X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่หก

“ซูจางศิษย์ของผู้อาวุโสรองซู? เขาน่ะหรือจะรับมือยากเท่าท่านไปได้” ฝูอวิ๋นเอ่ยกลั้วหัวเราะร่วน

“แน่นอนว่าไม่!” ซูเพียนจื่อหัวเราะคิกคักในแบบฉบับของคนโฉด

ซูจางขึ้นชื่อเรื่องเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใคร ดูจากที่เขาชี้ตัวซูเทียนหวาซึ่งแปลงโฉมแล้วอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยก็รู้ได้ อีกอย่างเขาชิงชังพฤติกรรมคดโกงเป็นที่สุด เมื่อคนที่มุ่งเดินออกนอกลู่นอกทางเช่นซูเพียนจื่อตกอยู่ในมือของเขา นางย่อมไม่อาจผ่านด่านอย่างผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับผู้คุมสอบคนอื่นๆ เป็นแน่

ภายใต้การเฝ้ารอของผู้คนทั้งหลาย ในที่สุดวันสอบย่อยสนามที่สิบเก้าก็มาถึงจนได้

พอซูจางเดินหน้าขรึมมาถึงหน้าสนามสอบก็ประกาศด้วยเสียงอันเยียบเย็น “ผู้เข้าสอบทุกคนจงนำสิ่งของอื่นๆ นอกเหนือจากเครื่องแต่งกายบนร่างออกมาให้หมด จากนั้นจึงจะเข้าสอบในสนามสอบย่อยได้!”

ขณะที่ซูจางเอ่ยวาจานี้ สายตาก็จับตรงไปที่ร่างของซูเพียนจื่อ

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เหล่าศิษย์ที่มาชมการสอบต่างก็มองซูเพียนจื่ออยู่เช่นกัน ทุกคนล้วนรู้ดีว่านี่คือการป้องกันไม่ให้นางใช้วิธีพิสดารอะไรออกมาโกงสอบได้อีก

ซูเพียนจื่อยิ้มตาหยีอย่างไม่สะทกสะท้าน กลับกลายเป็นผู้เข้าสอบหลายคนด้านข้างที่มีสีหน้าหม่นหมองดุจขี้เถ้า

รอจนทุกคนหยิบสิ่งของอื่นๆ ที่พกติดตัวอยู่ออกมาวางบนพื้นตรงหน้าทีละชิ้น ผู้คนไม่น้อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะครืนอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ที่แท้ผู้เข้าสอบเหล่านั้นต่างได้รับแรงบันดาลใจมาจากการสอบย่อยในสนามที่แล้วของซูเพียนจื่อ บนร่างจึงพกพาของกินจำพวกลูกสนที่เตียวเจาะภูผาชอบกินเป็นที่สุดมาด้วย ตั้งใจว่าจะใช้ของกินเหล่านี้เบี่ยงเบนความสนใจของเตียวเจาะภูผา พวกมันจะได้ไม่มาวิ่งไล่

ผิดกับข้าวของที่ซูเพียนจื่อหยิบออกมาซึ่งล้วนแต่สามัญธรรมดายิ่ง ไม่ได้มีสิ่งของพิเศษตามความคาดหมายของคนทั้งหมดแต่อย่างใด

ซูจางตวัดสายตาไปเชือดเฉือนผู้เข้าสอบที่มุ่งหมายจะคดโกงเหล่านั้นอย่างดุดัน ก่อนจะพลันหันขวับมาเอ่ยกับซูเพียนจื่อ “ของที่อยู่บนคอเจ้าคืออะไร”

ซูเพียนจื่อลูบคลำลำคอ นั่นคือจี้ไม้แกะสลักที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้นาง นางจึงปลดจี้นั้นออกมาแล้วเรียกฝูอวิ๋นมาเอ่ยกำชับ “เจ้าเก็บรักษาให้ข้าดีๆ เชียว”

ฝูอวิ๋นอ้าปากคาบจี้ไม้ไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินถอยห่างไปหลายก้าว

ซูจางกวาดมองซูเพียนจื่อซ้ำอยู่หลายรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในที่สุดก็พึงพอใจหันหน้าไปประกาศเริ่มการสอบย่อยได้เสียที

ภายในตำหนักที่ใช้เป็นสนามสอบจะมีผู้เข้าสอบเข้าไปครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น ซูจางรวมทั้งผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ล้วนชมดูอยู่นอกตำหนัก

ซูเพียนจื่อมองดูความเร็วในการเคลื่อนที่ของศิษย์แต่ละคนที่เข้าไปในตำหนักแล้ว ต่อให้เป็นคนที่ผลงานแย่ที่สุดก็ยังรวดเร็วเสียจนนางไม่อาจเห็นร่างได้ชัดเจน นางมิอาจไม่ยอมรับว่าเมื่อไร้ซึ่งพลังวัตร ตนก็เทียบพวกเขาได้ยากมากจริงๆ

ช่วงแรกเริ่มนางอาจใช้สติปัญญาไปขับเคี่ยวกับพวกเขาได้สักยก ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไป ความห่างชั้นในระดับฝีมือที่แท้จริงของสองฝ่ายก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้นางเพียรพยายามสักแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

ต่อหน้าผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง กลอุบายทั้งปวงก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์

ภายใต้การไล่ล่าของเตียวเจาะภูผา ผู้เข้าสอบหลายคนก่อนหน้าซูเพียนจื่อนั้นมีเพียงสองคนที่ฝืนยืนหยัดจนพ้นเวลาครึ่งเค่อไปได้ ไม่ช้าก็ถึงคราวที่นางจะลงสนามแล้ว

สาวน้อยจึงเดินเชิดหน้ายืดอกเข้าตำหนักไปท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนนับไม่ถ้วน

เหง่ง!

สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูจางก็กระตุกเชือกเพื่อปล่อยเตียวเจาะภูผาที่อยู่ในกรงออกไป จากนั้นเงาร่างสีดำสนิทสายหนึ่งก็พุ่งพรวดไปหาซูเพียนจื่อดุจสายฟ้าแลบ

ทว่าซูเพียนจื่อกลับไม่แม้แต่จะขยับปลายเท้า เมื่อเห็นว่าเพียงพริบตาเดียวเงาร่างสีดำสายนั้นก็อยู่ห่างจากนางไม่ถึงหนึ่งจั้ง* แล้ว ศิษย์ไม่น้อยที่ล้อมชมอยู่นอกตำหนักก็ร้องอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ตอนนี้เองเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยไม่ทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง เตียวเจาะภูผาถึงกับไม่ได้รุกไล่ต่อ หนำซ้ำยังหันหลังขวับออกวิ่งด้วยความเร็วที่สูงยิ่งกว่าเดิม เพียงอึดใจเดียวมันก็วิ่งพรวดไปถึงมุมหนึ่งของตำหนัก จากนั้นก็กลับตัวมาจับจ้องซูเพียนจื่อตาเขม็งโดยไม่ยอมเข้าไปใกล้นางอีกเลย

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”

คนทั้งหมดที่อยู่นอกตำหนักต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความฉงนงุนงงยิ่ง

ซูจางหางตาเขม่นตุบๆ ในใจก็ใคร่ครวญว่าที่แท้ตนตกหล่นตรงที่ใดจึงทำให้เด็กสาวผู้นี้โกงสอบต่อหน้าธารกำนัลสำเร็จอีกครั้งจนได้

เวลาหนึ่งเค่อผ่านไปอย่างน่าอึดอัดภายใต้ความเงียบของซูจางกับเสียงถกความเห็นของเหล่าศิษย์ อันที่จริงนับแต่ชั่วขณะที่เตียวเจาะภูผาเลิกไล่ล่าซูเพียนจื่อและเผยอาการหวาดกลัวว่านางจะเข้าไปใกล้มัน คนทั้งหมดก็รู้แล้วว่าเวลาหนึ่งเค่อนี้จะรอหรือไม่รอ ผลที่ออกมาก็มีค่าเท่ากัน…ซูเพียนจื่อจะต้องคว้าคะแนนเต็มได้อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเสียงระฆังสิ้นสุดการสอบดังขึ้น ซูเพียนจื่อก็เดินก้าวยาวออกจากตำหนักมารอให้ซูจางประกาศผล

ซูจางจับจ้องนางพลางกล่าว “บนเสื้อผ้าของเจ้ามีน้ำเมือกจากตัวของ ‘งูสองหาง’ ฉาบอยู่”

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ นั้นเพียงพอที่เขาจะนึกออกว่าซูเพียนจื่อน่าจะใช้วิธีใดโกงสอบ ไม่เช่นนั้นก็เสียทีที่เขาเป็นบุคคลชั้นยอดผู้มีนามกระเดื่องในหมู่ศิษย์ระดับกลางแล้ว

ซูเพียนจื่อผงกศีรษะยอมรับ “ใช่เจ้าค่ะ”

“ถึงคราวเผชิญกับศัตรูที่แท้จริง เจ้ายังจะหนีรอดได้อยู่อีกหรือ” ซูจางขมวดคิ้วกล่าว

“นั่นก็ต้องดูว่าเผชิญกับใคร แล้วข้ามีการเตรียมตัวเพียงพอหรือไม่”

ซูจางพลันอับจนถ้อยคำ พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยเสียงเย็น “เอาเปรียบด้วยกลโกง”

ซูเพียนจื่อคลี่ยิ้มกล่าวแย้ง “พวกเราสกุลซูคือตระกูลสิบแปดมงกุฎ…ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

ซูจางไร้คำพูดไปในทันที

ก็จริงของนาง…หากไม่เอาเปรียบด้วยกลโกงยังจะนับเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของตระกูลสิบแปดมงกุฎได้อย่างไรกัน

แต่ว่า…การสอบสนามนี้จะทดสอบเรื่องความเร็วในการหลบหนีต่างหาก…

แปะๆๆ!

เสียงปรบมือที่ก้องกังวานพลันดังมา โจวโม่ศิษย์สายตรงคนโตของประมุขซูถิงหยวนเดินออกจากฝูงชนมาอมยิ้มกล่าวกับคนทั้งสอง “เมื่อไม่อาจสู้ศัตรูด้วยกำลัง ก็พึงเอาชัยด้วยปัญญา ไม่เลวๆ! คุณหนูเพียนจื่อสมแล้วที่เป็นบุตรีของศิษย์พี่หู่หลี่”

ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างซูจางกับโจวโม่ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ลุงนั้นนับว่าไม่เลวทีเดียว ซูจางจึงอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองอยู่บ้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าโจวโม่จะลำเอียงช่วยซูเพียนจื่อทันทีที่ปรากฏตัว

โจวโม่เห็นสีหน้าของซูจางก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ เขาจึงเอ่ยต่อปนยิ้ม “ขอเพียงหนีรอดได้สำเร็จ จะด้วยความเร็วหรือว่าด้วยเล่ห์กล…มันสำคัญมากนักหรือ ศิษย์หลานซู นางสามารถตบตาเจ้าที่เป็นศิษย์ระดับกลางได้ หรือว่านางไม่สมควรที่จะได้คะแนนเต็ม?”

ซูจางพอได้อีกฝ่ายเตือนสติก็ร้องอยู่ในใจว่า ‘น่าละอายนัก’ เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วประกาศผลโดยไม่รอช้า “ซูเพียนจื่อ ผลการสอบย่อยสนามที่สิบเก้าของศิษย์ระดับต้น…ได้คะแนนเต็ม”

เหล่าศิษย์ทั้งสนามต่างโห่ร้องยินดีเสียงดังกระหึ่มอย่างห้ามไม่อยู่ ยามนี้ความเฉลียวฉลาดมากไหวพริบของซูเพียนจื่อทำให้พวกเขายอมรับนับถือจนหมดหัวใจแล้ว

ตามบันทึกประวัติสกุลซูที่เขียนขึ้นโดยคนสกุลซูรุ่นหลังนั้น การปรากฏตัวของซูเพียนจื่อไม่เพียงทำคะแนนเต็มเป็นประวัติการณ์ให้ผู้อื่นอุทานชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า หากยังปลุกกระแสใหม่ขึ้นในหมู่ศิษย์สกุลซู…ทำให้การขับเคี่ยวกับผู้คุมสอบกลายเป็นความสนุกที่ไม่รู้จบ กระทั่งสกุลซูที่ร้อยปีมานี้ให้ความสำคัญกับพลังวัตรจนเกินไปยังถึงกับเริ่มหันมาปรับแก้สิ่งที่ควรเน้นหนักในการบ่มเพาะศิษย์กันเสียใหม่

ซูเพียนจื่อรับจี้ไม้แกะสลักคืนจากปากของฝูอวิ๋น เมื่อคล้องคอดังเดิมแล้วนางก็คารวะลาซูจางกับโจวโม่และเดินทางกลับ

ระหว่างทางฝูอวิ๋นเอ่ยชมซูเพียนจื่ออย่างหาได้ยาก

“ตำราเหล่านั้นท่านไม่ได้อ่านเสียเปล่าจริงๆ แม้แต่งูสองหางที่เป็นศัตรูในธรรมชาติของเตียวเจาะภูผาท่านก็ยังรู้จัก”

“ต้องขอบใจเจ้าด้วยที่เป็นเพื่อนข้าไปเสาะหางูสองหาง จุๆ ข้าแค่นึกถึงงูสองหางตัวนั้นก็ยังขยาดอยู่เลย ลำตัวของมันถึงกับล่ำกว่าต้นขาของข้าเสียอีก” สาวน้อยนึกถึงขั้นตอนการจับงูแล้วในใจก็ยังผวาไม่หาย

“ยังดีที่เหลือการสอบย่อยอีกแค่สนามเดียวเท่านั้น เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าถูกเขย่าขวัญจนเกิดอาการหลอนแล้ว เมื่อครู่ตอนอยู่ในสนามสอบ ข้าถึงกับได้ยินเหมือนมีใครพูดอยู่ที่ข้างๆ หูเลยนะ” ซูเพียนจื่อถอนใจกล่าว

ฝูอวิ๋นตัวแข็งทื่อไปวูบหนึ่ง ก่อนจะถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจ “เสียงนั้นพูดว่าอะไรบ้าง แล้วตอนนี้ท่านยังได้ยินอยู่อีกหรือไม่”

ซูเพียนจื่อส่ายหน้า “ข้าฟังได้ไม่ชัดหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ยินแล้วล่ะ บางทีคงเพราะช่วงนี้ข้าเคร่งเครียดมากเกินไปกระมัง”

“น่าจะใช่…” ฝูอวิ๋นเอ่ยคล้อยตามทันที ก่อนจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาถกเรื่องการสอบย่อยสนามสุดท้ายกับซูเพียนจื่อแทน

ผู้ที่เข้าร่วมการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบของศิษย์ระดับต้นได้ย่อมจะไม่มีสักคนที่เป็นผู้อ่อนแอ นอกจากซูเพียนจื่อแล้ว คนที่อ่อนด้อยที่สุดก็ยังมีพลังวัตรขั้นถอดรูประดับสูงสุด อีกทั้งการสอบย่อยสนามนี้ยังเป็นการสอบเลื่อนขั้นครั้งสุดท้ายของศิษย์ระดับต้น ดังนั้นย่อมจะไม่ใช่ง่ายๆ

และแล้ววันสอบก็มาถึง พอซูเพียนจื่อกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เข้าไปในตำหนัก ผู้คุมสอบก็เอ่ยกับคนทั้งหมดด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมจริงจัง

“การสอบในวันนี้อนุญาตให้พวกเจ้าใช้ได้ทุกวิธีที่จะป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์ในป่าพบตัว แต่ว่าพวกเจ้าก็ต้องระวังอย่าได้ไปตอแยพวกมันเด็ดขาด สัตว์ป่าหากถูกกระตุ้นด้วยเลือดสดๆ ไม่ว่าจะเป็นเลือดของพวกเจ้าหรือว่าของพวกมันเอง พวกมันก็จะคลุ้มคลั่งคุกคามชีวิตของพวกเจ้าในทันที”

เรื่องนี้ฝูอวิ๋นกำชับนางตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้ว ตอนนั้นนางเองก็มีลางสังหรณ์ถึงอันตรายบางอย่างผุดวาบขึ้นในใจ ดังนั้นจึงระวังตัวเป็นพิเศษและเตรียมแผนเอาตัวรอดเพิ่มมาอีกหลายอย่าง

ผู้คุมสอบเห็นว่าศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด บ่งชัดว่าได้ฟังคำเตือนเข้าหูแล้ว เขาจึงผงกศีรษะกล่าวต่อ “หากพบว่ารูปการณ์ไม่เข้าท่าก็จงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ข้ากับผู้ช่วยคุมสอบคนอื่นๆ จะรุดไปช่วยพวกเจ้า ผู้ที่อยู่รอดปลอดภัยในป่าเป็นเวลาหกชั่วยามจึงจะนับว่าสอบผ่าน ผู้ที่อยู่ครบหนึ่งวันจะได้คะแนนเต็ม”

ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย สายตาของผู้คุมสอบกับศิษย์คนอื่นๆ ล้วนสาดไปมองซูเพียนจื่อโดยพร้อมเพรียง…หากเด็กสาวผู้นี้คว้าคะแนนเต็มในการสอบสนามนี้ได้อีกล่ะก็ นางก็จะกลายเป็นศิษย์ระดับต้นที่มีผลคะแนนดีเยี่ยมที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยิ่งเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์กับพลังวัตร แต่กลับเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางได้สำเร็จ

ศิษย์ที่มาเข้าสอบผู้หนึ่งมีแววลังเลผุดวาบขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะสะกดข่มลงไปอย่างรวดเร็ว มือของเขาลอบกำเป็นหมัดแน่น มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียม

เพียงแต่ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนจับอยู่ที่ร่างของซูเพียนจื่อ จึงไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา

“เอาล่ะ พวกเจ้าแต่ละคนมีเวลาเตรียมตัวสองเค่อ จากนั้นเมื่อเสียงย่ำระฆังดังขึ้นก็เข้าไปกันได้” ผู้คุมสอบประกาศ

ศิษย์ผู้เข้าสอบทั้งเจ็ดคนพากันหยิบข้าวของต่างๆ ที่ตนเตรียมไว้ออกมาตรวจนับอย่างจริงจัง แม้ยามประสบภัยจะขอความช่วยเหลือได้ก็จริง ทว่าสัตว์ในป่าที่อยู่หลังตำหนักล้วนขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย ใครจะรู้ได้ว่าผู้คุมสอบจะรุดมาถึงทันกาลหรือไม่

ดูจากการสอบในอดีต เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็มักจะมีผู้เข้าสอบบ้างเจ็บบ้างตายอยู่ในป่า นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว

เนื่องจากการสอบย่อยในวันนี้เกิดขึ้นภายในป่าทึบที่อยู่หลังตำหนัก ศิษย์คนอื่นๆ ไม่อาจเห็นเหตุการณ์ในสนามสอบได้ ดังนั้นผู้ที่มาจึงไม่มากแต่อย่างใด ส่งผลให้ทั้งในและนอกตำหนักเงียบเชียบไปทั่วบริเวณ

เหง่ง!

เมื่อเสียงระฆังอันคุ้นหูดังมา ผู้คุมสอบก็ยืนขึ้นเอ่ยกับศิษย์เจ็ดคนในตำหนักว่า “เอาล่ะ การสอบเริ่มต้นแล้ว พวกเจ้าทุกคนเข้าไปเถอะ!”

ประตูบานใหญ่ที่อยู่ฝั่งด้านในของตัวตำหนักถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสีเขียวขจีหนาตาที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นซูเพียนจื่อกับผู้เข้าสอบอีกหกคนก็เดินเรียงแถวผ่านประตูบานนั้นเข้าสู่ด้านในของป่าทึบ

 

ขณะเดียวกันนั้น เสียงกระพือปีกพึ่บพั่บของอาชาเทพก็ดังมาจากด้านนอกของซุ้มประตูทางขึ้นเขาถ้ำพันจิ้งจอก ผู้เฒ่าสามคนพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคนที่อ่อนวัยกว่า

เหล่าจินสัตว์เทพผู้พิทักษ์เขาถ้ำพันจิ้งจอกหมอบลงกับพื้นอย่างเชื่องเชื่อ “น้อมต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสามกลับเขา”

ผู้อาวุโสทั้งสามขานรับดังอืมแล้วโบกมือให้ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแยกย้ายไป จากนั้นพวกเขาก็ดึงเชือกบังเหียนด้วยสีหน้าอันเครียดขรึม ควบขี่อาชาเทพของตนทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังที่พักของประมุขซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา

พวกเขามาถึงได้ไม่นาน ผู้อาวุโสใหญ่หานกับผู้อาวุโสรองซูก็ถูกเชิญมายังที่พักของประมุขเช่นกัน

“สถานการณ์บนดินแดนพันเมฆาไม่สู้ดีนัก ตอนนี้สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะที่มีสกุลเจิ้งเป็นผู้นำได้จับมือกันเป็นแนวร่วมในเบื้องต้นแล้ว คาดว่าภายในห้าปีพวกเขาจะนำพาตระกูลฝ่ายธรรมะอื่นๆ แห่กันมากำจัดตระกูลฝ่ายอธรรมทั้งหมด” ผู้อาวุโสสามโจวผู้มีจมูกโตสีแดงเหมือนจมูกตัวตลกกล่าวเสียงหนัก

ผู้อาวุโสรองซูเอ่ยแย้ง “พวกเขาก็พูดจาวางโตไปเรื่อย มีวันไหนด้วยหรือที่พวกเขาไม่ได้ร่ำร้องจะมากำราบพวกเรา แต่พันหมื่นปีที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะเคยทำสำเร็จสักที!”

ผู้อาวุโสห้าเฉินฝืนยิ้มกล่าว “ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะเริ่มทยอยมีบุตรหลานได้รับการยอมรับจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลของพวกเขาแล้ว นึกถึงไร้นามของพวกเราสกุลซูดูก็พอ…อานุภาพของวัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นไรท่านและข้าต่างก็รู้ดี”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผู้อาวุโสใหญ่หานก็ทอดถอนใจยาว “หากคุณชายหู่หลี่ยังอยู่ ไม่แน่เขาอาจกลายเป็นเจ้าของไร้นามก็ได้ พวกเราก็จะไม่ต้องตกเป็นฝ่ายรอถูกกระทำอยู่เช่นนี้”

ผู้อาวุโสสามโจวกล่าว “ป่านนี้แล้วพูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ความหมาย ออกไปครั้งนี้พวกเรายังลอบติดต่อกับตระกูลฝ่ายอธรรมที่เหลือด้วย ทว่าน่าแค้นใจนัก พวกเขาแต่ละคนล้วนมีท่าทีโลเลคลุมเครือ หากรอจนกระทั่งสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะจับมือกันเหนียวแน่นเมื่อไร เกรงว่าทุกสิ่งจะสายเกินกาลแล้ว!”

เพียงนึกถึงท่าทีเฉไฉขอไปทีของตระกูลเหล่านั้น ผู้อาวุโสสามโจวก็เคืองแค้นไม่หาย

ผู้อาวุโสสี่หลี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยปาก “ก็ไม่แน่หรอกว่าพวกเขาจะมีปัญญาจับมือกันเหนียวแน่นได้จริงๆ หึๆ พวกที่ยกหางตัวเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะก็ดีแต่ค่อนขอดพวกเราตระกูลฝ่ายอธรรมว่ามีจิตใจเลวทราม เจ้าเล่ห์ไร้ยางอาย แล้วพวกเขาเล่ามีคุณธรรมผ่าเผยแน่หรือไร เอ่ยถึงความเห็นแก่ตัวและน้ำนิ่งไหลลึกแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอย่างไหนที่น้อยไปกว่าฝ่ายเราเลยกระมัง”

สีหน้าของประมุขซูถิงหยวนแปรเปลี่ยนนิดๆ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าตอนนี้พวกเขาเกิดความร้าวฉานกันภายในแล้ว?”

ผู้อาวุโสสี่หลี่ผงกศีรษะตอบ “ใช่ขอรับ ตามที่ข้ารู้มา ผู้ที่ได้เป็นเจ้าของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลนักปกครองสกุลเจิ้งก็คือเจิ้งเฮ่าอี้บุตรชายคนรองของประมุขสกุล บุตรชายคนนี้โดดเด่นไม่ธรรมดาเลย ทั้งที่ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ด แต่กลับมีพลังวัตรถึงขั้นชำระไขกระดูกระดับสูงสุดแล้ว จึงอาจเลื่อนไปขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ตามที่ปรากฏบนจารึกหยกพันเมฆา เขายังกวาดอันดับหนึ่งของขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก และขั้นชำระไขกระดูกมาแล้วทั้งสามขั้น เอ่ยถึงด้านคุณสมบัติจึงไม่ด้อยไปกว่าคุณชายหู่หลี่ในอดีตเด็ดขาด หากเขาก้าวหน้าต่อไปก็เป็นไปได้สูงที่เกียรติประวัติของคุณชายหู่หลี่จะถูกเขาโค่นลง”

‘จารึกหยกพันเมฆา’ ที่ผู้อาวุโสสี่หลี่เอ่ยถึงนั้นก็คือจารึกหยกขาวทั้งเจ็ดที่อยู่เชิงบรรพตเซียนพันเมฆาตรงใจกลางของดินแดนนั่นเอง บนนั้นจัดเรียงอันดับผู้ฝึกวิชาหนึ่งร้อยคนแรกของแต่ละขั้นพลังวัตรเอาไว้ ในสายตาของตระกูลโบราณขนาดใหญ่ต่างๆ แล้ว นี่ก็คือเกณฑ์อ้างอิงสำคัญอย่างหนึ่งที่จะใช้วัดศักยภาพของแต่ละตระกูล

ในอดีตซูหู่หลี่บิดาของซูเพียนจื่อเคยกวาดอันดับหนึ่งของขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก ขั้นชำระไขกระดูก และขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณมาแล้วทั้งสี่ขั้น ในตอนนั้นก็ทำให้ตระกูลทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมจำนวนไม่น้อยมองเขม่นไม่เลิกรา

ผู้อาวุโสใหญ่หานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรก “เจ้าหนูนี่มาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะจะจับมือกันได้เหนียวแน่นหรือไม่”

ผู้อาวุโสสี่หลี่คลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “เมื่อหลายเดือนก่อนจู่ๆ เจ้าหนูนี่ก็ปฏิเสธการเกี่ยวดองกับยอดหญิงของสกุลอวิ๋น ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลอวิ๋นกับสกุลเจิ้งจึงตึงเครียดยิ่ง ฝ่ายสกุลอวิ๋นทางนั้นไม่อาจบากหน้ามารบเร้า ส่วนฝ่ายสกุลเจิ้งทางนี้ก็แสร้งทำมึนงงแล้วกล้อมแกล้มจบปัญหา ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้แล้วสองสกุลยังจับมือกันได้อย่างไร้รอยร้าวน่ะสิแปลก”

“กระทั่งยอดหญิงของตระกูลเทวโอสถก็ยังไม่เอา เจ้าหนูนี่ดวงตาอยู่สูงจนถึงดวงจันทร์หรือไร” คราวนี้แม้แต่ผู้อาวุโสรองซูก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสสี่หลี่เล่าข่าวซุบซิบด้วยอาการยินดีกับเรื่องร้ายของผู้อื่น “ได้ยินว่าเจ้าหนูนี่ฉวยจังหวะที่งานมงคลยังไม่ได้กำหนดแน่ชัดในขั้นสุดท้าย วิ่งโร่ไปปฏิเสธการแต่งงานถึงสกุลอวิ๋นเองโดยพลการ ตอนที่ตาเฒ่าสกุลเจิ้งนั่นได้ข่าว ต่อให้อยากจะยับยั้งก็ไม่ทันกาลแล้ว มิหนำซ้ำเจ้าหนูนี่ยังเป็นทั้งผู้ถือครอง ‘มงกุฎเที่ยงธรรม’ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลนักปกครองสกุลเจิ้ง และเป็นทั้งตัวเลือกอันดับหนึ่งของว่าที่ประมุขคนต่อไป ดังนั้นตาเฒ่าสกุลเจิ้งจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามใช้พลังสะกดทางสายโลหิตไปจัดการเขา ตอนนี้สองสกุลเปลือกนอกปรองดองแต่ในใจร้าวฉาน ว่ากันว่าศิษย์รุ่นหนุ่มสาวพอเจอกันที่ข้างนอก แค่พูดจาไม่เข้าหูก็ลงไม้ลงมือกันออกบ่อยไป”

คู่ปรับเก่ากำลังตีกันเอง นี่คือหัวข้อสนทนาที่ชวนให้จิตใจฮึกเหิมเป็นที่สุด

ตระกูลเทวโอสถสกุลอวิ๋นเป็นตระกูลฝ่ายธรรมะที่เพิ่งจะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงร้อยกว่าปีมานี้ แม้ว่าตระกูลโบราณต่างๆ บนดินแดนพันเมฆาล้วนเป็นผู้สืบเชื้อสายจากเซียนบรรพกาล ทว่าเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป บางตระกูลก็เริ่มเสื่อมถอยลงด้วยสาเหตุต่างๆ ในขณะที่ก็มีบางตระกูลยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยโชควาสนาบางประการ

ปัจจุบันผู้ครองอันดับหนึ่งของสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะก็ยังเป็นตระกูลนักปกครองสกุลเจิ้งเจ้าเก่า ส่วนอีกสองตระกูลที่เหลือคือตระกูลเทวโอสถสกุลอวิ๋น กับตระกูลขุนพลสวรรค์สกุลทัง

เซียนบรรพชนที่ตระกูลขุนพลสวรรค์สกุลทังให้การเคารพบูชาก็คือ ‘เซียนไร้ไพรี’ ผู้มีสมญานามว่า ‘เทพเจ้าแห่งการทหาร’ ในยุคบรรพกาลเซียนไร้ไพรียังไม่นับเป็นเซียนแถวหน้า ส่วน ‘เซียนโอสถ’ บรรพชนที่ตระกูลเทวโอสถสกุลอวิ๋นให้การเคารพบูชานั้นยิ่งเป็นเพียงหนึ่งในบริวารมือดีของ ‘เซียนแพทย์’ จึงกล้อมแกล้มเลื่อนชั้นเป็นเซียนได้ หากเอ่ยถึงลำดับฝีมือในทำเนียบร้อยเซียน เซียนโอสถก็จัดอยู่ในระดับกลางล่างเท่านั้น

เพียงแต่ร้อยปีมานี้ประมุขสามรุ่นของสกุลอวิ๋นปกครองตระกูลได้ถูกทาง ประกอบกับมีศิษย์มากความสามารถออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ดังนั้นสกุลอวิ๋นจึงแทรกตัวขึ้นมาเป็นสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะได้อย่างมีหน้ามีตา

ส่วนยอดหญิงสกุลอวิ๋นที่ถูกปฏิเสธการแต่งงานผู้นั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา นางมีนามว่าอวิ๋นชิงอิ่ง ไม่ต่างจากเจิ้งเฮ่าอี้ พลังวัตรของนางเลื่อนสู่ขั้นชำระไขกระดูกด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี นอกจากได้รับการยอมรับจาก ‘ศิลาร้อยสมุนไพร’ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลแล้ว นางยังเป็นยอดฝีมือที่ลือนามในหมู่ผู้ฝึกวิชารุ่นหนุ่มสาวด้วย

ว่ากันว่าเดิมทีตระกูลขุนพลสวรรค์สกุลทังก็มีประสงค์จะเกี่ยวดองกับสกุลอวิ๋น ทว่าอวิ๋นชิงอิ่งมีใจเอนเอียงไปทางเจิ้งเฮ่าอี้มากกว่า ดังนั้นงานมงคลจึงไม่เกิดขึ้น ภายนอกเล่าลือกันว่าทังเซิ่งหยางทายาทตระกูลขุนพลสวรรค์ถึงขั้นวิ่งโร่ไปท้าประลองกับเจิ้งเฮ่าอี้ด้วยสาเหตุนี้ เพียงแต่ผลออกมาเป็นเช่นไรนั้นสุดที่จะรู้ได้

ทว่าดูจากที่ตระกูลขุนพลสวรรค์นิ่งเงียบมาตลอดนับแต่จบเรื่อง ทังเซิ่งหยางคงเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียทีในกำมือของเจิ้งเฮ่าอี้เป็นแน่

จากที่ซูถิงหยวนฟังศิษย์น้องทั้งห้าผลัดกันแลกเปลี่ยนความเห็นต่อแนวโน้มสถานการณ์ รวมถึงข่าวสารของตระกูลต่างๆ ที่ได้รับจากการออกไปข้างนอกมาคราวนี้ ดูเหมือนแน่ชัดแล้วว่าวิกฤตที่จะเกิดกับสกุลซูนั้นเป็นเรื่องใด ทว่าในใจเขากลับยังคงรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่นั่นเอง ราวกับมีภัยแฝงที่ยังไม่ล่วงรู้และน่ากลัวยิ่งกว่านี้เตรียมจะปะทุขึ้นในช่วงเวลาที่คาดคิดไม่ถึง

ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นอนาคตของสกุลซูผ่านทางคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสุดยอดของวิเศษประจำตระกูล โดยภาพที่ได้เห็นนั้นครึ่งหนึ่งคือภูเขาซากศพกับทะเลโลหิต ทว่าอีกครึ่งหนึ่งถูกบดบังอยู่ท่ามกลางหมอกทึบชั้นแล้วชั้นเล่า เขาพยายามจะมองดูให้มากกว่านี้ แต่ก็ถูกอานุภาพของคันฉ่องสะท้อนกลับมาเล่นงานเข้า อายุขัยของเขาซึ่งเดิมทีก็เหลือน้อยอยู่แล้วจึงแทบจะสูญเสียไปจนหมด ซ้ำน่าเสียดายข้อมูลที่ได้เพิ่มมาก็ยังคงน้อยแสนน้อย

“ไม่ว่าสกุลอื่นจะเป็นเช่นไร ความสามารถของพวกเราเองต้องกล้าแข็งขึ้น รวมทั้งมีผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมกว่าอีกฝ่าย สกุลซูจึงจะมีอนาคตได้ พวกเราไม่อาจฝากความหวังไว้ที่การบ่อนทำลายกันเองภายในตระกูลฝ่ายธรรมะ” ซูถิงหยวนยกมือยุติการถกความเห็นเป็นพัลวันของศิษย์น้องทั้งห้า

“ศิษย์ที่โดดเด่นในตระกูลของพวกเราก็มีอยู่ไม่น้อยนี่ขอรับ ไม่ใช่ยังมีพวกโจวโม่ ซูป๋ออวิ๋น ซูจาง แล้วก็เทียนหวาอยู่หรอกหรือ” เสียงของผู้อาวุโสสี่หลี่แผ่วปลายลงเรื่อยๆ กระทั่งตัวเขาเองเมื่อพูดไปถึงตอนท้ายก็ยังรู้สึกกระดากปากอยู่บ้าง

ศิษย์โดดเด่นของสกุลซูที่เขาหยิบยกขึ้นมาหลายคนนี้ อย่าว่าแต่ยังห่างชั้นกับเจิ้งเฮ่าอี้อัจฉริยะตระกูลนักปกครองผู้นั้นอยู่ลิบลับ กระทั่งยอดหญิงตระกูลเทวโอสถสกุลอวิ๋นก็ยังเหนือกว่าพวกเขาไม่ใช่แค่เล็กๆ น้อยๆ

ผู้อาวุโสรองซูกระแอมแห้งๆ สองทีก่อนกล่าว “พูดถึงเทียนหวา…หากวันพรุ่งนี้ยายหนูคนนั้นออกมาจากป่าร้อยสัตว์ได้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นพวกเราก็จะมีอัจฉริยะที่ทัดเทียมกับเจ้าหนูสกุลเจิ้งนั่นได้ครึ่งคนแล้ว”

ผู้อาวุโสสามโจวเอ่ยอย่างแปลกใจ “ยายหนูคนใดกัน ป่าร้อยสัตว์…วันนี้นางเข้าร่วมการสอบสนามสุดท้ายของศิษย์ระดับต้นอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงพูดว่าครึ่งคนเล่า”

ผู้อาวุโสสี่หลี่กับผู้อาวุโสห้าเฉินต่างก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “หรือว่าช่วงที่พวกเราไม่อยู่นี้มีต้นกล้าที่ดีเยี่ยมเพิ่มมาในหมู่ศิษย์ระดับต้น? แต่ว่าศิษย์ระดับต้นอย่างนาง…กว่าจะใช้การได้ยังต้องรออีกนานสักแค่ไหน”

ผู้อาวุโสใหญ่หานสบตากับผู้อาวุโสรองซู ก่อนจะเอ่ยปากเล่าผลงานอันยิ่งใหญ่ของซูเพียนจื่อในช่วงครึ่งปีกว่ามานี้ ตลอดจนสภาพร่างกายซึ่งมีข้อจำกัดพิเศษของนาง

ผู้อาวุโสสามโจวฟังที่ผู้อาวุโสใหญ่หานชี้แจงจนจบก็ส่ายหน้ากล่าวขึ้น “บนดินแดนพันเมฆายังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์จะสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรได้”

ในใจของผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลือก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน ทุกคนจึงไม่มีความสนใจที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

ซูถิงหยวนเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ก่อนจะพลันเอ่ยปาก “มีการตัดสินใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอความเห็นชอบจากพวกเจ้า”

สำหรับเรื่องส่วนใหญ่แล้วประมุขสกุลซูล้วนมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ แต่หากจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากผู้อาวุโสทั้งห้า นั่นก็แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎตระกูลอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสทั้งห้าได้ยินเช่นนั้นจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที

ดูเหมือนซูถิงหยวนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาเอ่ยเน้นทีละคำว่า “ข้าคิดจะเปิดคลังสมบัติสกุลซูให้ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงทุกคนได้เข้าไปเลือกของวิเศษหนึ่งชิ้นด้วยตนเอง จากนั้นก็จะให้พวกเขาแยกย้ายกันออกจากถ้ำพันจิ้งจอกไปฝึกฝีมือที่โลกภายนอก”

คลังสมบัติสกุลซูต่อให้เป็นศิษย์ระดับสูงก็ใช่ว่าจะเปิดให้เข้าไปง่ายๆ ข้อเสนอนี้ของซูถิงหยวนคือการล้างผลาญสมบัติตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้อาวุโสใหญ่หานพอจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงเผยอริมฝีปากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ผู้อาวุโสอีกสี่คนที่เหลือล้วนเบิกตาโตด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ผู้อาวุโสรองซูคือคนแรกที่กระโดดออกมาหมายจะปฏิเสธ

ซูถิงหยวนคาดไว้แต่แรกว่าเหล่าศิษย์น้องจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ เขาจึงโบกมือเป็นความหมายให้ทั้งห้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป จากนั้นก็เอ่ยชี้แจงต่อ “ที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้ย่อมจะมีเหตุผลของข้า ที่นี่ไม่มีคนอื่น เวลาของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว ดังนั้นข้าก็จะพูดกับพวกเจ้าตอนนี้ให้ชัดเจนไปเสียเลย”

“อะไรคือเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว” ผู้อาวุโสรองซูถามด้วยเสียงที่รัวเร็ว

“เมื่อสิบห้าปีก่อนหู่หลี่กับฉิงซินพลันหายสาบสูญไป ทำให้ข้ากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเมื่อราวสิบปีก่อนข้าก็ทนไม่ไหว นำคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงออกมาใช้ หมายจะเสาะหาร่องรอยของพวกเขาให้พบ ต่อให้เป็นเพียงเบาะแสเล็กน้อยก็ยังดี ผลสุดท้ายข้าไม่ได้เห็นพวกเขา แต่กลับบังเอิญได้เห็นอนาคตของตระกูล…”

นอกจากผู้อาวุโสใหญ่หานที่รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ผู้อาวุโสอีกสี่คนที่เหลือล้วนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ข้ามองเห็นถ้ำพันจิ้งจอกตลอดจนดินแดนพันเมฆาทั้งหมดมีแต่ภูเขาซากศพกับทะเลโลหิต ขณะเดียวกันก็เห็นหมอกทึบที่ดูเหมือนจะเปี่ยมด้วยพลังชีวิตและความหวัง ข้าพยายามจะอ่านลิขิตฟ้านั้นให้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นเมื่อห้าปีก่อนข้าจึงใช้งานคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงอีกครั้ง คราวนี้ข้าเห็นเพียงรางๆ ว่ามีวงแหวนอยู่หนึ่งวงกับหมู่ดาวที่พร่าเลือนอีกเจ็ดดวง พออยากจะมองให้ชัดยิ่งกว่านี้ ข้าก็ถูกอานุภาพของคันฉ่องสะท้อนกลับมาเล่นงาน…เดิมทีภาพเหล่านั้นหาใช่สิ่งที่ข้าพึงจะได้เห็น

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเสียอายุขัยไปเกือบทั้งหมด ตอนนี้เพียงฝืนประคองเอาไว้เท่านั้น อย่างมากอีกสามถึงห้าปีข้าก็จะต้องละสังขารแล้ว” ถ้อยคำอันเรียบสงบของซูถิงหยวนเฉกเช่นอสนีบาตหนึ่งสายที่ทำให้ผู้อาวุโสสี่คนซึ่งเพิ่งจะได้ฟังเรื่องนี้ใจสะท้านจนสีหน้าเผือดขาว

ซูถิงหยวนไม่เพียงดำรงตำแหน่งประมุข หากยังเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูล เมื่อใดที่เขาล้มลง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตระกูลฝ่ายธรรมะได้ยินข่าวแล้วจะทำอะไร ลำพังบรรดาตระกูลฝ่ายอธรรมที่จ้องจะตะครุบของวิเศษ เคล็ดวิชา และฐานที่มั่นของสกุลซู นั่นก็เพียงพอจะทำให้ถ้ำพันจิ้งจอกต้องเคราะห์ร้ายมหันต์แล้ว!

ไม่ว่ายามปกติผู้อาวุโสเหล่านี้จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างไรก็ตาม พวกเขาล้วนต้องยอมรับว่าการคงอยู่ของซูถิงหยวนนั้นสำคัญยิ่งยวดต่อความปลอดภัยของทุกคนในสกุลซู

ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างนิ่งงันอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร

ซูถิงหยวนตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะหงายไพ่ทั้งหมดต่อพวกเขา จึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่ได้ละทิ้งความหวังหรอกนะ การที่ข้าให้ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงเข้าไปเลือกของวิเศษในคลังสมบัติไม่ได้แปลว่าข้าตั้งใจจะยุบสลายสกุลซูสักหน่อย ระหว่างที่พวกเขาออกไปฝึกฝีมือข้างนอกก็จะต้องทำภารกิจหนึ่งอย่างให้ลุล่วงด้วย ผู้ที่ทำสำเร็จจะได้รับการถ่ายทอดพลังวัตรชั่วชีวิตของข้า รวมทั้งคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงกับคทาเทพลวง แล้วก็ตำแหน่งประมุขสกุลซูรุ่นต่อไป!”

วาจานี้มีผลสะท้านสะเทือนจิตใจผู้ฟังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ตามกฎตระกูลแล้วผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์จะสืบทอดตำแหน่งประมุขก็จริงอยู่ ทว่าบุตรหลานผู้เยาว์ของพวกเขาทำได้นี่!

ขอเพียงมีศิษย์คนใดได้รับพลังวัตรชั่วชีวิตของซูถิงหยวน เช่นนั้นถ้ำพันจิ้งจอกก็จะมั่นคงดุจภูเขาไท่ซานดังเดิม พวกเขาเองก็ไม่ต้องวิตกว่าจะมีภัยมาถึงชีวิตแล้ว!

ซูถิงหยวนเห็นสีหน้าของคนเหล่านี้อยู่ในสายตา ในใจก็ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ

ผู้อาวุโสสามโจวฝืนข่มความตื่นเต้นลงไป ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยคำถามที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ร้อนใจอยากรู้ “ไม่ทราบว่าท่านประมุขคิดจะให้ศิษย์เหล่านั้นไปทำภารกิจอะไรหรือ”

“หลอกเอามงกุฎเที่ยงธรรมของสกุลเจิ้ง ศิลาร้อยสมุนไพรของสกุลอวิ๋น กับเกอพันทัพไร้พ่ายของสกุลทังกลับมาที่นี่” น้ำเสียงของซูถิงหยวนเรียบเฉย ราวกับว่าสิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ไม่ใช่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะเห็นเป็นดั่งชีวิต หากแต่เป็นผักผลไม้ตามท้องไร่ท้องนาในชนบทที่ปล่อยให้ใครๆ มาเด็ดไปก็ได้กระนั้น

ผู้อาวุโสทั้งห้านิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปอีกครั้ง แทบจะอดสงสัยไม่ได้ว่าประมุขของตนใกล้สิ้นอายุขัยจึงร้อนใจจนเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่

“ตอนนี้วัตถุศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นนั้นล้วนอยู่ในมือศิษย์แถวหน้ารุ่นหนุ่มสาวของสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะ หากว่าที่ประมุขถ้ำพันจิ้งจอกของพวกเราไม่มีปัญญากระทั่งจะหลอกเอาสิ่งของมาจากมือของพวกเขาได้ ภายหน้าจะสามารถนำพาวงศ์ตระกูลต้านทานการล้อมบุกของตระกูลฝ่ายธรรมะได้อย่างไรเล่า! อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ฝืนเรียกร้องให้ว่าที่ประมุขต้องได้รับการยอมรับจากไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลของพวกเราเสียก่อน…” ซูถิงหยวนลูบคทาเทพลวงที่อยู่ในฝ่ามือเบาๆ พลางเอ่ยอย่างเยือกเย็น

จะว่าไปก็มีเหตุผลเช่นกัน เหล่าผู้อาวุโสต่างลอบพรูลมหายใจออกมา ตอนแรกพอได้ยินว่าเป้าหมายคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็หวั่นใจ รอจนได้ยินซูถิงหยวนเอ่ยถึงผู้ถือครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงพลันเบาใจขึ้น

ค่อยยังชั่ว แม้บุตรหลานของตนมีพลังวัตรไม่โดดเด่นเท่าอัจฉริยะของสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะ ทว่าขอเพียงวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมก็ไม่แน่ว่าจะหลอกเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์มาจากมือของอีกฝ่ายไม่ได้

ส่วนเรื่องได้รับการยอมรับจากไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซูนั้น กระทั่งอัจฉริยะเช่นซูหู่หลี่ในอดีตก็ยังไม่อาจทำสำเร็จ นับประสาอะไรกับเหล่าเด็กน้อยของตนเล่า และที่สำคัญที่สุดก็คือ…ไม่มีใครรวมทั้งซูหู่หลี่ได้พบเห็นไร้นามมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว

วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มเสาะหาจากที่ใดชิ้นนี้ ในสายตาของคนสกุลซูส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็แทบไม่ต่างอะไรกับตำนานที่เลื่อนลอย

เปรียบเทียบกันแล้ว อย่างน้อยการไปหลอกเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลฝ่ายธรรมะก็ยังนับว่าเป้าหมายแน่ชัดและมีตัวตนจริงกว่า

สำหรับการเปิดคลังสมบัติสกุลซูให้ศิษย์ระดับกลางขึ้นไปทุกคนได้เลือกของวิเศษนั้น…แม้จะถือเป็นการ ‘เข้าเนื้อ’ อย่างมาก แต่ขอเพียงบุตรหลานของตนได้กลายเป็นประมุข แล้วใช้พลังสะกดทางสายโลหิตสั่งบังคับ การจะริบเอาของวิเศษเหล่านั้นคืนมาก็เพียงแค่สั่งคำเดียวไม่ใช่หรือไร

ผู้อาวุโสทั้งหลายดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจกันเสียงดังเผียะผะ ในที่สุดก็ค่อยๆ ผงกศีรษะเห็นพ้องกับข้อเสนอของซูถิงหยวน

ที่ไหล่เขาถ้ำพันจิ้งจอก ภายในป่าร้อยสัตว์อันเป็นสถานที่จัดการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบของศิษย์ระดับต้นนั้น ซูเพียนจื่อไม่รู้สักนิดว่าความสุขจะมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ เพราะการตัดสินใจของซูถิงหยวน ความยากเข็ญที่นางจะเข้าใกล้คลังสมบัติสกุลซูจึงลดลงไปมาก ขอเพียงนางผ่านการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นสนามสุดท้ายนี้ไปได้อย่างราบรื่น นางก็จะได้เลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลาง และก็จะมีสิทธิ์ได้เข้าไปสำรวจในคลังสมบัติบนยอดเขาด้วยตนเองแล้ว

ทว่าขณะนี้นางกำลังยุ่งมาก ยุ่งอยู่กับการแกะรอยหมีสีน้ำตาลขนทองซึ่งอำมหิตดุร้ายที่สุดในป่าร้อยสัตว์

อาศัยความสามารถของนางไม่มีทางจะหลบรอดหูตาของสัตว์ป่ามากมายในป่าร้อยสัตว์ไปได้เป็นอันขาด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือการอยู่ข้างกายสัตว์ป่าที่กล้าแข็งกว่าใครในที่แห่งนี้ หากใช้ภาษิตหนึ่งมาบรรยายแผนการของนาง นั่นก็คือจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์

ก่อนการสอบย่อยนางได้ศึกษาค้นคว้าชนิดของสัตว์ป่าทั้งหมดในป่าร้อยสัตว์มาแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งรวมไปถึงความชอบพิเศษและกิจวัตรความเคยชินของพวกมันด้วย จากนั้นจึงได้คิดวิธีที่เสี่ยงภัยนี้ออกมา

ตอนนี้สาวน้อยเพียงภาวนาให้ตนเสาะพบถ้ำที่อยู่ของหมีสีน้ำตาลขนทองโดยเร็ว ก่อนที่นางจะถูกสัตว์ป่าชนิดอื่นพบเจอตัว

ตามข้อมูลที่ซูเพียนจื่อได้มา หมีสีน้ำตาลขนทองในป่าร้อยสัตว์มีอยู่สองตัว พวกมันอาศัยอยู่ในถ้ำทางทิศเหนือของป่า ปกติยามกลางวันจะหลับอุตุอยู่ละแวกถ้ำ พอตกกลางคืนจึงจะเข้าป่าไปหาอาหาร

ระยะทางจากประตูหลังของตำหนักไปถึงถ้ำที่พักของหมีสีน้ำตาลขนทองนั้นราวห้าหลี่ ซูเพียนจื่อใช้มีดเล็กตัดกิ่งเถาไม้เลื้อยที่เหมาะสมมาพาดคล้องไว้บนลำตัวเพื่อทำเป็น ‘ชุดพราง’ อย่างง่ายๆ ก่อนจะชโลมบนเสื้อผ้าด้วยน้ำสมุนไพรปริมาณมากที่สัตว์ป่ารวมทั้งงูและหนอนแมลงโดยทั่วไปเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งตัวนางเองก็ยังถูกกลิ่นพิกลนั้นรมจนรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง

แต่เมื่อคิดว่าชุดแต่งกายนี้สามารถกลบกลิ่นอายของนาง รวมทั้งทำให้สัตว์ป่าและงูเงี้ยวเขี้ยวขอรังเกียจเดียดฉันท์ นางก็รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่ง

สาวน้อยค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนืออย่างระมัดระวัง ในใจกลัวแต่ว่าหากท่วงท่าใช้แรงมากไปจะทำให้เกิดเสียงได้ ในป่าร้อยสัตว์แห่งนี้ไม่ว่าสัตว์ป่าตัวใดก็เพียงพอจะคร่าชีวิตน้อยๆ ของนางได้แล้ว ใต้ฝ่าเท้ามีแต่รากไม้ที่พัวพันสลับซับซ้อน กับหญ้าป่า และก้อนหิน เมื่อเดินไปทุกหนึ่งช่วงสั้นๆ นางจะหลบหลังต้นไม้แล้วโยนหินหลายก้อนออกไป เพื่อหยั่งเชิงและถือโอกาสทำให้งูพิษในพุ่มไม้ตกใจจากไปด้วย เรียกได้ว่าทุกฝีก้าวล้วนเหยียบย่างไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน

โชคของนางนับว่าไม่เลวทีเดียว ประกอบกับยามกลางวันมีสัตว์ดุร้ายที่หากินอยู่ในป่าไม่มากนัก ตลอดทางจึงไม่พบเจออุปสรรคใหญ่โตอะไร บางครั้งบางคราปะทะกับบรรดาสัตว์ป่าขนาดเล็ก นางก็หลบเลี่ยงได้ด้วยความตื่นตัว ระยะทางสั้นๆ เพียงห้าหลี่นางถึงกับเดินอยู่หนึ่งชั่วยามเศษ ระหว่างนั้นจิตใจตึงเครียด พาให้รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดินมาทั้งวันเสียอีก

ที่น่าแปลกที่สุดคือ…นางมักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างลอบจับตาดูนางอยู่ ทว่าเมื่อแอบสังเกตอยู่หลายหนกลับไม่พบเจออะไรเป็นพิเศษ

ด้านหน้าก็คือเนินเขาขนาดย่อมทางทิศเหนือของป่าร้อยสัตว์ ซูเพียนจื่อแลเห็นได้แต่ไกลว่ามีหมียักษ์สองตัวที่สูงใหญ่กว่านางไม่ต่ำกว่าสิบเท่ากำลังหลับสนิทนอนสบายอยู่หน้าถ้ำ

หมียักษ์สองตัวนั้นมีสีน้ำตาลอมเทาตลอดร่าง เว้นก็แต่ตรงหน้าอกที่มีขนสีทองเป็นบริเวณกว้าง เพียงได้เห็นเขี้ยวแหลมเล็บคมที่ทอประกายวาววับใต้แสงตะวันก็ทำให้ซูเพียนจื่อหนังศีรษะตึงชาแล้ว

มิน่าเล่าผู้เข้าสอบแต่ละคนที่เข้าป่ามาด้วยกันพอเห็นนางมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ แววตาจึงได้มองเหมือนนางเสียสติไปแล้ว เดิมทีดูเหมือนมีผู้เข้าสอบสองคนตั้งใจจะตามติดอยู่ข้างๆ นาง หมายจะพึ่งบารมีเจ้าแม่แห่งการสอบดูสักหน่อย ทว่าหลังจากพวกเขาลังเลอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีใครสักคนกล้าตามมาอีก

หมียักษ์สองตัวนี้เพียงอ้าปากก็กัดนางให้ขาดเป็นสองท่อนได้ เพียงเงื้อกรงเล็บก็ตะปบนางให้กลายเป็นเนื้อบดได้แล้ว

เมื่อเข้าไปใกล้ที่นั่น ละแวกข้างเคียงจึงไม่พบเห็นร่องรอยของสัตว์ป่าชนิดอื่นอีกเลย หมีสีน้ำตาลขนทองนี้สมแล้วที่เป็นราชาแห่งป่าร้อยสัตว์ ไม่มีสัตว์ป่าหาญกล้ามาตอแยพวกมันแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกมันจึงได้กล้าหลับอุตุอยู่หน้าถ้ำโดยปราศจากการระวังป้องกันเช่นนี้

พอนึกถึงแผนการของตน ต่อให้ซูเพียนจื่อมีถุงน้ำดี ขนาดใหญ่ยิ่งกว่าโอ่งน้ำ นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะลังเลอยู่พักหนึ่ง

ขาดอีกแค่นิดเดียวนี้เท่านั้น มีเหตุผลอะไรที่ตนจะมาเลิกล้มกลางคัน อุตส่าห์เดินมาถึงตรงนี้แล้ว หันหลังกลับก็ต้องเผชิญหน้ากับการล่าเหยื่อของสัตว์ป่าใหญ่น้อยอีกนับไม่ถ้วน ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน สัตว์ที่ผลุบโผล่อยู่ในป่ายังไม่นับว่ามาก ตกกลางคืนเมื่อไรต่อให้ตนพรางตัวหลบซ่อนอย่างไรก็มีแต่ทางตายสถานเดียว

การแฝงตัวเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำของหมีสีน้ำตาลขนทอง…ก็คือวิธีการเดียวที่ตนจะอยู่รอดปลอดภัยในช่วงเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ได้

ยามนี้ดวงตะวันอันร้อนแรงลอยอยู่กึ่งกลางท้องฟ้า เป็นเวลาเที่ยงพอดิบพอดี หมียักษ์สองตัวท่าทางหลับลึกยิ่ง น่าจะเป็นโอกาสงามที่ตนจะลอบเข้าไปในถ้ำหมี

สาวน้อยสร้างขวัญกำลังใจให้ตนเองอยู่สักพัก ภายหลังพิจารณาเส้นทางจากตำแหน่งที่ตนอยู่ไปจนถึงถ้ำหมีอย่างละเอียดชัดเจน รวมทั้งลอบคำนวณตำแหน่งที่ตนจะย่างเท้าเดินในแต่ละก้าวเป็นอย่างดีแล้ว นางก็ปลดอุปกรณ์พรางตัวที่เกินจำเป็นเอาไปวางไว้ด้านข้างอย่างเบามือ จากนั้นจึงยืนขึ้นเดินมุ่งไปยังถ้ำหมีอย่างระมัดระวัง

เสียงกรนของหมียักษ์ดังสนั่นดุจฟ้าคำรามหนแล้วหนเล่า ซูเพียนจื่ออกสั่นขวัญแขวนขณะขยับฝีเท้าเดินผ่านข้างกายของพวกมันไป…

ปึง!

เสียงกระหึ่มดังขึ้นเมื่อหมียักษ์ตัวหนึ่งในนั้นพลิกร่างมากะทันหัน ท่อนแขนข้างหนึ่งซึ่งใหญ่พอๆ กับเอวของซูเพียนจื่อพลันฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงตรงจุดที่อยู่ข้างหน้าห่างจากนางไปไม่ถึงหนึ่งฉื่อ

สาวน้อยรู้สึกเพียงว่าใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ขวัญของนางกระเจิดกระเจิงจนหัวใจหวิดจะกระดอนออกจากปาก!

หากเมื่อครู่นางเดินเกินไปเพียงก้าวเดียว ตอนนี้ชีวิตของนางก็คงจบสิ้นไปแล้วแน่

นางสะกดเสียงกรีดร้องที่เกือบจะหลุดออกจากปากเอาไว้จนสุดกำลัง เพียรพยายามสงบใจพิเคราะห์เส้นทางใหม่ แล้วค่อยเดินเนิบนาบอ้อมแขนข้างนั้นเพื่อรุกคืบสู่ถ้ำหมีต่อ

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…

และแล้วแสงตะวันอันเจิดจ้าก็ถูกความมืดมิดเข้าแทนที่จนได้ ซูเพียนจื่อเดินเข้าสู่ถ้ำหมีสำเร็จในที่สุด

บนคาคบของไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป มีหนุ่มน้อยซึ่งแต่งกายเช่นศิษย์ระดับต้นผู้หนึ่งกำลังจับจ้องเงาร่างของซูเพียนจื่อที่ลับหายเข้าไปในถ้ำหมีพลางพึมพำกับตัวเขาเองเสียงเบา “ไม่นึกเลยว่านางจะใจกล้าถึงเพียงนี้ แต่นี่ก็เป็นวิธีดีที่จะหลบพ้นการจู่โจมจากสัตว์ป่าได้จริงๆ…ม่านม่าน ข้าจะจัดการเรื่องที่เจ้าไหว้วานให้สำเร็จแน่นอน นี่นางรนหาที่ตายริอ่านไปซ่อนตัวในถ้ำหมีเองนะ หึๆ สวรรค์ช่วยข้าโดยแท้ อยู่ในถ้ำภูเขาเช่นนั้นต่อให้นางอยากจะขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครมาได้ทันหรอก”

เขาก็คือหลี่เฮ่าหนึ่งในศิษย์ระดับต้นที่เข้าสอบเช่นกัน สิ่งเดียวที่ผิดไปจากศิษย์คนอื่นก็คือ…ในคืนก่อนวันสอบย่อยซูม่านม่านเป็นฝ่ายมาหาเขาเพื่อขอให้ช่วยกำจัดซูเพียนจื่อให้สิ้นซาก ขอเพียงเขาทำได้สำเร็จ เช่นนั้นเมื่อเขากลายเป็นศิษย์ระดับกลางแล้ว ทั้งสองก็จะคบหาเป็นคู่รัก และอาจได้แต่งงานกันในวันหน้า

ซูม่านม่านคือหญิงงามแห่งถ้ำพันจิ้งจอกผู้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง อีกทั้งมีพรสวรรค์โดดเด่นไม่ธรรมดา ในสายตาของศิษย์ถ้ำพันจิ้งจอกส่วนใหญ่ นางจึงเป็นบุปผาเซียนที่สูงส่งดอกหนึ่ง และยิ่งเป็นเทพธิดาที่หลี่เฮ่าหลงรักชื่นชมอยู่ในใจมานานปี

แผนการของซูม่านม่านรัดกุมอย่างยิ่ง ยากที่จะถูกผู้อื่นจับได้ ดังนั้นหลี่เฮ่าจึงลังเลแค่เพียงชั่วครู่ก็ตอบรับคำขอของนาง

อันที่จริงเมื่อครู่ขอเพียงเขาลงมือปลุกหมียักษ์สองตัวนั้นให้ตื่น ซูเพียนจื่อก็มีแต่ทางตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อนางตายแล้วย่อมไม่แคล้วมีเลือดไหลนองพื้น ถึงตอนนั้นสัตว์ป่าที่อยู่ละแวกใกล้เคียงก็จะถูกดึงดูดมาที่นี่ เขาเองก็จะมีอันตรายไปด้วย

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับหมีสีน้ำตาลขนทองซึ่งดุร้ายเป็นที่สุด ซูเพียนจื่อตายไปไม่น่าเสียดายสักนิด แต่หากทำให้เขาพลอยถูกหมียักษ์ที่พลันตื่นนอนพบเห็นไปด้วยล่ะก็ ต่อให้เขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เหล่าผู้คุมสอบก็รุดมาช่วยชีวิตไม่ทันกาลแน่

อาศัยพลังวัตรขั้นถอดรูประดับสูงสุดของหลี่เฮ่า การสอบย่อยสนามสุดท้ายนี้ย่อมจะผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็น เขาอยากจะอยู่ร่วมกับซูม่านม่านมากเหลือเกิน แม้กระทั่งวันเดียวก็ไม่อยากจะรอคอยแล้วด้วยซ้ำ ไหนๆ ซูเพียนจื่อก็เป็นฝ่ายพาตัวไปอยู่ในที่อันตรายเอง เช่นนั้นก็ไม่สู้ทำการสอบย่อยของเขาต่อไปตามแผนการเดิมจะดีกว่า

หลี่เฮ่าไตร่ตรองดีแล้วจึงค่อยหยิบวิหคกลที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาจากห่อสัมภาระของตน จากนั้นก็นำกิ้งก่าดูดเลือดที่ระหว่างทางถูกตนจับฟาดจนเจ็บหนักหมดสติตัวหนึ่ง ออกมามัดติดบนวิหคกลอย่างแน่นหนา

วิหคกลพอสยายสองปีกก็นำพากิ้งก่าดูดเลือดตัวนั้นบินเข้าไปในถ้ำหมีอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะแอบหยุดอยู่ตรงละแวกที่ซ่อนตัวของซูเพียนจื่อ

วิหคกลตัวนี้สามารถตามกลิ่นของซูเพียนจื่อได้ด้วยตัวเอง เพียงรออีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง เมื่อหลี่เฮ่าจากไปไกลเพียงพอแล้ว มันก็จะบินเข้าไปใกล้ซูเพียนจื่อแล้วระเบิดตัวเองเพื่อฉีกร่างกิ้งก่าตัวนี้ให้เลือดสาดไปบนตัวของนาง

กิ้งก่าดูดเลือดยังชีพด้วยการดูดเลือดสัตว์ป่าเป็นอาหาร กลิ่นเลือดของตัวมันจึงมีแรงกระตุ้นต่อสัตว์ป่าที่นี่มากยิ่งกว่าเลือดของสัตว์ทั่วๆ ไป

ถึงตอนนั้นหมีสีน้ำตาลขนทองจะต้องเสาะหาในถ้ำของตนอย่างคลุ้มคลั่ง และซูเพียนจื่อก็จะต้องตายอย่างอนาถยิ่ง!

เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น หลี่เฮ่าก็เก็บข้าวของและกลบลบร่องรอยของตน สุดท้ายเขามองไปทางถ้ำภูเขาด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว

ซูเพียนจื่อไม่รู้แต่อย่างใดว่ามีแผนร้ายอันน่าพรั่นพรึงเช่นนี้รอคอยนางอยู่ นางค้นหาในถ้ำหมีอย่างละเอียดจนกระทั่งพบจุดซ่อนตัวที่เหมาะสมในที่สุด

นั่นคือถ้ำซ้อนถ้ำ ซึ่งมีความลึกกว่าเก้าฉื่อและตั้งอยู่บนผนังหินฝั่งด้านในของถ้ำหมี ดูแล้วเป็นโพรงถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้แต่รูปร่างที่ค่อนข้างผอมบางของสาวน้อยเมื่อก้มศีรษะเดินเข้าไปก็ไม่ได้รู้สึกว่ากว้างขวางเท่าใดนัก

ซูเพียนจื่อรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่ง ถ้ำซ้อนถ้ำแห่งนี้สำหรับนางแล้วคือหลักประกันความปลอดภัยอีกชั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้หมียักษ์สองตัวที่อยู่ข้างนอกพบเห็นนางเข้า พวกมันก็ไม่มีปัญญาจะมุดเข้ามาจัดการนางได้อยู่ดี นางสามารถพักผ่อนรอคอยการมาถึงของวันพรุ่งอยู่ในนี้ได้อย่างสงบสบายใจแล้ว

เพียงแต่ในถ้ำหมีคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบของสัตว์ป่า ยิ่งเมื่อผสมกับกลิ่นตะไคร่คลุกโคลนในโพรงถ้ำหินขนาดย่อมนี้ รวมถึงกลิ่นสมุนไพรอันเข้มข้นบนร่างของนาง กลิ่นทั้งหมดนั้นก็ยิ่งชวนให้คลื่นเหียน

กระนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ร้ายในป่าร้อยสัตว์ ซูเพียนจื่อก็รู้สึกว่าทนเหม็นสักหน่อยสุขใจยิ่งกว่า

นางหยิบ ‘หญ้าเช้าค่ำ’ ต้นหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้า รอจนหญ้าเล็กๆ ต้นนี้เหี่ยวเฉาโดยสิ้นเชิงเมื่อไร นั่นก็แสดงว่านางอยู่ที่นี่ครบหนึ่งวันเต็มแล้ว

ภายในถ้ำเงียบเชียบจนเหลือแต่เสียงลมหายใจของซูเพียนจื่อกับเสียงกรนดุจฟ้าผ่าของหมีสีน้ำตาลขนทองสองตัวที่อยู่นอกถ้ำ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า…เชื่องช้ายิ่ง…

“ฮึ่ม!”

ทันใดนั้นเสียงคำรามอันก้องกังวานก็ดังขึ้นที่นอกถ้ำ จากนั้นก็ดังตามมาอีกหน

ซูเพียนจื่อที่ใกล้จะเคลิ้มหลับจึงพลันสะดุ้งสุดตัวและเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

หมีสีน้ำตาลขนทองสองตัวที่อยู่ด้านนอกตื่นแล้ว? ฟ้าน่าจะยังไม่มืดนี่นา!

สาวน้อยพยายามขดตัวเป็นก้อนเล็กๆ พลางกลั้นหายใจเอาไว้ ในใจก็ลอบภาวนาให้พวกมันรีบกลับไปนอนต่อ หรือไม่ก็จงออกไปหาอาหารเสีย

น่าเสียดายเรื่องไม่เป็นดั่งใจหวัง หมียักษ์ตัวหนึ่งเพียงสูดจมูกนิดๆ ก็หันขวับวิ่งปรี่เข้าถ้ำมายืนสองขาอย่างคนแล้วจ้องเขม็งไปที่เพดานถ้ำ

ซูเพียนจื่อที่เสียขวัญจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกายไม่รู้สักนิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เนื่องจากแสงสว่างที่สาดลอดเข้ามาจากนอกถ้ำนั้นสลัวราง นางจึงได้ยินเพียงเสียงหมียักษ์สองตัวคำรามต่อเนื่องอย่างหัวเสีย กับเสียงดังกระหึ่มเมื่อมันเอาตัวกระแทกกับผนังหินทั้งสี่ด้าน

ดูเหมือนที่พวกมันกำลังอาละวาดจะไม่ใช่เพราะค้นพบนางแล้ว…จริงสิ บนร่างนางชโลมน้ำสมุนไพรไว้ตั้งเยอะ ทั้งยังหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของถ้ำด้วย หมียักษ์สองตัวไม่น่าจะรู้สึกถึงการคงอยู่ของนางจึงจะถูก

ถ้าเช่นนั้นคือตัวบัดซบอะไรที่ชักนำพวกมันเข้ามาเล่า สาวน้อยขบคิดร้อยตลบก็ยังคงไม่กระจ่าง

นางไม่รู้แต่อย่างใดว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ตัวของกิ้งก่าดูดเลือดซึ่งหลี่เฮ่าคิดจะใช้มาทำร้ายนางตัวนั้น

หลังจากวิหคกลนำพากิ้งก่าดูดเลือดบินเข้าถ้ำหมีมา มันก็หยุดอยู่บนชะง่อนหินที่ยื่นออกมาจากผนังสูง

กิ้งก่าดูดเลือดตัวนั้นบอบช้ำสาหัสจนไม่อาจขยับเท้าทั้งสี่ได้ก็จริง ทว่าสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดยังคงทำให้มันอดไม่ได้ที่จะบิดตัวดิ้นรนสุดกำลัง จนถึงขั้นขับถ่ายทั้งหนักเบาออกมาอย่างเสียการควบคุม สัตว์จำนวนไม่น้อยล้วนอาศัยกลิ่นจากการขับถ่ายมาแบ่งแยกอาณาเขต เมื่อกลิ่นอายแปลกปลอมที่เด่นชัดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในถิ่นของตน มีหรือที่หมีสีน้ำตาลขนทองจะไม่ค้นพบ

หลี่เฮ่าคิดเพียงว่าตามแผนแล้วการระเบิดสังหารกิ้งก่าดูดเลือดตัวเป็นๆ ในอีกหนึ่งชั่วยามให้หลังจะสามารถดึงดูดหมีสีน้ำตาลขนทองให้มาฆ่าซูเพียนจื่อได้ แต่เขากลับไม่ได้ตรองให้ละเอียดว่าซูเพียนจื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่พิเศษ จึงเป็นเหตุให้หมียักษ์สองตัวพบเหยื่อล่อก่อนเวลาและอาละวาดขึ้นมาในทันที

วิหคกลไม่ใช่นกที่แท้จริง มันไม่มีสติปัญญาเพียงพอจะรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน หลังจากที่หมียักษ์สองตัวเพียรกระโจนจากมุมต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดวิหคกลตัวนั้นก็ถูกคว้าลงมาตะปบแหลกในกรงเล็บเดียว ส่วนกิ้งก่าดูดเลือดผู้อับโชคที่ถูกมัดอยู่บนนั้นก็ถูกจับฉีกกินไม่เหลือหลอ

กลิ่นเลือดอันฉุนแรงกำจายลอยมา ซูเพียนจื่อคาดเดาว่าข้างนอกคงมีสัตว์ป่าที่ดวงตกสักตัวเผลอเข้ามาแล้วถูกฆ่าตาย ในใจนางจึงหวังเพียงว่าหมียักษ์สองตัวกินเสร็จแล้วจะรีบๆ กลับไปนอนต่อ

นางลืมไปเสียสนิทว่า…บนร่างตนไม่มีกลิ่นเลือดก็จริงอยู่ แต่กลับมีกลิ่นสมุนไพรที่หมียักษ์ไม่ค่อยปลาบปลื้มนัก…

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: