บทที่ 1
ปีที่ยี่สิบสี่รัชศกเฉียนเต๋อแห่งราชวงศ์ต้าผิงได้ถูกกำหนดให้เป็นปีที่ต่างไปจากปกติธรรมดา
ชุนจื้อ เพิ่งผ่านไป ข่าวสามข่าวที่แพร่มาจากเมืองหลวงก็ทำให้สิบเก้าเมืองและอำเภอของเฉาอันเป่ยลู่โกลาหลราวกับโจ๊กหม้อหนึ่ง ขึ้นมาทันที หัวถนนท้ายตรอกโรงน้ำชา หอสุรา ทุกหนแห่งล้วนมีแต่คนพูดถึงกันไม่หยุด
เรื่องที่หนึ่ง…ฮ่องเต้หญิงมีราชโองการตอบรับคำร้องขอของทูตแห่งแคว้นเป่ยเจี่ยน เปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้าที่ชายแดนหลายเมืองระหว่างสองแคว้น ในจำนวนนั้นลำพังเฉาอันเป่ยลู่มณฑลเดียวก็ครอบครองไปถึงแปดเมืองเต็มๆ แล้ว
เรื่องที่สอง…การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ ระดับมณฑลของสตรีในครั้งนี้กำลังจะเริ่มขึ้น ราชสำนักได้แต่งตั้งราชบัณฑิตเสิ่นผู้เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาทซึ่งความเรียงของเขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีมาที่เฉาอันเป่ยลู่เพื่อจัดการการสอบ หลังจากเคยดำรงตำแหน่งรองผู้คุมสอบของกรมพิธีการในการสอบเอินเคอ ของสตรีครั้งแรกสุดตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นี่นับเป็นครั้งแรกที่ราชบัณฑิตเสิ่นเป็นฝ่ายทูลขอราชโองการ ยินดีที่จะทุ่มเทกำลังเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบจิ้นซื่อของสตรี
เรื่องที่สาม…พระโอรสเพียงพระองค์เดียวของฮ่องเต้หญิง องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าผิงที่ประชาราษฎร์ต่างจับตามอง กำลังจะแต่งตั้งพระชายาแล้ว
ข่าวสารสามเรื่องที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยแพร่กระจายมาพร้อมกัน ทำให้อารมณ์ฝูงชนชาวเฉาอันที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาเป็นเวลานานเหล่านี้พลุ่งพล่านสั่นไหว ทางหนึ่งก็ถูไม้ถูมือเตรียมจะทำกำไรก้อนโตจากตลาดแลกเปลี่ยนการค้าในวันหน้า ทางหนึ่งก็ชะเง้อคอเฝ้ารอที่จะได้เห็นราชบัณฑิตเสิ่นผู้นั้นที่เล่าลือกันว่ารูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร อีกทางหนึ่งก็แอบคาดเดาด้วยไม่รู้บุตรสาวผู้มีบรรดาศักดิ์ระดับอ๋องระดับกงบ้านใดจะมีบุญวาสนายิ่งใหญ่ ได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทและถูกแต่งตั้งเป็นพระชายา…
และในสำนักศึกษาสตรีที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำทางตะวันตกของเมืองชงโจว มณฑลเฉาอันเป่ยลู่แห่งนั้น เหล่าสตรีที่สวมหมวกสูงเสื้อสีเรียบตัวหลวม แต่ละคนก็ยิ่งพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระซิบกระซาบกันไม่หยุดปาก…
“ข้าว่านะ ราชโองการของราชสำนักเกี่ยวกับการเปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างสองแคว้นในครั้งนี้ไม่เรียบง่าย การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลของสตรีในครั้งนี้ก็กำลังจะเริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นหัวข้อในการสอบอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้…” สตรีผู้หนึ่งมือถือพู่กัน กำลังพูดกับคนที่อยู่ด้านข้างอย่างจริงจัง
เพียงแต่ไม่ทันรอให้นางได้พูดจบ ก็มีสตรีที่สวมกระโปรงสีครามคนหนึ่งกระโดดพรวดขึ้นมา โวยวายด้วยความไม่พอใจ “นี่มันเวลาอะไรแล้ว เจ้ายังจะคิดถึงเรื่องหัวข้อสอบนั่นอีก?! ไม่ได้ยินหรือว่าคนที่จะมาเฉาอันเป่ยลู่จัดการการสอบของแต่ละเมืองในครั้งนี้คือใคร ราชบัณฑิตเสิ่น เสิ่นไท่ฟู่!” นางเห็นคนที่อยู่ด้านข้างหลายคนต่างเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าก็ฉายแววกระหยิ่มใจ และกล่าวต่อ “เสิ่นไท่ฟู่เป็นใครน่ะหรือ ท่านแม่ของข้าบอกกับข้าตอนอยู่ที่บ้านว่าเสิ่นไท่ฟู่ในตอนนั้นบุคลิกสง่างาม มีวิชาความรู้ลุ่มลึก ความเรียงเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่รู้มีบุตรสาววงศ์ตระกูลสูงศักดิ์จำนวนมากมายเท่าใดมาลุ่มหลง!”
อีกคนหนึ่งนวดคลึงหน้าผาก เลิกคิ้วบอก “ตอนนั้น… ตอนนั้น… นั่นมันยี่สิบสามสิบปีก่อนแล้ว เพียงเกรงว่าเจ้าได้เห็นเขาในตอนนี้แล้วจะต้องผิดหวังอย่างมาก มีเวลาไปเพ้อฝันถึงเขา ยังไม่สู้ไปคิดถึงบุตรชายของเขาดีกว่า ได้ยินว่าบุตรชายของเขาเสิ่นจือซูจึงจะเป็นบุคคลที่สง่างามเปี่ยมความสามารถมีชื่อเสียงโด่งดัง เพียงเสียดายเจ้าชู้จนเป็นนิสัย…แต่ข้าว่านะ ต้องเจ้าชู้จนเป็นนิสัยจึงจะเรียกว่าดี หาไม่ต่อให้เจ้าได้พบเขาแล้วก็คงไม่มีโอกาส…”
หลายคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างหัวเราะคิกคักขึ้นมา ในดวงตามีเลศนัยแฝงอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของสตรีที่สวมกระโปรงสีครามแดงขึ้นมาทันที เอามือบิดกระโปรงแล้วนั่งลงไป พูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “พวกเจ้า…พวกเจ้าก็ดีแต่ล้อข้าหาความสำราญใจ!” นางหันหน้าไปมองสตรีที่เอ่ยปากพูดจาเมื่อครู่ ยังคงพูดอย่างโมโห “เหยียนฟู่จือ เจ้าสตรีผู้หนึ่ง ตั้งแต่เช้ายันค่ำรู้จักแต่พูดเรื่องเช่นนี้ เจ้า… เจ้าเรียนปรัชญาเมธีอย่างสูญเปล่าจริงๆ!”
เหยียนฟู่จือยักไหล่ หรี่ตายิ้มบอก “ข้าก็แค่บุตรสาวพ่อค้าคนหนึ่ง เดิมก็ไม่เหมือนพวกเจ้าที่เรียนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศ ย่อมไม่ต้องสนใจการดูถูกเหยียดหยามตามวิถีแห่งปราชญ์อะไรนั่น…” นางกระดกนิ้วมือขึ้น แสร้งทำท่าทำทางเป่าๆ เล็บยาวบนนิ้วก้อยที่เรียวงามดุจต้นหอมของตน “เจ้าว่าใช่หรือไม่”
รอบด้านหัวเราะครืนขึ้นมาอีก
มีคนขยับเข้ามาถามอย่างประจบเอาใจ “พี่เหยียน ได้ยินว่าบ้านท่านมีญาติเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวง แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะตกอยู่กับบ้านใดกัน…”
พอได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็พากันห้อมล้อมเข้ามาราวกับผึ้งที่รวบรวมเกสรในช่วงดอกไม้บาน อยากจะได้ยินให้ชัดเจน
เหยียนฟู่จือชายตามองนางแวบหนึ่ง ทำท่าผลักคนที่อยู่ด้านข้างหลายคนออกไป กล่าวเสียงราบเรียบ “เรื่องใหญ่ของราชวงศ์ ต่อให้ข้ามีความสามารถเพียงใดก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้…” นางลุกขึ้นจะจากไปแล้ว กลับหยุดยืนอย่างไม่รีบร้อน จู่ๆ ก็กดเสียงลงต่ำบอก “ข้ากลับมีข้อคิดเห็นอยู่ข้อหนึ่ง แต่ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง พวกเจ้าไม่อาจเอาไปพูดว่าข้าเป็นคนบอกนะ!”
ทุกคนพากันพยักหน้า ประกายเฝ้ารอคอยบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นมาหลายส่วน
ครานี้นางถึงได้เม้มปากบอก “พวกเจ้าเข้าใจว่าเรื่องที่องค์รัชทายาทจะแต่งตั้งพระชายาเรียบง่ายเพียงนี้หรือ ลองใช้สมองตรองดู! นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สิบสี่จนถึงทุกวันนี้ องค์รัชทายาทเข้าร่วมจัดการงานราชการแผ่นดินมาสิบปีเต็มแล้ว ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ฝ่าบาทยิ่งเอากิจการด้านการทหารหลายเส้นทางทางเหนือมอบให้องค์รัชทายาทเป็นผู้ตัดสินใจ มาบัดนี้ก็บอกจะแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาทอีก…เรื่องเล่าลือเก่าระหว่างฝ่าบาทกับผิงอ๋องไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอะไรมาก พวกเจ้าก็กระจ่างแก่ใจอยู่แล้ว องค์รัชทายาทเป็นสายพระโลหิตเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาท ฝ่าบาทมีหรือจะทรงจัดการเรื่องคัดเลือกพระชายาเองทั้งหมด ที่บอกจะแต่งตั้งพระชายา เพียงเกรงว่าฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์ถอนตัวจากอำนาจทางการเมืองแล้ว…”
มีเสียงสูดลมหายใจด้วยความรู้สึกอันหนาวเหน็บดังขึ้นมาจากรอบด้าน มีคนอุทานออกมา “พูดเช่นนี้ หมายความว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนผู้ปกครอง?”
“จุ” เหยียนฟู่จือส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง นางรีบยกมือขึ้นปิดปากคนผู้นั้น บอกอย่างไม่พอใจ “คำพูดนี้ใช่สิ่งที่เจ้าข้าพูดได้หรือ ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว คำพูดในวันนี้หากมีคนแพร่งพรายออกไป ข้าจะไม่ละเว้นเด็ดขาด!” พูดจบนางก็ไม่มองสีหน้าทุกคนอีก เพียงฝ่ากลุ่มคนเดินออกไป
มีคนร้องเรียกอย่างขลาดกลัวตามมาข้างหลัง “พี่เหยียน ประเดี๋ยวท่านอาจารย์จะมาแล้ว เหตุใดท่านจึงจะจากไปในตอนนี้”
เหยียนฟู่จือโบกๆ มืออย่างเอือมระอา ตอบอย่างไม่หันหน้ากลับไป “ข้าจะไปดูเมิ่งถิงฮุยเสียหน่อย เมื่อวานนางป่วย วันนี้ไม่รู้อาการดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่ เดี๋ยวจะพลาดการสอบในชั้นเรียนของท่านอาจารย์ในวันนี้…”
พอได้ยินประโยคพวกนั้นที่เหยียนฟู่จือพูดออกมา เหล่าสตรีที่กำลังส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งก็นิ่งเงียบลงทันที
ผ่านไปพักใหญ่ รอจนนางเดินไปไกลแล้ว จึงมีคนกระแอมกระไอออกมาสองครั้ง กล่าวเสียงเบา “ไปดูใครก็ดีทั้งนั้น แต่ไปดูคนผู้นั้น นี่ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องให้เสียหน้า…”
แสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิสาดส่องเข้ามาสะท้อนใบหน้าของเมิ่งถิงฮุยให้มีสีทองจางๆ
เงาร่างคนผู้หนึ่งทาทาบเข้ามาที่ข้างกาย บดบังช่องหน้าต่างเอาไว้พอดิบพอดี
นางย่นหัวคิ้ว ตกใจตื่นขึ้นมาทันที ตอนลืมตาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานดังขึ้นที่ข้างหู “ห่วงเจ้าว่าจะยังไม่หายป่วยถึงได้มาดู คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับยังนอนหลับอยู่!…เมิ่งถิงฮุย เวลาเจ้ามองข้าอย่าทำหน้าบูดเพียงนี้ได้หรือไม่…หา”
มือข้างหนึ่งยื่นลงมาจากเหนือศีรษะ คิดจะคลำหน้าผากนาง กลับถูกนางยกฝ่ามือขึ้นขวาง
เหยียนฟู่จือหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง กวาดตาไปซ้ายขวาสำรวจห้องพัก “อยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าป่วยตายก็ไม่มีใครรู้! ชิ ข้าก็หาเรื่องไม่สบายใจใส่ตนเองเสียได้…”
เมิ่งถิงฮุยเหยียดร่างขึ้นตรง ปิดหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าดังปึง จากนั้นก็ลุกขึ้น ก่อนเดินออกไปข้างนอก
เหยียนฟู่จือเดินตามอยู่ข้างหลังนาง เรียกอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ “ข้าว่านะ อีกประเดี๋ยวท่านอาจารย์จะทำการสอบในชั้นเรียน เจ้าคงไม่ใช่ไม่รู้กระมัง…นี่เจ้าจะไปที่ใด นอนหลับจนจำถนนหนทางไม่ได้แล้วหรือ”
นางหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน หันหน้ากลับมามอง “คุณหนูใหญ่เหยียน แทนที่จะมาตามข้า ไม่สู้กลับไปอ่านหนังสือเสียดีกว่า การสอบระดับมณฑลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านทำเช่นนี้…”
เหยียนฟู่จือวิ่งเข้ามาเอ่ยตัดบทนาง “ดูหนังสืออะไร สอบอะไร ท่านพ่อข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าข้าจะสอบได้หรือไม่ นอกจากนี้เขาได้เตรียมหอสุราไว้ให้ข้าหนึ่งแห่งแล้ว ยังมีร้านค้าของเก่าอีกสองร้าน รอข้าออกจากสำนักศึกษาสตรีแล้วก็จะไปช่วยดูแลกิจการของครอบครัว…ข้าจะเอาลาภยศไร้ประโยชน์เหล่านั้นไปทำอะไร”
หลังจากเมิ่งถิงฮุยฟังแล้วก็ชะงักฝีเท้า ยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่เหยียนก็ยิ่งอย่ามาติดตามข้าเลย มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดี ‘อุดมการณ์ต่างกันไม่เดินร่วมทางกัน’ ”
เหยียนฟู่จืออ้อมมาอยู่ด้านหน้านาง ยิ้มกริ่มบอก “พวกเจ้าคนที่เรียนหนังสือเก่งล้วนเป็นเช่นนี้ ชอบเสแสร้งวางท่าวางทาง…เจ้าอ่านหนังสือจนแทบทำให้ตนเองกลายเป็นคนทึ่มทื่อแล้ว คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสอบระดับมณฑล แล้ววันนี้เพราะเหตุใดกลับไม่ไปฟังท่านอาจารย์สอนเล่า”
เมิ่งถิงฮุยหลับตาลง หมุนตัวไปทางดวงอาทิตย์ “เหตุใดข้าต้องเสียเวลาไปฟังเขาพูดในสิ่งที่ข้าเข้าใจหมดแล้วเหล่านั้นด้วย” พูดจบนางก็สาวเท้าเดินไป
เหยียนฟู่จือปรบมืออยู่ข้างหลังนาง ยิ้มแล้วบอก “เมิ่งถิงฮุย ข้าชอบท่าทางโอหังอวดดีไร้มารยาทเช่นนี้ของเจ้า! ผู้อื่นเห็นข้าแล้วมีแต่จะรีบเข้ามาตีสนิท มีเพียงเจ้าที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา! สตรีที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ พบเห็นได้น้อยยิ่ง!”
เมิ่งถิงฮุยนิ่งเงียบ มุมปากกระตุกเล็กน้อย กำลังคิดจะเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า แขนกลับถูกเหยียนฟู่จือคว้าไว้
เหยียนฟู่จือลากนางเดินตรงไปทางประตูตะวันตก พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “ข้ามองออกแล้ว เจ้าเก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสือจนเหนื่อยแล้ว คิดจะออกไปสูดอากาศ ไม่สู้ไปหอสุราของบ้านข้าเถิด ข้าเชิญเจ้าดื่มสุรา ดื่มสุรารสเลิศ!”
เมิ่งถิงฮุยสะบัดแขนไปสองทีกลับสู้แรงเหยียนฟู่จือไม่ได้ สีหน้าอดไม่ได้ที่จะแข็งกระด้างขึ้นมา “เหยียนฟู่จือ ท่านปล่อยมือข้านะ กลางวันแสกๆ เช่นนี้จะไปดื่มสุราที่หอสุรา นี่มันธรรมเนียมอะไร”
เหยียนฟู่จือไม่เพียงไม่ปล่อย กลับยิ่งจับแขนนางแน่นขึ้น “อ้อ ที่แท้เมิ่งถิงฮุยเจ้ายังใส่ใจเรื่องธรรมเนียมด้วยหรือ คราวก่อนใครกันที่พูดถึงถ้อยคำพลอดรักของชายหญิง และบทเพลงที่มีเนื้อหาสองแง่สามง่ามในหนังสือ ‘คุยเรื่อยเปื่อย’ เล่มนั้นให้ทุกคนฟัง เจ้ายังจะเอ่ยถึงเรื่องธรรมเนียม?!”
เมิ่งถิงฮุยหน้ายิ่งดำคล้ำแล้ว ทว่านางไม่ดิ้นรนอีก เพียงเดินไปข้างหน้าตามการฉุดดึงของเหยียนฟู่จือ ปากก็เอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอย่าเอะอะโวยวายเช่นนี้ ข้าไปกับท่านก็แล้วกัน”
เหยียนฟู่จือหัวเราะออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ่งก้าวเท้าเร็วขึ้น แล้วขยิบตาให้นาง “เช่นนี้จึงจะถูกต้อง”
วันนี้หอสุราป๋อเฟิงของสกุลเหยียนเงียบกว่าปกติมาก
ธงสีสันสดใสด้านนอกหอสุราโบกสะบัดอยู่บนที่สูง โคมไฟใหญ่ของหอสุราแดงจนแสบตา เงยหน้ามองขึ้นไปไม่เห็นว่าที่ชั้นสองมีแขก แต่ที่โถงใหญ่ชั้นหนึ่งกลับแออัดเต็มไปด้วยผู้คน กระทั่งมีคนยืนรอที่นั่งด้วย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ
เหยียนฟู่จือเพิ่งจะก้าวขาข้างหนึ่งข้ามธรณีประตูหอสุราป๋อเฟิงเข้าไป เด็กรับใช้ก็ค้อมเอวเข้ามาต้อนรับ “คุณหนูใหญ่” พูดพลางลอบชำเลืองตามองเมิ่งถิงฮุยที่สวมเสื้อกระโปรงแบบเรียบง่ายเนื้อหยาบแวบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าจางไปเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่จะพาสหายมา ก็ไม่บอกให้พวกข้าน้อยทราบก่อนสักคำ…”
เหยียนฟู่จือไม่สนใจ เพียงดึงเมิ่งถิงฮุยไปที่ชั้นสอง “วันนี้แปลกนัก ชั้นสองเหตุใดจึงไม่มีเสียงแขก”
เด็กรับใช้รีบเข้ามาขวางบอก “คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ วันนี้มีแขกผู้สูงศักดิ์มาหลายคน ได้เหมาชั้นสองไว้ทั้งหมดแล้ว ท่านดูคนในห้องโถงใหญ่แห่งนี้สิขอรับ คนที่มีเงินยังน้อยอยู่หรือ แต่มีเงินก็ขึ้นไปไม่ได้…คุณหนูใหญ่หรือไม่ท่านรอช้าอีกหน่อย ท่านค่อย…”
เหยียนฟู่จือชายตาไป ยิ้มหยันบอก “ข้ากลับมาบ้านตนเองเพื่อดื่มสุราสักจอก ยังต้องเข้าแถวรอด้วยเช่นนั้นหรือ”
เด็กรับใช้เหงื่อเต็มหน้าผาก เนื่องจากรู้ถึงนิสัยของนาง ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่กล้าขัดขวาง ได้แต่มองนางดึงคนขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายเด็กรับใช้ก็กระทืบเท้า หมุนตัวไปรายงานหลงจู๊ที่ห้องโถงใหญ่
เหยียนฟู่จือทั้งฉุดทั้งดึงเมิ่งถิงฮุยเดินขึ้นบันได ปากก็กระซิบบอก “จะทำหน้าตาบูดบึ้งไปไย เจ้าไม่รู้หรือว่าคนที่มาดื่มสุรากินอาหารที่หอสุราป๋อเฟิงก็เพื่อจะชมทัศนียภาพนอกหน้าต่างชั้นสอง หาไม่ยังจะมา…”
นางเอาแต่หันหน้ามาพูด ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ จะมีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาขวางทางไปของพวกนางสองคนไว้ ทั้งสองจำต้องชะงักฝีเท้า ก่อนย่นหัวคิ้วเหลือบตาขึ้น
“วันนี้คุณชายของเราได้เหมาชั้นสองไว้ทั้งหมดแล้ว ยังคงขอให้แม่นางไปหาที่นั่งที่ชั้นล่าง” คนพูดรูปร่างสูงใหญ่ แขนยาวแตะอยู่กับราวบันได พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
เหยียนฟู่จือกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง พูดด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย “ดูจากเนื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกายก็น่าจะเป็นคนมีฐานะอยู่บ้าง เพียงแต่คุณชายบ้านท่านทราบหรือไม่ เวลานี้เขานั่งอยู่ในเขตของบ้านใคร”
บุรุษสีหน้าเย็นชาไม่เอ่ยปากอีก สายตามองข้ามศีรษะนาง มองตรงไปที่ด้านล่าง
เมิ่งถิงฮุยอยู่ด้านหลังยกมุมปากเล็กน้อย ในใจรู้ดีว่าเหยียนฟู่จือรักหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง มาวันนี้ถูกบ่าวรับใช้คนหนึ่งมองข้ามเช่นนี้ จะยอมกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้อย่างไร นางจึงเอนตัวไปด้านข้างด้วยตั้งใจจะรอชมเรื่องสนุก
ไม่ผิดจากที่คิด เหยียนฟู่จือโกรธจนหน้าแดง ชี้คนผู้นั้นแล้วบอก “ข้าถามท่านอยู่นะ!”
บุรุษผู้นั้นยังคงไม่ส่งเสียง แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังกังวานของบุรุษดังมาจากทางช่องหน้าต่างด้านติดถนนที่เปิดกว้างอยู่…
“เขตของบ้านใคร ย่อมเป็นเขตของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าผิงเราน่ะสิ”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดเลิกคิ้วเอียงตัวมองไปทางด้านนั้นไม่ได้
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงเก้าอี้อยู่ที่ข้างหน้าต่าง ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนขอบหน้าต่าง ในมือถือพัดพับสีดำเล่มหนึ่งโบกพัดช้าๆ อย่างสบายอกสบายใจ ชายเสื้อคลุมผ้าดิ้นสีครามอ่อนบนร่างถูกลมพัดปลิวขึ้นลง เมื่อมาประกอบกับใบหน้าที่แย้มยิ้มดุจบุปผาของเขา กลับให้ความรู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือนจริงๆ
เหยียนฟู่จือคาดคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ หลังจากนิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานาน จึงหันกลับมายิ้มหยันให้เมิ่งถิงฮุย “ต้นฤดูใบไม้ผลิยังหนาวอยู่ กลับมีคนกำลังโบกพัดราวกับไร้สมอง พัดจนมีลมหนาวโชยมาถึงนี่ ข้าไม่สนใจที่นี่แล้ว ไปเถอะ เราลงไปข้างล่างกัน…”
“แม่นางท่านนี้โปรดหยุดก่อน” บุรุษหนุ่มกลับเรียกเหยียนฟู่จือไว้ จากนั้นก็บุ้ยปากให้บุรุษที่เฝ้าอยู่ตรงปากบันได
บุรุษผู้นั้นเข้าใจ กล่าวอย่างนอบน้อม “ขอรับ คุณชาย” จากนั้นก็เปิดทางให้
เหยียนฟู่จือไม่ขยับ ยังคงยิ้มหยัน “ที่แท้ชั้นสองก็ถูกท่านเหมาไว้แล้วนี่เอง มีดวงตางดงามคู่หนึ่งเสียเปล่า ถึงกับไม่เห็นว่าที่ด้านล่างมีคนมากน้อยเพียงใดที่มาถึงแล้วไม่มีที่นั่งจึงจากไปด้วยความผิดหวัง”
เมิ่งถิงฮุยเห็นสีหน้าบุรุษหนุ่มแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก็อดหัวเราะเสียงต่ำไม่ได้ นางยังคงเดินไปที่ด้านข้าง เลือกโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่างแล้วนั่งลง ไม่มีแก่ใจจะไปสนใจการโต้เถียงของพวกเขาสองคน
บนชั้นสองมีห้องส่วนตัวอยู่หลายห้อง ประตูห้องด้านตะวันตกสุดเปิดแง้มอยู่ มองเห็นรางๆ ว่าข้างในมีคนนั่งอยู่ แต่กลับเห็นหน้าตาไม่ชัด
บุรุษหนุ่มกระโดดขึ้นมาจากข้างหน้าต่าง เดินมาถึงเบื้องหน้าเหยียนฟู่จือ กวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองประเมินนาง สีหน้าเปลี่ยนเป็นค่อนข้างแปลกประหลาด เขาเก็บพัดแล้วบอก “ดูจากการแต่งตัว เจ้าคงเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรีชงโจวกระมัง”
เหยียนฟู่จือถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วเดินมาทางเมิ่งถิงฮุย ปากก็ด่าว่า “เติงถูจื่อ* ที่ไร้ยางอาย”
บุรุษหนุ่มไม่โกรธ กลับเดินตามมาข้างหลัง ยิ้มพลางเอ่ยถาม “ขอบังอาจถามแม่นาง ในเมื่อเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรี เพราะเหตุใดจึงไม่ศึกษาวิชาหาความรู้ กลับมาเที่ยวหอสุราเช่นนี้ แม่นางทราบหรือไม่ ตอนนั้นเพื่อจะสร้างสำนักศึกษาสตรีร้อยแห่งขึ้นในแว่นแคว้น ฮ่องเต้ต้องทุ่มเทสติปัญญาและกำลังมากเพียงใด จะปล่อยให้เวลาดีๆ เช่นนี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร…”
เหยียนฟู่จือมึนงงไปหมด นางกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ไม่รู้เป็นคนเสียสติมาจากที่ใด”
เมิ่งถิงฮุยรับคำอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว นางมองไปที่นอกหน้าต่าง
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้ว “ข้าไม่ใช่คนเสียสติ ข้า…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงบุรุษในห้องส่วนตัวทางนั้นตัดบทขึ้น “เหยียนจือ อย่าพูดมาก”
คำพูดสั้นๆ เยียบเย็นประโยคเดียวกลับทำให้บุรุษหนุ่มเก็บรอยยิ้มและปิดปากในทันที แล้วถอยไปข้างหลัง
เหยียนฟู่จือรอจนเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว จึงหันหน้ามาแค่นเสียงฮึ แล้วกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ยังนับว่ารู้จักดูทิศทางลม” บุรุษในห้องส่วนตัวผู้นั้นฟังจากเสียงน่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่า ถึงกับทำให้เขาสำรวมกิริยาเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นทำให้นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา อดที่จะหันหน้าไปมองอีกหลายครั้งไม่ได้ พอหันหน้ากลับมา กลับเห็นเมิ่งถิงฮุยมีท่าทีใจลอย นางจึงเอามือจิ้มๆ จอกสุราที่อยู่ตรงหน้าอย่างอับจนปัญญา “ข้าว่านะ ที่แท้แล้วมีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าใส่ใจได้บ้าง”
เมิ่งถิงฮุยดึงสายตากลับมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เรียนหนังสือ สอบจิ้นซื่อ เข้าราชสำนักเป็นขุนนาง”
“ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยหรือ” เหยียนฟู่จือมองจ้องนาง “ตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อ เป็นขุนนางหญิงคนแรกในราชสำนัก ตำแหน่งขุนนางถึงตูเฉิงจื่อ ของสำนักกลาโหม สุดท้ายยังไม่ใช่กลัวแก่แล้วไม่มีคนต้องการ ถึงได้รีบลาออกมาแต่งงาน…”
เมิ่งถิงฮุยหลับตา “ไม่เคย”
ผู้ที่ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องเช่นนาง จะมีใครอยากแต่งงานด้วย
นางไม่ได้งามเพริศพริ้ง สิ่งเดียวที่จะทำให้คนชื่นชมได้ก็คือวิชาความรู้ของนาง แต่ถ้าสอบจิ้นซื่อไม่ได้ก็ไม่อาจเข้าเป็นขุนนาง หากมีแต่วิชาความรู้แล้วจะเอาสถานที่แสดงความสามารถมาจากที่ใด
นางตอบอย่างตรงไปตรงมาเพียงนี้ เหยียนฟู่จือฟังแล้วนิ่งอึ้งไป เป็นนานจึงเอ่ยปากอีกครั้ง พูดคล้ายกระฟัดกระเฟียด “นับแต่เสิ่นฮูหยินเป็นต้นมา หลายปีที่ผ่านมาสตรีเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนใหญ่จะเข้าทำงานที่สำนักพิธีกรรมไม่ก็สำนักห้องเครื่องสถานที่เหล่านี้ บางครั้งก็อยู่ในกรมทั้งหก บ้าง แต่กลับไม่อาจเข้าสำนักหลักทั้งสอง ได้อีก สตรีอื่นคิดจะสอบเพื่อลาภยศ เพียงต้องการความมีหน้ามีตาแค่ไม่กี่ปี ส่วนเจ้ากลับเหมือนมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นขุนนางใหญ่ ไม่คิดบ้างว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”
แพขนตาของเมิ่งถิงฮุยขยับเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอีก
มือที่ห้อยอยู่ข้างเก้าอี้กลับกำเข้าหากันหลวมๆ
ในสมองมีภาพบางภาพผุดวาบขึ้นมาแล้วผ่านไป ทำให้หัวใจของนางบีบรัดเป็นระลอก ลมหายใจก็พลอยกระชั้นถี่ขึ้นมา
‘ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’
ปีนั้นฝนที่เทลงมาปานฟ้ารั่วครั้งนั้น คนผู้นั้น ความในใจคำนั้น…
จวบจนทุกวันนี้ยังดังอยู่ข้างหู
ท่ามกลางลมหนาวและฝนยามราตรี คนผู้นั้นกอดนางแน่น ลมร้อนจากปากเป่ารดเข้าไปในหูของนาง เขาพูดเบาๆ ว่า ‘หนูน้อย ไม่ต้องกลัว อย่าร้องไห้…’
“เมิ่งถิงฮุย”
นางพลันได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวแรงอย่างควบคุมไม่อยู่
ประตูห้องส่วนตัวถูกคนผลักเปิดจากด้านในในตอนนี้พอดี มีเสียงหัวเราะต่ำๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ของบุรุษดังขึ้น
เหยียนฟู่จือหันหน้าไป เห็นเป็นบุรุษในชุดสีครามที่เจอก่อนหน้านี้ผู้นั้น นางก็อดโมโหกว่าเดิมไม่ได้ จะอ้าปากด่าเขาว่าแอบฟังผู้อื่นคุยกัน กลับเห็นมีคนเดินออกมาจากด้านในอีกคนหนึ่ง จึงอดตะลึงงันไปไม่ได้
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีดำ รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่าย แต่ปิ่นหยกขาวที่เสียบอยู่ด้านหลังศีรษะกลับดูล้ำค่ายิ่ง รูปร่างองอาจผึ่งผาย รูปโฉมหล่อเหลายิ่ง ทว่าดวงตาข้างขวากลับมีผ้าดำชิ้นหนึ่งปิดอยู่ ถึงกับเป็นคนตาเดียว
ทั้งสองคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินออกมา บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เฝ้าอยู่ตรงปากบันไดผู้นั้นเดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างนอบน้อม ไม่ถอยห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนทั้งสามคนเดินผ่านหน้าพวกนางไป บุรุษชุดครามผู้นั้นกลับหยุดลง เอียงตัวก้มหน้า ขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าเหยียนฟู่จือ ยิ้มกริ่มบอก…
“เมื่อครู่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่แม่นางพูดไม่ถูก ในตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อหาใช่เพราะกลัวแก่แล้วไม่มีคนต้องการจึงลาออกจากขุนนางมาแต่งงาน ต่อไปอย่าได้พูดจาส่งเดชเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
เหยียนฟู่จืออับอายจนหน้าแดงก่ำ นางรีบเบี่ยงตัวหลบ ปากก็ด่าว่า “ไร้ยางอาย! ไร้มารยาท!” นางหมุนตัวไปดึงเมิ่งถิงฮุย พูดอย่างไม่พอใจ “รอข้ากลับไปบอกท่านพ่อข้าถึงพฤติกรรมของเติงถูจื่อผู้นี้ก่อนเถอะ จากนั้น…” นางกลับพบว่าเมิ่งถิงฮุยอยู่ในสภาพอึ้งตะลึง มองบุรุษชุดดำผู้นั้นตาไม่กะพริบ
“เมิ่งถิงฮุย!” นางร้องเรียกด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งถิงฮุยกลับไม่มีอาการตอบสนองแม้แต่น้อย มือกำแน่น ร่างแข็งราวกับก้อนหิน สายตามองตามคนผู้นั้นไปตลอดทาง มองเขาเดินไปทางบันไดทีละก้าวๆ มองเขาเดินลงบันไดไปทีละก้าวๆ มองเขาออกประตูไปทีละก้าวๆ…
แผ่นหลังคนผู้นั้นเหยียดตรงเพียงนั้น หัวไหล่กว้างเพียงนั้น ฝีเท้ามั่นคงเพียงนั้น
ช่วงเอวไม่มีหยกประดับ กลับห้อยแผ่นหินสีดำบางๆ ชิ้นหนึ่ง บนนั้นมีลวดลายให้เห็นรำไร ยามเดินแผ่นหินแกว่งไปมาเล็กน้อย ซ่อนตัวกลืนไปกับชุดคลุมยาวสีดำ ถ้าไม่ตั้งใจมองให้ดีก็แทบจะไม่สังเกตเห็น
นางเห็นอย่างชัดเจน เปลือกตาพลันกระตุกวาบ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นไม่แม้แต่จะคิดก็พุ่งตัวลงบันไดไป
เป็นเขา…
เป็นเขาจริงๆ!
นอกหอสุราป๋อเฟิง ดวงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าสูง แสงเจิดจ้าดุจทองกระจายสว่างจ้าตาทำให้คนกระทั่งตายังลืมไม่ขึ้น
นางหอบแฮกๆ ยืนตรง กวาดตามองหาเงาร่างของเขาไปทั่วบริเวณ
มีเสียงร้องของม้าดังมาจากข้างถนน นางมองไปก็เห็นเขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าพอดี ดึงสายบังเหียนม้าเปลี่ยนทิศทาง
เขาเอียงตัว ดวงตากวาดผ่านใบหน้าของนาง ชั่วขณะนั้นเขาไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย จากนั้นมองไปทางอีกสองคนที่เหลือ ริมฝีปากอ้าหุบพูดอะไรบางอย่าง แล้วทั้งสามก็เร่งม้าควบจากไป…โดยไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก
นางคล้ายถูกตอกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น กระทั่งจะเดินเข้าไปถามเขาสักคำก็ยังไม่มีความกล้า
เขาไม่รู้จักนางแล้ว…
แต่เขายังจะรู้จักนางได้อย่างไร
นางเมื่อสิบปีก่อนถูกเขาเก็บขึ้นมาจากในกองซากศพคนตาย เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ผมเผ้ายุ่งกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม ออกเสียงพูดไม่ชัด เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่านางเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง
นางในอีกสิบปีให้หลังผูกผมเรียบร้อย สวมเสื้อกระโปรงของศิษย์สำนักศึกษาสตรี ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างหมดจดสะอาดสะอ้าน เขาจะคิดว่านางเป็นเด็กคนนั้นในตอนนั้นได้อย่างไร
เวลาผ่านไปหลายปีเพียงนี้ เขาคือคนเดียวที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ แต่เพราะเหตุใดวันนี้ได้พบแล้วกลับยังคงมีผลลัพธ์เช่นนี้
เขาเมื่อสิบปีก่อนก็จากไปเช่นนี้ นางไม่รู้ชื่อสกุลของเขา ไม่รู้ฐานะของเขา เพียงจดจำใบหน้าดวงนั้น ดวงตาข้างนั้น กับแผ่นหินชวนมองที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา จดจำคำพูดทุกคำที่เขาพูดกับนาง
เขาในอีกสิบปีให้หลังดูสูงขึ้นและเปลี่ยนเป็นล่ำสันขึ้น แต่ใบหน้าดวงนั้นยังคงหล่อเหลา ดวงตาข้างนั้นยังคงสยบผู้คน หินแผ่นนั้นยังคงห้อยแขวนอยู่ที่เอวของเขา…นางยังคงไม่มีความกล้าที่จะก้าวเข้าไปถามเขา ที่แท้แล้วเขาชื่อเรียงเสียงใด วันหน้านางยังจะได้พบเขาอีกหรือไม่
“เมิ่งถิงฮุย เจ้าเป็นอะไรไป”
เหยียนฟู่จือไล่ตามลงมา น้ำเสียงดูจะตกใจเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร” นางสั่นศีรษะ ขอบตาถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนออกจะรู้สึกแสบ ถึงกับมีความรู้สึกอยากจะร้องไห้ นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มน้อยๆ บอก “ไม่ใช่บอกจะพาข้ามาดื่มสุราหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.