X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่เจ็ด

“ฮึ่ม!”

เหตุใดจู่ๆ ในถิ่นของมันจึงมีกลิ่นพืชที่มันไม่ชอบโผล่มาได้

หมียักษ์ตัวหนึ่งสูดจมูกฟุดฟิด ก่อนจะเดินมุ่งสู่ส่วนลึกของถ้ำตรงจุดที่กลิ่นนั้นแผ่ซ่านออกมา

ซูเพียนจื่อที่ขดตัวอยู่ในโพรงถ้ำรู้สึกได้ว่าหมียักษ์กำลังประชิดมาทีละก้าวแล้ว ทว่านางกลับไม่รู้เลยว่าควรจะตอบสนองอย่างไรดี

หมียักษ์สูดหายใจเข้าแรงๆ อยู่หลายหน เมื่อแน่ใจว่ากลิ่นที่ตนเกลียดลอยออกมาจากโพรงหินขนาดย่อมที่อยู่บนผนังถ้ำ มันก็รีบยื่นกรงเล็บเข้าไปตะปบ หมายจะถอนรากถอนโคนวัชพืชน่ารังเกียจที่มันนึกว่าพลันงอกอยู่ในนั้นทิ้งเสีย

ขวับ!

กรงเล็บที่ใหญ่มหึมากว่าขนาดศีรษะของซูเพียนจื่อหลายเท่ากวาดเข้ามาพร้อมเสียงลมที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสิ้นหวัง สาวน้อยแนบสันหลังชิดติดผนังหิน จ้องเขม็งไปยังเงาดำขนาดยักษ์ที่หอบเสียงลมมาถึงตรงหน้าอย่างไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ ข้างหูนางราวได้ยินเสียงหัวเราะสะใจของพญายม

กรงเล็บอันคมกริบตวัดอย่างเหี้ยมเกรียมผ่านจุดที่อยู่ห่างจากดวงหน้าของนางไปเพียงไม่กี่ชุ่น ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะถากถูกนางแล้ว…

ขวับ ขวับ ขวับ!

ร่างกายขนาดมโหฬารของหมียักษ์ที่อยู่ด้านนอกไม่อาจเข้ามาในถ้ำซ้อนถ้ำซึ่งมีขนาดเล็กกะทัดรัดแห่งนี้ได้ กระนั้นมันก็ยังตวัดกรงเล็บอันใหญ่โตเข้ามาทดลองดูหลายครั้งอย่างไม่ถอดใจ ซูเพียนจื่อกลั้นหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื้อตัวแทบจะแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขณะมองดูอุ้งตีนหมียักษ์เฉี่ยวผ่านหน้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่จนแล้วจนรอดเพียงแค่เฉียดไปเท่านั้น ในใจนางจึงถูกสารพัดอารมณ์เข้ายึดครองในเวลาเดียวกัน ทั้งพรั่นพรึง ตึงเครียด ตื่นตระหนก และยินดีปรีดา

หมียักษ์ที่อยู่ด้านนอกพบว่าตนเอื้อมไม่ถึง ‘พืชน่ารังเกียจ’ ที่อยู่ในโพรงถ้ำนั้นเสียที มันจึงคำรามต่ำด้วยความหงุดหงิดอยู่หลายหนก่อนจะหยุดตะปบคว้าในที่สุด จากนั้นมันก็เดินหัวเสียล่าถอยออกไปนอนต่อที่นอกถ้ำพร้อมกับหมียักษ์อีกตัว

ซูเพียนจื่อป้องปากไว้พลางระบายลมขุ่นในอกใส่ผนังถ้ำอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันนางก็แทบจะสะกดกลั้นไม่ไหวต้องหลั่งน้ำตาออกมาเดี๋ยวนั้น

รอดตายอย่างฉิวเฉียด! ขาดอีกนิดเดียวนางก็ต้องจบสิ้นไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!

เสียงกรนของหมียักษ์สองตัวดังมาจากนอกถ้ำอีกครั้ง ซูเพียนจื่อรู้สึกเพียงว่าเวลาทุกชั่วขณะคล้ายยาวนานเป็นสิบเป็นร้อยปี

ในที่สุดม่านรัตติกาลก็คลี่คลุมลงมาจนได้ หมียักษ์สองตัวตื่นนอนแล้ว พวกมันแผดคำรามก่อนจะจากถ้ำไปหาอาหารที่ด้านในของป่าร้อยสัตว์ จวบจนได้ยินเสียงของพวกมันเคลื่อนไปไกลแล้ว ซูเพียนจื่อจึงสามารถวางใจได้ชั่วคราวและพรูลมหายใจที่อัดอั้นไว้กว่าครึ่งวันได้เสียที

แสงจันทร์สุกสกาวสาดฉายเข้ามาจากปากถ้ำ สาวน้อยตัดสินใจแล้วว่าจะต้องออกจากโพรงถ้ำเล็กๆ นี้ไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ไม่เช่นนั้นนางคงต้องบ้าตายแน่

หมีสีน้ำตาลขนทองจากไปหนนี้ ตามความเคยชินของพวกมันแล้วหากไม่ถึงยามใกล้รุ่งก็จะไม่กลับมา

ซูเพียนจื่อเงี่ยหูสดับฟังเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่แว่วเป็นระลอกมาจากด้านในของป่าร้อยสัตว์อยู่สักพัก จนกระทั่งแน่ใจว่าละแวกใกล้เคียงไม่มีอันตรายแล้ว นางจึงเริ่มขยับมือเท้าช้าๆ ก่อนจะเดินออกมาจากด้านในของโพรงถ้ำ

ในถ้ำหมียังคงมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยวนอยู่ พอนึกถึงสัตว์ป่าดวงตกตัวนั้นที่ทำให้นางเกือบจะถูกจับได้ไปด้วย ซูเพียนจื่อก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าที่แท้มันคือตัวอะไร จึงได้กินดีหมีหัวใจเสือ บุกเข้าถ้ำหมีมาอย่างอาจหาญเช่นเดียวกับนาง

สาวน้อยอยู่ในถ้ำมานานจนปรับสายตากับแสงสลัวภายในถ้ำได้พอสมควรแล้ว หลังจากจุดไต้ขึ้นอย่างระมัดระวัง นางก็มองสำรวจสภาพภายในถ้ำอย่างละเอียด ไม่ช้าก็พบคราบเลือดเป็นด่างดวงกับวิหคกลที่แหลกเป็นชิ้นๆ อยู่บนพื้น

วิหคกล?

ครึ่งปีกว่ามานี้ซูเพียนจื่อขยันอ่านตำราเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ต้องใช้เวลานานนักก็ชี้ขาดได้ว่าเศษเหล็กกองนี้คือเครื่องร่อนขนาดเล็กที่มีมูลค่าสูงเอาการชนิดหนึ่ง และมีนามอันโด่งดังว่า ‘วิหคกล’

ของพรรค์นี้ไม่สมควรมาปรากฏให้เห็นในสถานที่เช่นป่าร้อยสัตว์ อีกทั้งศิษย์ระดับล่างทั่วๆ ไปก็ไม่มีใครมีทุนรอนพอจะใช้ไหว

นางพิจารณาเศษกระดูกที่ยากจำแนกชิ้นส่วนกับคราบเลือดเหนียวข้นสีเขียวอมฟ้าที่อยู่บนพื้นต่อ…ในป่าร้อยสัตว์มีเพียงสัตว์ที่ยังชีพด้วยการดูดเลือดอยู่ไม่กี่ชนิดจึงจะมีเลือดเป็นสีนี้ และเลือดของพวกมันก็มีกลิ่นคาวเข้มข้นเป็นพิเศษ

เพียงมองดูสิ่งของที่อยู่บนพื้น ซูเพียนจื่อก็พลันนึกถึงความรู้สึกชอบกลที่เหมือนถูกจับตามาตลอดทาง

มีคนคิดจะลอบทำร้ายข้า! ซูเพียนจื่อเข้าใจแจ่มแจ้งแทบจะในทันที

อีกฝ่ายใช้วิหคกลนำพาสัตว์ดูดเลือดตัวหนึ่งมายังที่ซ่อนของนาง จากนั้นก็จะใช้มันชักนำหมีสีน้ำตาลขนทองให้มาโจมตีนางอีกทอดหนึ่ง เพียงแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นบางอย่าง วิหคกลถูกหมีสีน้ำตาลขนทองสองตัวพบเข้าก่อนเวลา นางจึงโชคดีไม่เปื้อนเลือดซึ่งมีกลิ่นคาวดึงดูดสัตว์ป่าเป็นพิเศษ ทำให้พ้นภัยที่แสนจะอันตรายนั้นมาได้

นางนึกต่อไปถึงเรื่องที่ซูเจินเจินแตกหักกับนางเมื่อหนึ่งเดือนเศษก่อนหน้านี้ ตอนนั้นมีคนปลอมตัวเป็นนางไปหลอกลวงซูเจินเจิน อีกทั้งผู้ที่ปลอมตัวเป็นนางยังมีฝีมือแปลงโฉมที่สูงส่งยิ่ง แม้กระทั่งซูเจินเจินที่อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำก็ยังไม่พบพิรุธ

นางกับฝูอวิ๋นเคยวิเคราะห์ดูคร่าวๆ แล้ว นี่น่าจะเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามใช้ของวิเศษระดับสูงมาแปลงโฉม

ของวิเศษจำพวกนี้ไม่ใช่จะได้มากันง่ายๆ มีแต่ศิษย์ระดับสูงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถถือครอง ทว่าศิษย์ระดับสูงต่างทะนงในฐานะ ย่อมจะไม่มาทำเรื่องไร้สาระเช่นการกลั่นแกล้งขยะที่ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์อย่างนาง ส่วนศิษย์ระดับกลางทั่วๆ ไปก็ไม่มีทุนรอนจะใช้ของวิเศษระดับสูงสักหน่อย เช่นนั้นก็น่าจะเป็นใครบางคนที่อาศัยว่ามีภูมิหลังพิเศษ จึงได้ของวิเศษที่ไม่สอดคล้องกับพลังวัตรมาครอบครองอย่างง่ายดาย

เรื่องนี้มั่นใจได้แปดเก้าส่วนว่าเป็นฝีมือของซูเทียนหวากับซูม่านม่านสองคนนั้น พวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา ทั้งเป็นศิษย์ที่ได้รับความสำคัญอย่างมาก หากจะหาของวิเศษระดับสูงมาใช้สักสองสามชิ้นก็น่าจะง่ายดายยิ่ง

และที่สำคัญที่สุดก็คือ…แม้ว่าครึ่งปีกว่ามานี้นางจะทำตัวเด่นดังมาตลอด แต่ก็มีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์คนอื่นๆ น้อยแสนน้อย จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมีเรื่องขัดแย้งจนถึงขั้นผูกแค้นกัน นอกจากสองคนนี้ที่คอยจ้องหาเรื่องและไม่พอใจนางโดยใช่เหตุมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครที่อยู่ดีๆ จะมาเคียดแค้นนางเช่นนี้

ทว่าต่อให้นางรู้อยู่แก่ใจก็ไม่มีหลักฐานเพียงพออยู่ดี หรือต่อให้กำหลักฐานอยู่ในมือก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา สองคนนี้อยู่ในถ้ำพันจิ้งจอกคือผู้ที่อยู่เหนือใครๆ พวกเขามีผู้ใหญ่ที่มากบารมีคอยหนุนหลัง ผิดกับนางซึ่งเป็นขยะที่ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์ มิหนำซ้ำบิดามารดาก็หายสาบสูญไม่รู้ร่องรอย ต่อให้นางมีเหตุผลสักเพียงใดก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะยินดีมายืนอยู่ฝ่ายนาง

ตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องทำนองนี้นางเคยได้เห็นมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นแม้จะไม่อาจเปิดโปงพฤติกรรมชั่วของพวกเขาก็ไม่เป็นไร นางยังมีวิธีอีกถมเถที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นคนใบ้กินหวงเหลียน อีกอย่างวิญญูชนล้างแค้นสิบปียังไม่สาย สักวันนางจะทำให้พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับเรื่องที่เคยทำเอาไว้

ความพรั่นพรึงที่มีต่อหมียักษ์ได้ถูกความขุ่นแค้นนี้สลายไปกว่าครึ่งค่อน ซูเพียนจื่อเดินออกไปกินเสบียงและยืดเส้นยืดสายที่นอกถ้ำก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง

ตอนแรกที่นางคลำทางเข้าไปในถ้ำหมี นางคิดเพียงจะหาที่ซ่อนตัวโดยเร็วที่สุด ทว่าตอนนี้เมื่อรู้อยู่ว่าหมีสีน้ำตาลขนทองสองตัวจะไม่กลับมาในเวลาอันสั้น อีกทั้งสัตว์ป่าตัวอื่นก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ที่นี่ นางจึงพลันเกิดความคิดอยากจะเป็นนักสำรวจผจญภัยขึ้นมา ว่าแล้วก็ไม่รอช้าจุดไต้เที่ยวชมถ้ำหมีที่สกปรกเหม็นตุแห่งนี้ทันที

นางนึกถึงสิ่งที่ตำราว่าไว้…หมีสีน้ำตาลขนทองนั้นกลายพันธุ์มาจากหมีสีน้ำตาลบางตัวในยุคบรรพกาลที่บังเอิญได้รับเชื้อสายของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างวานรเทพวัชระ ขนทองที่หน้าอกของพวกมันก็คือสิ่งที่สืบทอดมาจากสายเลือดของวานรเทพวัชระนั่นเอง

แม้ว่าบัดนี้เชื้อสายของสัตว์อสูรในตัวพวกมันจะเจือจางมากแล้ว ทว่าพวกมันก็ยังมีสัญชาตญาณบางอย่างของสัตว์อสูรอยู่ เช่น ชอบอาศัยอยู่ในที่ซึ่งมีปราณวิเศษเข้มข้น

ถ้ำแห่งนี้แม้จะถูกหมีสีน้ำตาลขนทองที่ด้อยการอบรมสองตัวปู้ยี่ปู้ยำจนไม่เหลือสภาพ ทว่าตัวถ้ำเองจะต้องเป็นสถานที่ซึ่งอุดมด้วยปราณวิเศษมากกว่าที่ใดๆ ในละแวกป่าร้อยสัตว์อย่างแน่นอน

ด้วยกลัวว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจของสัตว์ป่าที่อยู่นอกถ้ำ ซูเพียนจื่อจึงไม่กล้าจุดไฟสว่าง ได้แต่ชูไต้ขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วคลำทางไปทีละนิด และแล้วการสำรวจในครั้งนี้ก็ทำให้นางค้นพบสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างเข้าจริงๆ

ห่างจากถ้ำซ้อนถ้ำซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของนางในตอนแรกไปไม่ไกลนัก ถึงกับยังมีโพรงถ้ำหินขนาดเล็กที่ทอดตัวลงสู่ด้านล่างอยู่อีกแห่งหนึ่ง!

เนื่องจากปากโพรงขนาดเล็กนี้มีความกว้างราวสองฉื่อเท่านั้น อีกทั้งถูกบดบังด้วยเงาของหินใหญ่ที่ยื่นนูนออกมา ก่อนหน้านี้นางจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลย

จะเข้าไปดูสักหน่อยดีหรือไม่นะ

ซูเพียนจื่อลังเลเพียงเล็กน้อยก็ตัดสินใจมุดเข้าไปดูให้รู้แน่

สถานที่ซึ่งมีหมีสีน้ำตาลขนทองอาศัยอยู่ ละแวกใกล้เคียงน่าจะไม่มีสัตว์ป่าที่น่ากลัวอะไรซุ่มซ่อนอยู่หรอก ในเมื่อโพรงถ้ำนี้อยู่ภายในถ้ำหมี เช่นนั้นด้านในก็ไม่น่าจะมีสัตว์อันตรายอะไรกระโจนออกมาโจมตีนางไปได้

อีกอย่างความรู้สึกสะพรึงที่ครู่ก่อนถูกหมียักษ์กักอยู่ในถ้ำซ้อนถ้ำ แล้วถูกไล่ตะปบเปะปะอยู่พักใหญ่นั้น จนตอนนี้นึกถึงนางก็ยังคงเข็ดขยาด หากสามารถเปลี่ยนไปอยู่ในที่ซึ่งดีกว่าและปลอดภัยกว่า นางก็ต้องการเป็นที่สุด

ซูเพียนจื่อเตรียมพร้อมแล้วก็ค้นเทียนไขเล่มหนึ่งจากในกองสัมภาระออกมาจุดสว่าง จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หลายหนแล้วมุดศีรษะเข้าไปในโพรงถ้ำหินซึ่งทอดตัวสู่ใต้ดินนั้น

โพรงถ้ำแห่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เส้นทางด้านในจึงประเดี๋ยวกว้างประเดี๋ยวแคบ ผนังถ้ำก็หยาบตะปุ่มตะป่ำ ซูเพียนจื่อคลานไปได้ไม่เร็วนัก เคราะห์ดีว่าน้ำสมุนไพรที่ชโลมไว้บนร่างได้ผลชะงัด มดแมลงในถ้ำพอสูดได้กลิ่นอันน่าพรั่นพรึงนี้ตั้งแต่ไกลก็พากันหลบลี้หนีห่าง ตลอดทางจึงนับได้ว่าราบรื่น

โพรงถ้ำนี้ยาวแสนยาว ให้ความรู้สึกคล้ายทอดคดเคี้ยวลงสู่ด้านล่าง ซูเพียนจื่อชักไม่แน่ใจว่าตนคลานอยู่นานเท่าไรแล้ว รู้แต่เพียงว่าคลานจนหอบฮักก็ยังไปไม่ถึงปลายทางเสียที

สาวน้อยคะเนว่าตนน่าจะคลานไปอย่างน้อยก็หลายร้อยฉื่อแล้ว ยังดีที่ไม่รู้สึกอุดอู้แต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อนางคลานลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยังสูดได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่สดชื่นด้วย

กลิ่นหอม? ในถ้ำหินแห่งหนึ่งมีกลิ่นหอม?! จะต้องมีของดีอยู่เป็นแน่!

เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ สองหน ซูเพียนจื่อก็รู้สึกว่าจมูกที่ถูกเคี่ยวกรำด้วยกลิ่นพิกลของสาบสัตว์ผสมสมุนไพรมากว่าครึ่งค่อนวันของตนเริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติขึ้นจนได้ นางจึงคลานต่อไปข้างหน้าอย่างมีกำลังใจยิ่งกว่าเดิม

ในขณะที่กลิ่นหอมนั้นเข้มข้นขึ้นทุกที เบื้องหน้าสายตาของซูเพียนจื่อก็พลันสว่างวาบ ถ้ำหินตรงหน้าโปร่งโล่งขึ้นทันตา ทั้งยังมีแสงจันทร์สุกสกาวลำหนึ่งสาดตรงจากด้านบนลงมาอาบดอกไม้สดต้นหนึ่งที่กำลังบานสะพรั่งอยู่บนพื้น!

ภาพที่ได้เห็นอยู่ในสายตาขณะนี้อัศจรรย์ดุจห้วงฝัน ท่ามกลางกลิ่นหอมระรวยซึ่งอบอวลไปทั่วถ้ำหินอันโล่งว่างนี้คือหินย้อยแต่ละแท่งที่แขวนดิ่งลงมาจากด้านบนของถ้ำ น้ำหยดแล้วหยดเล่าที่หยาดลงจากเสาหินย้อยเหล่านั้นรวมกันเป็นแอ่งเล็กๆ ซึ่งกว้างราวหนึ่งฉื่อแอ่งหนึ่ง เมื่อได้แสงจันทร์จากเพดานถ้ำฉายตกกระทบผิวน้ำ ระลอกแสงก็สะท้อนประกายกลับไปยังเสาหินย้อยที่อยู่ด้านบน ก่อเกิดเป็นแสงเงาอันพร่าพรายดุจห้วงฝันดั่งภาพมายา

กระนั้นสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในถ้ำก็ยังคงเป็นดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในแอ่งเล็กๆ ต้นนั้น

ดอกไม้นี้มีรูปลักษณ์คล้ายดอกบัวทว่าก็คล้ายดอกโบตั๋น โคนกลีบมีสีม่วงอ่อนๆ ก่อนจะจางลงเรื่อยๆ จนเป็นสีขาวเมื่อสุดปลายกลีบ กลีบดอกอันแสนบางเฉียบนี้คล้ายดั่งถูกแกะสลักขึ้นจากหยกเนื้องามที่วาวใส

ภายใต้แสงจันทร์ฉาย เกสรสีเขียวแกมเหลืองอ่อนตรงใจกลางดอกนั้นเรืองระยับด้วยรัศมีปานทองคำ ทั้งถูกกระหวัดวนด้วยไอหมอกสีทองรางๆ ใบบางดุจหยกเขียวชั้นเลิศรูปหัวใจแต่ละใบที่อยู่ถัดลงไปก็ล้วนเปล่งประกายจับตาภายใต้รัศมีจันทร์

ดอกไม้ดอกนี้ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าไม่ใช่สายพันธุ์สามัญเป็นอันขาด

ซูเพียนจื่อเหม่อมองดอกไม้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มเค้นสมองทบทวนเนื้อหาเกี่ยวกับบุปผาพฤกษาอัศจรรย์ชนิดต่างๆ ที่ตนเคยได้อ่านจากบรรดาคัมภีร์โบราณของสกุลซู

“ดูจากรูปลักษณ์แล้ว เหมือนว่าจะเป็นดอกซวีหมีกระมัง” ซูเพียนจื่อพึมพำกับตนเอง

ดอกซวีหมีคือบุปผาทิพย์ชนิดหนึ่งซึ่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งบุปผาคือหนึ่งโลกหล้า’ ดอกซวีหมีก็ถูกเรียกว่า ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ ซึ่งเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ อีกทั้งคุณสมบัติพิเศษบางด้านยังเหนือกว่า ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ ทั่วๆ ไปด้วย

ปกติแล้วใน ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ จะมีพื้นที่ลับซึ่งเก็บรักษาได้แต่สิ่งที่ไร้ชีวิต พืชและสัตว์หากถูกเก็บเข้าไปก็จะตายลงทันที อาหารและน้ำดื่มหากถูกเก็บเข้าไปก็จะเน่าเสียแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ ของเหล่าผู้ฝึกวิชายุทธ์โดยทั่วไปจึงสามารถเก็บได้แต่วัตถุที่เป็นธาตุทองและธาตุดิน เช่น อาวุธกับทรัพย์สินเงินทอง

ผิดกับดอกซวีหมีที่สามารถเก็บสิ่งของจำพวกโอสถสมุนไพรวิเศษและอาหารน้ำดื่ม โดยที่ยังคงรักษาความสดใหม่ไว้ได้ตลอดไป เพียงแต่พื้นที่ลับในดอกซวีหมีแต่ละดอกมีอยู่จำกัดอย่างยิ่ง ซ้ำบุปผาทิพย์ชนิดนี้ก็ทั้งหายากทั้งไม่อาจเพาะปลูกด้วยฝีมือมนุษย์ ดังนั้นผู้ที่จะนำดอกซวีหมีมาใช้เป็น ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ จึงมีน้อยแสนน้อย แค่หยิบติดมือออกไปหนึ่งดอกก็สามารถขายบนดินแดนพันเมฆาได้ในราคาที่สูงลิบลิ่วแล้ว

ทว่าดอกซวีหมีที่บรรยายอยู่ในตำรานั้นเป็นสีขาวปลอดทั้งดอก ยามที่บานสะพรั่งก็มีขนาดแค่เท่าอุ้งมือ ผิดกับดอกที่อยู่เบื้องหน้าสายตาดอกนี้ ซึ่งนอกจากสีสันจะเหลือบม่วงแล้วก็ยังมีขนาดใหญ่จนเกินเหตุเกินการ อย่างน้อยๆ ก็ต้องใหญ่เท่าอ่างล้างหน้าใบย่อมหนึ่งใบ

“ไม่สนแล้ว เด็ดมาก่อนค่อยว่ากัน ต่อให้ไม่ใช่ดอกซวีหมีก็ต้องเป็นของดีแน่ๆ” ซูเพียนจื่อในใจยินดีปรีดายิ่ง การสอบย่อยครั้งนี้ยังได้ผลตอบแทนที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ‘ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ’ ช่างเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องจริงๆ!

การเก็บดอกซวีหมีนั้นพิถีพิถันเรื่องวิธีการเป็นอย่างมาก ทั้งไม่อาจใช้ของมีคมที่เป็นโลหะไปเฉือนตัดกิ่งดอก ทั้งหลังจากเด็ดดอกมาแล้วก็ห้ามให้ส่วนดอกสัมผัสถูกวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งค่อนข้างนานทีเดียว

ขั้นตอนตามตำราคือต้องเด็ดใบของดอกซวีหมีมาก่อน จากนั้นก็ใช้ใบห่อหุ้มนิ้วมือไว้แล้วค่อยหักกิ่งดอกอย่างระมัดระวัง จับกิ่งดอกค้างไว้ในลักษณะนั้นโดยชูดอกขึ้นจนกว่ากลีบดอกทั้งหมดหุบเข้าเป็นดอกตูมดังเดิมจึงจะนับว่าสำเร็จ

ระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ขอเพียงมีสิ่งใดสัมผัสถูกส่วนดอกที่เด็ดมา ดอกซวีหมีก็จะเหี่ยวเฉาและสลายเป็นจุณในทันที

ซูเพียนจื่อค่อยๆ ประชิดเข้าไปใกล้ดอกไม้แล้วมองพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด รวมไปถึงช่องบนเพดานถ้ำซึ่งอยู่สูงจากพื้นหลายสิบฉื่อ กับหินย้อยที่มีน้ำหยาดหยดลงมาเหล่านั้น เพื่อให้แน่ใจได้ว่าอีกสักครู่จะไม่มีสิ่งใดพลันร่วงลงมาก่อปัญหา

นางดีใจอยู่ลึกๆ ที่บนร่างของตนชโลมน้ำสมุนไพรกลิ่นฉุนไว้จนทั่ว อย่างน้อยๆ ก็เป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่มีแมลงมีปีกตัวใดยินดีบินเข้ามาใกล้ตนในระยะสามฉื่อ

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ สามหน รวมทั้งตรวจซ้ำจนแน่ใจว่าข้างกายตนจะไม่มีสิ่งใดมากระทบการเด็ดบุปผา ซูเพียนจื่อจึงค่อยกัดปลายนิ้วกลางข้างซ้ายจนได้แผล แล้วเค้นเลือดหยดลงไปที่ใจกลางของดอกไม้

โลหิตสดๆ ซึมหายไปในไม่ช้า นี่นับได้ว่าขั้นตอนการยอมรับเจ้าของเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว บุปผาทิพย์ดอกนี้เมื่อเด็ดมาก็จะอยู่ในการควบคุมของนางแต่ผู้เดียว

สาวน้อยบรรจงเด็ดใบของดอกซวีหมีหลายใบมาห่อหุ้มนิ้วมือขวาไว้จนมิดชิด จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือไปจับกิ่งบริเวณที่อยู่ใต้ดอกในระยะหลายชุ่นเอาไว้อย่างมั่นคงแล้วออกแรงหักวูบหนึ่ง

ความรู้สึกอันหนักอึ้งแล่นมาที่มือในทันที ดอกซวีหมีที่แลดูแสนจะบอบบางนั้นถึงกับมีน้ำหนักเกือบสิบชั่ง เป็นอย่างน้อย ยังดีที่ซูเพียนจื่อคาดการณ์อยู่ก่อนแล้ว มือซ้ายจึงรีบออกแรงยึดกุมมือขวาที่จับกิ่งดอกอยู่ ร่างซึ่งกำลังนั่งยองก็รีบเอนไปด้านหลังจนกระทั่งนั่งแปะลงกับพื้น จากนั้นก็งอสองเข่าขึ้นรองรับข้อศอกทั้งสองข้างไว้อย่างรวดเร็ว แล้วสงบใจคอยให้ดอกไม้หุบตูมโดยสมบูรณ์

กาลเวลาล่วงผ่านไปทีละน้อย เมื่อแสงจันทร์จากช่องเพดานถ้ำเบี่ยงคล้อยไป ในถ้ำก็เหลือเพียงแสงสีเหลืองสลัวของเทียนไข

ดอกซวีหมีที่ถืออยู่ในมือค่อยๆ หุบกลีบเข้าไปทีละชั้น ซูเพียนจื่อไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

เทียนไขที่อยู่ข้างกายถูกจุดขึ้นต่อเนื่องเล่มแล้วเล่มเล่า จวบจนเล่มสุดท้ายดับมอดลงอย่างเงียบเชียบ สีท้องฟ้าที่ปรากฏให้เห็นจากช่องบนเพดานถ้ำก็เริ่มเป็นสีขาวนิดๆ แล้ว ดอกซวีหมีดอกนั้นจึงได้หุบแน่นเป็นดอกตูมสีขาวเหลือบม่วงขนาดเพียงเท่ากำปั้นในที่สุด

ซูเพียนจื่อยังไม่วางใจจึงรอคอยต่อไปอีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีความเสี่ยงใดๆ อีกแล้ว นางจึงค่อยลองแตะหยั่งเชิงดูเบาๆ ดอกตูมที่อยู่ใต้ปลายนิ้วให้สัมผัสที่เย็นเฉียบและแข็งแกร่ง ราวกับเป็นของตกแต่งที่แกะสลักขึ้นจากหินหยก

นางถือประคองดอกตูมเล่นอยู่สักพักอย่างเบิกบานใจ ยิ่งชมดูก็ยิ่งรู้สึกเพลิดเพลิน แม้กระทั่งอาการเมื่อยชาที่ส่งมาจากทั้งแขน เอว และขาก็กลายเป็นไม่ได้ทุกข์ทนถึงเพียงนั้นแล้ว

สาวน้อยถือกุมดอกตูมไปลองแตะข้าวของที่นำติดตัวมา ทุกครั้งที่แตะสิ่งของหนึ่งชิ้น สิ่งนั้นก็จะหายวับไปทันที จากนั้นขอเพียงลูบไล้ไปที่ดอกตูมแล้วนึกถึงรูปร่างหรือคุณลักษณะจำเพาะของสิ่งที่เก็บเข้าไปสักชิ้นหนึ่ง ไม่ช้าสิ่งนั้นก็จะหล่นออกมาจากในดอกตูมเอง

ช่างน่าสนุกเหลือเกิน!

นี่คือเครื่องใช้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งยามอยู่ที่เรือนและออกท่องเที่ยว วันหน้ามีมันออกไปข้างนอกด้วย นางก็ไม่ต้องหิ้วห่อสัมภาระหรือแบกเสบียงกรังให้หนักอีกแล้ว

ประโยชน์ใช้สอยของดอกซวีหมีที่ซูเพียนจื่อนึกได้ตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้ นางเล่นจนพอใจแล้วก็ยืนขึ้นคลายเส้นสาย ก่อนจะมองพิจารณาถ้ำหินนี้อย่างละเอียด โดยอาศัยแสงอรุณอ่อนจางที่ลอดเข้ามาทางช่องบนเพดานถ้ำกับแสงไฟจากไต้ในมือของตน

นอกจากก้อนหินก็คือก้อนหิน สิ่งเดียวที่ค่อนข้างพิเศษก็คือแอ่งน้ำที่ดอกซวีหมีเจริญเติบโต

ตามที่ว่าไว้ในตำรา เมื่อดอกซวีหมีถูกเด็ดไปแล้ว กิ่งใบรากลำต้นจะเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว ทว่าน่าแปลกที่ต้นดอกซวีหมีในแอ่งน้ำนั้น นอกจากถูกเด็ดดอกไปแล้ว ส่วนอื่นๆ กลับยังคงสมบูรณ์ดุจเดิม

เป็นเพราะน้ำที่หยดลงมาจากหินย้อยเหล่านี้พิเศษยิ่ง หรือเป็นเพราะสายพันธุ์ของดอกซวีหมีต้นนี้ผิดแผกออกไปกันแน่

พอซูเพียนจื่อนึกถึงจุดที่แปลกแตกต่างของดอกซวีหมีดอกนี้ของตน ในใจก็พลันมีความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้น นางหยิบดอกซวีหมีไปแตะที่ขอบแอ่ง จากนั้นแอ่งน้ำทั้งแอ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตารวมทั้งต้นดอกซวีหมีที่ผิดปกติต้นนั้นก็อันตรธานไปในพริบตา คงเหลือแต่หลุมหินหนึ่งหลุมอยู่บนพื้น

“สิ่งที่เก็บในดอกซวีหมีสามารถคงสภาพที่สดใหม่ไว้ได้ตลอดไป วันหน้าค่อยๆ มาศึกษาว่าที่แท้ดอกไม้ต้นนี้มีความพิเศษอะไรก็ยังได้” ซูเพียนจื่อพูดกับตนเองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

พอเงยหน้ามองช่องบนเพดานถ้ำอีกครั้ง นางก็พบว่าสีท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสว่างแจ้งแล้ว ตอนนี้ห่างจากเวลาที่การสอบจะสิ้นสุดลงเพียงสองสามชั่วยามเป็นอย่างมาก น่าเสียดายช่องนี้อยู่สูงเกินไป ทั้งไม่รู้ด้วยว่าข้างนอกมีสิ่งใดรออยู่ ไม่เช่นนั้นหากออกไปทางช่องนี้โดยตรงเสียเลย นางก็จะได้ไม่ต้องเสี่ยงภัยผ่านถ้ำหมีไปอีกเที่ยว

ซูเพียนจื่อทอดถอนใจก่อนจะกินเสบียงที่เหลืออยู่จนหมด นางรองน้ำที่หยดจากหินย้อยมาชำระคราบเหงื่อตามตัวคร่าวๆ จากนั้นก็ชโลมน้ำสมุนไพรกลิ่นเหม็นฉุนนั้นใหม่อีกรอบ หลังจากเตรียมตัวเสร็จเห็นเวลาพอสมควรแล้ว นางจึงกลับไปยังจุดที่คลานเข้ามา แล้วใช้ทั้งมือและเท้าปีนกลับไปยังถ้ำหมี

เมื่อนึกถึงผลตอบแทนที่ได้รับในช่วงหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ ซูเพียนจื่อก็มีอารมณ์ฮึกเหิม ไม่รู้สึกว่าเวลาที่เหลือทุกข์ทนสักเท่าใด

หมีสีน้ำตาลขนทองสองตัวกลับจากหาอาหารแล้ว พวกมันนอนนิ่งหลับอุตุอยู่ด้านนอกเช่นเคย ซูเพียนจื่อเหลือบมองหญ้าเช้าค่ำที่ถืออยู่ในมืออีกครั้ง พบว่ามันเหี่ยวเฉาโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงใช้แรงนิดเดียวก็กำให้แหลกเป็นผงหญ้าขยุ้มหนึ่งได้…เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ผ่านพ้นไปได้เสียที!

สาวน้อยสดับฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านนอก จนกระทั่งแน่ใจว่าหมียักษ์สองตัวกำลังหลับลึกจริงๆ นางจึงกลั้นหายใจค่อยๆ ปีนออกจากโพรงถ้ำใต้ดินแล้วเดินย่องออกไปสู่ด้านนอก

นอกถ้ำปกคลุมด้วยแสงตะวันเกลื่อนพื้น แสงสีขาวจ้านั้นทำให้ดวงตาของซูเพียนจื่อที่อยู่ในถ้ำมาตลอดพร่าลายอยู่บ้าง นางพยายามรีบปรับให้ชินก่อนจะเริ่มย่างเท้าไปข้างหน้า

ขณะที่เดินผ่านข้างตัวหมียักษ์ทั้งสอง ในใจนางพลันผุดความคิดอันหาญกล้าขึ้นอย่างหนึ่ง…ดอกซวีหมีใช้เก็บสิ่งมีชีวิตได้ ถ้าเช่นนั้นจะหอบหิ้วหมียักษ์สองตัวนี้ไปด้วยได้หรือไม่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยๆ การกักตัวหมียักษ์ไว้ในดอกซวีหมีก็ทำให้สวัสดิภาพของนางมีหลักประกันยิ่งขึ้น

ความคิดนี้พอบังเกิดมันก็แรงกล้าจนพลุ่งถึงขีดสุดในฉับพลัน ขอเพียงนางเอาดอกไม้แตะเบาๆ ไปที่หมียักษ์สองตัวนี้ ต่อให้ไม่สำเร็จ พวกมันก็ไม่น่าจะตื่นกระมัง

ตำราว่าไว้ ปกติแล้วดอกซวีหมีรับเลี้ยงได้แต่สัตว์วิเศษที่รูปร่างค่อนข้างเล็กและมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นเดียวกับเจ้าของ แม้แต่อาชาเทพก็ยังไม่อาจเข้าไปได้ อีกทั้งในช่วงที่สัตว์หรือพืชเข้าไปอยู่ในนั้น พวกมันก็จะอยู่ในภาวะจำศีล

ดอกซวีหมีของนางดอกนี้ใหญ่กว่าปกติตั้งมากเพียงนั้น มันก็น่าจะสามารถเก็บสัตว์ที่ตัวใหญ่ขึ้นด้วยใช่หรือไม่

เปรียบกับนางแล้วแม้หมีสีน้ำตาลขนทองจะเหนือกว่าทั้งด้านรูปร่างและเรี่ยวแรง แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเพียงสัตว์ป่าที่ไม่มีระดับขั้น ไม่ใช่สัตว์วิเศษอยู่ดี น่าจะสามารถนับว่าอยู่ในขั้นเดียวกับนางได้กระมัง

ซูเพียนจื่อกัดฟันหยิบดอกซวีหมีดอกนั้นออกมา ก่อนจะค่อยๆ ยื่นไปแตะหมีสีน้ำตาลขนทองตัวที่อยู่ตรงหน้า

วับ!

หมีสีน้ำตาลขนทองที่ตัวโตดุจภูเขาลูกย่อมพลันหายวับไปจากสายตาของนางทันใด!

สำเร็จแล้ว!

หากไม่ใช่เพราะกริ่งเกรงหมียักษ์อีกตัวที่อยู่ด้านข้าง ซูเพียนจื่อก็แทบอยากจะกระโดดโลดเต้น โห่ร้องดีใจออกไปให้ดังๆ

หัวใจของสาวน้อยเต้นรัวเร็วขณะเดินเข้าไปใกล้หมีอีกตัวอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางก็ใช้ดอกซวีหมีแตะไปที่แขนของมันหนึ่งที…

วับ!

หมีที่เหลืออยู่ตัวนี้ก็อันตรธานไปจากสายตาแล้วเช่นกัน

“เย่!” คราวนี้ซูเพียนจื่อโห่ร้องอย่างไม่ต้องกริ่งเกรงใดๆ ได้เสียที

หึๆ! ซูเทียนหวากับซูม่านม่านตัวบัดซบสองคนนั่นอยากจะทำร้ายนางกันใช่หรือไม่ นางก็จะหาโอกาสปล่อยหมียักษ์สองตัวนี้ออกมาตอบแทนพวกเขาให้สาสมเลยเชียว! เพียงแต่เงื่อนไขก่อนหน้านั้นคือนางเองจะต้องวิ่งหนีได้เร็วพอ…

ซูเพียนจื่อเหลียวมองรอบด้านจนทั่ว ก่อนจะเร่งสาวเท้าไปจากบริเวณถ้ำหมี โดยใช้วิธีเดียวกับเมื่อวานคือตัดกิ่งเถาไม้เลื้อยมาทำเป็นชุดพรางแล้วเดินมุ่งเข้าสู่ด้านในของป่าร้อยสัตว์ ย้อนกลับไปยังทิศทางของตำหนักตามเส้นทางขามา

 

นอกตำหนักสอบสนามที่ยี่สิบเนืองแน่นไปด้วยเหล่าศิษย์ที่มาชมความครึกครื้น ขณะนี้ผ่านเวลาเริ่มสอบไปหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ทุกคนล้วนได้ยินว่าซูเพียนจื่อผู้คว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยติดกันมาสิบเก้าสนามนั้นยังคงอยู่ในป่าร้อยสัตว์

ผู้คนไม่น้อยล้วนกำลังคาดเดาอยู่ว่าที่แท้แล้วนางอดทนผ่านหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้มาอย่างไร ขณะเดียวกันก็มีบางคนคิดว่าเป็นไปได้มากที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับนางแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ปรากฏตัวเสียที

ตั้งแต่ต้นจนจบผู้คุมสอบไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากซูเพียนจื่อเลย พวกเขาจึงไม่แน่ใจเช่นกันว่าที่แท้แล้วนางเกิดเรื่อง หรือว่ามีฝีมือในการซ่อนตัวสูงส่งถึงเพียงนั้นจริงๆ จนสามารถอยู่รอดปลอดภัยในป่าร้อยสัตว์ได้หนึ่งวันเต็มๆ โดยไม่ถูกสัตว์ป่าซึ่งมีประสาทการดมกลิ่นและการมองเห็นอันเฉียบไวยิ่งยวดเหล่านั้นพบตัว

มีเพียงหลี่เฮ่าที่ลอบหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ในใจ ตามที่เขาคิด…ตอนนี้ซูเพียนจื่อต้องอยู่ในท้องของหมีสีน้ำตาลขนทองแล้วเป็นแน่

ในจำนวนศิษย์เจ็ดคนที่เข้าสอบพร้อมกัน ทุกคนล้วนออกมาแล้วเว้นก็แต่ซูเพียนจื่อ แต่ละคนต่างบาดเจ็บมาไม่มากก็น้อย มีสองคนถึงขั้นต้องให้ผู้ช่วยคุมสอบออกโรงเข้าป่าร้อยสัตว์ไปช่วยออกมา

สำหรับศิษย์หกคนที่ออกมาแล้วนี้ มีสามคนที่สอบไม่ผ่าน หลี่เฮ่ากับอีกสองคนล้วนสอบผ่านแล้ว ผลคะแนนของเขามาเป็นที่สอง เพียงรอให้การสอบสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ เขาก็จะได้กลายเป็นศิษย์ระดับกลางแล้ว

พอนึกถึงคำมั่นของซูม่านม่าน ความรู้สึกร้อนตัวระคนผิดบาปนิดๆ ที่ยังติดอยู่ในใจก็ถูกข่มลงไปทันที

เป็นซูเพียนจื่อนั่นต่างหากที่รนหาที่ตายเอง คุณสมบัติอย่างนางเดิมทีก็ไม่มีหวังจะฝึกวิชาอยู่แล้ว ตายไปเสียแต่เนิ่นๆ ชาติหน้าหาครอบครัวดีๆ มาเกิดใหม่ก็ไม่นับเป็นเรื่องเลวร้าย

ไม่ช้าความรักความชื่นชมที่เขามีต่อซูม่านม่านมานานปีก็จะผลิดอกออกผลแล้ว ในสายตาของเขามีแต่ภาพฝันอันงดงามที่ได้ยอดพธูมาอยู่ในอ้อมกอด ยามที่ซูเพียนจื่อพลันปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูซึ่งเชื่อมต่อระหว่างตัวตำหนักกับป่าร้อยสัตว์นั้น หัวสมองของเขาจึงว่างเปล่าขาวโพลนอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง ถึงขั้นจัดการกับแววตกตะลึงพรึงเพริดที่เขียนอยู่บนใบหน้าไม่ทันโดยสิ้นเชิง

ผู้คนทั้งในและนอกตำหนักเมื่อเห็นซูเพียนจื่อแคล้วคลาดออกมาจากป่าร้อยสัตว์ แต่ละคนก็ตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง แม้แต่เสียงอุทานด้วยความตกใจหรือความชื่นชมก็ลืมเลือนไปจนสิ้น

ซูเพียนจื่อคาดเดาตั้งแต่แรกว่าผู้ที่ใช้วิหคกลกับสัตว์ดูดเลือดมาปองร้ายนางก็น่าจะเป็นหนึ่งในศิษย์ระดับต้นที่มาเข้าสอบอีกหกคนนั่นเอง ดังนั้นก่อนเข้าประตูมา นางจึงสังเกตคนเหล่านี้เป็นพิเศษ

คนอื่นๆ แม้ประหลาดใจกันมาก แต่ก็ไม่เกินเหตุเท่าหลี่เฮ่าอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เป็นเพราะมั่นอกมั่นใจว่านางตายไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีท่าทางใกล้ตายเหมือนคนสะเทือนใจอย่างรุนแรงเช่นนี้หรอก

หลี่เฮ่าใช่หรือไม่! ข้าจำเจ้าเอาไว้แล้ว! ซูเพียนจื่อแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ

“เจ้ารอดพ้นหนึ่งวันนี้มาด้วยวิธีใดกัน” ผู้คุมสอบเดินมาถึงตรงหน้าของซูเพียนจื่อแล้วมองพิจารณานางขึ้นๆ ลงๆ แม้เสื้อผ้าของนางจะทั้งสกปรกทั้งมีรอยขาด ตัวคนก็ดูมอมแมมอิดโรยเป็นอย่างยิ่ง ทว่านอกจากแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ จำนวนหนึ่งแล้ว โดยรวมก็นับว่านางปลอดภัยไม่มีสึกหรอ สภาพดีกว่าผู้เข้าสอบที่เหลือไม่ต่ำกว่าสิบเท่า นางทำได้อย่างไรกันนี่!

ไม่เพียงแต่ผู้คุมสอบ คนอื่นๆ ก็อยากรู้กันแทบตายอยู่แล้ว ในจำนวนนั้นรวมถึงโจวโม่กับซูป๋ออวิ๋นซึ่งตั้งใจมาที่นี่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“ข้าซ่อนตัวอยู่ในถ้ำของหมีสีน้ำตาลขนทองเจ้าค่ะ” ซูเพียนจื่อตอบกระชับได้ใจความ นางไม่อยากจะลงรายละเอียดมากไปกว่านี้

พอได้ฟังคำตอบของซูเพียนจื่อ เหล่าศิษย์ทั้งในและนอกตำหนักต่างก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าแรงๆ หัวจิตหัวใจของเด็กสาวคนนี้หล่อหลอมมาด้วยอะไรกันแน่ ผู้อื่นเข้าป่าร้อยสัตว์ต่างก็หลบดาวพิฆาตอย่างหมีสีน้ำตาลขนทองคู่นี้กันแทบไม่ทันด้วยซ้ำ ทว่านางกลับวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำของมันตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน!

เหตุใดหมียักษ์สองตัวนั้นจึงไม่พบเห็นนางเล่า จะดวงดีเกินไปแล้วกระมัง

โจวโม่พลันเข้าใจแจ่มแจ้งจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ที่ซึ่งอันตรายที่สุดก็คือที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดเช่นกัน ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

ซูเพียนจื่อไม่ได้ใส่ใจอาการตื่นตะลึงของผู้อื่น เพียงนิ่งคอยผู้คุมสอบประกาศผล

“ซูเพียนจื่อ ได้คะแนนเต็มในการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบ ยินดีกับเจ้าด้วย! เจ้าคือศิษย์สกุลซูคนแรกที่ทำคะแนนเต็มได้ในการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นครบทั้งยี่สิบสนาม นับจากวันนี้ไปเจ้าก็คือศิษย์ระดับกลางของพวกเราสกุลซูแล้ว!” ผู้คุมสอบเอ่ยเสียงก้อง

เขาเองก็เริ่มจากการเป็นศิษย์ระดับต้น เผชิญกับการสอบย่อยมายี่สิบสนามจนได้เป็นศิษย์ระดับกลางในท้ายที่สุด เขารู้ดีว่าการคว้าคะแนนเต็มทั้งยี่สิบสนามนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นและน่าเหลือเชื่อมากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เข้ามาในถ้ำพันจิ้งจอก ซูเพียนจื่อก็ไม่เคยพักสอบแม้แต่ครึ่งสนาม ฝ่าด่านต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งยังทำคะแนนเต็มได้สนามแล้วสนามเล่า!

ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เสียใจแทนซูเพียนจื่ออยู่บ้าง เด็กสาวที่ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งใจเด็ดขวัญกล้าผู้นี้กลับเกิดมาไร้ซึ่งพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ล้อกันเล่นเช่นนี้สวรรค์ออกจะโหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ

เสียงโห่ร้องยินดีดังกระหึ่มทั้งในและนอกตำหนัก ครึ่งปีกว่ามานี้การแสดงออกอันยอดเยี่ยมของซูเพียนจื่อพิชิตใจศิษย์จำนวนมากในถ้ำพันจิ้งจอก ไม่ว่าในใจพวกเขาจะมีความเห็นเช่นไรต่อซูเพียนจื่อ ทุกคนล้วนมิอาจไม่ยอมรับว่านางได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางเกิดมาไร้ซึ่งพรสวรรค์เชิงยุทธ์ นางก็ต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่น่าจับตาที่สุดในถ้ำพันจิ้งจอก หรือแม้แต่ทั่วทั้งดินแดนพันเมฆา

ซูเพียนจื่อคารวะผู้คุมสอบท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของคนทั้งหมด จากนั้นนางก็เดินก้าวยาวออกจากตำหนักไปกอดคอฝูอวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ข้าทำสำเร็จแล้ว!”

“อื้ม! นายข้าช่างเก่งกาจจริงเชียว! ข้าภาคภูมิใจในตัวท่าน…ข้าคิดว่าหากคุณชายหู่หลี่อยู่ที่นี่ก็จะต้องคิดเช่นนี้เหมือนกันแน่!” เสียงของฝูอวิ๋นฟังดูแปลกๆ คล้ายจมูกถูกบางสิ่งอุดตันอยู่

“เจ้าเป็นอะไรไป” ซูเพียนจื่อถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง

“บนตัวท่าน…เหม็นยิ่งนัก…” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่าง…ทุกข์ทรมาน

ซูเพียนจื่อนึกถึงกลิ่นน้ำสมุนไพรบนร่างของตนก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด ฝ่ามือตีไปที่ลำคอของฝูอวิ๋นพลางเอ่ยอย่างแค้นเคือง “อย่างไรข้าก็เป็นสตรีนะ เจ้าจะต้องเถรตรงเช่นนี้ด้วยหรือ”

ฝูอวิ๋นออกแรงสะบัดศีรษะเพื่อสลัดหยดน้ำที่ไหลซึมจากหางตาทิ้งไปไกลๆ ไม่ให้ซูเพียนจื่อพบเห็นความผิดปกติของมันได้

เหง่ง เหง่ง เหง่ง…

ยามนั้นเองเสียงย่ำระฆังเป็นพรวนยาวพลันดังมาจากโถงประชุมที่ไหล่เขา

จากนั้นเสียงพูดอันกังวานก็กึกก้องไปทั่วถ้ำพันจิ้งจอก “ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงทั้งหมดจงรุดมาที่โถงประชุมในทันที มีเรื่องสำคัญจะประกาศ!”

ซูเพียนจื่อสบตากับฝูอวิ๋น ก่อนจะบ่นพึมพำอย่างห้ามไม่อยู่ “ต้องรีบด่วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ชั่วดีอย่างไรก็ให้ข้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยสิ…”

สีหน้าของฝูอวิ๋นกลับดูขรึมอยู่บ้าง “เสียงระฆังสิบสองหน น่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ไปดูก่อนจะดีกว่า อย่างมากท่านก็แค่ยืนห่างจากผู้อื่นให้ไกลหน่อย ยังดีที่ข้าเป็นอาชาเทพผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศ ทั้งจงรักภักดีทั้งใจกว้างผ่อนปรน ข้าจะพยายามไม่รังเกียจท่านก็แล้วกัน โอ๊ย…ตัวท่านช่างเหม็นโฉ่จริงๆ…”

ซูเพียนจื่ออับอายจนหัวเสียจึงทุบใส่มันแรงๆ หนึ่งกำปั้นก่อนจะตวาดไล่ส่ง “ไปไกลๆ เลยนะ! ต่อให้ข้าเหม็นสักแค่ไหนก็ไม่เหม็นเท่าปากเจ้าหรอก ฝูอวิ๋นม้าสารเลว!”

การย่ำระฆังติดกันสิบสองครั้งที่โถงประชุมนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมากจริงๆ อย่างน้อยตลอดครึ่งปีกว่าที่ซูเพียนจื่อมาอยู่ที่ถ้ำพันจิ้งจอกก็ยังไม่เคยพบเจอเลยสักครั้ง ยามที่ฝูอวิ๋นพานางเหาะไปถึงที่นอกโถงประชุม บนลานกว้างขนาดย่อมที่อยู่ตรงนั้นก็กลายเป็นทะเลมนุษย์ที่มีผู้คนชุมนุมกันนับพันเป็นอย่างต่ำแล้ว ดูจากเครื่องหมายบนเสื้อผ้า คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์ระดับกลาง ส่วนศิษย์ระดับสูงนั้นมีเพียงไม่กี่สิบคน

เมื่อผู้คุมสอบพาซูเพียนจื่อ หลี่เฮ่า กับศิษย์อีกสองคนที่เพิ่งจะเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางมาปรากฏตัวตรงทางเข้าของลานกว้าง โดยที่ทั้งหมดยังไม่ทันกระทั่งจะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย พวกเขาก็ดึงดูดสายตาชำเลืองมองกับเสียงถกความเห็นของผู้คนได้ไม่น้อย

เพียงแต่สิ่งที่ทุกคนสนใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องสำคัญที่บอกว่าจะประกาศในวันนี้ ดังนั้นความไม่สงบจึงดำเนินอยู่เพียงครู่เดียว ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจพวกเขาอีก

เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงทั้งหมดในถ้ำพันจิ้งจอกก็มาพร้อมหน้ากันที่ลานกว้างแล้ว ประมุขซูถิงหยวนนำพาผู้อาวุโสทั้งห้านั่งอาชาเทพร่อนลงจากฟ้ามาที่บนแท่นสูงหน้าโถง

คนทั้งหกสบตาสื่อสารกันอย่างเรียบง่าย จากนั้นซูถิงหยวนก็ผงกศีรษะให้ผู้อาวุโสใหญ่หาน เป็นความหมายให้อีกฝ่ายเดินขึ้นหน้าไปประกาศการตัดสินใจที่ทั้งหกเห็นพ้องต้องกัน

ผู้อาวุโสใหญ่หานเดินไปใกล้ขอบแท่น กระแอมให้โล่งคอก่อนกล่าว “ท่านประมุขกับพวกเราห้าผู้อาวุโสได้ตัดสินใจร่วมกันแล้วว่า…ในอีกสามวันข้างหน้าจะมีการเปิดคลังสมบัติบนยอดเขา ศิษย์ระดับกลางขึ้นไปทุกคนล้วนได้รับอนุญาตให้เข้าไปเลือกของวิเศษด้านในหนึ่งชิ้นเป็นกรณีพิเศษ ถัดจากนั้นอีกหนึ่งเดือนจะมีการประเมินผลเพื่อกำหนดภารกิจที่ต่างกันให้พวกเจ้าออกจากถ้ำพันจิ้งจอกไปปฏิบัติให้ลุล่วง ผู้ที่มีผลงานยอดเยี่ยมก็จะได้เป็นว่าที่ประมุขสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกของพวกเรา!”

นอกจากศิษย์คนสำคัญเพียงไม่กี่คนที่รู้ข่าวก่อนแล้ว ศิษย์ที่เหลือล้วนถูกข่าวอันน่าตระหนกดุจลูกระเบิดนี้ทำให้หน้าเปลี่ยนสีและส่งเสียงกันเซ็งแซ่ ผู้ที่มีความคิดลุ่มลึกบางคนนอกจากจะตื่นเต้นยินดีก็ยังพอจะคาดเดาอะไรได้…ท่านประมุขคงเกิดปัญหาอะไรขึ้นบางอย่างแน่ จึงต้องคัดเลือกผู้สืบทอดรุ่นต่อไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้

ในกรณีปกติคนส่วนใหญ่ที่นี่ตราบจนชั่วชีวิตก็คงไม่มีทางจะได้เฉียดเข้าไปใกล้คลังสมบัติบนยอดเขารวมถึงบัลลังก์ประมุขได้หรอก ตอนนี้พลันมีโอกาสงามเกินฝันร่วงลงมาจากฟ้าแล้ว แม้ว่าภารกิจที่จะไปทำในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าคงยากสุดจะคาดคิด แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสของพวกตนอยู่ดี!

ต่อให้ภารกิจล้มเหลว การได้ของวิเศษในคลังสมบัติบนยอดเขามาเปล่าๆ หนึ่งชิ้นก็เป็นเรื่องอันดีงามราวกับมีของดีตกลงมาจากฟ้าเช่นกัน

ในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ผู้ที่ตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าใครย่อมจะเป็นซูเพียนจื่อ

อีกสามวันก็จะได้เข้าไปในคลังสมบัติบนยอดเขาแล้วอย่างนั้นหรือ นั่นก็เท่ากับมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับ ‘ไร้นาม’ อันลึกลับชิ้นนั้นด้วยตนเองแล้วน่ะสิ ขอเพียงหามันพบ ผนึกบนร่างนางก็จะคลายออกได้ ทั้งยังจะได้รับข่าวคราวของบิดามารดา และนางก็จะไม่ต้องเป็นขยะที่ถูกผู้อื่นดูแคลนอีกต่อไป

เดิมทีนางยังกลัดกลุ้มอยู่ว่าตนจะกลายเป็นศิษย์ระดับสูงได้อย่างไร นึกไม่ถึงเลยว่าความสุขจะมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้!

ซูเพียนจื่อยืนตะลึงอยู่กับที่ รู้สึกว่าดวงอาภัพที่รังควานตนมาสิบกว่าปีคล้ายจะเริ่มจากไกลไปจนได้ ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีใหญ่หลวง นางจึงไม่ได้สังเกตเห็นร่างกายอันแข็งทื่อกับอารมณ์ตื่นตระหนกอันซับซ้อนในดวงตาโตคู่งามของฝูอวิ๋นที่อยู่ด้านข้าง

นี่ก็คือลิขิตของสวรรค์เบื้องบนกระมัง นึกไม่ถึงเลยว่าวันที่ต้องตัดสินใจเลือกจะมาถึงอย่างรวดเร็วและกะทันหันถึงเพียงนี้…

ฝูอวิ๋นยิ้มขื่นอยู่ในใจ พอเบือนหน้ามองไปหาสาวน้อยข้างกายที่กำลังดีอกดีใจจนลืมตัว ความคิดของมันก็จมลึกลงสู่ห้วงแห่งการต่อสู้ดิ้นรน…เมื่อสิบห้าปีก่อนตนทุ่มสุดกำลังยับยั้งเอาไว้คราหนึ่งแล้ว ครานี้ตนจะยับยั้งต่อไปดี หรือจะคล้อยตามสิ่งที่เรียกว่า ‘ลิขิตฟ้า’ นั้นดีเล่า

หากให้ซูเพียนจื่อได้ถือครองไร้นามแล้ว ท้ายที่สุดนางจะกลายเป็นเช่นไร เป็นผู้กอบกู้ใต้หล้าที่ทุกคนบนดินแดนพันเมฆาล้วนเคารพยกย่อง เป็นดาวช่วยชีวิตของทุกผู้คนในสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอก หรือว่า…จะกลายเป็นเพชฌฆาตผู้ทำลายล้างโลก เป็นคนบาปของถ้ำพันจิ้งจอกรวมไปถึงดินแดนพันเมฆาทั้งหมด

ควรจะทำอย่างไรดี…

 

ตลอดสามวันถัดจากนั้น ซูเพียนจื่อล้วนอยู่ในอาการคึกคักลิงโลดสุดขีด กระทั่งแผนเอาคืนพวกซูเทียนหวา ซูม่านม่าน กับหลี่เฮ่าก็ยังวางพักไว้ก่อนชั่วคราว

เรื่องที่ทำให้นางตื่นเต้นยินดีช่างมีมากเหลือเกิน!

นางนำดอกซวีหมีที่ได้มาโดยบังเอิญให้ฝูอวิ๋นดู ฝูอวิ๋นก็แนะนำให้นางไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดอกซวีหมีมาเพิ่มเติม ดอกซวีหมีที่สามารถเก็บรักษาหมียักษ์สีน้ำตาลขนทองได้ถึงสองตัวจะต้องไม่ใช่สายพันธุ์สามัญเป็นอันขาด

ซูเพียนจื่อหมกตัวอยู่ในคลังตำราหนึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดก็พบเนื้อความเกี่ยวกับดอกซวีหมีในบันทึกของคนรุ่นก่อนซึ่งมีสภาพเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่ง

หากเนื้อความที่บันทึกไว้เป็นความจริง เช่นนั้นนางก็กำไรมหาศาลแล้วคราวนี้!

ในบันทึกระบุว่า…ดอกซวีหมีแบ่งออกเป็นสายพันธุ์สามัญกับสายพันธุ์เซียน โดยดอกซวีหมีสายพันธุ์สามัญก็เป็นบุปผาทิพย์ที่มีระดับขั้น ตัวดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ ภายในมีพื้นที่ลับที่ไม่ใหญ่นัก ตามระดับขั้นโดยกำเนิดแล้ว พื้นที่ลับของดอกซวีหมีขั้นหนึ่งมีขนาดเทียบเคียงได้กับกล่องเครื่องประทินโฉมหนึ่งกล่อง ส่วนพื้นที่ลับของดอกซวีหมีขั้นเจ็ดจะมีขนาดเท่ากับห้องเล็กๆ หนึ่งห้อง

ผิดกับดอกซวีหมีสายพันธุ์เซียนซึ่งมีพื้นที่ลับอย่างน้อยเท่ากับคฤหาสน์ขนาดย่อมหนึ่งหลังเลยทีเดียว อีกทั้งหากเสาะพบวิธีการที่ถูกต้องก็อาจขยายพื้นที่ลับได้ตามลำดับ ทว่าวิธีการนี้คืออะไร ในบันทึกไม่ได้เอ่ยถึง

ดอกซวีหมีในมือของซูเพียนจื่อตั้งแต่ต้นก็เก็บหมีสีน้ำตาลขนทองได้ถึงสองตัว นี่คือดอกซวีหมีสายพันธุ์เซียนอย่างเห็นได้ชัด!

ความรู้สึกของซูเพียนจื่อหลังอ่านบันทึกจบนั้นไม่ต่างจากคนที่เดินถนนอยู่แล้วเก็บทองได้หนึ่งก้อน ทั้งยังไม่ทันจะดีใจเสร็จก็มีคนมาบอกว่าทองก้อนนั้นที่แท้ยังเป็นวัตถุโบราณมูลค่ามหาศาลอีกด้วย เรียกได้ว่าหลับฝันอยู่ก็ยังต้องหัวเราะจนตื่นแน่

เนื่องจากสาวน้อยอารมณ์ดีมากเหลือเกิน นางจึงไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจที่เห็นฝูอวิ๋นมีสีหน้าแปลกพิกลทั้งวี่วัน ซ้ำมักจะหายหน้าไปไม่เห็นร่องรอย ในเมื่อมนุษย์ก็ยังมียามที่จิตใจห่อเหี่ยวกันได้ หากฝูอวิ๋นจะมีอารมณ์กวีเศร้าซึมนิดๆ เป็นครั้งคราวก็ปล่อยมันไปเถอะ

“หากเจ้ามีเรื่องในใจหรือมีอะไรลำบากใจก็ล้วนบอกกับข้าได้ ข้าฉลาดเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ จะต้องคิดหาวิธีช่วยเจ้าคลี่คลายได้อย่างแน่นอน” ซูเพียนจื่อกอดคอฝูอวิ๋นพลางเอ่ยอย่างจริงจังจนจบ โดยไม่ได้คาดคั้นให้มันรีบบอกสาเหตุที่ไม่ร่าเริงออกมา

คนเรามักมีบางเรื่องที่ยอมเก็บไว้ในใจเสียยังดีกว่าบอกเล่าต่อผู้อื่น ฝูอวิ๋นแม้เป็นม้าตัวหนึ่ง แต่ก็คงไม่ต่างกันหรอกกระมัง

ช่วงเวลาสามวันที่ซูเพียนจื่อเฝ้ารออย่างตื่นเต้นนั้น ในที่สุดก็ล่วงผ่านไปด้วยความเร็วที่ยืดยาดเสียจนนางต้องตะกุยกำแพงระบายความขัดใจ วันนี้พอรุ่งเช้านางจึงเร่งฝูอวิ๋นยิกๆ ให้รีบส่งนางไปสมทบกับผู้อื่นที่โถงประชุม

หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ อาชาเทพก็ห้ามเหาะขึ้นไปบนยอดเขา ศิษย์ที่จะขึ้นยอดเขาในวันนี้มีมากเหลือเกิน เพื่อไม่ให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายจึงกำหนดให้ศิษย์ระดับกลางขึ้นไปทั้งหมดมารวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าโถงประชุมก่อน จากนั้นค่อยแบ่งกลุ่มขึ้นเขาเข้าคลังสมบัติไปเลือกของวิเศษ

“พวกเราต้องรีบไปกันหน่อย ไม่เช่นนั้นปล่อยให้ผู้อื่นชิงหยิบไร้นามไปได้ก่อน จะทำอย่างไรกันเล่า” ซูเพียนจื่อเอ่ยอย่างร้อนใจ

ฝูอวิ๋นโคลงศีรษะกล่าวอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง “ไร้นามคืออะไร ใช่ของที่พวกเขาคิดจะหยิบฉวยก็จะหยิบฉวยไปได้อย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ท่านประมุขกับผู้อาวุโสทั้งห้าซึ่งเข้าออกคลังสมบัติได้อย่างอิสระก็คงจะหยิบมันไปตั้งนานแล้ว”

ซูเพียนจื่อรู้ว่าสิ่งที่มันพูดมามีเหตุผล เพียงแต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้สึกวิตกกังวลมากเหลือเกิน “ถ้าเกิดคราวนี้ข้าหามันไม่พบเล่าจะทำอย่างไรกันดี เจ้าก็พูดเองว่าผู้ที่เก่งกาจอย่างท่านพ่อข้ายังรู้สึกถึงการคงอยู่ของมันได้เท่านั้น ไม่เคยได้ถือครองมันอย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่ข้าจะได้เป็นศิษย์ระดับสูง ข้ามีโอกาสจะเข้าไปแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเองนะ…”

ฝูอวิ๋นเงียบงันไร้วาจา สุดท้ายก็พาซูเพียนจื่อเหาะไปถึงลานกว้างที่หน้าโถงประชุม

ตอนที่ทั้งสองไปถึงไม่นับว่าเช้าแต่อย่างใด เพราะศิษย์ระดับกลางและระดับสูงล้วนมารวมตัวกันที่ลานกว้างเกือบครบถ้วนแล้ว ผู้อาวุโสหลายท่านกำลังสั่งกำชับให้พวกเขาแบ่งกลุ่มกันเองกลุ่มละยี่สิบคนเรียงตามขั้นพลังวัตร จากนั้นให้ทยอยไปที่คลังสมบัติบนยอดเขาเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับ

แน่นอนว่าศิษย์ระดับกลางที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นซ้ำไม่มีพลังวัตรเลยอย่างซูเพียนจื่อย่อมต้องอยู่กลุ่มสุดท้าย

เมื่อนึกถึงคำพูดของฝูอวิ๋นก่อนหน้านี้ ประกอบกับไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเสาะพบไร้นามอยู่แล้ว นางจึงไม่ถือสากับลำดับอันย่ำแย่นี้สักเท่าไร

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือตนกับซูเทียนหวายังอุตส่าห์อยู่กลุ่มเดียวกันเป็นคู่ปรับบนทางแคบไปเสียได้…

คนผู้นี้ยังเข้าสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นไม่ครบยี่สิบสนามเลยไม่ใช่หรือ เขาปะปนเข้ามาได้อย่างไรกัน

นับตั้งแต่ที่ซูเทียนหวาพ่ายแก่ฝีมือซูเพียนจื่ออีกครั้งในการสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ด เขาก็ไม่ได้มาร่วมสอบสนามเดียวกับนางอีก ฉะนั้นต่อให้เขาขาดสอบไปเพียงครั้งเดียว ตอนนี้ก็ยังต้องค้างการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบอยู่สิ

ซูเทียนหวามีท่าทีเงียบขรึมไม่พูดจาแม้สักคำ เพียงยืนก้มหน้ามองปลายเท้าอยู่ห่างจากซูเพียนจื่อไปไกลลิบ

ส่วนหลี่เฮ่าที่เพิ่งจะเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางและอยู่กลุ่มเดียวกันด้วยนั้น แม้ท่าทีฝืนทำเป็นเยือกเย็น ทว่าสายตากลับหลบเลี่ยงอยู่ตลอด ไม่ยอมมองซูเพียนจื่อให้มากความ

ซูเพียนจื่อแม้พกพาแผนเอาคืนมาเต็มท้อง ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาดำเนินการ ดังนั้นนางจึงเมินหน้าคร้านจะไยดีพวกเขาเช่นกัน

กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีพวกชอบหาเรื่องจะราวีกันให้ได้…

“ขยะอย่างเจ้ามีหน้ามาเอาของวิเศษในคลังสมบัติบนยอดเขาด้วยหรือ ต่อให้เจ้าได้ไปแล้วอย่างไร ขยะที่ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์โดยสิ้นเชิงอย่างเจ้ามีปัญญาใช้งานเมื่อไรกัน” เสียงถากถางแดกดันของซูม่านม่านดังขึ้นที่ด้านหน้าไม่ไกลนัก ศิษย์ไม่น้อยที่อยู่ละแวกใกล้เคียงล้วนอดไม่ได้ที่จะมองมา

“แม้แต่ศิษย์ระดับต้นที่ยังสอบเลื่อนขั้นไม่ครบยี่สิบสนามก็ยังมีหน้ามาเลย แล้วเหตุใดข้าจะต้องไม่มาเล่า” ซูเพียนจื่อรุกกลับอย่างเย็นชา

“เจ้า!” ซูม่านม่านระเบิดโทสะ แทบข่มใจไม่ไหวจะลงมือสั่งสอนซูเพียนจื่ออยู่แล้ว แต่พอนึกได้ว่าตอนนี้มีสายตามากมายจับจ้องอยู่ ซ้ำเหล่าผู้อาวุโสก็อยู่ด้านหน้านี่เอง หากตนลงมือไป ผลพวงที่จะตามมาย่อมไม่ใช่เล็กน้อย

“เทียนหวา เจ้าไปอยู่กลุ่มเดียวกับข้า อย่าได้อยู่ร่วมกับขยะพรรค์นี้!” ซูม่านม่านนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนเดินมาทางนี้ จึงข่มโทสะเอ่ยกับซูเทียนหวา

รอจนซูเทียนหวาผงกศีรษะรับอย่างแข็งทื่อแล้วเดินตามนางไป ศิษย์บุรุษระดับกลางอีกคนที่ตอนแรกมากับซูม่านม่านก็หน้ามุ่ยก่นด่าเสียงเบาอย่างคับแค้นใส่เงาหลังของคนทั้งสอง “ก็แค่อาศัยว่ามีปู่เป็นผู้อาวุโส ถุย!”

เห็นชัดว่าเดิมทีลำดับของเขาอยู่ในกลุ่มหน้าๆ ร่วมกับศิษย์ระดับกลางคนอื่น ทว่าถูกซูม่านม่านบังคับให้มาสลับตำแหน่งกับซูเทียนหวา

ใครใช้ให้ผู้อื่นมีภูมิหลัง แต่เจ้ามีแค่เงาหลังเท่านั้นเล่า คนอื่นๆ เพียงมองศิษย์ผู้นั้นอย่างสงสารเห็นใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครคิดจะออกมาพูดผดุงความเป็นธรรมให้

ตอนนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสลับไปอยู่กลุ่มที่ห้าของข้าเถอะ”

เมื่อทุกคนหันหน้าไปมองก็พบว่าผู้พูดถึงกับเป็นซูป๋ออวิ๋นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่หาน…คนที่มีคุณสมบัติจะใช้เส้นสายเปลี่ยนไปอยู่กลุ่มลำดับต้นขึ้นมากกว่าซูเทียนหวา!

“ทะ…ท่านกำลังพูดกับข้าหรือ” ซูป๋ออวิ๋นถูกประตูหนีบหัวมาหรือไร ศิษย์บุรุษที่ถูกสลับมาอยู่กลุ่มสุดท้ายผู้นั้นเอ่ยด้วยความตื่นตะลึง

ซูป๋ออวิ๋นผงกศีรษะรับ

“ขอบคุณศิษย์พี่!” ศิษย์บุรุษผู้นั้นทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียวก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปยังกลุ่มที่ห้าของซูป๋ออวิ๋นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

ขณะที่ซูเพียนจื่อนึกฉงนกับการกระทำอันผิดปกติของซูป๋ออวิ๋น ฝูอวิ๋นก็พลันอ้าปากงับเสื้อของนางพลางดึงตัวนางไปอีกด้าน ท่าทางของมันคล้ายตัดสินใจบางอย่างได้แน่วแน่แล้ว จึงกัดฟันยื่นหน้ามากระซิบเสียงเบาที่ข้างหูนาง “อีกเดี๋ยวพอเข้าไปในคลังสมบัติ ขอเพียงท่านใช้ใจสัมผัสอย่างเชื่อมั่นในตนเอง ท่านก็จะเสาะพบไร้นาม คลายผนึกบนร่าง และย่างเท้าสู่เส้นทางแห่งผู้แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน!”

“อื้ม ขอบใจนะ” ซูเพียนจื่อรู้สึกว่าฝูอวิ๋นมาพูดปลอบใจนางเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่านางจะตื่นเต้นเคร่งเครียด นางจึงยื่นมือไปกอดคอมันแล้วตกปากรับคำ

“ท่านต้องจำคำที่ข้าพูดเอาไว้ให้มั่นนะ แล้วก็…อีกเดี๋ยวก่อนเข้าไปท่านปลดจี้ไม้แกะสลักที่คุณชายกับฮูหยินน้อยทิ้งไว้ให้ท่านมาให้ข้าด้วย”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: