X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทนำ-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทนำ  

เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่ว

 

วันนี้เป็นวันจิงเจ๋อ

ขณะทูตจากเขาปี้ลั่วมาถึงสกุลมู่ มู่เฉินเพิ่งจะดึงถังน้ำขึ้นมาจากในบ่อ เชือกป่านหยาบกระด้างรัดจนเจ็บฝ่ามือ นางใช้แรงไปมากกว่าจะยกถังน้ำขึ้นมาไว้บนขอบบ่อ หอบหายใจเบาๆ สองสามที ใบหน้าเล็กที่เปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลาแดงเรื่อ

ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้หนาวเย็นกว่าปกติ ดินแดนทางใต้ประเดี๋ยวแจ่มใสประเดี๋ยวมีฝน ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนตกลงมาติดต่อกันหลายวัน ในที่สุดวันนี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งได้เสียที ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี น้ำแข็งในสระละลายแล้ว ผิวน้ำปรากฏประกายแสงสีขาวระยิบระยับ คลื่นเขียวใสไหวระลอก สรรพสิ่งฟื้นคืนชีวิต

มู่เฉินถูมือเล็กที่เห่อแดงก่อนเป่าลมหายใจร้อนใส่มือ จากนั้นก็หิ้วถังน้ำขนาดเท่าครึ่งตัวนางเดินไปยังเรือนปีกของเรือนด้านหลัง

ทิศตะวันออกพลันเกิดเสียงฟ้าร้องลั่น มู่เฉินตกใจจนมือเล็กเกิดสั่น น้ำทั้งถังหกพรวดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เปียกรองเท้าและเสื้อผ้า ทั้งทำให้ดินโคลนบนพื้นกระเด็นขึ้นมา

นางเงยหน้ามองไป ท้องฟ้าสีคราม ทิวทัศน์สิ่งของยังคงเดิม ไม่มีเมฆดำม้วนตัวหรือแม้แต่สายลมหนาวเหน็บ ประหนึ่งว่าเสียงฟ้าร้องเมื่อครู่นี้เป็นเพียงนางหูแว่วไปเองเท่านั้น แต่เมื่อย้อนนึกดูหลังจากนี้ ไม่ว่าโชควาสนานานัปการหรือชะตาชีวิตอันไม่คาดฝันทั้งหมดในชีวิตนี้ของนางล้วนเริ่มต้นจากเสียงฟ้าร้องนี้

“โธ่คุณหนู อยู่ดีๆ ท่านเล่นน้ำด้วยเหตุใดกัน! ดูซิ พื้นสกปรกแล้ว!” เสียงแหลมของป้าหลิวผู้ดูแลดังขึ้น และเพียงครู่เดียวก็เดินมาถึงเบื้องหน้ามู่เฉินแล้ว “ย้ายมาอยู่ที่เรือนด้านหลังแล้วก็ยังไม่หัดสงบเสงี่ยม คิดจะทำให้นายท่านไล่พวกท่านออกจากสกุลมู่หรือไร หรือคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายในสกุลมู่ไปแล้วจริงๆ!”

มู่เฉินเก็บถังน้ำบนพื้นขึ้นมา แม้จะอายุยังน้อย แต่น้ำเสียงนางกลับมีแววเฉยชาไม่แยแสต่อโลก “ท่านแม่ป่วย ข้ามาตักน้ำไปให้นาง” นางพูดจบก็หันตัวเดินกลับไปที่บ่อน้ำ

นางโยนถังไม้ลงไปในบ่อ แต่เพราะแรงมีไม่พอ โยนอยู่หลายครั้งถังน้ำก็ยังคงลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่ง่ายเลยกว่าจะตักน้ำขึ้นมาได้ครึ่งถัง มู่เฉินหายใจหอบ เลือดฝาดบนใบหน้ายิ่งขึ้นสีเข้ม สองมือหิ้วถังน้ำไว้ข้างตัว เร่งฝีเท้าเดินกลับเรือนไปโดยไม่ปริปาก

ป้าหลิวตะโกนไล่หลังขึ้นอีกว่า “อีกประเดี๋ยวอย่าลืมมาเช็ดน้ำบนพื้นให้สะอาดด้วย ฮูหยินเห็นแล้วจะโมโหเอาได้!”

มู่เฉินชะงักเท้า สีหน้าเป็นปกติ แต่ระหว่างที่เผลอไผลกลับกัดริมฝีปากล่างไว้อย่างแรง

เพียงพริบตาเดียวนางก็ยืดหลังตรง เดินมุ่งหน้าไปต่อ

‘ฮูหยิน’ ที่ป้าหลิวพูดถึงมิใช่มารดาของมู่เฉิน และคำว่า ‘เจ้านาย’ ก็เป็นเพียงคำเรียกที่เหล่าบ่าวไพร่ใช้เสียดสีนาง นาง…มู่เฉินแม้จะกล่าวได้ว่าเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลมู่ ทว่านับแต่จำความได้นางก็ไม่เคยมีชีวิตสุขสบายแม้แต่วันเดียว มู่ไป่เอินโปรดปรานโต้วซื่* ผู้เป็นภรรยาเอกแต่เพียงผู้เดียว ส่วนอิ่นซื่อมารดาของนางเป็นนักแสดงหุ่นเงา หลังให้กำเนิดนางและมู่อวิ่นจือผู้เป็นน้องสาวก็ไม่เคยได้รับความเมตตาจากสามีอีกแม้แต่นิดเดียว

ไม่กี่เดือนก่อนมู่เซิงบุตรสาวของโต้วซื่อแย่งตุ๊กตาผ้าของมู่อวิ่นจือไป หลังถูกมู่อวิ่นจือข่วนเป็นแผลกลับย้อนมาใส่ร้ายมู่อวิ่นจือต่อหน้ามู่ไป่เอิน นับแต่นั้นสามแม่ลูกก็ถูกไล่ออกจากเรือน ทำได้เพียงมาอาศัยอยู่ในเรือนด้านหลังอันเป็นที่พักของบ่าวไพร่

ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไปอิ่นซื่อก็ล้มป่วยเสียแล้ว อีกทั้งมู่อวิ่นจือยังเยาว์วัย มู่เฉินจึงต้องเป็นฝ่ายดูแลพวกนาง

นี่ถึงขั้นว่าแม้แต่บ่าวไพร่ยังสามารถมาข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจแล้วหรือ…ต้องทำอย่างไรกันหนอจึงจะสามารถหลุดพ้นจากสภาพเยี่ยงนี้ไปได้ มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น

นางได้ยินมารดาบอกว่าเคยมีชีวิตที่ดีอยู่เช่นกัน เป็นก่อนหน้าที่โต้วซื่อจะแต่งเข้ามา พวกนางทั้งครอบครัวอันที่จริงเคยมีชีวิตที่มีความสุขอย่างที่สุด

ทว่ามู่เฉินนึกไม่ออก…นึกไม่ออกแม้แต่นิดเดียว

เนื่องจากใช้ความคิดหนักเกินไปมู่เฉินจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหยิ่งผยองดังมาจากทางด้านหน้า ครั้นนางเดินไปใกล้คนผู้นั้นก็อยู่ห่างไม่มากแล้ว ผู้มาก็คือมู่เซิงบุตรสาวคนที่สามของสกุลมู่ นางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกเท้าเตะถังน้ำในมือมู่เฉิน

มู่เฉินกำหูของถังน้ำไว้แน่นตามสัญชาตญาณ ใช้แรงเบี่ยงถังออก ขณะถังน้ำหลุดมือก็ได้ครูดหนังมือของมู่เฉินถลอกไปด้วย มู่เฉินสูดปาก นางเงยหน้าเห็นมู่เซิงกำลังมองมาด้วยท่าทางย่ามใจ

“ที่แท้วันนี้เจ้าก็ไม่มีตา! มองเห็นข้าไยจึงไม่หนีไปเล่า”

มู่เซิงสวมชุดสีชมพู ทำผมทรงมวยคู่ คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวหิมะไว้บนร่าง มองอย่างไรก็เป็นดั่งตุ๊กตาหยกเจียระไน ถึงกระนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายนั้นมีแววเชือดเฉือนและเย็นชาดุดันเหมือนอย่างโต้วซื่อชัดเจน เห็นแล้วชวนสะอิดสะเอียนยิ่งยวด

เมื่อป้าหลิวมองเห็นมู่เซิงก็ก้าวไปหา “ทูนหัวของบ่าว ฮูหยินกำชับไว้แล้วว่ายามออกมาข้างนอกต้องถือเตาอุ่นมือไว้ด้วย ท่านออกมาเยี่ยงนี้เกิดหนาวจนมือแข็งขึ้นมา บ่าวมิใช่ต้องชีวิตหาไม่หรอกหรือเจ้าคะ!”

มู่เซิงพูดด้วยรอยยิ้มละไม “ป้าหลิว กลับไปแล้วอย่าลืมบอกแม่ข้าด้วยว่านางแพศยาแซ่อิ่นกับนางแพศยามู่อวิ่นจือนั่นถูกข้าตบไปสองฉาดจนแม้แต่พูดยังไม่กล้าพูดแล้ว” ขณะที่พูดก็มองมู่เฉินด้วยท่าทางได้ใจ

มู่เฉินได้ยินดังนี้ก็ไม่แสดงอาการใด เพียงก้มตัวเก็บถังน้ำขึ้นมาหมายจะเดินขึ้นหน้า ทำเสมือนว่ามองไม่เห็นอีกฝ่าย

มู่เซิงแปลกใจอยู่บ้าง กล่าวว่า “อะไรกัน เป็นใบ้เสียแล้ว? ปกติเจ้ามิใช่ชอบตีฝีปากกับข้ามากหรือไร”

มู่เฉินไม่มีสีหน้าท่าทางใดๆ ทว่าขณะเดินผ่านมู่เซิงนางก็พลันหันไปสะบัดมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของฝ่ายหลังอย่างแรง!

เพียะ!

ป้าหลิวถึงขั้นยังไม่มีการตอบสนอง มู่เซิงยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บฝ่ามือของมู่เฉินก็ตบเข้าที่แก้มอีกฝั่งของมู่เซิงในทันที

ครั้นป้าหลิววิ่งมาด้วยอารามตกใจและมู่เซิงอ้าปากเตรียมจะร้องไห้ มู่เฉินก็ออกแรงยกถังน้ำขึ้นมาและคว่ำใส่ศีรษะของมู่เซิงแล้ว! นางอาศัยแรงนี้ผลักมู่เซิงให้ล้มหงายลงบนพื้น

กว่าป้าหลิวจะกระชากตัวมู่เฉินออกมาได้ มู่เซิงก็ร้องไห้ฟูมฟายแล้ว พอดึงถังน้ำออกมาจากศีรษะผมเผ้านางยุ่งเหยิงพร้อมน้ำตานองหน้า นางกรีดร้องเสียงดัง ที่แล้วมาทุกครั้งยามต่อปากต่อคำแพ้มู่เฉินนางก็หวังจะเห็นมารดามาทำให้คนพวกนี้อัปยศอดสู แต่สิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงคือนางชั้นต่ำที่เกิดจากนางแพศยาผู้นั้นจะกล้าลงไม้ลงมือกับนาง!

หลังมู่เฉินลงมือแล้วก็มีท่าทางทุลักทุเลอยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่นางเพียงลุกขึ้นจัดชายกระโปรงแล้วยืนตัวตรง ก่อนแค่นเสียงเย็นกล่าวอย่างคล้ายว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น “แม่เป็นเยี่ยงไร ลูกก็เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ ข้าจะถือเสียว่าสั่งสอนเจ้าแทนบิดาเจ้าแล้วกัน สกุลมู่จะอย่างไรก็เป็นตระกูลขุนนางในแถบเจียงจั่วมาหลายชั่วอายุคน เจ้าเอาแต่พ่นคำพูดสกปรกเช่นนี้เป็นการเสื่อมเสียเกียรติวงศ์ตระกูลโดยแท้”

มู่เฉินใช้คำว่า ‘บิดาเจ้า’ เพราะในสายตาของนางมู่ไป่เอินขุนนางคนสำคัญแห่งราชวงศ์จิ้นไม่สมควรเป็นบิดาของตนเอง ทว่าแม้ภายนอกนางใจเย็น แต่อันที่จริงในใจก็หวาดกลัวเช่นกัน ที่ผ่านมาปะทะคารมกันนั้นช่างเถอะ แต่คราวนี้ถึงกับลงไม้ลงมือตบอีกฝ่ายเข้าจริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะมีผลตามมาเช่นไร

พอมู่เซิงร้องแรกแหกกระเชอพ่อบ้านก็โผล่มาตามคาด

มู่เซิงน้ำมูกน้ำตาไหลเต็มหน้า ชี้มู่เฉินพลางร้องไห้โวยวาย “พ่อบ้าน เร็ว เร็วเข้า! เรียกคนมา! นางตบข้า! นางถึงกับบังอาจตบข้า!”

มู่เฉินมองพ่อบ้านเงียบๆ ทั้งสกุลมู่คล้ายว่าจะมีเพียงพ่อบ้านวัยกลางคนผู้นี้ที่เข้าใจในเหตุและผล ไม่เคยสร้างความลำบากใจใดๆ ต่อนาง แต่ครั้งนี้เกรงว่าเขาคงจะต้องตำหนินางแล้วกระมัง

ทว่าเหนือความคาดหมาย พ่อบ้านเพียงมองมู่เซิงพลางถอนหายใจ

แววอ่อนอกอ่อนใจในดวงตานั้นเหมือนกับที่ใช้มองมู่เฉินในกาลผ่านมา

มู่เฉินมองเข้าใจแล้ว แต่มู่เซิงยังไม่เข้าใจ ป้าหลิวเองก็ไม่เข้าใจ พวกนางคนหนึ่งร่ำไห้อาละวาดอย่างต่อเนื่อง อีกคนก็คอยใส่สีตีไข่

ในขณะที่มู่เฉินยามนี้กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าพ่อบ้านจะพูดอะไรบ้าง ดูจากแววตาพิกลนั้นของเขาจะต้องมีเรื่องอะไรที่คาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้วเป็นแน่แท้

ทว่าพ่อบ้านเองก็เพียงแต่กล่าวกับมู่เซิงว่า “คุณหนูขอรับ นายท่านและฮูหยินเรียกท่านไปที่โถงด้านหน้าประเดี๋ยวนี้ จะช้ามิได้แม้เพียงเค่อ เดียว”

มู่เซิงไม่ยอมทำตาม ก่อนจะพูดว่า “ไปโถงด้านหน้าอันใดกัน! สภาพข้าเป็นเยี่ยงนี้ยังจะไปโถงด้านหน้าได้หรือ! เจ้าไปเรียกท่านพ่อท่านแม่มาซิ!”

ป้าหลิวเองก็กล่าวกับพ่อบ้านว่า “คุณหนูบอกอะไรท่านก็ทำตามไปสิ!”

“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” พ่อบ้านเปลี่ยนท่าทีต่างไปจากที่ผ่านมา ทำหน้าเคร่งพลางกล่าวว่า “คุณหนูโปรดตามบ่าวไปบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ”

คราวนี้มู่เซิงถูกพ่อบ้านที่มีท่าทีอ่อนโยนเสมอมาทำให้ตกใจจึงเอ่ยถามเสียงค่อย “อาจารย์มาฟ้องท่านพ่อเรื่องข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”

พ่อบ้านถอนหายใจ “ท่านตามบ่าวไปก็พอขอรับ”

ป้าหลิวคล้ายว่าตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้วเช่นกันจึงส่งสัญญาณบอกให้มู่เซิงหยุดอาละวาด ก่อนจะจูงนางเดินตามหลังพ่อบ้านไป

มู่เฉินหรี่ตาลงน้อยๆ คิดในใจว่าสกุลมู่จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่แท้ แต่ขณะนี้นางไม่มีเวลาให้สนใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ได้แต่กุลีกุจอตักน้ำกลับไปดูแลมารดา

 

ห้องโถงใหญ่ของสกุลมู่ มู่ไป่เอินนั่งมุ่นคิ้วอยู่ตรงโต๊ะ ในขณะที่โต้วซื่อนั้นร้องห่มร้องไห้จนผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มอยู่นานแล้ว

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสปานนี้คนสกุลมู่ไม่มีทางเชื่อได้ลงจริงๆ ว่านกหลวน สีเขียวครามเข้มตัวหนึ่งจะกำลังโฉบไปมาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ประหนึ่งว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างด้วยความร้อนใจ

บนดินแดนแห่งนี้เคยมีตำนานเกี่ยวกับนกหลวนอยู่นับไม่ถ้วน ทว่ายามที่มันปรากฏตัวจริงๆ พวกเขากลับไม่อยากจะเชื่อ

นี่ก็คือเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วที่อยู่ในตำนานมานับร้อยนับพันปี

มู่เฉินเคยเห็นในถาดทรายห้องหนังสือโดยไม่ตั้งใจ หลังจากเหตุการณ์กบฏแปดอ๋อง ห้าชนเผ่า ลุกฮือก็เป็นเหตุการณ์หายนะหย่งจยา ผู้คนล้มตายเป็นเบือ มาปัจจุบันลั่วหยางและฉางอันถูกข้าศึกยึดครอง ราชวงศ์จิ้นตกต่ำ ทำได้เพียงหลบมาตั้งมั่นอยู่ที่เจี้ยนคังในแถบเจียงจั่ว

ตอนเหนือของแม่น้ำไหวเหอเป็นพื้นที่คุมเชิงกันระหว่างแคว้นฉินและแคว้นเยียน ส่วนทางตะวันตกมีเทือกเขาเหิงเจวี๋ยตั้งขนานไปจนสุดสายแม่น้ำ ด้านตะวันตกของเทือกเขาเชื่อมกับแม่น้ำหวงเฉวียน ทางเหนือเชื่อมกับทะเลทราย ยอดเขาสูงตระหง่านเสียดเมฆ ในสายตาของชาวฮั่นเทือกเขาเหิงเจวี๋ยก็คือปลายทางของแผ่นฟ้าและผืนดิน

นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่เคยมีใครข้ามไป และก็ไม่มีใครจะไปคิดถึงเรื่องว่าที่ด้านหลังภูเขามีสิ่งใดอยู่ ส่วนความศรัทธาและความคาดหวังสูงสุดที่ผู้คนมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สุดอยู่ที่เขาปี้ลั่วเช่นกัน…เขาลูกที่สูงที่สุดในเทือกเขาเหิงเจวี๋ยมีชื่อว่า ‘ปี้ลั่ว’ เล่าลือกันว่ายอดเขาของมันสูงขึ้นไปถึงแดนเซียนบนชั้นเมฆ มีเซียนพำนักอยู่ตลอดทั้งปี

และสถานที่ที่มีเซียนพำนักอยู่ก็ย่อมมีศาสตร์แห่งกษัตริย์

ในตำราบันทึกไว้ว่าทุกๆ ยี่สิบสามสิบปีไปจนถึงสองสามร้อยปีจะมีเทวทูตจากเขาปี้ลั่วลงมายังโลกมนุษย์ คัดเลือกผู้มีความสามารถมุ่งหน้าไปศึกษาศาสตร์แห่งกษัตริย์ยังเขาปี้ลั่ว ในกาลภายหลังหากบ้านเมืองปั่นป่วนก็จะมีอริยปราชญ์ลงมาจากยอดเขา ช่วยยุติความปั่นป่วน ทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ

ทว่ายิ่งมาถึงยุคหลังอริยปราชญ์ที่ว่านั้นก็ยิ่งพบเจอได้ไม่มากแล้ว ท่านล่าสุดปรากฏตัวเมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน เป็นเขาที่ช่วยฉินอ๋องรวบรวมจงหยวน ให้เป็นหนึ่ง สถาปนาราชวงศ์ฉินอันแข็งแกร่งเกรียงไกรอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ปฐมกษัตริย์กุมอำนาจควบคุมใต้หล้า เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่ครองอำนาจได้เพียงไม่นาน

ดูท่าศาสตร์แห่งกษัตริย์เองก็ยังยากจะสร้างความสงบสุขได้ชั่วนิจนิรันดร์…มู่เฉินคิดเยี่ยงนี้

ในช่วงเวลาห้าร้อยกว่าปีมีศึกน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีผู้ใดลงมาจากเขาปี้ลั่วอีกเลย ตำนานเก่าแก่จมอยู่ในกองตำราประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอายุมากที่สุดก็ล้วนบอกต้นสายปลายเหตุออกมามิได้ ผู้คนรู้เพียงว่าเมื่อคนขึ้นเขาปี้ลั่วไปแล้วจะหายไปจากโลกมนุษย์แห่งนี้ ไปแล้วไปลับไม่หวนกลับมา

ไม่มีใครจะคิดถึงว่าในเวลาที่ราชวงศ์จิ้นเจียนจะล้มครืนนี้ ตำนานที่ถูกผู้คนหลงลืมมาหลายร้อยปีจะถึงกับฟื้นขึ้นมาแล้ว และเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วนั้นก็ถึงกับเป็นนกหลวนที่ยากจะพบเห็นได้ในโลก บัดนี้มันมองเห็นมู่เซิงเดินร้องห่มร้องไห้สูดน้ำมูกออกมาจากหลังม่าน จึงกางปีกใหญ่ยักษ์ พุ่งตัวมาถึงเบื้องหน้ามู่เซิงในทันใด ท่าทางคล้ายว่ากำลังดมกลิ่นบนกายนางอย่างละเอียด

มู่เซิงยังไม่ทันหายตกใจจากเรื่องแรกก็ต้องตกใจกับเรื่องที่สอง หวีดร้องต้องการจะผลักนกหลวนออกไปให้พ้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุดจึงร้องเรียกบิดามารดาไม่หยุดด้วยอารามตกใจ

โต้วซื่อเริ่มตะโกนพร้อมกับร่ำไห้คร่ำครวญอย่างสุดจะกลั้น “นี่ข้าทำเวรทำกรรมอะไรมา! เซิงเอ๋อร์ของข้าจะต้องถูกพาตัวไปยังสถานที่ที่แม้แต่คนตายยังไม่กล้าไปแห่งนั้นแล้ว! สวรรค์หนอสวรรค์! เซิงเอ๋อร์มาหาแม่มา พวกเราไม่ไปที่ใดทั้งนั้น ไม่ไปเด็ดขาด…”

มู่เซิงไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่อย่างใด นางมองเห็นโต้วซื่อร่ำไห้ก็เพียงใจเสียหนักขึ้น เริ่มร้องไห้โฮ

มู่ไป่เอินมองแม่ลูกคู่นี้แล้วก็เบ้าตาแดงเช่นกัน มองดูผ้าที่นกหลวนคาบมาผืนนั้น ลายมือบนนั้นยังเห็นได้ชัดกระจะตา

หวงเหอไม่ผุดแผนภูมิ ลั่วสุ่ยไม่ผุดตำรา

มิมีผู้ใดข้ามฟากฟ้าให้การช่วยเหลือ

สกุลมู่มีธิดาพึงได้ศึกษาพึงได้ปฏิบัติ

นกหลวนจักเป็นพาหนะนำพาไปยังปี้ลั่ว

 

มู่ไป่เอินถอนหายใจยาวคำรบหนึ่ง มองบุตรสาวผู้เยาว์วัยอายุเพิ่งได้หกขวบพลางกล่าวว่า “เซิงเอ๋อร์ พ่อไม่ยินดีจริงๆ แต่ราชสำนักทราบข่าวแล้ว บอกมาแล้วว่าต้องการตัวบุตรสาวของสกุลมู่เรา เรื่องนี้…เรื่องนี้จะทำเยี่ยงไรดีเล่า”

“นายท่าน!” โต้วซื่อพลันเปล่งเสียงเรียก สองตาเริ่มคมปลาบปานแท่งเหล็กหมาด “บุตรสาวของสกุลมู่มิได้มีเพียงเซิงเอ๋อร์เสียหน่อย!”

มู่ไป่เอินอึ้งงัน “เจ้าหมายถึง…”

โต้วซื่อตอบอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หมายถึงสองคนนั้นที่เรือนด้านหลัง!”

มู่ไป่เอินคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “พ่อบ้าน ไป…ไปเรียกเฉินเอ๋อร์มา!”

ครั้นมู่ไป่เอินพูดเยี่ยงนี้บ่าวไพร่รอบทิศต่างล้วนดีใจ มีเพียงพ่อบ้านวัยกลางคนที่แสดงสีหน้าเจ็บปวด

เขาจำได้ว่าห้าปีก่อนตอนที่อิ่นซื่อยังไม่สิ้นอำนาจโดยสมบูรณ์ ยามนั้นบุตรสาวของเขาเพิ่งจะแต่งงานออกไปไกล ที่แล้วมาทำได้เพียงติดต่อกันผ่านพิราบสื่อสาร กลับคาดไม่ถึงว่ามีวันหนึ่งบรรดาคุณชายผู้ร่ำรวยเล่นยิงธนูกัน จับพิราบสื่อสารได้ก็หมายจะนำลงกระทะ เขามีความทุกข์ที่ยากจะเอ่ยปาก แต่ทว่ามู่เฉินเห็นพิราบตัวนั้นน่าสงสาร ทั้งที่อยู่ในวัยที่ยังเดินได้ไม่มั่นคงกลับฝืนวิ่งลงจากเกี้ยวไปขอพิราบขาวมาคืนให้เขา เวลานั้นนางพูดว่า ‘สรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ พวกเขาทำเยี่ยงนี้ไม่ถูกต้อง พ่อบ้านอย่าได้เสียใจไป เฉินเอ๋อร์ขอพิราบน้อยกลับมาแล้ว พวกเรากลับบ้านไปหาหมอมาดูมันเถิด’

ปีนั้นมู่เฉินเพิ่งอายุได้สี่ขวบ เห็นใครก็มีไมตรีจิตให้ไปเสียหมด ไหนเลยจะคาดคิดว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง นิสัยใจดีปานนั้นถึงกับถูกคนลืมเลือน ห้าปีมานี้นางสุขุมมากขึ้นทุกวัน มิใช่คุณหนูที่อ่อนโยนชอบยิ้มเฉกเช่นในยามนั้นอีกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้พ่อบ้านก็ให้สะท้อนใจเหลือประมาณ

โต้วซื่อเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิมก็พูดด้วยโทสะ “ยังไม่รีบไปอีก!”

เขาปาดหางตาเงียบๆ ตอบรับเสียงเบา แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังเรือนด้านหลัง

คืนเวลาก่อนเกิดมาให้ข้า

 กลางห้องเพดานเตี้ยหยาบง่ายในเรือนด้านหลังของสกุลมู่ อิ่นซื่อนอนป่วยอยู่บนเตียง มองดูบุตรสาวทั้งสองที่กำลังเฝ้านางเงียบๆ อยู่ริมเตียงพลางกล่าวยิ้มๆ อย่างอ่อนโยน “รอแม่หายป่วยครานี้แล้วจะพาพวกเจ้าไปหนานเหยา นั่นเป็นบ้านเกิดของแม่ เป็นที่ที่งดงามที่สุดในโลกนี้”

มู่เฉินเผยสีหน้าดีใจแล้วกล่าวว่า “ไปจากที่นี่ตลอดกาลใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อิ่นซื่อตอบพร้อมยิ้มน้อยๆ “ขอเพียงพวกเจ้าชอบ แม่อยากให้พวกเจ้ามีชีวิตที่เป็นสุข กลับถึงหนานเหยาแม่ก็จะไปทำละครหุ่นเงา แม้ว่าชาวจงหยวนจะรู้สึกว่านั่นเป็นงานระดับล่าง แต่ชาวแคว้นหนานเหยามิได้เห็นเป็นเช่นนั้น หุ่นตัวเล็กๆ นั่นน่าสนใจยิ่ง พวกเจ้าจะต้องชอบแน่นอน ความนิยมของชาวหนานเหยาก็ไม่เหมือนกับที่นี่ ท่านตาท่านยายของพวกเจ้าทำการค้าเครื่องหยก ทรัพย์สมบัตินับว่ามั่งคั่งเช่นกัน พวกเขาได้เห็นพวกเจ้าจะต้องยินดีมาก”

มู่อวิ่นจือเบิกตาโต ถามอย่างโง่งม “เช่นนั้น…จะไม่ได้พบ…ท่านพ่ออีกแล้วหรือเจ้าคะ”

ด้วยอายุของมู่อวิ่นจือย่อมดูโตไม่เท่ากับพี่สาว อย่างไรก็ยังคงมุ่งหวังความรักใคร่เอ็นดูจากผู้เป็นบิดา

อิ่นซื่อแววตาเหม่อลอย ยังไม่ทันตอบสิ่งใดมู่เฉินกลับแจ้งใจแล้ว เป็นสามีภรรยามาสิบปี อันที่จริงมารดาปล่อยวางไมตรีในอดีตที่มีต่อมู่ไป่เอินไม่ลงโดยสิ้นเชิง มิเช่นนั้นแววตาของนางจะเศร้าสลดหดหู่ปานนี้ได้อย่างไร หากมิใช่เพื่อพวกนางพี่น้อง คาดว่าต่อให้มารดาจะมีชีวิตลำบากเพียงไรก็ไม่ยินยอมไปจากสกุลมู่เป็นอันขาด

มู่อวิ่นจือเห็นมารดามีท่าทางเยี่ยงนี้ก็รีบหยุดปาก เปลี่ยนมากล่าวว่า “ท่านแม่ ขออภัยด้วย วันหลังอวิ่นจือจะไม่เอ่ยถึงท่านพ่ออีกแล้ว”

อิ่นซื่อลูบศีรษะนางแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร แม่ไม่โกรธหรอก”

มู่เฉินเอ่ยขึ้นว่า “อวิ่นจือ ไปแคว้นหนานเหยาแล้วพวกเราก็เล่นหุ่นเงาด้วยกันกับท่านแม่ พี่จะคอยเล่นเป็นเพื่อนเจ้า วสันต์เล่นว่าว เหมันต์ปั้นมนุษย์หิมะ…”

มู่เฉินกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจกลับคิดคำนวณถึงบรรดาแว่นแคว้นทางเหนือ หนานเหยา…ถึงแม้จะประสบกับเหตุปั่นป่วน แต่ถ้ามีแว่นแคว้นนี้อยู่จริงก็ควรจะเคยได้ยินผ่านหู ทว่าถึงกับไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่า…ท่านแม่จะเลอะเลือนไปแล้ว

ในเวลานี้เองพ่อบ้านได้มาเคาะประตู

“คุณหนูเฉิน นายท่านเชิญท่านไปที่โถงด้านหน้าขอรับ”

มู่เฉินคว้ามือมู่อวิ่นจือมากุมไว้แน่นในทันที

มู่อวิ่นจือตกใจ ร้องออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง

ในดวงตาของอิ่นซื่อทอแวววิตกกังวล ถามย้ำว่า “เฉินเอ๋อร์ไปทำอะไรให้พ่อเจ้าไม่พอใจอีกแล้วใช่หรือไม่”

“ลูกเคยไปทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” มู่เฉินตอบตามที่ใจคิด ตอบเสร็จแล้วกลับนึกเสียใจว่านี่มิใช่ทำให้มารดาไม่สบายใจไปเปล่าๆ หรือไรจึงรีบพูดว่า “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไป เฉินเอ๋อร์ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยก่อเรื่อง ลูกไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้วเจ้าค่ะ”

อิ่นซื่อพยักหน้า “พูดจาระมัดระวังหน่อย อย่ามุทะลุบุ่มบ่าม”

“ลูกทราบแล้ว”

หลังเปิดประตู มองเห็นพ่อบ้านมีสีหน้าลำบากใจมู่เฉินก็รู้ว่าตนเองมีเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว นางตั้งสติก่อนเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด”

พ่อบ้านชรานึกถึงว่าเมื่อก่อนอิ่นซื่อมีนิสัยอ่อนหวานเป็นกุลสตรี เมตตาปรานีต่อเหล่าบ่าวไพร่เป็นที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “มิได้รีบร้อนมากนัก คุณหนู…อยู่สนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินอีกสักหน่อยเถิดขอรับ”

ความคิดความอ่านของมู่เฉินละเอียดลออตั้งเพียงใด มีหรือจะไม่รู้ว่าวาจานี้ของพ่อบ้านมีความหมายเช่นไร ใจนางเต้นสะดุดในทันที ถึงกับมีความรู้สึกหวาดกลัวสุดจะหยั่งถึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“นายท่าน…นายท่านประสงค์ให้ท่านไปเขาปี้ลั่วแทนคุณหนูสาม”

เพิ่งจะพูดจบประตูที่ด้านหลังก็ถูกเปิดออก ร่างเล็กๆ ของมู่อวิ่นจือแทรกออกมาจากในประตู ก่อนจะหันไปหับประตูปิดไว้อีกครั้ง

“พี่หญิง ท่านแม่บอกว่านางไม่ค่อยวางใจ สั่งให้ข้ามาบอกพี่หญิงว่าเสร็จธุระแล้วให้รีบกลับมา”

รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้มิได้ถูกพวกนางได้ยินเข้า มู่เฉินก็วางใจได้เล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “อวิ่นจือเด็กดี พี่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

นางจูงมู่อวิ่นจือไปด้านข้าง กำชับกำชาเบาๆ ไม่กี่คำ

พูดจบก็กล่าวกับพ่อบ้านว่า “พวกเราไปกันเถิด”

มู่เฉินเพิ่งจะเดินมาใกล้ห้องโถงใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน ถัดจากนั้นเงาร่างสีเขียวครามสายหนึ่งก็พุ่งออกมาอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน

เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง แผ่วอ่อนแทบจะขาดหาย

มู่เฉินมองนกหลวนสีเขียวครามตัวนี้ด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบคอของมันอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคือ…หลวน?”

นกตัวนั้นถึงกับคล้ายว่าฟังภาษามนุษย์เข้าใจ พยักหน้าด้วยท่าทางยินดีปรีดา ก่อนจะถูไถหัวกับมือของนางด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อ

ผู้ตามหลังนกหลวนมาติดๆ คือมู่ไป่เอินและโต้วซื่อ มู่เซิง รวมไปถึงคนรับใช้อีกกลุ่มหนึ่ง

มู่ไป่เอินเห็นนกหลวนตัวนั้นมีท่าทางเป็นมิตรกับมู่เฉิน ในใจก็ให้ผ่อนคลายลงบางส่วน ก่อนจะกล่าวว่า “ราชสำนักมีคำสั่งลงมา เจ้า…เฉินเอ๋อร์ เจ้าก็ตามนกหลวนตัวนี้ไปแล้วกัน”

มู่เฉินพลันตกใจ ทว่า…ไหนเลยจะมีอำนาจคัดค้าน

หัวใจนางเยียบเย็นลงน้อยๆ เงยหน้ามองพวกเขา สายตาเย็นชามองไล่ไปทีละคน

ดีจริง คนมากันครบแล้ว ล้วนมาไล่ข้าไป โลกมนุษย์แห่งนี้สุดท้ายก็เหลือเพียงภาพจำ สามารถเหลือได้เพียงภาพจำอันมีแค้นมากกว่ารัก ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นความหนาวเย็นใดๆ แก่ข้า ซ้ำความห่วงหาอาทรอันอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่สุดท้ายในใจนั้น…ยังอยู่ในเรือนด้านหลังที่ไม่มีผู้ใดจะถามไถ่ถึงอีกด้วย

มู่เฉินมองมู่ไป่เอินพลางกล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ดูแลท่านแม่กับน้องสาวข้าให้ดี ข้าจะกลับมาภายในสิบปี”

นางพูดได้ราบเรียบ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น ทำให้มู่ไป่เอินฟังแล้วถึงกับคล้ายว่าตราตรึงใจเขาอยู่หลายส่วน และเมื่อเงาร่างเล็กๆ เยาว์วัยเพียงเก้าขวบนี้ยืนนิ่งๆ อยู่ด้วยกันกับวิหคสีเขียวครามโดยที่สวมชุดผ้าธรรมดาซึ่งถูกซักจนซีดก็ยิ่งกลายเป็นภาพที่หลงเหลืออยู่ในห้วงความจำโดยมิอาจลบเลือนได้เลย

ในชั่วพริบตานี้เองมู่ไป่เอินพลันเกิดความละอายใจและความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวที่มิได้พบหน้าเป็นเวลานานผู้นี้ จึงกล่าวเสียงเบา “เฉินเอ๋อร์ต้องการสิ่งใดก็บอกมา ต้องการสิ่งใด…พ่อจะมอบให้เจ้าทั้งสิ้น”

มู่เฉินมองเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพลันคลี่ยิ้ม…ยิ้มเสียกว้าง แต่กลับเอ่ยวาจาแดกดัน “มอบให้ทั้งสิ้น? เช่นนั้นท่านก็ฟังให้ดี สิ่งที่ข้าต้องการคือ…” นางพลันหุบยิ้ม สีหน้าดูใจเย็นจนใกล้เคียงกับคำว่า ‘น่ายำเกรง’ กล่าวเน้นทีละคำว่า “คืนเวลาก่อนเกิดมาให้ข้า”

สีเลือดบนใบหน้ามู่ไป่เอินสลายหายไปในทันที ฝีเท้าแทบจะซวดเซ

เด็กคนนี้เพิ่งพูดว่าอะไรนะ คืนเวลาก่อนเกิดให้ข้า?สิ่งที่ลูกคนนี้ สิ่งที่บุตรสาวของข้าต้องการที่สุดถึงกับเป็นการไม่เคยเกิดมายังโลกใบนี้?

โต้วซื่อพูดด้วยความเดือดดาล “เจ้าตัวบัดซบ! พูดจาโอหัง! ถึงขั้นกล้าพูดกับนายท่านเยี่ยงนี้?!”

ครั้นนางเปล่งวาจานี้ออกมาสิ่งแรกสุดที่มีการตอบสนองกลับเป็นนกสีเขียวครามตัวนั้น มันพุ่งไปหาโต้วซื่อด้วยท่าทางดุร้าย ปีกมหึมาชูสูง หวิดจะทำโต้วซื่อหงายหลังล้มลงกับพื้น โต้วซื่อตกใจจนหน้าซีดเผือด ไม่กล้าพูดอะไรอีก

มู่เซิงที่อยู่ด้านข้างร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง

มู่ไป่เอินรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเสียงร้องไห้นี้ช่างดูน่าหงุดหงิดกว่าทุกทีจึงตวาดเสียงกร้าว “หุบปาก! รู้จักแต่ร้องไห้หรือไร! เปียกน้ำไปทั้งตัว มีที่ใดกัน!”

ถึงกับเป็นมู่เฉินที่เอ่ยปากไกล่เกลี่ย “ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิเซิงเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นจากไกลๆ ว่านางออกมาจากในห้องหนังสือ ในมือยังถือม้วนกระดาษไว้ด้วย จะต้องกำลังเพียรท่องตำราอยู่เป็นแน่ คิดว่านางคงจะลื่น จึงได้เผลอล้มไปเท่านั้นเอง”

มู่เซิงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกโต้วซื่อห้ามปรามไว้

มู่ไป่เอินมองมู่เฉิน ในใจรู้สึกหวั่นไหว

เทียบบุตรสาวสองคนแล้วเขาถึงได้พลันค้นพบความดีของบุตรสาวผู้นี้

เพียงแต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เขาตรึกตรองสิ่งใดไม่ทันทั้งสิ้น

โต้วซื่อรู้ดีแก่ใจว่าตนเองได้ประโยชน์ครั้งใหญ่ ทั้งยังติดที่มีนกสีเขียวครามอยู่ข้างๆ จึงยิ้มสู้พลางว่า “เมื่อก่อนเซิงเอ๋อร์ไม่รู้ความ เจ้าอย่าได้ถือสาหาความนางเลย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป”

มู่เฉินแย้มยิ้มพลางกล่าวเสียงเบา “เพลงเซิง สิ้นสุดเพียงชั่วทิวาราตรี ในขณะที่รัศมีแห่งเฉิน ยืนยงเกินพันปี ข้าจะไปถือสานางได้เยี่ยงไร!”

พูดจบสีหน้าของโต้วซื่อก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อย่างที่สุดในทันที

เวลานี้มู่อวิ่นจือพลันวิ่งมากอดมู่เฉินไว้ “พี่หญิง พี่หญิงอย่าไป อย่าทิ้งอวิ่นจือ!”

“อวิ่นจือเด็กดี พี่จะกลับมาแน่นอน” นางกอดน้องสาวผู้อ่อนแอตัวเล็กจ้อยคนนี้ตอบ สายตากลับมองมู่ไป่เอิน “อย่าปล่อยให้พวกนางถูกทำร้ายอีกแม้แต่นิดเดียว มิเช่นนั้น…”

มิเช่นนั้น…มู่เฉินเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร นางเพียงกอดคนตัวน้อยในอ้อมแขนไว้แน่น…กอดไว้แน่นๆ

แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงดันตัวมู่อวิ่นจือออก

ไม่มีใครมองเห็นว่าระหว่างที่กอดกันเมื่อครู่นี้มู่อวิ่นจือได้ยัดหนังสือผ้าไหมเดินเส้นทองเข้าแขนเสื้อของมู่เฉินอย่างเงียบๆ ด้วยสองมือที่สั่นเทา

มู่อวิ่นจือน้ำตาคลอจนมองไม่ชัด พูดเสียงเครือว่า “พี่หญิงจะไม่ไปดูท่านแม่สักหน่อยหรือ”

“ไม่จำเป็น”

นกหลวนได้ยินดังนี้ก็หมอบลงเบื้องหน้ามู่เฉิน

มู่เฉินก้าวขึ้นไปนั่ง ชั่วขณะถัดมานกหลวนก็ออกบิน

นางกอดคอนกหลวนไว้แน่น ไม่กล้าเหลียวหลัง น้ำตาไหลรินลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาที่ไม่ได้ไหลมาร่วมสามปีทำเอาขนบนคอนกหลวนเปียกในทันใด

นกหลวนบินสูงขึ้นเรื่อยๆ เปล่งเสียงร้องเศร้าสร้อยออกมาเป็นระยะ คล้ายว่ากำลังขับขานเพลงเศร้าแด่ความเสียใจของเจ้านายคนใหม่ผู้นี้

นกสีเขียวครามพามู่เฉินบินมาถึงเขาปี้ลั่วในที่สุด

เขาลูกนี้สูงชันที่สุดในบรรดาเทือกเขาทั้งหมด ตลอดสี่ฤดูมีอากาศต่ำถึงขีดสุด เล่าลือกันว่าวิญญาณคนตายที่ถูกฝังอยู่ในแม่น้ำหวงเฉวียนล้วนรวมตัวกันอยู่ที่ด้านล่างเขา

มู่เฉินลงจากหลังนกสีเขียวครามแล้วก็หยิบหนังสือผ้าไหมที่มู่อวิ่นจือให้นางมาเมื่อครู่ก่อนออกมา เดิมทีตอนที่อยู่เรือนด้านหลังก่อนหน้านี้มู่เฉินได้สั่งให้มู่อวิ่นจือหลบเลี่ยงสายตาของคนทั้งหมด ลอบไปยังห้องหนังสือเพื่อค้นหาสายสัมพันธ์ที่มู่ไป่เอินจัดวางไว้ในแถบเจียงจั่วในสิบกว่าปีมานี้

ราชวงศ์จิ้นยึดถือตระกูลบัณฑิตคนชั้นสูงเป็นใหญ่ นับตั้งแต่อพยพโยกย้ายมาตั้งมั่นทางใต้เมื่อหลายสิบปีก่อนตระกูลชั้นสูงที่อพยพมาและตระกูลชื่อดังในท้องถิ่นเจียงหนาน ก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกันไม่หยุดหย่อน ส่วนสกุลมู่นั้นได้พึ่งพาจวิ้นโหว สกุลจางมาโดยตลอด

บัดนี้ไม่มีหนังสือผ้าไหมม้วนนี้แล้ว นับแต่นี้อำนาจของสกุลมู่ในราชสำนักก็จะอ่อนลงไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

มู่เฉินพรูลมหายใจยาวใส่หมู่เขาซึ่งเรียงซ้อนกันหลายชั้นที่เบื้องหน้า จากนั้นก็ปาหนังสือผ้าไหมในมือลงจากหน้าผาสูงหมื่นจั้ง

นางมองขอบฟ้าอันเวิ้งว้างและทะเลเมฆที่ดูราวกับอยู่เพียงตรงหน้านั้นพลางลั่นวาจาชัดถ้อยชัดคำว่า “บัดนี้มู่เฉินขอตั้งสัตย์สาบาน ภายในสิบปีจะกลับมาพร้อมกับศาสตร์แห่งกษัตริย์ เมื่อถึงกาลนั้นบรรพตนทีหมื่นหลี่ โลกมนุษย์อันยืนยาวแห่งนี้ ข้าพอใจก็จักค้ำจุน ไม่พอใจก็จักคว่ำทิ้ง!”

 

ปัจจุบันเป็นปีมังกรดิน หรือก็คือรัชศก ไท่เหอปีที่สามของราชวงศ์จิ้น รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สี่ของแคว้นฉิน รัชศกเจี้ยนซีปีที่เก้าของแคว้นเยียน…

ผ่านมาสิบเอ็ดปีแล้ว…นับตั้งแต่ฝูเจียนแห่งแคว้นฉินขึ้นครองราชย์

จากปีมังกรดินถัดไปอีกสองปีแคว้นเยียนจะถูกแคว้นฉินทำลาย

อีกสี่ปีซือหม่าเย่าแห่งราชวงศ์จิ้นจะสืบทอดพระราชบัลลังก์

 

วันนี้อาลักษณ์แห่งตำหนักฉินเจิ้งในเมืองหลวงเพียงอ้าปากหาวตอนกลางวันแสกๆ จรดพู่กันบันทึกว่า

 

วันนี้มิมีเรื่องราว

ม้วนที่ 1 ฉางอัน

 

บนทางหญ้ากลิ่นกรุ่น พานพบผู้งามล่มเมือง

โคมดอกบัวผู้ใดพาข้าในชาตินี้ข้ามไปสู่ฟากฝั่ง

บทที่ 1 ฉางอันแคว้นฉิน

เวลาเจ็ดปีสามารถเกิดเรื่องราวได้มากมาย ในสายตาของมู่เฉินมองเห็นเพียงราชวงศ์ตกต่ำและราษฎรพ้นทุกข์

ความเสื่อมถอยของราชวงศ์จิ้นเริ่มมีมากขึ้นตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว โอรสสวรรค์เลอะเลือนไร้คุณธรรม การปกครองในราชสำนักเลวร้ายลงทุกวัน ระหว่างห้าชนเผ่าเองก็มีข้อพิพาทไม่ขาดสาย หันอาวุธห้ำหั่นติดต่อกันหลายปี

เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในเจ็ดปีนี้คือแคว้นเยียนถูกแคว้นฉินทำลาย อดีตผู้ใต้ปกครองแคว้นเยียนล้วนอพยพจากเมืองเยี่ยเฉิงเข้าเมืองฉางอัน ภูเขาสูงสายน้ำทอดไกล มิได้เห็นบ้านเกิดอีกนับแต่บัดนั้น

และปัจจุบันเป็นปีหมูไม้ รัชศกหนิงคังปีที่สามแห่งราชวงศ์จิ้น รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบเอ็ดแห่งแคว้นฉิน

มีข่าวลือมานานแล้วว่าในปีนี้ ณ ช่วงเวลาที่ดอกท้อดอกหลี่ ไม่ดึงดูดใจทว่าดอกบัวกำลังผลิบาน จะมีคนลงมาจากเขาปี้ลั่ว นำศาสตร์แห่งกษัตริย์มากำหนดสถานการณ์ใต้หล้า

มีคนทักท้วงอีกว่าเขาปี้ลั่วกลายเป็นสถานที่มรณะไปแล้ว ผู้ที่ขึ้นไปไม่มีผู้ใดรอดชีวิตลงมา

แม้จะว่ากันเยี่ยงนี้ แต่ผู้มีอำนาจกลับยังคงลอบค้นหาคนผู้นี้เป็นการลับ

มู่เฉินที่อายุสิบหกปีกลับมาถึงเจี้ยนคังอีกครั้ง ผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว สกุลมู่มิได้รุ่งเรืองเช่นในอดีต เรือนชานเงียบเหงา ตัวเรือนก็ปรากฏร่องรอยชำรุดทรุดโทรม

มู่เฉินเดินมาถึงหน้าประตู ยกมือเคาะประตูใหญ่

ผ่านไปเป็นนานคนชราผู้หนึ่งถึงได้ชะโงกตัวออกมาจากหลังประตูพร้อมกับเสียงประตูไม้ที่เปิดออก “แม่นาง ท่านมาหาผู้ใด”

มู่เฉินจำเขาได้ เขาคือพ่อบ้านผู้อ่อนโยนใจดีคนนั้น คลับคล้ายว่าจะแซ่ซ่ง จอนผมของเขาแซมสีขาวแล้ว แววตาก็ดูขุ่นมัว แต่มู่เฉินยังคงจำเขาได้ในแวบเดียว

“พ่อบ้าน” นางเอ่ยปากถาม “ฮูหยินอยู่หรือไม่ อิ่นฮูหยิน”

พ่อบ้านชราอึ้งงันไป เขาจ้องมองมู่เฉินด้วยความแปลกใจพลางว่า “อิ่นฮูหยินจากโลกไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว”

มู่เฉินเพียงรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนแทบจะยืนไม่อยู่ มารดากับน้องสาวเป็นความห่วงหาเดียวที่นางมีอยู่ในโลกนี้ นางรีบกลับมาอย่างเร่งด่วนเพียงนี้กลับได้รับข่าวเช่นนี้เสียได้

“จากโลกไปแล้ว…” มู่เฉินคว้ากรอบประตูประคองตัวไว้ สองตาแห้งผาก ทั้งยังว่างเปล่า นางถามเสียงเบา “เช่นนั้นอวิ่นจือเล่า นาง…ยังสบายดีอยู่หรือไม่”

คราวนี้พ่อบ้านชรามิได้ตอบคำถามของมู่เฉิน แต่ก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวด้วยอารามตื่นเต้น มองนางอย่างละเอียด “ท่านคือ…คุณหนูเฉิน?” ครั้นเขาได้พูดออกมาก็ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของตนเอง ในดวงตาทั้งสองที่ขุ่นมัวมีละอองน้ำผุดขึ้นมา “ท่านกลับมาแล้ว! มาเถิด รีบตามบ่าวเข้าจวนเถิดขอรับ”

พ่อบ้านชราหลีกทางให้ รอมู่เฉินเดินเข้าจวนแล้วก็วิ่งเหยาะๆ นำทางไป เขาคิดจะพุ่งเข้าไปตะโกนป่าวร้องข้างในห้อง แต่กลับถูกมู่เฉินห้ามไว้ “เรื่องที่ข้ากลับมาอย่าได้ป่าวประกาศไปเป็นอันขาด”

พ่อบ้านชราพยักหน้า “ขอรับ มีข่าวลือตั้งแต่เดือนก่อนแล้วว่าท่านจะกลับมา คนมากมายล้วนไม่เชื่อ…ทว่าตั้งแต่พักก่อนจู่ๆ ฝ่าบาทก็ทรงเรียกนายท่านเข้าวังอยู่หลายหน ใต้เท้าเซี่ยเองก็ขยันมาเยือนทางนี้…”

 

มู่เฉินก้าวเข้าห้องโถงใหญ่อีกครั้ง มีบ่าวยกน้ำยกชามาให้ ต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นยิ่งยวด ซึ่งนางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ในสกุลมู่มาก่อน

มู่ไป่เอินและโต้วซื่อเดินตามกันเข้ามา ครั้นมองเห็นมู่เฉินที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นก็ต่างพิพักพิพ่วนอยู่บ้าง นางสวมชุดสีเขียว เรือนผมยาวเกล้าไว้ครึ่งหนึ่ง เอียงศีรษะน้อยๆ มองมายังพวกเขา แววตานั้นเย็นชาคล้ายกับวันที่นางจากไปเมื่อเจ็ดปีก่อน

มู่ไป่เอินเอ่ยเรียกอย่างงกๆ เงิ่นๆ “เฉินเอ๋อร์…”

มู่เฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “แม่ข้าตายได้อย่างไร”

“เป็นเพราะป่วย…ป่วยตาย”

สายตามู่เฉินกวาดมองไปยังโต้วซื่อ นางเห็นสองตาโต้วซื่อบวมแดงคล้ายเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

โต้วซื่อตอบเสียงเบา “ป่วยตายจริงๆ ในตอนหลังนายท่าน…ดีต่อแม่เจ้ามาก”

“คุณหนู บ่าวเป็นพยานได้ขอรับ” พ่อบ้านชราค้อมตัวกล่าวว่า “ในปีนั้นพอท่านจากไป นายท่านก็ย้ายฮูหยินใหญ่มาเข้าพักในเรือนใหญ่แล้ว ต่อมาได้เชิญหมอจำนวนมากมาตรวจดูอาการ แต่ฮูหยินใหญ่ป่วยมานานจนร่างกายอ่อนแอ หมดหนทางเยียวยารักษา”

มู่เฉินเชื่อใจพ่อบ้านชรา รู้ว่าเขาไม่มีทางโป้ปด แต่เหตุใดอิ่นซื่อจึงป่วยมานานจนไม่มีใครรักษาหาย นั่นมิใช่ล้วนเป็นเพราะสกุลมู่หรือไร

มู่เฉินถามอีกว่า “อวิ่นจือเล่า”

มู่ไป่เอินกับโต้วซื่อแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน มู่ไป่เอินตอบงึมงำ “ตาม…จากแคว้นฉินไปแล้ว”

“ไปเป็นอนุผู้อื่นแล้ว!” เสียงสตรีแฝงแววเดือดดาลลอยมาจากหน้าประตู ตามติดมาด้วยสาวน้อยในชุดกระโปรงสีแดงอ่อนนางหนึ่งเดินเข้ามาจับโต้วซื่อไว้แล้วเริ่มขอร้อง “ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ยังคุยกันไม่จบไยท่านก็จากมาแล้ว ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าคนล้างผลาญจากสกุลเหลียงนั่น!”

“เงียบปาก!” มู่ไป่เอินตวาดนางเสียงกร้าว “ไม่เห็นหรือว่าพี่สาวของเจ้าอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบคารวะอีก?!”

“พี่สาว?” คราวนี้มู่เซิงถึงค่อยสังเกตเห็นมู่เฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “นางนับเป็นพี่สาวทางใดกัน”

มู่ไป่เอินโมโหยิ่งยวด “เจ้า…”

โต้วซื่อยิ้มปะเหลาะใส่มู่เฉิน ก่อนอธิบายกับมู่เซิงว่า “นี่คือเฉินเอ๋อร์ ตอนที่นางจากไปเจ้ายังเล็กอยู่ แต่ก็ควรจะจดจำได้”

คราวนี้มู่เซิงถึงได้มองมู่เฉินอย่างตั้งใจรอบหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เจ้ามาหามู่อวิ่นจือ? น่าเสียดายที่สายไปก้าวหนึ่ง มิเช่นนั้นคงจะได้เห็นท่าทางไม่รู้จักยางอายนั่นของนางแล้ว”

มู่เฉินเผยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าพูดอะไร”

โต้วซื่อจับมู่เซิงไว้ แต่มู่เซิงยังคงหลุดปากออกมาว่า “มู่อวิ่นจือน่ะหน้าไม่อาย! รู้ว่าบัดนี้แคว้นฉินมีอำนาจก็มองข้ามได้แม้แต่ความแตกต่างระหว่างชาวฮั่นกับพวกชนเผ่า!”

เรียวคิ้วงามของมู่เฉินย่นเข้าหากัน นางลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้ามู่เซิง แล้วตวัดฝ่ามือออกไป ทำเอาคนทั้งหมดตกใจอยู่ข้างๆ

ฝ่ามือนี้ของนางฟาดไปอย่างหนัก แก้มข้างหนึ่งของมู่เซิงบวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางใช้มือข้างหนึ่งชี้มู่เฉิน “เจ้า…เจ้ากล้าตบข้า!”

มู่เซิงพูดพลางทำท่าจะเอาคืน กลับถูกมู่ไป่เอินและโต้วซื่อรั้งไว้

“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านห้ามข้าด้วยเหตุใด อิ่นซื่อหน้าไม่อายไปคนหนึ่งแล้ว บุตรสาวที่คลอดออกมาก็หน้าไม่อายเช่นกัน หากมิใช่เพราะนางหนีไป ข้าคงไม่ถูกบังคับให้แต่งไปสกุลเหลียง!” นางชี้มู่เฉิน “เจ้าก็อีกคน! เจ้าเป็นปีศาจทำร้ายคนมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเป็นเจ้าแน่ๆ ที่เอาหนังสือผ้าไหมนั่นไป ซ้ำยังหลอกท่านพ่อว่าข้าเข้าไปในห้องหนังสือของเขา ทำให้ข้าถูกตีปางตาย…”

มู่ไป่เอินร้องเรียกด้วยความโมโห “เด็กๆ รีบเข้ามาพานางไปขังไว้เสีย!”

ครั้นมู่เซิงถูกคนบังคับลากตัวออกไปแล้ว มู่เฉินก็ยิ้มเย็นพลางมองไปยังมู่ไป่เอิน ก่อนถามว่า “ท่านเตรียมการแต่งงานให้อวิ่นจือ?”

มู่ไป่เอินไม่รู้ว่าเหตุใดไม่ได้พบกันเจ็ดปีท่าทางของมู่เฉินจึงดูแตกต่างไปจากเจ็ดปีก่อนโดยสิ้นเชิง เขาแทบจะไม่กล้าสบตานางตรงๆ แล้ว “สกุลเหลียง…สกุลเหลียงเองก็นับว่าเป็นตระกูลมีชื่อ…”

“ตระกูลมีชื่อ?” มู่เฉินพยักหน้า “ดีมาก เช่นนั้นก็ให้มู่เซิงแต่งไปแล้วกัน”

ใบหน้าของโต้วซื่อซีดเผือดลงหนึ่งส่วน

มู่เฉินถามต่อว่า “นี่หมายความว่าอวิ่นจือไปแคว้นฉินแล้ว?”

มู่ไป่เอินตอบ “เป็น…เป็นเมื่อเดือนก่อน ฉงเหอโหวแห่งแคว้นฉินได้มาท่องเที่ยว ขณะจากไปก็ได้…พาอวิ่นจือไปด้วย เฉินเอ๋อร์ พ่ออยากห้ามนาง แต่…ห้ามไม่อยู่”

หัวคิ้วมู่เฉินเริ่มมุ่นอีกครั้ง

ฉงเหอโหวแห่งแคว้นฉินมีนามว่าฝูหมัว เป็นญาติผู้น้องของฝูเจียนฮ่องเต้แคว้นฉิน มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพเจิงซี ได้ข่าวว่ารูปโฉมหล่อเหลา ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเจ้าสำราญ

เวลานี้เองก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก มีบ่าวมารายงานว่า “นายท่าน ใต้เท้าเซี่ยเข้ามาแล้ว พวกบ่าวห้ามไม่อยู่ขอรับ!”

มู่ไป่เอินอึ้งงันไป ถามว่า “ใต้เท้าเซี่ยคนใด”

“เซี่ยเสวียน ที่ปรึกษาเซี่ยใต้สังกัดแม่ทัพหวนขอรับ”

มู่ไป่เอินคิดพิจารณาก่อนว่า “เขามาได้อย่างไร หรือจะรู้ว่าเฉินเอ๋อร์กลับมาแล้ว…”

มู่เฉินหน้าเปลี่ยนสี กล่าวว่า “ข้าจะไปก่อน อย่าให้ผู้ใดรู้ว่าข้าเคยปรากฏตัว”

“เฉินเอ๋อร์…” มู่ไป่เอินกล่าวด้วยความประหม่า “เจ้าไม่คิดจะอยู่ที่เจี้ยนคัง?”

ใต้หล้ารู้กันทั่วว่าบุตรสาวคนโตของสกุลมู่นำศาสตร์แห่งกษัตริย์ติดตัวมาด้วย แต่ละแว่นแคว้นล้วนต้องการหาตัวนางมาไว้ใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น

เดิมทีมู่ไป่เอินนึกว่าถึงแม้มู่เฉินจะไม่เต็มใจพักอยู่ในจวน อย่างไรก็ยังพึงระลึกอยู่ว่าตนเองเป็นชาวฮั่น ทว่าวาจาเมื่อครู่นี้ของนางกลับทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก

มู่เฉินกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา “ขอตัว”

นางกำลังจะจากไป คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งมาจากทางด้านหน้า “ใต้เท้ามู่ มาเยี่ยมเยียนกะทันหัน ต้องขออภัยด้วย!”

มู่ไป่เอินรีบก้าวไปต้อนรับ “ใต้เท้าเซี่ย ขออภัยที่มิได้ออกไปต้อนรับ”

มู่เฉินหวิดจะชนเข้ากับเซี่ยเสวียน ครั้นเงยหน้ามองก็พบคนผู้นี้มีอายุราวสามสิบต้นๆ องคาพยพบนหน้าได้รูป สีหน้าดูลุ่มลึก

เซี่ยเสวียนมองเห็นมู่เฉินแวบแรกก็เผยสายตาสงสัยออกมา “แม่นางผู้นี้คือ…”

มู่ไป่เอินกัดฟันตวาดใส่มู่เฉิน “ไร้กฎระเบียบปานนี้ยังคิดจะมาทำงานที่จวนข้า? พ่อบ้าน ยังไม่รีบไล่นางออกไปอีก!”

มู่เฉินก้มหน้าลง สายตาระแวดระวังผ่อนคลายลงเล็กน้อย เสี้ยวเวลาถัดมาก็ตามพ่อบ้านชราออกจากประตูไป

เสียงของมู่ไป่เอินดังมาจากด้านหลัง “ใต้เท้าเซี่ยโปรดอภัย สาวใช้มาใหม่ไม่มีกฎระเบียบ…”

“มิเป็นไร” เซี่ยเสวียนกล่าวเยี่ยงนี้ หางตากลับเหลือบมองตามเงาร่างของมู่เฉิน จวบจนชุดสีเขียวนั้นลับหายไปสุดระเบียงทางเดินเขาจึงยิ้มน้อยๆ พลางมองไปยังมู่ไป่เอิน “ใต้เท้ามู่ ทุกเรื่องถูกลิขิตไว้แล้ว ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมต้องมีเหตุและผล ท่านอาข้ามักพูดเสมอว่าเรื่องใดลำบากใจไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดกังวล”

“รบกวนคุณชายช่วยนำความไปบอกทีว่าข้าขอบคุณใต้เท้าเซี่ยอาของท่านด้วย” มู่ไป่เอินค้อมตัวเล็กน้อย ในอากาศปลายฤดูร้อนนี้แผ่นหลังของเขากลับมีเหงื่อเย็นซึมออกมา

 

พ่อบ้านชราซ่งพามู่เฉินเดินมาถึงประตูใหญ่ก็เอ่ยถามอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง “คุณหนูไม่คิดจะอยู่ต่อจริงหรือขอรับ”

มู่เฉินตอบ “ใต้หล้ากว้างใหญ่ มีที่ใดมิอาจพักพิง ยิ่งกว่านั้นข้ายังต้องไปหาอวิ่นจือ”

พ่อบ้านชราเผยสีหน้าเศร้า กล่าวว่า “จากไปครานี้มิรู้จะยังสามารถได้พบคุณหนูอีกหรือไม่”

มู่เฉินยิ้มน้อยๆ “วันเวลาข้างหน้าอีกยาวไกล พ่อบ้านรักษาตัวด้วย”

“คุณหนูเองก็รักษาตัวให้ดีนะขอรับ วันข้างหน้ากลับมาจวน บ่าวจะมาเปิดประตูให้ท่าน”

มู่เฉินพยักหน้าน้อยๆ แม้จะกล่าวว่าผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่วาจานี้ของพ่อบ้านซ่งยังคงทำให้นางเกิดความรู้สึกอบอุ่นอยู่เลือนราง

นางหันหลังจากไป เพียงไม่นานก็หายลับไปที่ปลายถนน

ครึ่งเดือนต่อมา

ณ ฉางอัน เมืองหลวงแคว้นฉิน

ท่ามกลางภัยพิบัติ ความเจริญ ความเสื่อมโทรม อีกทั้งความผกผันในช่วงเวลาสองสามร้อยปี ตำหนักเว่ยยางถูกทำลายหลายครั้ง หลังผ่านการบูรณะหลายหนหมู่ตำหนักยังคงตั้งตระหง่านน่ายำเกรงอยู่เช่นเดิม หอศาลารายเรียงคดเคี้ยว มองไปทางใดก็เห็นเพียงความตระการตา

รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านประตูใหญ่ทิศใต้อย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดกึก สตรีในรถม้าพลันพุ่งถลาไปข้างหน้า นางจึงเปิดม่านถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

คนขับรถม้าตอบว่า “แม่นาง ข้างหน้ามีคนทะเลาะกัน ดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่”

สตรีผู้นั้นมองไป เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง แต่งกายหรูหรา กิริยาท่าทางเพียงเห็นก็รู้ว่ามิใช่ชาวบ้านทั่วไป

คนขับรถม้าพลันตบศีรษะก่อนเอ่ยว่า “นี่คือบุตรสาวสกุลโต้ว! คุณหนูผู้นี้ไม่น่ามีเรื่องด้วย ดูอารมณ์ที่ฉุนเฉียวนั่นเถิด มิรู้ว่าผู้ใดเคราะห์ร้ายพบกับนางเข้า”

ฝูเจียนมีแม่ทัพผู้แข็งแกร่งอยู่ใต้ปกครองจำนวนมาก โต้วชงเป็นหัวหน้ากองราชองครักษ์ประจำตัวของเขา ได้รับการชื่นชมจากฝูเจียนเป็นอย่างสูง ฝูเจียนถึงขั้นรับน้องสาวของเขาเป็นพระธิดาบุญธรรม

สตรีผู้นั้นตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะได้ความคิด

นางให้คนขับรถม้าจอดรถม้า แล้วนางก็ลงจากรถม้าเดินไปหาบุตรสาวสกุลโต้วผู้นั้น

เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินบุตรสาวสกุลโต้วพูดเสียงดังอยู่ตรงนั้นว่า “เจ้าคนนี้ช่างเกะกะระรานไร้เหตุผล ชนจนปิ่นข้าเสียหายแท้ๆ ยังจะบอกว่าข้าไม่ระวังเองอีก!”

ฝ่ายตรงข้ามเป็นชายฉกรรจ์ตัวใหญ่เอวหนาผู้หนึ่ง เขาโวยวายว่า “แม่นาง ข้าค้าขายของข้าอยู่ตรงนี้ดีๆ เป็นท่านมาชนข้าเองชัดๆ!”

“ข้าไม่สน เจ้าต้องขออภัยข้า ชดใช้ปิ่นให้ข้า มิเช่นนั้นข้าจะให้คนมาจับตัวเจ้า!”

สตรีผู้นั้นมองปิ่นที่บุตรสาวสกุลโต้วกำไว้ในมือปราดหนึ่ง ก่อนก้าวไปกล่าวว่า “แม่นาง ให้ข้าดูปิ่นในมือท่านสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าอาจจะซ่อมมันได้”

บุตรสาวสกุลโต้วมองนางด้วยความคลางแคลง ก่อนยื่นปิ่นมาให้แล้วว่า “หากซ่อมได้ข้าจะตกรางวัลแก่เจ้าอย่างหนัก!”

สตรีผู้นั้นรับปิ่นมาพินิจดูอย่างละเอียด ปิ่นนี้ทำจากเส้นทองแดงถัก มิได้ดูมีราคาค่างวดเสียเท่าไร แต่ล้ำค่าตรงฝีมือถักอันประณีตบรรจง ผีเสื้อที่ส่วนยอดละเอียดลออพิถีพิถัน บัดนี้เส้นทองแดงถูกกระแทกจนคลายตัว รูปร่างส่วนปลายผิดรูปทรงไปแล้ว แต่ใช่จะไร้ทางแก้เสียทีเดียว

นางรื้อเส้นทองแดงที่คลายตัวออกมาทีละเส้นแล้วลงมือถักใหม่ ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ปิ่นก็กลับคืนสภาพเดิมกว่าค่อนแล้ว

บุตรสาวสกุลโต้วพูดขึ้นด้วยอารามปีติยินดี “เจ้าเก่งโดยแท้!”

สตรีผู้นั้นคืนปิ่นให้บุตรสาวสกุลโต้ว ก่อนเอ่ยว่า “มิอาจคืนสภาพดังเดิมได้ทุกกระเบียดนิ้ว แต่เช่นนี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้ว บัดนี้มีเวลาน้อยนัก หากมีโอกาสข้าจะถักอันใหม่ให้ท่าน”

“จริงหรือ” นางคล้องแขนของสตรีผู้นั้นไว้ด้วยความดีใจ “พี่สาว ข้ามีนามว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์ ท่านมีนามว่าอะไร”

สตรีผู้นั้นเห็นโต้วหวั่นเอ๋อร์มีท่าทางเยี่ยงนี้ก็รู้ว่าเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียวที่ว่ากันนั้นเป็นเพียงอุปนิสัยเยี่ยงเด็กน้อยเท่านั้นจึงกล่าวว่า “ข้ามีนามว่าชิงหลวน ขอกล่าวละลาบละล้วงสักคำ อันที่จริงสีของปิ่นนี้ทำให้ท่านดูมีอายุไปสักหน่อย แม่นางโต้วปากแดงฟันขาว หากเปลี่ยนเป็นสีที่นุ่มนวลลงหน่อยจะยิ่งขับให้รูปโฉมงดงาม”

โต้วหวั่นเอ๋อร์ฟังวาจาครึ่งแรกแล้วไม่ใคร่ชอบใจนัก แต่เมื่อชิงหลวนกล่าววาจาครึ่งหลังจบนางก็คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “บ้านท่านอยู่ที่ใด ข้ามีเวลาจะไปหาท่าน!”

ชิงหลวนตอบ “ข้าเป็นชาวแคว้นหนานเหยา บากหน้ามาพึ่งพาญาติยังแคว้นฉิน”

“หนานเหยา? ไม่เคยได้ยินเลย เช่นนั้นก็ไม่ขอทำให้ท่านเสียเวลาไปหาญาติแล้ว” โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “ข้าอาศัยอยู่ที่จวนสกุลโต้วบนถนนฉางอัน ท่านหาญาติพบแล้วจะต้องมาหาข้าและสอนข้าถักปิ่นสวยๆ ด้วยเล่า! หากพบความยุ่งยากใดก็ต้องมาหาข้านะ!”

ชิงหลวนพยักหน้า “ขอบคุณในความหวังดีของแม่นาง วันหน้าข้าจะต้องไปเยี่ยมเยียนอย่างแน่นอน”

โต้วหวั่นเอ๋อร์เตรียมตัวจะจากไป แต่จู่ๆ ก็หันมาจับแขนชิงหลวนไว้ “ท่านเพิ่งมาถึงฉางอัน จะต้องไม่เคยเห็นงานเทศกาลโคมบุปผาของพวกเราเป็นแน่ คืนนี้มาที่ถนนฉางอัน ข้าจะพาท่านไปเดินเที่ยว”

“งานเทศกาลโคมบุปผา?”

“ใช่แล้ว ต้องมาให้ได้เชียว!”

บทที่ 2 โคมดอกบัวของผู้ใด

เมืองฉางอันมีงานเทศกาลโคมบุปผาปีละครั้ง เล่ากันว่าเพื่อสักการะเทพบุปผาที่ปลิดชีพตนเองบูชาความรัก ดังนั้นวันเทศกาลนี้จึงกลายเป็นวันที่มีคู่รักออกมาเดินเที่ยว เมื่อถึงเวลากลางคืนหนุ่มสาวจะถือโคมบุปผานานาแบบกันเต็มท้องถนน ดูครึกครื้นยิ่งยวด

ชิงหลวนไม่เห็นโต้วหวั่นเอ๋อร์อยู่ที่หัวถนนจึงคิดจะเดินหน้าไปต่อ นางทอดสายตามองไป บนถนนฉางอันทั้งเส้นมีแสงโคมสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน

ไม่ไกลกันมีสะพานทรงโค้งซึ่งมีราวจับสลักจากศิลาอยู่แห่งหนึ่ง ใต้สะพานมีคนจำนวนมากกำลังปล่อยโคมลงน้ำ แสงโคมส่องให้ทั้งผิวแม่น้ำเป็นสีแดงสว่างไสว ชิงหลวนเดินไปดูใกล้ๆ เห็นว่าล้วนเป็นโคมดอกบัวสีเดียวกัน

ข้างสะพานมีหญิงชราขายโคมบุปผา มองเห็นชิงหลวนสองมือว่างเปล่าจึงกล่าวขึ้นว่า “แม่นางซื้อโคมสักดวงเถิด จะได้หาสามีในฝันพบในเร็ววัน”

ชิงหลวนยิ้ม สามีในฝัน? นั่นเป็นสิ่งที่มีแต่สตรีผู้เติบโตมาอย่างราบรื่นผาสุกจึงจะมุ่งหวัง นางไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย ทว่าโคมบุปผานั่นดูงดงามเป็นที่สุด นางเห็นแล้วชอบจึงซื้อมา

ใต้สะพานผู้คนเบียดเสียดแออัด ไม่ง่ายเลยกว่าชิงหลวนจะถือโคมดอกบัวมาถึงริมแม่น้ำและหาที่ว่างได้สักที่ ขณะคิดจะย่อตัวลงปล่อยโคมลงน้ำ คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ด้านหลังคนจะเบียดกันมา แล้วมีคนเผลอผลักนางเข้า

ชิงหลวนตกใจ รู้สึกเพียงว่าร่างกายโอนเอน กำลังจะตกลงแม่น้ำ

“กรี๊ด!”

นางอดร้องขึ้นไม่ได้ เสี้ยวเวลาถัดมาก็รู้สึกเพียงร้อนวูบที่แขน พอรู้สึกตัวอีกครั้งทั้งตัวคนก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนแล้ว

กว่าชิงหลวนจะมองเห็นได้ชัดเจน คนผู้นั้นก็คลายมือออกพร้อมกับกล่าวขออภัยเสียงเบา “ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว”

เขาสวมชุดสีขาว เรือนผมยาวสีดำดุจน้ำหมึกสยายอยู่บนชุด ริมฝีปากบางเฉียบ แววตาสงบนิ่ง ใบหน้านั้นถึงกับงดงามกว่าสตรีอยู่หลายส่วน คนผู้นี้ดูอายุยังไม่มาก แต่กลับมีแววลึกล้ำยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่บนใบหน้า

ชิงหลวนกล่าวอย่างใจกว้าง “ล่วงเกินอะไรกัน ขอบคุณคุณชายมากที่ยื่นมือช่วยเหลือ”

บุรุษหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าน้อยๆ หมุนกายคิดจะจากไป

“ท่านรอประเดี๋ยว!” ชิงหลวนเรียกเขาไว้ ยื่นโคมดอกบัวในมือไปให้ “สิ่งนี้มอบให้ท่าน”

บุรุษหนุ่มนิ่งงันไป แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อย “ให้ข้า?”

ชิงหลวนกล่าว “ใช่แล้ว ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่ท่านช่วยข้าไว้”

คนผู้นั้นมองใบหน้าชิงหลวน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยื่นมือมารับโคมดอกบัวนั้นไปอย่างช้าๆ “ขอบใจ”

เวลานี้เองเสียงสาวน้อยนางหนึ่งพลันดังมาจากท่ามกลางฝูงชน “พี่เฟิ่ง ข้าหาท่านพบเสียที!”

สาวน้อยนางนั้นโผล่พรวดออกมาจากฝูงชน ก้าวมาคล้องแขนของบุรุษหนุ่มไว้ ก่อนกล่าวว่า “เมื่อครู่นึกว่าเดินหลงกันแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบแย่!”

เรื่องที่ทำให้ชิงหลวนคิดไม่ถึงคือผู้ที่เดินจูงมือออกมาพร้อมกับสาวน้อยนางนี้ก็คือโต้วหวั่นเอ๋อร์

โต้วหวั่นเอ๋อร์มองเห็นชิงหลวนก็กล่าวด้วยความดีใจ “พี่ชิงหลวน ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ!”

ชิงหลวนยิ้มให้นาง “เมื่อครู่ข้ายังคิดอยู่เชียวว่าจะบังเอิญได้พบท่านหรือไม่”

“เดิมทีข้าคิดจะตามหาท่าน แต่ไม่คิดเลยว่าคนจะมากปานนี้” โต้วหวั่นเอ๋อร์เดินมากล่าวแนะนำ “นี่คืออาเป่าสหายสนิทของข้า นี่คือ…”

“ออกมาข้างนอก ไม่ควรพูดมาก” บุรุษหนุ่มผู้นั้นกล่าวเรียบๆ แกะมือของอาเป่าที่คล้องแขนเขาไว้ออกอย่างแนบเนียน

อาเป่าไม่ยอมแพ้ คิดจะคล้องแขนเขาอีก

บุรุษหนุ่มถอยหลังก้าวหนึ่ง คล้ายว่าไม่ชอบให้คนสัมผัสเนื้อตัว มุ่นคิ้วกล่าวว่า “วันนี้คนมาก ควรกลับเร็วหน่อยจะดีกว่า”

อาเป่าไม่พอใจแล้ว “ท่านอุตส่าห์กลับมาทั้งที ในเมื่อรับปากข้าแล้วว่าจะออกมาเที่ยว จะดีจะชั่วก็ต้องเที่ยวให้หนำใจสิ!”

โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าวคล้อยตาม “ใช่แล้วพี่เฟิ่ง ข้าบอกพี่ชายข้าไว้แล้วว่าวันนี้จะออกมากับท่าน เขาถึงได้วางใจให้มา”

บุรุษผู้นั้นนิ่งเงียบ ดูคล้ายไม่ใคร่ชอบใจนัก

ชิงหลวนกล่าวขึ้นมาว่า “ทุกคนอุตส่าห์สนใจเทศกาล เดินเที่ยวเล่นสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็อยากจะสนทนากับแม่นางโต้ว มิสู้พวกเราหาที่ที่คนน้อยหน่อยเป็นอย่างไร”

บุรุษหนุ่มมองนางปราดหนึ่ง แต่มิได้พูดอะไร เพียงหมุนตัวเดินนำหน้าไป

ชิงหลวนรีบส่งสายตาให้โต้วหวั่นเอ๋อร์กับอาเป่า ก่อนกระซิบว่า “ยังไม่ตามไปอีก”

โต้วหวั่นเอ๋อร์กับอาเป่าต่างแสดงสีหน้าดีใจแล้วเดินตามไป

ขณะคนทั้งสี่เดินผ่านแผงขายบะหมี่แผงหนึ่งอาเป่าก็พลันหยุดเดินแล้วเสนอขึ้นว่า “พี่เฟิ่ง พวกเรากินบะหมี่กันเถอะ!”

พวกนางนั่งลงที่โต๊ะตัวเล็กข้างทาง สั่งบะหมี่มาคนละชาม

อาเป่าเพลิดเพลินยิ่งนัก ประหนึ่งว่าไม่เคยกินมาก่อน “อร่อย อร่อยโดยแท้!”

โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าควรออกมาเที่ยวเล่นกับข้าบ่อยๆ เอาแต่อยู่ในวังจะสนุกอันใดกัน!”

ครั้นวาจานี้ถูกกล่าวออกมาบุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มองโต้วหวั่นเอ๋อร์ดุๆ ทีหนึ่งเป็นการส่งคำเตือนไปให้

โต้วหวั่นเอ๋อร์รู้ว่าตนเองปากไวเผลอหลุดพูดเข้าแล้วจึงรีบหุบปาก

ชิงหลวนได้ยินวาจานางก็รู้ฐานะของอาเป่าแล้ว เดิมทีนางคิดจะเข้าวังหลวงแคว้นฉินโดยผ่านโต้วหวั่นเอ๋อร์ บัดนี้กลับได้พบตัวเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่าแล้ว

ชิงหลวนคิดแล้วก็ยืนขึ้นทำความเคารพอย่างชดช้อย “ชิงหลวนถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”

โต้วหวั่นเอ๋อร์อ้ำอึ้ง “ท่านเดาได้แล้วหรือ…”

ชิงหลวนตอบโต้วหวั่นเอ๋อร์ว่า “ด้วยฐานะของแม่นางโต้ว คนในวังที่เป็นสหายสนิทของท่านได้มีเพียงองค์หญิงทั้งสอง องค์หญิงจยาผิงมีพระชันษาอ่อนกว่าหลายปี เช่นนั้นก็ต้องเป็นองค์หญิงซีชิ่งเป็นแน่แท้ เรื่องที่เห็นได้ชัดปานนี้ หากข้ารู้แล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ นั่นจะมิใช่อำพรางเก่งเกินไปหรือไร”

ฝูเป่ากล่าวยิ้มๆ “เดาได้ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ชอบคนที่ปิดบังซ่อนเร้น เจ้ามีนามว่าชิงหลวนกระมัง พวกเรามาเป็นสหายกันเถิด รีบนั่งลงกินบะหมี่เร็วเข้า”

ชิงหลวนได้ยินดังนี้กลับมิได้นั่งลง แต่ก้มลงต่ำทำความเคารพ “โปรดประทานอภัยที่ชิงหลวนบังอาจขอร้องให้องค์หญิงทรงช่วยหม่อมฉันหาคนผู้หนึ่ง”

ฝูเป่าถามด้วยความแปลกใจ “หาคน?”

“ทูลตามตรง ชิงหลวนเป็นชาวเจียงจั่ว มาแคว้นฉินครานี้เพื่อตามหาน้องสาว” นางมองฝูเป่าพลางกล่าวว่า “ก่อนปีใหม่องค์ชายฝูหมัวเคยเสด็จประพาสเจียงจั่ว น้องสาวหม่อมฉันก็ได้หายตัวไปในเวลานั้น”

ฝูเป่าทำสีหน้าเหมือนว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง “เจ้าว่าท่านอาหมัวของข้าพาน้องสาวของเจ้าไป?”

“ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ชิงหลวนมิกล้าบุ่มบ่ามด่วนสรุป เพียงแต่มีความเป็นไปได้สูงอย่างที่สุดเพคะ” ชิงหลวนกล่าวพลางหางตาปรากฏหยาดน้ำตา “ชิงหลวนฐานะต่ำต้อย วาจาไร้น้ำหนัก เดิมไม่ควรมาหาคนยังแคว้นฉิน แต่ไม่นานมานี้มารดาได้สิ้นใจด้วยอาการป่วย ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของชิงหลวนก็คือต้องการหาตัวน้องสาวแล้วพากลับไป”

ฝูเป่าเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงลุกขึ้นกุมมือนางไว้ กล่าวปลอบใจว่า “มิต้องร้อนใจไป แม้ท่านอาผู้นี้ของข้าจะเสเพลจนเป็นนิสัยแล้ว แต่มิใช่คนเลวอะไร ข้าจะไปพูดกับเขา หากน้องสาวเจ้าอยู่ที่นั่นจริงจะต้องทำให้พวกเจ้าพี่น้องได้พบกันอย่างแน่นอน!”

ชิงหลวนกัดริมฝีปาก มือหนึ่งปาดน้ำตา “เป็นพระกรุณาธิคุณเพคะ”

“กรุณาอะไรกัน ข้าบอกแล้วว่าพวกเราเป็นสหายกัน ย่อมเป็นเรื่องสมควร!” ฝูเป่าดึงให้ชิงหลวนนั่งลง “รีบกินบะหมี่เถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

บุรุษหนุ่มผู้นั้นที่มิได้เอื้อนเอ่ยคำใดมาโดยตลอดได้พูดขึ้นมาจากด้านข้าง “กินเสร็จแล้วข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไป”

ฝูเป่าไม่พอใจ พูดเสียงอู้อี้ “โธ่ นี่ยังไม่ดึกเลย”

“ผ่านไปอีกชั่วยาม* ประตูวังก็จะปิดแล้ว หากคราวหน้าเจ้ายังอยากออกมา วันนี้ก็ควรกลับไปเร็วๆ”

ฝูเป่าตอบรับเสียงค่อย แต่ยังคงลดความเร็วในการกินบะหมี่ลงตามจิตใต้สำนึก

ทว่าต่อให้นางกินช้าเพียงไร เวลาในการบะหมี่หนึ่งชามก็ไม่มีทางนานได้มากนัก

กินเสร็จฝูเป่าก็นัดเวลาพบกันครั้งหน้ากับชิงหลวน จากนั้นก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับวัง

ชิงหลวนมองดูรถม้าของพวกนางหายไปท่ามกลางความมืดยามราตรี แต่กลับมิได้จากไปที่ใดเป็นเวลาเนิ่นนาน

นางไม่ได้นึกถึงมารดามาเป็นเวลานาน ในไม่กี่วันนับตั้งแต่ได้รู้ข่าวการตายของมารดาจวบจนตอนนี้ นางมักจะจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้เสมอ แต่ขณะบอกเล่าเรื่องนั้นเมื่อครู่นี้ได้ชักนำความทรงจำในสมัยเด็กเกี่ยวกับมารดากลับมาทั้งหมด

เจ็ดปีแล้ว…เวลาเจ็ดปี นางเฝ้าหวังทุกทิวาราตรีว่าจะสามารถกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับมารดาและน้องสาวได้ในเร็ววัน ไม่คิดว่าพอถึงเวลากลับได้รับข่าวเยี่ยงนี้

เจ้าของแผงขายบะหมี่เห็นนางนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นก็เงยหน้ามอง ก่อนจะมองเห็นนางน้ำตานองหน้า มือหนึ่งปิดปากไว้ ชัดเจนว่าร้องไห้จนปิ่มจะขาดใจ แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา

“แม่นาง ท่านยังไหวอยู่กระมัง”

ชิงหลวนส่ายหน้า ลุกขึ้นเดินออกจากแผงขายบะหมี่

ชิงหลวนเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เมื่อค่อยๆ ค้นพบว่าผู้คนที่สัญจรบนถนนฉางอันมีจำนวนน้อยลงทุกทีถึงได้ตระหนักด้วยความตกใจว่าดึกมากแล้ว

ไม่ไกลกันนี้ก็คือสะพานศิลาโค้งสะพานนั้น ผิวน้ำมีแสงโคมกระจัดกระจาย ริมสะพานกลับไร้คนสัญจรแล้ว

ชิงหลวนนั่งอยู่ริมแม่น้ำนานเพียงไรก็สุดรู้ นางรู้สึกว่าที่ข้างกายคล้ายมีคน เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนเมื่อครู่ที่ถูกเรียกขานว่า ‘พี่เฟิ่ง’

“ไยท่าน…จึงกลับมาอีกเล่า” วาจานี้หลุดพ้นปาก เสียงกลับมิได้นุ่มเบารื่นหูเท่าก่อนหน้านี้ แต่ฟังดูแหบแห้งอย่างรุนแรง

เขานั่งลงข้างนาง แต่จงใจรักษาระยะห่างไว้ วางโคมดอกบัวไว้บนฝ่ามือ ก่อนกล่าวว่า “กลับถึงวังแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ลอยโคมนี้ จึงได้วกกลับมา ไม่คาดว่าเจ้าก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”

ชิงหลวนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ลอยเถิด”

เขาหันหน้ามามองนาง “เหตุใดจึงร่ำไห้เสียปิ่มจะขาดใจเยี่ยงนี้”

ชิงหลวนตอบเสียงเบา “เพราะว่า…คิดถึงมารดา”

นางมิใช่คนอ่อนแอ เพียงแต่วันนี้เห็นบรรยากาศยามดึกไร้ผู้คนและแสงโคมเลือนรางนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะบอกเล่าความขมขื่นในใจออกมา

“สามารถคิดถึงได้อันที่จริงเป็นเรื่องดี” ไม่คาดว่าคนผู้นั้นจะเงยหน้ามองขอบฟ้าอันไร้จุดสิ้นสุดพลางกล่าวว่า “บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าควรเริ่มคิดถึงจากตรงจุดใด”

ชิงหลวนตระหนกเล็กน้อย อยากจะกล่าวบางอย่างเป็นการปลอบใจเขา แต่ครั้นคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นการเสียแรงเปล่า

“เจ้ามีนามว่า…ชิงหลวน?”

“ถูกต้อง วันนี้ก็นับว่าได้รู้จักกันแล้ว มิทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไร”

“เฟิ่งหวง”

ชิงหลวนอึ้ง แล้วจึงเอ่ยทวน “เฟิ่งหวง?”

นางเรียกตนเองว่าชิงหลวน เขาถึงกับมีนามว่าเฟิ่งหวง หากมิใช่ก่อนหน้านี้ได้ยินฝูเป่ากับโต้วหวั่นเอ๋อร์เรียกเขาว่า ‘พี่เฟิ่ง’ ชิงหลวนจะต้องคิดว่าคนหนุ่มผู้นี้กำลังล้อเลียนนางเล่นอยู่เป็นแน่

“มิใช่ ‘หวง’ จากคำว่า ‘หงส์ฟ้า’ แต่เป็น ‘หวง’ จาก ‘หวังปัญญาชนผู้เป็นเลิศ’” เขาไม่คิดจะอ้อมค้อมกับเรื่องนี้ เปลี่ยนมาพูดว่า “ในเมื่อล้วนเป็นผู้เสียใจ อารมณ์ไม่สู้ดี ก็ลองเล่าเรื่องที่ตนเองเสียใจดูสักหน่อยเถิด ถึงอย่างไรหลังจากวันนี้เจ้ากับข้าก็จะเป็นเพียงคนผ่านทางกันแล้ว”

ชิงหลวนพยักหน้าตอบรับ “ได้”

เฟิ่งหวงมองผิวน้ำพลางกล่าวเชื่องช้า “วงศ์ตระกูลของข้าเดิมเป็นคหบดีอันดับหนึ่งในท้องถิ่น ตอนยังเล็กทั้งบ้านปรองดองเป็นสุข นึกว่าวันเวลาเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้ยาวนาน กลับไม่คาดว่าจะเจอโจรบุกปล้นกะทันหัน บ้านแตกสาแหรกขาดในชั่วข้ามคืน พวกข้าที่รอดชีวิตถูกโจรชั่วจับตัวไว้ ในคืนที่มีหิมะตกต้องเดินเท้าเปล่าเป็นหนทางยาวไกลยิ่ง…ข้าเห็นกับตาตนเองว่าพี่ชายถูกขัง พี่สาวถูกกระทำย่ำยี คนในตระกูลต้องตกเป็นทาส…”

เฟิ่งหวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด สองตามองไปทางด้านหน้านิ่งๆ คล้ายเป็นความนิ่งเงียบหลังจากโศกเศร้าเสียใจมายาวนาน

ชิงหลวนฟังแล้วให้ตกใจ แต่ก็จนใจที่บัดนี้เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วน เรื่องราวเยี่ยงนี้มีอยู่มากมายเหลือเกิน

เฟิ่งหวงก้มหน้ากล่าวว่า “ไม่กี่ปีก่อนข้าถึงกับคิดอยู่ตลอดว่าเมตตาธรรมที่ใหญ่ล้นที่สุดในโลกอาจจะเป็นการไม่ต้องมาเกิดยังโลกมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้”

ชิงหลวนฟังแล้วเศร้าใจ นางกล่าวเสียงค่อย “ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้ มารดาข้าเดิมทีเป็นนักแสดงหุ่นเงา หลังแต่งงานกับบิดาข้า ผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยมีความสุข เจ็ดปีก่อนสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดคือการไม่เคยเกิดมาบนโลกนี้”

เฟิ่งหวงมองมาที่นาง “เช่นนั้นปัจจุบันเล่า”

ชิงหลวนมองแสงโคมเต็มครรลองสายตา ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนตอบว่า “ปัจจุบันได้เรียนบางอย่างจากผู้ทรงปัญญาท่านหนึ่ง รู้ว่าหกทิศแปดดินแดนและโลกมนุษย์อันเวิ้งว้างนี้ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีชะตาลิขิต แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ การที่มารดาสิ้นใจจากไปโดยมิทันได้พบหน้าเลยสักหน ปมนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ในใจข้าก้าวข้ามไปไม่ได้”

“เจ้าดูเถิดว่าในแม่น้ำนี้มีโคมดอกบัวลอยอยู่เต็มไปหมด มนุษย์โลกล้วนเชื่อกันว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่บนดอกบัว สามารถนำพาสรรพชีวิตข้ามไปสู่ฟากฝั่ง” เฟิ่งหวงจับมือของชิงหลวนให้วางโคมดอกบัวในมือลงในแม่น้ำอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “แต่โคมดอกบัวของผู้ใดเล่าจะสามารถนำพาข้าในชาตินี้ข้ามไปถึงฟากฝั่งได้”

คนทั้งสองปล่อยมือพร้อมกัน โคมดอกบัวถูกลมพัดลอยไป ส่องแสงรำไรอยู่บนผิวน้ำ

เวลานี้ถนนฉางอันทั้งเส้นมีแสงโคมริบหรี่ มีเพียงโคมดอกบัวในแม่น้ำที่ยังไม่ดับ ประหนึ่งว่าสามารถส่องสว่างชาตินี้ภพนี้ได้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5  มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: