X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 72-73

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 72

ซูเสวี่ยจื้อกลับถึงวิทยาลัยแล้วได้รับข่าวข่าวหนึ่ง

เมื่อวานนี้เองหลังเธอออกไป เยี่ยหรู่ชวนคุณลุงของเธอเดินทางจากบ้านเดิมมายังเมืองเทียนและมาหาเธอถึงที่นี่ด้วย

ปฏิกิริยาแรกของเธอไม่ใช่ตื่นเต้นประหลาดใจ แต่เป็นขวัญหนีดีฝ่อ

ขืนให้คุณลุงรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่หอพักชายต้องเกิดความปั่นป่วนขึ้น อีกทั้งจะบอกว่าเป็นฝีมือของเฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้แน่นอน เธอคงต้องเปลืองน้ำลายขนานใหญ่เพื่อพูดอธิบายให้คุณลุงสบายใจ แล้วก็กลัวว่าถ้าญาติผู้พี่ที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของเธอคนนั้นเกิดถึงคราวซวยโดนคุณลุงจับผิดได้ นั่นจะเป็นหายนะดีๆ นี่เอง เธอแตกตื่นครู่หนึ่ง รีบถามคนเฝ้ายามก่อนว่าเมื่อวานคุณลุงได้เข้าไปที่หอพักของตนเองหรือเปล่า โชคดีที่คนเฝ้ายามบอกว่าไม่ได้เข้าไป พอได้ยินว่าเธอไม่อยู่ก็กลับไป แค่ฝากบอกว่าพักอยู่ที่โรงแรมเทียนเฉิง

เธอโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เร่งรีบไปขอลาหยุดอีกเพื่อออกไปหาญาติผู้พี่

หนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอต้องลากเขาไปยอมรับผิดกับคุณลุงทันทีให้ได้

หลังคุณป้าด่วนจากไป คุณลุงก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ จึงมีญาติผู้พี่เป็นลูกชายคนเดียว เป็นธรรมดาที่จะฝากความหวังไว้กับเขาอย่างสูง

ก่อนหน้านี้อยู่ห่างไกลกันคนละโยชน์ ถึงได้ถ่วงเวลามาเรื่อยๆ ตอนนี้คุณลุงมาถึงที่ด้วยตนเอง ถ้ายังหลบซ่อนอีกก็ไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นแล้วจริงๆ

จะด่าทอหรือทุบตี ต่อให้ย่ำแย่แค่ไหนก็ดีกว่าให้คุณลุงรู้เรื่องเองก่อน

เธอตั้งสติได้แล้วรีบจัดการเรื่องที่วิทยาลัยให้เรียบร้อย ตอนที่ออกมาแล้วจะไปหาญาติผู้พี่ เธอกลับต้องประหลาดใจที่เขาเป็นฝ่ายมาเอง ทั้งสองพบกันแถววิทยาลัย

ซูเสวี่ยจื้อนึกว่าเขามาหาด้วยเรื่องอื่น เธอบอกข่าวนี้ให้เขารู้ก่อนแล้วให้เขาไปที่โรงแรมยอมรับผิดพร้อมกับเธอ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเสียนฉีจะพูดว่า “ช้าไปแล้ว เมื่อวานเจอกันไปแล้ว ตีฉันเกือบตาย! มือหนักชะมัด ฉันยังเจ็บขาถึงตอนนี้เลย ฉันชักสงสัยแล้วว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อหรือเปล่า”

เธอตกใจเหลือหลาย

เยี่ยเสียนฉีเล่าเรื่องที่เมื่อวานตนเองดวงไม่ดีไปเจอะเจอกับเยี่ยหรู่ชวนโดยบังเอิญจนโดนสะกดรอยตามถึงบ้านแล้วถูกพ่อตีอย่างหนักยกหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ

ทีแรกซูเสวี่ยจื้อกังวลใจมากว่าจะความแตก คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะแดงแบบพิลึกพิลั่นเหลือเชื่ออย่างนี้จริงๆ เธอฟังจบแล้วอึ้งงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรดีไปชั่วขณะ เธอเหลือบตามองญาติผู้พี่ เห็นเขาทำหน้าละห้อยอย่างกลุ้มใจก็ไม่มีแก่ใจหัวเราะเยาะเขา ถามว่าเขามาหาเธอด้วยเหตุใด

“ก็คุณลุงของเธอคนนั้นน่ะสิ เมื่อวานด่าฉันถึงดึกดื่นค่อนคืนกว่าฉันจะหลุดมาได้ก็แทบแย่ เมื่อเช้าลุงจงให้คนมาหาฉันบอกว่าพ่อไม่สบาย แต่ไม่ยอมไปหาหมอ ฉันไม่กล้าไปคนเดียว อยากเรียกเธอไปด้วยกัน เธอช่วยตรวจอาการให้พ่อฉันหน่อย ค่อยช่วยพูดขอร้องให้ฉันด้วย บอกกับพ่อฉันดีๆ ว่าพอพักรักษาตัวให้หายป่วยแล้วรีบกลับบ้าน”

ซูเสวี่ยจื้อได้ยินว่าคุณลุงล้มป่วยแล้วก็เป็นห่วงอยู่สักหน่อย เธอตอบตกลงโดยไม่อิดออด จากนั้นไปหาเขาที่ห้องพักในโรงแรมเทียนเฉิงกับเยี่ยเสียนฉี

สรุปว่าคุณลุงของเธอไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมาก คงเพราะเมื่อวานโมโหเกินไป ซ้ำยังไม่คุ้นกับการนอนบนเตียงของโรงแรม เขาปูที่นอนกับพื้น ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็ตัวรุมๆ ร้อนในปวดฟันจนแก้มข้างหนึ่งมีอาการบวมเล็กน้อย ขณะนี้เขากลับขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว ดูท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง เห็นหลานสาวมาหาถึงมีรอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้า แต่พอเห็นลูกชายเดินหลบอยู่ข้างหลังหลานสาวเข้ามา ไฟโทสะก็พลุ่งขึ้นมากลางอกอีกครั้งทันควัน เขาเลิกผ้าห่มขึ้นลงจากเตียงแล้วง้างเท้าถีบใส่

“แกยังมีหน้ามาอีก ไสหัวออกไป!”

เยี่ยเสียนฉี ‘ไสหัวออกไป’ โดยไม่รอช้า

ซูเสวี่ยจื้อเห็นคุณลุงยังจะไล่ตามออกไปอีกก็รีบรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ ประคองเขาให้นั่งลงและบอกว่าเธอจะไปที่ร้านขายยาซื้อยามาให้

เยี่ยหรู่ชวนพูดว่าไม่เป็นไรแล้วบอกเธอว่าไม่ต้องไป จากนั้นก่นด่าลูกชายว่าอกตัญญู เป็นพวกชิงสุนัขมาเกิด ยังพูดว่าเขาผิดต่อเธอ รู้สึกละอายใจมาก หนนี้กลับไปแล้วคงสู้หน้าแม่เธอไม่ได้

เธอเขียนชื่อยาใส่กระดาษให้คนรับใช้ของคุณลุงไปซื้อพวกยาแอสไพริน ที่ร้านขายยาฝรั่ง จากนั้นพูดไกล่เกลี่ยว่าเธอเองก็ผิดเหมือนกัน ควรจะบอกให้เขารู้เร็วกว่านี้คงไม่ถึงกับทำให้ตอนนี้เขาต้องโกรธเพียงนี้ ยังบอกอีกว่าเธออยู่ในวิทยาลัยสบายดีทุกอย่าง ผู้อำนวยการให้ความสำคัญกับเธอมาก จะพาเธอไปร่วมการสัมมนางานวิจัยทางการแพทย์นานาชาติที่กำลังจะจัดขึ้นครั้งใหญ่เป็นกรณีพิเศษด้วย เธอรู้สึกโชคดีมากที่มาเรียนหนังสือที่นี่ เหมือนภาษิตจีนที่ว่า ‘ตั้งใจปลูกต้นไม้ไม่ออกดอก ปักกิ่งหลิวส่งเดชกลับให้ร่มเงา’ ญาติผู้พี่จะเรียนหมอหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลกับเธอเท่าไร ขอให้คุณลุงอย่าโกรธอีกเลย สุดท้ายเธอพูดชมเยี่ยเสียนฉียกหนึ่ง บอกว่าเขาเป็นตำรวจแค่สั้นๆ ครึ่งปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าสถานีตำรวจ มีลูกน้องแล้ว หนำซ้ำก่อนหน้านี้ไม่นานยังสร้างความดีความชอบจนได้รับรางวัลอีกด้วย

เยี่ยหรู่ชวนฟังคำพูดทั้งหมดนี้ของหลานสาวแล้วอารมณ์ดีขึ้นบ้างในที่สุด

จังหวะนี้เองซูจงเดินเข้ามาบอกว่าเมื่อวานได้รับจดหมายตอบกลับจากเลขาฯ ของกองบัญชาการว่าวันนี้ท่านผู้บัญชาการจะรออยู่ที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ ตอนนี้ควรทำอย่างไร

โดยทั่วไปการเยี่ยมคารวะจะไม่ไปกันตั้งแต่เช้า จะต้องรอตอนบ่าย

เรื่องอื่นยังพอไหว แต่เยี่ยหรู่ชวนแก้มโย้ไปข้างหนึ่ง จะไปพบหน้าใครได้อย่างไร เขาได้แต่ให้ซูจงไปขอขมาแทนตนเอง บอกว่าขอนัดหมายไปเยี่ยมคารวะอีกทีวันหลัง

ซูจงรับคำแล้วกำลังจะออกไป แต่ซูเสวี่ยจื้อเรียกเขาไว้ “หนูไปเองดีกว่าค่ะ หนูสนิทกับเขามากกว่า จะได้ช่วยอธิบายให้คุณลุงแล้วนัดเวลากันใหม่”

จุดประสงค์หลักที่เธอขันอาสารับหน้าที่นี้ไว้เองเพราะอยากไปหยั่งเชิงดูว่าวันนั้นเฮ่อฮั่นจู่รู้สึกสงสัยหรือเปล่ากันแน่ ไม่อย่างนั้นมัวแต่ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่แบบนี้ เธอไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักที

ถึงอย่างไรก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ไปเผชิญหน้าให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยดีกว่า

อีกอย่างวันนี้ไม่ใช่วันสุดสัปดาห์ เฮ่อหลันเสวี่ยไม่อยู่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเจอหน้ากัน

ถ้าพบอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างทันท่วงที

การให้ ‘หลานชาย’ ไปพูดแทนคุณลุงย่อมดูเป็นพิธีรีตองกว่าส่งพ่อบ้านไปอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยหรู่ชวนจึงตอบตกลง

ซูจงพูดว่าจะไปส่งนายน้อยด้วยตนเอง

พ่อบ้านสกุลซูก็อายุปูนนี้แล้ว มีอาการข้อเข่าเสื่อมตามประสาผู้สูงวัย วันนี้หิมะตกพื้นลื่นอากาศหนาว อีกทั้งซูเสวี่ยจื้อก็ไม่ได้ไม่รู้จักทาง จึงบอกเขาว่าไม่ต้องตามไป

เยี่ยหรู่ชวนตวาดเรียกลูกชายที่หลบอยู่นอกห้องให้เข้ามา และสั่งให้ไปด้วยกันเพื่อคอยคุ้มครองเธอ

เยี่ยเสียนฉีขานรับซ้ำๆ อย่างไม่มีปากมีเสียง

เพราะจะไปอธิบายเรื่องที่ผิดนัดและขอเปลี่ยนเวลานัดหมายใหม่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนบ่าย

หญิงสาวตรวจตราเครื่องแต่งกายของตนเองก่อนออกไป

พักนี้เธอไปข้างนอกบ่อยๆ สวมเครื่องแบบนักเรียนไม่สะดวก แต่เทียบกับชุดเสื้อคลุมยาวแล้ว เธอชอบใส่กางเกงมากกว่า ข้อดีของการใช้ชีวิตในฐานะผู้ชายก็คือจุดนี้นี่เอง สามารถใส่กางเกงได้ตามใจชอบ

แม้ว่าขณะนี้จะมีกลุ่มหัวก้าวหน้าออกมาเรียกร้องสิทธิสตรีกันแล้ว แต่ในภาพรวมค่านิยมของคนยุคนี้ยังยึดถือตามจารีตประเพณีดั้งเดิมกันอยู่ เมื่อพูดถึงการเข้าสังคม ผู้หญิงสวมชุดฝรั่งอวดคออวดแขนก็ถือว่าล้ำสมัยแล้ว ขืนใส่กางเกงอีก คงจะเป็นที่ตกตะลึงของใครต่อใครเลยทีเดียว

ตอนแรกเธอมีชุดสูทชุดนั้นอยู่ชุดเดียว แต่ใส่ในเวลาปกติจะดูเป็นทางการเกินไป อีกทั้งตั้งแต่เหตุบังเอิญครั้งนั้น ลึกๆ ในใจเธอไม่อยากแตะมันอีก ด้วยเหตุนี้พักก่อนเธอจึงซื้อเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ออกไปข้างนอกเพิ่มอีกสองชุด

ชุดที่อยู่บนตัวตอนนี้ยังเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน แต่ก่อนออกจากวิทยาลัยเธอใส่เสื้อโค้ตผ้าขนสัตว์สีกากีอีกตัว พันผ้าพันคอ และสวมหมวกทรงสูง ทั้งกันหนาวได้ทั้งไม่นับว่าเป็นการแต่งกายตามสบายเกินไป เหมาะกับการไปพบคน

เธอสำรวจความเรียบร้อยของตนเองแล้วถึงลงไปพร้อมกับญาติผู้พี่

ตอนทั้งสองจะออกจากหน้าประตูโรงแรม ตำรวจสายตรวจนายหนึ่งวิ่งมาบอกว่ามีครูวิทยาลัยคนหนึ่งมาแจ้งความว่าเพื่อนของเขาหายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ สงสัยว่าจะถูกคนทำร้าย ขอให้ทางตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย

เยี่ยเสียนฉีพูดขึ้นว่า “ผมมีธุระ พวกคุณบันทึกปากคำไปก่อน ผมกลับไปแล้วค่อยว่ากันอีกที”

ซูเสวี่ยจื้อเห็นตำรวจสายตรวจทำท่าอึกอักสีหน้าลำบากใจ เธอจึงบอกให้ญาติผู้พี่ไปทำงาน ไม่ต้องเจาะจงไปเป็นเพื่อน เธอคุ้นเคยที่ทางดีและนั่งรถลากไปเองได้

ทีแรกชายหนุ่มรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้างเมื่อต้องไปพบเฮ่อฮั่นจู่ พอเห็นญาติผู้น้องพูดอย่างนี้กอปรกับในสถานีตำรวจมีคดีต้องทำ เขาไม่ยืนกรานต่อ โบกรถลากคันหนึ่งให้ ส่งเธอขึ้นรถแล้วจากไปอย่างเร่งรีบเช่นกัน

 

ตอนหญิงสาวไปถึงคฤหาสน์สกุลเฮ่อ อีกสิบห้านาทีจะเป็นเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาแล้ว

หิมะตกหนักมากขึ้น

บ้านเรือนแถบนี้เป็นบ้านเดี่ยวตั้งอยู่แยกกันหมด ปกติก็เงียบเชียบผู้คนบางตา บริเวณโดยรอบมีแต่ต้นไม้ ขณะนี้โดนปกคลุมด้วยหิมะจนกลายเป็นสีขาวโพลนจนทั่ว ดูไปแล้วยิ่งเงียบสงัดกว่าเดิม

เหล่าซย่าเปิดประตูให้

ซูเสวี่ยจื้อถามอีกฝ่ายว่าเฮ่อฮั่นจู่อยู่หรือเปล่า

เหล่าซย่าตอบ “อยู่ขอรับ คุณผู้ชายกลับมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้ออกไปไหน” พูดจบก็เชิญเธอเข้าไป

เธอเดินตัดลานหน้าบ้านเข้าไปหยุดอยู่นอกประตูห้องรับแขก เคาะหิมะออกจากรองเท้า

ป้าอู๋ออกมาต้อนรับ พอรู้จุดประสงค์ที่เธอมาก็เอ่ยว่า “คุณผู้ชายน่าจะยังนอนอยู่ คุณชายซูรอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ฉันจะขึ้นไปดูให้”

จวนเที่ยงวันแล้ว คุณน้าคนนี้ยังนอนหลับอยู่อีกหรือนี่

สงสัยเมื่อคืนคงไปเที่ยวสำเริงสำราญมาทั้งคืนอีกตามเคย ใช้เวลากลางวันกลางคืนสลับกัน ไม่มีวินัยในตนเองเอาซะเลย

ป้าอู๋ขึ้นไปถึงหน้าห้องของเฮ่อฮั่นจู่ที่ชั้นบน เคาะประตูเบาๆ สองทีแล้วรอครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากด้านในก็นึกว่าเขายังนอนอยู่ เธอกำลังจะหันหลังกลับ พลันได้ยินเสียงพูดแหบต่ำแฝงรอยขุ่นมัวจางๆ ดังลอยมาจากหลังประตู

“มีเรื่องอะไร”

เธอรีบตอบ “คุณผู้ชายเจ้าคะ คุณชายซูมาหา บอกว่าคุณลุงของเขาไม่สบายกะทันหัน ตอนบ่ายออกมาไม่ไหวจริงๆ เลยอยากจะขอขมาคุณ คุณจะให้พบไหมเจ้าคะ”

คนในห้องนิ่งเงียบไป ป้าอู๋รอจนเกือบสงสัยว่าเขาหลับไปอีก ถึงได้ยินเสียงเอื่อยเฉื่อยลอยออกมา “ให้เขารอสักครู่ เดี๋ยวฉันลงไป”

ป้าอู๋ขานตอบทันที เธอลงไปบอกอย่างยิ้มแย้ม “คุณผู้ชายตื่นแล้ว คุณชายซูรอประเดี๋ยวเดียวนะเจ้าคะ คุณผู้ชายกำลังจะลงมา” ว่าแล้วก็กุลีกุจอเชิญเธอนั่ง

เหมยเซียงยกน้ำชามาวางให้ เธอรับหมวก เสื้อโค้ต และผ้าพันคอที่ซูเสวี่ยจื้อถอดออกเอาไปแขวนด้านข้าง

หญิงสาวนั่งลงรอคอย เธอเตรียมใจว่าเฮ่อฮั่นจู่จะลงมาภายในสิบนาที เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิง

เวลาผู้หญิงตื่นนอนแล้วพบแขก ต้องแต่งตัวแต่งหน้า เป็นธรรมดาที่จะเสียเวลามากกว่า

แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนหนึ่งก็ใช้เวลานานจนน่ากลัว

เธอรออยู่ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ กระทั่งป้าอู๋ยังรู้สึกผิดปกติ ออกจากห้องครัวมาบอกว่าจะช่วยขึ้นไปดูให้อีกที เวลานี้เองเสียงรองเท้าหนังย่ำเดินบนพื้นไม้ก็ดังลอยมาจากชั้นบนในที่สุด

ซูเสวี่ยจื้อช้อนตาขึ้น เห็นเฮ่อฮั่นจู่ปรากฏตัวตรงชานพักบันไดจากชั้นบนแล้ว

เขาแต่งตัวเรียบร้อย สวมเครื่องแบบที่รีดเรียบกริบไม่เห็นรอยยับแม้แต่นิดเดียว คาดเข็มขัดหนังรอบเอวสอบ สวมรองเท้าทรงสูงที่ขัดเป็นมันวาวไร้คราบฝุ่นเกาะ เขาเอาเสื้อนอกพาดบนแขนข้างหนึ่งตามสบาย ส่วนอีกมือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง คาบบุหรี่ไว้ในปาก สาวเท้าลงบันไดมา

เธอลุกขึ้นยืนพลางลอบพิศดูสีหน้าของเขาพร้อมกับส่งเสียงเรียกทักทายว่า ‘คุณน้า’ คำหนึ่ง เห็นเขาลงมาแล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเธอด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่แม้แต่มองหน้าตรงๆ สักแวบเดียว เธอก็คลายความวิตกกังวลตลอดหลายวันนี้ลงได้ในทันใด

ที่นี้ก็กลับไปนอนหลับอย่างสบายใจได้แล้ว…

เธอบอกได้อย่างมั่นใจว่าเฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้รู้สึกสงสัยคำพูดของญาติผู้พี่ในวันนั้นเลย

ไม่เช่นนั้นท่าทีของเขาไม่มีทางเป็นแบบนี้ เพราะแต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา

“คุณน้าครับ ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อน คืออย่างนี้ครับ เมื่อคืนคุณลุงของผมคงจะเป็นไข้เพราะอากาศเย็น เมื่อเช้าท่านไม่สบาย…”

“ไม่เป็นไร เขาจะมาเมื่อไรก็ได้ แค่บอกให้รู้ล่วงหน้าสักคำเท่านั้นเป็นพอ ฉันมีธุระต้องไปก่อน เธอตามสบายนะ”

เขาทำท่าคล้ายไม่มีความอดทนพอจะฟังจนจบด้วยซ้ำ พูดตัดบทเธอฉับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย จากนั้นสาวเท้าผ่านหน้าเธอออกไป

“คุณผู้ชาย นี่ก็เที่ยงวันแล้ว ฉันเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว คุณทานก่อนค่อยออกไป…” ป้าอู๋ไล่ตามไปเรียกเขา

“ไม่กิน” เขาพูดจบก็ลับร่างไปนอกประตูห้องรับแขก

อึดใจต่อมาซูเสวี่ยจื้อได้ยินเสียงติดเครื่องรถยนต์ เธอเดินไปดูก็เห็นรถแล่นออกนอกประตูรั้วไปแล้ว

ป้าอู๋ถอนใจเฮือก หันมาทางซูเสวี่ยจื้อชวนให้อยู่กินอาหาร

เธอย่อมบอกปัดอย่างสุภาพ หลังจากพูดขอบคุณอีกฝ่าย เธอสวมเสื้อโค้ต หมวก และพันผ้าพันคอกลับตามเดิม กล่าวลาแล้วออกจากคฤหาสน์สกุลเฮ่อ ตั้งใจว่าจะกลับไปบอกคำตอบกับคุณลุงที่โรงแรมก่อนค่อยกลับวิทยาลัย

แถวนี้ไม่มีรถลาก เธอเดินย่ำหิมะไปตามถนนอู๋ถงสายนั้นเป็นระยะทางราวหลายร้อยเมตร เห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนข้างหน้า

ดูเหมือนจะเป็นเฮ่อฮั่นจู่?

ซูเสวี่ยจื้อฉงนใจไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาจอดรถอีกด้วยเหตุใด เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นหน้าต่างรถเปิดอยู่ เกล็ดหิมะปลิวลอยตามลมเข้าไปในรถแล้วร่วงหล่นลงบนหัวไหล่เขา

“ขึ้นรถ” เขายังคาบบุหรี่ไว้ในปากขณะที่พูด

เธอมองเขาปราดหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อย

ชายหนุ่มเพ่งตามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่ได้เหลียวมามองเธอแต่อย่างใด ทว่าด้านข้างไม่มีคนอื่นอีก เธอเลยเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง

เขาปิดกระจกรถ เอ่ยถามเธอว่า “จะไปไหน”

“โรงแรมเทียนเฉิง ผมจะไปหาคุณลุง ขอบคุณครับคุณน้า”

เขาไม่พูดตอบ เพียงเหยียบคันเร่งขับรถออกไป

พอหน้าต่างรถปิดสนิท กลิ่นยาเส้นจากมวนบุหรี่ที่ชายหนุ่มจุดสูบก็ค่อยๆ อบอวลไปทั่วพื้นที่เล็กแคบนี้

หญิงสาวไม่ชอบสูบควันบุหรี่มือสอง ก่อนหน้าเธอเคยได้ยินจากเฮ่อหลันเสวี่ยว่าเขามีอาการไอเรื้อรัง หลังอดทนอยู่ครู่หนึ่งก็อดพูดเตือนไม่ได้ “คุณน้า ไม่ทราบว่าคุณน้าเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่าว่าควันบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะคุณน้า ได้ยินว่าชอบไอตอนกลางคืน ยาสูบออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้อาการหนักขึ้นนะครับ”

เขาคาบบุหรี่ไว้ ชายตามองเธอพลางทำเสียงฮึ “เธอจะหวังดีเพียงนี้เลยหรือ”

ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกว่าปฏิกิริยานี้ของเขาแปลกพิกลนิดหน่อย แต่เธอยังคงพยักหน้าอย่างจริงจัง “คุณน้าอย่ารำคาญที่ผมยุ่งไม่เข้าเรื่อง ผมพูดเพราะคำนึงถึงสุขภาพของคุณน้าจริงๆ นะครับ”

เขาแค่นเสียงเยาะสั้นๆ “สมัยนี้อยากนอนแก่ตายบนเตียงแบบปกติไม่ใช่ง่ายๆ หรอกนะ หากได้ห่อศพด้วยหนังม้า แสดงว่าทำบุญมาดี คนตายโหงต่างหากเป็นเรื่องปกติ คุณชายซูเป็นห่วงตนเองให้มากๆ จะดีกว่า”

หญิงสาวได้ยินเขาเรียกเธอว่า ‘คุณชายซู’ เป็นครั้งแรก ทั้งยังจับน้ำเสียงประชดประชันได้รางๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนคุยกันคนละภาษา เธอปิดปากเงียบ ละความตั้งใจที่จะเตือนสติเขา

เขาสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจ ทำให้ควันอบอวลในรถมากขึ้น ใบยาสูบน่าจะจัดอยู่ในประเภทมีควันฉุนแรง ซูเสวี่ยจื้อโดนรมด้วยควันบุหรี่จนทนไม่ไหวจริงๆ สุดท้ายต้องเปิดหน้าต่างรถฝั่งเธอออก

สายลมเย็นเฉียบหอบหิมะพัดกรูเข้ามาจนหมวกของเธอเกือบปลิวหล่น

เธอรีบยกมือกดหมวกไว้

เขาชำเลืองมองเธอแล้วดึงบุหรี่ออกจากปากมาดับไฟในที่สุด

ตลอดทางที่เหลือซูเสวี่ยจื้อไม่พูดอะไรอีก ส่วนเขาก็ขับรถเงียบๆ ตรงไปส่งเธอที่โรงแรมแล้วหยุดจอดริมถนนฝั่งตรงข้าม

เธอลงจากรถกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาทแล้วจะออกเดินเข้าไปในโรงแรม

ในยามนี้เองก็ได้ยินเขาพูดขึ้นกะทันหัน “คุณลุงของเธอเดินทางมาไกล ไม่จำเป็นต้องถือธรรมเนียมหยุมหยิมพวกนั้น ฉันเป็นเจ้ามือเอง ดูว่าวันไหนคุณลุงเธอหายป่วยแล้ว ฉันขอเลี้ยงอาหารเขาสักมื้อ”

เขาหยุดเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “เธอกับญาติผู้พี่ก็มาด้วยกันสิ”

ซูเสวี่ยจื้อยืนอยู่บนพื้นหิมะริมทาง มองดูเขาพูดจบก็ขับรถจากไปทิ้งเธอไว้ที่เดิมแล้วอดรู้สึกงุนงงไม่ได้

บทที่ 73

เฮ่อฮั่นจู่ปล่อยให้ซูเสวี่ยจื้อรอนานครึ่งชั่วโมง พอลงมาก็พูดสั้นๆ ประโยคเดียวแล้วเดินวางท่าออกไปเลย จากนั้นก็พาเธอมาส่งที่โรงแรมอย่างไม่มีเหตุผล สุดท้ายยังใจดีขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารคุณลุงอีก

การไปหาเขาที่บ้านหนนี้ทำให้ซูเสวี่ยจื้อประจักษ์ชัดถึงนิสัยใจคอของเฮ่อฮั่นจู่คนนี้ว่าเป็นพวกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมากขึ้น

กระนั้นเมื่อเทียบกับความทรงจำอย่างอื่นที่เธอมีต่อเขาก่อนหน้านี้ เรื่องเล็กๆ เมื่อเช้านี้ต้องถือว่าธรรมดามาก เขาจะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายก็ไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด เธอเจอบ่อยจนชินเสียแล้ว

เอาเป็นว่าปัญหาคาใจเธอคลี่คลายแล้ว อีกทั้งยังทำธุระให้คุณลุงได้ด้วย หญิงสาวรู้สึกดีใจมาก เดินดุ่มๆ เข้าโรงแรมไปรายงานผลให้คุณลุงทราบ

ทีแรกเยี่ยหรู่ชวนยังหวั่นใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรปกติอีกฝ่ายต้องมีงานยุ่งมาก วันนี้อุตส่าห์เจียดเวลาให้เขา แต่เขากลับผิดนัด รับรองได้ยากว่าจะไม่ถือสาหาความเขา ไม่คาดคิดว่าหลานสาวไปหาอีกฝ่ายแล้วกลับมาพร้อมคำตอบว่าเฮ่อฮั่นจู่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหาร ทั้งยังบอกให้พาเด็กๆ ไปด้วย

หากเทียบกับให้เขาไปเยี่ยมคารวะด้วยตนเองแล้ว แบบนี้ดูใกล้ชิดกันมากกว่าตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ เป็นท่าทีที่บอกชัดว่ายอมรับเป็นคนครอบครัวเดียวกัน

เยี่ยหรู่ชวนดึงตัวหลานสาวมาซักถามเหตุการณ์ตอนพบกับเฮ่อฮั่นจู่เมื่อเช้าอย่างละเอียดยิบ

ซูเสวี่ยจื้อไม่มีทางเล่าว่าเขาให้เธอรอตั้งครึ่งชั่วโมงแน่นอน เธอได้แต่แต่งเรื่องให้เป็นการพบปะแบบที่พึงเป็นกันตามปกติเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของคุณลุง

คุณลุงของเธอฟังแล้วพออกพอใจและปลาบปลื้มมาก ส่งผลให้ความประทับใจที่มีต่อ ‘ลูกพี่ลูกน้องญาติห่างๆ’ ซึ่งยังไม่เคยพบหน้าค่าตากันคนนี้พุ่งถึงระดับสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สำหรับเรื่องที่ตอนนี้เธออยู่ในหอพักชายจะบอกให้คุณลุงรู้ไม่ได้เด็ดขาด

ซูเสวี่ยจื้อระวังรอบคอบไว้ก่อน พอพูดธุระจบแล้วยังกำชับเยี่ยหรู่ชวนกับซูจงว่าไม่จำเป็นต้องไปหาตนเองที่วิทยาลัยอีก เมื่อเห็นว่าทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็รีบกลับวิทยาลัย

เยี่ยหรู่ชวนอารมณ์ดีขึ้นและได้กินยานอนหลับพักผ่อนคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นแก้มของเขาเกือบหายบวมแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาให้ซูจงรีบไปส่งข่าวบอกชายหนุ่ม

ด้านจวงเถียนเซินเพื่อนเก่าซึ่งกลับจากเมืองหลวงแล้วเช่นกันมาหาเขา เจอหน้าก็อ้าปากต่อว่าต่อขานทันทีว่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกล จำเพาะต้องมาพักโรงแรมให้เสียสุขภาพ เยี่ยหรู่ชวนไม่มีทางบอกอยู่แล้วว่าโดนลูกชายยั่วโมโห หลังจากทั้งคู่โอภาปราศรัยถามไถ่ทุกข์สุขตามมารยาทแล้วนั่งรำลึกความหลังกัน

ทางเฮ่อฮั่นจู่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว นัดพบกันตอนสิบเก้านาฬิกาคืนนี้ที่ภัตตาคารเทียนเซียวร้านอาหารต้นตำรับชื่อดังที่สุดของเมืองเทียน โดยเขาขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารด้วย

ซูเสวี่ยจื้อได้ข่าวแล้ว ค่ำวันนี้เธอเลยต้องออกจากวิทยาลัยอีกครั้งติดตามคุณลุงกับญาติผู้พี่ไปที่ภัตตาคารเทียนเซียว

ผู้จัดการร้านรู้ว่าเฮ่อฮั่นจู่เป็นเจ้าภาพก็ออกมารอข้างนอกด้วยตนเอง พอรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นแขกที่ชายหนุ่มจะเลี้ยงอาหารก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี ยังเป็นคนนำทางไปยังห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดที่กันไว้ให้ล่วงหน้าเองด้วย จากนั้นบริกรก็ยกเมล็ดแตง ถั่วลิสง และน้ำชาเข้ามาวางให้

เยี่ยหรู่ชวนนั่งลงแล้วเทศนาลูกชายด้วยหน้าตาเคร่งขรึม ออกคำสั่งว่าคืนนี้ต้องตั้งสติให้ดีๆ ถ้าทำให้เขาขายหน้าอีก กลับไปจะตีให้ตายคามือให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

ขณะที่อบรมสั่งสอนอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคละเคล้าเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากข้างนอก เขารู้ว่าผู้จัดการร้านพาเฮ่อฮั่นจู่มาถึงแล้วจึงรีบหยุดปาก ค่อยบอกให้ลูกชายและหลานสาวลุกขึ้นพร้อมกัน

ซูเสวี่ยจื้อมองไปเห็นผู้จัดการร้านเลื่อนประตูห้องเปิดออก เฮ่อฮั่นจู่ก้าวเข้ามาก่อน ส่วนจวงเถียนเซินตามมาข้างหลัง

ที่แท้เฮ่อฮั่นจู่รู้ว่าจวงเถียนเซินกลับมาแล้ว เห็นว่าเขากับเยี่ยหรู่ชวนเป็นเพื่อนสนิทกันเลยชวนมาร่วมวงกินอาหารด้วยกันในคืนนี้

เยี่ยหรู่ชวนลอบมองสำรวจผู้ชายในชุดเครื่องแบบทหารที่เดินนำหน้าเข้ามาอย่างฉับไว หนุ่มแน่นหล่อเหลา ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง รูปหน้าเกลี้ยงเกลาคมคาย คิ้วเข้มดกดำดุจหมึก นัยน์ตาแฝงแววเฉียบขาดไว้

เขารู้ว่าหลานชายสกุลเฮ่อคนนั้นมาถึงแล้ว พอเปรียบเทียบกับภาพเด็กหนุ่มที่เห็นผาดๆ แวบเดียวตอนไปที่บ้านสกุลเฮ่อเมื่อนานมาแล้วในความทรงจำ กลับหาจุดที่ละม้ายคล้ายคลึงกันไม่พบแม้สักกระผีก

เยี่ยหรู่ชวนไม่กล้าเชือนแช สาวเท้าเร็วรี่เข้าไปแนะนำตนเองก่อน แน่นอนว่าที่จะขาดเสียไม่ได้คือคำพูดตามมารยาทเช่นว่า ‘อยากรู้จักมานานแล้ว’ ทำนองนี้

เฮ่อฮั่นจู่หยุดฝีเท้ามองไปทางเขา บนหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเป็นฝ่ายยื่นมือไปจับมือกับเขาก่อน ถามไถ่ว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้างแล้วพูดต่อว่า “ผมขอโทษที่มาช้า อย่าถือสานะครับ”

เยี่ยหรู่ชวนรีบกล่าวตอบ “ผู้บัญชาการเฮ่อเกรงใจไปแล้ว ผมเพิ่งพาเด็กสองคนนี้มาถึงเหมือนกัน จะพูดว่าคุณมาช้าได้ที่ไหนกัน”

เฮ่อฮั่นจู่ยิ้มน้อยๆ “เป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ต้องเห็นเป็นคนอื่นคนไกล เรียกชื่อรองผมว่าเยียนเฉียวได้เลยครับ”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะแสดงความเกรงใจ แต่พบกันครั้งแรกเยี่ยหรู่ชวนไม่กล้ายกตัวเป็นญาติผู้พี่แน่นอน เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการเฮ่อให้เกียรติผมเกินไปแล้ว ผมขอรับไมตรีจิตของคุณไว้ด้วยใจ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปเรียกลูกชายกับซูเสวี่ยจื้อ

เยี่ยเสียนฉีก้มหัวกล่าวทักทายอย่างอ่อนน้อม

ซูเสวี่ยจื้อก็เรียกทักทายว่า ‘คุณน้า’ อย่างว่านอนสอนง่าย

ตอนนี้เองจวงเถียนเซินก้าวเข้ามาพูดกลั้วเสียงหัวเราะชอบใจว่าตนเองมีลาภปาก ทั้งยังบอกให้รีบนั่งลงอย่ามัวยืนพูดคุยกัน

เฮ่อฮั่นจู่เชิญให้เยี่ยหรู่ชวนนั่งหัวโต๊ะ แต่เยี่ยหรู่ชวนไม่ยอมท่าเดียว บอกว่านับตามศักดิ์แล้วทั้งคู่เป็นรุ่นเดียวกัน ตนเองแค่อายุมากกว่าหลายปีเท่านั้น อีกทั้งคืนนี้เฮ่อฮั่นจู่เป็นเจ้าภาพ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องนั่งตรงนี้

ทว่าชายหนุ่มไม่ยอมนั่งเช่นกัน บอกว่าต้องให้เกียรติผู้อาวุโส ด้านจวงเถียนเซินยิ่งไม่กล้าไปนั่ง

ซูเสวี่ยจื้อมองดูพวกเขาพูดปัดกันไปมา สุดท้ายปล่อยให้เก้าอี้หัวโต๊ะว่างไว้

เฮ่อฮั่นจู่นั่งตรงเก้าอี้ด้านข้างก่อน เยี่ยหรู่ชวนนั่งถัดจากเขาแล้วค่อยเป็นจวงเถียนเซิน จากนั้นก็ถึงคราวเยี่ยเสียนฉีกับซูเสวี่ยจื้อนั่งลงในที่สุด

ผู้จัดการร้านคอยดูแลให้บริกรยกอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะจนครบทุกจานอย่างว่องไว เยี่ยหรู่ชวนพร้อมด้วยลูกชายกับหลานสาวขอดื่มเหล้าคารวะเฮ่อฮั่นจู่ก่อน ชายหนุ่มก็ร่วมดื่มด้วยเป็นการคารวะตอบ พาให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นขึ้นทันใด

เยี่ยหรู่ชวนยังขอดื่มให้ชายหนุ่มเองอีกครั้งเพื่อขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวเขา หลังเหล้าลงท้องไปหลายแก้ว เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเป็นกันเองมาก เขาก็ค่อยๆ ปล่อยตัวตามสบาย ระหว่างที่พูดคุยสัพเพเหระกัน ยังเล่าเรื่องการค้าของตนเองบ้างอีกด้วย

ฝ่ายจวงเถียนเซินได้ดื่มเหล้าแล้วยิ่งคุยอย่างออกรสออกชาติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอยู่ดีๆ ก็ไพล่ไปเอ่ยว่าสองวันนี้มีหิมะตกทำให้อากาศหนาว จากนั้นทำท่าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หันหน้าไปทางซูเสวี่ยจื้อที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่ตลอด บอกให้เธอใส่ใจเรื่องเตาผิงไฟให้ความอบอุ่นในห้องนอนด้วย เล่าว่าแถวบ้านเขามีคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพัง หลายวันก่อนเพราะจุดเตาไม่ระวังเลยสำลักควันจนหมดสติไป เคราะห์ดีที่ตอนนั้นมีคนมาหาถึงเจอเข้าพอดี พาตัวออกมาอยู่ในที่โล่งได้ทันถึงได้ไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น

จวงเถียนเซินคงคิดว่าเธอยังพักอยู่คนเดียวในห้องเดิม น่าจะพูดเตือนด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน

ซูเสวี่ยจื้อหยุดคีบอาหารพลางตวัดตามองเฮ่อฮั่นจู่แวบหนึ่งอย่างฉับไว

หลังจากเขาเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวคืนนี้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองเป็นอากาศธาตุ เพราะเขาไม่เหลือบแลมาทางเธอเลย แต่ชั่วขณะนี้เห็นเขามองมาพอดีเหมือนกัน เธอรีบดึงสายตากลับ พยักหน้าทำเสียงตอบอือออพร้อมเอ่ยว่า “ทราบแล้ว”

กระนั้นมันเข้าตำราที่ว่าคนพูดไม่คิดอะไร คนฟังกลับสะกิดใจ

เยี่ยหรู่ชวนนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวพักอยู่คนเดียวก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาฉับพลัน เขาพูดขึ้นว่า “เสวี่ยจื้อ หรือไม่พรุ่งนี้ลุงไปที่ห้องพักในวิทยาลัยของเธอ ช่วยตรวจดูเตาผิงให้เผื่อว่ามีตรงไหนรั่ว”

ซูเสวี่ยจื้อสะดุ้งตกใจ รีบหันไปมองเฮ่อฮั่นจู่อีกทีโดยไม่ทันคิดเลยประสานสายตากับเขาเป็นครั้งที่สอง

เธอเห็นเขาทำท่าชั่งใจเล็กน้อย จากนั้นมองไปทางคุณลุงของเธอแล้วทำท่าคล้ายจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง หญิงสาวจึงส่งเสียงพูดตัดหน้าด้วยความร้อนใจ “ไม่ต้องครับ คุณลุงสบายใจได้ สองวันก่อนช่างของวิทยาลัยเพิ่งตรวจดูให้แล้ว ไม่มีปัญหาสักนิดเดียว” เธอพูดจบแล้วจ้องหน้าชายหนุ่ม ส่งสายตาบอกเขาว่าอย่าพูดเรื่องที่เธอย้ายห้องพักออกมา

ชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ไม่ปริปากพูดอะไร ดูเหมือนเข้าใจความหมายของเธอแล้วในที่สุด

เยี่ยหรู่ชวนได้ยินหลานสาวบอกเช่นนี้ ทั้งยังพูดสำทับอีกสองคำถึงวางใจได้ จากนั้นเขาก็เริ่มคุยเรื่องอื่นกับเฮ่อฮั่นจู่ต่อ

ซูเสวี่ยจื้อถอนหายใจอย่างโล่งอก

การกินเลี้ยงสังสรรค์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งเจ้าภาพและแขกดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

หลังกินอาหารเสร็จ เยี่ยหรู่ชวนเรียกลูกชายกับหลานสาวมาใกล้ๆ เขายื่นมือไปจับมือกับเฮ่อฮั่นจู่แน่นๆ อีกครั้ง พูดว่าลูกหลานตนเองไม่เอาไหน เห็นทีว่าวันหลังยังต้องรบกวนให้อีกฝ่ายช่วยเหลือดูแลอีก

เฮ่อฮั่นจู่หยักยิ้มตกปากรับคำ พอเห็นเยี่ยหรู่ชวนกับจวงเถียนเซินมีท่าทางเมามายอยู่บ้างก็เสนอตัวขับรถไปส่ง พวกเขาบอกปัดเต็มที่ แต่เห็นชายหนุ่มมีใจเอื้อเฟื้อเหลือหลาย สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับน้ำใจ

เยี่ยเสียนฉีต้องนั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขมาทั้งคืนจนการพบปะสังสรรค์สิ้นสุดลงอย่างราบรื่น มีหรือจะกล้านั่งรถของเฮ่อฮั่นจู่อีก เขาขอกลับเองโดยบอกว่าคืนนี้ต้องเข้าเวรที่สถานีตำรวจซึ่งอยู่คนละทางกัน

ซูเสวี่ยจื้อก็บอกว่าจะกลับพร้อมกับญาติผู้พี่ คิดไม่ถึงว่าเฮ่อฮั่นจู่จะพูดขึ้นว่า “เธอกลับวิทยาลัยเป็นทางเดียวกัน ขึ้นมาเถอะ ยังมีที่ว่าง”

ตอนนี้อากาศหนาวจัด วิทยาลัยของหลานสาวอยู่ชานเมืองเปลี่ยวไกล ทั้งยังเป็นเวลาดึกดื่นค่ำมืดอีก เยี่ยหรู่ชวนไม่ค่อยวางใจอยู่แล้ว พอได้ยินเฮ่อฮั่นจู่พูดแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อลูกหลานของตนเองจริงๆ เขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงรีบเอ่ยขอบคุณแทน

ซูเสวี่ยจื้อได้แต่ต้องขึ้นรถไปด้วย

เฮ่อฮั่นจู่ส่งเยี่ยหรู่ชวนกับจวงเถียนเซินถึงโรงแรมแล้วบอกให้พักผ่อนอย่างสบายใจ เขาจะพาหลานชายไปส่งให้ถึงวิทยาลัยเอง เยี่ยหรู่ชวนพร่ำพูดขอบอกขอบใจ หลังจากนั้นเฮ่อฮั่นจู่ก็ออกรถอีกครั้งมุ่งหน้าต่อไปทางทิศเหนือของเมือง

พอเหลือแค่เขากับซูเสวี่ยจื้อที่นั่งอยู่เบาะหลัง ภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบโดยพลัน

บนโต๊ะอาหารคืนนี้ หญิงสาวดื่มเหล้าตามคุณลุงไปหลายแก้ว เมื่อครู่ตอนออกจากร้านเธอรู้สึกเมามายเล็กน้อย เวลานี้ข้างหูไร้สรรพเสียงใด รถก็แล่นได้เรียบสนิทเหมือนกับนั่งเรือ พาให้เริ่มง่วงงุนทีละน้อย เธอหลับตาลงเอนศีรษะพิงพนักงีบหลับ

เฮ่อฮั่นจู่ขับรถออกไปทางทิศเหนือของเมืองได้ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านหลัง เขาอดเอี้ยวคอมองไม่ได้ ก็เห็นเธอซุกตัวอยู่มุมหนึ่ง ศีรษะพิงซบที่นั่งเบาะหลังนิ่งๆ คล้ายหลับไปแล้วกระนั้น

ขณะนี้ค่อนข้างดึก ลมหนาวเย็นเยือกด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาในรถ เป็นเหตุให้อุณหภูมิต่ำลงมาก

เขาลังเลใจนิดหนึ่ง แต่ยังคงชะลอรถและจอดในที่สุด ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตของตนเองแล้วลงรถเดินไปฝั่งที่เธอนั่งอยู่ เปิดประตูรถอย่างเบามือ คิดจะเอาเสื้อห่มบนตัวเธอ

จริงๆ แล้วซูเสวี่ยจื้อยังหลับไม่สนิท เธอสะลึมสะลือรู้สึกได้รางๆ ว่ามีคนเปิดประตูรถก็ตกใจตื่นทันใด ลืมตาขึ้นเห็นเงาดำตะคุ่มๆ ที่อยู่ข้างตัวเป็นเฮ่อฮั่นจู่ เขาเหยียดแขนสองข้างราวกับจะเอื้อมมาหา ทำให้เธอสะดุ้งโหยง กระถดตัวไปด้านในรถนั่งหลังตรงตามสัญชาตญาณทันที

“คุณจะทำอะไร” เธอจ้องเขาเขม็งอย่างระแวดระวัง

เฮ่อฮั่นจู่อึ้งงันไป มือเขาที่ถือเสื้อไว้ชะงักกึก พอเธอขยับตัว สายตาของชายหนุ่มก็เลื่อนไปหยุดอยู่ตรงหน้าอกที่แบนราบเหมือนไม้กระดาน เขายืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนพ่นลมหายใจออก โยนเสื้อตนเองไปที่ตัวหญิงสาว มันครอบลงบนศีรษะเธอพอดี

เดิมทีแสงไฟรอบด้านก็มืดสลัวอยู่แล้ว ทีนี้เธอเลยมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น

ซูเสวี่ยจื้อเพียงรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มๆ ปุกปุยแฝงไออุ่นแผ่คลุมลงมาทางศีรษะของตนเอง

ต่อจากนั้นจมูกที่เฉียบไวของเธอก็ได้กลิ่นไม่คุ้นเคยคล้ายเป็นกลิ่นยาสูบปนกลิ่นสบู่ที่อ่อนจางมากระลอกหนึ่ง

ไม่ใช่ว่ากลิ่นนี้ไม่ชวนดม แต่เมื่อนึกถึงว่านี่เป็นเสื้อของเขา เธอก็รีบกลั้นหายใจไม่กล้าดม ทั้งยังดึงมันออกจากศีรษะตนเองอีกด้วย

“เธอว่าฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”

เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเหมือนเยาะๆ จบก็ปิดประตูรถดังปึง จากนั้นเดินกลับไปนั่งตรงที่นั่งด้านหน้าตามเดิมแล้วขับรถต่อไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: