X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่สาม

เด็กชายกะพริบตาแรงๆ ก่อนตอบ “พวกเรา…พวกเราไม่มีบ้านแล้วขอรับ…”

เป็นเด็กกำพร้าคู่หนึ่งจริงเสียด้วย!

ซูเพียนจื่อตั้งใจแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิมว่าจะต้องช่วยชีวิตพวกเขาให้จงได้ สาวน้อยช้อนตากวาดมองสัตว์อสูรที่รายล้อมอยู่ไม่ไกลไปทีละตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก “ต่อหน้าเด็กน้อยทั้งสอง ข้าไม่อยากให้เหตุการณ์โชกเลือดเกินไป จนมีเลือดของพวกเจ้ามาเปรอะเปื้อนมือข้า”

ซูเพียนจื่อเบนสายตาไปหยุดบนร่างของหมาป่ายักษ์สีครามที่เอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ แล้วค่อยพูดต่อเรียบๆ “แต่จะว่าไป หนังบนตัวเจ้าก็มีขนสวยใช้ได้อยู่เหมือนกัน”

หมาป่ายักษ์สีครามตัวนั้นตื่นกลัวจนผลุบไปหลบหลังสัตว์อสูรร่างพยัคฆ์แล้วพูดเสียงสั่น “จะ…เจ้าคิดจะทำอะไร”

ซูเพียนจื่อกวาดมองสัตว์อสูรที่อยู่ใกล้ตัวรอบหนึ่งจึงค่อยถามกลับ “เจ้ายังมีพี่น้องอีกหรือไม่ เจ้าตัวเดียวไม่พอทำเบาะหนังให้ครบชุดหรอก…”

หมาป่ายักษ์สีครามถูกแววตาอันเยียบเย็นชวนสะพรึงของนางเขย่าขวัญจนหันหลังวิ่งเตลิดไปทันที ก่อนจะเบี่ยงตัววับหายไปด้านหลังเรือนที่อยู่ตรงมุมถนน สัตว์อสูรที่เหลือเห็นพวกพ้องซึ่งแต่ไรมาใจกล้ากว่าใครถึงกับเผ่นหนีนำหน้าไปก่อน แต่ละตัวจึงหนีกระเจิดกระเจิงตาม พริบตาเดียวก็วิ่งหายไปจนเกลี้ยง

เด็กชายพยุงน้องสาวยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้น “พี่สาวเทพธิดา เหตุใดท่านไม่ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมดเสียเลยเล่า พวกมันกินคนที่อยู่นอกตัวอำเภอไปตั้งเยอะนะขอรับ”

ก็เพราะพี่สาวไม่มีความสามารถนั้นน่ะสิ…

ซูเพียนจื่อเกือบจะพูดตรงๆ ออกไปตามที่คิดแล้ว ทว่าฝูอวิ๋นพลันส่งคำเตือนที่ไร้เสียงมาได้ทันท่วงที…สัตว์อสูรเหล่านั้นยังหนีไปไม่ไกล!

ซูเพียนจื่อจึงรีบกดข่มคำพูดที่หลุดมาถึงมุมปากแล้วเอาไว้ จากนั้นเอ่ยตอบหน้าขรึม “มนุษย์ฆ่าสัตว์อสูรก็เพื่อความอยู่รอด สัตว์อสูรกินมนุษย์ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดเหมือนกันหรอกหรือ การฆ่าสังหารที่พร่ำเพรื่อจะกลายเป็นจิตมารบนเส้นทางของการฝึกวิชา…ช่างเถอะ พวกเจ้ายังเด็กไม่เข้าใจหรอก ในเมื่อพวกมันไม่มาตอแยข้า ก็เว้นทางรอดให้พวกมันสักสายแล้วกัน”

วาจาเสแสร้งที่พูดเฉไฉให้คลุมเครือเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ซูเพียนจื่อเคยอ่านจากในหนังสือเบ็ดเตล็ดจำนวนหนึ่ง ไม่นึกว่าตนเองจะหยิบมาปรับใช้เฉพาะหน้าได้คล่องปากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งขู่ทั้งปลอบจนเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาสองคนตะลึงงันไปทีเดียว

พอเหล่าสัตว์อสูรที่หลบซ่อนอยู่ไกลๆ ได้ยินดังนั้น แต่ละตัวต่างก็ดีอกดีใจที่วันนี้เจอกับผู้ฝึกวิชาที่ยึดถือหลักปรัชญาเช่นนี้เข้า ผู้มีพลังวัตรขั้นสูงนี่ช่างแตกต่างจริงๆ คำพูดคำจาล้วนไม่เหมือนกับผู้ฝึกวิชาคนอื่นๆ ที่เอะอะก็จะฆ่าแกงพวกมัน

ในเมื่อผู้อื่นเจตนาดีเว้นทางรอดให้พวกมันสายหนึ่งแล้ว ขืนพวกมันยังก่อเรื่องต่อจนยั่วโทสะนางขึ้นมา พวกมันได้จบชีวิตกันทุกตัวแน่!

สัตว์อสูรร่างพยัคฆ์ดอดไปถึงนอกตัวอำเภอ แล้วคำรามเรียกระดมสัตว์อสูรที่เหลือให้ถอนกำลังกลับขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว

จวบจนฝูอวิ๋นลอบบอกซูเพียนจื่อว่าสัตว์อสูรทั้งหมดล่าถอยไปแล้ว นางจึงค่อยๆ พรูลมหายใจที่กลั้นอยู่ในช่องอกออกมา ในใจแทบไม่กล้าเชื่อเลยว่าตนจะขู่ขวัญสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมฝูงใหญ่นั้นให้หนีเตลิดไปได้จริงๆ

ซูเพียนจื่อนั่งอยู่บนร่างของฝูอวิ๋น นิ่งมองไปยังทิศทางที่สัตว์อสูรล่าถอยไป ส่วนเด็กน้อยสองคนที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดนั้นต่างกำลังแหงนหน้ามองดูผู้มีพระคุณอยู่ ในใจรู้สึกเพียงว่าพี่สาวเทพธิดาผู้ช่วยชีวิตพวกตนมีบุคลิกที่สูงส่งเกินเอื้อมยากจับต้องได้ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วนางถูกเขย่าขวัญจนสติหลุดลอยไปยังไม่กลับคืนมาต่างหาก

เมื่อชาวบ้านในตัวอำเภอซึ่งหลบซ่อนอยู่ในที่ลับเห็นว่าไม่ได้ยินเสียงของสัตว์อสูรพักใหญ่แล้ว สองสามคนที่ใจกล้าหน่อยจึงปีนออกมาดูสถานการณ์ก่อน แล้วก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าพอดี…ท่ามกลางถนนในตัวอำเภออันว่างเปล่า สาวน้อยผมยาวในอาภรณ์ขาวดุจหิมะกำลังนั่งนิ่งอยู่บนอาชาเทพ สายตาของนางทอดมองไปยังที่ห่างไกล แสงจันทร์สกาวที่สาดฉายบนร่างคล้ายฉาบรัศมีอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ไว้ทั่วตัวนาง พลังอันสูงส่งที่แผ่ซ่านออกมานั้นต่อให้อยู่ห่างไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้

ชาวบ้านคนอื่นๆ พอได้ยินข่าวนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งออกจากห้องใต้ดินของบ้านตน พากันไปรายล้อมอยู่ใกล้ๆ นางแล้วก้มหน้าหมอบกราบ ปากก็พร่ำพูดว่า “ขอบพระคุณองค์ท่านที่ช่วยชีวิตๆ”

ในที่สุดซูเพียนจื่อที่ถูกฝูอวิ๋นเรียกเตือนก็ได้สติกลับคืนมา และพบว่าเด็กชายที่ตนเองเพิ่งช่วยไว้คุกเข่ากับพื้นดังตุ้บ พูดอ้อนวอนเสียงดัง “พี่สาวเทพธิดา ท่านรับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะขยันฝึกวิชา ขอร้องท่านล่ะ!”

ซูเพียนจื่อพลันว้าวุ่นใจ ตนเองยังเป็นคนนอกแวดวงวิชาเชิงยุทธ์อยู่ด้วยซ้ำ อีกทั้งเพิ่งจะมาถึงต่างถิ่นไม่ทันไร สถานที่หรือผู้คนก็ล้วนไม่คุ้นเคย ตนเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะให้เด็กน้อยสองคนมาติดสอยห้อยตามได้อย่างไรกันเล่า

ฝูอวิ๋นตอบสนองว่องไวยิ่ง มันก้มหน้าเอ่ยกับเด็กชายทันที “เจ้ามีวาสนากับนายข้าในภายภาคหน้า ไม่ใช่ในเวลานี้ นายข้ายังมีงานสำคัญยิ่งที่ต้องไปทำ ไม่อาจให้เจ้าอยู่ข้างกายได้”

ดวงตาที่สว่างสดใสของเด็กชายพลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง

ซูเพียนจื่อเคยถูกผู้อื่นปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เล็ก มีหรือจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น ดูจากเสื้อผ้าขาดวิ่นบนร่างของพี่น้องคู่นี้แล้ว ชีวิตเมื่อก่อนคงไม่ดีเท่าไรแน่ ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่คนทั้งอำเภอไปซ่อนตัวกันหมด แต่กลับทิ้งสองพี่น้องนี้ไว้ข้างนอกให้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่ดุร้ายโดยไม่มีใครเหลียวแล ซูเพียนจื่อก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจลุกโพลงไปด้วยเพลิงโทสะ

สายตาเย็นชาของสาวน้อยกวาดมองเหล่าชาวบ้านที่หมอบกราบอยู่รอบด้าน พลางคิดในใจกลับไปกลับมา สุดท้ายก็ตัดสินใจเป็นคนดีให้ถึงที่สุด

“นายอำเภออยู่ที่ใด” ซูเพียนจื่อเอ่ยถามเสียงดังกังวาน

ร่างกลมดุจลูกชิ้นของโจวซิงวั่งฝ่าวงล้อมของฝูงชนออกมาอย่างรวดเร็ว “อยู่ตรงนี้ขอรับอยู่ตรงนี้! องค์ท่านมีสิ่งใดจะบัญชา”

ซูเพียนจื่อพยายามปั้นสีหน้าอันลุ่มลึกสุดหยั่งตามแบบฉบับของผู้วิเศษกำมะลอแล้วเอ่ยว่า “พี่น้องคู่นี้มีวาสนากับข้า จงดูแลพวกเขาให้ดีๆ ภายภาคหน้าพวกเขาจะนำพาความผาสุกไม่สิ้นสุดมาให้แก่พวกเจ้า”

เรื่องดูแลเด็กกำพร้าสองคนสำหรับโจวซิงวั่งแล้วลำบากแค่เพียงยกมือเท่านั้น เขาจึงพยักหน้าระรัวและ ค้อมเอวตอบรับในทันที

ฝูอวิ๋นแกว่งหางพลางก้มหน้าพูดกับเด็กชายเสียงเบา “สิ่งที่นายข้าสามารถช่วยเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้ วันหน้าพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้ที่คนอื่นเคารพให้เกียรติได้หรือไม่นั้น ต้องพึ่งพาตัวของพวกเจ้าเองแล้ว”

เด็กน้อยสองคนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะออกแรงพยักหน้าขานรับ ความจริงแล้วพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของฝูอวิ๋นนักหรอก เพียงแต่พวกเขารู้สึกว่าคำพูดที่ม้าพาหนะของพี่สาวเทพธิดากล่าวมาจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

ซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นต่างหารู้ไม่ว่าการบุ่มบ่ามทำความดีโดยบังเอิญในครั้งนี้จะมอบผลตอบแทนที่คาดไม่ถึงให้แก่พวกตนในวันข้างหน้า

“ไปกันเถอะ” ซูเพียนจื่อพูดพลางลูบคอฝูอวิ๋น

ฝูอวิ๋นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สยายสองปีกทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ลาจากอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ไปในพริบตา

จวบจนผู้คนในตัวอำเภอมองไม่เห็นเงาร่างของทั้งสองอีก ซูเพียนจื่อจึงได้ตัวอ่อนปวกเปียกฟุบกับร่างของฝูอวิ๋นแล้วถอนหายใจยาว “ข้าตกใจแทบตายเลยเชียว”

ฝูอวิ๋นเอ่ยกลั้วหัวเราะร่วน “เจ้านาย ท่านเก่งกาจมากเลย สมแล้วที่เป็นคนสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกของพวกเรา สัตว์อสูรเหล่านั้นถูกท่านหลอกจนหัวหมุนทีเดียว หึๆ ตอนแรกข้ายังกลัวอยู่ว่าท่านจะเผยพิรุธ นึกไม่ถึงว่าท่านจะหลอกคนเก่งกว่าข้าเสียอีก โอ๊ะ! ไม่ถูกสิ หลอกสัตว์ต่างหาก”

“เป็นเพราะพวกเราดวงดีกระมัง หรือว่าเป็นเพราะสัตว์อสูรที่นี่สมองทึบเช่นนี้กันหมด” ตอนนี้ซูเพียนจื่อมานึกย้อนดูแล้วก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

เหตุที่นางจากมาทันทีโดยไม่ยอมรั้งอยู่ค้างแรมในตัวอำเภอ ความจริงแล้วเป็นเพราะหวั่นใจว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะคิดได้แล้วบุกกลับมา

ฝูอวิ๋นย่อมเข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย มันโคลงศีรษะเอ่ยว่า “พวกที่เจอวันนี้ซื่อบื้อมากจริงๆ ซ้ำใจเสาะอีกด้วย! คาดว่าเมื่อก่อนน่าจะเคยถูกผู้ฝึกวิชาที่ร้ายกาจสั่งสอนเข้าให้ อีกอย่างผมยาวของท่านก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ…ไม่สิ! ต้องพูดว่าชวนให้สัตว์ตกใจ ฮ่าๆๆ”

“เจ้าบอกว่าที่จริงแล้วข้าเพียงแต่ถูกปิดผนึกพรสวรรค์ หากคลายผนึกแล้วก็จะสามารถฝึกวิชาได้ ผมข้ายาวเช่นนี้ หมายความว่าพรสวรรค์ของข้าสูงส่งมากๆ เลยใช่หรือไม่” ซูเพียนจื่อถามอย่างตื่นเต้นดีใจ

ฝูอวิ๋นผงกศีรษะรับ “ใช่แล้ว แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า…ท่านต้องเสาะหาของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้ให้พบเสียก่อน”

ประโยคนี้ฝูอวิ๋นพูดมาสองครั้งแล้ว หัวใจของซูเพียนจื่อพลันกระตุกวูบ มือขยุ้มขนแผงคอของมันไว้แน่น “ทิ้งไว้? ท่านพ่อข้าไม่ได้อยู่ที่ถ้ำพันจิ้งจอกของสกุลซูหรอกหรือ เจ้าบอกข้าว่าไปถึงถ้ำพันจิ้งจอกก็จะได้พบท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่หรือไร”

ฝูอวิ๋นเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งค่อยปริปากในที่สุด “คุณชายกับฮูหยินน้อยหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว หากท่านหาของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้จนพบ บางทีอาจมีเบาะแสที่จะตามหาพวกเขาได้”

“เจ้าหลอกข้า” ซูเพียนจื่อพูดด้วยเสียงอันฝืดเฝื่อน นางสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่รางๆ ตั้งแต่แรกแล้ว

ความเงียบปกคลุมระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งม้า ความสุขจากชัยชนะด้วยกลโกงก่อนหน้านี้พลันสลายวับจนไร้ร่องรอย

อาจเพราะแต่เล็กจนโตประสบกับเรื่องที่วาดหวังแล้วผิดหวังมามากมายเหลือเกิน ซูเพียนจื่อจึงฮึกเหิมขึ้นมาได้ในไม่ช้า “ต้องทำอย่างไรจึงจะหาของวิเศษที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้พบเล่า เจ้าคงจะไม่หลอกข้าอีกนะ”

ฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกก่อนตอบ “เทพเจ้าแห่งกลลวงโปรดเป็นพยาน อาชาเทพจะไม่ประสงค์ร้ายหลอกลวงนายของมัน”

จะไม่ประสงค์ร้ายหลอกลวง เช่นนั้นถ้าหลอกลวงด้วยความหวังดีเล่า

ซูเพียนจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อนึกได้ว่าชะตากรรมของอาชาเทพตัวนี้น่าจะผูกติดอยู่กับตน สาวน้อยก็ไม่ไปตั้งข้อสงสัยอะไรอีก เพราะลึกๆ แล้วในใจนางก็หวังเช่นกันว่าสิ่งที่ฝูอวิ๋นพูดมาล้วนเป็นความจริง

“คืนนี้จะทำอย่างไร เที่ยวหลอกชาวบ้านไม่มีผลลงเอยที่ดีจริงเสียด้วย หนำซ้ำยังถูกเขย่าขวัญไปยกหนึ่งโดยใช่เหตุอีก” ซูเพียนจื่อนึกถึงปัญหาเรื่องที่พักก็ปวดหัวขึ้นมา

ฝูอวิ๋นหัวเราะหึๆ อย่างคนโฉดก่อนตอบ “เดิมทีพวกเราไม่มีเงิน แต่ว่าตอนนี้มีแล้ว ย่อมสามารถไปค้างแรมที่อำเภอใกล้เคียงได้”

“เอ๋? เจ้ามีเงินด้วยหรือ นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน” ก่อนหน้านี้พวกตนไปหลอกคนที่อำเภอเล็กๆ แห่งนั้น ฝูอวิ๋นบอกว่าไม่มีเงินไม่ใช่หรือ

“เจ้าคนอ้วนพีนั่นติดสินบนข้าน่ะสิ!” ฝูอวิ๋นกระหยิ่มยิ้มย่อง

ด้วยคำอธิบายของมัน ซูเพียนจื่อจึงเข้าใจกระจ่างจนได้ ที่แท้เหล่าผู้แข็งแกร่งบนดินแดนพันเมฆาล้วนหยิ่งทะนงในฐานะ ปกติจะไม่ไปรีดไถชาวบ้านสามัญ ทว่าพวกเขาก็อนุญาตโดยนัยให้อาชาเทพหรือสัตว์วิเศษที่อยู่ข้างกายไปทำได้ ดังนั้นการติดสินบนอาชาเทพที่อยู่ข้างกายของผู้แข็งแกร่งจึงเป็นกฎลับที่รู้กันสำหรับชาวบ้านสามัญในการต้อนรับผู้แข็งแกร่ง

ฝูอวิ๋นเน้นย้ำว่าเงินสินบนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมัน แม้ว่ามันในฐานะอาชาเทพผู้ภักดีและมีจิตใจดีงามนั้นไม่ถือสาที่จะแบ่งปันทรัพย์สินกับนายของตนเป็นครั้งคราว แต่มันก็จะไม่ผ่อนปรนให้กับพฤติกรรมได้คืบจะเอาศอกใดๆ เป็นอันขาด

ซูเพียนจื่ออับจนถ้อยคำอยู่พักหนึ่งและก็ได้แต่ปล่อยไปตามใจมัน

เพียงไม่ถึงร้อยหลี่จากละแวกนั้นก็มีอำเภอขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏให้เห็นแล้ว ซูเพียนจื่อพบว่านอกตัวอำเภอมีปราการป้องกันที่พอจะทัดเทียมกับเมืองสำคัญทางการทหารได้ทีเดียว เมื่อนึกถึงการบุกจู่โจมของสัตว์อสูรที่เพิ่งประสบมาในครึ่งคืนแรก สาวน้อยก็ลอบทอดถอนใจ…ที่แท้สัตว์อสูรก็เลือกบีบลูกพลับนิ่ม* เช่นกัน

ลำพังสัตว์อสูรหลายสิบตัวนั้น หากอยู่ต่อหน้าปราการและเครื่องป้องกันที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ก็มีแต่ต้องปราชัยกลับไปอย่างหมดสภาพดุจนกขนโกร๋น ดังนั้นพวกมันจึงเลือกไปโจมตีอำเภอขนาดเล็กแทน

ขณะเดียวกันเมื่ออำเภอแห่งนี้มีขนาดใหญ่และมีผู้คนเข้าออกมากกว่า คนในท้องที่จึงเคยพบเห็นผู้ฝึกวิชามาจนชินตาแล้ว ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งบางคนตั้งรกรากอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นผู้คนที่นี่เมื่อพบเจอผู้ฝึกวิชาจึงไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด แม้ยังให้ความเคารพเกรงใจอยู่ แต่ก็ไม่ได้เทิดทูนดุจเทพเจ้าเช่นเดียวกับที่ตัวอำเภอขนาดเล็ก

หากคิดจะอาศัยฐานะของผู้ฝึกวิชามากินอยู่โดยไม่จ่ายเงิน โดยทั่วไปแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้

ก่อนเข้าตัวอำเภอแห่งนี้ ไม่รู้ฝูอวิ๋นคว้าหมวกปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรสีขาวไว้โดยรอบใบหนึ่งมาจากที่ไหน มันตั้งใจเอาให้ซูเพียนจื่อสวมเพื่อซ่อนเส้นผมที่ยาวสะดุดตานั้นเป็นพิเศษ

เหตุผลของมันเรียบง่ายยิ่ง ที่นี่มีคนตาแหลมอยู่ไม่น้อย เส้นผมยาวของซูเพียนจื่ออาจสามารถหลอกคนชนบทที่ไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้าง ทว่าไม่อาจตบตาคนเมืองที่รอบรู้กว้างขวางไปได้แน่ นายของตนไม่มีฝีมือแท้จริงที่สอดคล้องกับความยาวของเส้นผม หากสะกิดความสนใจของผู้อื่นเข้าก็รังแต่จะทำให้ฝ่ายตนโชคร้าย ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุยุ่งยาก ยังคงซ่อนเอาไว้จะเป็นการดีกว่า

ซูเพียนจื่อไม่มีความเห็นต่าง หนึ่งคนหนึ่งม้าเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงค่อยเดินเข้าตัวอำเภอไปด้วยกัน

ความเจริญของอำเภอนี้อยู่ในระดับที่อำเภอเล็กๆ แห่งนั้นไม่มีทางจะเทียบเปรียบได้ กระทั่งยามดึกดื่นเช่นนี้แล้วบนถนนสายหลักก็ยังคงมีแสงไฟสว่างไสวครึกครื้นไม่ธรรมดา

ซูเพียนจื่อเหน็ดเหนื่อยแล้วจริงๆ จึงไม่ได้สนใจดูอะไรมากนัก เพียงหาโรงเตี๊ยมที่ดูไม่เลวแห่งหนึ่งแล้วค้างแรมกับฝูอวิ๋นที่นั่น

ตลอดคืนไร้คำสนทนา เมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้นและกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ซูเพียนจื่อก็เร่งฝูอวิ๋นให้รีบออกเดินทาง

หากเสาะพบของวิเศษที่บิดาทิ้งไว้เร็วขึ้นหนึ่งวัน นางก็จะได้รู้ข่าวคราวของบิดามารดาเร็วขึ้นอีกหนึ่งวัน ทั้งจะได้เริ่มฝึกวิชาและไม่ต้องถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกอีก

ระหว่างทางนางนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาจึงสอบถามฝูอวิ๋นดู

“บนตัวเจ้ามีของวิเศษบางอย่างใช่หรือไม่ ของวิเศษที่สามารถแผ่…เอิ่ม พลังที่ทั้งสูงส่งและพิเศษมากๆ นั่นน่ะ”

เมื่อวานที่ทั้งสองสามารถตบตาสัตว์อสูรเหล่านั้นได้สำเร็จ พลังพิเศษที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของฝูอวิ๋นก็มีส่วนช่วยอย่างมากทีเดียว ไม่เช่นนั้นอาศัยแค่ปากของพวกตนสองปากย่อมไม่มีทางสยบสถานการณ์ได้อยู่หมัด

ฝูอวิ๋นตอบกลั้วหัวเราะ “ก็ต้องมีแน่อยู่แล้ว นี่คืออาวุธป้องกันตัวที่สำคัญเวลาข้าออกมาข้างนอก หึๆ มีของชิ้นนี้อยู่กับตัว สัตว์อสูรทั่วๆ ไปเห็นข้าแล้วไม่กล้าบุ่มบ่ามโจมตีกันหรอก”

อาวุธป้องกันตัวของฝูอวิ๋นก็คือมุกสีทองที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเม็ดหนึ่งนามว่า ‘มุกรัศมีเทวะ’ ปกติจะถูกเก็บซ่อนอยู่ในรูหูของมัน นอกจากสามารถลอกเลียนพลังอันสูงส่งกล้าแข็งที่ทำให้สัตว์อสูรนึกว่ามันมีฝีมือร้ายกาจมากแล้วก็ไม่มีประโยชน์อื่นอีก

มุกวิเศษนี้ตระกูลสิบแปดมงกุฎเป็นผู้หลอมสร้างขึ้น บุตรหลานสกุลซูรวมถึงอาชาเทพเมื่อจะออกไปข้างนอก ต่างก็พยายามหามุกวิเศษนี้สักเม็ดมาไว้ป้องกันตัว มุกที่อยู่ในมือฝูอวิ๋นเม็ดนี้มีคุณภาพอยู่ในระดับกลางบนเท่านั้น พลังที่แผ่ซ่านออกมาพอจะเทียบเคียงได้กับผู้แข็งแกร่งขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณหรือสัตว์อสูรขั้นสี่ เป็นมรดกประจำตระกูลที่บิดาของฝูอวิ๋นทิ้งไว้ให้มัน

ว่ากันว่าในมือประมุขสกุลซูยังมีมุกรัศมีเทวะที่สามารถลอกเลียนพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นทรงฤทธาได้เลยทีเดียว ตอนที่ฝูอวิ๋นเอ่ยถึงสิ่งนี้ มันมีสีหน้าอิจฉาจนปิดไม่มิด

ซูเพียนจื่อพูดอย่างไม่เห็นพ้อง “ก็แค่ของที่เอาไว้หลอกคนเท่านั้น พบเจอยอดฝีมือที่แท้จริงเมื่อไร น่ากลัวว่าจะตายอนาถยิ่งกว่าเดิมสิไม่ว่า”

“ฮึ” ฝูอวิ๋นแค่นเสียงฮึแล้วไม่ส่งเสียงอีก ผ่านไปสักพักจึงค่อยเอ่ยปาก “ท่านพูดถึงหลอกคน ข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ก่อนไปถึงถ้ำพันจิ้งจอก ท่านตัดผมให้สั้นจะเป็นการดีที่สุด พอไปถึงที่นั่นแล้วก็อย่าได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองถูกปิดผนึกพรสวรรค์ด้วย” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่างรอบคอบ

“เพราะอะไรล่ะ” ในเมื่อฝูอวิ๋นพูดมาตลอดว่านางคือคุณหนูเจ็ดสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอก แล้วเหตุใดกลับไปถึงบ้านแล้วยังจะต้องหลอกคนอื่นอีก ซูเพียนจื่องุนงง

ฝูอวิ๋นถอนหายใจกล่าว “คุณหนูคุณชายสกุลซูที่ถ้ำพันจิ้งจอกมีอยู่มากมาย ท่านประมุขสูงวัยมากแล้ว อีกไม่ช้าก็ต้องคัดเลือกประมุขคนใหม่ หากท่านดูสะดุดตาเกินไป เกรงว่ายังไม่ทันเสาะพบของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้ ท่านก็อาจถูกผู้อื่นทำร้ายเสียก่อน”

บุญคุณความแค้นในตระกูลใหญ่สินะ ซูเพียนจื่อพลันเข้าใจกระจ่าง แม้ตนเองไม่เคยมีญาติพี่น้อง แต่ในนิยายกับละครทีวีก็มีแสดงให้เห็นอยู่เป็นประจำ เพื่อช่วงชิงทรัพย์สินของตระกูลแล้ว มีทั้งกรณีพ่อลูกแตกคอ พี่น้องงัดข้อ แม่ผัวราวีลูกสะใภ้ รวมไปถึงหมู่สะใภ้ชิงดีชิงเด่นกัน

“ข้าไม่ได้อยากจะเป็นประมุขอะไรนั่นสักหน่อย พวกเขาก็ต่อสู้กันไปสิ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” ซูเพียนจื่อบ่นงึมงำ เป็นเด็กกำพร้าน่าสงสารมากก็จริง แต่มีวงศาคณาญาติเยอะเกินไปก็ยุ่งวุ่นวายเช่นกัน

ความรู้สึกจนใจอันเข้มข้นผุดวาบขึ้นในดวงตาของฝูอวิ๋น

ชิงหรือไม่ชิงตำแหน่งประมุข เรื่องนี้อยู่ที่ความเต็มใจของท่านเมื่อไรกันเล่า…

“ได้ๆ เจ้าพูดถูกแล้ว ต่อให้ข้าไม่สนใจจะชิงตำแหน่งประมุข ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่มาหาเรื่องข้า ไหนๆ ผมยาวนี่นอกจากใช้หลอกคนแล้ว เก็บไว้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตัดทิ้งก็ตัดทิ้งสิ”

ซูเพียนจื่อเข้าใจในเจตนาดีของฝูอวิ๋น ผู้อื่นกำลังแย่งชิงตำแหน่งประมุขกันอย่างดุเดือด จู่ๆ ญาติที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์สูงถึงระดับชาวสวรรค์ก็ดันโผล่มาเสียนี่ ต่อให้นางประกาศชัดว่าจะไม่เข้าร่วมแข่งขัน ผู้อื่นย่อมไม่ยอมเชื่อโดยง่าย

หากฝีมือที่นางมีอยู่สอดคล้องกับความยาวของเส้นผมจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ ทว่านางในตอนนี้เป็นแค่ขยะที่ถูกปิดผนึกพรสวรรค์อยู่เท่านั้น ผู้อื่นย่อมคิดจะฉวยจังหวะที่ภัยคุกคามชิ้นโตนี้ยังอ่อนแอไร้กำลัง ชิงเค้นคอฆ่านางให้ตายคาเปลไปเสียก่อนเลย

มีเรื่องเพิ่มขึ้นก็ไม่สู้มีเรื่องน้อยลง อย่างไรเสียขอแค่เจอของวิเศษของบิดาก็จะพบร่องรอยของบุพการี จากนั้นก็จะเพิ่มพูนความสามารถของตนเองให้แข็งแกร่งได้ เพียงเท่านี้ซูเพียนจื่อก็พึงพอใจมากแล้ว

จะว่าไป…นางก็ไม่ได้พึงพอใจง่ายสักเท่าไร หึๆ

หลังจากรุดเดินทางเช้าจรดค่ำเช่นนี้อยู่สามวัน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงฐานที่มั่นของสกุลซู…ถ้ำพันจิ้งจอกอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่ฝูอวิ๋นเอ่ยถึง

ถ้ำพันจิ้งจอกตั้งอยู่บนเกาะนิรนามขนาดเล็กแห่งหนึ่งในทะเลสาบเงาฟ้า ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดบนดินแดนพันเมฆา ประกอบกับหลายจุดของทะเลสาบที่กว้างไกลสุดสายตาแห่งนี้มีเมฆหมอกกระหวัดวนตลอดทั้งปี จึงทำให้การค้นหาเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในทะเลสาบเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่สกุลซูในฐานะตระกูลสิบแปดมงกุฎสามารถยืนตระหง่านไม่ล้มลงตลอดนานปีที่ผ่านมา

ถ้ำพันจิ้งจอกของสกุลซูมีนามกระเดื่องเลื่องลือยิ่ง ทว่าคิดจะค้นหามันในทะเลสาบเงาฟ้ากลับยากยิ่งกว่าไต่ขึ้นสวรรค์ ตระกูลฝ่ายธรรมะหมายกำจัดคู่ปรับเก่านี้ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งหน ทว่าจนใจที่ตลอดมาไม่อาจค้นหาที่ตั้งอันแน่ชัดของถ้ำพันจิ้งจอกได้เสียที

ฝูอวิ๋นพาซูเพียนจื่อเหินข้ามผิวทะเลสาบ ลอดซ้ายป่ายขวาอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกอันหนาทึบ หลังจากอ้อมวนจนนับรอบไม่ถ้วน ในที่สุดมันก็ร่อนลงบนเกาะที่เล็กเสียจนมองเห็นทั่วเกาะได้ในปราดเดียว

ที่พูดว่านี่คือเกาะขนาดเล็ก แท้จริงแล้วเป็นเพียงหินใหญ่ซึ่งโผล่พ้นผิวทะเลสาบ จนนานวันเข้ามีต้นไม้ใบหญ้างอกเงยขึ้นมาประปรายก็เท่านั้น

ฝูอวิ๋นเดินไปยังที่ว่างผืนย่อมตรงใจกลางของเกาะเล็ก ก่อนจะเหยาะย่ำกีบเท้าทั้งสี่ด้วยจังหวะแปลกประหลาดที่ดูลี้ลับ

ผ่านไปชั่วครู่ ตรงที่ว่างผืนนั้นก็พลันยุบตัวและกลายเป็นวังน้ำวนสีดำสนิท ซูเพียนจื่อกอดคอฝูอวิ๋นพลางร้องอุทานเบาๆ จากนั้นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตาก็เปลี่ยนเป็นทัศนียภาพที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง

มีภูเขาสูงตระหง่านเสียดเมฆลูกหนึ่งตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า บนเขาท่ามกลางเงาไม้และเมฆสีอร่ามตานั้นพอจะเห็นไม้เชิงชายที่รองรับชายคาปลายงอนได้รำไร กระเบื้องเคลือบสีม่วงแกมน้ำเงินกับกำแพงสูงสีขาวหิมะที่มีช่องหน้าต่างฉลุลายนั้นเรืองรองจับตาภายใต้แสงเงินแสงทอง ทั้งหมดทั้งมวลนี้วิจิตรงดงามทว่าเลือนรางห่างไกลดุจแดนเซียน

ฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกก่อนเอ่ยปนยิ้ม “เทพเจ้าแห่งกลลวงคุ้มครอง เจ้านายอันเป็นที่รัก ยินดีต้อนรับท่านกลับสู่บ้าน!”

บ้าน? ซูเพียนจื่อนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจ ที่นี่ก็คือบ้านของข้า?!

แสงสีทองสายหนึ่งพลันโฉบลงมาจากบนเขา เมื่อร่อนลงตรงหน้าซูเพียนจื่อจึงพบว่านั่นถึงกับเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่งซึ่งมีความสูงเท่าครึ่งตัวคน จิ้งจอกทองมองพิจารณานางด้วยสายตาที่ระแวดระวังปนฉงนสงสัย ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมชีวิตชีวา สีหน้าแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย ดูไม่คล้ายสิ่งที่สัตว์ป่าจะมีได้เลย

“บนร่างเจ้ามีกลิ่นอายของคนสกุลซู เจ้าเป็นใครกัน” จิ้งจอกทองพลันเอ่ยปากพูดภาษามนุษย์

ฝูอวิ๋นหัวเราะร่วนก่อนจะพูดแนะนำกับซูเพียนจื่อ “นี่ก็คือเหล่าจิน สัตว์เทพผู้พิทักษ์เขาถ้ำพันจิ้งจอก” จากนั้นมันก็เอ่ยกับจิ้งจอกทองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “เหล่าจิน รบกวนแจ้งต่อท่านประมุขทีว่าข้าหาคุณหนูเจ็ดของพวกเราสกุลซูหรือก็คือบุตรีของคุณชายสามพบแล้ว!”

เหล่าจินพลันเบิกตาโต มองซูเพียนจื่อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่งจึงค่อยพยักหน้ารับ “ได้ พวกเจ้ารอสักครู่” มันพูดพลางแกว่งหางแล้วกลายสภาพเป็นแสงสีทองวับหายไปท่ามกลางแมกไม้

ไม่ช้าก็มีเสียงระฆังดังขึ้นบนเขา เหล่าจินปรากฏตัวตรงหน้าซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ท่านประมุขต้องการพบพวกเจ้า จงตามข้ามา!”

พอนึกว่ากำลังจะได้พบหน้าคนในครอบครัวของตนแล้ว ซูเพียนจื่อก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่บ้าง นางจึงขยุ้มขนแผงคอของฝูอวิ๋นไว้แน่น

กระแสจิตสายหนึ่งพลันถ่ายทอดมาจากฝูอวิ๋น… ท่านต้องจำคำที่ข้าเคยพูดเอาไว้ให้มั่น

ซูเพียนจื่อหัวใจสะท้านวูบ คล้ายจู่ๆ ก็ถูกคนเอาน้ำเย็นเฉียบมาสาดตัวในวันที่อากาศร้อนจัด

ก่อนหน้านี้ฝูอวิ๋นเคยเตือนสตินางว่าอย่าได้บอกผู้อื่นเรื่องที่วันหน้าตนมีโอกาสจะคลายผนึกและฝึกวิชาได้ ยิ่งห้ามบอกผู้อื่นว่าตนมีพรสวรรค์สูงถึงระดับชาวสวรรค์ และอย่าได้เชื่อใจคนสกุลซูทั้งเบื้องบนเบื้องล่างไม่ว่าผู้ใดง่ายๆ

สกุลซูนี่น่ากลัวถึงขั้นนี้จริงๆ น่ะหรือ!

ขณะที่ซูเพียนจื่อยังแคลงใจ ฝูอวิ๋นก็เหาะไปถึงหน้าตำหนักใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาแล้ว มันแสดงท่าทีให้นางก้าวลงพื้นแล้วเดินเท้าเข้าไปพร้อมกับมัน

เพิ่งจะย่างเท้าเข้าไปในตำหนัก สาวน้อยก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาที่แฝงนัยแตกต่างกันหลายสิบคู่สาดพุ่งมาจับที่ร่างนางโดยพร้อมเพรียง เจ้าของสายตาเหล่านั้นมีทุกเพศทุกวัย แต่ละคนสวมเสื้อตัวสั้นเข้ากับกระโปรงยาว บุคลิกงามสง่า รูปโฉมล้วนจัดอยู่ในขั้นหมดจดเป็นอย่างน้อย

ชายชราผู้เป็นหัวหน้านั้นนั่งสูงอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ม่วงตรงกึ่งกลางของโถงตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ดวงตาหรี่ลงกึ่งหนึ่งราวกำลังเข้าฌานอยู่

ในโถงตำหนักใหญ่เงียบกริบชนิดที่เข็มตกสักเล่มก็ต้องได้ยิน แรงกดดันที่ไร้สภาพนั้นชวนให้หายใจหายคอได้ลำบาก

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ซูเพียนจื่อกลับยิ่งเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ นางยืดสันหลังตรงพลางเบิกตาโตสบประชันกับผู้คนกลุ่มใหญ่นี้โดยไม่ยอมเผยความขลาดกลัวแม้สักนิด

คาดว่าชายชราผู้นี้ก็คือประมุขสกุลซูที่เรียกกัน ตามที่ฝูอวิ๋นบอกมา…เขาก็คือท่านปู่ของนาง มีนามว่าซูถิงหยวน

ไม่รู้ว่าเขาจะรักถนอมหลานสาวคนนี้เหมือนเหล่าคุณปู่ของเพื่อนนักเรียนในโลกใบเก่าหรือไม่ ซูเพียนจื่อผุดความคาดหวังเล็กๆ ขึ้นในใจ

ซูถิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ตรงกึ่งกลางมองพิจารณาซูเพียนจื่อเงียบๆ สักพักจึงค่อยเอ่ยปากในที่สุด “เจ้ามีชื่อว่าอะไร”

“ข้ามีชื่อว่าซูเพียนจื่อเจ้าค่ะ”

“เดินเข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ ซิ” เสียงของซูถิงหยวนราบเรียบ ปราศจากอารมณ์ตื่นเต้นที่ปู่หลานได้พบหน้า น้ำเสียงอันเป็นงานเป็นการนั้นทำให้ซูเพียนจื่อผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง

ก็ถูกของเขา คนสองคนเพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ต่อให้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ในด้านของความรู้สึกแล้วก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ฝูอวิ๋นเคยบอกว่าในสกุลซูมีคุณชายกับคุณหนูอยู่ดาษดื่น นางจะถือสิทธิ์อะไรให้ผู้อื่นโปรดปรานเอ็นดูนางเป็นพิเศษเล่า

ซูเพียนจื่อเยาะหยันตนเองอยู่ในใจ ก่อนจะเดินก้าวยาวไปข้างหน้า

ผู้เฒ่าอีกคนที่อยู่ข้างกายซูถิงหยวนเป็นผู้สืบเท้าขึ้นหน้ามาพูดกับนาง “โปรดให้พวกเราดูสัญลักษณ์สายโลหิตของเจ้าสักหน่อย”

ซูเพียนจื่อม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นตามคำขอ จนกระทั่งเผยให้เห็นสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงที่อยู่บนแขน เมื่อผู้คนในโถงตำหนักใหญ่ได้เห็นสัญลักษณ์อันคุ้นเคยนี้ พวกเขาก็ส่งสายตากันไปมาแล้วถกความเห็นกันเสียงเบา

ผู้เฒ่าคนเดิมบรรจงประคองคันฉ่องแก้วผลึกสีม่วงที่มีรูปทรงเดียวกับสัญลักษณ์นั้นมาบานหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “เชิญวางมือขวาของเจ้าบนบานคันฉ่องนี้”

ซูเพียนจื่อจึงทำตามนั้นทันที เมื่อฝ่ามือของนางสัมผัสถูกผิวคันฉ่องอันเรียบลื่นและเย็นเฉียบ ตัวคันฉ่องก็พลันเปล่งรัศมีสีม่วงเจิดจ้าออกมาคลุมทั้งร่างของนางเอาไว้ภายใน

นับแต่มาถึงโลกใบใหม่นี้ซูเพียนจื่อก็เคยเห็นเรื่องอัศจรรย์ทำนองนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอาการตื่นตูมใดๆ ในใจคาดเดาว่านี่น่าจะเป็นวิธีจำแนกสายเลือดว่าแท้หรือเทียม นางจึงนิ่งคอยให้รัศมีสีม่วงสลายหายไปเอง

ซูถิงหยวนรวมถึงผู้เฒ่าอีกหลายคนที่อยู่ด้านข้างล้วนเบิกตาโตจ้องเขม็งไปที่รัศมีสีม่วงรอบตัวซูเพียนจื่อ แต่ละคนทำราวกับต้องการจะมองหาดอกไม้สักดอกในนั้น ผู้เฒ่าทั้งหลายยิ่งมองก็ยิ่งมีสีหน้าชอบกล รอจนรัศมีสีม่วงเลือนจางไป สีหน้าที่พวกเขาใช้มองพิจารณานางก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนอยู่บ้าง ทว่าก็กลับมาเป็นปกติในไม่ช้า

ขณะที่สาวน้อยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฝูอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังของนางก็กะพริบดวงตาที่ทั้งโตทั้งงดงามคู่นั้น แววเจ้าเล่ห์ริ้วหนึ่งวาบผ่านก้นบึ้งของดวงตาก่อนที่มันจะพูดเสียงกังวาน “ท่านประมุข ข้าตามหาคุณหนูเจ็ดบุตรีของคุณชายสามกลับคืนมาแล้ว สมควรจะมีรางวัลใช่หรือไม่ขอรับ”

ซูถิงหยวนไม่ได้แยแสมัน เพียงสบตากับผู้เฒ่าที่ประคองคันฉ่องแล้วถามซูเพียนจื่อว่า “บนแขนซ้ายของเจ้ามีสัญลักษณ์พรสวรรค์อยู่หรือไม่”

เมื่อคำถามนี้เปล่งออกมา ซูเพียนจื่อก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในโถงตำหนักใหญ่แห่งนี้เปลี่ยนเป็นพิกลยิ่ง นางกัดฟันม้วนแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นแล้วกล่าวตอบ “มีเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่มีสีสัน”

รอจนนางพูดจบและสัญลักษณ์เมฆมงคลที่ไร้สีนั้นได้เผยออกมาต่อหน้าคนทั้งหมดแล้ว เสียงสูดหายใจเฮือกก็ดังขึ้นต่อเนื่อง ฟังคล้ายรู้สึกเสียดาย ทว่านางกลับสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่าในความเสียดายนี้ยังเจือด้วยอารมณ์ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น

นางเงยหน้าขึ้นอย่างเข้มแข็งไม่ยอมคน สายตามองไปทางซูถิงหยวนผู้นั่งอยู่ตรงกึ่งกลางและมีสีหน้าผิดหวังอย่างยากจะอำพรางเช่นเดียวกับคนอื่นๆ…

ข้าไม่อาจฝึกวิชา ท่านก็จะไม่รับหลานสาวคนนี้แล้วใช่หรือไม่

หากพวกท่านตัดสินค่าของคนที่ผลประโยชน์เช่นนี้ ข้าก็จะไม่เห็นพวกท่านเป็นญาติด้วยเช่นกัน!

ซูเพียนจื่อแค่นเสียงฮึอยู่ในใจ

ซูถิงหยวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็โบกมือกล่าว “เจ้าคือลูกของหู่หลี่ แต่น่าเสียดายหู่หลี่หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ไปพักก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

นี่เท่ากับเขายอมรับฐานะของนางแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นเท่าไรนัก คนอื่นๆ ในโถงตำหนักใหญ่ล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ซูเพียนจื่อต้องทนรับสายตาของใครต่อใครมาตั้งแต่เล็กแล้ว ดังนั้นเพียงมองผาดๆ ก็รู้สึกได้ว่าในบรรดาคนเหล่านี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เจตนาดีกับนาง

อารมณ์ปลาบปลื้มที่ได้กลับมาบ้านพลันถูกความเย็นชาของ ‘เหล่าวงศาคณาญาติ’ จู่โจมเข้าใส่จนกระเจิงหายไปกว่าครึ่งค่อน หากไม่ใช่เพราะยังอยากจะรู้ข่าวคราวของบิดามารดา เกรงว่าตอนนี้นางคงจะหมุนตัวจากไปอย่างไม่ลังเลสักนิดแล้ว

ผู้เฒ่าซึ่งเมื่อครู่ประคองคันฉ่องแก้วผลึกรูปจันทร์เสี้ยวมาตรวจยืนยันสายเลือดให้ซูเพียนจื่อผู้นั้นยังนับได้ว่าอ่อนโยนเป็นมิตร เมื่อผู้เป็นประมุขแสดงท่าที เขาก็ก้าวออกมาแนะนำฐานะของแต่ละคนในโถงตำหนักใหญ่ให้นางได้รู้จัก

ที่แท้ผู้เฒ่าท่านนี้แซ่หาน เป็นผู้อาวุโสต่างแซ่ของสกุลซู ระหว่างทางที่มาฝูอวิ๋นเคยแนะนำโครงสร้างตระกูลให้นางฟังคร่าวๆ แล้ว รองจากประมุขซูถิงหยวนลงไปก็คือตำแหน่งผู้อาวุโสทั้งห้า มีเพียงผู้อาวุโสรองเท่านั้นที่แซ่ซู ที่เหลืออีกสี่คนล้วนเป็นบุตรหลานต่างแซ่ ซึ่งได้แก่ ผู้อาวุโสใหญ่หานที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ตามด้วยผู้อาวุโสสามโจว ผู้อาวุโสสี่หลี่ และผู้อาวุโสห้าเฉิน

นอกจากผู้อาวุโสใหญ่หานแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสอีกสี่คนที่เหลือล้วนไม่อยู่ในถ้ำพันจิ้งจอก

ถัดจากตำแหน่งผู้อาวุโสลงไปก็คือเหล่าศิษย์ ผู้เฒ่าหลายคนที่ยืนอยู่ข้างกายซูถิงหยวนล้วนใช่ทั้งสิ้น ระดับรุ่นและฝีมือของพวกเขาล้วนจัดเป็นบุคคลแถวหน้าของสกุลซู

เช่นเดียวกับตระกูลโบราณอื่นๆ ระดับรุ่นในสกุลซูก็มีการแบ่งชั้นกันอย่างเคร่งครัดเข้มงวด ศิษย์ทั้งหมดไม่แบ่งแยกว่าแซ่ซูหรือว่าต่างแซ่ ล้วนแต่ถูกจัดลำดับตามทักษะฝีมือของวิชาต้นตระกูล พูดง่ายๆ ก็คือวิชากลลวงของผู้ใดร้ายกาจกว่า ผู้นั้นก็จะมีระดับรุ่นและฐานะที่สูงส่งตามไปด้วย

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนสกุลซูไม่จำเป็นต้องมีความสามารถในเชิงยุทธ์ ตรงกันข้าม พรสวรรค์เชิงยุทธ์มีส่วนสำคัญยิ่งยวดต่อความก้าวหน้าของวิชากลลวง ทักษะในการหลอกลวงมีอยู่หลายแขนงที่ล้วนต้องอาศัยพลังวัตรเป็นพื้นฐาน อีกทั้งเมื่ออยู่นอกถ้ำพันจิ้งจอก ผู้อื่นย่อมจะไม่ยึดถือกฎที่ว่าใครมีวิชากลลวงสูงก็มีฐานะสูง ดังนั้นหากใครเล่นเล่ห์แล้วถูกจับได้ก็ต้องเตรียมตัวที่จะถูกไล่ฆ่าล้างแค้น ใครที่มีฝีมือการต่อสู้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ก็อาจรักษาเอาไว้ไม่ได้

ในถ้ำพันจิ้งจอก ศิษย์ที่มีวิชายุทธ์กล้าแข็งเป็นพิเศษจะถูกดึงตัวออกมาให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของตระกูล อยู่ภายใต้ความควบคุมของเหล่าผู้อาวุโสโดยตรง เนื่องจากนี่เป็นฐานะเฉพาะ พวกเขาจึงไม่ถูกจัดระดับรุ่นตามความสามารถในวิชากลลวงอีก

ผู้คนในโถงส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนสกุลซู ศิษย์ต่างแซ่หากไม่ใช่ถูกพาตัวมาที่ถ้ำพันจิ้งจอกตั้งแต่เป็นทารก ก็ต้องผ่านการทดสอบหลายด่านจนแน่ใจในความภักดีต่อสกุลซูแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในถ้ำพันจิ้งจอกเป็นอันขาด กระทั่งตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำพันจิ้งจอกก็จะไม่มีทางได้รับรู้

ตามที่ผู้อาวุโสใหญ่หานแนะนำ ซูเพียนจื่อพบว่าการเรียกขานกันตามความสามารถเช่นนี้ก็มีข้อดีอยู่ไม่น้อย เพราะสกุลซูแม้ยังไม่นับว่ามีประชากรล้นหลาม แต่เฉพาะบุตรหลานที่ใช้แซ่ซูก็มีหลายพันคนเป็นอย่างต่ำ ซ้ำความสัมพันธ์เครือญาติก็สลับซับซ้อน หากต้องเรียกขานกันตามลำดับญาติ ลำพังญาติสายตรงของนางก็มีท่านลุงสองคนกับอาหญิงสามคนแล้ว ลูกพี่ลูกน้องในรุ่นเดียวกันยิ่งมีเยอะเสียจนนางนับไม่ถ้วนด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ขอเพียงนางดูตามเครื่องหมายระดับรุ่นบนเสื้อผ้าของพวกเขา แล้วเรียกว่าอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุงอาจารย์อา กับศิษย์พี่ เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว

ดูจากประวัติอันว่างเปล่าของนางที่ไม่เคยผ่านการสอบในวิชากลลวงมาก่อน ซ้ำไม่มีทางจะฝึกวิชายุทธ์ได้เลย นางจึงรั้งตำแหน่งศิษย์น้องเล็กสุดในหมู่คนทั้งหมดอย่างสมศักดิ์ศรี

หลังจากแนะนำจบแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่หานก็สั่งให้ซูม่านม่านที่เป็นทั้งญาติผู้พี่ของซูเพียนจื่อและมีระดับรุ่นเป็นอาจารย์อาของนางมารับผิดชอบจัดการเรื่องที่พัก การใช้ชีวิต รวมไปถึงสอนพื้นฐานวิชากลลวงอย่างง่ายๆ ให้นาง จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่หานก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายไป

ก่อนจากผู้อาวุโสใหญ่หานพูดกับฝูอวิ๋นว่า “เจ้ามีผลงานที่ตามหาสายเลือดของสกุลซูกลับคืนมาได้ เจ้าก็ไปที่คลังสิ่งของชั้นที่หนึ่งแล้วเลือกของสักชิ้นไปเป็นรางวัลเถอะ”

“คลังสิ่งของชั้นที่หนึ่ง? ชิ้นเดียวเท่านั้นเองหรือ!” ฝูอวิ๋นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่หานตอบด้วยสีหน้าที่เย็นชา “เจ้าจะไม่เอาก็ได้นะ”

ฝูอวิ๋นสะบัดหัวแล้วบ่นงึมงำยกใหญ่ด้วยวาจาที่ไร้แก่นสาร เช่น ขี้งกบ้างล่ะ ดูถูกม้าบ้างล่ะ จากนั้นมันก็ได้แต่ติดตามซูเพียนจื่อจากไปพร้อมกับซูม่านม่าน

พริบตาในโถงตำหนักใหญ่ก็เหลือแต่ซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หานเพียงสองคน

ผู้อาวุโสใหญ่หานเอ่ยขึ้นอย่างหดหู่ “เดิมทีนึกว่าบุตรีของคุณชายหู่หลี่จะมีพรสวรรค์โดดเด่นเหมือนกับตัวเขาเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่า…”

‘คุณชายหู่หลี่’ ที่เขาเอ่ยถึงก็คือซูหู่หลี่คุณชายสามสกุลซู ผู้เป็นบิดาของซูเพียนจื่อ

ซูถิงหยวนถอนหายใจยาวก่อนกล่าว “หรือว่านับแต่นี้สกุลซูของข้าจะต้องตกต่ำแล้วจริงๆ เดิมทีข้านึกว่าหู่หลี่จะพลิกผันสถานการณ์ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเขากลับหายไปไม่รู้ร่องรอย สกุลซูของพวกเรามีภัยพิบัติครั้งใหญ่มารออยู่ข้างหน้าแล้ว แต่กลับไม่มีศิษย์ที่เยี่ยมยอดสักคนสามารถรับช่วงสิ่งที่บรรพชนตกทอดเอาไว้”

ในโถงตำหนักใหญ่ไม่มีผู้อื่นแล้ว เขาจึงไม่ฝืนรักษาท่าทีอันน่าเกรงขามไว้อีก ร่างกายคล้ายพลันชราลงยี่สิบสามสิบปี ทั้งตัวแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายแห่งความทรุดโทรม ดุจตะวันรอนที่ใกล้จะลาลับทิวเขาประจิม

ผู้อาวุโสใหญ่หานตื่นตระหนก รีบเดินขึ้นหน้าไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ “ท่านประมุข อาการบาดเจ็บของท่าน…”

“ข้าประคับประคองได้อีกไม่นานแล้ว…สั้นหน่อยก็สามปี ยาวหน่อยก็ห้าปี” ซูถิงหยวนเอ่ยปนยิ้มเฝื่อน

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ถ้า…ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดี” ผู้อาวุโสใหญ่หานร้อนใจจนหน้าซีดเผือด

ซูถิงหยวนสั่นศีรษะ “รอให้ศิษย์น้องที่เหลืออีกสี่คนกลับมาก่อน ข้าจะให้ศิษย์ทั้งหมดออกไปรับการทดสอบที่นอกถ้ำพันจิ้งจอก ถึงตอนนั้นก็ให้สวรรค์ตัดสินแล้วกัน หวังว่าเทพเจ้าแห่งกลลวงจะไม่ทอดทิ้งบุตรหลานอกตัญญูเหล่านี้ของท่าน”

ศิษย์น้องที่เหลืออีกสี่คนที่เขาพูดถึงก็คือผู้อาวุโสของสกุลซูอีกสี่คนที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่

ผู้อาวุโสใหญ่หานขยี้จอนผม “เช่นนั้นได้แต่ปล่อยไปตามลิขิตฟ้าแล้ว”

ทั้งสองต่างไร้ถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่หานจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แปลกแท้ เมื่อครู่ข้าถึงกับมองอนาคตบุตรีของคุณชายหู่หลี่ไม่ออก”

ซูถิงหยวนตะลึงงัน “เจ้าก็มองไม่ออกเช่นกันหรือนี่” เดิมทีเขานึกว่าเป็นเพราะตนเองบาดเจ็บสาหัสเสียอีก

ชายชราทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยายามหวนทบทวนสิ่งที่ได้เห็นในรัศมีสีม่วงเมื่อครู่นี้ สุดท้ายทั้งสองก็อ้าปากสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกใหญ่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดแนะ “บนตัวยายหนูนั่นต้องมีสิ่งผิดปกติ!”

ทว่าไม่ช้าซูถิงหยวนก็เยือกเย็นลง “แต่นางไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์” ข้อนี้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง บนดินแดนพันเมฆาไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่าคนที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์สามารถสร้างความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงอะไรได้

ยากนักจะได้เห็นความหวังแม้ว่ามันจะริบหรี่ก็ตามที ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่หานจึงไม่ยอมถอดใจ

“พวกเราล้วนได้เห็นอดีตจากความทรงจำของนางแล้ว นี่ควรจะเป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสกับคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง กระทั่งท่านกับข้าก็ยังมองอนาคตของนางไม่ออก เช่นนั้นจะต้องมีใครเคยทำอะไรกับนางเพื่ออำพรางลิขิตฟ้า หรือไม่ก็ต้องเป็นเพราะความสำเร็จของนางในอนาคตนั้นเหนือกว่าเราสองลิบลับ ดังนั้นพวกเราจึงได้มองไม่ออก”

ซูถิงหยวนเองก็หวังเหลือเกินว่าทุกสิ่งจะเป็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา แต่เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์เมฆมงคลที่ไร้สีบนแขนของซูเพียนจื่อนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาอีก สุดท้ายจึงเอ่ยเพียงว่า “เช่นนั้นก็ดูไปก่อนแล้วกัน…”

ด้านหน้าเรือนไม้ไผ่หนึ่งแถวที่ปลูกอยู่ตรงเชิงเขาถ้ำพันจิ้งจอก ซูม่านม่านผู้มีสีหน้าหยิ่งยโสกำลังชี้มือไปยังเรือนไม้ไผ่หลังที่อยู่ริมสุดแล้วพูดกับซูเพียนจื่อ

“ก็คือตรงนี้ เจ้าเข้าพักแล้วก็ไปขอตำราวิชากลลวงเบื้องต้นจากศิษย์คนอื่นที่พำนักอยู่ข้างเคียงมาอ่านดู ข้ามีงานรัดตัวยิ่ง ไม่ว่างมาเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ของเจ้าหรอก มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามคนอื่นเอาเอง ที่นี่จะมีการสอบย่อยทุกสิบวัน อีกสามวันข้างหน้าก็ถึงกำหนดสอบแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจงไปหาข้าเพื่อเข้าสอบประเมินผล แต่ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป อย่าได้เสียเวลาคนอื่นๆ”

ซูม่านม่านพูดจบก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง

พูดแค่นี้เนี่ยนะ?!

ซูเพียนจื่อรู้สึกฉุนอยู่บ้าง ขณะจะหันหน้าไปพูดกับฝูอวิ๋น ประตูเรือนไม้ไผ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างที่พักใหม่ของตนก็พลันถูกผลักเปิด จากนั้นสาวน้อยหน้ากลมผู้หนึ่งก็เดินออกมา

“เจ้าเป็นศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่หรือ ข้ามีชื่อว่าซูเจินเจินนะ เจ้าล่ะชื่อว่าอะไร” สาวน้อยหน้ากลมแย้มยิ้มดุจบุปผา ดูหวานใสน่ารักยิ่ง

“ข้ามีชื่อว่าซูเพียนจื่อ เจ้าก็เป็นศิษย์ระดับต้นเหมือนกันหรือ” ซูเพียนจื่อกล่าว

“ใช่แล้ว” จบคำรอยยิ้มของซูเจินเจินก็หม่นหมองลง “คนที่พูดกับเจ้าเมื่อครู่นี้คืออาจารย์อาม่านม่านกระมัง ทั้งที่นางโตกว่าข้าแค่สองปี แต่กลับได้เป็นศิษย์ระดับกลางตั้งสามปีแล้ว”

ก็แค่หลอกคนเก่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าเลื่อมใสกันเล่า! ซูเพียนจื่อคิดแย้งอยู่ในใจ

จากนั้นซูเจินเจินก็เอาตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นของตนมาให้ซูเพียนจื่อยืมอย่างมีน้ำใจยิ่ง ตำรานั้นมีความหนาสูสีกับหนังสือเรียนวิชาภาษาจีนชั้นมัธยมเลยทีเดียว เพียงแต่ตัวอักษรใหญ่กว่าเล็กน้อย เนื้อหาล้วนเกี่ยวกับประวัติของสกุลซู เทพเจ้าแห่งกลลวง รวมไปถึงเกร็ดชีวิตของอัจฉริยบุคคลในสกุลซู

เมื่อเห็นซูเพียนจื่ออ่านอย่างเพลิดเพลิน ซูเจินเจินก็เกาศีรษะพูดด้วยความกลุ้มใจ “ข้าท่องตำราเล่มนี้มาสามเดือนแล้ว ระหว่างนั้นไปสอบย่อยมาหกครั้งแต่ก็ไม่ผ่านสักครั้งเดียว อาจื่อ การสอบย่อยในอีกสามวันข้างหน้าเจ้าก็อย่าไปเลยจะดีกว่า เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ ต่อให้ไม่เข้าสอบสักสองสามครั้งก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”

ซูเพียนจื่อกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ย “การสอบย่อยก็คือท่องตำราเท่านี้เองน่ะหรือ” ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองรับมือกับการสอบมานานปี หากจะอ่านตำราเล่มนี้ให้ปรุโปร่งภายในสามวันก็ไม่ได้ยากอะไรเลย

“ก็ใช่น่ะสิ นี่คือการสอบขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว แต่ข้ามีคุณสมบัติไม่ดี สามเดือนก่อนเพิ่งจะเริ่มมาเรียนที่นี่ หากดูจากความคืบหน้าที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าถึงจะกลายเป็นศิษย์ระดับกลางไปได้” ซูเจินเจินแสนจะท้อแท้ใจ

นางเป็นบุตรหลานสกุลซูสายรองๆ สักสาย สกุลซูก็ไม่ต่างจากตระกูลโบราณอื่นๆ ที่บุตรหลานจำนวนมากไม่มีกระทั่งสัญลักษณ์เมฆมงคลบนแขน หรือไม่เชื้อสายก็เจือจางจนแม้แต่สัญลักษณ์สายโลหิตก็ยังเลือนหายไป คนเช่นนี้ล้วนต้องถูกส่งตัวออกจากถ้ำพันจิ้งจอก นับแต่นี้ไปใช้ชีวิตเช่นชาวบ้านสามัญ

สัญลักษณ์สายโลหิตบนแขนขวาของซูเจินเจินเลือนรางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว หากไม่ใช่เพราะบนแขนซ้ายของนางมีสัญลักษณ์เมฆมงคลสีเหลืองอ่อนที่แสดงถึงพรสวรรค์ในการฝึกวิชาสายธาตุดินอยู่ นางก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสกุลซูด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะได้เรียนรู้วิชากลลวงอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของสกุลซู

หลังจากได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายประสบพบเจอมา ซูเพียนจื่อก็ลอบถอนใจ นี่มันแบบฉบับของลูกศิษย์หัวช้าไม่ใช่หรือไร น่าสงสารจริงเชียว เห็นกันอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ แต่กลับถูกบังคับให้ท่องตำราเสียนี่ จะว่าไปต่อให้อีกฝ่ายท่องประวัติตระกูลได้คล่องปร๋อแล้วมีประโยชน์อะไร นางนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กสาวอย่างซูเจินเจินจะไปหลอกผู้อื่นได้อย่างไรกัน

ซูเจินเจินลอบมองซูเพียนจื่ออยู่หลายหน ก่อนจะพูดอย่างกระอึกกระอักว่า “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่ชอบหลอกกันไปหลอกกันมา เจ้ารับปากว่าต่อไปจะไม่หลอกลวงข้าได้หรือไม่ ข้าเองก็ขอสาบานว่าจะไม่มีวันหลอกลวงเจ้า”

ซูเพียนจื่อพลันอับจนถ้อยคำ เห็นทีว่าเมื่อก่อนซูเจินเจินต้องถูกผู้อื่นหลอกเล่นเป็นประจำแน่ ถึงได้พุ่งความสนใจมาที่ ‘เด็กใหม่’ อย่างนาง หมายจะหาสหายแนวร่วมสักคนที่ไว้วางใจได้

ซูเพียนจื่อรู้สึกได้ว่าซูเจินเจินอยากจะเป็นสหายสนิทของนางจริงๆ เพราะหากอีกฝ่ายกำลังเล่นละครอยู่ล่ะก็ อาศัยฝีมือการแสดงและกลลวงที่ล้ำเลิศถึงขั้นนี้ อีกฝ่ายก็คงจะไม่เป็นศิษย์ระดับต้นอยู่นี่หรอก

แต่สำหรับคำว่า ‘จะไม่มีวันหลอกลวง’ กันนั้น…ซูเพียนจื่อขอสงวนท่าทีไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงเจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายด้วยใจจริง ข้าก็จะไม่มีวันประสงค์ร้ายหลอกลวงเจ้า” ซูเพียนจื่อตัดสินใจที่จะเอาอย่างวิธีของฝูอวิ๋น

อุปนิสัยเช่นซูเจินเจินย่อมจะฟังเลศนัยในคำพูดนี้ไม่ออก นางจึงแสนจะยินดีปรีดา รีบเปล่งคำสาบานอย่างจริงจัง “ขอสวรรค์เป็นพยาน ข้าจะไม่มีวันหลอกลวงอาจื่อ!” นางไม่ได้สาบานต่อเทพเจ้าแห่งกลลวง เพราะทุกคนในถ้ำพันจิ้งจอกต่างรู้กันดี การสาบานต่อเทพเจ้าแห่งกลลวงนั้นเท่ากับกำลังบอกอีกฝ่ายว่า… ‘ข้าจะไม่ทำตามคำสาบานแน่นอน’

เมื่อมีคำมั่นสัญญาของซูเพียนจื่อแล้ว ซูเจินเจินที่หมดห่วงเสียทีก็แทบจะควักหัวใจกับไส้พุงออกมา แบ่งปันทุกสิ่งอย่างของตนกับซูเพียนจื่อ ทำเอาซูเพียนจื่อชักรู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่ตนเองมีความคิดเยี่ยงคนถ่อย

ซูเจินเจินสาละวนเข้าๆ ออกๆ ไม่ช้าก็ช่วยซูเพียนจื่อจัดเรือนใหม่เสร็จเรียบร้อย เรือนไม้ไผ่เล็กๆ ที่เรียบสมถะนี้ เมื่อผ่านการตกแต่งของสาวน้อยทั้งสองก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ขึ้นทันตา

พอนึกได้ว่าซูเพียนจื่อยังต้องตั้งใจอ่านตำรา ซูเจินเจินผู้ช่างเอาใจใส่ก็ขอตัวออกไปทำธุระของตนเอง

ในที่สุดซูเพียนจื่อก็มีโอกาสได้หารือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพบปะคนสกุลซูในวันนี้กับฝูอวิ๋น

“คันฉ่องแก้วผลึกรูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงบานนั้นเป็นของวิเศษอะไรสักอย่างของสกุลซูใช่หรือไม่ มันแค่ใช้ตรวจพิสูจน์สายเลือดเท่านั้นเองหรือ”

เพียงนึกถึงสายตาที่ผู้เฒ่าทั้งหลายรวมถึงท่านปู่ซูถิงหยวนใช้มองนางในตอนที่รัศมีสีม่วงปรากฏอยู่ นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ราวกับทุกสิ่งของตนได้ถูกผู้อื่นมองทะลุจนหมดสิ้นแล้ว

ฝูอวิ๋นยิ้มยิงฟันก่อนตอบ “คันฉ่องบานนั้นมีนามว่า ‘คันฉ่องมายาจันทร์ม่วง’ สามารถส่องเห็นตัวตนที่แท้ เป็นหนึ่งในสามสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูของพวกเรา”

“ส่องเห็นตัวตนที่แท้? สามสุดยอดของวิเศษ?”

“ใช่แล้ว ส่องเห็นตัวตนที่แท้…พูดง่ายๆ ก็คือสามารถอาศัยคันฉ่องบานนี้มองเห็นส่วนลึกในใจจริงของคนผู้หนึ่ง รวมไปถึงความทรงจำในอดีตและโชคชะตาในอนาคต”

“โอ้โห! ร้ายกาจเพียงนี้เชียว มองทะลุอดีตกับอนาคตได้ด้วยหรือนี่!” ซูเพียนจื่อตื่นตะลึงยิ่ง

“ก็ไม่ร้ายกาจเท่าไรนักหรอก จะมองเห็นได้กี่มากน้อยขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้ใช้และเป้าหมายที่ต้องการจะดูนั้นมีความสามารถห่างไกลกันแค่ไหน นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากที่ส่งผลกระทบ อีกอย่าง…”

“อีกอย่างอะไร”

แววตาของฝูอวิ๋นล่องลอยอยู่บ้าง “มองอดีตกับอนาคตให้แจ่มชัดมีหรือจะยากเข็ญเท่ามองตัวตนที่แท้ให้ชัดแจ้ง การจะเข้าใจสิ่งที่คนผู้หนึ่งประสบมานั้นง่าย ทว่าการจะเข้าใจส่วนลึกในใจของคนผู้หนึ่ง โดยเฉพาะหัวใจของตนเองนั้นสิจึงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในโลก”

มีปรัชญาไม่หยอกเลยนะนี่!

ซูเพียนจื่อคล้ายเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด นางพลันพบว่าฝูอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง ไม่สิ! ต้องบอกว่าราวกับเปลี่ยนเป็นม้าอีกตัวไปแล้ว

“เอ๋? เช่นนั้นเรื่องที่ข้าถูกปิดผนึกพรสวรรค์ พวกเขาก็รู้หมดแล้วน่ะสิ” ซูเพียนจื่อพลันฉุกคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา

“พวกเขามองไม่เห็นหรอก เพราะผนึกบนร่างของท่านเกิดขึ้นจากสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูอีกชิ้นที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ดังนั้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปิดผนึกจึงถูกอานุภาพของมันซ่อนเร้นไปเอง” ฝูอวิ๋นเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกครั้ง

“เวลาเจ้าจะบอกอะไร อย่ามาพูดทีละท่อนจะได้หรือไม่ บอกข้ามาตรงๆ เลยว่าสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูทั้งสามชิ้นคืออะไร มีประโยชน์ใช้สอยอย่างไรบ้าง และเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร อีกอย่างของวิเศษที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ก็คือชิ้นที่ปิดผนึกพรสวรรค์ของข้านั่นใช่หรือไม่ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะหามันพบได้เล่า” ซูเพียนจื่อระดมยิงคำถามเป็นชุดราวกับรัวกระสุน

“ท่านก็ไม่นับว่าทึ่มทื่อนัก มิผิด! ของวิเศษที่บิดาท่านทิ้งไว้ก็คือสิ่งที่ปิดผนึกพรสวรรค์ของท่านชิ้นนั้น และก็เป็นหนึ่งในสามสุดยอดของวิเศษสกุลซูชิ้นที่มีอานุภาพสูงสุดและลึกลับที่สุดด้วย ทุกครั้งที่มันปรากฏตัวล้วนมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนเดิม ในอดีตเคยเป็นสร้อยคอ คทา มงกุฎ แจกันวิเศษ กระบี่ยาว และอื่นๆ…ซึ่งทุกครั้งที่มันปรากฏตัวก็ล้วนมาพร้อมกับการถือกำเนิดของสิบแปดมงกุฎผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเสมอ ท่านอ่านตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นให้ดีๆ ในนั้นมีเอ่ยถึงเกร็ดชีวิตของผู้เป็นเจ้าของมันทุกรุ่นเลย”

“ท่านพ่อข้าก็เคยเป็นเจ้าของมันหรือ เช่นนั้นตอนมันอยู่ในมือของท่านพ่อข้ามีรูปลักษณ์อย่างไรเล่า แล้วตกลงมันมีชื่อเรียกว่าอะไรกันแน่” ซูเพียนจื่อถามพร้อมสองตาที่เป็นประกายระยิบระยับ

“มันไม่มีชื่อหรอก ต่อมาคนสกุลซูจึงเรียกมันว่า ‘ไร้นาม’ เสียเลย บิดาของท่านไม่อาจนับเป็นเจ้าของมัน เพียงแต่วาสนาชักพาให้รู้สึกถึงการคงอยู่ของมัน รวมทั้งควบคุมใช้งานพลังของมันได้บางส่วน” ฝูอวิ๋นตอบเรียบๆ

“กระทั่งท่านพ่อข้าก็ยังไม่ได้ถือครองมันอย่างแท้จริง ซ้ำไม่รู้ด้วยว่ามันจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ ปรากฏตัวแล้วจะเปลี่ยนรูปลักษณ์มาเป็นอะไร เช่นนี้จะให้ข้าหาอย่างไรกัน เจ้าแกล้งข้าชัดๆ!” ซูเพียนจื่อขบคิดจนหัวโต

แต่ฝูอวิ๋นกลับพูดตอบกลับมาอย่างสบายอารมณ์ “หากมีวาสนา ท่านกับมันย่อมจะได้พานพบกันแน่”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: