X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่หนึ่ง

ค่ำคืนนี้ไร้จันทร์ ทว่ามีหมู่ดาวพราวพร่าง ธารดาราที่แขวนตัวสูงลิ่วอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มนั้นกำลังทอรัศมีวูบไหว

กล่าวกันว่าบนท้องฟ้าที่ลึกล้ำไร้ขอบเขตและดารดาษไปด้วยดวงดาวนี้มีความลี้ลับซุกซ่อนอยู่ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงแต่โชคชะตาของทุกผู้คนที่ล้วนสอดคล้องกับดวงดาวเหนือผืนฟ้าอันไกลโพ้น กระทั่งความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของใต้หล้าก็ยังเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์บนฟ้าและการโคจรของดวงดาวเหล่านี้

นับแต่โบราณมา บน ‘ดินแดนพันเมฆา’ ก็มีปราชญ์ผู้หยั่งรู้นับไม่ถ้วนที่อาศัยปรากฏการณ์ของดวงดาวมาลอบสืบอนาคตทำนายลิขิตฟ้า โดย ‘ตำหนักลิขิตฟ้า’ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อเดียวกันทางทิศตะวันตกของดินแดนนี้ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์สูงสุดแห่งการพยากรณ์

ในสายตาของผู้คนทั่วหล้า ผู้ที่จะเข้าสู่ตำหนักลิขิตฟ้าได้ล้วนแต่เป็นบุคคลระดับตำนานผู้ไม่หยุดแสวงหาความรู้ เปี่ยมด้วยวิชาความสามารถ และลุ่มลึกจนสุดหยั่ง

ทว่าตอนนี้ในตำหนักลิขิตฟ้ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ด้านนอกมีเพียงหนุ่มน้อยในชุดผ้าดิ้นแขนกว้างสีม่วงผู้หนึ่ง กำลังยืนแหงนมองผืนฟ้าประดับดาวอยู่ที่ใต้ชายคากระเบื้องเคลือบปลายงอน เส้นผมสีดำสนิทดุจย้อมด้วยน้ำหมึกของเขาทิ้งตัวเหยียดยาวจนถึงใต้หัวเข่า เส้นผมกับแขนเสื้อล้วนปลิวไสวล้อสายลมราตรี ดูคล้ายกำลังจะขี่สายลมเหินคืนสู่แดนสวรรค์ในพริบตาถัดไป

แม้ไม่อาจยลโฉมของหนุ่มน้อยชุดม่วง ทว่าในค่ำคืนอันงดงามดั่งภาพฝันเช่นนี้ แค่เงาหลังอันชวนหวั่นไหวของเขาก็เพียงพอจะทำให้ผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มไปทั้งจิตและวิญญาณแล้ว

เด็กสาวหน้าแฉล้มในชุดแพรบางสองคนต่างเดินอย่างระมัดระวังมาจนถึงด้านหลังของหนุ่มน้อยชุดม่วง ก่อนจะโค้งคำนับเขาอย่างลึกซึ้งจริงใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเจิ้งมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

หนุ่มน้อยชุดม่วงถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ “ผู้ที่พึงมาจะอย่างไรก็ต้องมา เชิญเขาเข้ามาเถอะ”

“เจ้าค่ะ” เด็กสาวชุดแพรขานรับโดยพร้อมเพรียงแล้วถอยจากไป ไม่ช้าคุณชายเจิ้งผู้นั้นก็มาปรากฏตัวที่ใต้ชายคากระเบื้องเคลือบปลายงอนแห่งนี้

คุณชายเจิ้งสวมชุดยาวสีดำทั้งร่าง ฝีก้าวที่มั่นคงและเงียบเชียบนั้นยิ่งทำให้เขาเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล ต่อเมื่อเดินเนิบช้ามาถึงด้านหลังของหนุ่มน้อยชุดม่วงในระยะราวสามฉื่อแล้ว คุณชายเจิ้งจึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบลงในที่สุด “ที่เจ้ารีบร้อนเรียกข้ามา ก็เพื่อจะให้ข้ามองดูเงาหลังของเจ้าเช่นนี้น่ะหรือ”

“ดาวเกลื่อนฟ้าช่างงดงามยิ่ง ข้าย่อมต้องเชิญสหายผู้รู้ใจมาร่วมชมด้วยกันสิ บางทีพวกเราอาจเหลือโอกาสที่จะร่วมดื่มด่ำกับค่ำคืนที่ดีงามเช่นนี้อีกไม่มากนัก…เพราะวันที่หมู่ดาวจะร่วงหล่น ฟ้าดินจะโกลาหลนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว” สุ้มเสียงของหนุ่มน้อยชุดม่วงแผ่วรางล่องลอย คล้ายถ่ายทอดมาจากชั้นฟ้าอันแสนไกล

“เจ้าแน่ใจเพียงนี้เชียวว่าวันสิ้นพิภพที่พูดกันกำลังจะมาถึงแล้ว” น้ำเสียงของคุณชายเจิ้งเจือความแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้

“ข้าก็หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ว่า…หลายพันปีที่ผ่านมาวิชาทำนายของตระกูลเทวพยากรณ์ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน” น้ำเสียงของหนุ่มน้อยชุดม่วงเผยอารมณ์กลัดกลุ้มปนสลดใจอย่างเข้มข้น

หนุ่มน้อยชุดม่วงผู้นี้แซ่ปู่ มีนามว่าเฉินอวี่ เขาก็คือทายาทรุ่นที่สามสิบหกของตระกูลเทวพยากรณ์ ความสามารถในการทำนายลิขิตฟ้าของตระกูลเทวพยากรณ์สกุลปู่นั้นเลื่องลือทั่วหล้ามานานหลายพันปีแล้ว พวกเขาในสายตาของผู้คนทั้งแผ่นดินจึงไม่ต่างจากเทพเซียนผู้หยั่งรู้ทั้งอดีตและอนาคต

คุณชายเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้าเลียนอย่างท่าทางของปู่เฉินอวี่ ทว่ามองอยู่พักใหญ่ก็ยังคงไม่เห็นสิ่งใดจากดวงดาว

ปู่เฉินอวี่หัวเราะเบาๆ ก่อนหันหน้ากลับมาช้าๆ “สกุลเจิ้งของเจ้าเป็นตระกูลนักปกครอง ทักษะวิชาที่เราสองร่ำเรียนมาเป็นคนละแขนงกัน อาอี้ ต่อให้เจ้ามองดูอีกหนึ่งปีก็มองเค้าเงื่อนไม่ออกหรอก แล้วเจ้าจะฝืนไปเพื่ออะไร”

แสงโคมวับแวมที่ลอดออกมาจากในตัวตำหนักสาดฉายลงบนดวงหน้าของปู่เฉินอวี่ เผยให้เห็นนัยน์ตาหงส์กับจมูกที่ชวนมองดุจหยกสลัก ทั้งผิวพรรณภายใต้แสงดาวก็ผ่องกระจ่างราวหยกขาวมันแพะที่เนียนใส แม้จะดูงามประณีต ทว่าเขากลับไม่มีกลิ่นอายเช่นสตรีเจือปนอยู่แม้แต่น้อย รูปโฉมราศีปานเซียนบนโลกมนุษย์เช่นนี้ช่างชวนให้ผู้อื่นริษยา

ทว่าเจิ้งเฮ่าอี้ยังคงเอ่ยแย้ง โดยที่รูปโฉมดุจเซียนวิเศษของอีกฝ่ายไม่ได้มีผลใดๆ ต่อเขาสักนิด “ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าวันสิ้นพิภพกำลังจะมาถึง ก็จงรีบๆ ไปทำความปรารถนาที่ยังไม่ลุล่วงให้สำเร็จเสีย เจ้าจะลากข้ามาที่ตำหนักลิขิตฟ้าเพื่อพูดพล่ามให้ได้อะไร” ความนัยของคำพูดนี้คือเขาไม่ได้เห็นถ้อยคำของปู่เฉินอวี่เป็นเรื่องสลักสำคัญเลย

ปู่เฉินอวี่ส่ายหน้าถอนใจเบาๆ ท่าทางคล้ายล่วงรู้อยู่ก่อนว่าเจิ้งเฮ่าอี้จะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ “วันสิ้นพิภพก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดพลิกผันเสียทีเดียว หากยามเที่ยงของวันพรุ่งเจ้าออกเดินทางจากตำหนักลิขิตฟ้าไปทางตะวันตกหนึ่งพันสามร้อยหลี่เนื้อคู่ตามดวงชะตาของเจ้าก็จะปรากฏตัว นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะ…”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค ปู่เฉินอวี่ก็สะท้านไปทั้งร่าง สีหน้ายิ่งซีดขาว ริมฝีปากที่สิ้นสีเลือดค่อยๆ ผุดโลหิตสดๆ สายหนึ่งเอ่อท้นออกมา

“เจ้าเป็นอะไรไป” ในที่สุดสีหน้าของเจิ้งเฮ่าอี้ก็อ่อนลง

ปู่เฉินอวี่ฝืนยิ้มเฝื่อน “ลอบดูลิขิตฟ้าย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน ข้าสูญเสียอายุขัยไปร้อยปีก็ยังเห็นเบาะแสมาแค่นี้เท่านั้น เรื่องต่อจากนี้ก็ได้แต่ฝากเจ้าแล้ว ยามเที่ยงของวันพรุ่งเจ้าต้องออกเดินทางจากตำหนักลิขิตฟ้าไปทางตะวันตกหนึ่งพันสามร้อยหลี่ จงจำไว้ให้ดีเล่า จำไว้ให้ดี!”

คำพูดหลายประโยคนี้คล้ายได้สูบเอาเรี่ยวแรงทั่วร่างของปู่เฉินอวี่ไปจนสิ้น เขายกมือยึดจับเสาตำหนักไว้ก่อนที่ร่างจะโงนเงนทรุดนั่งลงกับพื้น หางตาของเขาถึงกับเริ่มมีเลือดซึมออกมาแล้ว ทั้งร่างแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายแห่งความทรุดโทรมอันเข้มข้น ดุจกล้วยไม้ล้ำค่าที่บานสะพรั่งจนถึงขีดสุดแล้วเหี่ยวเฉาโรยรากระนั้น

เจิ้งเฮ่าอี้เพ่งมองสหายอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่ได้ยื่นมือไปช่วยพยุง เพียงเอ่ยเสียงหนักว่า “ก็ได้ ข้าจำเอาไว้แล้ว”

เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะย่างเท้าจากไป ทว่าดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับไปพูดกับปู่เฉินอวี่ “ที่จริงหากอยากให้ข้าทำตามคำเจ้า แค่พูดมาตรงๆ ก็พอแล้ว จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเลือดไก่ตั้งมากเช่นนี้ด้วยหรือ”

เลือดไก่?!

ปู่เฉินอวี่ที่นั่งลมหายใจรวยรินอยู่พลันเงยหน้าขวับ ก่อนจะโพล่งถามอย่างไม่กล้าเชื่อหูตนเอง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าใช้เลือดไก่!”

นัยน์ตาหงส์คู่งามของเขาเบิกโตจนแทบจะกลายเป็นดวงตาโค สีหน้าตื่นตระหนกนั้นยังเหลืออาการร่อแร่ปางตายที่ไหนกัน

เจิ้งเฮ่าอี้นวดขมับก่อนตอบ “เมื่อครั้งแรกเจ้าใช้น้ำผลไม้ แต่สีสันอ่อนเกินไป ครั้งที่สองเจ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำละลายผงชาด แต่ความข้นก็ไม่เหมือน ครั้งก่อนเจ้าจึงเลือกใช้น้ำเชื่อม แต่กลิ่นหวานของมันก็รุนแรงไปอีก ครั้งนี้ข้าเห็นเจ้าเตรียมการอยู่นาน คงต้องใช้เลือดของจริงแล้วแน่ๆ เวลาส่วนใหญ่ที่ตำหนักลิขิตฟ้าล้วนต้องกินเจ บางช่วงเวลาที่ออกเจก็ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตพร่ำเพรื่อเด็ดขาด บังเอิญระหว่างที่เดินมาข้าได้ยินว่าคนของโรงครัวเพิ่งจะส่งน้ำแกงไก่ที่ตุ๋นเสร็จหยกๆ มาให้เจ้า ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจะเลือกใช้คราวนี้นอกจากเลือดไก่ยังจะเป็นเลือดอะไรไปได้อีก หรือว่าหน้าอย่างเจ้าจะตัดใจยอมเสียเลือดตัวเองได้?”

ปู่เฉินอวี่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จึงตัดพ้อด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจยิ่ง “เจ้าจะทำเป็นถูกข้าหลอกสำเร็จไม่ได้เลยเชียวหรือ”

“เจ้าปลอมชัดเกินไปเอง! ตอนนี้พลังวัตรของเจ้ายังไม่ถึงขั้นชำระไขกระดูกเปลี่ยนเส้นลมปราณเลยด้วยซ้ำ นับเต็มที่อย่างมากเจ้าก็มีอายุขัยเหลืออยู่แปดสิบปี แล้วจะเอาร้อยปีจากไหนมาให้ถลุงใช้ ขืนยอมให้คำโกหกชั้นเลวเช่นนี้หลอกเอาได้ก็ลบหลู่สติปัญญาของข้ามากไปแล้ว” เจิ้งเฮ่าอี้ส่ายหน้าประท้วง

พลังวัตรของผู้ฝึกวิชายุทธ์บนดินแดนพันเมฆาแห่งนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดขั้น ไล่เรียงจากต่ำไปหาสูงคือขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก ขั้นชำระไขกระดูก ขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณ ขั้นเหนือสามัญ ขั้นพ้นโลกิยะ และขั้นทรงฤทธา ก่อนที่จะทะลวงสู่ขั้นเหนือสามัญได้สำเร็จ อายุขัยจะยังคงไม่ต่างจากคนทั่วไป กล่าวคืออย่างมากก็แค่เพียงร้อยปีโดยประมาณ

อายุขัยของผู้ฝึกวิชาขั้นเหนือสามัญคือราวสองร้อยปี เมื่อเลื่อนถึงขั้นพ้นโลกิยะก็คือห้าร้อยปี หากถึงขั้นทรงฤทธาอายุขัยก็จะยิ่งยืนยาวไปถึงพันปีเลยทีเดียว! เรียกว่าเป็นเซียนในร่างมนุษย์ก็ไม่เกินเลย

“ยังมีผมปลอมของเจ้าอีก” เจิ้งเฮ่าอี้เหมือนจะยังทิ่มแทงใจสหายไม่สาแก่ใจพอ เขาจึงชี้มือไปยังเส้นผมที่ยาวจนชวนตะลึงและสยายปรกอยู่บนพื้นของปู่เฉินอวี่พลางเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้เดือนเศษเส้นผมของเจ้าเพิ่งจะยาวถึงบ่า อาศัยพลังวัตรผนวกกับพรสวรรค์ของเจ้า หากตอนนี้เส้นผมยาวถึงหลังก็เรียกว่าฝืนกฎธรรมชาติแล้ว”

ความยาวของเส้นผมคือเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญอย่างหนึ่งของขั้นพลังวัตรและพรสวรรค์ของผู้ฝึกวิชารุ่นหนุ่มสาวบนดินแดนพันเมฆา ก่อนอายุยี่สิบปีหากมีพลังวัตรยิ่งสูงหรือพรสวรรค์ยิ่งดี เส้นผมก็จะยิ่งยาวตามไปด้วย ผู้ที่มีเส้นผมยาวเลยเอวตั้งแต่วัยหนุ่มสาวล้วนกลายมาเป็นสุดยอดฝีมือนามกระเดื่องบนดินแดนนี้ทั้งสิ้น

หากผมปลอมที่ยาวเลยหัวเข่าของปู่เฉินอวี่นั้นเป็นของจริง อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นสุดยอดฝีมือขั้นพ้นโลกิยะแล้ว

เจิ้งเฮ่าอี้ต่อว่ายกใหญ่จนปู่เฉินอวี่ที่นั่งอยู่กับพื้นเสียหน้าจนหัวเสีย ดังนั้นปู่เฉินอวี่จึงกระโจนร่างขึ้นดุจพยัคฆ์ร้ายไปขยุ้มสาบเสื้อของเจิ้งเฮ่าอี้ แล้วตวาดเสียงดุดันโดยไม่มัวเสแสร้งเป็นเทพเซียนในหมู่มนุษย์อะไรอีก “ตกลงจะไปหรือไม่ไป ว่ามาคำเดียว!”

เจิ้งเฮ่าอี้คลี่ยิ้มน้อยๆ “ไปสิ! เจ้าสู้อุตส่าห์เล่นละครฉากใหญ่เช่นนี้ ก็เพื่อจะหลอกให้ข้าไปพบเนื้อคู่ตามดวงชะตาอะไรนั่น หากข้าไม่ไปก็ไม่ไว้หน้าเจ้าเกินไปแล้ว”

“นับว่าเจ้ายังรู้ความ” ปู่เฉินอวี่ปาดเลือดไก่ที่ริมฝีปากกับหางตาออกด้วยท่าทีฮึดฮัด คิดๆ แล้วก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่บ้าง “ข้าพูดจริงๆ นะ หากเจ้าไปตามที่ข้าบอก วันพรุ่งเจ้าจะได้พบเนื้อคู่ตามดวงชะตาของเจ้าอย่างแน่นอน เรื่องวันสิ้นพิภพก็ไม่ใช่ผลการทำนายของข้าคนเดียว ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลข้าล้วนมีลางสังหรณ์ในทำนองเดียวกัน”

เจิ้งเฮ่าอี้กล่าว “ข้ารู้หรอกน่ะ เจ้าคือทายาทรุ่นที่สามสิบหกของตระกูลเทวพยากรณ์เชียวนะ คำทำนายที่ออกจากปากล้วนเป็นวาจาสิทธิ์ ไม่เคยหลอกลวงแม้แต่เด็กเล็กหรือผู้ชรา” สีหน้าของเขาจริงจังยิ่ง เพียงแต่ถูกรอยยิ้มในดวงตาหักหลังโดยสิ้นเชิง

ปู่เฉินอวี่โกรธจนลมหายใจติดขัด “เจิ้งเฮ่าอี้ สักวันข้าจะทำให้เจ้ายอมรับว่าข้าคืออัจฉริยะนักพยากรณ์ที่แท้จริง!”

“หวังว่าวันนั้นจะมาถึงก่อนวันสิ้นพิภพก็แล้วกันนะ” เจิ้งเฮ่าอี้หัวเราะร่วนพลางทะยานร่างจากไป เพียงพริบตาเขาก็หายลับไปภายใต้ผืนฟ้ากว้างที่เรืองรองด้วยหมู่ดาว

ตอนนี้เองดาวดวงหนึ่งที่ไม่รู้จักชื่อพลันเปล่งรัศมีเจิดจรัสขึ้นท่ามกลางผืนฟ้าราตรี ทว่าแสงอันจับตานั้นเพียงจ้าขึ้นวูบเดียวก็วับหาย ปู่เฉินอวี่ที่มัวแต่กระทืบเท้าด่ากราดอย่างฉุนเฉียวจึงไม่ทันสังเกตเห็น เจิ้งเฮ่าอี้ที่จากไปไกลลิบแล้วก็เช่นกัน

ค่ำคืนเดียวกันนั้นในอีกห้วงมิติเวลาหนึ่ง…

ซูเพียนจื่อปีนข้ามรั้วกำแพงของอารามเต๋าที่กำลังซ่อมแซมอยู่มาอย่างเบามือเบาเท้ายิ่ง หลังจากประเมินเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่สักครู่ สาวน้อยก็งัดอิฐออกมาหนึ่งก้อน แล้วอาศัยความทรงจำเมื่อตอนกลางวันคลำหาเส้นทางไปจนถึงข้างสระขอพร เธอซ่อนตัวอย่างรอบคอบอยู่ในเงาไม้พักหนึ่ง แม้ไม่เห็นใครเดินผ่านมาทั้งสิ้น แต่เธอก็ยังไม่ค่อยวางใจอยู่ดี จึงเงื้อก้อนอิฐขว้างเต็มแรงไปทางสระนั้นดูเสียเลย!

ก้อนอิฐที่ตกลงไปทำให้น้ำสาดกระจายเป็นวงกว้างพร้อมด้วยเสียงตูมที่ดังชัดเป็นพิเศษ เกิดความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้แล้ว หากละแวกใกล้เคียงมีใครอยู่ก็จะต้องวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน

ซูเพียนจื่อรอคอยอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นว่ามีใครมา เธอจึงวางใจลงได้เสียที เห็นชัดว่านักพรตในอารามแห่งนี้ล้วนเป็นพวกที่ชอบกินแต่ขี้เกียจทำ กลางคืนไม่มีนักท่องเที่ยวก็ยิ่งไม่มีเงินที่จะเก็บเกี่ยวได้ แล้วมีหรือที่พวกเขาจะยอมวิ่งออกมาเป็นอาหารยุง

สาวน้อยวิ่งฉิวไปถึงริมสระในไม่กี่ก้าวแล้วเปิดสวิตช์กระบอกไฟฉายส่องไปที่ก้นสระ เมื่อกลางวันตรงนี้ก็คือที่ที่สร้อยคอของเธอบังเอิญขาดจนตัวจี้พลอยร่วงลงสระไปด้วย แต่นักพรตผู้มีหน้าที่เฝ้าสระขอพรคนนั้นเป็นตายก็ไม่ยอมให้เธอลงน้ำไปควานหา สุดท้ายเรื่องจึงไปถึงครูประจำชั้นที่พาพวกเธอออกมาทัศนศึกษาจนได้

ซูเพียนจื่อรู้ว่าที่ผ่านมาครูประจำชั้นก็ไม่ได้รู้สึกดีกับลูกศิษย์ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าส่งมาเข้าเรียนอย่างเธออยู่แล้ว หากเรื่องบานปลายใหญ่โตก็รังแต่จะแย่ยิ่งกว่าเดิม เธอจึงจำใจกัดฟันยอมจากไปก่อน

จี้ไม้แกะสลักที่ร้อยอยู่กับสร้อยคอนั้นคล้องติดตัวเธอมานับแต่จำความได้ ถึงแม้จะไม่รู้ที่มา แต่เธอก็ดึงดันจะเชื่อว่ามันเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของตนอย่างแน่นอน ของสำคัญเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาคืนมาให้ได้

แสงไฟจากกระบอกไฟฉายนั้นอ่อนมาก ซ้ำน้ำขุ่นในสระนี้ก็ไม่รู้ว่าขาดการเปลี่ยนถ่ายมานานเท่าไรแล้ว ซูเพียนจื่อจึงพับขากางเกงขึ้นเสียเลย จากนั้นก็ปีนข้ามราวกั้นแล้วกระโดดย่ำลงสระไปค้นหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดสาวน้อยก็พบจี้สร้อยคอของตนโผล่มุมเล็กๆ ให้เห็นอยู่ข้างใต้เหรียญเงินหลายเหรียญ เธอจึงไม่มัวคำนึงถึงสิ่งใดอีก รีบถลกแขนเสื้อค้อมเอวยื่นมือไป หมายจะควานเก็บจี้นั้นขึ้นมาท่าเดียว

ทว่าในตอนที่ปลายนิ้วของเธอเพิ่งจะแตะถูกจี้ไม้แกะสลักนั้นเอง จู่ๆ เสียงตวาดลั่นก็พลันดังมาจากด้านหลัง

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!”

เวรกรรม! ช้าไม่มาเร็วไม่มา ทำไมดันมาเอาตอนนี้นะ

ซูเพียนจื่อตื่นตกใจเป็นการใหญ่ มือข้างหนึ่งพอคว้าจี้ไม้แกะสลักได้ก็รีบคิดหาที่ซ่อนตัว

ทว่าขณะที่เธอกำลังจะชักมือกลับมา จี้ไม้แกะสลักที่อยู่ในอุ้งมือกลับพลันเปลี่ยนเป็นร้อนลวกราวถ่านติดไฟ จากนั้นรัศมีสีม่วงวงหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากจี้ไม้มาห่อหุ้มทั่วร่างของเธอในพริบตา ความรู้สึกเดียวในขณะนั้นคือคล้ายตกอยู่ในวังน้ำวน มีพลังมหาศาลขุมหนึ่งกำลังฉุดดึงเธอลงไป

สาวน้อยยังไม่ทันได้ร้องตกใจก็สลบไปก่อนแล้ว ร่างกายที่จมลงสระไปอย่างเงียบเชียบพลันอันตรธานไปท่ามกลางรัศมีสีม่วงวงนั้น…

ในหัวสมองของซูเพียนจื่อมีความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นก่อนที่จะหมดสติ…

‘นักเรียนหญิง ม.ต้น ย่องเข้าอารามเต๋ายามวิกาล หมายขโมยเหรียญในสระขอพรแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจมสระดับอนาถเพราะความลุกลน’

ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ข่าวสังคมบนหน้าหนังสือพิมพ์ในตัวตำบลจะลงข่าวนี้เพิ่มมาหรือไม่

น่าขายหน้าชะมัดเลย!

ท่ามกลางสติที่รางเลือน ซูเพียนจื่อรู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งบรรจงโอบเธอเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น แล้วลูบแผ่นหลังให้อย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็คล้ายมีใครสักคนกำลังร้องเพลงที่นุ่มนวลชวนฟัง ราวกับมีเพลงกล่อมเด็กแว่วคลออยู่ที่ข้างหูของเธอ

“แม่จ๋า…” ซูเพียนจื่อเรียกหาโดยจิตใต้สำนึก

สองคำนี้เป็นเช่นคาถาบทหนึ่งที่ทำให้สรรพสิ่งเลือนหายไปในพริบตา ทั้งเสียงเพลง…ทั้งอ้อมกอด…รวมทั้งมือที่อ่อนโยนคู่นั้น…ต่างสูญสลายไปจนสิ้น…

ซูเพียนจื่อลืมตาขึ้นทันใด ทว่าภูเขียวน้ำใสกับฟ้าครามเมฆขาวที่อยู่ตรงหน้านี้ล้วนเป็นทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตา

สาวน้อยตั้งสติลุกขึ้นนั่ง แล้วพยายามหวนทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น…ก่อนหน้านี้เธออยู่ในสระขอพรของอารามเต๋าชัดๆ ความทรงจำสุดท้ายควรเป็นตอนกลางคืนสิ แต่เพราะอะไรพอลืมตาขึ้นอารามเต๋ากลับหายไปเสียได้ หนำซ้ำฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว

อีกอย่างตรงนี้คือที่ไหนกันแน่ ละแวกตำบลเล็กๆ ที่เธออาศัยอยู่ไม่มีทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้สักหน่อย

ซูเพียนจื่อพลันนึกถึงจี้สร้อยคอของตน พอก้มมองดูเธอก็พรูลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างห้ามไม่อยู่…ค่อยยังชั่วหน่อย! จี้ไม้ยังอยู่ในมือ เธอจึงเอาเชือกสร้อยที่ขาดมาผูกปมใหม่ก่อนจะคล้องใส่คอดังเดิม

พอเชือกคล้องที่ร้อยอยู่กับจี้ไม้เลื่อนผ่านเส้นผมลงไปถึงตำแหน่งลำคอ ซูเพียนจื่อก็พลันรู้สึกได้ว่าตรงหลังคอมีบางสิ่งที่ลื่นๆ เย็นๆ เพิ่มมาอีกอย่าง

มีงู?!

สาวน้อยขวัญกระเจิงจนเหงื่อเย็นโซมตัวในทันที รอจนเธอตัดใจยื่นมือลูบไปทางด้านหลัง สิ่งที่มือสัมผัสถูกกลับเป็นเส้นผมที่ทั้งเหยียดยาวและเรียบลื่น…

เอ๊ะ! ผมยาว?!

ซูเพียนจื่อตะลึงงันไปอีกครั้ง โรงเรียนมัธยมที่เธอศึกษาอยู่กำหนดให้นักเรียนตัดผมสั้นทั้งชายและหญิงมาตลอด ผมของนักเรียนหญิงต่อให้ไว้ยาวสักแค่ไหนก็ห้ามเลยบ่า แต่ว่าเส้นผมที่เธอคลำอยู่ในขณะนี้ไม่มีทางยาวแค่นั้นเด็ดขาด!

สาวน้อยขยุ้มเส้นผมที่อยู่หลังศีรษะปอยหนึ่งมาดูด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะลูบลงไปจนสุดปลาย ที่แท้ผมยาวจรดเอวเชียวหรือนี่ ซ้ำหนังศีรษะยังเจ็บแปลบๆ ตอนที่ลองดึงผมดูด้วย เห็นชัดว่านี่เป็นเส้นผมที่งอกขึ้นบนศีรษะของเธอจริงๆ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอะไรจู่ๆ เส้นผมจึงกลายเป็นยาวเท่านี้ไปได้

ขณะที่ซูเพียนจื่อยังงุนงงอยู่นั้น เสียงกระพือปีกพึ่บพั่บก็พลันดังมาจากบนฟ้า พอม้าบินที่มีปีกขนาดใหญ่และมีสีขาวหิมะตลอดร่างสิบกว่าตัวเหาะมาถึง พวกมันก็บินวนสองรอบแล้วร่อนลงข้างหน้าเธอ

ซูเพียนจื่อขยี้ตาอย่างไม่ค่อยกล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น…

ม้ามีปีกบินได้? คงไม่ได้ดูผิดไปหรอกนะ!

เหล่าชายหญิงในชุดโบราณที่นั่งอยู่บนหลังม้าเหล่านั้นมีทั้งผู้สูงวัยและคนหนุ่มสาว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีขณะมองพิจารณาซูเพียนจื่อที่นั่งทึ่มทื่ออยู่กับพื้น จากนั้นพวกเขาก็ยื่นหน้ากระซิบกระซาบกัน

“เจ้าดูเส้นผมของนางสิ ถึงกับยาวจรดเอวแล้ว ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าใครมีพรสวรรค์สูงได้ถึงเพียงนี้ นางจะต้องเป็นชาวสวรรค์ที่ยากพบพานในรอบร้อยปีจุติลงมาเป็นแน่!”

“ประมุขตระกูลข้าตรวจดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนก็รู้แล้วว่าวันนี้จะได้พบผู้มีคุณสมบัติเป็นเลิศ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลใดจะโชคดีได้ไปครอง”

“สวรรค์เมตตาแท้ๆ อย่างน้อยก็หลายสิบปีแล้วที่ข้าไม่ได้ยินอีกเลยว่ามีชาวสวรรค์จุติลงมา นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสให้ข้าได้พบเจอ”

“ตระกูลใดได้ชาวสวรรค์ไปเข้าร่วม ขุมกำลังก็จะเพิ่มพูนมหาศาลแน่นอน…”

ซูเพียนจื่อมองคนนั้นทีคนนี้ที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้สอบถามออกมาว่า “พวกคุณ…ไม่สิ เอ่อ…พวก…ท่านพูดถึงฉัน…ข้ากันอยู่เหรอ”

ผู้คนบนม้าบินพากันพลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วเดินมาจนถึงตรงหน้าของซูเพียนจื่อ ในจำนวนนี้มีสาวน้อยโฉมงามสวมชุดกระโปรงสีเขียวมรกตผู้หนึ่งยิ้มตาหยีเอ่ยตอบ “ผู้ที่พวกเราพูดถึงย่อมจะเป็นเจ้า แม่นางไม่ใช่คนที่นี่กระมัง”

ซูเพียนจื่อสั่นศีรษะก่อนถามต่อ “แล้วที่นี่คือที่ไหน”

“ที่นี่คือดินแดนพันเมฆา พวกเราล้วนเป็นคนในตระกูลฝ่ายธรรมะของดินแดนนี้ แม่นางเล่ามาจากที่ใด” ผู้เฒ่าสวมชุดยาวสีน้ำเงินอีกคนเป็นผู้ต่อบทสนทนา

“เอ่อ…ข้ามาจากดาวโลก อาศัยอยู่ที่ตำบล ส. ในมณฑล จ.” ซูเพียนจื่อตอบอย่างเซ่อซ่า

ดินแดนพันเมฆาอะไรกัน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แค่ดูจากบรรดาม้าบินตัวเป็นๆ ที่อยู่ตรงหน้า ซูเพียนจื่อก็มั่นใจเต็มร้อยว่าที่นี่ไม่ใช่ดาวโลกอย่างแน่นอน!

“ดาวโลก?” ผู้คนตรงหน้าล้วนสบตากันไปมา เห็นชัดว่าไม่เคยได้ยินเช่นกัน

สาวน้อยชุดเขียวผู้นั้นก้าวมายืนเคียงข้างซูเพียนจื่อแล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เจ้ามาจากที่ใดล้วนไม่สำคัญหรอก ในเมื่อสวรรค์ส่งเจ้ามาที่นี่แล้ว ก็ย่อมต้องมีเหตุผล ชาวสวรรค์เช่นเจ้ามีความสามารถในเชิงยุทธ์สูงส่งกว่าคนทั่วไปโดยกำเนิด อยู่ที่นี่เจ้าจะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิมได้”

“อะไรคือชาวสวรรค์หรือ” ซูเพียนจื่อรู้สึกว่าตัวเองมาถึงต่างดาวแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนไม่นับว่าเลวร้ายสักเท่าไร ผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับเธอมาก สายตาที่มองมาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม การปฏิบัติที่ดีเช่นนี้เธอยังไม่เคยได้รับมาก่อนเลย

เมื่อก่อนแม้กระทั่งตอนที่เธอสอบได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆ สายตามองประเมินของคนส่วนใหญ่หากไม่ใช่เห็นอกเห็นใจก็คือริษยาหรือดูแคลนอยู่วันยังค่ำ…เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็คือเด็กกำพร้าที่มีดวงพิฆาตบุพการี

ผิดกับชายหญิงสิบกว่าคนนี้ที่รายล้อมเธออยู่ในตอนนี้ พวกเขาต่างพากันส่งยิ้มมาให้เธอ

สาวน้อยชุดเขียวตอบคำถามเธออย่างยิ้มแย้ม “ชาวสวรรค์ก็คือผู้ที่โครงสร้างร่างกายได้รับคุณสมบัติดีเลิศจากสวรรค์ คนเหล่านี้จึงไม่เพียงเกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในการฝึกวิชายุทธ์ หากยังมีสติปัญญาในการเรียนรู้ที่สูงส่งกว่าคนทั่วไปเป็นร้อยเท่า เกือบพันปีมานี้ชาวสวรรค์ที่ปรากฏตัวบนดินแดนพันเมฆามีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ! ตระกูลฝ่ายธรรมะทั้งหมดจึงต่างคาดหวังว่าสวรรค์จะเมตตา ประทานชาวสวรรค์มาช่วยพวกเราสืบสานเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูล”

ซูเพียนจื่อยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนฝัน สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากคนหมดตัวที่เก็บลอตเตอรี่งวดปัจจุบันติดมือมาได้สองใบ แล้วได้รับแจ้งว่าลอตเตอรี่ทั้งสองใบนั้นถูกรางวัลที่หนึ่ง!

เธอไม่เพียงพลัดมาอยู่ในสถานที่ราวแดนเซียนแห่งนี้ได้อย่างอัศจรรย์ ยังมีคนบอกอีกว่าเธอก็คืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ จัดอยู่ในจำพวกที่เลอค่าหายากและเป็นที่ต้องการในวงกว้าง…โชคดวงระดับนี้ถึงกับหล่นทับลงมาบนตัวเด็กกำพร้าที่แสนจะอาภัพอับโชคอย่างเธอจริงๆ น่ะหรือ!

“แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าก็คือชาวสวรรค์” ซูเพียนจื่อสอบถามอย่างทั้งคาดหวังทั้งหวาดหวั่นว่าจะเจ็บปวดเพราะคำตอบนี้

“เมื่อครู่พวกข้าเห็นแต่ไกลว่าทางนี้มีไอสีม่วงสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้า รอบบริเวณนั้นกระหวัดวนไปด้วยเมฆห้าสีอันเรืองรอง นี่ก็คือปรากฏการณ์พิเศษเมื่อมีชาวสวรรค์จุติลงมา พวกเราจึงรุดมาจากทุกสารทิศ ระหว่างทางที่มาก็พบเห็นแม่นางแต่ผู้เดียว เช่นนี้แล้วชาวสวรรค์ย่อมต้องเป็นเจ้า อีกอย่างเจ้ายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีกระมัง” สาวน้อยชุดเขียวชี้แจงอย่างกระตือรือร้น

ซูเพียนจื่อผงกศีรษะรับ เธอเพิ่งจะอายุสิบห้า เรียนอยู่แค่ชั้นมัธยมปีที่สามเท่านั้น

“ชายหญิงทุกคนที่นี่เว้นแต่จะฝึกวิชาจนมีความก้าวหน้า ไม่เช่นนั้นก่อนอายุยี่สิบความยาวของเส้นผมก็จะไม่เกินหนึ่งชุ่น* หากพลังวัตรหรือพรสวรรค์ยิ่งสูง เส้นผมจึงจะยิ่งยาวตาม เส้นผมของแม่นางยังยาวยิ่งกว่าของอาจารย์ข้าเสียอีก เจ้ามีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่สูงส่งถึงเพียงนี้แล้ว หากไม่ใช่ชาวสวรรค์ยังจะเป็นอะไรได้เล่า” สาวน้อยชุดเขียวยิ่งพูดยิ่งคึกคักมากขึ้น

ซูเพียนจื่อประหลาดใจอยู่บ้าง ที่แท้เส้นผมของเธอพลันยาวขึ้นก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เองหรือนี่

เมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ ซูเพียนจื่อก็ชักจะเชื่อมั่นขึ้นอีกนิดแล้วว่าตัวเองอาจเป็น ‘ชาวสวรรค์’ อย่างที่พวกเขาเรียกจริงๆ ก็เป็นได้

ตอนนี้เองสตรีวัยกลางคนในชุดกระโปรงสีเทาก็เดินมาพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชานิดๆ “เอาล่ะ ปี้หลัวเซียนจื่อ เจ้าก็เลิกพูดไม่หยุดปากเสียที แม่นางผู้นี้…เชิญเจ้าดึงแขนเสื้อขึ้นให้พวกข้าชมดูสัญลักษณ์บนแขนซ้ายสักหน่อยว่าที่แท้เจ้าเหมาะจะฝึกปรือยอดวิชาแขนงใดในห้าธาตุ*

เมื่อสตรีชุดเทากล่าวคำพูดในใจทุกคนออกมา แต่ละคนก็กลั้นหายใจเพ่งมองไปที่แขนซ้ายของซูเพียนจื่อเป็นตาเดียว จนทำให้ผู้ถูกมองเกิดอาการหนังศีรษะชาหนึบ ในที่สุดเธอก็จำต้องม้วนแขนเสื้อสูงขึ้นอีกนิดอย่างไม่อาจขัดศรัทธาของผู้อื่นได้

บนเรียวแขนของสาวน้อยเกลี้ยงเกลาไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น จวบจนถึงบริเวณใกล้หัวไหล่จึงได้ปรากฏแผลรูปเมฆมงคลอยู่รอยหนึ่ง…

แผลเป็นรอยนี้มีสีที่อ่อนกว่าผิวพรรณโดยรอบเล็กน้อย นอกจากรูปทรงที่ค่อนข้างพิเศษแล้วก็มองไม่ออกว่ามีสิ่งผิดแปลกอื่นใด

ซูเพียนจื่อจำได้ว่าตำแหน่งนั้นควรจะเป็นรอยแผลจากการฉีดวัคซีนในวัยเด็ก เดิมทีไม่ได้มีรูปทรงแบบนี้เป็นแน่!

พอปี้หลัวเซียนจื่อกับสตรีชุดเทาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้เห็นรอยแผลนี้ สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอย่างยิ่ง คล้ายทั้งตกตะลึง ทั้งไม่อยากเชื่อ และทั้งผิดหวัง ปี้หลัวเซียนจื่อถึงกับร้อง ‘หา’ ออกมาเบาๆ และเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เหตุใดสัญลักษณ์นี้จึงไม่มีสีเล่า”

คนที่เหลือซึ่งยืนห่างไปอีกหน่อยพอได้ยินดังนั้นก็พากันล้อมวงเข้ามาดู ไม่ช้าสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นผิดหวังเช่นเดียวกัน

จากนั้นผู้เฒ่าชุดดำผมขาวหนวดขาวที่ดูสูงวัยกว่าใครก็เอ่ยกับผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่เคยสนทนากับซูเพียนจื่อก่อนหน้านี้ “นี่ดูคล้ายร่างของชาวสวรรค์ที่ถูกริบคุณสมบัติไปแล้ว น้องถาน ท่านเล่าคิดเห็นเช่นไร”

ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินพิเคราะห์แขนซ้ายของซูเพียนจื่ออย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าทอดถอนใจ “พี่โจวกล่าวถูกต้องแล้ว นี่…นี่คือร่างของชาวสวรรค์ที่ถูกริบคุณสมบัติไปแล้วจริงๆ น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”

ซูเพียนจื่อฟังแล้วรู้สึกว่าท่าจะไม่ดี จึงหันหน้ามองไปทางปี้หลัวเซียนจื่อผู้ยิ้มแย้มเป็นมิตรกับเธอมาตลอดแล้วสอบถามอีกฝ่ายว่า “ที่ผู้เฒ่าสองท่านนั้นพูด มันหมายความว่าอย่างไรหรือ”

ใบหน้ารูปไข่ที่ชวนมองของปี้หลัวเซียนจื่อตอนนี้ไม่เหลือรอยยิ้มแม้แต่น้อย ในดวงตาของนางอัดแน่นไปด้วยแววดูแคลนและเอือมระอา ราวกับพลันเปลี่ยนเป็นคนละคน “ความหมายของพวกเขาก็คือ…เจ้ามันเป็นแค่ขยะน่ะสิ! ขยะที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ฮึ! เสียเวลาข้าจริงๆ อุตส่าห์มีปรากฏการณ์เสียใหญ่โต ที่แท้กลับเป็นแค่ขยะ!”

จบคำนางก็สะบัดหน้าเดินฉับๆ กลับไปถึงข้างม้าพาหนะแล้วเหินร่างขึ้นไปนั่ง เพียงดึงเชือกบังเหียนขึ้น ม้าวิเศษตัวนั้นก็กระพือสองปีกทะยานเวหามุ่งหน้าไปทางตะวันออกในทันที ท่าทางราวกับหากเหลียวมองซูเพียนจื่ออีกเพียงแวบเดียว นางก็จะพลอยติดเสนียดไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

การแสดงออกของคนที่เหลือก็ไม่ได้ดีไปกว่าปี้หลัวเซียนจื่อสักเท่าไร แต่ละคนบ้างก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ บ้างก็มีสีหน้ายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น

จากนั้นเพียงพริบตาเดียวทุกคนก็จากไปหมดสิ้น

ซูเพียนจื่อยืนนิ่งอยู่กับที่ บนร่างเปรอะไปด้วยฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบตอนเหล่าม้าวิเศษเหาะขึ้นจากพื้น เธอจึงมีสภาพอเนจอนาถราวมนุษย์คลุกขี้ดิน แม้กระทั่งในปากก็มีแต่รสชาติของกรวดทรายเจือปน

บ้าบอชะมัด! ก็ว่าแล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้โชคดีอะไรขนาดนี้ ที่แท้ก็โกหกกันทั้งเพ!

ซูเพียนจื่อสะบัดฝุ่นทรายบนร่างออกอย่างท้อใจ เธอเหลียวมองซ้ายขวา หมายจะหาน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อน ค่อยคิดดูว่าถัดไปควรจะทำอย่างไรดี

“เจ้ามาจากที่ไหน”

จู่ๆ เสียงบุรุษที่น่าฟังอย่างยิ่งก็ดังมาจากด้านหลัง

ซูเพียนจื่อตกใจหมุนตัวไปก็เห็นหนุ่มน้อยรูปงามสวมชุดสีดำผู้หนึ่งยืนพิงอยู่ที่ข้างต้นไม้เก่าแก่ในระยะห้าถึงหกเมตร

‘เรียวคิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาปานดวงดาว’…ซูเพียนจื่อเพิ่งจะสัมผัสได้อย่างถ่องแท้เป็นครั้งแรกว่าสำนวนนี้เปรียบเปรยได้สมจริงเพียงใด สองคิ้วของเขาทั้งเพรียวพลิ้ว ทั้งคมเข้มเปี่ยมพลัง นัยน์ตาที่สุกสกาวดั่งดวงดาวคู่นั้นก็ลุ่มลึกหาใดเทียม ราวกับหากมองเขานานขึ้นอีกเพียงนิด ก็จะถลำจมลงไปในนั้นโดยไม่อาจห้ามใจได้อีกเลย

ลำพังคิ้วตาที่ชวนหวั่นไหวคู่นี้ก็เพียงพอจะทำให้บรรดาหนุ่มหน้าหวาน หนุ่มหล่อมาดแมน และหนุ่มเท่สายแฟชั่นที่ซูเพียนจื่อเคยเห็นในหนังหรือบนอินเตอร์เน็ตถูกเปรียบเทียบจนกระเด็นไปสุดขอบฟ้าแล้ว

หนุ่มน้อยชุดดำดูอายุมากกว่าเธอเพียงไม่เท่าไร ทว่าสีหน้าอันสุขุมหนักแน่นนั้นมีทั้งความสง่าเป็นผู้ใหญ่กับความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่คนในวัยเดียวกันไม่มี ซูเพียนจื่อตะลึงอยู่ชั่วครู่ค่อยฉุกคิดถึงสารรูปที่น่าอนาถของตนในเวลานี้ จึงรู้สึกอายอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้

หนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้ก็คือเจิ้งเฮ่าอี้นั่นเอง เมื่อเห็นซูเพียนจื่อไม่พูดสักคำ เอาแต่จับจ้องเขาอย่างเหม่อลอย เจิ้งเฮ่าอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังยิ่งกว่าเดิม…นี่น่ะหรือเนื้อคู่ตามดวงชะตาของเขา นี่น่ะหรือคนที่ปู่เฉินอวี่พูดเป็นนัยว่าจะมากอบกู้หายนะวันสิ้นพิภพร่วมกับเขา

เห็นกันอยู่ว่านางเป็นแค่เด็กสาวที่แสนจะธรรมดา ซ้ำมีแนวโน้มเป็นคนคลั่งบุรุษเสียด้วย

เขาไม่ควรใจอ่อนชั่ววูบจนหลงกลปู่เฉินอวี่เลยจริงๆ เจ้านั่นมันผู้วิเศษกำมะลอข้อเท้าเคล็ดชัดๆ

แต่ในเมื่ออุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่แล้ว หากจากไปทันทีโดยไม่ถามให้แน่ชัดก็เหมือนจะไม่ค่อยดี เจิ้งเฮ่าอี้จึงขมวดหัวคิ้วก่อนถามย้ำอีกครั้ง

“ตกลงว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ไหน”

ทันทีที่สังเกตเห็นแววไม่ยอมรับและความผิดหวังที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งดวงตาของเขา ไฟก็ลุกพึ่บขึ้นในใจซูเพียนจื่อ แววตาเช่นนี้เธอคุ้นเคยมากเหลือเกิน เพราะมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับการเหยียดหยามดูแคลน เธอพลัดมาอยู่ในสถานที่บ้าบอแห่งนี้อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แค่ที่ถูกคนตั้งข้อรังเกียจยกใหญ่ก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว อีตานี่ถือสิทธิ์อะไรมาดูถูกคนอื่น หนำซ้ำยังใช้น้ำเสียงเหมือนกำลังสอบสวนนักโทษอีก เขานึกว่าตัวเองเป็นใครกัน!

ต่อให้รูปหล่อสักแค่ไหนก็ให้อภัยไม่ได้!

“ข้าคือชาวโลก มาจากดาวโลก แล้วก็ไม่ต้องถามข้าด้วยว่าดาวโลกคือที่ไหน เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองพลัดมาสถานที่บ้าบอนี่ได้อย่างไร” ซูเพียนจื่อตอบอย่างฉุนเฉียว

อารมณ์ร้ายเสียจริง! เจิ้งเฮ่าอี้มองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเรียบๆ “ให้ข้าดูแขนขวาของเจ้าหน่อย”

เมื่อครู่เขาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ มองดูการสนทนาระหว่างซูเพียนจื่อกับพวกปี้หลัวเซียนจื่อ เขาจึงรู้เช่นกันว่าสัญลักษณ์บนแขนซ้ายของสาวน้อยผู้นี้ไม่มีสีสัน ทว่าดูจากเส้นผมที่ยาวผิดจากคนทั่วไปนั้นแล้ว ประกอบกับพักนี้ปู่เฉินอวี่ก็พร่ำพูดอย่างมีลับลมคมในเกี่ยวกับเนื้อคู่ตามดวงชะตาและหายนะวันสิ้นพิภพอะไรนั่น เขาจึงชักไม่แน่ใจขึ้นมา

เขานึกได้ว่าเคยเห็นบันทึกในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ระบุว่าราวหมื่นปีก่อนเคยมีสัญลักษณ์พรสวรรค์ของผู้ฝึกวิชาที่เก่งกาจท่านหนึ่งปรากฏอยู่บนแขนขวาไม่ใช่แขนซ้าย ดังนั้นเขาจึงยังไม่ถอดใจ หมายจะยืนยันให้แน่ชัดอีกสักครั้ง

“ไม่ให้ดู!” ซูเพียนจื่อโกรธจัดจึงปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด

เจิ้งเฮ่าอี้เลิกคิ้ว เพียงยื่นมือก็ยึดจับข้อศอกขวาของอีกฝ่ายไว้ได้ จากนั้นเขาก็เลิกแขนเสื้อของสาวน้อยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ทั้งที่ซูเพียนจื่อเห็นอยู่ว่าเดิมทีเขายืนห่างไปอย่างน้อยตั้งห้าหกเมตร นึกไม่ถึงเลยว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะรวดเร็วได้ถึงขั้นนี้ เธอยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกเขายึดจับไว้เสียแล้ว

“นี่เจ้าจะทำอะไร!” ซูเพียนจื่อร้องลั่นอย่างทั้งโมโหทั้งแตกตื่น พลางดิ้นรนหมายจะชักแขนของตนกลับมาให้ได้ แต่จนใจที่ทั้งตัวคล้ายถูกผู้อื่นใช้คาถาสะกดร่างไว้ จึงไม่อาจขยับเขยื้อนได้สักนิด

เนื้อตัวที่แข็งทื่อทำให้ซูเพียนจื่อไม่อาจเบือนหน้าไปมอง เธอจึงไม่เห็นว่าที่แท้แล้วบนแขนขวาของตนมีอะไรกันแน่ เพียงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านิ้วมือทั้งห้าของเจิ้งเฮ่าอี้ที่กุมข้อศอกของเธออยู่พลันรวบกระชับ ราวกับเขาได้เห็นบางสิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจ

อากาศรอบตัวคล้ายพลันหยุดไหลเวียน ภาพที่เห็นในระยะสายตาของซูเพียนจื่อคือเจิ้งเฮ่าอี้ที่ขมวดหัวคิ้วแน่น อารมณ์ที่เผยออกมาอย่างเข้มข้นจากในดวงตาที่สุกสกาวและลุ่มลึกคู่นั้น…ก็คือความเยียบเย็น!

ดวงหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้าสายตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกจนน่าสะพรึง ประหนึ่งอสูรร้ายที่มาจากนรกภูมิ กระตุ้นให้เหงื่อกาฬหยดแล้วหยดเล่าของซูเพียนจื่อผุดซึมแล้วไหลร่วงมาตามจอนผม ชั่วขณะนี้เธอหวาดกลัวยิ่งนัก

กาลเวลาแปรเปลี่ยนเป็นแสนยาวนาน จนซูเพียนจื่อหวาดระแวงว่าพริบตาต่อไปหนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้จะพลันลงมือปลิดชีวิตเธอ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเจิ้งเฮ่าอี้จึงค่อยๆ คลายมือออก ซูเพียนจื่อก็รีบถอยปราดไปด้านหลังทันที ดุจกระต่ายน้อยที่ได้รับความตื่นตระหนก

“เจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน หากวันหน้าให้ข้ารู้ว่าเจ้ากระทำผิดคิดชั่ว ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าอีก” เจิ้งเฮ่าอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยปาก พอพูดจบเขาก็หมุนตัวจากไปโดยไม่รอให้ซูเพียนจื่อมีท่าทีตอบสนองใดๆ

เนิ่นนานให้หลังซูเพียนจื่อจึงค่อยได้สติจากความตื่นกลัว เพียงหวนนึกถึงถ้อยคำที่เจิ้งเฮ่าอี้พูดทิ้งท้าย สาวน้อยก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

คนสารเลวนี่เป็นใครมาจากไหนกัน เหมือนแน่ใจเหลือเกินว่าวันหน้าเธอจะต้องทำเรื่องชั่วช้า ถือสิทธิ์อะไรมาตัดสินคนอื่น! จริงอยู่ที่เธอเป็นเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องเสียคนสักหน่อย เพราะอะไรใครๆ ถึงได้เอาแต่ตราหน้าว่าเธอจะต้องโตมาเป็นคนไม่ดีด้วยนะ

พอนึกถึงสายตาแปลกๆ ที่ตัวเองต้องแบกรับมาตลอดตั้งแต่เด็ก ซูเพียนจื่อก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เมื่อก่อนอยู่บนดาวโลกถูกใครต่อใครมองเหยียดยังไม่พอ ตอนนี้อุตส่าห์ข้ามมิติมาต่างดาวแล้วก็ยังถูกใครต่อใครดูถูกอีก นี่มันอะไรกัน!

“ดวงของเจ้าไม่เลวทีเดียวนะ!”

จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษพูดขึ้นที่ด้านหลังของเธอ นั่นคือโทนเสียงระดับกลางที่มีเสน่ห์ทัดเทียมกับผู้ประกาศข่าวชั้นเยี่ยมระดับเหรียญทอง

เฮอะ ยังอุตส่าห์มีพวกไร้ศีลธรรมโผล่มาพูดประชดกันอีก?!

ซูเพียนจื่อฉุนขาดหันขวับไปด่ากราดทันใด “ถ้าใช่แล้วจะทำไมเจ้าผีหัวโต…ว้าย!”

เสียงแผดด่าหลุดออกไปได้ครึ่งทางก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องไปเสียแล้ว เพราะซูเพียนจื่อพบว่าผู้ที่พูดกับเธอไม่ใช่คน แต่กลับเป็นม้าบินตัวหนึ่ง!

ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากม้าบินหลายตัวเมื่อครู่ก่อนก็คือ…ม้าตัวที่อยู่ตรงหน้านี้มีขนสีตุ่น บนเนื้อตัวสีเหลืองขี้โคลนของมันถูกแซมไปด้วยขนสีน้ำตาลอมดำกระจายตัวเป็นด่างดวง รูปร่างก็ผอมกะหร่องจนเห็นซี่โครง ดูขี้เหร่เป็นอย่างยิ่ง ขนปีกที่อยู่บนหลังก็ยุ่งกระเซิง ขนแผงคอยิ่งพันกันเป็นขยุ้มๆ ในปากใหญ่ที่กำลังเผยอกว้างอยู่ไม่เพียงเผยฟันหน้าซี่โตสีเหลืองอ๋อยหลายซี่…แต่ยังส่งกลิ่นปากออกมาอีกด้วย!

ทั้งที่เป็นม้าบินเช่นเดียวกัน ทว่าม้าหลายตัวเมื่อครู่นั้นมองปราดเดียวก็เห็นได้ว่าทุกตัวล้วนเปี่ยมราศีสมเป็นม้าวิเศษ ท่วงท่าก็สง่างามไม่ธรรมดา ผิดกับตัวที่อยู่ตรงหน้านี้…สภาพขี้ริ้วมอมแมมเหมือนสุนัขจรจัดที่พบเห็นได้บ่อยตามตรอกหลังร้านอาหารไม่มีผิด

สิ่งเดียวที่ดูได้…ก็คือดวงตาคู่นั้นซึ่งดำขลับกระจ่างใส เผยทั้งแววเอ้อระเหยแกมยั่วเย้า ดูเปี่ยมชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

“ร้องวี้ดว้ายอะไรของเจ้า ไม่เคยเห็นท่านอาชาเทพที่งามสง่าพ่วงพีเช่นข้าสิท่า ตื่นตูมไม่เข้าเรื่อง พวกโลกแคบก็คือพวกโลกแคบอยู่วันยังค่ำ!” ม้าบินที่เรียกตนเองว่า ‘อาชาเทพ’ ตัวนั้นเอียงศีรษะกวาดมองซูเพียนจื่อด้วยหางตาข้างเดียว วางท่าเย่อหยิ่งเสียเต็มประดา

ซูเพียนจื่อยังคงขวัญผวาไม่หาย จึงปลอบโยนตัวเองในใจ…ในเมื่อม้าที่นี่มีปีกบินขึ้นฟ้าได้ ถ้าจะพูดได้ด้วยก็ไม่เห็นน่าแปลกเลยสักนิด ไม่ต้องกลัวหรอกไม่ต้องกลัว ตัวเราเองอนาถขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรที่ต้องกลัวกันอีกล่ะ

เมื่อปลุกขวัญกำลังใจให้ฮึกเหิมขึ้นแล้ว ซูเพียนจื่อก็เงยหน้าถากถางกลับในทันที

“สารรูปอย่างเจ้านี่นะที่เรียกว่างามสง่าพ่วงพี ถ้าอย่างนั้นบนโลกนี้ยังจะมีม้าชั้นเลวอยู่อีกหรือ นี่สินะที่เรียกว่า ‘ม้าไม่รู้ตัวว่าหน้ายาว ลิงไม่รู้ตัวว่าก้นแดง’*!”

“หน้าของข้ายาวที่ตรงไหนกัน เห็นชัดว่าหน้าของเจ้าต่างหากที่สั้นเกินไป! ยายหนู ข้าก็คือผู้ที่จะมาพาเจ้ากลับบ้าน หึๆ ฉะนั้นหากล่วงเกินข้า เจ้าก็ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ ซ้ำจะมีภัยถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ!” ท่านอาชาเทพแกว่งหางที่สกปรกเลอะเทอะพวงนั้นอย่างกระหยิ่มได้ใจ ปากก็เอ่ยขู่ขวัญแบบวายร้าย

“พากลับบ้าน? เจ้ารู้หรือว่าบ้านข้าอยู่ที่ไหน อีกอย่างข้าจะมีภัยถึงชีวิตทุกเมื่อได้อย่างไร เจ้าอย่ามาขู่ขวัญกันซะให้ยาก!” ซูเพียนจื่อไม่อยากให้ตัวเองที่เป็นคนแท้ๆ กลับกลายเป็นถูกม้าตัวหนึ่งหลอกพาไปขาย ขืนเรื่องพรรค์นี้แพร่ออกไป ทุกคนที่ได้ฟังเป็นต้องหัวเราะจนฟันร่วงกันหมดแน่

“รู้หรือไม่เหตุใดเมื่อครู่ข้าจึงพูดว่าดวงของเจ้าไม่เลวทีเดียว” ท่านอาชาเทพหัวเราะหึๆ อย่างคนโฉด

“เจ้าคงไม่คิดที่จะบอกว่าเพราะข้าได้มาเจอกับเจ้าหรอกนะ” ซูเพียนจื่อหัวเราะเยาะหยัน

“แน่นอนว่านี่คือประเด็นที่สำคัญมากข้อหนึ่ง แต่ยังมีอีกข้อก็คือ…โชคดีว่าเมื่อครู่คนที่ได้เห็นแขนขวาของเจ้ามีเพียงเจ้าหนูชุดดำนั่น หากคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ล้วนได้เห็นกันหมดล่ะก็ หึๆๆ เกรงว่าตอนนี้ต่อให้เจ้าไม่ตาย ก็ต้องถูกพวกเขาจับตัวไปคุมขังแล้ว!”

“บนแขนขวาของข้าก็มีสัญลักษณ์ด้วย?” ซูเพียนจื่อลูบแขนของตนที่อยู่ข้างใต้แขนเสื้อ เพราะไม่ยักจำได้ว่าบนแขนขวามีรอยสัญลักษณ์ใดๆ เธอก็ไม่ใช่คนในแก๊งมาเฟียที่จะมีรอยสักมังกรเขียวทางซ้ายกับพยัคฆ์ขาวทางขวาสักหน่อย!

แต่ว่าแผลเป็นจากการฉีดวัคซีนบนแขนซ้ายยังกลายเป็นรูปเมฆมงคลไปได้อย่างน่าอัศจรรย์เลย แม้แต่เส้นผมก็ยังยาวขึ้นกะทันหันด้วย ถ้าบนแขนขวาจะมีอะไรเพิ่มเติมมาบ้างก็ไม่แปลกหรอก

โดยเฉพาะเมื่อครู่ก็เห็นชัดว่าหนุ่มน้อยชุดดำคนนั้นต้องเห็นอะไรบางอย่างบนแขนขวาของเธอ จู่ๆ เขาจึงเปลี่ยนเป็นน่ากลัวได้ถึงขั้นนั้น

“ถูกต้อง บนแขนขวาของเจ้าควรที่จะมีสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงอยู่รอยหนึ่ง ผู้ที่มีสัญลักษณ์นี้ล้วนเป็นบุตรหลานของพวกเราสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่” ท่านอาชาเทพเชิดหน้ายืดอกขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ซูเพียนจื่อม้วนแขนเสื้อขึ้นดู แล้วก็พบว่าบนแขนขวาบริเวณใกล้หัวไหล่มีสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงเพิ่มเติมมาจริงๆ สีม่วงของรูปสัญลักษณ์นี้ไม่เพียงวาววับสวยสด ด้านบนยังทอรัศมีจับตาราวเคลือบด้วยแก้วผลึก ไม่คล้ายสิ่งที่จะผุดขึ้นบนร่างคนได้เป็นอันขาด

ซูเพียนจื่อออกแรงถูขยี้อยู่พักใหญ่จนทำให้ผิวเนื้อโดยรอบแดงซ่าน แต่สัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวนั้นก็ยังคงไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่เหมือนรูปที่ถูกติดหรือวาดเพิ่มขึ้นมาเลย

“สัญลักษณ์นี้หมายความว่าอย่างไร พวกเรา? เจ้าเองก็เป็นคนสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกอะไรนั่นด้วยหรือ…ไม่สิ ต้องบอกว่าเจ้าเป็นม้าสกุลซู แล้วสกุลซูนี่มีความแค้นกับกลุ่มคนเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ เพราะอะไรพวกเขาจะต้องจับกุมหรือฆ่าข้าด้วยล่ะ” ซูเพียนจื่อยิงคำถามติดกันเป็นพรวน

ท่านอาชาเทพเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน หากมีคนตระกูลฝ่ายธรรมะอื่นรุดมาผสมโรงอีก ก็ไม่แน่ว่าดวงของเจ้ายังดีพอจะทำให้พวกเขาไม่ค้นพบฐานะได้ เจ้าตามข้ามาก่อนจะดีกว่า”

ซูเพียนจื่อลังเลเล็กน้อย เธอไม่ได้เชื่อใจม้าบินที่เรียกว่า ‘อาชาเทพ’ ตัวนี้แต่อย่างใด ทว่าในเมื่อทั้งเนื้อทั้งตัวเธอไม่ได้มีทรัพย์สิน อายุก็ยังน้อย หากม้าตัวนี้ล่อลวงเธอไปก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือเธอจำได้ว่าม้าเป็นสัตว์กินพืช มันคงไม่ถึงขั้นหลอกพาเธอไปกินเป็นอาหารกลางวันหรอก

มิหนำซ้ำท่าทีของกลุ่มคนเมื่อครู่ก็ทำให้เธอขัดเคืองใจมากจริงๆ โดยเฉพาะการแสดงออกของหนุ่มน้อยชุดดำในตอนท้ายยิ่งทำให้เธอหวาดหวั่นอยู่ในใจ ขืนยังมีโผล่มาอีกโขยงล่ะก็…เธอไม่อยากจะถูกใครต่อใครมองเหยียดหรือมาขู่ขวัญกันอีกแล้ว

ท่านอาชาเทพเป็นฝ่ายออกปากเชื้อเชิญให้ซูเพียนจื่อขึ้นขี่หลังของมัน แต่สาวน้อยกลับลังเลไม่กล้าจะขึ้นไปสักเท่าไร แน่นอนว่าการได้นั่งเหาะไปบนม้าบินจะต้องน่าสนุกมาก เพียงแต่…

“เจ้าคงไม่บินไปถึงกลางทางแล้วสลัดข้าตกลงมาหรอกนะ” ซูเพียนจื่อถาม

แววตาของท่านอาชาเทพฉายประกายดุร้ายขณะกระทืบกีบเท้าพลางตอบเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นตอนนี้ไม่สู้ข้าเตะเจ้าให้ตาย แล้วเหยียบขยี้จนเป็นเนื้อบดยังจะง่ายกว่าหรือ!”

ดุชะมัดเลย!

หลังจากมองดูขาม้าสี่ข้างที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของท่านอาชาเทพแล้ว ซูเพียนจื่อก็รีบพูดปนยิ้มประจบ “เป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก ไม่ควรเลยที่จะสงสัยในคุณธรรมของม้าผู้สูงส่งอย่างเจ้า”

“ฮึ!”

พอท่านอาชาเทพกล้อมแกล้มรับการขอโทษจากเธอ ซูเพียนจื่อก็หาหินก้อนหนึ่งมารองแล้วเหยียบปีนขึ้นไปบนหลังม้าจนได้

“นั่งให้ดีล่ะ!” จากนั้นท่านอาชาเทพเพียงกระพือปีกขนาดใหญ่ทั้งคู่แล้วเหยียดกีบเท้าทั้งสี่ ร่างก็เหินทะยานขึ้นในทันที ซูเพียนจื่อโอบคอของมันไว้แนบแน่น กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรให้หวาดหวั่นแล้ว จิตใจจึงได้ผ่อนคลายขึ้นและเปลี่ยนมาขยุ้มขนแผงคอม้าเอาไว้แทน

ระหว่างที่ปุยเมฆสีขาวหิมะพลิ้วผ่านข้างตัวไป ด้านล่างก็คือเนินเขากับป่าไม้อันเขียวขจีผืนแล้วผืนเล่า รวมไปถึงทะเลสาบหนองบึงที่คล้ายกระจกสีมรกตเลี่ยมฝังอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากับป่าเขา แสงแดดอันอบอุ่นฉายอาบอยู่บนร่าง สิ่งที่ได้ยินอยู่ข้างหูคือเสียงลมโกรกดังหวีดหวิว

ซูเพียนจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝัน

แม้เห็นว่าตัวเองเคลื่อนไกลจากจุดเดิมออกไปทุกที แต่น่าแปลกที่ในใจสาวน้อยไม่มีความพรั่นพรึง ตรงข้ามกลับเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นเร้าใจทั้งแปลกใหม่ หากว่านี่คือห้วงฝัน เช่นนั้นก็ให้มันดำเนินต่อไปเถอะ เธอไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายและมีอิสรเสรีเช่นนี้มาก่อนเลย!

ท่านอาชาเทพเหาะไปด้วยความเร็วสูง เพียงพริบตาก็เหินข้ามขุนเขาลำน้ำไปนับไม่ถ้วน ก่อนจะร่อนลงที่ข้างทะเลสาบเล็กๆ ตรงก้นหุบเขาแห่งหนึ่งในที่สุด

ซูเพียนจื่อกระโดดลงจากหลังม้าอย่างเบิกบานใจ แล้ววิ่งฉิวไปล้างหน้าล้างตาที่ริมทะเลสาบ ส่วนท่านอาชาเทพก็เดินเนิบนาบตามมาเช่นกัน

น้ำในทะเลสาบใสกระจ่างมีรสหวาน ซูเพียนจื่อจึงอดใจไม่ไหวดื่มติดกันไปหลายอึก ทว่ารอจนเงยหน้ามาพบว่าท่านอาชาเทพก็ก้มหน้าดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ไม่ไกลนัก สาวน้อยก็พลันรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว…เธอกำลังนั่งสุมหัวดื่มน้ำจากแหล่งเดียวกับม้าตัวหนึ่งอยู่หรือนี่…แหวะ!

ซูเพียนจื่ออยากจะอาเจียนเอาน้ำที่ดื่มลงไปออกมาเหลือเกิน ในนั้นจะต้องมีน้ำลายของมันปนอยู่ด้วยอย่างแน่นอน!

ท่านอาชาเทพดื่มน้ำจนอิ่มแล้วยังคงรู้สึกไม่หนำใจ จึงเดินตรงลงทะเลสาบไปอาบน้ำด้วยเสียเลย ซูเพียนจื่อมองสารรูปขะมุกขะมอมของมัน ก่อนจะเบนสายตาไปดูน้ำทะเลสาบที่ถูกมันทำจนขุ่นคลั่ก ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวต้องวิ่งพรวดไปอาเจียนโอ้กอ้ากยกใหญ่ที่หลังก้อนหิน

ดูจากท่าทางชำนาญการของท่านอาชาเทพแล้ว ไม่รู้ว่ามันเคยมาที่นี่กี่รอบต่อกี่รอบ และแวะอาบน้ำด้วยกี่ครั้งกี่หน เมื่อครู่เธอไม่เพียงดื่มน้ำแหล่งเดียวกับม้า หนำซ้ำน้ำที่ดื่มลงไปยังเป็นน้ำอาบของม้าซกมกตัวนี้อีกด้วย!

หลังจากที่ท่านอาชาเทพอาบน้ำเสร็จเดินขึ้นมาสลัดน้ำบนตัวจนแห้งแล้ว มันก็มองเห็นซูเพียนจื่อที่หน้าซีดอมเขียวกำลังนั่งซึมอยู่ตรงข้างหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์มาชวนคุย

“เป็นอย่างไร สถานที่นี้ของข้าไม่เลวกระมัง”

“ก็ไม่เลว!” ซูเพียนจื่อเห็นมันแล้วความขุ่นเคืองก็อัดแน่นเต็มท้อง…แต่ถ้าไม่มีเจ้าก่อมลพิษก็จะดียิ่งกว่านี้

“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งที่ตอนแรกข้าอยู่ในสระขอพรของอารามเต๋าแห่งหนึ่ง แต่ต่อมากลับสลบไปโดยไม่รู้สาเหตุ พอฟื้นขึ้นมาอีกที ข้าก็อยู่ที่ดินแดนนี้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” สาวน้อยถามเสียงอ่อนล้า

ท่านอาชาเทพพลันยื่นหน้าเข้ามาสูดดมตัวซูเพียนจื่อซ้ายทีขวาทีอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “บนตัวเจ้าพกพาของวิเศษของพวกเราสกุลซูอยู่ สิ่งนั้นคืออะไรเล่า”

ซูเพียนจื่อขบคิดชั่วครู่ก็ดึงจี้ไม้เล็กๆ ที่คล้องอยู่บนคอออกมา “คือสิ่งนี้หรือ บนตัวข้านอกจากสิ่งนี้ก็ไม่มีของพิเศษอะไรอีกแล้ว”

พอท่านอาชาเทพเห็นจี้ไม้เล็กๆ ชิ้นนั้น ดวงตาก็พลันสว่างวาบ ปากก็โพล่งขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดี “มิผิดๆ ในเมื่อเจ้ามีจี้ไม้ชิ้นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ผิดพลาดแน่นอน เจ้าก็คือคุณหนูเจ็ดที่พลัดพรากไปนานปีของพวกเราสกุลซู!”

หลังจากถูกกลุ่มคนเมื่อครู่ทำร้ายจิตใจมาแล้ว ซูเพียนจื่อก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเชื่อถือคำตัดสินอันเลินเล่อเหล่านี้อีก เพียงตั้งใจว่าจะลองฟังดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตามคำแนะนำดินแดนพันเมฆาของท่านอาชาเทพ ที่นี่ได้ชื่อมาจากบรรพตเซียนนามว่า ‘พันเมฆา’ ซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางของดินแดน โดยที่นี่มีแว่นแคว้นอยู่เพียงสามแคว้นก็คือเยี่ยนเยวี่ย หวงเกอ และยวนซิน แคว้นทั้งสามล้วนฟังบัญชาจากสวรรค์ และดำรงคงอยู่มานับแต่โบราณ จวบจนบัดนี้ก็ไม่รู้ว่านานนับกี่ปีแล้ว ฮ่องเต้ของแคว้นทั้งสามล้วนถูกคัดเลือกและแต่งตั้งโดยสวรรค์ เมื่อใดที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกำลังจะสิ้นอายุขัย โองการเทพก็จะถูกส่งลงมายังบรรพตเซียนพันเมฆาซึ่งเป็นจุดบรรจบของแคว้นทั้งสามเพื่อแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ต่อไป

ระหว่างสามแคว้นแม้จะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างในบางครั้ง ทว่าไม่เคยเกิดศึกสงครามกันมาก่อน เพราะสวรรค์ไม่อนุญาตให้รบพุ่งกันระหว่างแคว้น

ขณะเดียวกันบนดินแดนพันเมฆาก็มีตระกูลโบราณอยู่เป็นจำนวนมากด้วย นอกจากตระกูลฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมแล้ว ยังมีตระกูลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากยิ่งกว่า ก็คือตระกูลฝ่ายเป็นกลางที่ไม่จัดอยู่ในสองฝักฝ่ายนี้ โดยทุกตระกูลล้วนแต่เป็นตัวแทนของขุมกำลังชั้นยอดในแวดวงต่างๆ

อาทิ สกุลเจิ้งในกลุ่มตระกูลฝ่ายธรรมะนั้นรับราชการเป็นขุนนางกันมาหลายชั่วคน ทั้งเคยมีขุนนางฝ่ายตุลาการเป็นจำนวนมาก ขุนนางระดับสูงในราชสำนักของแคว้นทั้งสามก็มีจำนวนไม่น้อยที่มาจากวงศ์ตระกูลนี้ ในขณะที่สกุลเจิ้งคือตระกูลแถวหน้าในแวดวงตุลาการ สกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกกลับเป็นหนึ่งในตระกูลฝ่ายอธรรมที่มีนามกระฉ่อน

ซูเพียนจื่อในตอนนี้ไม่รู้แต่อย่างใดว่าเจิ้งเฮ่าอี้ที่ครู่ก่อนทำให้เธอขวัญผวาไม่เบานั้นก็มาจากสกุลเจิ้งซึ่งมีกิตติศัพท์ขจรไกลนั่นเอง กระนั้นแค่ฟังจากคำบรรยายของท่านอาชาเทพ สังหรณ์ไม่ดีก็พลันผุดขึ้นในใจอย่างเข้มข้นแล้ว

ตระกูลฝ่ายธรรมะเป็นขุนนางตุลาการ เช่นนั้นตระกูลฝ่ายอธรรมไม่ต้องให้บอกก็ต้องเป็นโจรน่ะสิ!

“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่…สกุลซูเป็นผู้นำในแวดวงอะไร” ซูเพียนจื่อถามอย่างไม่ได้กอดความหวังไว้สักเท่าไร

ใบหน้าของท่านอาชาเทพแผ่ซ่านไปด้วยรัศมีแห่งความภาคภูมิและบริสุทธิ์สูงส่ง

“พวกเราสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกสืบทอดวงศ์ตระกูลมานับหมื่นปีแล้ว บนดินแดนพันเมฆาแห่งนี้พวกเราก็คือตระกูลโบราณที่มีประวัติยาวนานที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงของ…สิบ-แปด-มง-กุฎ!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: