X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่แปด

“เพราะเหตุใดเล่า” ซูเพียนจื่อถามอย่างแปลกใจ

“เพราะข้าจะใช้มันทำพิธีขอพรแบบพิเศษที่ตกทอดจากบรรพชนของพวกเราอาชาเทพ หวังว่าสวรรค์เบื้องบนจะคุ้มครองให้ท่านเสาะพบไร้นามอย่างราบรื่น และตัวข้าก็จะพลอยได้หน้าได้ตา กลายเป็นอาชาเทพผู้มีบารมีที่สุดในประวัติศาสตร์” ฝูอวิ๋นเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ได้คล่องปากเป็นอย่างยิ่ง

ซูเพียนจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าแม้ฝูอวิ๋นจะเคยหลอกนางเป็นบางครั้ง แต่มันก็ไม่เคยทำร้ายนางมาก่อน อีกอย่างจี้ไม้แกะสลักอันนั้นนางก็เคยมอบให้มันดูแลไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน หากมันจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงวันนี้หรอก

ดังนั้นสาวน้อยจึงผงกศีรษะรับว่า “ได้สิ”

ไม่ช้าการแบ่งกลุ่มของศิษย์ระดับกลางและระดับสูงนับพันคนก็เสร็จสิ้นลง ศิษย์กลุ่มละยี่สิบคนแบ่งได้ทั้งสิ้นห้าสิบเอ็ดกลุ่ม กลุ่มที่ห้าสิบเอ็ดของซูเพียนจื่อมีศิษย์เพียงเก้าคนเท่านั้น

ซูเพียนจื่อเดินกลับเข้ากลุ่มมากับฝูอวิ๋น พอเห็นว่านอกจากซูป๋ออวิ๋นที่มาใหม่แล้ว แต่ละคนล้วนออกอาการกระสับกระส่ายวุ่นวายใจ นางก็อดไม่ได้ที่จะพลอยเคร่งเครียดไปด้วยเล็กน้อย

เนื่องจากเรื่องคราวก่อนที่ซูป๋ออวิ๋นมอบยาให้การช่วยเหลือนาง ซูเพียนจื่อจึงรู้สึกซาบซึ้งต่ออีกฝ่ายไม่น้อยและเป็นฝ่ายเดินขึ้นหน้าไปเอ่ยทักทายเขาก่อน “ขอบคุณที่ครั้งนั้นท่านหายามารักษาอาการให้ข้า ที่ผ่านมาข้าไม่ได้พบท่านอีกเลย ในที่สุดวันนี้จึงได้กล่าวขอบคุณท่านเสียที”

ใบหน้าดุจภูเขาน้ำแข็งของซูป๋ออวิ๋นเผยรอยยิ้มนิดๆ อย่างหาได้ยาก “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อาจารย์อาหู่หลี่เป็นผู้ที่ข้าเลื่อมใสมาตลอด ตัวเจ้าก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน”

นอกจากซูเจินเจินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงถ้ำพันจิ้งจอกที่มีคนแสดงความเป็นมิตรและเอ่ยชื่นชมนาง ซูเพียนจื่อจึงกะพริบตาถี่ก่อนจะตอบปนยิ้ม “ขอบคุณที่ท่านชมเชย คงเพราะท่านเลื่อมใสบิดาข้า จึงได้เผื่อแผ่ความชื่นชมมาถึงลูกนกลูกกาในเรือนของบิดาข้าด้วยกระมัง”

“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อาจารย์ข้าให้ความสนใจเจ้ามาตลอด และเจ้าเองก็ทำสำเร็จในสิ่งที่พวกเราผู้มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ยังไม่อาจทำได้ เจ้าเก่งกาจยิ่ง” ซูป๋ออวิ๋นรู้สึกเช่นนี้จากใจจริง

เขาไม่เคยพบเจอเด็กสาวเช่นซูเพียนจื่อมาก่อน นางไม่เพียงมีความคิดอ่านที่ชาญฉลาด อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น ความเด็ดเดี่ยว หรือความกล้าหาญก็ล้วนแต่ทำให้เขาต้องอุทานชื่นชม

ก่อนหน้าการสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ด ใจจริงแล้วเขาไม่ได้เห็นแววในตัวของซูเพียนจื่อแต่อย่างใด เขาคิดว่านางเพียงแต่อาศัยความฉลาดแกมโกงที่มีอยู่จึงได้หน้าได้ตาและกระหยิ่มยิ้มย่องมาได้ตลอด ทว่าหลังจากที่เขาเห็นเองกับตาว่าซูเพียนจื่อจ่ายค่าตอบแทนอย่างไรเพื่อให้ผ่านการสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ด เขาก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนางโดยสิ้นเชิง

หากเปลี่ยนเป็นเขามาอยู่ในสภาพเดียวกับซูเพียนจื่อ ต่อให้เขาไม่ประชดชีวิตหมดอาลัยตายอยาก ก็ไม่มีทางมุมานะยืนหยัดได้อย่างนางแน่นอน แม้เขาจะไม่รู้ว่าที่นางเสี่ยงชีวิตต่อสู้นั้นเพื่อเป้าหมายอะไร แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่เขาจะชื่นชมนาง

เขารู้จักศิษย์สตรีอยู่ไม่น้อย ในจำนวนนี้ไม่ขาดแคลนผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่เลวและพลังวัตรโดดเด่นเช่นซูม่านม่าน แต่หากเอ่ยถึงจิตใจที่หนักแน่นเข้มแข็งแล้ว พวกนางไม่มีแม้สักคนที่ทัดเทียมกับซูเพียนจื่อได้

ต่อให้เป็นศิษย์บุรุษรวมถึงตัวเขาเองก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าความมุ่งมั่นอันแรงกล้าไม่ท้อถอยของซูเพียนจื่อ พวกตนก็ต้องละอายใจที่ไม่อาจเทียบเปรียบ

หากซูเพียนจื่อไม่ใช่ผู้ที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์ นางจะต้องโดดเด่นยิ่งกว่าบิดาของนางแน่นอน

เพราะความรู้สึกชื่นชมชนิดนี้เอง การสอบย่อยสามสนามสุดท้ายของซูเพียนจื่อเขาจึงไปดูมาทุกสนาม และเพราะเขารู้ว่าผู้เป็นอาจารย์ก็สนใจมากว่านางจะเลือกสิ่งใดในคลังสมบัติ ก่อนหน้านี้เขาจึงเป็นฝ่ายเสนอความเห็นต่ออาจารย์ว่าจะสลับมาอยู่กลุ่มเดียวกับซูเพียนจื่อ

อาจารย์รู้สึกเสียดายแทนเขาอยู่บ้าง ทว่าซูป๋ออวิ๋นเพียงยิ้มตอบไปว่า ‘ของวิเศษผู้มีวาสนาจึงจะได้ครอง ไม่ได้อยู่ที่ลำดับก่อนหลังหรอกขอรับ’

เขากับอาจารย์ล้วนมีลางสังหรณ์อันแรงกล้าว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะไม่หยุดฝีเท้าอยู่ที่ศิษย์ระดับกลางธรรมดาคนหนึ่งในถ้ำพันจิ้งจอกเป็นอันขาด สักวันนางจะต้องก้าวหน้าเหนือพวกเขาทุกคนด้วยวิธีการของนางเอง นางจะทำให้คนที่เคยดูหมิ่นนางล้วนต้องขยี้ตามองใหม่ และรู้สึกละอายใจที่ต่ำต้อยด้อยกว่า

อยู่ดีๆ ซูป๋ออวิ๋นก็หวังว่าตนจะได้เป็นประจักษ์พยานผู้เห็นนางถอดรูปเป็นผีเสื้อทะยานสู่ฟ้าด้วยตาของเขาเอง

 

เนื่องจากศิษย์ที่เข้าไปในคลังสมบัติแต่ละครั้งจะไม่เกินสี่กลุ่ม เมื่อเข้าไปแล้วสามารถรั้งอยู่ด้านในได้ครึ่งชั่วยาม กว่าจะเวียนมาถึงคราวของพวกซูเพียนจื่อซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายย่อมจะเป็นเวลากลางดึกแล้ว

เส้นทางยามราตรีเดินเหินยาก โดยเฉพาะซูเพียนจื่อผู้ไม่มีพลังวัตรแม้สักนิดก็ยิ่งลำบากยากเข็ญ นางจึงร้องขอที่จะเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ทว่าซูป๋ออวิ๋นส่ายหน้าตอบนางว่า “เหตุที่บริเวณเหนือไหล่เขาขึ้นไปไม่อนุญาตให้ศิษย์ระดับต้นเข้าออกตามอำเภอใจ นั่นเป็นเพราะในป่ามีสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจจำนวนหนึ่งผลุบโผล่อยู่เสมอ พวกมันอารมณ์ร้อนอยู่บ้างและยากตอแยเป็นอย่างยิ่ง เด็กสาวตัวคนเดียวขึ้นเขาไปตามลำพังมันเสี่ยงเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าขึ้นไปเอง วางใจเถอะ”

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” ซูเพียนจื่อก้มศีรษะกล่าวขอบคุณ ใจระแวงต่อผู้อื่นของสาวน้อยรุนแรงยิ่ง นางรู้สึกว่าพวกที่อยู่ดีๆ ก็มาเอาใจใส่นั้นโดยมากมักไม่ประสงค์ดี เพียงแต่คิดๆ แล้วซูป๋ออวิ๋นปดนางในเวลาเช่นนี้ก็ไม่มีผลดีใดๆ นางจึงได้ตอบรับข้อเสนอของเขา

ก่อนเข้าคลังสมบัติศิษย์ทั้งกลุ่มจะต้องรวมตัวครบถ้วนแล้วเท่านั้น ผู้อาวุโสที่ดูแลคลังสมบัติจึงจะแจกป้ายหมายเลขให้ทุกคนเข้าไป ฉะนั้นหากระหว่างทางซูเพียนจื่อเกิดอุบัติเหตุบางอย่างจนไม่อาจไปถึงพร้อมคนอื่นๆ พวกเขาต่างหากที่จะร้อนใจยิ่งกว่านาง

เมื่อเห็นว่าศิษย์ห้าสิบกลุ่มแรกออกเดินทางไปพักใหญ่แล้ว ซูป๋ออวิ๋นก็ยืนขึ้นกล่าวกับศิษย์ร่วมกลุ่มที่เหลือว่า “เอาล่ะ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ”

ทุกคนต่างรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่ละคนจึงขานตอบเสียงรัวแล้วติดตามซูป๋ออวิ๋นไปทันที

เดิมซูป๋ออวิ๋นถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ห้า เอ่ยถึงความสามารถก็เป็นยอดฝีมือในหมู่ศิษย์ระดับกลางแล้ว การที่เขาอุตส่าห์ลดเกียรติโผล่มาร่วมกลุ่มสุดท้ายเช่นนี้ ศิษย์ในกลุ่มทุกคนเว้นก็แต่ซูเพียนจื่อจึงรู้สึกกดดันยิ่งนัก

ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับกลางก็จริงอยู่ ทว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับซูป๋ออวิ๋นกลับต่างกันราวปุยเมฆกับโคลนตม

ซูเพียนจื่อปลดจี้ไม้แกะสลักที่คล้องคออยู่มาวางตรงหน้าฝูอวิ๋น “ข้าไปล่ะนะ”

ฝูอวิ๋นนิ่งมองนางก่อนจะผงกศีรษะรับ “ท่านจำคำที่ข้าพูดไว้ให้มั่นเชียว”

“ได้” ซูเพียนจื่อโบกมือแล้วเดินหน้ามุ่งสู่ทิศทางของยอดเขาไปกับซูป๋ออวิ๋น

รอจนเห็นเงาร่างของนางลับหายไปตรงหัวเลี้ยวของเส้นทางขึ้นเขา ฝูอวิ๋นจึงเงยหน้ามองไปยังจันทราโค้งๆ ที่อยู่บนฟ้าแล้วเอ่ยเสียงเบา

“หวังว่าสิ่งที่ข้าเลือกจะไม่ผิด…อาจื่อเป็นเด็กดีที่เข้มแข็งและกล้าหาญ นางจะต้องทำสำเร็จแน่ ฉิงซิน เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”

 

มีซูป๋ออวิ๋นที่ฝึกวิชาอยู่ข้างกายผู้อาวุโสใหญ่หานมานานจนคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมมาเป็นผู้นำกลุ่ม ระหว่างทางย่อมจะราบรื่นอย่างยิ่ง ตลอดทางซูเพียนจื่อยึดกุมฝักกระบี่ที่เขายื่นส่งมาให้ และอาศัยเขาเร่งพลังพานางไปด้วย นางจึงขึ้นไปถึงบนยอดเขาได้อย่างผ่อนคลายราวกึ่งขี่อยู่บนเมฆ

“เจ้าเป็นอะไรไป”

ฝักกระบี่ในมือพลันกระตุกวูบ ซูเพียนจื่อใช้แววตางุนงงมองไปยังซูป๋ออวิ๋นที่พูดกับนางอยู่ด้านหน้า

“เจ้าเป็นอะไรไป พวกเราถึงแล้วนะ” ซูป๋ออวิ๋นเอ่ยทวนอีกรอบอย่างมีน้ำอดน้ำทนดีเยี่ยม

ซูเพียนจื่อสั่นศีรษะก่อนจะตอบปนยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก”

เมื่อครู่นางได้ยินเสียงพิกลนั้นอีกแล้ว ทั้งยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มจะฟังเนื้อความของเสียงพูดนั้นได้ ดูเหมือนเมื่อครู่นางจะได้ยินเสียงนั้นพูดว่า ‘มาเถอะ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่’

น่าเสียดายเสียงยังแผ่วรางอยู่มาก นางจึงไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

อาการหูแว่วอย่างน่าประหลาดนี้ขณะสอบย่อยสนามที่สิบเก้าก็เคยเกิดขึ้น ทว่าหลังจากสอบเสร็จก็ไม่เป็นไรอีก นางจึงนึกมาตลอดว่าเป็นเพราะช่วงนั้นตนเคร่งเครียดมากเกินไป

หรือว่าครั้งนี้ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน…

ในใจนางคล้ายมีเบาะแสบางอย่างวาบผ่าน ทว่านางไม่อาจยึดกุมมันเอาไว้ได้ทัน

ผู้ที่เฝ้าคุมอยู่หน้าประตูคลังสมบัติคือผู้อาวุโสสี่หลี่ เขามองซูป๋ออวิ๋นอย่างแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึง ‘ยอมตกต่ำ’ วิ่งมาร่วมกลุ่มสุดท้ายนี่เสียได้ อีกฝ่ายไม่กลัวว่าของดีจะถูกผู้อื่นเลือกหมดไปก่อนหรือไร

“อีกเดี๋ยวศิษย์ทั้งหลายจงมาแจ้งนามแล้วรับป้ายหมายเลขเข้าสู่คลังสมบัติ พวกเจ้ามีเวลาเลือกของวิเศษเพียงครึ่งชั่วยาม และสามารถหยิบของวิเศษจากไปได้แค่ชิ้นเดียว หาไม่จะกระตุ้นให้อาคมกักกันของคลังสมบัติทำงาน ต่อให้เป็นข้าผู้อาวุโสก็ไม่อาจช่วยชีวิตของพวกเจ้าได้ ฉะนั้นจงอย่าได้คิดพึ่งโชคดวงเป็นอันขาด เมื่อถึงเวลาแล้วจะต้องออกมาทันที ห้ามรั้งอยู่ต่อ เข้าใจแล้วหรือไม่” ผู้อาวุโสสี่หลี่กล่าวทวนคำเตือนเดิมที่ใช้กับกลุ่มอื่นๆ ซ้ำอีกครั้ง

วาจาเหล่านี้เขาพูดย้ำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อันที่จริงเหล่าศิษย์ต่างก็รู้แก่ใจดี ต่อให้เป็นประมุขซูถิงหยวนก็ยังหยิบฉวยของวิเศษจากคลังสมบัติบนยอดเขาได้เพียงครั้งละหนึ่งชิ้นเท่านั้น หาไม่จะถูกอาคมกักกันของคลังสมบัติทำร้าย ผู้มีพลังวัตรอ่อนด้อยหน่อยหากตายคาที่อยู่ด้านในก็ไม่แปลกเลยสักนิด

ศิษย์เก้าคนรวมทั้งซูเพียนจื่อล้วนขานรับอย่างจริงจัง

ผู้อาวุโสสี่หลี่พึงพอใจในท่าทีของพวกเขาแล้ว “เอาล่ะมารับป้ายหมายเลขได้”

ซูป๋ออวิ๋นผงกศีรษะให้ซูเพียนจื่อ เป็นความหมายว่าจะไปรับป้ายหมายเลขจากผู้อาวุโสสี่หลี่พร้อมกับนางเป็นสองคนแรก

ความสามารถในการต่อสู้ของซูเพียนจื่ออ่อนด้อยนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าผลคะแนนเต็มในการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นทั้งยี่สิบสนามก็เป็นที่ประจักษ์ของทุกคน อีกทั้งซูป๋ออวิ๋นก็แสดงชัดว่าให้การดูแลนางอย่างมาก ศิษย์ที่เหลือจึงไม่กล้ามาแย่งลำดับกับนาง

“เจ้าก็คือซูเพียนจื่อหรือ” ผู้อาวุโสสี่หลี่มองนางซ้ำสองหน เขานึกไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์โดยสิ้นเชิงผู้นี้จะกลายเป็นศิษย์ระดับกลางได้จริงๆ ทั้งคว้าคะแนนเต็มรวดเดียวยี่สิบสนามอีกด้วย บิดาอัจฉริยะของนางก็ยังไม่มีฝีมือถึงเพียงนี้เลย

“ใช่เจ้าค่ะ” ซูเพียนจื่อขานตอบ

“อืม” ผู้อาวุโสสี่หลี่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เป็นความหมายให้นางไปได้ เด็กสาวที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์คนหนึ่งไม่คู่ควรที่เขาจะให้ความสนใจมากไปกว่านี้

ซูเพียนจื่อเดินตามซูป๋ออวิ๋นไปไม่กี่ก้าวก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ “ประตูใหญ่ของคลังสมบัติอยู่ตรงไหนหรือ” แถวนี้ก็มีแต่ศาลารับลมขนาดย่อมตั้งโดดเดี่ยวอยู่หลังเดียวเท่านั้น

“ก็คือด้านในของศาลารับลมนี่เอง เจ้าถือป้ายหมายเลขเดินเข้าไปในศาลาก็จะเข้าสู่คลังสมบัติได้แล้ว” ซูป๋ออวิ๋นชี้แจง

ซูเพียนจื่อพลันเข้าใจกระจ่าง หากนี่ไม่ใช่ ‘ข่ายอาคมส่งตัว’ ก็ต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ทางเข้าสู่พื้นที่ลับ’ นางเคยแต่อ่านเจอจากในตำรา นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางได้ประจักษ์กับของจริง

สาวน้อยกำป้ายหมายเลขไว้แน่นขณะเดินเข้าศาลารับลมไปด้วยอารมณ์ที่ทั้งฮึกเหิมทั้งเป็นกังวล

พริบตาเดียวเท่านั้นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ ศาลาหินผากับจันทร์แจ่มบนผืนฟ้ายามราตรีล้วนหายวับไปแล้ว เบื้องหน้าของนางกลายเป็นคลังที่ใหญ่โตโอฬารจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มีชั้นวางที่หลอมขึ้นจากสำริดนับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นแถวแล้วแถวเล่า ชั้นวางแต่ละตัวล้วนมีความสูงราวๆ เก้าถึงสิบฉื่อ บนนั้นวางเต็มไปด้วยของวิเศษหลากหลายชนิด ซึ่งมีจำนวนมหาศาลเกินจะคิดภาพได้โดยสิ้นเชิง

แม้แต่ซูป๋ออวิ๋นก็เพิ่งจะได้เข้ามาในคลังสมบัติบนยอดเขานี่เป็นครั้งแรก ความรู้สึกตื่นตะลึงนั้นไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้เลย

สกุลซูช่างสมเป็นตระกูลโบราณที่รุ่งเรืองจากยุคบรรพกาลมาตราบจนปัจจุบัน เพียงดูจากของที่เก็บรักษาอยู่ในคลังสมบัติแห่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะคิดภาพในหัวได้แล้ว

ซูเพียนจื่อนึกถึงหอสมุดแห่งชาติที่เมื่อก่อนตนเคยไปเยี่ยมชม ขนาดของที่นั่นเมื่อเทียบกับที่นี่แล้วไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ มิน่าเล่าสกุลซูจึงได้ใจกว้างให้ศิษย์ระดับกลางกับระดับสูงทั้งหมดเข้ามาเลือกของวิเศษได้คนละหนึ่งชิ้น สำหรับสกุลซูซึ่งมีกำลังทรัพย์แข็งแกร่งแล้ว เพียงกำนัลของวิเศษไปราวพันชิ้นก็แค่ขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัวกระมัง

ชั่วครู่ที่นางใจลอย ศิษย์อีกเจ็ดคนก็ทยอยเข้ามากันแล้ว ทุกคนล้วนมีอาการตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเช่นกัน

ซูป๋ออวิ๋นเดินไปถึงหน้าชั้นวางซึ่งอยู่ใกล้กับทุกคนมากที่สุด เขาพบว่าบนผนังสำริดที่อยู่ด้านข้างของชั้นวางมีอักษรตัวเล็กสลักอยู่ถี่ยิบ น่าจะเป็นคำแนะนำว่าบนชั้นวางนี้มีสิ่งของอะไรอยู่บ้าง

หลังจากเดินไปเรื่อยๆ ก็พบว่าด้านข้างของชั้นวางทุกตัวที่ผ่านล้วนมีคำชี้แจงในลักษณะเดียวกัน

ศิษย์อีกเจ็ดคนเห็นดังนั้นก็พลันได้สติ รีบแย่งกันวิ่งตะบึงไปยังชั้นวางที่อยู่ส่วนลึกของคลังสมบัติอย่างกลัวจะรั้งท้าย

พริบตาเดียวจึงเหลือแค่ซูเพียนจื่อกับซูป๋ออวิ๋นที่ยังอยู่ละแวกทางเข้าคลังสมบัติ

“ในคลังแห่งนี้มีทุกสิ่งอย่าง บ้างเป็นของล้ำค่าหายากทั่วๆ ไป บ้างเป็นวัสดุที่ใช้หลอมสร้างอาวุธและของวิเศษ นอกจากนี้ก็ยังมีเกราะคุ้มกาย โอสถลูกกลอน บุปผาสมุนไพรทิพย์ โลหิตสัตว์อสูร ไข่สัตว์วิเศษ แผนผังค่ายกล ตำราเคล็ดวิชาหายาก เป็นต้น”

ซูป๋ออวิ๋นย่างเท้าเดินหน้าไปได้ระยะหนึ่งจึงค่อยพบว่าซูเพียนจื่อไม่ได้อยู่ข้างกาย พอหันกลับไปมองก็เห็นนางอยู่ที่หน้าชั้นวางสำริดตัวแรกที่เมื่อครู่เขาดูผ่านมาแล้ว ในมือนางถือกำไลแขนทองเหลืองอร่ามตาอยู่วงหนึ่ง สีหน้าดูใจลอย ไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าเขากำลังพูดกับนางอยู่

ซูป๋ออวิ๋นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจอยู่บ้าง ท่าทางของซูเพียนจื่อผิดปกติยิ่ง นับตั้งแต่ออกจากลานกว้างหน้าโถงประชุมมา นางก็มีท่าทางใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้มาตลอด

“เจ้าสบายดีอยู่หรือไม่” ซูป๋ออวิ๋นเดินมาถึงตรงหน้าซูเพียนจื่อแล้วเอ่ยถาม

ซูเพียนจื่อสะท้านไปทั้งร่าง มีอาการคล้ายเพิ่งตื่นจากห้วงฝัน นางกระชับกำไลแขนทองเหลืองที่ถืออยู่ในมือวงนั้นให้แน่น ก่อนจะโพล่งตอบอีกอย่าง “ข้าอยากจะได้ชิ้นนี้”

นับตั้งแต่นางย่างเท้าเข้ามาในคลังสมบัติ ในที่สุดเสียงที่เคยแว่วอยู่ข้างหูนั้นก็เปลี่ยนเป็นสุดแสนจะแจ่มชัด มันกำลังพูดกับนางว่า ‘มาตรงนี้สิ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ หาข้าให้พบ แล้วข้าจะมอบพลังเหนือใครให้แก่เจ้า!’

นางเดินตามเสียงมาโดยไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็ได้เห็นกำไลแขนทองเหลืองวงนี้

เมื่อกุมมันไว้ในมือ นางก็เหมือนได้ยินเสียงพรูลมหายใจอย่างโล่งอกเป็นที่สุด ราวกับพลันเสาะพบส่วนที่ขาดหายไปจากร่างกายของตน ทำให้นางไม่อยากที่จะคลายมือจากมันอีกเลย

“กำไลแขนวงนี้น่ะหรือ” ซูป๋ออวิ๋นเหลือบตาไปอ่านคำบรรยายบนผนังสำริดข้างชั้นวาง มีอักษรบรรยายอย่างเรียบง่ายแค่เพียงไม่กี่ตัว…

 

‘กำไลแขนเจ็ดดารา ผู้มีวาสนาย่อมได้ครอง’

 

นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีคำชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอย วิธีใช้งาน หรือระดับอานุภาพของมันเลย

“ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่” ซูป๋ออวิ๋นไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับของชิ้นนี้นัก วิเคราะห์ตามหลักเหตุผลโดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่วางอยู่ด้านนอกใกล้กับทางเข้าคลังสมบัติมากที่สุดควรจะเป็นของที่มีคุณค่าต่ำที่สุด กำไลแขนทองเหลืองวงนี้แม้มีพลังอาคมแผ่ซ่านออกมาอยู่บ้าง ทว่าก็แสนจะอ่อนแรง ตามความรู้สึกของเขาแล้วอย่างมากมันก็เป็นได้แค่ของวิเศษระดับต่ำชิ้นหนึ่งเท่านั้น

ซูเพียนจื่อลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้ฝืนใจมอบกำไลแขนวงนั้นลงบนมือของซูป๋ออวิ๋น ทันทีที่กำไลแขนเพิ่งจะห่างจากมือของนางไป นางก็สัมผัสได้ว่าในใจท่วมท้นด้วยความรู้สึกโหวงเหวงอันรุนแรง ทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเหตุนี้ก็ทำให้หัวสมองของนางพลันได้สติ นึกขึ้นได้ว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่ตนเข้ามาในคลังสมบัติก็เพื่อจะตามหาไร้นาม

จะบอกว่ากำไลแขนวงนี้ก็คือไร้นามอย่างนั้นหรือ ล้อเล่นอะไรกัน หาง่ายเกินไปแล้วกระมัง

ซูเพียนจื่อแคลงใจยิ่งนัก เพราะรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้ต่ำจนแทบจะเป็นศูนย์

ให้ซูป๋ออวิ๋นผ่านตาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างไรฝูอวิ๋นก็เคยบอกว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถถือครองไร้นามได้ ต่อให้กำไลแขนวงนี้ใช่ไร้นามจริงๆ หากไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็นของเขา เขาก็ชิงเอาไปไม่ได้อยู่ดี

ซูป๋ออวิ๋นตั้งอกตั้งใจสัมผัสพลังอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ส่งคืนกำไลแขนแก่ซูเพียนจื่อ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว “เจ้าจะเอาชิ้นนี้จริงๆ น่ะหรือ เมื่อครู่ข้าถ่ายเทลมปราณเข้าไปทดสอบแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นแค่ของวิเศษระดับต่ำชิ้นหนึ่งเท่านั้น…”

เขาพยายามพูดอ้อมค้อมที่สุดแล้ว เมื่อครู่ลมปราณที่ถ่ายเทเข้าสู่กำไลแขนทองเหลืองวงนี้เหมือนเข้าไปในถ้ำที่ไร้ก้นบึ้ง กลวงโหวงไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น เขาก็นับเป็นผู้ที่เคยเห็นของวิเศษระดับสูงมาก่อน กำไลแขนวงนี้ดูคล้ายของวิเศษระดับสูงที่ชำรุดแล้วมากกว่า ชั่วขณะเขาจึงไม่อาจหาวิธีใช้งานมันได้

ในใจซูเพียนจื่อผิดหวังอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่อาจตัดใจวางกำไลแขนวงนี้คืนกลับไปอีก

ซูป๋ออวิ๋นมองออกว่าในใจนางกำลังต่อสู้ดิ้นรน เขาจึงเสนอว่า “หากเจ้าชอบก็ถือมันไว้ก่อนเถอะ คำชี้แจงบอกว่าผู้มีวาสนาย่อมได้ครองไม่ใช่หรือ หากอีกเดี๋ยวเจ้าพบสิ่งอื่นที่ชอบมากกว่า ค่อยสับเปลี่ยนชิ้นใหม่ก็ยังได้”

“อืม” ซูเพียนจื่อเองก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ถูกใจตนที่สุดแล้ว “ท่านล่ะตั้งใจจะเลือกอาวุธหรือว่าของวิเศษประเภทอื่น”

นางจำได้ว่ามีคนเคยเล่าว่าผลคะแนนวิชากลลวงของซูป๋ออวิ๋นธรรมดายิ่ง เขาฝึกวิชายุทธ์เป็นหลัก ภายหน้าจะมารับตำแหน่งองครักษ์ของสกุลซู ของวิเศษที่คนเช่นนี้จะเลือกย่อมต้องเป็นศัสตราวิเศษที่มีพลังโจมตีสูง นางก็สนใจจะไปดูอย่างมากเช่นกัน

“ก่อนมาอาจารย์บอกข้าว่าในคลังสมบัติมีของชิ้นหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับข้ามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกผู้อื่นหยิบฉวยไปก่อนแล้วหรือไม่” ซูป๋ออวิ๋นตอบ

“เช่นนั้นก็รีบไปดูกันเถอะ!” ซูเพียนจื่อแคลงใจอยู่บ้างว่าซูป๋ออวิ๋นย้ายมาอยู่กลุ่มสุดท้ายเพื่อนาง แต่นางก็รู้สึกว่าความคิดนี้ของตนออกจะหลงตัวเองเกินไป

ซูเพียนจื่อจับปลายด้านหนึ่งของฝักกระบี่ไว้เช่นเดิม จากนั้นซูป๋ออวิ๋นก็พานางเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปทันที เพียงครู่เดียวเท่านั้นนางก็มาถึงอีกฟากที่อยู่ด้านในสุดของคลังสมบัติแล้ว ความเร็วนั้นทำให้นางมองไม่ทันสักนิดว่าตนเดินทางมาไกลมากเพียงใด

ศิษย์คนอื่นๆ ก็อยู่ตรงนี้เช่นกัน แต่ละคนพอเห็นซูเพียนจื่อกับซูป๋ออวิ๋นก็ออกอาการเหมือนเผชิญหน้าศัตรูที่กล้าแข็ง

ภูมิหลังและพลังฝีมือของซูป๋ออวิ๋นแข็งแกร่งเกินไป หากเขาหมายตาของวิเศษชิ้นเดียวกับพวกตน พวกตนก็ไม่มีทางจะเป็นคู่แข่งของเขาได้เลย

ซูป๋ออวิ๋นไม่แม้แต่จะมองคนอื่นๆ พอเดินตรงไปถึงหน้าชั้นวางสำริดที่อยู่ริมซ้ายมือ เขาก็หยิบกระบี่ยาวไร้ฝักสีเงินยวงเล่มหนึ่งลงมาดีดนิ้วไปที่คมกระบี่เบาๆ ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยกับซูเพียนจื่อ “ที่อาจารย์พูดถึงก็คือ ‘กระบี่เกล็ดน้ำพุใส’ เล่มนี้ มันเหมาะกับ ‘วิชาวารีนิลกาฬ’ ที่ข้าฝึกปรืออยู่”

เมื่อเห็นว่าซูป๋ออวิ๋นมีเป้าหมายที่แน่ชัดอยู่แล้ว เหล่าศิษย์ที่อยู่แถวนี้ก็พลันโล่งอก และสงบใจค้นหาของวิเศษกันต่อ

“หืม? ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่” หลังจากซูเพียนจื่อหยิบกำไลแขนวงนั้นมาด้วย จิตใจและร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ ทั้งรู้สึกคล้ายมองสิ่งใดก็แจ่มชัดเป็นพิเศษ ชัดราวกับมองทะลุเนื้อแท้ของพวกมันได้ทีเดียว

ซูป๋ออวิ๋นส่งกระบี่เกล็ดน้ำพุใสให้นางอย่างไม่มีตะขิดตะขวง ซูเพียนจื่อรับมาพินิจพิจารณา ตัวกระบี่ดูงามประณีตเรียบหรู แผ่ซ่านกลิ่นอายอันเย็นเฉียบกระจ่างหมดจดจากภายในสู่ภายนอก กุมอยู่ในมือให้สัมผัสอ่อนช้อยพลิ้วไหวดุจมีชีวิต น่าจะเป็นศัสตราวิเศษที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ผู้อาวุโสใหญ่หานย่อมจะไม่หลอกลวงศิษย์สายตรงของตนเอง เขาสามารถเข้าออกคลังสมบัติแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ ศัสตราวิเศษที่คัดเลือกให้กับศิษย์ก็ต้องเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมมากที่สุดแล้วแน่นอน

ทว่า…ซูเพียนจื่อกุมกระบี่เล่มนั้นพลางเบนสายตาไปมองซูป๋ออวิ๋นอีกครั้ง นางรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง คล้ายมีบางอย่างพร่องไป หรือไม่ก็มีบางอย่างเกินมา สรุปคือมีความไม่สอดคล้องกันอยู่เล็กน้อย

นางคืนกระบี่ให้ซูป๋ออวิ๋นโดยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ตนเป็นคนนอกที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง อย่าไปแสดงความเห็นส่งเดชจะดีกว่า

“เจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมหรือ” ซูป๋ออวิ๋นเห็นนางขมวดคิ้วมีท่าทางกระอึกกระอักนิดๆ เข้าพอดี

“อืม แต่ข้าไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ ท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก” ซูเพียนจื่อหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะหมุนตัวไปดูสิ่งอื่นบนชั้นวาง

โอกาสที่จะได้เข้ามาในคลังสมบัติบนยอดเขามีน้อยแสนน้อย แม้พวกเขาจะหยิบฉวยของวิเศษออกไปได้เพียงชิ้นเดียว ทว่าก็ไม่เสียหายที่พวกเขาจะเปิดหูเปิดตาให้เต็มที่สักครั้ง

ซูเพียนจื่อมองซ้ายทีขวาที ยิ่งชมดูก็ยิ่งตื่นตกใจ นี่นางเป็นอะไรไปกันแน่ เหตุใดมองของวิเศษทุกชิ้นจึงให้ความรู้สึกคล้ายมองพวกมันทะลุปรุโปร่งได้ในปราดเดียว อีกทั้งนางยังรู้สึกได้อย่างรุนแรงว่าตนสามารถวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยและคุณสมบัติของพวกมันได้อย่างง่ายดาย

นางทดลองหยิบของวิเศษบางชิ้นไปให้ซูป๋ออวิ๋นประเมินดู ผลที่อีกฝ่ายบอกนางกับผลที่นาง ‘มองเห็น’ เองนั้นแทบจะไม่ต่างกัน

สายตาของนางเปลี่ยนเป็นเฉียบคมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนี่

แปลกจริงเชียว หรือว่าคุณสมบัติของกำไลแขนวงนั้นคือเพิ่มพูนพลังสายตา?

ซูเพียนจื่อเดินจากส่วนลึกสุดของคลังสมบัติมุ่งสู่ด้านนอก เดินไปพลางก็มองดูของวิเศษบนชั้นวางไปพลาง หวังว่าจะพบความรู้สึกบางอย่าง ที่บ่งบอกว่านั่นคือ ‘ไร้นาม’ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำสกุลซู ทว่าน่าเสียดายเดินมาเกือบสามเค่อแล้วนางก็ยังคงคว้าน้ำเหลว

หลังจากซูป๋ออวิ๋นพบเป้าหมายที่กำหนด เขาก็ค่อยๆ เดินชมสิ่งของชิ้นอื่นเป็นเพื่อนนางด้วยจิตใจอันผ่อนคลาย มีเพื่อนร่วมทางที่ทั้งรอบรู้และมีฝีมือในการประเมินของวิเศษพอตัวอยู่ข้างกายเช่นนี้ อารมณ์รุ่มร้อนลังเลของซูเพียนจื่อจึงบรรเทาเบาบางลงส่วนหนึ่ง

ทันใดนั้น…

“ท่านทดลองสิ่งนั้นดูสิ” ซูเพียนจื่อพลันเอ่ยกับซูป๋ออวิ๋น พลางชี้มือไปยังด้ามกระบี่เปล่าๆ ที่หลอมจากโลหะสีดำอันหนึ่งบนชั้นวางสำริดข้างๆ ตัวนาง

ทันทีที่นางเห็นด้ามกระบี่นี้ก็บังเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่ง รู้สึกว่ามันเหมาะกับซูป๋ออวิ๋นยิ่งนัก เหมาะสมยิ่งกว่ากระบี่เกล็ดน้ำพุใสในมือของเขาเล่มนั้นเสียอีก

ซูป๋ออวิ๋นนึกว่าซูเพียนจื่อคงอยากถามเขาอีกว่าด้ามจับที่ไร้ตัวกระบี่นี้มีอะไรพิเศษ ดังนั้นจึงยื่นมือไปหยิบมันลงมาทันทีโดยไม่โต้แย้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ถ่ายเทลมปราณกรอกเข้าสู่ด้ามกระบี่

รังสีกระบี่สีดำสนิทสายหนึ่งพลันสาดฉายออกมาจากด้ามกระบี่นั้น พร้อมด้วยเสียงมังกรคำรามที่แว่วประสานมารางๆ ดุจมีมังกรยักษ์ตัวหนึ่งทะยานฝ่าผิวน้ำขึ้นมาจากสระโบราณอันหนาวยะเยือก แผ่ซ่านพลังอำนาจหาใดเสมอเหมือน

สีหน้าของซูป๋ออวิ๋นเปลี่ยนวูบ เขารีบถอยปราดไปหลายก้าวแล้วเงื้อมือตวัดควงด้ามกระบี่ พาให้รังสีกระบี่พลิ้ววนไปตามใจนึก พลังคุกคามปานจะกวาดล้างพันกองทัพนั้นสะท้านขวัญราวมังกรเทพกู่ร้อง

รังสีกระบี่ที่เหินสะบัดแม้ไม่ได้มุ่งเป้าไปทางซูเพียนจื่อ กระนั้นก็ยังทำให้นางรู้สึกอกสั่นขวัญผวา

ซูป๋ออวิ๋นค่อยๆ หยุดท่าร่างแล้วลูบสัมผัสด้ามกระบี่นั้นด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ดูเหมือนด้ามกระบี่จะหลอมสร้างขึ้นจากเหล็กนิลเป็นหลัก ด้านบนมีเพียงลวดลายโบราณอันเรียบง่าย ขณะกุมอยู่ในมือให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและไพศาลไร้ขอบเขต

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเงยหน้ายิ้มพูดกับซูเพียนจื่อ “ข้าคิดว่าด้ามกระบี่นี้เหมาะสมกับข้ายิ่งกว่า”

คิดไว้ไม่ผิดเลย!

ซูเพียนจื่อลอบกระหยิ่มปลื้มปริ่มกับสายตาที่เฉียบคมของตน ขณะเดียวกันก็นึกฉงนสงสัยอยู่บ้าง…นี่คือผลจากกำไลแขนวงนั้นจริงๆ หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดนางจึงเสาะหาไร้นามให้กับตนเองไม่ได้เสียทีเล่า

ซูป๋ออวิ๋นเงยหน้ามองชื่อของด้ามกระบี่นี้ที่เขียนระบุอยู่บนผนังสำริด จากนั้นก็เอ่ยพึมพำออกมา “สระลึก…ที่แท้เจ้ามีนามว่ากระบี่สระลึก…” สีหน้าขณะที่เขาลูบไล้ด้ามกระบี่นั้นอ่อนโยนจริงใจหาใดเปรียบปาน ราวกับว่านั่นคือของวิเศษแสนล้ำค่าที่สุดของตน

ซูป๋ออวิ๋นเก็บกระบี่สระลึกไว้ ก่อนจะวางกระบี่เกล็ดน้ำพุใสเล่มนั้นลงบนพื้นโดยไม่ลังเลแม้สักนิด ประกายสีเงินเพียงวูบขึ้น กระบี่เงินอันงดงามเล่มนั้นก็อันตรธานจากสายตาของทั้งสอง และหวนคืนไปอยู่บนชั้นวางเดิมของมันในทันที

“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเสาะพบศัสตราวิเศษที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ข้า สายตาของเจ้าช่างเฉียบคมยิ่งนัก” ซูป๋ออวิ๋นพบอาวุธที่เหมาะมือแล้วจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

ซูเพียนจื่อคลี่ยิ้มตอบ “แค่บังเอิญเท่านั้น พวกเราชมดูอย่างอื่นกันต่อเถอะ” สีหน้าของนางผ่อนคลาย ทั้งที่ในใจรุ่มร้อนแทบตายอยู่แล้ว อีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อก็จะถึงเวลาที่กำหนด ทว่านางยังคงไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับไร้นามเลยสักนิด จะทำอย่างไรดีเล่า

ซูเพียนจื่อร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า ทว่าเวลาก็ยังคงแล้งน้ำใจล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะ” ซูป๋ออวิ๋นเอ่ยเตือนแม้จะหักใจไม่ได้อยู่บ้าง

“ชิ้นที่อยู่ข้างหน้านั่น!” ซูเพียนจื่อกวาดสายตาไปยังชั้นวางที่อยู่ด้านหน้า นางเห็นได้รางๆ ว่ามีไอหมอกสีทองจางๆ กระหวัดวนอยู่บนมีดสั้นหินแก้วสีม่วงเล่มหนึ่ง จึงรีบสาวเท้าวิ่งปราดไปคว้าขึ้นมาพิเคราะห์อย่างละเอียด

“มีดสั้นเล่มนี้ถึงกับไม่มีชื่อ” ซูป๋ออวิ๋นมองคำบรรยายที่อยู่บนผนังสำริดแล้วเอ่ยอย่างแปลกใจ

ไม่มีชื่อ?!

หัวใจของซูเพียนจื่อสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

มันจะใช่…ไร้นามหรือไม่!

“ท่านช่วยดูให้ข้าเร็วเข้า!” ซูเพียนจื่อส่งมีดสั้นให้ซูป๋ออวิ๋นพลางเอ่ยเร่ง

ซูป๋ออวิ๋นกุมมีดสั้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เนื้อสัมผัสของมีดสั้นเล่มนี้…คล้ายคลึงกับคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงยิ่งนัก…”

ซูเพียนจื่อเอ่ยเสียงสั่น “ท่านแน่ใจนะ?”

คันฉ่องมายาจันทร์ม่วง ไร้นาม และคทาเทพลวงได้รับการขนานนามร่วมกันว่าเป็นสามสุดยอดของวิเศษสกุลซู ในจำนวนนี้ไร้นามคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีฐานะสูงส่งกว่าอีกสองชิ้นที่เหลือ กระทั่งประมุขแต่ละรุ่นก็ยังมีน้อยคนที่มันยอมรับเป็นเจ้าของ

แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งสามชิ้นก็ล้วนเป็นของวิเศษที่ตกทอดมาจากเทพเจ้าแห่งกลลวงบรรพชนของสกุลซูตั้งแต่ยุคบรรพกาล ดังนั้นระหว่างของทั้งสามชิ้นจึงน่าจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง หากวัสดุที่ใช้หลอมสร้างมีดสั้นเล่มนี้ใกล้เคียงกับคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่มันจะเป็นไร้นาม

หลังจากพิจารณาซ้ำอีกหน ซูป๋ออวิ๋นก็ส่งมีดสั้นคืนให้ซูเพียนจื่อแล้วเอ่ยปนยิ้มเฝื่อน “ข้าเองก็ไม่อาจแน่ใจได้ทั้งหมด”

“นอกจากวัสดุแล้ว ท่านรู้สึกว่ามีดสั้นเล่มนี้มีอะไรที่แตกต่างบ้างหรือไม่ เช่น สามารถเปล่งประกายแสงบางอย่างออกมา หรือสามารถนับเป็นศัสตราวิเศษระดับใด” ซูเพียนจื่อซักไซ้

“ประกายแสง? ไม่เห็นมีนะ ข้ารู้สึกเพียงว่าระดับขั้นของมันน่าจะสูงมากๆ อาศัยพลังวัตรของข้าในตอนนี้ไม่อาจตัดสินระดับขั้นของมันได้เลย แต่ข้าสามารถพูดอย่างแน่ใจว่าอานุภาพของมันกล้าแข็งกว่ากระบี่สระลึกไม่ต่ำกว่าร้อยเท่า ข้าคิดภาพไม่ออกเลยว่าบุคคลเช่นไรจึงจะปลุกพลังทั้งหมดของมันออกมาได้” ซูป๋ออวิ๋นมองมีดสั้นหินแก้วสีม่วงเล่มนั้นอย่างอิจฉาอยู่บ้าง ของวิเศษแม้จะดีงาม ทว่าน่าเสียดายที่ไม่สอดคล้องกับวิชาและธาตุพรสวรรค์ของเขา

ซูป๋ออวิ๋นมองไม่เห็นประกายทองที่ปกคลุมอยู่บนมีดสั้น? เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เด่นชัดออกปานนี้ หรือว่าจะมีนางมองเห็นเพียงคนเดียว?

ซูเพียนจื่อกุมมีดสั้นหินแก้วสีม่วงไว้ขณะที่จิตใจจมดิ่งอยู่กับสงครามทางความคิด ตอนนี้เหลือเพียงชั่วเวลาที่สั้นแสนสั้นก็จะครบกำหนดเวลาแล้ว นางจะเลือกมีดสั้นเล่มนี้ที่ไม่ว่ารูปลักษณ์หรืออานุภาพก็ล้วนเหมาะสมจะเป็นไร้นามยิ่งกว่า หรือว่าจะเลือกกำไลแขนทองเหลืองที่ทุกด้านล้วนดูแสนจะธรรมดาสามัญวงนั้น

นางหยิบกำไลแขนทองเหลืองออกมา มือกุมของวิเศษไว้ข้างละหนึ่งชิ้น พลางมองไปทางซูป๋ออวิ๋นด้วยแววตาที่สับสนอยู่บ้าง นางอาจมีโอกาสแค่เพียงครั้งเดียวนี้เท่านั้น!

เสียงระฆังหนึ่งหนดังมาจากส่วนลึกของคลังสมบัติแล้ว นี่คือเสียงเตือนว่าเวลาครึ่งชั่วยามสำหรับเสาะหาของวิเศษกำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นเป็นหนที่สาม ทุกคนในคลังสมบัติจะถูกบังคับส่งตัวออกไปทั้งหมด

บนปลายจมูกของซูเพียนจื่อผุดหยาดเหงื่อเล็กๆ ขึ้นหยดแล้วหยดเล่า นางเหลือเวลาที่จะลังเลกับทางเลือกของตนอยู่อีกไม่เท่าไรแล้ว

เหง่ง!

เสียงระฆังหนที่สองดังมา…

มีอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งที่ซูเพียนจื่อคิดจะลองเสี่ยงเก็บของวิเศษทั้งสองชิ้นเข้าไปในดอกซวีหมี ดูว่าจะนำออกไปทั้งคู่ได้หรือไม่ ทว่าเมื่อนึกถึงคำเล่าลือต่างๆ ที่ได้ยินก่อนจะเข้ามาเกี่ยวกับอาคมกักกันของคลังสมบัติว่ารุนแรงโหดเหี้ยมมากเพียงใด นางก็ได้แต่เลิกล้มความคิด

ก่อนหน้านี้ผู้ที่สามารถเข้ามาในคลังสมบัติได้ล้วนเป็นมือดีในหมู่มือดีของสกุลซู ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เคยคิดใช้ ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ มาลอบเก็บของวิเศษออกไปสักหลายๆ ชิ้น ทว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่แม้แต่จะเอ่ยเตือนถึงเรื่องนี้ ยิ่งไม่ได้ตรวจสอบว่านางกับศิษย์คนอื่นๆ พก ‘ของวิเศษเก็บทรัพย์’ เข้ามาด้วยหรือไม่ นี่ก็ยืนยันชัดแล้วว่าวิธีนี้ใช้การไม่ได้

ขืนนางริอ่านดึงดัน ก็มีแต่ทางตายสถานเดียวเป็นแน่

ซูเพียนจื่อขบกรามกรอด ไม่ว่าจะมองอย่างไรมีดสั้นหินแก้วสีม่วงเล่มนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นไร้นามมากกว่ากำไลแขนทองเหลือง ทางเลือกอย่างมีสติสัมปชัญญะมากที่สุดคือควรจะวางกำไลแขนลงแล้วเก็บมีดสั้นเอาไว้

ขณะที่นางคิดจะคลายมือซ้ายละทิ้งกำไลแขนทองเหลืองวงนั้น นางก็พลันนึกถึงถ้อยคำที่ฝูอวิ๋นเคยพูดก่อนจะขึ้นเขา… ‘จงใช้ใจสัมผัสอย่างเชื่อมั่นในตนเอง’

สาวน้อยมองกำไลแขนทองเหลืองอีกครั้ง นางจำต้องยอมรับว่าในบรรดาสิ่งของมากมายที่ได้เห็นในคลังสมบัติแห่งนี้ มีเพียงกำไลแขนทองเหลืองที่ทำให้นางรู้สึกได้มากที่สุด มีดสั้นหินแก้วสีม่วงแม้จะดีมากเช่นกัน ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกผูกพันอย่างขาดไม่ได้ที่มาจากส่วนลึกของจิตใจ

เหง่ง!

เสียงระฆังหนที่สามดังขึ้นแล้ว ซูเพียนจื่อเพียงรู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าเบาวูบ จากนั้นทั้งตัวก็จมลงสู่ด้านล่าง

ชั่วอึดใจสุดท้าย…ในที่สุดนางก็คลายมือขวาออกอย่างเด็ดเดี่ยว…

แสงสีม่วงฉายวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตา ซูเพียนจื่อพบว่าตนกับซูป๋ออวิ๋นรวมทั้งศิษย์ที่ร่วมกลุ่มเดียวกันอีกเจ็ดคนล้วนมายืนอยู่ที่ด้านนอกของศาลารับลมขนาดย่อมหลังเดิมนั้นแล้ว

นอกจากผู้อาวุโสสี่หลี่ ผู้อาวุโสใหญ่หานก็อยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นศิษย์กลุ่มสุดท้ายล้วนออกมาอย่างปลอดภัย ผู้อาวุโสสี่หลี่ก็โพล่งถามขึ้นทันที “เมื่อครู่พวกเจ้าอยู่ข้างในเลือกสิ่งใดออกมากันบ้าง”

ซูเพียนจื่อลังเลเล็กน้อยขณะมองไปที่สองมือของตน มีดสั้นหินแก้วสีม่วงที่เปล่งประกายทองอร่ามเล่มนั้นไม่อยู่แล้ว คงเหลือแต่กำไลแขนทองเหลืองที่ดูแสนจะธรรมดาสามัญในมือซ้าย…สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเชื่อในความรู้สึกของตนเอง

เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ล้วนแสดงของวิเศษที่พวกเขาเลือกออกมาแต่โดยดี นางจึงค่อยชูกำไลแขนทองเหลืองในมือของตนบ้าง

นอกจากกระบี่สระลึกของซูป๋ออวิ๋นที่ดูทั้งสงบนิ่งทั้งเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่งแล้ว สิ่งที่ศิษย์คนอื่นๆ เลือกมาทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของวิเศษระดับสูงที่แผ่พลังคุกคามผู้อื่นทั้งสิ้น กำไลแขนทองเหลืองของซูเพียนจื่อวงนั้นแม้เปล่งแสงทองมลังเมลืองดูจับตาไม่ใช่น้อย ทว่าในสายตาของผู้เชี่ยวชาญแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินในหมู่หยกน้ำงาม

ผู้อาวุโสสี่หลี่กวาดมองปราดหนึ่งไม่พบเห็นสิ่งใดพิเศษ จึงประสานมือคำนับผู้อาวุโสใหญ่หานแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”

ผู้อาวุโสใหญ่หานผงกศีรษะรับ จากนั้นจึงรั้งซูเพียนจื่อกับซูป๋ออวิ๋นไว้แล้วให้ศิษย์คนอื่นๆ แยกย้ายกันจากไป

เขานิ่งมองกำไลแขนทองเหลืองในมือของซูเพียนจื่ออยู่พักหนึ่งจึงค่อยเอ่ยถาม “กำไลแขนวงนี้มีชื่อว่าอะไร เหตุใดเจ้าจึงได้เลือกมัน” หากต้องใช้คำพูดสักประโยคมาพรรณนาสีหน้าขณะที่เขาสอบถาม เช่นนั้นก็ต้องบอกว่าทั้งคาดหวังทั้งหวั่นว่าจะเจ็บปวด ดูเคร่งเครียดจนแปลกพิกลอยู่บ้าง

ซูเพียนจื่อประหลาดใจยิ่งนัก เรื่องที่เขาควรจะไปสนใจก่อนก็คือเหตุใดศิษย์ของตนจึงเลือกด้ามกระบี่ที่ไม่สะดุดตามาแทนกระบี่เกล็ดน้ำพุใสไม่ใช่หรอกหรือ

นางรู้สึกดีกับผู้อาวุโสใหญ่หานและศิษย์ของเขาอยู่พอสมควร เมื่อได้ยินคำถามจึงตอบอีกฝ่ายไปว่า “กำไลแขนวงนี้มีชื่อว่ากำไลแขนเจ็ดดาราเจ้าค่ะ…”

“อะไรนะ เจ็ด…เจ็ดดาราหรือ เจ้าส่งมาให้ข้าดูเร็วเข้า!” ไม่รอให้นางพูดจบผู้อาวุโสใหญ่หานก็ตื่นเต้นจนแทบจะคว้ากำไลแขนบนฝ่ามือของนางมาด้วยวิธียื้อแย่ง ท่าทางราวกับได้เห็นสิ่งล้ำค่าที่ยากจะพบพานบนโลกนี้

กำไลแขนทองเหลืองมีความหนาราวหนึ่งนิ้วมือ บนพื้นผิวสีทองมีลายเมฆซ่อนอยู่จางๆ กับแต้มดาวเล็กๆ ที่ไม่เด่นชัดอีกเจ็ดจุด ซึ่งเรียงตัวกันตามตำแหน่งของกลุ่มดาวกระบวยเหนือ เจ็ดดวง หากไม่พินิจพิจารณาอย่างละเอียดก็ยากที่จะค้นพบได้

“เจ็ดดารา…วงแหวน…หึๆ จริงด้วย…เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” รอยยิ้มบนใบหน้าชราของผู้อาวุโสใหญ่หานผลิบานดุจดอกเบญจมาศ ตื่นเต้นยินดีจนผิดแผกจากยามปกติอย่างยิ่ง

นี่มันเรื่องอะไรกัน ซูเพียนจื่อนึกฉงนยิ่งนัก ซูป๋ออวิ๋นเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ผู้เคร่งครัดเคร่งขรึมของตนเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ต่อหน้าพวกตนสองคนที่เป็นผู้เยาว์อีกด้วย

ถึงอย่างไรผู้อาวุโสใหญ่หานก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อน ไม่ช้าเขาก็กดข่มอารมณ์ตื่นเต้นลงไปได้ เมื่อส่งคืนกำไลแขนทองเหลืองแก่ซูเพียนจื่ออย่างทะนุถนอมแล้ว เขาก็เอ่ยว่า “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่จะสนทนากัน พวกเจ้าตามข้ามาเถอะ”

แววตาที่เขาใช้มองพิจารณาซูเพียนจื่อนั้นดูอ่อนโยนและปลื้มใจจนทำให้หนังศีรษะของนางชาหนึบ ผู้ที่ไม่รู้อาจนึกไปว่านางต่างหากที่เป็นศิษย์สายตรงของเขา

ผู้อาวุโสใหญ่หานพาหนุ่มสาวทั้งสองกลับไปยังถ้ำที่พักของตน เมื่อโบกมือสั่งให้ศิษย์และข้ารับใช้ทั้งหมดถอยออกไปแล้ว เขาก็พาทั้งสองไปจนถึงด้านในของห้องศิลาขนาดเล็กที่เร้นลับแห่งหนึ่ง

ประมุขซูถิงหยวนถึงกับนั่งคอยอยู่ในห้องแล้ว

ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่หานฉาบด้วยความยินดีปรีดาขณะเดินขึ้นหน้าไปกล่าวรายงาน “คุณหนูเพียนจื่อนาง…นางเลือกกำไลแขนเจ็ดดาราขอรับ”

“กำไลแขน…เจ็ดดารา?!” ซูถิงหยวนสะท้านไปทั้งร่าง สองตาสาดประกายเฉียบคมไปจับจ้องซูเพียนจื่อแน่วนิ่ง

เขารีบกวักมือเป็นความหมายให้นางเดินขึ้นหน้ามา “เอาของวิเศษที่เจ้าเลือกมาให้ข้าดูซิ” น้ำเสียงของเขาไม่ต่างกับผู้อาวุโสใหญ่หาน นอกจากจะเจือด้วยความตื่นเต้นระคนปลื้มปีติอย่างไม่อาจข่มกลั้นได้แล้ว ยังถึงขั้นสั่นเครือเล็กน้อยด้วย

มาถึงตอนนี้ซูเพียนจื่อแน่ใจเจ็ดแปดส่วนแล้วว่ากำไลแขนที่ตนเลือกวงนี้ก็คือไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซูนั่นเอง ไม่เช่นนั้นด้วยฐานะของซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หาน ไม่มีทางจะตื่นเต้นหวั่นไหวถึงเพียงนี้แน่

ในที่สุดนางก็จะได้ข่าวคราวของบิดามารดาและคลายผนึกบนร่างแล้วใช่หรือไม่ ซูเพียนจื่อผู้เคยเผชิญกับความหวังและพลาดหวังมาหลายครั้งเหลือเกินแล้วนั้นไม่ค่อยกล้าที่จะเชื่อในโชคของตนเท่าไรนัก

นางยื่นส่งกำไลแขนทองเหลืองออกไปเงียบๆ แล้วรอคอยซูถิงหยวนบอกคำตอบสุดท้ายแก่นาง

“น่าจะเป็นมันนั่นเอง…ทว่าก็มีความต่างอยู่บ้าง…” ซูถิงหยวนพลิกดูกำไลแขนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะพึมพำกับตนเอง

ซูเพียนจื่อหวิดจะกระอักเลือดออกมาทีเดียว

ท่านอาวุโส ท่านจะพูดตรงๆ มาเลยได้หรือไม่ อย่าพูดกำกวมเช่นนี้เลยขอร้อง ทำให้ข้าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ มันน่าสนุกนักหรือ!

ยังดีที่ผู้อาวุโสใหญ่หานถามรัวติดกันด้วยความร้อนใจยิ่งกว่านางเสียอีก “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ เป็นอย่างไร”

ซูถิงหยวนขมวดคิ้วตอบ “มันดูคล้ายวงแหวนที่ข้าเห็นจากนิมิตในคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงยิ่งนัก ลวดลายเจ็ดดารานี้ก็เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างขาดหายไป คล้ายว่ามันยังไม่สมบูรณ์”

ซูเพียนจื่อใคร่ครวญอยู่ในใจก่อนจะแสร้งถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “กำไลแขนวงนี้สำคัญมากหรือเจ้าคะ”

ซูถิงหยวนมองนางอย่างลึกซึ้งก่อนกล่าว “เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร ไม่ต้องเสแสร้งหรอก”

จิ้งจอกเฒ่า! ซูเพียนจื่อถูกอีกฝ่ายทำให้ตกใจไม่ใช่น้อย สมแล้วที่เป็นประมุขแห่งตระกูลสิบแปดมงกุฎ ตบตาไม่ได้ง่ายๆ เลยจริงๆ!

ว่าแต่ที่แท้นางเผยพิรุธตรงไหนกันแน่นะ

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่มีพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น แต่แค่ถูกข้าขู่ขวัญหน่อยเดียวเท่านั้น แววตาก็เผยความผิดปกติในทันที” ซูถิงหยวนเอ่ยกลั้วหัวเราะ จิ้งจอกน้อยคิดมาเสแสร้งต่อหน้าเขายังอ่อนหัดเกินไป

หู่หลี่ฝากบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไว้ให้พวกเราสกุลซู ช่างดียิ่งนัก!

ซูถิงหยวนมองท่าทางกระอักกระอ่วนของหลานสาวอย่างภูมิอกภูมิใจ พลางลูบเครายาวของตนเบาๆ และอมยิ้ม

เขาไม่ต้องกังวลใจเรื่องที่ซูเพียนจื่อไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์อีกแล้ว เพราะในเมื่อไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซูเลือกนาง เช่นนั้นนางก็ไม่มีทางเป็นผู้อ่อนแออย่างแน่นอน ต่อจากนี้ก็เพียงรอดูว่าไร้นามจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางอย่างไรเท่านั้น

สองผู้เฒ่ากับหนึ่งผู้เยาว์ต่างนิ่งเงียบอย่างรู้ใจกัน มีเพียงซูป๋ออวิ๋นที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังใบ้ปริศนาอะไรอยู่กันแน่

ซูถิงหยวนอารมณ์ดียิ่ง เขาเบนสายตาไปมองซูป๋ออวิ๋นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แล้วเจ้าเล่าเลือกของดีอะไรมาจากในคลังสมบัติ”

แม้ซูป๋ออวิ๋นเป็นเพียงหลานชายห่างๆ ของเขา ทว่าก็ได้รับความสำคัญจากเขาตั้งแต่เล็ก เขารักถนอมและให้การดูแลอีกฝ่ายยิ่งกว่าเป็นหลานชายแท้ๆ เสียอีก ในยามที่เบิกบานใจเช่นนี้เขาย่อมจะแสดงความห่วงใยไถ่ถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายได้มา

ในมุมมองของผู้อาวุโสหลายคน ซูถิงหยวนเปิดคลังสมบัติในครั้งนี้ก็เพื่อจะเพิ่มพูนฝีมือของเหล่าศิษย์ ให้พวกเขาสามารถสำแดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ จากนั้นจึงจะคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นเป็นเลิศมาเป็นผู้สืบทอดของถ้ำพันจิ้งจอก

ทว่าความจริงการประเมินเหล่าศิษย์ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเลือกของวิเศษกันแล้วต่างหาก

คนผู้หนึ่งสุดท้ายแล้วจะสำเร็จการใหญ่ได้หรือไม่นั้น ความสามารถ สติปัญญา และอุปนิสัยใจคอล้วนแต่สำคัญยิ่ง ทว่ายังมีปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ไม่อาจขาดตกบกพร่องไปเป็นอันขาด นั่นก็คือโชควาสนา

คลังสมบัติสกุลซูหากจะชมดูอย่างละเอียดจริงจัง ต่อให้ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็ยังไม่แน่ว่าจะชมดูได้หมดสิ้น การให้เหล่าศิษย์เลือกของวิเศษจากในคลัง นอกจากทดสอบสายตาของพวกเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องดูที่โชค ดูว่าพวกเขาจะโชคดีพบเจอสิ่งที่เหมาะสมและมีคุณค่ากับตนเองมากที่สุดได้หรือไม่

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในคลังสมบัติ อย่างมากก็พิจารณาของวิเศษอย่างละเอียดได้ไม่กี่สิบชิ้น หากในจำนวนนั้นไม่มีสิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขาเป็นพิเศษจริงๆ เช่นนั้นก็ได้แต่ถอนใจให้กับความอับโชคของตนเท่านั้น

แน่นอนว่าศิษย์แต่ละคนเลือกของวิเศษอะไรไปบ้างล้วนต้องลงบันทึกเพื่อส่งมอบถึงมือของซูถิงหยวน

เพียงแต่นี่เป็นเรื่องของวันพรุ่ง ในเมื่อตอนนี้ซูป๋ออวิ๋นก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ถามอีกฝ่ายโดยตรงเสียเลยก็สิ้นเรื่อง

ซูป๋ออวิ๋นหยิบกระบี่สระลึกออกมาแล้วประคองขึ้นด้วยสองมือ ถึงตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่หานจึงได้เห็นของวิเศษที่ผู้เป็นศิษย์เลือกมาชัดถนัดตาอย่างแท้จริง ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าต้องเอ่ยถามอีกฝ่าย

“เหตุใดเจ้าจึง…” ทว่าคำพูดเอ่ยออกมาเพียงครึ่งเดียว เขาก็ข่มใจไว้ไม่ได้เอ่ยต่อ

สิ่งที่เขาทำคือการช่วยศิษย์โกงอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าผู้อาวุโสที่เหลือรวมไปถึงท่านประมุขต่างก็ลอบให้การดูแลบุตรหลานคนใกล้ชิดของตน โดยบอกพวกเขาว่าควรไปที่จุดไหนหาของวิเศษชิ้นใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ทว่าเรื่องนี้ย่อมไม่งามที่จะพูดเปิดโปงออกมาต่อหน้า

พอดีซูถิงหยวนกำลังจับจ้องด้ามกระบี่นั้นตาไม่กะพริบ จึงไม่ทันใส่ใจว่าผู้อาวุโสใหญ่หานพูดอะไร

“กระบี่สระลึก…นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอยู่ในมือของเจ้าได้ เจ้าเลือกมันมาได้อย่างไร” ซูถิงหยวนพรูลมหายใจยาวก่อนกล่าว

หากเมื่อครู่เขายังคลางแคลงในตัวกำไลแขนทองเหลืองวงนั้นอยู่บ้าง ตอนนี้เขาก็สามารถแน่ใจในฐานะของมันได้เต็มร้อยเสียที

“นี่คือกระบี่สระลึกอย่างนั้นหรือ!” ปากของผู้อาวุโสใหญ่หานแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้สองฟองเลยทีเดียว

หลังจากซูป๋ออวิ๋นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคลังสมบัติออกมารอบหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่หานก็มีท่าทีเช่นผู้ที่พลันตระหนักได้ เขาตบหน้าผากตนเองแล้วเอ่ยขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า มิน่า!”

ซูถิงหยวนส่งกระบี่สระลึกคืนให้ซูป๋ออวิ๋นก่อนกล่าว “เป็นลิขิตฟ้าจริงๆ…”

คราวนี้ปริศนาที่ผู้เฒ่าทั้งสองใบ้คำกัน แม้กระทั่งซูเพียนจื่อก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว

ซูถิงหยวนแสดงท่าทีให้ผู้เยาว์สองคนนั่งลง “ในเมื่อพวกเจ้าล้วนเป็นผู้ที่เทพเจ้าแห่งกลลวงคัดเลือกไว้ เช่นนั้นก็มีหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องปิดบังพวกเจ้าอีก” เขาพูดพลางส่งสายตาให้ผู้อาวุโสใหญ่หาน เป็นความหมายให้อีกฝ่ายบอกเล่าที่มาที่ไปแก่ผู้เยาว์ทั้งสอง

ผู้อาวุโสใหญ่หานกระแอมให้โล่งคอ ก่อนจะตัดสินใจเริ่มเล่าจากของวิเศษที่ทั้งสองได้มาในวันนี้…

ทุกผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าสกุลซูคือชนรุ่นหลังของเทพเจ้าแห่งกลลวง ในสมัยบรรพกาลเหล่าเซียนไม่ได้แบ่งแยกเป็นฝ่ายธรรมะกับอธรรมแต่อย่างใด เทพเจ้าแห่งกลลวงก็คือสมญานามของเซียนไร้จริง ผู้ถูกจัดเป็นสามอันดับแรกในหมู่เซียนทั้งหลาย และมีฐานะที่สูงส่งเหนือใคร

เซียนไร้จริงมีสุดยอดของวิเศษอยู่สามชิ้น ซึ่งนับไร้นามเป็นอันดับหนึ่ง

ไร้นามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ตัวตน ดังนั้นมันจึงไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน และไม่มีแม้กระทั่งประโยชน์ใช้สอยกับวิธีใช้งานที่ตายตัว มันแปรเปลี่ยนได้สารพัน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ถือครองมันจะนำไปปรับใช้อย่างไร

ของวิเศษอีกสองชิ้นก็คือคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง กับคทาเทพลวงซึ่งมีอีกนามว่า ‘คทาแปรสภาพ’ ชิ้นแรกสามารถส่องเห็นตัวตนที่แท้กับหัวใจจริงของคนผู้หนึ่ง รวมถึงมองทะลุอดีตกับอนาคตของคนผู้นั้น ส่วนชิ้นหลังแท้จริงแล้วเป็นศัสตราวิเศษ ต่อมาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของประมุขสกุลซู

ตระกูลโบราณบนดินแดนพันเมฆาทุกตระกูลล้วนมีสุดยอดของวิเศษที่ตกทอดมาจากเซียนบรรพชนของตน และสุดยอดของวิเศษสกุลซูก็คือไร้นามอย่างไม่ต้องสงสัย

เทพเจ้าแห่งกลลวง หรือก็คือเซียนไร้จริงนั้นมีบริวารเป็นเซียนผู้พิทักษ์เบื้องซ้ายกับเบื้องขวา พวกเขาต่างก็ถือครองของวิเศษหนึ่งชิ้นที่เซียนไร้จริงเป็นผู้ประทานให้ ชิ้นหนึ่งมีนามว่าสระลึก ซึ่งบัดนี้อยู่ในมือของซูป๋ออวิ๋น อีกชิ้นมีนามว่าร่องวารี ซึ่งยังไม่รู้ว่าตกอยู่กับผู้ใด

ของวิเศษทั้งสองแม้ไม่มีอานุภาพที่จะแปรเปลี่ยนได้สารพันเช่นเดียวกับไร้นาม ทว่าทุกครั้งที่ปรากฏตัวก็ล้วนมีรูปลักษณ์ที่ผิดไปจากเดิมอยู่บ้าง

อย่างเช่นกระบี่สระลึกคราวก่อนปรากฏตัวในรูปของกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของคือผู้อาวุโสใหญ่สักรุ่นของสกุลซู ส่วนประมุขสกุลซูที่เขาสนับสนุนค้ำจุนก็คือเจ้าของคนก่อนของไร้นามนั่นเอง

การปรากฏตัวครานี้มันกลับกลายเป็นด้ามกระบี่สีดำสนิทไปแล้ว และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ…ซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หานต่างเข้าออกคลังสมบัติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าล้วนไม่เคยพบเห็นร่องรอยของมันมาก่อนเลย

ส่วนร่องวารีนั้นเป็นพู่กันด้ามหนึ่ง คราวก่อนปรากฏตัวในรูปของพู่กันตุลาการสีดำวาววับ ไม่รู้ว่าครานี้จะปรากฏตัวใหม่ในรูปลักษณ์ใด

ซูป๋ออวิ๋นฟังอาจารย์ของตนแนะนำจนจบก็ตะลึงมองกำไลแขนในมือของซูเพียนจื่ออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตามามองกระบี่สระลึกที่อยู่ในมือของตน ครู่ใหญ่เขาจึงได้เอ่ยออกมาอย่างไม่กล้าเชื่อ

“นะ…นั่นก็คือไร้นาม?! ส่วนนี่…คือกระบี่สระลึก?!”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: