X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านยิ่งเกลียด (เธอ) ยิ่งเจอรัก

ทดลองอ่าน ยิ่งเกลียด (เธอ) ยิ่งเจอรัก บทที่ 4-บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 4

“ไอ้พิ พรุ่งนี้ไปรีสอร์ตของเพื่อนน้องดาวด้วยกันนะ เขาบอกว่ามีเซอร์ไพรส์ให้ข้าประหลาดใจเล่นอยู่ที่นั่น อยากรู้จริงว่าเป็นอะไร”

เอกภพถือวิสาสะเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาพร้อมกับเอ่ยชวน แต่ถูกพิรัลโบกมือใส่เป็นทำนองว่าอย่าเพิ่งรบกวน ชายหนุ่มจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ว่าง มองเพื่อนที่ทุ่มเทสมาธิให้กับงานอย่างทึ่งๆ

ถึงพิรัลจะได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มเสเพลรักสนุก แต่เรื่องงานไม่เคยเสีย…ตลอดสองวันที่พวกเขามาพักอยู่ที่นี่เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี เพราะพิรัลไม่เคยชวนเขาไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ชายหนุ่มออกสำรวจพื้นที่พร้อมผู้ช่วยและเด็กฝึกงาน โดยมีผู้จัดการไร่อำนวยความสะดวกให้ ทั้งจัดหาบ้านพักและห้องทำงานที่มีอุปกรณ์ครบครัน ส่วนตัวเจ้าของรีสอร์ตไม่อยู่ เห็นว่ายุ่งอยู่กับงานในเมือง ปลายสัปดาห์ถึงจะกลับมาที่นี่ ระหว่างนี้พิรัลจึงวางแปลนร่างแบบหยาบๆ ไว้เสนอ ถ้าถูกใจลูกค้าก็จะลงมือเขียนแบบจริงให้ละเอียดยิ่งขึ้น

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน พิรัลกำลังแก้รายละเอียดที่ไม่ถูกใจอยู่คนเดียว ส่วนผู้ช่วยกับเด็กฝึกงานแยกย้ายไปนอนหมดแล้ว ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาอยู่เกือบสิบนาทีถึงได้วางมือจากงาน หันไปหาเพื่อน

“เมื่อกี้มึงว่าอะไร จะชวนกูไปไหน”

“รีสอร์ตของเพื่อนน้องดาวไง ชื่อไปรยารีสอร์ต…อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่หรอก กูถามทางจากน้องดาวเรียบร้อยแล้ว ช่วงเช้ามึงว่างไม่ใช่เหรอ เห็นผู้จัดการว่าคุณชลธิษาจะเข้ามาดูงานตอนบ่ายสามนี่”

“ก็ใช่ แล้วมึงจะไปทำไม หรือจะไปดูที่ฮันนีมูนล่วงหน้า” พิรัลหยอดเสียงแหย่

เอกภพทำหน้าเก้อเล็กน้อย

“อย่าแซวกันน่า เมื่อกี้กูคุยกับน้องดาว…”

“จนแบตฯ เกือบหมด” พิรัลขัดขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ และหลิ่วตาล้อ “สามสิบจะสามสิบเอ็ดแล้วนะมึง ยังจะทำตัวเหมือนหนุ่มรุ่นริรักอีก แบบนี้เขาเรียกว่ากระชากวัยอย่างแรงเลยนะพวก”

“ช่างกู” เอกภพตัดบทห้วนๆ “ตกลงมึงจะไปหรือไม่ไป”

“ไปก็ได้ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าเซอร์ไพรส์ของยายน้องดาวของมึงเป็นอะไร”

 

‘เซอร์ไพรส์ของยายน้องดาว’ เดินออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีตุ่นกับกางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบเพื่อความกระฉับกระเฉง รวบผมยาวเป็นเปียเดี่ยวทางด้านหลัง ทำให้ปิ่นแก้วที่เตรียมตัวออกไปข้างนอกเช่นกันทักถามตามความเคยชิน

“วันนี้จะเข้าไร่หรือหนูปาย”

“ช่วงบ่ายอาจเข้าค่ะ ช่วงเช้าขอสำรวจแถวนี้ก่อน ฝนตกบ่อยอย่างนี้เป็นโรคง่าย ต้องดูแลดีๆ หน่อย”

หญิงสาวอธิบายเจื้อยแจ้ว ปิ่นแก้วพยักหน้าอือออไปตามเรื่อง เพราะไม่มีความรู้ความสนใจในเรื่องนี้ ผิดกับบุตรสาวที่ได้รับเลือดพ่อมาแรง สมัยที่ปพนยังมีชีวิตอยู่ พ่อลูกขลุกกันอยู่แต่ในสวน เฝ้ามองและช่วยกันตัดแต่งดอกไม้จนลืมเวลากิน เดือดร้อนให้เธอส่งคนไปตามบ่อยๆ แม้ผู้เป็นพ่อได้ล่วงลับไปหลายปีแล้ว แต่ผู้เป็นลูกก็ยังรักษามรดกที่เขาทิ้งไว้ให้อย่างดีเยี่ยม ยังคงเต็มใจดูแลงานในไร่ เป็นลูกพ่อเต็มตัวเหมือนเดิม

ไปรยาเหมือนสาวที่มีสองบุคลิกในตัว นาทีหนึ่งอาจจะเป็นสาวมั่นทันสมัย แต่อีกนาทีก็สามารถสลัดมันทิ้งไป กลายร่างเป็นสาวชาวไร่อย่างกลมกลืน

“แล้วนี่แม่จะเข้าเมืองเหรอคะ”

“จ้ะ ว่าจะแวะไปรับเสื้อที่ตัดไว้ แล้วจะเลยไปหาป้าดาของหนูด้วย”

“คราวนี้จะวางแผนหาคู่ให้ใครอีกคะเนี่ย ปายหรือพี่ภัทร์”

หญิงสาวหยอดเสียงแหย่ เรียกรอยยิ้มบนเรียวปากมารดาซึ่งแกล้งตอบทีเล่นทีจริงว่า

“ทั้งสองคนเลย”

ทำเอาไปรยาส่ายหน้าหวือ ปฏิเสธเป็นพัลวัน “ปายไม่เอาด้วยแล้วนะคะแม่ คราวที่แล้วปายยังขายหน้าไม่หาย ปายจะไม่ยอมตามใจแม่กับเรื่องแบบนี้อีกแล้วนะคะ”

“แม่ก็เสียความรู้สึกเหมือนกันล่ะ ราตรีออกจะดีแสนดี ไม่น่ามีลูกชายตาถั่วอย่างนายพิรัลเลย เสียดายจริง แม่อยากให้นายนั่นได้เห็นหนูสักหน จะได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไป มันคงสะใจพิลึกเวลาที่เราปฏิเสธเขา”

ปิ่นแก้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดอย่างจ้องจองเวรชายหนุ่มไม่เลิก ไปรยาฟังแล้วก็กลั้นยิ้มขำ

“เขาจะกลับใจมาชอบลูกสาวแม่ได้ไงคะ หน้าก็ไม่เคยเห็น แถมเขาอยู่กรุงเทพฯ เราอยู่เชียงใหม่ และเราก็จะไม่ไปยุ่งกับเขาอีกแล้วด้วย พระท่านสอนว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะ เดี๋ยวจะมีเวรกรรมผูกพันกันต่อไปเปล่าๆ เราอยู่ของเราเงียบๆ แสนสบาย”

ผู้เป็นมารดาถอนใจยอมแพ้ กระนั้นลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เธอเอ่ยต่อ

“แม่ก็ว่างั้น แต่คนเราถ้ามีเวรกรรมผูกพันกันแล้ว ทำยังไงก็เลี่ยงไม่พ้นนะหนูปาย”

“อย่าพูดเรื่องน่ากลัวอย่างนั้นสิคะ ปายไม่อยากมีเวรกรรมผูกพันกับคนพรรค์นั้นด้วย แม่อย่าพูดเรื่องอัปมงคลในเช้าที่สดใสของเราเลยค่ะ”

“นั่นสิ” ปิ่นแก้วเห็นด้วยว่าพิรัลคือสิ่งอัปมงคล ไม่ควรเอ่ยถึงให้เสียฤกษ์ จึงเปลี่ยนไปถามบุตรสาวว่า “แล้วหนูอยากได้หรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ขากลับแม่จะแวะกาดด้วย”

“ไม่ล่ะค่ะ แม่อยากกินอะไรก็ซื้อมาเถอะ ปายกินได้หมดแหละ ฝากสวัสดีป้าดาด้วยนะคะ บอกป้าเค้าด้วยว่าอย่าไปจับคู่ให้พี่ภัทร์เลย เขาไม่เล่นด้วยหรอก พี่ภัทร์ก็พอกับนายพิลึกพิลั่นลูกชายป้าราตรีแหละค่ะ หนีสุดชีวิตแน่ ปายสงสารฝ่ายหญิง ไม่อยากให้เป็นแบบปาย”

ปิ่นแก้วถอนใจเหนื่อยหน่าย ตอนแรกเธอก็นึกเห็นด้วยกับแผนการจับคู่ของพี่สะใภ้ แต่พอฟังบุตรสาวพูดก็ชักลังเล เนื่องจากเปิดประเดิมก็ชักนำให้ไปรยาอับอายขายหน้าจากการถูกปฏิเสธ ซึ่งพวกปากเปราะไม่มีอะไรทำก็ซุบซิบนินทากันสนุกปากว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่เอาไหน ผู้ชายถึงไม่เอา แล้วยังหน้าด้านเฝ้าตามตื๊อทั้งที่เขาไม่เล่นด้วยอยู่นั่นแหละ

ปิ่นแก้วไม่อยากให้หญิงอื่นพบเจอเหตุการณ์เดียวกันจึงยอมจำนน ไม่วายบ่นอย่างไม่เข้าใจ

“พวกผู้ชายนี่ยังไงน้า รักความโสดกันจริงเชียว ผู้ใหญ่อุตส่าห์หวังดี ช่วยหาผู้หญิงดีๆ ให้ กลับวิ่งหนี ทีผู้หญิงไม่ดีล่ะชอบสุงสิงนัก”

“ถ้าหมายถึงแม่ม่ายคนงามนั่น ขอบอกว่าไม่ใช่ค่ะ พี่ภัทร์ก็หนีกระเจิงเหมือนกัน เพียงแต่วิ่งหลบๆ ไม่ออกนอกหน้า ใช้ปายบังไว้” หญิงสาวแก้ด้วยรอยยิ้มเมื่อคิดถึงญาติผู้พี่ และให้ความช่วยเหลือเขาด้วยการเสริมต่อ “ปายว่าแม่กับป้าดาอย่าไปยุ่งกับพี่ภัทร์เขาเลยค่ะ ถึงเวลาเขาก็มีเอง อย่าไปเชื่อที่หมอดูบอกว่า ถ้าพี่ภัทร์ไม่แต่งงานปีหน้าแล้วจะขึ้นคานเลย…เชื่อถือไม่ได้ค่ะ”

“แต่เจ้าพ่อองค์นี้แม่นนะ” ปิ่นแก้วแย้งเสียงอ่อน ขณะที่ไปรยาถอนใจแรง…อ่อนใจกับความเชื่อของมารดาและผู้เป็นป้า บางทีอาจจะจริงอย่างที่ธีรภัทร์พูด…พวกแม่ๆ คงมีเวลาว่างมากเกินไป ไม่รู้จะทำอะไร เลยไปดูหมอให้ฟุ้งซ่านคิดมาก

“ตาหมอดูนั่นคงพูดเพื่อเอาใจแม่กับป้ามากกว่า ทำนายมาได้ยังไงว่าถ้าปายกับพี่ภัทร์ไม่ได้แต่งงานปีหน้าแล้วจะไม่มีฤกษ์ดีเป็นสิบปี แม่กับป้าเลยวุ่นวายหาคู่ให้พวกเราอยู่นี่…อีตาหมอดูนั่นขี้จุ๊ชัดๆ สักวันเถอะ ปายกับพี่ภัทร์จะไปถล่มตำหนักให้พัง โทษฐานที่ทำให้เราเดือดร้อนดีนัก” ตอนท้ายพูดอย่างมาดร้ายนิดๆ

รถยนต์สีขาวปลอดเลื่อนมาจอดหน้าบ้านขัดจังหวะการสนทนา ไปรยาจึงบอกลามารดาแล้ววิ่งตัวปลิวออกไปสำรวจพื้นที่ตามความตั้งใจ ปิ่นแก้วหยิบรองเท้าส้นเตี้ยออกมาจากชั้นวางรองเท้า เตรียมตัวออกจากบ้านไปอีกคน แต่เด็กรับใช้วิ่งหน้าเริดออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของไปรยาเหนี่ยวรั้งเธอไว้ก่อน

“ตางไก๋จากกรุงเทพฯ เจ้า…เปื้อนคุณปายจื้อคุณดาวโทรมา”

“น้องปายออกไปตะกี้นิ…มีอะหยังด่วนก่อหื้อจดไว้ เดียวน้องปายปิ๊กมาจะหื้อโทรปิ๊กไป”

ปิ่นแก้วสั่งความให้เด็กรับใช้จดเรื่องด่วนไว้ให้ไปรยาโทรกลับเสร็จ ก็เดินไปขึ้นรถซึ่งคนขับช่วยเปิดและปิดประตูตอนหลังให้ ก่อนพารถออกไปอย่างนิ่มนวล ตอนที่รถเลี้ยวออกจากไร่สวนกับรถสปอร์ตสีน้ำเงินเข้มรูปทรงโฉบเฉี่ยวคันหนึ่ง ความที่ไม่รู้ว่ารถคันนั้นเป็นของใครทำให้ปิ่นแก้วไม่ได้สนใจอะไร

แต่ถ้าเธอมีญาณวิเศษหยั่งรู้สักนิดว่าใครโดยสารมากับรถคันนั้น คงสั่งเลี้ยวรถกลับบ้านทันทีเป็นแน่!

ไปรยารีสอร์ตเต็มไปด้วยดอกไม้อย่างที่เพื่อนเขาโฆษณาจริงๆ ไม่ใช่ราคาคุย โดยเฉพาะดอกกุหลาบหลากหลายสีหลากหลายพันธุ์มีให้ชมอยู่ทั่วรีสอร์ต แม้ที่นี่จะใหญ่โตสู้ชลธิษาวิลล์ที่เขาทำงานอยู่ไม่ได้ แต่ก็มีเสน่ห์ด้วยความงามตามธรรมชาติที่รังสรรค์ให้อยู่รวมกันได้อย่างลงตัว

“คนจัดสวนที่นี่เก่งไม่เลว”

ชายหนุ่มชมจากใจจริง รู้สึกประทับใจกับบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม

เอกภพยิ้ม พิรัลเป็นคนที่พอใจกับอะไรค่อนข้างยาก ถ้าออกปากชมแปลว่าที่นี่เยี่ยมจริงๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย มิน่าดวงดาวถึงคะยั้นคะยอให้เขามานัก

ชายหนุ่มขับรถไปจอดหน้าเรือนรับรองแบบล้านนา มองลึกเข้าไปทางด้านหลัง ฝ่าไม้ยืนต้นร่มรื่นและไม้ดอกไม้ประดับที่ตกแต่งไว้อย่างน่ามอง แลเห็นเรือนพักสองชั้นขนาดใหญ่กว่าบ้านพักของนักท่องเที่ยว คาดว่าน่าจะเป็นที่พำนักของเจ้าของไร่

เอกภพแจ้งความประสงค์ขอพบเจ้าของไร่ตามที่คนรักแนะนำ หากได้รับคำตอบว่าไม่อยู่ คนหนึ่งเข้าเมือง ส่วนอีกคนอยู่ในไร่ อีกสักพักอาจจะกลับมา…พิรัลได้ยินก็เลิกคิ้วมองเพื่อนขำๆ

“นี่เหรอเซอร์ไพรส์ของยายน้องดาว กูประทับใจมาก ให้พวกเรามาเก้อนี่นะ”

“มันคงผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย” เอกภพแก้ตัว “เอาน่า ถือซะว่ากูขับรถให้มึงนั่งชมวิวเล่นแล้วกัน อย่าค่อนแคะกันนักเลยน่า”

“ไม่ได้ค่อนแคะ แค่แหย่เล่น แล้วนี่มึงจะเอาไง จะรอหรือกลับ”

“รอสักพักหนึ่งแล้วกัน เห็นว่าเธอไปดูความเรียบร้อยแถวนี้ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วนี่”

“ตามใจ งั้นข้าขอออกไปเดินดูอะไรหน่อยแล้วกัน”

พิรัลว่าพลางลุกขึ้น ในเรือนรับรองไม่มีอะไรดึงดูดสายตาและความสนใจของเขา พนักงานต้อนรับก็หน้าตางั้นๆ ไม่เข้าสเป็คเลยสักคน สู้ออกไปเดินชมอะไรข้างนอกไม่ได้

ปกติเขาไม่ใช่ผู้ชายที่พิสมัยดอกไม้สักเท่าไหร่ เห็นว่ามีประโยชน์ตรงใช้กำนัลผู้หญิงได้ทุกโอกาสก็เท่านั้น แต่เมื่อได้มาเดินอยู่ในสวนพฤกษาที่หอมรวยริน ก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าเจ้าของไร่ช่างสรรหามาปลูกนัก

กุหลาบหลากหลายสี ทั้งแดง ส้ม ชมพู เหลือง ขาว และสีลูกผสมต่างๆ กระจัดกระจายอยู่รอบสถานที่อย่างน่าชม…บางพันธุ์เคยเห็นเพราะเคยซื้อกำนัลผู้อื่น แต่บางพันธุ์ก็จนใจ ไม่รู้จัก อย่างพันธุ์ที่อยู่หลังศาลาพักร้อนเป็นกุหลาบพุ่มติดตา มีสีเหลืองอ่อน ชมพูเรื่อ และแดงในดอกเดียวกัน ดูแปลกตาแต่ก็สวยดีในความคิดเขา

ชายหนุ่มเดินสำรวจลึกเข้าไปจนถึงซุ้มกุหลาบไม้พุ่มกึ่งเลื้อยกอใหญ่ กิ่งก้านยาวโค้งพาดไปตามโครงเหล็กดัดที่ช่วยพยุง ใช้หนามเกาะยึดไว้ ดอกตูมเป็นสีชมพูเข้ม ส่วนดอกที่บานแล้วมีสีซีดจางกว่า

หญิงสาวคนหนึ่งก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าพุ่มกุหลาบแดง ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นคนงานในไร่ จนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นใช้หลังมือเช็ดเหงื่อออกจากไรผม เขาก็ชะงักมองอย่างไม่แน่ใจ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

ใช่เธอจริงหรือ

ภาพแม่สาวตาคมผมสวยที่แต่งตัวเหมือนสาวมั่น แม้จะไม่ก้าวล้ำนำสมัยกว่าใครอื่น แต่ก็ดูดีสมตัวยังตกค้างอยู่ในความทรงจำ ขัดกับภาพที่เห็นขณะนี้เหลือเกิน

บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะมีหน้าตาคลับคล้าย…

ความข้องใจทำให้เขาขยับเข้าไปใกล้ จนหญิงสาวหันขวับมามอง เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่ที่กอปรด้วยเครื่องหน้าคมสวยทุกชิ้น ไม่ผิดเพี้ยนจากภาพพิมพ์ของแม่สาวที่หักหน้าเขาเสียย่อยยับคนนั้น

“ไม่ทราบว่าเราเคยพบกันมาก่อนรึเปล่าครับ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง”

ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม ไปรยานิ่วหน้าคิด กวาดมองใบหน้าคมคายอย่างพิจารณา ค่อนข้างแน่ใจว่าเคยเจอเขามาก่อนเช่นกัน…ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มที่พาดเฉียงเล็กน้อยคุ้นตาเธออย่างบอกไม่ถูก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน สุดท้ายก็เลิกคิดและให้คำตอบเรียบๆ

“อันนี้ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

เสียงก็คล้ายแฮะ…พิรัลคิด เพิ่มความมั่นใจขึ้นนิดหน่อย

“เมื่อสามวันก่อน ผมเห็นคุณที่…” ชายหนุ่มออกชื่อห้องอาหารในโรงแรมได้อย่างถูกต้อง คิ้วเรียวของคู่สนทนาเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างพิศวง ก่อนขยับยิ้มบางๆ

“อ๋อ…ค่ะ ฉันก็ไปที่นั่นมาเหมือนกัน”

ไปรยาตอบรับทำให้ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม…ใช่เธอจริงๆ นั่นแหละ!

“เป็นชาวไร่หรือครับ”

ชายหนุ่มตั้งคำถามชวนคุยมากกว่าอยากรู้คำตอบจริงจัง แต่หญิงสาวกลับพยักหน้าอย่างพาซื่อด้วยคิดว่าตัวเองเป็นชาวไร่จริงๆ เธอเกิดและโตที่นี่ ถึงจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ หลายปีก็ไม่ได้ทำลายวิญญาณชาวไร่ให้สูญหายกลายเป็นชาวกรุงเต็มตัวสักหน่อย

“ค่ะ”

พิรัลหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อ…หน้าตาผิวพรรณแบบนี้หรือชาวไร่…เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ถึงเธอจะแต่งตัวและทำหน้าซื่อได้เหมือนมาก แต่ภาพลักษณ์เก่าที่ยังฝังแน่นอยู่ในหัวทำให้ชายหนุ่มไพล่คิดว่า นี่อาจจะเป็น ‘เกม’ หยอกเย้าลูกค้าที่แม่เจ้าประคุณชำนาญมากก็ได้

ลองเล่นตามเธอหน่อยจะเป็นไร!

“แล้วทำไร่อย่างนี้รายได้ดีไหมครับ”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะ”

หญิงสาวตอบอย่างมีมิตรจิต เป็นธรรมดาของคนที่ทำงานบริการ ต้องสร้างความประทับใจให้ลูกค้าทุกคนที่มาเยือน

ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปแตะกุหลาบข้างแก้มหญิงสาวที่นั่งสนทนากับเขา ถามเสียงนุ่มทุ้ม

“นี่กุหลาบพันธุ์อะไรครับ”

ไปรยาผงะไปทางด้านหลังเล็กน้อยอย่างตกใจ…กุหลาบมีตั้งมากมาย ทำไมต้องจับดอกที่อยู่ใกล้แก้มเธอด้วยเล่า…ความถือตัวทำให้เธอเขม้นมองเขาอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงที่ตอบกระด้างขึ้นโดยพลัน

“คาร์ดินาล (Kardinal) ค่ะ”

“สวย…”

เขาชม…แต่ตาไม่ได้มองดอกกุหลาบ กลับจ้องหน้าเธอแปลกๆ ชวนให้อึดอัดใจพิกล

วินาทีนั้นไปรยานึกอยากให้มีใครโผล่เข้ามาสักคน จะได้โอนแขกที่ชักจะไม่น่าคบคนนี้ให้พวกเขาดูแลแทน แต่เหมือนพระ (พุทธ) เจ้าไม่เข้าข้าง…ยังคงมีเพียงเธอกับเขาในสวนที่เงียบสงบ

“ถ้าคุณสนใจ เชิญไปชมที่โรงเรือนกุหลาบในไร่ดีกว่านะคะ ที่นั่นเลี้ยงกุหลาบไว้ตัดขายโดยเฉพาะ สวยกว่าตรงนี้เยอะ” บอกด้วยเสียงที่พยายามข่มให้เรียบที่สุด ถ้าไม่ติดความคิดที่ว่าเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของรีสอร์ต เธอคงลุกหนีไปโดยไม่คำนึงถึงมารยาทแล้ว

“คุณพาผมไปได้ไหมครับ”

แน่ะ! ยังจะมาทำอ้อนอีกผู้ชายคนนี้ร้ายนัก ต้องสังกัดค่าย เสือผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัยเกลียดนักผู้ชายประเภทนี้!

“คงไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมีงานต้องทำ คุณเดินตรงไปทางนี้ประมาณร้อยเมตร เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปอีกนิดก็ถึงแล้วค่ะ หลังคาที่เห็นลิบๆ นั่นไงคะ”

หญิงสาวบอกปัดพร้อมชี้ทางให้เสร็จสรรพ หวังให้เขาไปเสียที แต่คำภาวนาของเธอไม่สัมฤทธิผลเหมือนเคย เพราะชายหนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนตัวไปไหน ซ้ำยังตั้งคำถามต่ออีก

“คุณมีงานอะไร”

“ดูแลดอกไม้ค่ะ ถ้าต้นไหนติดโรคจากเชื้อราจะได้ตัดใบตัดกิ่งไปเผาทิ้ง”

“โรคจากเชื้อราอะไร”

“ก็มีหลายโรคค่ะ อย่างใบจุดสีดำนี่ก็สังเกตได้จากจุดสีน้ำตาลที่ใบกุหลาบ”

“นี่คุณเป็นชาวไร่จริงเหรอ”

ชายหนุ่มถามอย่างเอะใจ เมื่อพบว่าหญิงสาวตอบคำถามได้คล่องแคล่วนัก

“ก็ใช่น่ะสิคะ ฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่”

หญิงสาวยืนยัน ทำให้ชายหนุ่มคราง

“ผมไม่อยากเชื่อเลย…”

ไปรยาทั้งโกรธทั้งขำ ผู้ชายคนนี้ไม่เต็มเต็งหรือเปล่าเนี่ย…แรกๆ ก็ดูดีอยู่หรอก พอจะพูดคุยด้วยได้ แต่นาทีถัดมากลับกลายร่างเป็น ‘เสือ’ ทำท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนเธอนึกชัง ยังไม่ทันชินกับความรู้สึกนั้น เขาก็เผยความ ‘ปัญญาอ่อน’ ไม่เข้าใจภาษาคนออกมาให้เห็นอีกอย่าง

ตกลงเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่เนี่ย…ดี…เจ้าชู้…หรือปัญญาอ่อน

ถ้าเป็นอย่างหลังสุดก็น่าเสียดาย เพราะหน้าตากับบุคลิกเขาดูดีมากทีเดียว แต่อย่างว่า…คนเราเลือกเกิดให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ บางทีพระเจ้าอาจประทานรูปลักษณ์ที่ดูดีชดเชยเนื้อที่สมองซึ่งขาดหายไปกระมัง

“ฉันเป็นชาวไร่จริงๆ ค่ะ” เธอยืนยัน

“แล้วนี่คุณทำกิจการอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า” เขาถามสิ่งที่ข้องใจที่สุด โดยใช้สายตากินนัยประกอบคำพูด พอเห็นหญิงสาวเลิกคิ้วมองอย่างฉงน ก็ขยายความอีกนิด “ก็อย่าง…ค้าขาย…ให้บริการ”

ความที่ไม่รู้ว่ามีคน ‘คิดชั่ว’ กับตนขนาดนั้น ทำให้ไปรยาพยักหน้ารับอย่างพาซื่อ เพราะคิดว่ากิจการค้าดอกไม้และรีสอร์ตอยู่ในข่ายนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังพูดกันคนละเรื่อง

“ใช่ค่ะ ฉันโชคดีที่มีที่ทางดีและรู้จักคนเยอะ เลยทำอะไรได้หลายอย่าง”

“แล้วคุณเลือก ‘ลูกค้า’ ที่มาใช้บริการมั่งหรือเปล่า”

“สมัยนี้เลือกมากไม่ได้หรอกค่ะ แค่มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว”

“แล้วอย่างผมเนี่ยพอจะเป็นลูกค้าของคุณได้ไหม”

“ได้ค่ะ ถ้ามาพักที่นี่ก็เป็นลูกค้าของฉันแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มแค่นยิ้มสมใจ ก่อนยิงคำถามตรงจุด

“เท่าไหร่”

“คะ?” หญิงสาวเริ่มงง…ผู้ชายคนนี้ทำตัวแปลกๆ พูดจาแปลกๆ จนเธอคิดตามไม่ทันบางทีเขาอาจไม่ใช่แค่คนปัญญาอ่อนธรรมดา แต่เป็นคนบ้าที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาล ไม่ก็เป็นคนป่วยโรคจิตที่ญาติพามาพักผ่อนกับธรรมชาติก็เป็นได้

คนมีอาการทางจิตที่มองเผินๆ เหมือนคนธรรมดามีอยู่ถมไป ถ้าไม่ได้สนทนากันจริงจังอาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นบ้า มีอาการทางประสาทผู้ชายคนนี้อาจเป็นหนึ่งในนั้น

เห็นทีดวงเธอคงตกได้ที่ ไม่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ราหูคงแซงทางโค้งมากระหน่ำซ้ำเติมอีกสามทีซ้อน ถึงได้ซวยมาเจอคนไม่เต็มเต็งทั้งที่รีสอร์ตก็ออกจะกว้างขวาง

“ถ้าคุณหมายถึงค่าที่พักและอาหารก็ขึ้นอยู่กับเกรดที่คุณต้องการค่ะ”

“เลิกเล่นเกมซะทีเถอะน่า…ผมรู้ทันคุณหมดแล้ว เลิกทำท่าเป็นสาวไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวซะทีเถอะ”

ชายหนุ่มว่าอย่างหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง…เธอจะเล่นละครทำหน้าซื่อตาใสปั่นหัวเขาไปถึงไหนกันนะ

ไปรยากลืนน้ำลาย ชักเห็นท่าไม่ดี บางทีอาการทางจิตของเขาอาจกำเริบ เธอไม่ควรอยู่กับเขาตามลำพัง เกิดเขาคลุ้มคลั่งทำร้ายเธอขึ้นมาใครจะช่วยได้เล่า

หญิงสาวขยับลุกขึ้นยืนเต็มตัว แล้วกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง เพราะ ‘ตาบ้า’ นี่สูงใหญ่จริงๆ ขนาดเธอไม่ใช่ผู้หญิงเตี้ย สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เรียกว่าเป็นผู้หญิงก้านยาวคนหนึ่ง ยังเตี้ยกว่าเขาร่วมครึ่งฟุต

“ขะ…ขอโทษค่ะ ฉันมีงานต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน”

เธอตั้งท่าวิ่งหนีเลยแหละ แต่ชายหนุ่มไหวทัน คว้าข้อมือดึงร่างบางเข้ามาประชิดอกกว้างรวดเร็วนัก

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตื่นตระหนก

“ผมเบื่อเกมของคุณแล้วนะ”

“คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”

“แบบนี้คงจะเข้าใจได้มั้ง”

ว่าจบใบหน้าคมเข้มก็ฉกวูบลงมา ไปรยาผงะหนีด้วยความตกใจแต่ไม่พ้น เพราะมือใหญ่เลื่อนมาช้อนท้ายทอยเธอ บังคับให้แหงนเงยรับสัมผัสเร่าร้อนถนัดถนี่

ริมฝีปากอุ่นร้อนระรานริมฝีปากบางอย่างจาบจ้วงหยาบคาย ไปรยาตัวแข็งทื่อด้วยความช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่วินาทีเต็มๆ ก่อนสะบัดตัวออกอย่างแรง ทั้งผลักทั้งดันร่างสูงออกไปจากตัว แต่ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นขึ้น…หยาดน้ำใสเอ่อคลอตางามอย่างแค้นใจ มือบางกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ จนสมใจแล้วชายหนุ่มถึงได้ผละออก ร่างบางทำท่าจะทรุดฮวบ หากมือใหญ่โอบรั้งเอวบางไว้ได้ทันท่วงที

พิรัลเลิกคิ้วเข้มมองหญิงสาวอย่างยั่วเย้า

“ถึงกับทรุดเลยหรือทูนหัว…แบบนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม”

“คนชั่ว!”

ไปรยาแว้ดเสียงดังติดสั่นนิดๆ และเร็วกว่าชายหนุ่มจะคาดคิด มือที่กำแน่นก็ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าคมเข้มในลักษณะกึ่งตบกึ่งชกจนหน้าหันไปทางหนึ่ง จังหวะที่เขากำลังงง จับต้นชนปลายไม่ติด เธอก็ฉวยโอกาสผลักร่างสูงออกจากตัวสุดแรงโกรธ

โชคร้ายที่ชายหนุ่มยืนอยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสม เมื่อถูกผลักจึงผงะไปชนพุ่มกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมทางด้านหลัง ทำเอาสะดุ้งเฮือก ไม่ทันได้ผละหนีจากจุดนั้น ไปรยาก็คว้าบัวรดน้ำที่วางทิ้งอยู่แถวนั้นเหวี่ยงใส่อีกใบ ความที่ยกสองแขนขึ้นกันทำให้เขาเสียหลักหงายหลังลงไปในพุ่มกุหลาบทั้งตัว

“โอ๊ย! ยายบ้า”

ก้านแข็งๆ หักทิ่มตัว หนามแหลมคมทั้งเกี่ยวทั้งตำ เรียกเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากชายหนุ่ม แต่ ‘ยายบ้า’ ไม่อยู่ชมผลงาน วิ่งหนีไปเรียบร้อยแล้ว…

 

น้ำตาไหลอาบแก้มไปรยาเป็นทาง…เกิดมาเป็นตัวเป็นตนได้ยี่สิบสามปี ไม่เคยมีใครหยาบหยามเธอขนาดนี้มาก่อน เธอแค้นนักแค้นมากถูก คนบ้าจูบเข้าได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

หญิงสาวใช้หลังมือถูริมฝีปากแรงๆ หวังลบรอยที่ถูกสัมผัสออก แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ เพราะมันฝังแน่นในใจยากจะลบเลือนแล้ว

“คุณปาย” เด็กรับใช้ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นนายสาววิ่งขึ้นบ้านมาด้วยใบหน้านองน้ำตา “คุณปายเป็นอะหยังเจ้า!”

“อย่าเพิ่งมายุ่งกับฉันนะแม้ว จะไปไหนก็ไป!”

“คะ…คือว่า คนจากบ้านปู้นโทรมาบอกว่ามีคนไค่ปะคุณปาย…เปิ้นบอกว่าเป๋นเปื้อนคุณดาวเจ้า”

เด็กสาวที่ถูกไล่อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้รายงานให้รู้ว่ามีคนรอพบอยู่ที่เรือนรับรอง ไปรยาชะงักกึก หันไปถามว่าเป็นใคร แต่เด็กรับใช้ไม่รู้จักจึงไม่มีคำตอบให้ หญิงสาวจำต้องล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนออกไปรับแขกด้วยตัวเอง…คิดว่าดีเหมือนกันถ้ามีเพื่อนมาให้ปรับทุกข์สักคน

แต่พอเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่รออยู่ในห้องรับแขก เธอก็ทำหน้างง เช่นเดียวกับอาคันตุกะหนุ่ม

“คุณคือคุณปายเหรอครับ…ผมชื่อเอกภพ คือ…น้องดาวแนะนำให้ผมมาพบคุณที่นี่”

ชื่อนั้นทำให้หญิงสาวถึงบางอ้อ พอจะจำได้เลาๆ ว่าเขาเป็นใคร…ว่าที่เพื่อนเขยที่ผ่านการพิสูจน์ลายเสือคนนั้นเอง

ไม่ทันที่เธอกับเขาจะได้สนทนากัน ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมเสียงบ่นพึม

“เจ็บฉิบเลยว่ะไอ้ภพ ยายนั่นเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ผลักข้าเข้าไปในดงกุหลาบได้”

พิรัลเดินเข้ามาโดยลูบแขนป้อยๆ นิ่วหน้าครางซี้ด ก่อนชะงักเมื่อเห็นคู่กรณีสาวยืนเด่นอยู่ในห้อง

“เธอ!”

“นาย!”

ความเข้าใจของไปรยาแตกตัวทันที…นี่เอง…ที่เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มที่ปล้นจูบแรกไป ไม่ใช่เพราะเคยเจอกันโดยบังเอิญที่ห้องอาหารกลางเมืองเชียงใหม่ แต่เคยเจอกันที่กรุงเทพฯ…ในคืนพิสูจน์ลายเสือ

ตอนนั้นชายหนุ่มมาเกาะแกะเธอ ทำท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่ จนเธอคิดว่าเขาเป็นคนบ้ากาม ซึ่งก็ไม่ผิดจริงๆ…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี

“นายนี่เอง…”

เธอเค้นเสียงพูด นัยน์ตาวาววับ หันไปหาเอกภพที่ยืนงง

“ฉันยินดีที่ได้รู้จักคุณนะคะคุณเอกภพ และจะยินดีต้อนรับคุณมากกว่านี้ ถ้าเพียงแต่คุณจะไม่พาเพื่อนชั่วของคุณมาด้วย สำหรับตอนนี้…ขอเชิญคุณกับเพื่อนของคุณออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”

บทที่ 5

ไปรยาไม่ได้ไล่พวกเขาแค่คำพูด แต่ทำถึงขนาดเรียกคนงานในไร่มากระหนาบพวกเขาไปส่งถึงรถ ทำเอาสองหนุ่มหน้าชาดิก เพราะไม่เคยถูกไล่ซึ่งหน้าแบบนี้มาก่อน พออยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องโดยสารของรถสปอร์ตกำลังแรงสูง เอกภพก็ระเบิดใส่เพื่อนทันควัน

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะไอ้พิ มึงไปทำอะไรเขา เขาถึงได้ไล่เราออกจากไร่แบบนี้!”

“ก็แค่…” พิรัลอิดออด ไม่อยากบอกเรื่องที่ตัวเองเสียฟอร์มเท่าไหร่ แต่สายตาคาดคั้นเอาเรื่องทำให้เขาต้องเปิดปากเล่าย่อๆ เพียงแค่นั้นเอกภพก็ครางอย่างรู้ชะตากรรม

“กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกไล่ไม่ไว้หน้าแบบนั้น ไม่ถูกสาดน้ำไล่หลังมาด้วยก็บุญโขแล้ว ดันทะลึ่งไปลวนลามเขาได้”

“ก็คิดว่าตกลงราคากันได้นี่หว่า” เพื่อนหนุ่มแก้ตัวอุบอิบ ไม่วายบ่นอย่างมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก “กูล่ะไม่เข้าใจจริงๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไร ทำไมยายนั่นถึงได้เป็นเพื่อนน้องดาวและเป็นเจ้าของรีสอร์ตนี้ได้ มึงรู้หรือเปล่าวะ กูงงไปหมดแล้ว”

“อย่าว่าแต่มึงจะงงเลย กูเองก็งงเหมือนกัน ยายคุณปายนั่นเป็นเพื่อนน้องดาว แล้วทำไมเขาถึงมาทำอย่างนั้นกับกูวะ” เอกภพปรารภกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ หากเพื่อนหัวครีเอทกลับมอบคำตอบให้ฉับไว

“เผงเลย! ยายนี่ต้องหักหลังเพื่อน หวังเคลมมึงแหง”

ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้สองมือจับพวงมาลัยไว้ให้มั่น เพราะมีโค้งรูปตัวเอสรออยู่เบื้องหน้า เอกภพก็อยากยกสองมือกุมขมับด้วยนึกปวดหัวกับจินตนาการอันเพริศแพร้วของเพื่อนขึ้นมากรุ่นๆ

“เลิกคิดเองเออเองซะทีเถอะวะไอ้พิ โดนหนามกุหลาบเข้าไปขนาดนั้น ยังคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงพรรค์นั้นอยู่อีกเรอะ! กูเตือนแล้วว่าเขาไม่ใช่ มึงก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ…ถูกตีนกา…ไม่สิ…เจอแม่เสือสาวตะปบเข้าไปที สมใจไหม”

พิรัลทำตาขุ่นใส่เพื่อน ก่อนสูดปากด้วยความเจ็บเมื่อรถกระเด้งกระดอนเพราะพื้นผิวถนนขรุขระ ทำให้คนขับส่ายหัวอย่างสมเพช

“อยู่ดีไม่ว่าดี รนหาเรื่องแท้ๆ คืนนี้ได้นอนสะดุ้งทั้งคืนแน่ไอ้พิเอ๋ย…”

“อย่ามาทับถมกันนักเลยน่า ยังไงกูก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่”

“พอเลยเพื่อน พอเลย” เอกภพรีบปรามด้วยนึกกลัวว่าแทนที่จะได้ความกระจ่าง จะพันเกลียวกลายเป็นเรื่องใหญ่หนักกว่าเก่า “มึงวางมือกับเรื่องนี้ดีกว่า ปล่อยให้กู จัดการเองเหอะ”

“มึงจะจัดการยังไง”

“ก็โทรถามน้องดาว”

“งั้นก็โทรเลย”

พิรัลพูดพร้อมกับหยิบมือถือที่วางอยู่บนคอนโซลหน้ารถส่งให้เพื่อน ซึ่งหันมาแยกเขี้ยวใส่ราวกับพ่อสิงโตดุลูก

“ทางโค้งบนเขา มึงยังจะให้กูขับไปคุยไปอีกเรอะ!”

“ก็ใช้แฮนด์ฟรีสิโว้ย”

ผู้โดยสารว้ากตอบอย่างร้อนรน จัดการหาอุปกรณ์และถามเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายหญิง บริการกดให้เสร็จสรรพ เอกภพมองอย่างหมั่นไส้ระคนขวางก่อนเลิกสนใจเมื่อได้ยินเสียงตอบรับของคนรักสาว

“น้องดาวหรือจ๊ะ พี่ไปที่ไปรยารีสอร์ตมาแล้วนะ เจอเพื่อนของน้องดาวด้วย…ใช่…พี่แปลกใจมากที่ได้เจอเขาที่นั่น…ว่าแต่น้องดาวรู้ได้ไงว่าพี่เคยพบกับเพื่อนคนนี้มาก่อน อ๋อ…คืนนั้นน้องดาวก็ไปกินข้าวที่นั่นด้วยเหรอ…เห็นพี่ด้วย แต่ไม่เข้ามาทักนี่ ใจดำจริง” ชายหนุ่มต่อว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนตัวแข็งทื่อ เหยียบเบรกพรวด เมื่อคนรักสาวเล่าเรื่องในคืนนั้นให้ฟังเจื้อยแจ้ว

“อะไรนะ! แผนลองใจพี่ โอ๊ย…พี่อยากจะบ้า!”

เอาเข้าจริงแล้วคนที่อยากจะบ้าไม่ใช่เอกภพ แต่เป็นพิรัลต่างหาก ชายหนุ่มมึนงงยิ่งกว่าถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้าสามทีซ้อนและถูกกระทืบซ้ำจนจมดิน เมื่อเพื่อนถ่ายทอดเรื่องราวที่รู้มาให้ฟังอย่างหมดเปลือก

“นั่นเป็นแผนลองใจกู คุณปายเธอเป็นเพื่อนสนิทของน้องดาว เรียนมหา’ลัยเดียวกัน จบพร้อมกัน พอเรียนจบเธอก็กลับมาช่วยแม่ดูแลไร่รีสอร์ต ฉะนั้นไอ้ที่มึงคิดว่าเขาชั่วโมงบินสูงมาหาเหยื่อไกลถึงเชียงใหม่น่ะตกไปได้เลย เพราะเขามีบ้านอยู่ที่นี่ นานๆ ถึงจะลงกรุงเทพฯ สักที”

“แล้วที่ว่าทำกิจการค้าขายให้บริการนั่นก็…”

พิรัลคราง พูดไม่ออก เอกภพจึงต่อให้อย่างเดาได้ไม่ยาก

“เธอคงหมายถึงไร่ดอกไม้กับรีสอร์ตมั้ง นั่นก็เข้าข่ายค้าขายให้บริการนี่หว่า”

“แล้วเขาก็ไม่อธิบายให้กูเข้าใจ”

“นี่มึงจะโทษเขาอีกแล้วเหรอ กูว่าเขาคงคิดไม่ถึงมากกว่ามั้งว่าหน้าตาดีๆ จะคิดชั่วกับเขาได้ ป่านนี้คงรู้ซึ้งแล้วว่ามึงมันหน้าเนื้อใจเสือ คงจะแช่งชักหักกระดูกไม่ขาดปาก”

“โอย…” พิรัลครางอีกรอบ…นี่เขาผิดพลาดขนาดนั้นเชียวหรือ

ภาพใบหน้างามปริ่มน้ำตาผุดขึ้นมาในความทรงจำ…ไปรยาคงโกรธแค้นเขามาก…ก็สมควรอยู่หรอก เพราะสิ่งที่เขาทำไปมันหยามเกียรติกันเกินกว่าจะอภัยได้จริงๆ

ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด ไม่เคยรู้สึกผิดขนาดนี้มาก่อน แล้วไอ้เพื่อนตัวดีก็ช่วยตอกย้ำไม่ขาดปาก

“ทีตอนนี้ล่ะร้องโอย…ทีตอนทำล่ะไม่คิด กูบอกแล้วว่าเขาเป็นผู้หญิงดี มึงก็ไม่เชื่อ”

“เลิกทับถมกันสักทีได้ไหมวะ คนกำลังใช้ความคิดหนักอยู่นะโว้ย”

“มึงจะคิดฟุ้งซ่านอะไรอีก ไอ้เรื่องคิดเองเออเองน่ะเลิกเสียที…กูรู้ว่าจินตนาการมึงบรรเจิด แต่ใช้มันให้ถูกทางบนแปลนเขียนแบบเถอะ แค่นี้กูก็จะบ้าตามมึงอยู่แล้ว นี่พามึงไปหาหมอเสร็จ คงต้องขอให้เขาจ่ายยาแก้ปวดหัวไม่ก็ยาระงับประสาทให้ตัวกูเองสักชุด มึงรู้ไหม…น้องดาวซักกูใหญ่เลยว่าทำไมอยากรู้เรื่องเพื่อนเค้า แล้วเรื่องแบบนี้บอกได้ที่ไหน บอกไปก็มีแต่พังสถานเดียว โว้ย…คิดแล้วกลุ้ม อยากจะบ้า!”

เอกภพจบการบ่นยืดยาวด้วยการถอนใจหลายเฮือก เล่นเอาเพื่อนหนุ่มหน้าจ๋อยเหลือสองนิ้ว อุบอิบบอกอ่อยๆ อย่างสำนึกผิด

“เออน่ะ เลิกแล้วไอ้เรื่องคิดเองเออเองน่ะ นี่กูก็คิดจะขอโทษเขาอยู่”

คำตอบนั้นทำเอาเอกภพตาค้าง มองเพื่อนเหมือนเห็นเขางอกออกจากหน้าผาก เพราะน้อยครั้งจนแทบไม่เคยเห็นที่พิรัลจะมีความคิดเช่นนี้

“มึงคิดจะขอโทษเขา!”

“เออ” รับคำหนักแน่นนัก

“กูไม่อยากเชื่อเลย…”

“เชื่อเถอะ…เพราะกูตั้งใจทำจริง” ชายหนุ่มยืนยัน และเสริมต่อ “มึงก็รู้นี่ว่ากูไม่ชอบติดค้างอะไรกับใคร แค่ออกปากขอโทษก็ไม่ได้เสียศักดิ์ศรีสักหน่อย อย่างมากก็แค่เสียหน้าที่เข้าใจเขาผิดมาตลอด…ก็เท่านั้น”

ชลธิษากลับรีสอร์ตโดยพกพาความขัดใจในตัวธีรภัทร์กลับไปด้วย ไม่เข้าใจว่าเขาโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ถึงไม่ยอมรับไมตรีที่เธอเพียรทอดให้

หลายวันที่ผ่านมาหลงดีใจคิดว่าทางสะดวก เพราะไม่มีญาติตัวแสบของเขาเป็น ก.ข.ค. แต่ชายหนุ่มกลับหลบเลี่ยงได้ตลอด สู้อุตส่าห์โทรศัพท์หาเขาจนมือหงิก แต่เลขาฯ หน้าห้องกลับไม่ยอมโอนสายให้พูดด้วย บอกว่าเขางานยุ่ง ให้ฝากข้อความทิ้งไว้ ถ้าเขาอยากพูดด้วยก็คงโทรกลับเอง เธอได้แต่กัดฟันกรอดอย่างแค้นใจ รู้ดีว่าถูกกีดกัน เพราะเลขาฯ สาวใหญ่เป็นคนที่แม่เลี้ยงธีรดาส่งมากระหนาบลูกชายคนเดียวโดยเฉพาะ

เมื่อติดต่อกันทางเสียงไม่ได้ เธอก็ลงทุนพาตัวเองไปหาถึงถิ่น แต่ชายหนุ่มกลับยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานเอกสารจนแทบไม่มีเวลาคุยหรือออกไปไหนทำให้เธอหงุดหงิดทบทวี

นี่ถ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่า หรือดีพอฟัดพอเหวี่ยง…เธอจะโบ้ยเขาทิ้งอย่างไม่เสียดายเลยจริงด้วย!

คนขับรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตูตอนหลังให้เธอก้าวลงไปเหมือนนางพญา มีผู้จัดการไร่และแม่บ้านมายืนรอรับเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์ตามระเบียบที่วางไว้

“เป็นไง ที่นี่เรียบร้อยดีไหม”

“เรียบร้อยดีครับ” ผู้จัดการวัยกลางคนตอบอย่างนอบน้อม “นี่ผมนัดสถาปนิกจากกรุงเทพฯ ให้มาพบคุณชลตอนบ่ายสาม”

“ความจริงเธอจัดการไปให้หมดเลยก็ได้ เพราะฉันก็ไม่รู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ อีกอย่างบริษัทนี้ก็มีชื่อเสียงมาก ได้มาทำงานให้ก็น่าจะการันตีผลงานได้ดีอยู่แล้วนี่”

ชลธิษาบอกด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ก่อนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นรถสปอร์ตสีน้ำเงินเข้มแล่นไปจอดหน้าบ้านพักรับรองทางขวามือ พอเห็นชายหนุ่มร่างสูงสองคนที่ก้าวออกมาจากรถ ดวงตาเธอก็ลุกวาบด้วยความถูกสเป็ค เพราะคนหนึ่งหล่อสวยสำอาง ส่วนอีกคนหล่อเข้มคมคาย เร้าใจไม่แพ้กัน

“สองคนนั่นใครน่ะ” ถามเสียงร้อนรนนิดๆ

ผู้จัดการเลิกคิ้วฉงน มองตามสายตานายจ้าง แล้วให้คำตอบฉับไว

“พวกที่มาทำงานจากกรุงเทพฯ ไงครับ ผมจัดให้พวกเขาอยู่ที่นั่น คุณชลมีอะไรขัดข้องหรือเปล่าครับ”

“ไม่มี แต่ไปเลื่อนนัดเขาเป็นบ่ายสามครึ่งแล้วกัน ฉันกลับมาเหนื่อยๆ อยากอาบน้ำแต่งตัวก่อน”

“ครับ” ผู้จัดการรับคำโดยไม่นึกแปลกใจว่า ทำไมนายสาวถึงเปลี่ยนท่าทางเป็นกระตือรือร้นทันตาเห็นแบบนั้น…คงเป็นเพราะสองหนุ่มหล่อชาวกรุงนั่นแหละ

ชลธิษาเป็นอย่างนี้เสมอ…บ้าผู้ชาย บ้าคนหล่อ!

 

“ไอ้พิ ไอ้เพื่อนเวร!”

พิรัลกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เพราะเจ็บหลังจากการถูกหนามกุหลาบตำจนนอนหงายไม่ไหว ใกล้จะเคลิ้มหลับเพราะยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบที่กินเข้าไปกำลังออกฤทธิ์ เอกภพก็ปึงปังเข้ามาในห้องอย่างเจ๊กตื่นไฟ ทั้งที่แถวนี้ไม่น่าจะมีอัคคีภัยเพราะฝนห่าใหญ่เพิ่งตกลงมาเมื่อครู่

“อะไรอีกวะไอ้ภพ ขอกูนอนสักชั่วโมงเถอะ กินยาเข้าไปง่วงฉิบ ไว้บ่ายสองครึ่งค่อยมาปลุกใหม่แล้วกัน ขอบใจล่วงหน้านะเพื่อน” ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นพูดจบก็นอนพังพาบต่อ หากเอกภพไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ตะปบบ่ากว้างให้หันกลับมาพูดกันใหม่

“มึงทำเรื่องใหญ่ลงไปแล้วรู้ไหม น้องดาว…น้องดาวเค้ารู้เรื่องหมดแล้ว เค้าโทรไปหาคุณปาย และโทรมาด่ากูใหญ่เลยว่าคบเพื่อนชั่ว ไม่ให้เกียรติผู้หญิง มึงก็รู้นี่ว่าเค้าไม่ค่อยชอบขี้หน้ามึงอยู่แล้ว พอมารู้เรื่องนี้เข้าก็พาลโกรธใหญ่”

“แล้วไม่ได้บอกเขาไปเหรอว่ากูเข้าใจผิด และพร้อมจะขอโทษเพื่อนเขาด้วย”

“บอกแล้ว แต่น้องดาวเขาโกรธมาก ไม่ยอมฟังอะไรเลย แล้วเขาก็…เขาก็…” เอกภพทำหน้าเหมือนเจ็บปวดเสียเต็มประดา “ประกาศลดความสัมพันธ์กับกูจากว่าที่คู่หมั้นเหลือแค่แฟนน่ะ มึงเข้าใจไหม!”

“หา!” พิรัลตาค้าง แทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “ยายน้องดาวของมึงกล้าพูดขนาดนั้นเชียวเรอะ!”

“เออสิ…น้องดาวบอกว่าถ้ากูไม่เลิกคบเพื่อนชั่วที่ไม่สร้างความเจริญให้อย่างมึง ก็จะถูกลดความสัมพันธ์เป็นแค่คนรู้จัก…แต่ไม่ใช่แฟนในไม่ช้านี้แน่!”

คนฟังทำหน้าพิลึก อยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก ได้แต่ยกมือเกาหัวแกรก

“ทำไมมันยุ่งอย่างนี้วะ”

“ก็เพราะความชุ่ย มักง่ายของใครล่ะ หน็อย…ทำคุยว่าเป็นเสือ สุดท้ายก็เป็นแมวลายเสือ!”

โดนไม้นี้เข้าพิรัลก็ถึงกับอึ้ง อับจนหนทางเถียง…ความผิดที่ก่อขึ้นโดยประมาทกลายเป็นชนักติดหลังอันโต แกะยังก็ไม่ออก ทำได้แค่ก้มหน้าแบกรับความอับอายนี้ไว้ต่อไป

“จริงน้าไอ้พิ…” น้ำเสียงของเอกภพอ่อนลงเล็กน้อย มีความระอาใจมากกว่าหงุดหงิดเหมือนเมื่อครู่ “ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นพี่ยายเพิร์ล กูตื้บมึงติดซีเมนต์จริงๆ ด้วย ดีแต่หาเรื่องยุ่งมาให้”

“นี่มึงเห็นแก่ยายเพิร์ลมากกว่ากูอีกเรอะ”

“เออสิวะ ก่อนเดินทางมานี่ ยายตัวยุ่งนั่นพูดอย่างกับรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ฝากฝังมึงไว้กับกูใหญ่ บอกให้ทนๆ มึงหน่อย ตอนนั้นกูยังล้อยายตัวยุ่งเลยว่าพูดจาเหมือนแม่ที่ลูกสาวจะออกเรือน คิดไม่ถึงจริงๆ…”

วิศวกรหนุ่มผู้ถูกหางเลขพายุถอนใจแรง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุดแล้วพูดต่อ

“เรื่องอะไรกูก็ทนได้ แต่ไอ้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับน้องดาวนี่สิ…เหลือทนจริงๆ ให้ตายเถอะ! นี่กูคิดถูกหรือผิดวะที่มากับมึง อยู่ดีไม่ว่าดี วอนหาเรื่องติดร่างแหไปด้วยจนถูกน้องดาวโกรธอยู่นี่”

“ผู้หญิงโกรธแปลว่าผู้หญิงรัก”

พิรัลบอกหน้าตาย หวังแหย่ให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี แต่เอกภพไม่รับมุขเหมือนทุกครั้ง แสยะเขี้ยวใส่ ทั้งยังย้อนเข้าให้อย่างเจ็บแสบ

“อ้อ งั้นที่โกรธขนาดชกหน้า แล้วผลักเข้าดงกุหลาบต่อนั่น คงพิศวาสเกินห้ามใจเลยสิท่า”

‘คนถูกพิศวาส’ เหลือกตาขึ้นข้างบน นึกอยากชกปากตัวเองสักที ค่าที่ไม่รู้จักคิด เปิดโอกาสให้เพื่อนกัดเอาได้ (ก็ได้แต่นึกนะ เอาเข้าจริงแล้วไม่ทำหรอก ธุระอะไรจะทำร้ายตัวเองให้เจ็บตัวฟรีล่ะ)

“อย่ารวนกันนักเลยน่า มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำยังไงยายน้องดาวถึงจะหายโกรธ”

เอกภพถอนใจอีกครั้ง ถ้าวลีที่ว่า ‘ถอนใจหนึ่งครั้งแก่ไปหนึ่งปี’ เป็นความจริงล่ะก็…วันนี้วันเดียวเขาคงแก่หง่อม ผมขาวโพลนไปหมดทั้งหัวแล้ว ดีไม่ดีอาจร่วงโกร๋นจนล้านเลี่ยนอีกต่างหาก

ถึงพิรัลจะหาเรื่องยุ่งยากมาให้ยังไง มันก็ยังเป็นเพื่อนคนสำคัญ…คบหากันมานานเกือบยี่สิบปี จะให้เลิกคบกันง่ายๆ อย่างที่ดวงดาวแนะเขาก็ทำไม่ได้

โบราณว่าได้อย่างเสียอย่าง แต่สำหรับเรื่องนี้เขาจะไม่ยอมเสียสักอย่าง

จะคบทั้งเพื่อนและยึดคนรักไว้พร้อมกันจนได้นั่นแหละ!

“กูว่ามึงรีบไปขอโทษคุณปายเร็วๆ ดีกว่า ถ้าเขาหายโกรธ น้องดาวก็คงหายโกรธด้วยล่ะ”

เอกภพเสนอวิธีเดียวที่นึกออกทำให้เพื่อนหนุ่มหน้าม่อย อุบอิบบอกแหยงๆ

“พูดง่ายแต่ทำยากนา…ยายนั่นดุยังกับเสือ แถมตอนนี้เป็นเสือแค้นด้วย…ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมีหวังถูกตะปบตายแหง”

ทั้งที่นัดพบคณะสถาปนิกจากเมืองกรุงไว้ตอนบ่ายสามครึ่ง แต่กว่าแม่ม่ายสาวจะนวยนาดลงมาชั้นล่างได้ก็ครึ่งค่อนชั่วโมงหลังจากนั้น ด้วยเสียเวลาไปกับการเลือกเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมอย่างประณีต เพื่อสร้างความประทับใจให้ชายหนุ่มที่สะดุดตาแต่แรกเห็น และการปรากฏตัวของเธอก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้จริงๆ

ห้าหนุ่มนิ่งมองผู้ว่าจ้าง สามคนมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกสองคนเพียงแค่ยิ้มอ่อนๆ ให้อย่างสุภาพ หากอะไรบางอย่างบอกให้รู้ว่าพวกเขามี ‘ระดับ’ กว่าอีกสามคนที่มาด้วยกัน ยิ่งพอรู้ว่าคนหนึ่งเป็นลูกชายไพศาล…อธิบดีมือสะอาดจนลือชื่อในวงการ ขณะที่อีกคนเป็นลูกชายนายทหารที่ลาออกจากราชการไปเล่นการเมือง ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็น ส.ส. ระบบปาร์ตี้ลิสต์ของพรรครัฐบาล…ชลธิษาก็เกิดความคิดว่าผู้ชายสองคนนี้ใช้ได้…ไม่ใช่หล่อแค่รูป ยังมีชื่อสกุลและฐานะทางสังคมที่จัดได้ว่าดีมากอีกด้วย

ภาพของธีรภัทร์ที่เคยเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเสมอมาเริ่มคลอนแคลน เมื่อตัวเลือกอันดับสองและสามซึ่งโดดเด่นไม่แพ้กันโผล่ออกมา…แม่ม่ายสาวจึงเจรจากับพวกเขาอย่างอ่อนหวาน

“ดิฉันยินดีมากที่ได้คุณสองคนมาทำงานให้”

“เช่นกันครับ ไม่ทราบว่าคุณชลธิษาจะดูแบบที่ผมร่างไว้เลยหรือเปล่า เผื่อว่าอยากให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรตรงไหน ผมจะได้จัดการให้”

“ไม่ต้องเรียกกันเต็มยศอย่างนั้นหรอกค่ะ เรียกดิฉันว่าชลสั้นๆ ก็ได้”

“ครับคุณชล”

พิรัลยอมทำตามโดยง่าย จึงได้รับรอยยิ้มหวานยิ่งกว่าน้ำตาลกลูโคสเป็นรางวัล…มีรอยเชิญชวนแฝงอยู่ในดวงตาและริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปสติกสีแดงสด เอกภพเองก็มองเห็นและรับรู้ได้เช่นกัน

ถ้าเป็นแต่ก่อนที่ยังใช้ชีวิตโสดตามความพอใจ เขาคงสานไมตรีกับแม่ม่ายสาวต่อได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้เขามีดวงดาวเป็นเจ้าหัวใจ ไม่อยากทำให้เธอเสียใจ จึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่รักสนุกเหมือนเก่า

ชายหนุ่มเหล่มองเพื่อนอย่างหยั่งเชิง ถ้าเปรียบฝ่ายหญิงเป็นไฟ ฝ่ายชายก็เป็นแก๊ส มาเจอกันคงได้ลุกติดพึ่บพั่บ…แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นตรงข้าม ชวนให้ประหลาดใจอย่างยิ่งยวด เพราะพิรัลไม่มีท่าทีตอบสนอง เอาแต่พูดเรื่องงาน…ดวงตาดำคมนิ่งลึก ไม่ฉาบประกายแพรวพราวอย่างชายหนุ่มเจ้าสำราญคนเก่า

เกิดอะไรขึ้น พิรัลที่เขารู้จักนั้นไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงสวย แล้วสิ่งที่เขาเห็นนี่มันอะไรกัน หรือยาที่หมอสั่งให้มีผลข้างเคียงกับพฤติกรรมของพิรัลหว่า

 

หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จ ชลธิษาก็เชิญพวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกันต่อ หญิงสาวเอาใจใส่พวกเขาเป็นอย่างดี ชวนคุยนู่นนี่ไม่ขาดปาก หากพิรัลกลับสำรวมตนได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เขาถนอมคำพูดแทบจะนับประโยคได้ ปล่อยให้เพื่อนกับผู้ช่วยสนทนากับแม่ม่ายสาวเสียเป็นส่วนใหญ่

“เป็นอะไรไปวะไอ้พิ วันนี้ดูมึงฝ่อผิดปกติ”

พอกลับถึงที่พัก เอกภพก็ยิงคำถามคาใจใส่เพื่อนที่ทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียงนุ่มทันที

“ยอมฝ่อวันหนึ่งว่ะ ไม่ไหว…”

“อย่าบอกนะว่ามึงกลุ้มเรื่องที่น้องดาวโทรมาด่าจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร”

เอกภพถามอย่างไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะเกิดสำนึกดีงามขึ้นในใจ ซึ่งพิรัลก็แสดงออกให้รู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ด้วยการผงกหัวขึ้นแยกเขี้ยวใส่

“ใช่ที่ไหนเล่า ยายน้องดาวของมึงไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับกูเลยสักนิด ที่ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรนี่เป็นเพราะกูปวดระบมไปหมดทั้งตัวต่างหาก”

เอกภพมองเพื่อนตาค้าง ก่อนหัวเราะก๊าก แทบจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนโซฟายาวด้วยความขัน

“โอย ไอ้พิ หมดมาดเลยว่ะ จูบสาวในสวนดอกไม้ คิดดูแล้วมันสุดแสนจะโรแมนติกเหมือนตอนจบในเทพนิยาย แต่เรื่องของมึงไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งว่ะ พระเอกถูกนางเอกผลักเข้าดงกุหลาบด้วยความแค้น แทนที่จะเป็นหนังรักโรแมนติก กลับกลายเป็นหนังลูนาติก (Lunatic) ไปฉิบ ฮะฮ่ะฮ่า…”

พิรัลมองเพื่อนขวางๆ อยากยันมันสักพลั่ก แต่ก็จนใจเพราะมันอยู่ห่างรัศมีเท้าเกือบสองเมตร และตอนนี้เขาก็ระบมจนไม่อยากขยับเขยื้อนด้วย จึงนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างอดทน คิดว่าถ้าพ้นจากเลขสิบไปแล้วมันยังไม่หยุดหัวเราะ คงต้องหาอะไรเขวี้ยงปากให้หยุดล่ะ

นับได้ถึงเก้า…เสียงหัวเราะก็ซาลงเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ ความที่อยู่ใกล้ เอกภพจึงเอื้อมมือไปหยิบมากดปุ่มตอบรับ แล้วก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วรัวเร็วราวกับปืนกลสวนขึ้นฉับไว

“ฮัลโหล พี่พิเหรอ แม่ให้เพิร์ลโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบว่าเป็นไง ยังอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่า พี่โทรมาบ้านครั้งเดียวตอนถึงเชียงใหม่ แล้วก็ไม่โทรกลับมาอีกเลย แม่เขาเป็นห่วงนะ อ้อ แล้วซื้อของฝากให้เพิร์ลเรียบร้อยแล้วรึยัง อย่าลืมนะ ไม่มีของฝากไม่ให้เข้าบ้าน”

“เดี๋ยว…เดี๋ยว…ยายตัวยุ่ง นี่พี่ภพนะ ไม่ใช่พี่พิของเรา”

พอสบช่องอีกฝ่ายหยุดหายใจ เอกภพก็รีบบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ อดคิดไม่ได้ว่าพี่น้องคู่นี้น่าขำพอกัน เพียงแต่กับคนน้อง เขามีความเอ็นดูให้ค่อนข้างมาก เพราะเคยเห็นกันมานาน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอายุแค่ขวบเศษ เดินเตาะแตะ พูดจาไม่รู้ความ จึงรักใคร่เอ็นดูไม่ต่างจากน้องสาวคนหนึ่ง

“อ้าว พี่ภพเองเหรอคะ ขอโทษค่ะ เพิร์ลไม่รู้ นึกว่าพี่พิ แล้วนี่พี่พิอยู่ไหนคะ”

เสียงเล็กใสดั่งระฆังเงินใบน้อยชี้แจงเจื้อยแจ้วก่อนถามต่ออย่างสงสัย

เอกภพหัวเราะหึๆ ปรายตามองเพื่อนที่ทำหน้าเมื่อยอยู่บนเตียงแล้วให้คำตอบ

“มันก็อยู่แถวนี้แหละ ตอนนี้ไม่ค่อยสบาย”

“พี่พิไม่สบาย เป็นอะไรคะ” พิสินีค่อนข้างตกใจ เพราะพิรัลเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเข้าขั้น ‘หนังเหนียว’ นานทีปีหนโรคภัยไข้เจ็บถึงจะเบียดเบียนเขาได้สักครั้ง

“พูดกับพี่เขาเองแล้วกัน เอ้า…”

เอกภพตัดบท ส่งโทรศัพท์เครื่องเล็กให้เพื่อนรับไปพูดต่อ พิรัลทำเสียงอือออตอบรับความห่วงใยของน้องสาวสองสามคำ อ้อมแอ้มบอกว่าปวดหัว ไม่ค่อยสบายเพราะโหมงานหนัก ทำให้เพื่อนร่วมห้องหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่ มิไยว่าอีกฝ่ายจะถลึงตาปรามสักแค่ไหน

“เออ ยายเพิร์ล ถ้ามีคนแปลกหน้ามาหยามเราให้โกรธมาก ทำยังไงเราถึงจะหายโกรธ” พิรัลเอ่ยถามน้องสาวในตอนหนึ่ง

“ก็ต้องดูก่อนว่าถูกหยามขนาดไหน ถ้าเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็คงไม่สนใจ ยิ่งถ้าเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาผ่านไปก็ไม่รู้ว่าจะจำไว้ทำไมให้เปลืองสมอง”

“แล้วถ้าเขาหยามเราอย่างแรง อย่าง…หาว่าเราเป็นผู้หญิง…เอ่อ…พรรค์นั้นล่ะ”

“โห…อย่างนี้จนตายก็ไม่มีวันอภัยให้ ตาถั่วไม่พอยังปากเน่าเสียอีก ถ้าพูดให้ได้ยินนะ จะเอาหินเขวี้ยงให้ปากแตกกินน้ำพริกไม่ได้เลย และถ้ามีพยานรู้เห็น เพิร์ลจะแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทซะให้เข็ด!” สาวน้อยใส่อารมณ์อย่างเมามันทำให้พี่ชายกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ ก่อนสะดุ้งวาบ เมื่ออีกฝ่ายเอะใจถามอย่างหวาดระแวง “ว่าแต่พี่พิถามทำไม หรือว่าไปหยามใครเขามา”

“เราก็จ้องจับผิดพี่เรื่อย ไม่เอาล่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว พี่ปวดหัว อยากนอน แค่นี้นะยายตัวยุ่ง” พิรัลตัดบทโดยใช้เสียงดังข่ม อำพรางความจริงไว้

“ยังไงก็อย่าลืมของฝากเพิร์ลน้า” แม่ตัวยุ่งไม่วายทวงแจ๋วๆ

ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจระคนขำ

“ตกลงนี่เราห่วงของฝากหรือห่วงพี่กันแน่หืม…ยายเพิร์ล”

พิสินีหัวเราะคิก ตอบอย่างทะเล้นนิดๆ ว่า

“ห่วงทั้งสองอย่างแหละค่ะ ถ้าพี่พิไม่สบายจะออกไปหาของฝากให้เพิร์ลได้ยังไง เพราะฉะนั้นต้องรีบหายเร็วๆ นะคะ บายค่ะ”

สาวน้อยยอมวางสาย พิรัลปิดโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นเห็นเอกภพทำตาระริกขัน แม้จะได้ยินความข้างเดียว แต่เพื่อนหนุ่มคงสามารถปะติดปะต่อใจความโดยรวมได้ไม่ยาก

มองหน้าเพื่อนตอนนี้แล้วไม่รู้เป็นไง พิรัลอยากถอนใจดังๆ ออกมาเหลือเกิน!

“เอ้า!”

เอกภพกะพริบตาปริบ ถือถ้วยกาแฟค้าง ทำหน้างุนงงระคนประหลาดใจ เมื่อเพื่อนยื่นช่อกุหลาบขาวกลีบแข็งราวดอกไม้ประดิษฐ์ช่อใหญ่ให้ในตอนสาย

“ให้กู…เนื่องในโอกาสอะไรวะ”

“ไม่ใช่ให้มึง นี่กูจะฝากมึงไปขอโทษเพื่อนยายน้องดาวเขาต่างหาก”

“เฮ้ย!” เอกภพร้อง ผงะไปทางด้านหลังชนพนักเก้าอี้ทำเอากาแฟกระฉอกออกจากถ้วยโดนมือตัวเองเล็กน้อย จึงรีบวางลงบนจานรอง ไม่กล้าถือไว้นานๆ เพราะเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าไอ้เพื่อนตัวร้ายจะทำให้เขาตกใจจนเผลอสาดกาแฟใส่ตัวเองทั้งแก้วเมื่อไหร่

“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ” ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“กูว่าขอฝากดอกไม้นี่…” พิรัลบอกชัดถ้อยชัดคำ วางช่อกุหลาบลงบนตักเพื่อนอย่างระมัดระวังไม่ให้กระดาษแก้วยับย่นเสียรูปทรง “ให้มึงเอาไปขอโทษเพื่อนน้องดาว หยั่งเชิงดูซิว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไง”

“ทำไมไม่ไปเองวะ”

“ก็เขาโกรธกูจนแทบพิฆาตทิ้ง ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไป เขาคงได้เรียกคนงานมาจับกูโยนออกไปโดยไม่ยอมฟังอะไรแน่ แต่ถ้าเป็นมึงน่าจะพอหยวน เพราะเขาโกรธกู ไม่ได้โกรธมึงด้วยนี่”

พิรัลพูดเสียงอ่อน หวังคะแนนเห็นใจเต็มที่ แต่ถ้าเปรียบเอกภพเป็นอาจารย์ ก็คงเป็นอาจารย์ที่เขี้ยวและงกคะแนนน่าดู เพราะสายตาที่มองมาบอกได้ดีว่า คะแนนจิตพิสัย (ที่ให้ด้วยความพิศวาส) สำหรับเขาคือศูนย์!

“เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองโว้ย อย่ามาใช้กู”

“สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะเพื่อน”

“โฮ่ สองหัวดีกว่าหัวเดียว แล้วตอนทำน่ะ มึงฟังอีกหัวหนึ่งที่อยู่ตรงนี้มั้ย ไม่…มึงคิดเองเออเอง แล้วก็ลุยเองคนเดียวเลย แต่พอเดือดร้อนล่ะสองหัวเชียว ตอนนี้กูขอถือภาษิตว่าตัวใครตัวมันดีกว่า”

“อย่าเพิ่งทิ้งกันน่า อย่าลืมนะ ถ้ายายคุณปายไม่หายโกรธ ยายน้องดาวก็จะโกรธมึงไม่เลิกด้วย ตอนนี้เรามีผลประโยชน์ร่วมกันนะ”

พิรัลอ้างเหตุผลหว่านล้อมอย่างหัวหมอ เอกภพกลอกตาพลางครางลึกในลำคออย่างปลงอนิจจัง

“บางที…เลิกคบมึงซะอาจจะง่ายกว่า เฮ้อ…เวรจริงกู…เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่กลับต้องเอากระดูกมาแขวนคอ!”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: