บทที่สอง
“พวกเราสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกก็คือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในแวดวงสิบแปดมงกุฎ พวกเราเห็นความก้าวหน้าของวิชากลลวงและการพัฒนาคุณสมบัติของสิบแปดมงกุฎทั้งหลายเป็นภารกิจของตน ตั้งเป้าที่จะเสริมสร้างความสามารถในการใช้เล่ห์กล และสร้างสรรค์เครื่องมือกับแผนลวงในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้การหลอกลวงร้อยครั้งประสบผลสำเร็จทั้งร้อยครา ตลอดหมื่นปีมานี้พวกเรามุ่งมั่นผลักดันความก้าวหน้าของวงการสิบแปดมงกุฎ และส่งเสริมให้นักต้มตุ๋นที่เก่งฉกาจได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เป็นผู้อุทิศกำลังสูงสุดเพื่อความเกรียงไกรของวิชากลลวง และเจ้าก็คือสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลอันยิ่งใหญ่นี้! เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติ ไม่รู้สึกว่าเป็นความโชคดีหรือไร!”
หลังจากรับฟังท่านอาชาเทพสาธยายด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมจนจบ ในที่สุดซูเพียนจื่อก็สรุปความรู้สึกของตนออกมาได้ห้าคำว่า “เจ้าป่วยหนักชัดๆ!”
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่!
แรกสุดนางพลัดมาอยู่ในดินแดนพิสดารนี่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต่อมาก็มีกลุ่มคนประหลาดโขยงหนึ่งโผล่มาบอกว่านางคือชาวสวรรค์ ก่อนจะพูดใหม่ว่านางคือขยะต่างหาก ถัดจากนั้นก็มีหนุ่มน้อยชุดดำพิลึกคนออกมาข่มขู่คาดโทษนาง ตอนนี้ม้าบินวิปริตที่เรียกตนเองว่าอาชาเทพตัวนี้ยังมาประกาศเสียงดังฟังชัดว่านางคือคนตระกูลสิบแปดมงกุฎอะไรนั่นอีก!
สวรรค์รู้สึกว่าการปั่นหัวนางเป็นความสะใจมากใช่หรือไม่!
ท่านอาชาเทพไม่พอใจอย่างยิ่งกับท่าทีของซูเพียนจื่อ จึงออกแรงกระทืบกีบเท้าทั้งสี่แล้วโต้กลับไปว่า “ข้าป่วยที่ตรงไหนกัน เจ้าเคยเห็นม้าป่วยที่งามสง่าแข็งแรงและคึกคักกระชุ่มกระชวยเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคืออาชาเทพ…ก็คือม้าบินที่ป่วยเป็นโรคจิตขั้นเทพน่ะสิไม่ว่า เจ้าป่วยหนักชัดๆ! สมองป่วยอยู่เห็นๆ!” ซูเพียนจื่อสุดทนแล้วจึงยืนพรวดขึ้นชี้หน้าด่าทอท่านอาชาเทพทันใด
ท่านอาชาเทพบันดาลโทสะ ออกแรงสะบัดปีกเพียงวูบเดียว ซูเพียนจื่อก็รู้สึกได้ว่าทางนั้นมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งพรั่งพรูมาหาเธอ จนทำให้ยืนไม่อยู่ต้องล้มนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
ชั่วขณะนี้สาวน้อยจึงค่อยฉุกคิดได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘ม้าบินโรคจิต’ ตัวนี้ การยั่วโมโหมันเพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบนั้นไม่ฉลาดเลยจริงๆ ที่นี่คือป่าดงเปลี่ยวร้าง เพียงมันยื่นหนึ่งเท้าถีบส่งนางลงทะเลสาบไป จวบจนนางจมน้ำตายก็คงไม่มีใครมาช่วยเหลือ
พอคิดได้ดังนั้นซูเพียนจื่อก็พลันเปลี่ยนท่าที รีบพูดกับท่านอาชาเทพด้วยสีหน้าประจบเอาใจ “เจ้าอย่าได้โกรธไปเลยนะ ข้าเพียงแค่ตื่นเต้นชั่ววูบเท่านั้น จึงไม่อาจยอมรับความจริงที่ชวนตกใจแต่ก็น่ายินดีนี้ได้ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า! อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน…ไม่ถูกสิ! เอ่อ…อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นอาชาเทพในครอบครัวของข้า ไม่ควรเลยที่จะใช้ความรุนแรงต่อกันส่งเดช ถูกต้องหรือไม่”
ท่านอาชาเทพแค่นเสียงฮึก่อนจะพับปีกลงช้าๆ
ซูเพียนจื่อรีบรุกคืบชวนคุยไปตามที่มันเปิดประเด็นไว้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าคือคุณหนูเจ็ดสกุลซูที่พลัดพรากไปนานปีไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าจำข้าได้อย่างไรล่ะ”
ท่านอาชาเทพเหลือบมองจี้ไม้ตรงหน้าอกของสาวน้อยแวบหนึ่งก่อนตอบหน้าบูดบึ้ง “จี้ไม้นี้ฮูหยินน้อยเป็นผู้คล้องคอให้เจ้าเองกับมือในตอนที่เจ้าเพิ่งเกิด อักษร ‘ซู’ ตัวหนึ่งที่อยู่ในลวดลายด้านหลังของจี้ไม้ก็คือสัญลักษณ์ลับของสกุลซูที่คุณชายเป็นผู้สลักเองกับมือ สัญลักษณ์ลับนี้มีเพียงบุตรหลานสกุลซูสายหลักเท่านั้นจึงจะรู้จัก ผู้อื่นล้วนไม่ล่วงรู้ เมื่อครู่โชคดีที่คนกลุ่มนั้นเห็นแต่ด้านหน้าของจี้ไม้ไม่ใช่ด้านหลัง เพราะต่อให้ไม่รู้ว่าลวดลายอักษร ‘ซู’ นั้นหมายถึงคุณหนูเจ็ด พวกเขาก็ต้องรู้ว่าเจ้าคือคนสกุลซู หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็…หึๆ”
“คุณชายกับฮูหยินน้อย…หมายถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ” หัวใจของซูเพียนจื่อเต้นระรัวเร็วขึ้นทันใด นางโตมาจนป่านนี้แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงข่าวคราวของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนาง!
คุณป้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยบอกว่า…ซูเพียนจื่อถูกคนเก็บได้จากข้างทางที่ถนนสายเล็กๆ ตรงจุดชมวิวแห่งหนึ่ง แล้วนำมาส่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนนั้นซูเพียนจื่อเพิ่งจะอายุได้ราวหนึ่งถึงสองเดือน บนตัวนอกจากจี้ไม้แกะสลักชิ้นนี้ก็ไม่มีสิ่งยืนยันตัวตนอย่างอื่นอีก จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าบิดามารดาเป็นใคร และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนนำมาทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะบนจี้ไม้มีอักษรซูอยู่ตัวหนึ่ง คนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงใช้มันเป็นแซ่ของซูเพียนจื่อ
ไม่ต่างจากเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ซูเพียนจื่อเองก็เฝ้าหวังมาตลอดว่าสักวันหนึ่งบิดามารดาจะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าตน และจี้ไม้แกะสลักชิ้นนี้ก็จะเป็นสิ่งยืนยันให้สองฝ่ายได้รู้จักกัน ด้วยเหตุนี้ซูเพียนจื่อจึงหวงแหนมันดั่งชีวิตมาตั้งแต่เล็ก
นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ความฝันจะกลายเป็นจริงแล้ว ชั่วขณะนี้ซูเพียนจื่อรู้สึกว่าต่อให้ตนเองถือกำเนิดในตระกูลสิบแปดมงกุฎจริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ขอเพียงมันทำให้นางได้รู้จักกับพ่อแม่แท้ๆ ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่ติดใจทั้งสิ้น
ท่านอาชาเทพผงกศีรษะรับโดยไม่ทำให้ซูเพียนจื่อต้องผิดหวัง “ถูกแล้ว บิดาของเจ้าก็คือบุตรชายคนเล็กของประมุขสกุลซู นามว่าซูหู่หลี่ ส่วนมารดาของเจ้าเคยเป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลแพทย์สกุลหลิ่ว นามว่าหลิ่วฉิงซิน”
“แล้วพวกท่านอยู่ที่ไหน เจ้ารีบพาข้าไปพบพวกท่านทีสิ!” ซูเพียนจื่อกระโดดกอดคอของท่านอาชาเทพพลางพูดอย่างตื่นเต้นยินดียิ่ง
สาวน้อยดีอกดีใจเหลือเกิน จนทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นแววเศร้าสลดจางๆ ที่วูบขึ้นแล้ววับหายไปจากดวงตาของท่านอาชาเทพ
“เจ้าตามข้ากลับถ้ำพันจิ้งจอกก็จะได้พบพวกเขาเอง” ท่านอาชาเทพพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใช่ว่าซูเพียนจื่อไม่เคยระแวงสงสัยว่าการไปครั้งนี้เธออาจจะถูกหลอกก็เป็นได้ อย่างไรเสียม้าที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้ก็มาจากตระกูลสิบแปดมงกุฎเชียวนะ ทว่าความรู้สึกกระหายที่จะได้กลับไปพบหน้าบิดามารดานั้นเอาชนะทุกสิ่ง อีกทั้งนางก็ไม่พบช่องโหว่ที่เด่นชัดในคำพูดเมื่อครู่ของท่านอาชาเทพแต่อย่างใด
หากม้าบินตัวนี้จะทำร้ายนาง มันก็สามารถลงมือได้เดี๋ยวนี้ ไม่จำเป็นต้องหลอกพานางไปที่ถ้ำพันจิ้งจอกอะไรนั่นเป็นพิเศษสักหน่อย หากตามมันไปสักเที่ยว อย่างมากนางก็แค่ดีใจเก้อ ไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่
ซูเพียนจื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสามารถไปได้ ดังนั้นนางจึงอยากจะรีบออกเดินทางให้ได้ในทันที
ทว่าท่านอาชาเทพกลับสะบัดหัวแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “รีบร้อนอะไรเล่า ให้ข้ากินอิ่มก่อนค่อยไปก็ไม่สาย”
“เจ้าจะกินหญ้าหรือ หญ้าทางนั้นดูงอกงามไม่เลวทีเดียวนะ!” สองตาของซูเพียนจื่อทอประกายแวววาว ขณะชี้มือไปยังทุ่งหญ้าผืนย่อมที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก
“หญ้าป่าชั้นเลวที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้น ใช่สิ่งที่อาชาเทพผู้งามสง่าสูงส่งเช่นข้าจะกินได้หรือ!” ท่านอาชาเทพถลึงตาใส่ ก่อนจะเดินส่ายอาดๆ มุ่งไปทางป่าผืนเล็กที่อยู่ทางซ้ายมือ
วางท่าอะไรกัน ก็เป็นแค่ม้าบินโรคจิตตัวหนึ่งอยู่ดีไม่ใช่หรือ ซูเพียนจื่อลอบเหลือกตาก่อนจะเดินตามมันไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก ในที่สุดสาวน้อยก็ได้รู้ว่าเพราะอะไรท่านอาชาเทพจึงไม่เห็นหญ้าป่าเหล่านั้นอยู่ในสายตา…ที่แท้อาหารโปรดของมันคือดอกไม้! อีกทั้งยิ่งดอกใหญ่ยิ่งสวยสด มันก็ยิ่งโปรดปราน
ตลอดรายทางที่เดินไป ขอเพียงเห็นว่าในพุ่มไม้มีดอกไหนที่สวยน่ามอง มันก็จะปรี่เข้าไปด้วยความเร็วระดับฟ้าร้องยังไม่ทันได้ป้องหู จากนั้นก็เขมือบดอกไม้ทั้งดอกเข้าปากในคำเดียว ท่าทางเขมือบบุปผาด้วยฝีมืออำมหิตนี้ดูแสนจะช่ำชอง พริบตาดอกไม้นานาพันธุ์ในป่าผืนเล็กที่ถูกมันเข้ากวาดล้างก็ร่วงโรยไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงกิ่งดอกที่เหี้ยนเตียนเท่านั้น
“ดอกไม้ที่นี่มีรสชาติสดอร่อยเป็นพิเศษ เจ้าจะลองดูสักหน่อยหรือไม่เล่า” ท่านอาชาเทพกินอิ่มหนำแล้วจึงค่อยเอียงหน้ามาพูดอย่าง ‘เกรงใจ’ กับซูเพียนจื่อ
“ขอบคุณนะ แต่ข้ายังไม่หิวหรอก…” สาวน้อยกวาดตาไปรอบๆ นอกจากสีเขียวก็มีแต่สีเขียว ยังมีเงาของดอกไม้หลงเหลืออยู่ที่ไหนกันเล่า
“เจ้ากินอิ่มแล้วใช่หรือไม่ พวกเราออกเดินทางกันได้แล้วสินะ” ซูเพียนจื่อเอ่ยเร่ง
“ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่ง” สีหน้าของท่านอาชาเทพเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องอะไรหรือ”
“เจ้ายื่นมือขวามาสิ”
ซูเพียนจื่อยื่นมือขวาออกไปอย่างงุนงง “โอ๊ย! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”
ท่านอาชาเทพถึงกับพลัน ‘สัญชาตญาณดิบกำเริบ’ มันกัดมือซูเพียนจื่อจนปลายนิ้วได้แผล และมีเลือดซึมออกมาเป็นหยดๆ
สาวน้อยตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี รีบหันขวับออกวิ่งหลายก้าวไปซ่อนตัวอยู่หลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วตั้งท่าพร้อมจะหนีเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลา
ทว่าท่านอาชาเทพไม่ได้ไล่ตามมาแต่อย่างใด มันเพียงแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปากก็ท่องคาถาแปลกๆ ยาวเป็นพรวน
ไม่รู้เพราะเหตุใดสัญชาตญาณของซูเพียนจื่อจึงบอกว่านั่นไม่ใช่คาถาที่จะทำร้ายตนเอง สีหน้าอันจริงจังของท่านอาชาเทพดูคล้ายกำลังทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์สักอย่างอยู่มากกว่า
แสงตะวันสาดลอดยอดไม้และกิ่งใบลงมาอาบร่างของท่านอาชาเทพ ขนขี้ริ้วซึ่งเดิมทีเป็นสีเหลืองโคลนและแซมแต้มด้วยสีน้ำตาลอมดำเป็นหย่อมๆ นั้นราวกับถูกฉาบด้วยรัศมีสีทอง ส่งผลให้ผู้พบเห็นไม่รู้สึกว่ามันอัปลักษณ์อีกต่อไป ทั้งยังเปลี่ยนเป็นเหมือนรูปสลักอันวิจิตรประณีตที่ดูลี้ลับและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ
รอจนรัศมีนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ท่านอาชาเทพจึงก้มหน้าลงพูดกับซูเพียนจื่อที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ “โปรดตั้งชื่อให้ข้าด้วย นายข้า!”
“ชื่อ? นาย?” ซูเพียนจื่อย้อนถามอย่างกังขายิ่ง
ท่านอาชาเทพย่ำสองเท้าหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนตอบ “เมื่อครู่ข้าได้ใช้เลือดของท่านตั้งสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว นับแต่นี้ไปท่านก็คือเจ้านายของข้า ท่านก็รีบๆ ตั้งชื่อให้ข้าเถอะ”
“เอ่อ…อย่างนั้นเจ้าก็ชื่อฝูอวิ๋นที่แปลว่าเมฆลอย…ดีหรือไม่” ซูเพียนจื่อพลันนึกถึงชื่อนี้เมื่อมีประกายความคิดวาบขึ้นในหัวสมอง เพียงแต่นางยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนจึงกลายมาเป็นเจ้านายของอาชาเทพตัวนี้ไปได้
ท่านอาชาเทพรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง “ชื่อนี้ไม่เลวทีเดียว พอจะกล้อมแกล้มขับเน้นบุคลิกอันงามสง่าเหนือสามัญของข้าได้อยู่ ว่าแต่ท่านคิดออกมาได้อย่างไรกัน”
ซูเพียนจื่อกลั้นยิ้มก่อนตอบ “ก็โลกที่ข้าจากมามีคำคมที่ว่า ‘อาชาเทพล้วนเป็นเช่นเมฆลอย’ น่ะสิ”
หลังจากฝูอวิ๋นได้ชื่อที่พึงพอใจแล้ว มันก็ไม่ประวิงเวลาอีก รีบแบกซูเพียนจื่อเหาะมุ่งไปยังทิศทางของถ้ำพันจิ้งจอกทันที
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเจิ้งเฮ่าอี้กลับถึงยอดเขาเฮ่าหรานซึ่งเป็นสถานที่ฝึกวิชาของเขาแล้ว ปู่เฉินอวี่ที่อดใจรอไม่ไหวก็ถ่อมาคอยท่าอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก และถลึงตาถามทันทีที่เห็นเจิ้งเฮ่าอี้กลับมาตามลำพัง
“เหตุใดมีเจ้าเพียงคนเดียว แล้วเนื้อคู่ตามดวงชะตาของเจ้าเล่า เจ้าไม่ได้ไปสถานที่ที่ข้าบอกใช่หรือไม่ ผู้ที่ไม่เก็บคำทำนายของยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลเทวพยากรณ์ไปใส่ใจ ผู้นั้นก็จะไร้ทางออก เจ้าต้องให้ข้าพูดอีกกี่ครั้งถึงยอมเชื่อได้เสียที!”
ปู่เฉินอวี่ยิงคำถามออกไปเป็นพรวนโดยไม่จำเป็นต้องมีเวลาหยุดพักหายใจ
เจิ้งเฮ่าอี้แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “ขืนเชื่อเจ้าน่ะสิข้าได้ไร้ทางออกจริงๆ แน่ เนื้อคู่ตามดวงชะตาอะไรกัน เหลวไหลทั้งเพ!”
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าไปแล้วไม่เจอใคร หรือไปแล้วเจอบุรุษเข้า น่าสงสารแท้ๆ แต่เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงนะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งสหายเพียงเพราะเจ้าไปหลงรักบุรุษเข้าหรอก พวกเราคบหากันมานานถึงป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่ไว้ใจข้าหรือไร” ปู่เฉินอวี่เอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง
เจิ้งเฮ่าอี้รู้สึกคันกำปั้นขึ้นมาทันที เหตุใดตนจึงมีสหายที่ไม่เข้าท่าพึ่งพาไม่ได้เช่นนี้นะ ที่แย่ไปกว่านั้นคือตอนแรกดวงตาของตนเกิดปัญหาอะไรขึ้นมากันแน่ หรือว่าถูกน้ำมันหมูพอกใจ ถึงได้เผลอไผลชั่ววูบไปเห็นคนพรรค์นี้เป็นสหายผู้รู้ใจไปเสียได้
“อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือนะ ตอนนี้ข้าอยากจะอัดเจ้ามากๆ เริ่มจากที่หน้าก่อนเลย!” เจิ้งเฮ่าอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว
ปู่เฉินอวี่ถูกสีหน้าอันดุร้ายของสหายทำเอาสะดุ้งโหยง ในที่สุดเขาก็เลิกใช้การนึกคิดอันแสนบรรเจิดของตนเองไปคาดเดาส่งเดช รีบถอยปราดไปหลายก้าวจนถึงระยะปลอดภัยแล้วค่อยถามใหม่ “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าไปเจอใครเข้ากันแน่”
เจิ้งเฮ่าอี้ส่ายหน้าพลางเล่าเรื่องที่ตนได้พบซูเพียนจื่อและล่วงรู้ฐานะของนางให้ปู่เฉินอวี่ฟังรอบหนึ่ง
ปู่เฉินอวี่หัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนกล่าว “ต่อให้เด็กสาวผู้นั้นเป็นคนตระกูลสิบแปดมงกุฎ และดูเหมือนจะมีร่างของชาวสวรรค์ทว่าถูกริบคุณสมบัติไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าวันข้างหน้านางจะไม่อาจฝึกวิชาได้ หรือจำเป็นต้องเกลือกกลั้วเป็นพวกเดียวกับคนสกุลซูเหล่านั้นเสมอไปนี่…”
เจิ้งเฮ่าอี้เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วถามกลับ “เจ้ายังเชื่ออยู่อีกหรือว่าสตรีเช่นนี้คือเนื้อคู่ตามดวงชะตาของข้า และนางจะสามารถกอบกู้หายนะวันสิ้นพิภพได้อย่างที่เจ้าคุยโวไว้”
ปู่เฉินอวี่ขยี้ปลายจมูกโดยไม่ส่งเสียงอีก…เขาชักไม่แน่ใจแล้วจริงๆ
ปู่เฉินอวี่เชื่อว่าการพยากรณ์ของตนไม่น่าจะผิดพลาด แต่เหตุใดผู้ที่ปรากฏตัวจึงเป็นสตรีเยี่ยงนี้ไปได้เล่า จะต้องมีความผิดปกติแน่ๆ! ทว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่อาจคิดภาพตามได้เลย
สกุลเจิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลฝ่ายธรรมะน่ะหรือจะไปข้องเกี่ยวจนถึงขั้นดองญาติกับสกุลซูซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายอธรรมที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปได้ เขายิ่งไม่อาจคิดภาพว่าผู้ที่มีร่างของชาวสวรรค์ทว่าถูกริบคุณสมบัติไปแล้วยังมีความสามารถพอจะพลิกวิกฤตครั้งใหญ่นั้นได้อย่างไร
“สกุลซูคือตระกูลสิบแปดมงกุฎไม่ใช่หรือ ร่างชาวสวรรค์ของนางถูกริบคุณสมบัติไป นั่นอาจเป็นแค่เรื่องลวงโลกก็ได้นะ” ปู่เฉินอวี่โต้แย้งอย่างไม่อาจทำใจยอมรับได้
เจิ้งเฮ่าอี้ถอนหายใจ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ “พลังสะกดทางสายโลหิต”
ทุกคนในตระกูลโบราณล้วนตกอยู่ภายใต้พลังสะกดทางสายโลหิตมาแต่กำเนิด กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือคนในตระกูลโบราณต่างๆ ไม่ว่าในใจจะยินยอมหรือไม่ ก็ล้วนต้องฟังบัญชาจากประมุขของตนโดยไม่อาจต่อต้านหรือควบคุมตนเองได้
นี่ก็คือพลังสะกดที่มาพร้อมกับสายเลือดและพรสวรรค์ ฉะนั้นต่อให้สตรีที่เขาได้พบในวันนี้มีจิตใจใฝ่ดี แต่ขอเพียงประมุขสกุลซูมีบัญชาลงมาคำเดียว นางก็ยังต้องทำตามคำสั่งอยู่วันยังค่ำ
ตระกูลฝ่ายอธรรมไร้ซึ่งคนดี นี่คือสิ่งที่ตระกูลฝ่ายธรรมะทั้งหมดรวมถึงชาวบ้านทั่วหล้าต่างยอมรับกันโดยทั่วไป
ปู่เฉินอวี่ขมวดหัวคิ้ว ในที่สุดก็ไม่โต้เถียงอีก
นี่ข้าทำนายพลาดไปจริงๆ หรือ
“พูดถึงพลังสะกดทางสายโลหิต เจ้าตั้งใจจะเชื่อฟังพ่อเจ้า ไปดองญาติกับหญิงจอมเสแสร้งแห่งตระกูลเทวโอสถนั่นจริงๆ น่ะหรือ” ปู่เฉินอวี่เอ่ยถาม
กาไหนไม่ได้ต้มรินกานั้น เจิ้งเฮ่าอี้คร้านจะพูดให้เปลืองน้ำลายอีก จึงตะบันหนึ่งหมัดใส่ใบหน้าอันหล่อเหลาดุจเซียนบนโลกมนุษย์ของอีกฝ่ายทันที
“โอ๊ย! เจ้าสหายบัดซบนี่! เคยตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่าห้ามต่อยหน้า!” ปู่เฉินอวี่กุมใบหน้าที่ถูกชกจนเขียวปูดพลางเต้นผาง เขาไม่มัวรักษามาดใดๆ อีก โต้กลับไปโดยไม่มีท่าทีอ่อนแอให้เห็นแม้แต่น้อย
และแล้วการใช้ความรุนแรงชกต่อยกันระหว่าง ‘อัจฉริยะชั้นยอด’ ของตระกูลฝ่ายธรรมะสองคนก็เปิดฉากขึ้น
ข้ารับใช้ของสกุลเจิ้งเห็นแล้วเพียงแค่ต่างคนต่างง่วนกับงานของตนต่อ เห็นได้ชัดว่าเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่สกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอก ฝูอวิ๋นก็ชี้แจงเรื่องก่อนหน้านี้คร่าวๆ รอบหนึ่ง
สาเหตุที่มันกัดมือซูเพียนจื่อจนได้แผล เพราะจะต้องใช้โลหิตของผู้เป็นนายในการตั้งสัตย์ปฏิญาณเลือดต่อฟ้าว่านับจากนี้ตราบจนชีวิตจะหาไม่ มันจะเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ภักดีที่สุดของซูเพียนจื่อ ส่วนซูเพียนจื่อก็จะเป็นนายหนึ่งเดียวของมัน ซึ่ง ‘ตามหลักการ’ แล้ว มันจะปฏิบัติตามบัญชาของผู้เป็นนายทุกประการ
ฝูอวิ๋นเน้นย้ำคำว่า ‘ตามหลักการ’ เป็นอย่างมาก โดยมันให้คำอธิบายว่าเมื่อใดที่ผู้เป็นนายออกคำสั่งส่งเดช ขัดต่อความยินยอมพร้อมใจของมัน มันก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเพิกเฉย
อย่างไรเสียมันก็เสนอตัวมาเอง ซูเพียนจื่อจึงไม่ถือสาในเรื่องนี้ เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น
“เพราะอะไรอยู่ดีๆ เจ้าต้องมารับข้าเป็นนายด้วยล่ะ”
“ก็เพราะข้าเห็นแววของท่าน รู้สึกว่าท่านมีอนาคตไกลน่ะสิ! ท่านรู้สึกเป็นเกียรติมากใช่หรือไม่เล่า จำไว้ว่าท่านจะต้องหวงแหนอาชาเทพผู้โดดเด่นเป็นเลิศเช่นข้าไว้ให้ดีๆ เชียว” ขณะพูดฝูอวิ๋นมีอาการ ‘ปากไม่ตรงกับใจ’ แสดงอยู่บนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ซูเพียนจื่อทั้งล่อใจด้วยผลประโยชน์ทั้งขู่เข็ญอยู่หลายหน ฝูอวิ๋นจึงเผยความจริงออกมาจนได้…หากอาชาเทพไม่ผูกสัมพันธ์นายบ่าวกับผู้ที่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ อายุขัยของมันก็จะไม่เกินสามสิบปีเท่านั้น
ผู้คนส่วนใหญ่บนดินแดนพันเมฆาล้วนเป็นชาวบ้านทั่วไป ในชาวบ้านหนึ่งหมื่นคนจะมีผู้ที่สามารถฝึกวิชายุทธ์อย่างแท้จริงได้ไม่ถึงหนึ่งคนด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นบุตรหลานสายหลักของตระกูลโบราณต่างๆ ก็ยังมีจำนวนมากกว่าครึ่งที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์
เพื่อรักษาสถานะผู้นำในแวดวงนั้นๆ ตระกูลโบราณเหล่านี้นอกจากจะทุ่มเทแรงใจบ่มเพาะบุตรหลานของตนแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังเสาะหาและเปิดรับชาวบ้านทั่วไปที่สามารถฝึกวิชาได้เพื่อบ่มเพาะในฐานะลูกศิษย์
ส่วนชาวสวรรค์ที่เรียกกันนั้น ความจริงก็คือคำเรียกโดยรวมของผู้ที่มาจากต่างมิติและมีพรสวรรค์เชิงยุทธ์เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป บนดินแดนพันเมฆามีผู้ที่มาจากต่างมิติน้อยแสนน้อย พวกเขาหากไม่เก็บตัวเงียบเชียบ ก็ต้องลือลั่นด้วยพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึง กับความเร็วในการฝึกวิชายุทธ์ที่สูงกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่าพันทวี เพียงแต่จำนวนของชาวสวรรค์นั้นมีน้อยนิดเหลือเกิน
ดังเช่นคำพูดของปี้หลัวเซียนจื่อที่ได้พบในตอนแรก…เกือบพันปีมานี้ชาวสวรรค์ที่ปรากฏตัวบนดินแดนพันเมฆามีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ!
หากเปรียบกับคนที่ฝึกวิชายุทธ์ได้ อาชาเทพก็มีจำนวนเยอะกว่ามาก
อีกทั้งคนผู้หนึ่งไม่ว่าจะมีพลังวัตรร้ายกาจสักเพียงใด ชั่วชีวิตก็สามารถรับอาชาเทพไว้ได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ภายใต้สภาพการณ์ที่พระมากโจ๊กน้อย* ย่อมคิดภาพตามได้ไม่ยากว่าเหตุใดฝูอวิ๋นจึงเสนอตัวมาเองอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้
ฝูอวิ๋นคืออาชาเทพรุ่นลูกที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างอาชาเทพของผู้ฝึกวิชาสองท่านในสกุลซู อาชาเทพเช่นนี้ในสกุลซูมีอยู่ดาษดื่น เมื่อไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องการหาเจ้านายในถ้ำพันจิ้งจอกได้ ฝูอวิ๋นจึงได้แต่ออกมาเสี่ยงโชคดู ผลสุดท้ายมันก็โชคดีได้พบกับซูเพียนจื่อ
เรื่องเหล่านี้เดิมทีฝูอวิ๋นไม่อยากจะเล่า ทว่าคิดดูแล้วเมื่อซูเพียนจื่อกลับถึงถ้ำพันจิ้งจอกก็ต้องรับรู้ข้อเท็จจริงนี้อยู่ดี หากถึงตอนนั้นต้องถูกผู้เป็นนายเหยียดหยามเยาะเย้ย ไม่สู้บอกไปตามตรงเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า
ซูเพียนจื่อฟังจบก็มีความรู้สึกอยู่เพียงอย่างเดียว…สมแล้วที่มันเป็นอาชาเทพจากตระกูลสิบแปดมงกุฎ ช่างเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนนัก! แค่นี้ก็หลอกนางขึ้นเรือโจรได้แล้ว!
นึกถึงอาชาเทพสีขาวหิมะที่ชวนมองของผู้อื่น แต่อาชาเทพของเธอกลับเหมือนสุนัขคลุกขี้ดิน หนำซ้ำยังเป็นสินค้าที่ออกจากร้านแล้ว เสียใจด้วย ไม่รับเปลี่ยนคืนและยิ่งไม่อนุญาตให้ซื้อใหม่! หากบอกว่าไม่ขัดเคืองใจนางก็โกหกแล้ว
หลังจากหงุดหงิดอยู่พักหนึ่งที่ถูกหลอกให้หลงกล ซูเพียนจื่อก็พลันฉุกคิดได้สองคำถาม
“เพราะอะไรเจ้าจึงรู้ว่าข้าคือคนสกุลซูตั้งแต่แรกเห็น อีกอย่างกลุ่มคนเมื่อครู่ก็บอกว่าข้ามีร่างของชาวสวรรค์แต่ถูกริบคุณสมบัติไปแล้ว เป็นแค่ขยะเท่านั้นไม่ใช่หรือ เจ้ารับข้าเป็นนาย…หรือว่าที่จริงแล้วข้ายังสามารถฝึกวิชาได้?”
อาการไม่เป็นธรรมชาติผุดวาบขึ้นในดวงตาของฝูอวิ๋น ทว่าไม่ช้ามันก็หัวเราะหึๆ อย่างคนโฉด
“ก็เพราะว่าบนร่างของท่านมีกลิ่นอายคนสกุลซูน่ะสิ ข้าสูดดมอยู่ไกลๆ ก็ได้กลิ่นแล้ว ส่วนร่างชาวสวรรค์ของท่านความจริงไม่ได้ถูกริบคุณสมบัติไปหรอก เพียงแต่ถูกคุณชายปิดผนึกไว้ชั่วคราวเพื่อลี้ภัยในตอนนั้น เมื่อไปถึงถ้ำพันจิ้งจอกและเสาะพบของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้ก็จะคลายผนึกได้เอง หากท่านเป็นขยะชิ้นหนึ่งจริง ท่านอาชาเทพเช่นข้ามีหรือจะเหลือบแล!”
จำต้องพูดว่าในประเด็นนี้ปู่เฉินอวี่นักพยากรณ์ข้อเท้าเคล็ดผู้นั้นเดาส่งเดชได้ถูกต้องจริงๆ
ซูเพียนจื่อตื่นเต้นยินดีไม่สิ้นสุด ยื่นมือไปเขกศีรษะของฝูอวิ๋นหนึ่งทีแล้วด่าว่าอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าม้าเหลี่ยมจัด!”
แม้ไม่รู้ว่าการฝึกวิชาจะนำพาสิ่งใดมาให้ แต่หากทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้ก็จะไม่มีใครมารังแกมาดูแคลนกันอีก อย่างไรเสียเป็นอัจฉริยะก็ย่อมจะดีกว่าเป็นขยะมากนัก
“ขอบคุณเจ้านายที่ชมเชย! ท่านได้ครอบครองอาชาเทพที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญาเช่นข้า นับเป็นโชควาสนาที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ซูเพียนจื่อพูดแย้งอยู่ในใจ…รูปงามน่ะฝูอวิ๋นไม่มีแน่ๆ ส่วนสติปัญญาหลักๆ แล้วก็แสดงออกแต่ในด้านของเล่ห์เหลี่ยมหลอกคน แต่ว่าเรื่องที่มันรู้ก็มีอยู่ไม่น้อยเลย สำหรับตัวข้าที่เพิ่งจะมาเยือนต่างถิ่นจึงนับว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียว
ฟังจากที่ฝูอวิ๋นเล่า ซูเพียนจื่อจึงได้รู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับสัญลักษณ์สองลายที่ต่างกันบนแขนทั้งสองข้างของตน
บนดินแดนพันเมฆาหากต้องการจะรู้ว่าคนผู้หนึ่งมีพรสวรรค์เชิงยุทธ์หรือไม่นั้นง่ายดายยิ่ง เพียงมองที่แขนซ้ายก็จะกระจ่างในปราดเดียว ผู้ใดที่มีสัญลักษณ์เมฆมงคลก็คือผู้ที่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ส่วนสีสันของสัญลักษณ์จะบ่งชี้ว่าพรสวรรค์นั้นจัดอยู่สายใดในห้าธาตุ โดยสีขาวหมายถึงสายธาตุทอง สีเขียวหมายถึงสายธาตุไม้ สีน้ำเงินหรือดำหมายถึงสายธาตุน้ำ สีแดงหมายถึงสายธาตุไฟ และสีเหลืองหมายถึงสายธาตุดิน
ผู้ฝึกวิชายุทธ์จะต้องฝึกปรือวิชาที่สอดคล้องกับธาตุตามสีของสัญลักษณ์เมฆมงคล
โดยสุดยอดวิชาของแต่ละตระกูลล้วนฝึกปรือได้เฉพาะผู้มีสายธาตุที่กำหนด ดังนั้นตอนที่พวกเขาคัดเลือกศิษย์จึงมีความโน้มเอียงไปทางธาตุหนึ่งธาตุใด ก่อนหน้านี้ที่พวกปี้หลัวเซียนจื่อต้องการจะดูแขนซ้ายของซูเพียนจื่อก็เป็นเพราะเหตุนี้
ส่วนสัญลักษณ์บนแขนขวาจะปรากฏชัดเฉพาะบุตรหลานสายหลักของตระกูลโบราณเท่านั้น สัญลักษณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ถึงสายเลือดและยืนยันถึงต้นกำเนิดของเชื้อสาย
ว่ากันว่าตระกูลโบราณต่างๆ ล้วนสืบเชื้อสายมาจากเซียนบรรพกาล ซึ่งสัญลักษณ์นี้เหล่าเซียนก็เป็นผู้ฝากไว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลโบราณเหล่านี้เคารพบูชาก็คือเซียนบรรพชนของพวกเขานั่นเอง อย่างเช่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกเคารพบูชาก็คือเซียนไร้จริง ผู้มีสมญานามว่าเทพเจ้าแห่งกลลวง
หนึ่งคนหนึ่งม้าเหาะเหินไปสนทนากันไป จวบจนอาทิตย์คล้อยสู่ทิศตะวันตกโดยไม่รู้ตัว ด้านหน้าจึงแลเห็นตัวอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในที่สุด
ฝูอวิ๋นไม่ได้ร่อนลงไปตรงๆ แต่กลับบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือผืนฟ้าของตัวอำเภอหลายรอบ ดึงดูดให้ชาวบ้านในตัวอำเภอทยอยวิ่งออกนอกเรือนมาแหงนหน้าชมดู ปากก็เปล่งเสียงอุทานชื่นชมดังต่อเนื่องเป็นระลอก
“อีกเดี๋ยวท่านแสดงสีหน้าอันแสนเฉยเมยและหยิ่งทะนงอย่างเดียวก็พอ ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็อย่าได้พูดจา จะได้ไม่เผยพิรุธ พวกเราจะลงไปหลอกกินของอร่อยกันสักมื้อ จากนั้นก็หลอกเอาที่พักสบายๆ มาค้างแรมกันหนึ่งคืน!” ฝูอวิ๋นพูดกับซูเพียนจื่ออย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
“เพราะอะไรต้องหลอกด้วยล่ะ” ซูเพียนจื่อแม้ไม่นับเป็นคนดีมีศีลธรรมสูงส่งนักหนา แต่ก็ใช่ว่าจะเที่ยวหลอกใครต่อใครส่งเดชได้อย่างหน้าตาเฉย
ในมุมมองของซูเพียนจื่อ นั่นคือเรื่องที่ผิดกฎหมาย!
ฝูอวิ๋นย้อนถามอย่างหงุดหงิด “แล้วในตัวท่านมีเงินหรือ”
ซูเพียนจื่อควักธนบัตรย่อยไม่กี่ใบออกจากกระเป๋ากางเกง คิดดูก็รู้ได้ว่าที่นี่ไม่รับเงินประเภทนี้ สาวน้อยจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ไม่มีหรอก…”
“ท้องท่านไม่หิว? ไม่อยากหาที่พักนอนหลับให้สบายแล้วพรุ่งนี้ค่อยเร่งเดินทางต่อ?”
“อยากสิ…”
“เช่นนั้นท่านก็ฟังคำข้า!”
“…ก็ได้” เมื่ออยู่ต่อหน้าปัญหาเรื่องปากท้องและที่ซุกหัวนอน ซูเพียนจื่อก็มิอาจไม่ก้มหัว
โชคยังดีที่ฝูอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แค่วางท่าเย็นชาสง่าสูงส่งเข้าไว้ก็ใช้ได้แล้ว…ซูเพียนจื่อลอบปลอบใจตนเอง
พอฝูอวิ๋นโน้มน้าวซูเพียนจื่อได้ก็กดสองปีก ร่อนลงสู่ลานกว้างตรงใจกลางของตัวอำเภออย่างมั่นคง
นายอำเภอได้ยินข่าวตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่ามีม้าบินมาเยือน จึงรีบทิ้งงานทั้งหมดวิ่งโขยกมาทันใด พอเห็นว่าบนม้าบินยังมีสาวน้อยนั่งอยู่ผู้หนึ่ง เขาก็พลันตื่นเต้นจนเนื้อพลุ้ยทั่วร่างสั่นกระเพื่อม
พอวิ่งแบบรวบสามก้าวเป็นสองก้าวอย่างเร่งร้อนมาถึงข้างหน้าฝูอวิ๋นกับซูเพียนจื่อ นายอำเภอก็คุกเข่าดังตุ้บแล้วเอ่ยเสียงก้อง “ข้าน้อยโจวซิงวั่งคารวะองค์ท่านขอรับ องค์ท่านให้เกียรติมาเยือนสถานที่อันซอมซ่อแห่งนี้ ช่างเป็น…ช่างเป็นโชควาสนาไปอีกสามชาติเลยขอรับ!”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างพากันคุกเข่าตาม มีคนจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโขกศีรษะกันสุดชีวิต
ซูเพียนจื่อตกใจจนตัวโยน เพราะไม่เคยเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน ทว่าไม่ช้าสาวน้อยก็นึกถึงสิ่งที่ฝูอวิ๋นกำชับไว้ จึงรีบปั้นหน้าวางท่าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ศีรษะของฝูอวิ๋นเชิดสูงขณะพูดแบบบัณฑิตกับผู้คนที่หมอบอยู่แทบเท้า “วันนี้นายข้าผ่านมาทางนี้ พบว่าที่นี่มีปราณวิเศษพวยพุ่งขึ้นฟ้าจึงเดินทางมาดูสักหน่อย นายอำเภอ”
โจวซิงวั่งคลานเข่าขึ้นหน้ามาสองสามก้าวโดยพลัน ก่อนจะตอบอย่างนอบน้อม “ขอรับ ไม่ทราบว่าองค์ท่านมีสิ่งใดจะบัญชา”
“เจ้าจงไปตระเตรียมสุราอาหารและที่พักให้เรียบร้อย ยามนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว นายข้าจะค้างแรมที่นี่หนึ่งคืน วันพรุ่งพวกเราจะออกตรวจดูละแวกนี้เพื่อเสาะหาต้นตอของปราณวิเศษ” น้ำเสียงของฝูอวิ๋นเย่อหยิ่งราวกับกำลังใช้สอยบ่าวไพร่ในเรือนของตน
น่าแปลกที่คนเหล่านี้ดูจะแพ้ทางไม้นี้กันหมด โจวซิงวั่งผู้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกบ่าวรับใช้สองคนให้รุดไปจัดเตรียมงานเลี้ยงที่หอสุราที่ดีที่สุดของอำเภอทันที ขณะเดียวกันบุรุษสวมชุดผ้าต่วนท่าทางคล้ายคหบดีหลายคนก็กรูเข้าไปรุมล้อมโจวซิงวั่ง พยายามร้องขอให้ส่งองค์ท่านไปพำนักที่เรือนของพวกตน ส่วนชาวบ้านที่เหลือล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามเดินขึ้นหน้ามา ทั้งหมดเพียงยืนอยู่ไกลๆ พลางมองพิจารณาซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นด้วยสีหน้าท่าทางที่เทิดทูนยำเกรงอย่างมาก
ฝูอวิ๋นเยือกเย็นยิ่งนัก มันเชิดหน้ายืดอก วางท่าทางที่มันคิดว่าจะดูสง่าน่าเกรงขามได้มากที่สุด ผิดกับซูเพียนจื่อที่นั่งอยู่บนหลังของมันโดยรู้สึกอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ ‘ร้อนตัว’
ที่แท้คนเป็นสิบแปดมงกุฎจะต้องมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งอย่างยิ่ง ตอนนี้ซูเพียนจื่อรู้สึกกดดันเหลือเกิน!
เสียงถกความเห็นกันเบาๆ ของเหล่าชาวบ้านแว่วมาแต่ไกล…
“โอ้โห! เส้นผมขององค์ท่านยาวยิ่งนัก ดูแล้วอย่างมากองค์ท่านก็น่าจะอายุแค่สิบสี่สิบห้าปีได้กระมัง เส้นผมยาวถึงเพียงนี้ พลังวัตรจะต้องสูงส่งมากๆ แน่นอน!”
“ข้าเพิ่งจะเคยเห็นม้าบินครั้งแรกเลยนะนี่! ใครๆ ก็ว่ากันว่ามีแต่องค์ท่านผู้มีพลังวัตรสูงส่งเท่านั้นถึงจะได้นั่งบนม้าบิน ถ้าข้ามีโอกาสได้ขี่ม้าบินเหาะขึ้นฟ้าไปบ้างก็ดีน่ะสิ ต้องน่าเกรงขามมากแน่ๆ”
“เสื้อผ้าบนร่างขององค์ท่านดูแปลกตาจริงเชียว ไม่เหมือนกับพวกเราคนธรรมดาเลย! เพียงแต่…เหตุใดจึงดูสกปรกอยู่บ้าง…”
ซูเพียนจื่อรับฟังความเห็นเหล่านี้ไปพลาง ลอบสังเกตชาวบ้านที่อยู่โดยรอบไปพลาง จริงเสียด้วย…คนที่อายุน้อยล้วนแต่ผมสั้นมากๆ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่อายุต่ำกว่ายี่สิบล้วนมีความยาวของเส้นผมอย่างมากแค่เพียงหนึ่งชุ่น
ซูเพียนจื่อพยายามไม่ไปใส่ใจเสื้อกับกางเกงสกปรกที่อยู่บนร่างของตน ในใจก็ก่นด่าบรรดาม้าบินที่โบกฝุ่นมาอย่างไม่สนใจสุขอนามัยจนทำให้ผู้อื่นมอมแมมไปทั้งตัว ขอสาปแช่งให้พวกมันขนร่วงโกร๋น แต่ละตัวเปลี่ยนเป็นขี้เหร่ยิ่งกว่าฝูอวิ๋น!
ไม่ช้างานเลี้ยงกับที่พักก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย จากนั้นฝูอวิ๋นประกาศอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่ามนุษย์สามัญไม่มีคุณสมบัติร่วมโต๊ะกับเจ้านายของมัน เพียงเท่านี้ก็ขับไล่คนทั้งหมดไปได้ไกลลิบแล้ว ภายในโถงใหญ่อันโอ่อ่าจึงเหลือแต่ซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋น แล้วก็สุราอาหารที่อุดมสมบูรณ์อีกหนึ่งโต๊ะใหญ่
ซูเพียนจื่อไม่ได้กินอะไรมาครึ่งค่อนวันแล้ว ซ้ำร้ายก่อนหน้านี้ยังไปดื่ม ‘น้ำสกปรก’ เข้า จึงอาเจียนเอาทุกสิ่งที่สามารถอาเจียนได้ออกไปจากท้องจนหมดเกลี้ยง สาวน้อยหิวจนหน้าอกยุบติดกับแผ่นหลังตั้งนานแล้ว พอเห็นว่าซ้ายขวาปลอดคน ไม่ต้องพะวงเรื่องกิริยาท่าทางอีกจึงยกตะเกียบสวาปามโดยไม่รอช้า
ฝูอวิ๋นไม่ได้ให้ความสนใจกับอาหารมากมายที่อยู่บนโต๊ะ พอเดินไปถึงหน้าโถง มันก็งับหมับไปที่ดอกโบตั๋นขนาดใหญ่เท่าชามน้ำแกงดอกหนึ่งซึ่งเจ้าของปลูกไว้อย่างเอาใจใส่ จากนั้นก็กลืนเอื๊อกลงไปในคำเดียว ฝูอวิ๋นยังไม่จุใจจึงกวาดล้างดอกไม้สดที่เหลืออยู่ไปหนึ่งยก แล้วค่อยเดินทอดน่องกลับมาที่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างพึงพอใจ
ซูเพียนจื่อเองก็กินอิ่มได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว จึงเงยหน้าจากอาหารขึ้นมาสอบถามฝูอวิ๋น
“เพราะอะไรพวกเขาจึงเรียกข้าว่า ‘องค์ท่าน’ ล่ะ ในใจของชาวบ้านทั่วไปเห็นผู้ฝึกวิชายุทธ์มีฐานะสูงส่งมากเลยหรือ”
ฝูอวิ๋นเรอออกมาหนึ่งทีก่อนจะตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ข้อนั้นแน่นอนอยู่แล้ว บนดินแดนพันเมฆานอกจากมนุษย์ก็ยังมีสัตว์อสูรที่ดุร้ายกระหายเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก มีแต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้นที่สามารถจัดการพวกมัน แต่ว่าผู้ที่ฝึกวิชาได้กลับมีน้อยยิ่ง ดังนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงเทิดทูนผู้ฝึกวิชายุทธ์ดุจดังเทพเจ้า”
“สัตว์อสูร? น่ากลัวมากใช่หรือไม่” ซูเพียนจื่อนึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดูตอนอยู่บนโลกใบเดิม ในนั้นมีสัตว์ประหลาดรูปร่างพิสดารชนิดต่างๆ ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวอยู่บ้าง
“แน่นอนสิ สัตว์อสูรบางชนิดหิวขึ้นมาก็กินคนด้วยนะ ตามพื้นที่เปลี่ยวจึงมักเกิดเหตุที่คนทั้งหมู่บ้านถูกสัตว์อสูรตัวเดียวฆ่าล้างไม่มีเหลือ” ฝูอวิ๋นเอ่ยด้วยเสียงอันน่าสะพรึง
ซูเพียนจื่อสะท้านไปทั้งร่าง เห็นทีว่าดินแดนนี้จะไม่ได้สงบสุขดีงามอย่างที่เห็นเสียแล้ว
หลังเสร็จมื้อค่ำ โจวซิงวั่งก็ตระเตรียมห้องพักชั้นเลิศพร้อมด้วยน้ำร้อนกับเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้แล้ว
ซูเพียนจื่อได้อาบน้ำจนสมใจอยาก จากนั้นก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม ก่อนจะออกมาล้มตัวลงบนเตียงแล้วพรูลมหายใจอย่างรู้สึกสบาย
ทว่าขณะจะเข้านอน เสียงร้องโหยหวนอันแหลมสูงก็ดังจากระยะไกลมาให้ได้ยิน สาวน้อยตกใจจนสะดุ้งเฮือก รีบลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วเปล่งเสียงถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ฝูอวิ๋นที่พักผ่อนอยู่นอกห้องเบิกตากลมมองไปยังทิศทางที่เกิดเสียงร้องโหยหวนนั้นอย่างตื่นตัว
สิ้นเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นนอกประตูลาน นายอำเภอโจวซิงวั่งก็กลิ้งตัวเข้ามาดุจลูกชิ้นเนื้อ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยความตระหนกลนลาน ปากก็ร้องเสียงดังลั่น “องค์ท่านช่วยด้วยขอรับ! องค์ท่านช่วยด้วย!”
ฝูอวิ๋นลอบส่งสายตาให้ซูเพียนจื่อที่พึ่งก้าวออกมา เป็นความหมายให้เยือกเย็นเข้าไว้ จากนั้นมันก็กระทืบเท้าตวาดใส่โจวซิงวั่งเสียงดัง “เรื่องอะไรตื่นตูมถึงเพียงนี้ รบกวนความสงบของนายข้า เจ้าแบกรับไหวหรือ!”
โจวซิงวั่งหลั่งเหงื่อโซมหน้า เนื้อพลุ้ยทั้งตัวไหวระริกขณะตอบเสียงสั่น “มิกล้าขอรับมิกล้า! องค์ท่านได้โปรดช่วยชีวิตด้วย นอกตัวอำเภอมีสัตว์อสูรที่ร้ายกาจอย่างยิ่งกำลังจะบุกฝ่าคูป้องกันที่พวกเราขุดไว้นอกตัวอำเภอแล้ว! ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอกล้วนถูกฆ่าตายไม่มีเหลือ วิงวอนองค์ท่านได้โปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วยขอรับ!”
เขาหมอบลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะไม่หยุดยั้ง น้ำตาเคล้ากับน้ำมูกจนจับตัวเป็นก้อน เปรอะเลอะอยู่บนใบหน้า ท่าทางหวาดหวั่นพรั่นพรึงสุดขีด
ความจริงแล้วอาการของซูเพียนจื่อก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไรนักหรอก
สัตว์อสูรเชียวนะนั่น! หนำซ้ำยังเป็นสัตว์อสูรที่พอปรากฏตัวก็ฆ่าชายฉกรรจ์ไปถึงสิบกว่าชีวิต ซูเพียนจื่อในตอนนี้นอกจากเส้นผมที่ยาวสักหน่อยแล้วก็เป็นแค่แม่นางน้อยที่ธรรมดายิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาที่นี่เสียอีก พูดถึงเรี่ยวแรงในการต่อสู้ก็อาจยังทาบนายอำเภออ้วนผู้นี้ไม่ติดด้วยซ้ำไป จู่ๆ มาถูกเรียกให้ไปต่อกรกับสัตว์อสูรที่ยังไม่รู้เลยว่ามีอยู่หนึ่งตัวหรือหนึ่งฝูง นี่มันล้อกันเล่นชัดๆ!
สิ่งที่ซูเพียนจื่ออยากทำที่สุดในตอนนี้…ก็คือรีบขี่ฝูอวิ๋นแล้วเผ่นหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่างหาก!
สาวน้อยส่งสายตาสื่อสารกับฝูอวิ๋น เห็นได้ชัดว่าฝูอวิ๋นเองก็ตั้งใจจะทำแบบเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพวกตนเลือดเย็นแล้งน้ำใจหรอกนะ แต่ว่ามันเกินกำลังความสามารถจริงๆ
สมแล้วที่ฝูอวิ๋นมาจากตระกูลสิบแปดมงกุฎ กระทั่งเวลานี้ก็ยังดูแสนจะเยือกเย็นเช่นเดิม
“ยามปกติพวกเจ้าน่าจะมีเตรียมสถานที่สำหรับหลบซ่อนสัตว์อสูรไว้กระมัง จงเข้าไปซ่อนตัวกันให้หมด ตอนที่ข้ากับนายข้าออกไปจัดการสัตว์อสูรที่ด้านนอก หากพลั้งทำร้ายถูกผู้บริสุทธิ์เข้าคงไม่ดีแน่”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายยินดีจะไปจัดการกับสัตว์อสูรให้ โจวซิงวั่งก็ยินดีปรีดา พูดพลางพยักหน้าระรัว “มีขอรับๆ เมื่อครู่ข้าน้อยได้เคาะระฆังเตือนภัย แจ้งให้ทุกคนไปซ่อนตัวที่ห้องลับใต้ดินโดยเร็วที่สุดแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าเองก็รีบไปเถอะ” ฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกแล้วเอ่ยไล่คน รอจนเจ้าอ้วนผู้นี้ไปซ่อนตัวเรียบร้อย พวกตนก็จะได้เผ่นหนีเช่นกัน
โครม!
เสียงกัมปนาทพลันดังมาจากด้านนอก ประสานกับเสียงแผดคำรามของเหล่าสัตว์ที่บ้างก็แหลมสูงบ้างก็ทุ้มต่ำ ฟังดูแล้วอยู่ใกล้ขึ้นกว่าเสียงร้องโหยหวนเมื่อครู่นี้มากทีเดียว
โจวซิงวั่งผวาจนใบหน้าสิ้นสีเลือด รีบวิ่งฉิวออกไปทันใดโดยไม่ต้องให้ฝูอวิ๋นเร่งรัดเลย พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาแล้ว
ในที่สุดซูเพียนจื่อก็ข่มทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบจ้ำแบบรวบสามก้าวเป็นสองก้าวมาจนถึงข้างกายฝูอวิ๋น จากนั้นก็รีบลากม้านั่งตัวหนึ่งมาเหยียบปีนขึ้นไปบนหลังของมันแล้วพูดเร่งยิกๆ “เร็วๆ รีบไปเร็วเข้า! ไม่อย่างนั้นสัตว์อสูรแห่มากันพอดี”
ฝูอวิ๋นสยายสองปีกแล้วออกแรงโบกกระพือ นำพาซูเพียนจื่อทะยานขึ้นฟ้าไปโบยบินอยู่กลางอากาศ
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ตัวอำเภอเล็กๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังนับได้ว่าเจริญรุ่งเรืองกลับกลายเป็นพังพินาศ เงาดำขนาดมหึมาหลายสิบสายกำลังเดินขวักไขว่แผดคำรามอยู่ในตัวอำเภอ
พวกมันบ้างก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเสือทว่าบนศีรษะมีเขาวัวเหยียดยาวอยู่หนึ่งคู่ บ้างก็ดูคล้ายหมีดำทว่าบนหลังมีปุ่มกระดูกรูปทรงประหลาดงอกเรียงอยู่หนึ่งแถว ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าหมีดำทั่วไปไม่ต่ำกว่าสิบเท่า
ไม่เพียงเสียงคำรามอันชวนสะพรึงถูกเปล่งออกจากปาก ดวงตาสีเขียวอ่อนแต่ละคู่ก็ทอประกายดุร้ายกระหายเลือด พวกมันกำลังออกเสาะหาเหยื่อโอชะสุดโปรดของตัวเองไปทั่ว
ยังดีที่ชาวบ้านในตัวอำเภอล้วนหนีไปหลบซ่อนกันตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่นับบ้านเรือนจำนวนไม่น้อยที่ถูกสัตว์อสูรทุบทำลาย ที่นี่ก็ยังไม่มีความเสียหายอื่นใด
ผิดกับภาพบริเวณริมคูป้องกันด้านนอกอำเภอที่คลุ้งไปด้วยคาวเลือดและน่าสยดสยองกว่ามาก พอซูเพียนจื่อกวาดสายตาผ่านไปทางนั้นจึงขวัญผวาจนเกือบจะพลัดตกจากหลังของฝูอวิ๋น
ตรงนั้นมีสัตว์อสูรรูปโฉมอัปลักษณ์อยู่สิบกว่าตัว พวกมันกำลังฉีกทึ้งศพมนุษย์ที่โชกเลือดแต่ละศพจนแขนขาและเลือดเนื้อกระจายเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวเลือดฉุนแรงจนชวนให้คลื่นเหียน
สภาพน่าสะพรึงยิ่งกว่าสิ่งที่ได้เห็นในหนังสยองขวัญมาก…ดูหนังยังรู้ว่านั่นเป็นของปลอม แต่ภาพที่อยู่ในสายตาเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง!
ซูเพียนจื่อหน้าซีดเผือด มือขยุ้มขนแผงคอของฝูอวิ๋นไว้แน่น ใจอยากจะให้ตนเองไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น
“ฮือๆๆ ช่วยด้วย…ช่วยข้าด้วย!” เสียงร้องไห้ที่เยาว์วัยพลันดังมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ทางทิศตะวันตกของตัวอำเภอ
ทางนั้นถึงกับยังมีคนที่หนีไปซ่อนตัวไม่ทัน ซ้ำฟังจากเสียงแล้วเป็นเด็กหญิงอายุแค่ไม่กี่ขวบเท่านั้น!
ฝูอวิ๋นลอยตัวอยู่กลางอากาศ ซูเพียนจื่อจึงเห็นภาพโดยรวมได้ชัดเจน ในบรรดาสัตว์อสูรที่มาบุกอำเภอแห่งนี้ไม่มีสักตัวที่สามารถบินได้ ฉะนั้นขอเพียงพวกตนอยู่บนฟ้าไม่ลงไปก็จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน แต่ว่าเด็กหญิงที่อยู่ด้านล่างคนนั้นจะช่วยหรือไม่ช่วยดีเล่า
ซูเพียนจื่อสองจิตสองใจขึ้นมา ชั่วพริบตาที่ลังเลนี้เอง สัตว์อสูรอื่นๆ ที่อยู่ในตัวอำเภอก็ได้ยินเสียงร้องไห้และพากันวิ่งปราดมาทางนี้แล้ว
“ระวัง! จับข้าไว้ให้แน่นๆ!” เสียงร้องอย่างรุ่มร้อนใจของเด็กชายดังมาจากบนไม้ใหญ่ต้นนั้น นั่นคือเด็กชายร่างผอมบางที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่ง เขาไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง โน้มตัวลงจากคาคบหมายจะฉุดดึงเด็กหญิงที่ลื่นไถลลงไปถึงกลางลำต้นไม้แล้วให้กลับขึ้นมาด้านบน
น่าเสียดายเขาตัวเล็กแรงน้อย ไม่เพียงฉุดดึงเด็กหญิงไว้ไม่อยู่ แม้กระทั่งตนเองก็พลอยเสียหลักจนร่างโคลงเคลงจวนจะร่วงตกจากคาคบไปอยู่แล้ว
เห็นดังนั้นสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็กระโจนขึ้น ใช้กรงเล็บเกี่ยวชายเสื้อของเด็กหญิงไว้ จากนั้นมันก็กระชากนางลงมาเรื่อยๆ
เด็กหญิงขวัญกระเจิงร้องไห้ลั่น ในขณะที่เด็กชายยังคงยืนหยัดไม่ยอมปล่อยมือ ทว่าในที่สุดเด็กทั้งสองก็ถูกกระชากตกลงพื้นไปด้วยกัน
สัตว์อสูรสิบกว่าตัวพากันโห่ร้อง กำลังจะพุ่งปรี่เข้าไปกินกันให้เต็มคราบ ทว่าสัตว์อสูรร่างพยัคฆ์ตัวหนึ่งพลันคำรามก้องแล้วเอ่ยขัดเสียก่อน “เด็กน้อยสองคนนี้ดูเนื้อนุ่มยิ่งนัก ต้องเก็บไว้ให้พี่ใหญ่อย่างข้าลิ้มลองสิ พวกเจ้าจงหลีกไปข้างๆ ให้หมด!”
สัตว์อสูรตัวนี้พูดได้?!
ซูเพียนจื่อกัดฟันพูดกับฝูอวิ๋นเสียงเบา “พวกเราจะลงไปช่วยเด็กสองคนนี้ได้หรือไม่”
สาวน้อยเสียใจยิ่งนักที่ความหวาดกลัวของตนทำให้เมื่อครู่พลาดโอกาสดีที่สุดที่จะช่วยชีวิตเด็กทั้งสอง เด็กคู่นี้เสื้อผ้าเก่าขาด เนื้อตัวดูมอมแมม ซ้ำถูกทิ้งไว้ด้านนอกตามลำพัง น่าจะเป็นเด็กกำพร้ากันทั้งสองคน เพียงหวนนึกถึงภาพในอดีตที่ตนเองอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และถูกผู้อื่นรังแกโดยไม่มีใครช่วยเหลือ ดวงตาของซูเพียนจื่อก็พลันแสบร้อนขึ้นมา
หากว่าทำได้ ซูเพียนจื่อก็อยากจะช่วยพวกเขา
ฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกแล้วพลันเอ่ยว่า “สัตว์อสูรเหล่านี้มีสติปัญญาถึงขั้นพูดได้แล้ว ข้าสู้พวกมันไม่ไหวหรอก แต่ว่าถ้าท่านให้ความร่วมมือ ไม่แน่ก็อาจขู่ขวัญให้พวกมันหนีเตลิดไปได้”
“ร่วมมืออย่างไรล่ะ”
“แสร้งทำเป็นยอดฝีมือน่ะสิ! ท่านจำได้กระมังว่าตอนเข้าตัวอำเภอข้าสอนท่านไว้ว่าอย่างไร” ฝูอวิ๋นโคลงศีรษะกล่าว
“ได้!” ซูเพียนจื่อขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสริมอีกประโยค “แต่หากหลอกพวกมันไม่สำเร็จ เจ้าก็รีบเหาะขึ้นฟ้าเร็วๆ เลยนะ”
ซูเพียนจื่ออยากช่วยคนมากก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้ไข้ขึ้นสมองถึงขั้นไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง
“ไม่มีปัญหา! พร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“พร้อมแล้ว!” ซูเพียนจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ
ก็แค่สัตว์เดรัจฉานฝูงหนึ่งเท่านั้น ฝูอวิ๋นบินเร็วออก พวกมันทำร้ายฝ่ายเราไม่ได้แน่ แล้วจะกลัวอะไรล่ะ!
พอฝูอวิ๋นเหยียดสยายสองปีก บนร่างก็พลันมีพลังอันสูงส่งที่ไม่อาจอธิบายได้ชนิดหนึ่งแผ่ซ่านออกไปเป็นวงกว้าง จากนั้นมันก็โฉบจากกลางอากาศลงไปใกล้ๆ
“บังอาจนัก! เจ้าพวกสัตว์อสูรถึงกับกล้าทำร้ายคนเชียวหรือ รีบๆ ปล่อยตัวเด็กสองคนนั้นเดี๋ยวนี้!” ฝูอวิ๋นตวาดก้องด้วยท่าทางอันน่าเกรงขามสยบขวัญ
พอเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ด้านล่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง พวกมันก็เห็นอาชาเทพสีทองตัวหนึ่งพลันร่อนลงมาภายใต้แสงจันทร์ บนหลังของมันยังมีสาวน้อยในชุดกระโปรงสีขาวอีกผู้หนึ่ง แขนเสื้อของนางปลิวสะบัดดุจเซียน
และสิ่งที่ทำให้พวกมันตื่นตระหนกเป็นที่สุดก็คือ…สาวน้อยซึ่งดูแล้วอายุเพียงสิบกว่าปีผู้นี้ถึงกับมีเส้นผมที่ยาวจรดเอว!
เส้นผมดุจแพรไหมสีดำขลับนั้นโบกพลิ้วแผ่วเบาภายใต้แสงจันทร์ พลังบนร่างของหนึ่งคนหนึ่งม้าที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันนี้กล้าแข็งจนทำให้พวกมันพรั่นพรึงจับใจ
“พวกเจ้าเป็นใครกัน!” สัตว์อสูรร่างพยัคฆ์ที่เป็นหัวหน้าตะโกนถามเสียงดัง เนื้อเสียงของมันสั่นพร่านิดๆ ออกอาการแข็งนอกอ่อนในอย่างเห็นได้ชัด
“น้ำหน้าเยี่ยงเจ้ายังไม่คู่ควรที่จะรับรู้นามของนายข้า! จงไสหัวไปโดยไว!”
ฝูอวิ๋นวางท่าเป็นนักเลงผิดจากที่ผ่านมา มาดอันใหญ่โตนั้นเรียกได้ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปกดขี่คุกคาม
ซูเพียนจื่อเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงโขยงใหญ่ที่มีเขี้ยวเล็บคมกริบและจ้องจับคนกินอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ หากบอกว่าไม่กลัวก็คือคำโกหก ทว่าน่าแปลกที่เมื่อกลัวจนถึงขีดสุดแล้ว นางกลับกลายเป็นเยือกเย็นผิดธรรมดา สีหน้าก็ยิ่งสงบเคร่งขรึม ท่าทีเฉยเมยสุดจะจับทางได้นั้นเกินวัยของสาวน้อยโดยสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าท่าทีอันลุ่มลึกสุดหยั่งนี้สามารถเขย่าขวัญสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูงเหล่านั้นได้ เพราะจากที่พวกมันเคยรับรู้มา การโจมตีของผู้ฝึกวิชาที่มีผมยาวประบ่าก็เพียงพอจะทำให้พวกมันต้องหนีกันหัวซุกหัวซุนแล้ว นับประสาอะไรกับยอดฝีมือที่มีผมยาวจรดเอวเล่า!
น่ากลัวว่าดัชนีเดียวก็สามารถบี้พวกมันให้ตายได้แล้วกระมัง
แม้กระทั่งบรรดาลูกพี่ยังหวาดหวั่น สัตว์อสูรตัวอื่นที่มีฝีมืออ่อนด้อยกว่าก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ดวงตาสีเขียวแต่ละคู่ล้วนหลุกหลิกเผยแววขลาดกลัว พวกที่ใจเสาะหน่อยถึงขั้นทนไม่ไหวก้าวถอยหลังไปก่อนแล้ว
ช่างราบรื่นดีเหลือเกิน!
ขณะที่ซูเพียนจื่อลอบยินดีว่าสัตว์อสูรสมองทึบ ถูกขู่ขวัญได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ หมาป่ายักษ์สีครามตัวหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาแผดเสียงประท้วง “พวกเราบุกยึดอำเภอแห่งนี้กันอย่างเหนื่อยยาก พี่น้องมากมายยังกินกันไม่อิ่มเลย แค่ม้าตัวนี้พูดประโยคเดียวก็จะให้พวกเราไป? ไหนเลยมีเรื่องเอารัดเอาเปรียบกันเช่นนี้!”
ได้ยินมันโวยวายดังนั้น สัตว์อสูรตัวอื่นก็ชะงักฝีเท้าเริ่มลังเลใจขึ้นมา
ซูเพียนจื่อแทบอยากสั่งฝูอวิ๋นให้ถีบส่งเจ้าหมาป่ายักษ์สีครามที่สมควรตายตัวนี้กลับบ้านเก่าไปในเท้าเดียว
ฝูอวิ๋นแค่นเสียงฮึก่อนพูดข่มขู่ “นายข้าไม่อยากทำร้ายถูกคนบริสุทธิ์ ขืนพวกเจ้ายังไม่ไปก็อย่ามาโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ” มันพูดพลางเดินกลางอากาศไปข้างหน้าหลายก้าว พลังอันสูงส่งบนร่างยิ่งทวีความเข้มข้น เหล่าสัตว์อสูรจึงหวั่นใจขึ้นมาอีก ทว่าก็ยังไม่ล่าถอย
สองฝ่ายจึงประจันหน้ากันอยู่เช่นนั้น ซูเพียนจื่อกระวนกระวายอยู่ในใจ ด้วยรู้ดีว่ายิ่งยืดเยื้อนานเท่าไร ความแคลงใจของเหล่าสัตว์อสูรก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น และความเป็นไปได้ที่ฝ่ายตนจะช่วยคนสำเร็จก็จะยิ่งน้อยลงตามไปด้วย จะทำอย่างไรดี
เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน!
ซูเพียนจื่อลอบกัดฟันก่อนจะตบคอฝูอวิ๋นเบาๆ เป็นความหมายให้มันเดินตรงไปที่ข้างกายของเด็กทั้งสอง
สาวน้อยค้นพบระหว่างทางว่านับแต่ที่ฝูอวิ๋นปฏิญาณยอมรับเจ้านาย ทั้งสองก็ดูเหมือนจะสื่อใจกันได้ด้วยสัมผัสพิเศษชนิดหนึ่ง ทำให้ต่างรับรู้ถึงเจตนาของกันและกันคร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
ฝูอวิ๋นรับรู้ได้จริงเสียด้วย มันเดินเชิดหน้าสะบัดหาง ย่างเท้ากลางอากาศไปอยู่เหนือวงล้อมของสัตว์อสูร จากนั้นก็ใช้ท่วงท่าอันผ่อนคลายร่อนลงไปที่ข้างกายของเด็กน้อยทั้งสองซึ่งตกใจจนลืมร้องไห้ไปแล้ว
ซูเพียนจื่อรวบรวมความกล้าอย่างที่สุดเพื่อบังคับตนเองให้จ้องตรงไปหาบรรดาสัตว์อสูรดุร้ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามฉื่อ ขณะเดียวกันในใจก็พูดให้กำลังใจตนเองว่า…แข็งใจไว้! ห้ามแสดงอาการขลาดกลัวออกไปแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ควรเป็นพวกมันที่กลัวฝ่ายเราถึงจะถูก คิดซะว่าพวกมันเป็นหมาแมวจรจัดหรือก้อนหินท่อนไม้ก็แล้วกัน!
เมื่อสายตาที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งเพ่งตรงไปจับบนร่างของสัตว์อสูรทีละตัว ผนวกกับพลังอันสูงส่งและกล้าแข็งที่ฝูอวิ๋นแผ่พุ่งออกไป ก็ทำให้เหล่าสัตว์อสูรต้องถอยร่นไปอีกหลายก้าวอย่างห้ามไม่อยู่
ต้องอย่างนี้สิ! ยิ่งฝ่ายเราวางโตเท่าไร พวกมันก็ยิ่งไม่กล้าเปิดฉากบุกก่อน!
ซูเพียนจื่อข่มลมหายใจให้มั่นคง ก่อนจะก้มหน้ามองไปยังเด็กน้อยสองคนที่อยู่บนพื้น มือของเด็กชายกอดเด็กหญิงที่ร่วงตกพื้นไปก่อนเอาไว้อย่างแนบแน่น ปากก็พร่ำปลอบอีกฝ่ายเสียงเบา “น้องสาวไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ท่านแม่อยู่บนสวรรค์ไปเชิญพี่สาวเทพธิดามาช่วยพวกเราแล้ว”
“อื้ม” เสียงของเด็กหญิงฟังคล้ายลูกแมว แววตากล้าๆ กลัวๆ ของนางมองพิจารณาซูเพียนจื่อที่ขี่อยู่บนอาชาเทพตัวสูงใหญ่ ไม่ช้าความเชื่อมั่นและเลื่อมใสศรัทธาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางอย่างเข้มข้น
“บ้านของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปเอง” ซูเพียนจื่อสอบถามด้วยสีหน้าที่ยังคงนิ่งเย็น ในสายตาของเด็กทั้งสองกับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบแล้ว นี่เป็นภาพที่แลดูสูงส่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพเจ้าผู้อยู่เบื้องบนกำลังก้มมองสรรพชีวิตด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย
มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้…ว่าตนเองขวัญกระเจิงจนใบหน้าแข็งทื่อไปแล้วต่างหาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.