจงหย่งกง นางผู้เป็นนักโทษสำคัญขนานแท้ แม้ยังไม่ถูกจับได้เสียที แต่เวลาผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว กำลังของการไล่ล่าค้นหาลดต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด มองไม่เห็นบรรยากาศการป้องกันอย่างเข้มงวด สถานการณ์คับขันอันตรายทั่วเมืองอีก
กลางรัตติกาลนางมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปยังทางใต้ของเมือง อ้อมเข้าไปในตรอกมืดซึ่งเป็นเส้นทางลัดอย่างม้าแก่รู้เส้นทาง เลี้ยวซ้ายขวาวกวนหลายครั้ง สุดท้ายก็หากำแพงสูงด้านหลังของสำนักชิงเยี่ยนพบ
นางสูดหายใจคราหนึ่ง เงาร่างสีดำก็พลันกลืนหายไปยังอีกฝั่งของกำแพงทันที
ตอนที่นางปีนขึ้นไปตรงหน้าหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งร้าวเล็กๆ ด้านนอกหอซือเฟย มือข้างหนึ่งของนางจับช่องว่างระหว่างซี่ไม้ของหน้าต่าง แขนข้างหนึ่งโอบอุ้มสัมภาระขนาดใหญ่ทรงยาว เท้าทั้งสองราวกับใช้วิชาจิ้งจกไต่กำแพงก็ไม่ปานเหยียบย่ำอย่างมั่นคงบนผิวขรุขระที่นูนขึ้นมาด้านนอกผนัง
ทันใดนั้น นางเกิดขลาดกลัวขึ้นมาเล็กๆ
นางอยากพบผู้เป็นเจ้าของหอแห่งนี้อย่างมาก ปรารถนาที่จะได้เห็นหน้าเขา ตลอดทางที่เร่งรุดกลับมา ในใจประหนึ่งแช่อยู่ในน้ำผึ้งเข้มข้นที่ชวนให้กระสับกระส่ายยากทานทนบางอย่าง แต่ยามนี้เมื่อนางอยู่ใกล้เขา ใกล้จนได้กลิ่นจันทน์หอมอันงดงามสุภาพเฉพาะตัวเขาเช่นนี้ นางกลับลังเล ขลาดกลัวขึ้นมาเมื่ออยู่ใกล้ผู้เป็นที่รัก…
สำนักชิงเยี่ยนที่ผ่านพ้นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ต่อให้คึกคักอึกทึกเพียงไร บทเพลงการร่ายรำสร้างความบันเทิงให้แขกก็ค่อยๆ สงบเงียบลง
ที่หอซือเฟยแห่งนี้ก็เช่นกัน
เขาน่าจะนอนหลับแล้ว บางที…บางทีคืนนี้ก็อาจรับแขกเข้ามาในหอ
หรือว่าเขาไม่อยู่ชั้นบน แต่คอยอยู่เป็นเพื่อนแขกสำคัญบางคนในห้องรับรองชั้นล่าง นางบุกเข้ามาเช่นนี้ เกรงจะสร้างปัญหาแก่เขา
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีนะ ควรจะทำอย่างไรจึงจะดี
หรือว่าจากไปก่อน…
อย่าสร้างความแตกตื่นแก่ผู้ใด มาอย่างไรก็จากไปเช่นนั้น เช่นนี้ถึงจะถูก ใช่หรือไม่ ใช่…ใช่กระมัง
ทันใดนั้น ด้านในหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งร้าวก็มีแสงไฟสีเหลืองทองสว่างขึ้น อูลั่วซิงยังคงตะลึงงัน หน้าต่างบานนั้นก็ถูกเปิดออก
“เจ้ามาแล้ว”
เขาถือเชิงเทียนสำริดสีเหลือง แสงอบอุ่นพาให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแยกออกเป็นส่วนมืดกับสว่าง ส่วนที่เกิดเป็นเงามืดรู้สึกลึกลับยากเข้าใจ ส่วนสว่างก็กลับเปิดเผยตรงไปตรงมา ขัดแย้งกันได้อย่างบีบคั้นหัวใจคน ขณะที่ดวงตายาวราวกับถูกโอบล้อมด้วยหมอกควัน ห่างไกลดุจห้วงฝัน ยามชายมองนาง พลันโค้งขึ้นคล้ายเป็นสะพานโค้งเล็กๆ อย่างยากควบคุม
“ข้ารู้สึกว่าต้องเป็นเจ้า ในที่สุดข้าก็รอจนเจ้ากลับมา”
อูลั่วซิงฟังถ้อยคำที่คล้ายกักเก็บความยินดีปรีดามากมายเอาไว้ของเขา ก่อนจะเห็นดวงตาเขาแวววาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแรงอยู่บ้าง นางที่อึ้งตะลึงยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทว่าในยามนั้นเองใต้เท้าพลันลื่นไถล…
“ระวัง!” ฉินชิวร้องตะโกนตกใจ เชิงเทียนในมือร่วงพื้น ชะโงกร่างออกไปกว่าค่อนหมายจะคว้าตัวนาง
ตอนที่ถูกเขาจับได้ อูลั่วซิงก็กลับมาทรงตัวมั่นคงใหม่ในชั่วอึดใจเดียวแล้ว
เวลานี้นางไม่ลังเลอีกต่อไป อาศัยแรงจากเขาปีนขึ้นด้านบน พลิกตัวเข้ามาในหน้าต่างอย่างหนักแน่น
แสงเทียนได้รับการจุดขึ้นใหม่อีกครา ยามนี้ดวงตาทั้งสี่สบประสาน ก้นบึ้งนัยน์ตาเขายังคงเจือรอยยิ้ม แลคล้ายว่าเห็นนางปรากฏตัวก็ยินดีปรีดาไม่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น นางพลอยเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาไปด้วย กายใจที่เดิมเครียดเกร็งต่างอ่อนยวบลงมาอย่างเงียบเชียบ
“ลั่วซิงจากไปหนนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่า ทำให้ข้ารออย่างขมขื่นยิ่ง”
ความคิดถึงอย่างตรงไปตรงมาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเขาอย่างเป็นธรรมชาติ อูลั่วซิงกกหูร้อนฉ่าทันใด นางขยับปากเล็กน้อยคล้ายต้องการตอบรับ ผลที่ได้กลับเป็นการยื่นห่อสัมภาระยาวที่โอบอยู่ในอ้อมแขนไปให้ตรงๆ
“นี่…อยากมอบให้ท่าน” น้ำเสียงของนางดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ฉินชิวยื่นมือไปรับ ถอนใจพลางเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าทยอยมอบของกำนัลให้ข้ามากมายนัก ครั้งนี้นำอะไรมาอีก…” เขาวางห่อสัมภาระยาวลงบนโต๊ะก่อนถือโอกาสเปิดออก เสียงของเขาลดต่ำลงทันใด ด้านในสัมภาระถึงกับเป็นพิณเจ็ดสายคันหนึ่ง
ตัวพิณที่ทำจากไม้ดำขลับแวววาว สองฝั่งของส่วนเว้าตรงเอวและคอพิณต่างทำเป็นรูปโค้งเข้าไปเหมือนจันทร์เสี้ยวต่อกันสามดวงอย่างวิจิตรประณีต สายพิณทั้งเจ็ดสร้างขึ้นจากวิธีมัดรวมเส้นไหมเข้าด้วยกัน ดีต่อเสียงสะท้อนกังวาน…พิณโบราณแบบเหลียนจู ชั้นเลิศคันหนึ่ง
ฉินชิวที่เพิ่งจะแบมือออกประทับมือลงนาบแผ่วเบา เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเนื้อไม้กับความเหนียวและอ่อนโยนของสายพิณ
พอเห็นบุรุษตรงหน้าเก็บงำเรียวคิ้วดวงตาน้อยๆ เผยรอยยิ้มอย่างครุ่นคิดจางๆ อูลั่วซิงไม่เพียงใบหูแดงก่ำ พวงแก้มยังแดงเถือกลามไปทั้งหน้า แต่ถึงอย่างนั้นในใจนางก็เป็นสุข ด้วยเพราะมองออกว่าเขาก็สุขใจเช่นกัน
ในที่สุด ฉินชิวก็ช้อนตาขึ้นมองไปที่นางอีกครั้ง “ลั่วซิงดีต่อข้าเช่นนี้ จะให้ข้าตอบแทนอย่างไรจึงจะดีเล่า” เจือแววยั่วเย้าอยู่บ้าง ทั้งยังราวกับคิดไม่ตกยิ่งนัก
นางเบิกดวงตารูปเมล็ดซิ่งกว้างยิ่ง สั่นศีรษะรัวอย่างสัตย์ซื่อ “ไม่ต้อง…ไม่…ไม่ใช่เพราะต้องการให้ท่านตอบแทน ไม่มี พิณสองสามคันที่ชิวกวนรักดั่งของล้ำค่าถูกทำลายเสียหาย ในใจย่อมตัดใจไม่ได้ยิ่งยวด ประจวบเหมาะข้ามีช่องทางอยู่บ้าง ทั้งไม่ได้…ไม่ได้สิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากนัก ดังนั้นเพียงแค่…แค่ข้าเองอยากให้ อยากมอบของให้ท่าน แค่นี้เท่านั้น”
“ลั่วซิงเองอยากมอบให้ อยากมอบสิ่งของแก่ข้า เช่นนี้เคยคิดอยากกอดข้า จูบข้าบ้างหรือไม่”
“หา?” นางกะพริบสองตา นิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้น
เขาก้าวเท้ามาใกล้นาง นิ้วมือยาวที่เพิ่งลูบพิณเจ็ดสายประทับลงบนแก้มนาง เอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำอีกครา “เคยคิดหรือไม่”
ความรู้สึกมึนงงพร่าเลือนอันคุ้นเคยจู่โจมมาอีกครั้ง น้ำเสียง กลิ่นอาย ความร้อนของร่างกาย และสัมผัสของบุรุษตรงหน้าสายตากลายเป็นแรงดึงดูดมหึมาในพริบตา อูลั่วซิงต้องมนตร์เสน่ห์จนสองขาอ่อนยวบแทบยืนไม่ไหว
“อื้อ…” นางพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ ความคิดผุดขึ้นในสมองไม่ขาดสาย ฉากเหล่านั้นล้วนเป็นภาพพวกเขาสองคนแนบชิดกอดกระหวัด ร่วมสุขสมดั่งมัจฉาเริงวารี ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งรู้สึกกระดากอาย ต่อให้ยอมรับว่านางหลงใหลเขา นางกลับยังคงเบือนหน้าฝืนเบนสายตาออกไปจากร่างเขา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเรียวคิ้วของบุรุษพลันขมวดมุ่นขึ้นมา
“ในเมื่อเคยคิด ทั้งคนก็มาแล้ว เหตุใดลั่วซิงจึงไม่กระทำตามที่ใจคิดเล่า” นอกจากใช้มือข้างหนึ่งประคองดวงหน้าของนาง เขายังโน้มใบหน้าตนเองเข้าใกล้ ใกล้จนปลายจมูกทั้งสองคนแตะกัน
เพื่อต่อต้านการยั่วเย้าด้วยรูปโฉมงามทัดเทียมฟ้านี้ นางข่มกลั้นจนหน้าอกปวดแปลบ แต่นางไม่ใช่…ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด…
“ข้าไม่ใช่ทำเพราะอยากจูบท่าน กอดท่าน ถึงได้ค้นหาของเหล่านี้มามอบให้ท่าน” นางอดทนอดกลั้นเสียจนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึม มือสองข้างกำเป็นหมัดแน่นจนข้อนิ้วแต่ละข้อขาวไร้สีเลือด “ข้าเนื่องเพราะ…เพราะ…ชอบ…ท่านฟังชัดเจนแล้วหรือไม่”
ฉินชิวเงยหน้าฉับพลัน ใบหน้าทั้งสองผละออกห่างจากกันช่วงระยะหนึ่ง
นางถูกดวงตาทั้งสองที่ซุกซ่อนความนัยจับจ้องจนหน้าแดงเถือก ด้วยไม่ต้องการให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม รู้สึกว่านี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนแบบส่งแขกรับแขกฉากหนึ่ง นางจึงกล่าวความในใจอันขวยเขินออกไปจนหมดเปลือก
เขามิได้ตอบคำและไม่พยายามหยอกเย้าอีก เพียงเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาด้วยการดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วประทับจูบอย่างลึกซึ้ง
เรียวลิ้นที่สัมผัสและริมฝีปากที่ประสานจุมพิตกระตุ้นให้บังเกิดความร้อนแรงขึ้นในหัวใจคนทั้งคู่
อูลั่วซิงรู้สึกเพียงหัวใจเต้นหนักหน่วงและรัวเร็วขึ้นในชั่วพริบตา เต้นระรัวจนกระดูกนางเองเจ็บปวด ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดจากบุรุษผู้นี้กำลังแผ่ขยายอย่างเหิมเกริมยิ่งนัก
หน้าอกของเขาก็เต้นตึกตักไม่หยุดเช่นกัน ขวางกั้นด้วยเลือดเนื้อร้อนระอุสั่นสะเทือนดวงใจของนาง กลิ่นกายเขาอาบย้อมด้วยกลิ่นจันทน์หอม กลิ่นจันทน์หอมนั้นราวกับกระชากวิญญาณคนได้ หยอกเย้าจิตวิญญาณของนางจนแทบจะหลุดออกจากร่าง
กระทั่งเขาเบือนหน้าไปงับติ่งหูนาง ปลายลิ้นม้วนวนในใบหูนางราวกำลังลิ้มชิมของหวาน นางสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย แผ่นหลังร้อนชา สติเลือนรางสั่นระริกจนจวนเจียนจะไม่เหลือ กระนั้นกลับเป็นนางที่ดึงรั้งสติสองสามเส้นสุดท้ายอย่างดื้อรั้น…
“ช้าก่อน…รอก่อน ไม่ได้…”
เขาไม่สนใจการดิ้นรนของนางแม้แต่น้อย จุมพิตยิ่งเกี่ยวกระหวัดรัดรึง พาให้นางมิอาจไม่ออกแรงมากขึ้น
“ไม่ได้…”
หากต้องการลงมือสะบัดเขาให้หลุดออกไปจริงๆ แน่นอนว่านางสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
นางจึงผลักเขาที่จุมพิตดูดดื่มไม่เลิกราออก ใช้แรงที่ไม่ทำให้เขาบาดเจ็บรักษาระยะห่างหนึ่งช่วงแขนกับเขา
“ลั่วซิงบอกว่าชอบไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ชอบอีกแล้วเล่า” แม้จะถูกผลักออก มือข้างหนึ่งของเขายังคงจับข้อมือนาง แววตาดั่งคลื่นโหมซัด น้ำเสียงคาดคั้นแฝงปนด้วยความเศร้าคับแค้นอันเข้มข้น
อูลั่วซิงยากจะรับมืออย่างแท้จริง นางอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ใช่ไม่ชอบ คือ…คือว่าชอบจนไม่รู้จะชอบอย่างไรได้อีก แต่ขะ…ข้ารีบเร่งรุดมาตลอดทาง ร่อนเร่พเนจรทั่วตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อ ทำให้กลิ่นเหม็นเพียงนี้ สกปรกเพียงนี้ ท่านยัง…เลียอยู่ตลอดอีก ทะ…ท่านอย่าเลียข้าสิ…”
“ข้าไม่ใส่ใจ” เขากล่าวพลางคิดจะเข้าใกล้นางอีกครั้ง ก่อนจะโดนนางกันออกไปอย่างเด็ดขาด
อูลั่วซิงเอ่ย “แต่ข้าใส่ใจ ชิวกวนสะอาดเพียงนั้นทั้งยังหอมเพียงนั้น งดงามเพียงนั้นทั้งยังดีงามเพียงนั้น ข้าที่เป็นเช่นนี้อยู่ตรงหน้าท่านแล้วรู้สึกละอายใจที่เทียบท่านไม่ได้” นางเม้มปาก ยิ้มน้อยๆ อย่างขวยอาย “ข้าไม่ต้องการให้ชิวกวนได้รับความลำบาก ท่านอยู่อย่างดี ข้าก็มีความสุข…ในเมื่อส่งพิณโบราณเจ็ดสายถึงมือท่านแล้วก็ควรจากไป ครั้งหน้า…อืม…ครั้งหน้าข้าค่อยมาหาท่านด้วยตัวสะอาดสะอ้านอีกรอบ”
นางสะบัดหลุดจากมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติ หมุนตัวคิดจะจากไป ทว่าผลสรุปคือคนยังไม่ทันกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็จู่โจมจากด้านหลังกะทันหัน ทั้งยังรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อและพลันกอดเอวนางไว้
“ลั่วซิงกว่าจะมาได้หนหนึ่งก็ยากเย็น เจ้าใจเหี้ยมจากไป ทิ้งข้าข้ามผ่านราตรีอันยาวนานเชื่องช้านี้เพียงลำพังอีก อยากลองถามว่าเจ้าหักใจได้จริงๆ หรือไร”
แน่นอนว่าแท้ที่จริงข้าย่อมหักใจไม่ได้…
อูลั่วซิงถอนใจแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายอดผ่อนคลายลงไม่ได้
แต่ก่อนนางกบดานในเมืองหลวง แม้จะรับงานจากมือของเหล่าเต้าโดยพลการ นางก็ไม่มีทางออกมานานเกินไป มากสุดสี่ห้าวันก็สามารถจบงานได้ และนำค่าตอบแทนติดตัวหวนกลับมา
ครั้งนี้เพื่อตามล่าจอมโจรเด็ดบุปผาที่ก่อความวุ่นวายในเมืองหวั่นเฉิง เพื่อแลกเปลี่ยนพิณเจ็ดสายแบบเหลียนจูคันนั้น นางใช้เวลาไปมากโข ถึงได้แยกจากฉินชิวและไม่ได้เจอหน้ากันครึ่งค่อนเดือน
ตอนนี้ตกลงสู่อ้อมแขนของเขาอีกครั้ง แขนเสื้อกว้างสองข้างของเขาสอดประสานอย่างแน่นหนาบนท้องน้อยของนาง ทำให้แผ่นหลังนางแนบชิดติดเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นางคล้ายถอนใจเสียงต่ำออกมา หัวเข่าสองข้างยิ่งต้านทานไม่ไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
นางกลัดกลุ้ม อ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา กลับถูกเขาหมุนร่างไปหากะทันหัน
เขาโอบเอวนาง กุมมือนาง ดวงตางดงามประดุจมีสะเก็ดไฟร่วงหล่น สีขาวและดำในดวงตาตัดกันชัดท่ามกลางความลึกล้ำ
“ไยจึงต้องรอครั้งหน้า ในเมื่อลั่วซิงใส่ใจเพียงนี้ คืนนี้ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้ทั้งสะอาดสะอ้าน หอมกรุ่นและ…น่าอร่อย”
อูลั่วซิงแม้แต่โอกาสที่จะร้องอุทานตกใจหรือไต่ถามด้วยความสงสัยสักคำยังไม่มี นางที่อึ้งงันก็ถูกบุรุษผู้นี้กึ่งผลักกึ่งจูงพาเดินไปแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.