X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 70-71

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 70

“คุณหนูคนนั้น หน้าตาเป็นอย่างไรครับ” เฮ่อฮั่นจู่ถามต่อ

มาดามคิคูโกะพูดทบทวนความทรงจำพลางยกนิ้วมือขึ้นชี้วนรอบใบหน้าตนเอง

“ครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอ นึกว่าเธอเป็นผู้ชาย ผู้ชายหน้าหวานค่ะ คิ้วยาวคมเข้มเหมือนจิตรกรใช้หมึกซูซุกะ คุณภาพดีที่สุดของบ้านเกิดฉันวาดออกมา เธอมีหน้าผากโหนกนูน ปลายหางตาเฉียงขึ้น เอาเป็นว่าใบหน้าของเธอทำให้ฉันนึกไปถึงพระจันทร์เต็มดวงกลางฟ้าในคืนฤดูใบไม้ร่วง คุณเฮ่อเข้าใจความหมายของฉันไหมคะ คือทุกครั้งที่เธอมาจะไม่พูดอะไรมาก แต่ดวงตาเป็นประกายใสเย็น ดังนั้นฉันก็เลยรู้สึกอย่างนี้ ความจริงฉันชักอยากรู้อยากเห็นอยู่เหมือนกัน อยากให้ครั้งหน้าเธอมาที่นี่แต่แต่งตัวเป็นผู้หญิงตามเดิม คงจะต้องสวยมากแน่ๆ…”

รูปลักษณ์หน้าตาของคนที่เฮ่อฮั่นจู่ฟังมาดามคิคูโกะค่อยๆ พูดบรรยายออกมาทีละส่วนๆ ตรงกับใบหน้าในห้วงความคิดของเขาไม่มีผิดดังคาด

บนหน้าเขาอาจไม่เผยความรู้สึกใดๆ ให้เห็น แต่นิ้วที่กุมถ้วยน้ำชาร้อนไว้ในมือกำเข้าหากันแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

เขาสะกดอารมณ์ที่เริ่มปั่นป่วนพลุ่งพล่านในใจไว้ หยุดใคร่ครวญด้วยความรอบคอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถามต่ออีกคำ

“ยังจำได้ไหมครับว่าเธอเริ่มมาใช้บริการโรงอาบน้ำของคุณตั้งแต่เมื่อไร”

ราวกับมาดามคิคูโกะสัมผัสถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมของเขาได้ เธอเริ่มตื่นตระหนกว่าเมื่อครู่ดูเหมือนตนเองจะพูดมากเกินไปบ้าง

การเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของลูกค้าถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงที่สุดของคนทำธุรกิจโรงอาบน้ำ

เธอตวัดตามองชายหนุ่ม อึกอักนิดหนึ่งก่อนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณเฮ่อ เพราะอะไรคุณถึงซักถามเรื่องนี้คะ”

“ไม่ใช่ซักถาม แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องบอก”

ชายชาวจีนตรงหน้าที่พูดกับเธอแม้จะยังหนุ่มอยู่ทว่าออกคำสั่งจนเป็นนิสัยอย่างเห็นได้ชัด

มาดามคิคูโกะขานรับคำหนึ่ง ไม่กล้าถามต่ออีก

“ประมาณกลางเดือนสิบค่ะ…” เธอนิ่งคิดครู่เดียวแล้วเอ่ยตอบ

เป็นช่วงที่เธอถูกตัดสิทธิ์พักห้องเดี่ยวแล้วย้ายไปอยู่ห้องพักรวมนั่นพอดี…

มาดามคิคูโกะเห็นเขานิ่งเงียบไป สีหน้าอ่านไม่ออก เธอจึงพูดต่ออย่างระมัดระวัง “แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อสัปดาห์ก่อนเธอไม่ได้มา ทั้งที่ก่อนหน้าเธอจะมาทุกสัปดาห์ในวันอาทิตย์เสมอ ไม่รู้ว่าสัปดาห์นี้เธอจะมาอีกหรือเปล่า ที่นี่ยังมีตั๋วโรงอาบน้ำที่เธอยังใช้ไม่หมดอยู่ค่ะ”

ลูกชายสกุลซู…

ไม่สิ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปน่าจะเปลี่ยนเป็นเรียกว่า ‘ลูกสาวสกุลซู’

เธอไม่มีทางมาอีกแล้ว เฮ่อฮั่นจู่รำพึงอยู่ในใจอย่างเยาะหยัน

พอมาคิดดูตอนนี้ แผ่นหลังที่เห็นแวบเดียวที่นี่วันนั้น บอกให้รู้ว่าตอนนั้นเธอเห็นเขาแล้วรีบหลบไปก็เท่านั้นเอง

เขาวางถ้วยน้ำชาในมือลงช้าๆ ลุกพรวดขึ้นเดินออกจากประตูใหญ่ไปขึ้นรถ จากนั้นขับรถจากไปพร้อมกับเสียงพูดล่ำลาของมาดามคิคูโกะที่ตามออกมาโค้งตัวส่งแขก

ในเวลากลางดึกฝนตกโปรยปรายอันหนาวเหน็บนี้ จุดประสงค์ที่เขาขับรถฝ่าความมืดข้ามครึ่งเมืองมาถึงที่นี่เพียงลำพังก็เพื่อยืนยันการคาดเดาอย่างหนึ่งในใจ

ข้อสงสัยที่ก่อนหน้านี้แค่คิดก็ได้คำตอบแล้ว ตอนนี้เขาเพียงพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นความจริงเท่านั้นเอง

เฮ่อฮั่นจู่เห็นว่าเรื่องที่ ‘ลูกชายสกุลซู’ เป็น ‘ลูกสาวสกุลซู’ นี้ เขาไม่จำเป็นต้องแตกตื่นตกใจใดๆ ทั้งสิ้น

กระนั้นความเป็นจริงคือเขาสุดปัญญาจะควบคุมอารมณ์ได้

และไม่อาจควบคุมได้เลยสักนิด

ตอนได้ยินคำบรรยายที่ตรงกับใบหน้าของเธอพวกนั้นจากปากของมาดามคิคูโกะจริงๆ เขายังรู้สึกตะลึงอยู่ดี ซ้ำยังตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่งยวดด้วย

ส่งผลให้จนถึงตอนนี้เขาออกจากที่นั่นแล้ว ยังคงไม่อาจโน้มน้าวใจตนเองได้ในชั่วขณะให้เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

ลูกชายสกุลซูเป็นผู้หญิง?

โง่บรม! ฉันมันโง่เองจริงๆ

เวลานี้พอคิดขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเธอจะไม่มีพิรุธเลย นอกจากจุดผิดปกติที่นึกได้พวกนั้น เขาจำได้ว่ามีหนหนึ่งเธอเถียงกลับเขา เขาคว้าแฟ้มเอกสารจะฟาดใส่เธอด้วยความโมโห ตอนนั้นเธอกุมหัวร้องเสียงหลง

ทว่าปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณแบบนี้ เขากลับมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง

ขนาดตอนที่หวังถิงจือบอกเขาว่ารู้สึกว่าเธอเหมือนผู้หญิง เขาถึงกับนึกว่าความคิดของหวังถิงจือน่าหัวเราะ

เพราะอะไรกัน เขายกตัวว่าเป็นคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร กลับหัวทื่อตาบอดถึงเพียงนี้เลยหรือ

เฮ่อฮั่นจู่ถามตนเอง แล้วเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

เพราะว่าในความรู้สึกลึกๆ ของเขา เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงจะทำเรื่องพวกนั้นได้อย่างที่เธอทำ

มีทั้งความรู้และความถนัดที่ยอดเยี่ยมโดดเด่น เธอจัดเป็นคนเก่งแถวหน้าในโลกของผู้ชายได้อย่างสบายๆ

ยามประจันหน้ากับศพ เธอเยือกเย็นเข้าขั้นไร้ความรู้สึกใดๆ

ในหัวสมองของเฮ่อฮั่นจู่ปรากฏภาพที่ตนเองเห็นเธอลงมือผ่าชันสูตรศพครั้งแรก

ถ้าไม่ได้เห็นเองกับตา เขาคงนึกภาพไม่ออกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ขนาดนั้น

นอกจากฝีมือความเชี่ยวชาญแล้ว ยังมีนิสัยใจคออีกอย่าง ลูกสาวสกุลซูคนนี้ดื้อรั้นไม่เข้าเรื่อง หรือจะพูดให้น่าฟังขึ้นสักนิดคือความหัวแข็งเด็ดเดี่ยวของเธอก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เมื่อก่อนเขาไม่มีวันคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงด้วย

เฮ่อฮั่นจู่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงก็สามารถอดทนดันทุรังแบบนั้นได้

ตลอดสองสามเดือนที่ต้องเจอกับเรื่องที่ปกติพวกผู้หญิงรับไม่ไหวพวกนั้น ไม่ว่าจะโดนลงโทษวิ่งกลางฝน โดนครูฝึกตีด้วยแส้อย่างไม่ปรานีปราศรัย รวมถึงโดนบังคับให้นอนรวมกับผู้ชายจนถึงขณะนี้ กระทั่งเรื่องปกติสามัญที่สุดอย่างเช่นการอาบน้ำ ก็ยังต้องมาที่โรงอาบน้ำตั้งไกลอย่างนี้ เธอกลับแบกรับไว้ได้หมด ไม่เพียงไม่ถอดใจยอมแพ้ ยังเอาชนะได้ทุกอุปสรรคด้วย

คนแบบนี้จะให้เขาคิดถึงได้อย่างไรว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

หลังจากเฮ่อฮั่นจู่หายตะลึงพรึงเพริด ความรู้สึกผิดก็ไหลบ่าเข้ามาเกาะกุมใจเขาไว้อีก มันเป็นความสำนึกผิดปนกับความเสียใจภายหลังอย่างรุนแรง

เขานึกภาพไม่ออกเช่นกันว่าถ้าเปลี่ยนเป็นน้องสาวของตนเองถูกบังคับให้อยู่รวมกับผู้ชายทั้งโขยง สถานการณ์อย่างนั้นจะเป็นเช่นไร

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกสาวสกุลซูต้องทนรับไว้นี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากความคิดชั่วแล่นของเขากับคำพูดประโยคเดียวที่ออกจากปากหลังจากนั้น

ตรงกลางอกชายหนุ่มท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกโทษตนเองกับสงสารจับใจระลอกหนึ่ง

อย่างอื่นยังพอไหว เรื่องเร่งด่วนในขณะนี้คือต้องให้เธอย้ายออกจากหอพักชายโดยเร็วที่สุด

เฮ่อฮั่นจู่ถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง แต่ยังไม่ทันดึงตนเองให้หลุดออกจากอารมณ์เหล่านี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกฉุนโกรธขึ้นมาตงิดๆ อีก

ต่อให้มีเหตุจำเป็นต้องบอกกับคนนอกว่าเป็นผู้ชายมาตั้งแต่เด็กก็ตามที แต่ในเมื่อเป็นผู้หญิง เพราะอะไรต้องดื้อดึงอย่างนี้ จะต้องคัดง้างกับเขาให้ได้ พอเจอปัญหาพวกนี้ก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแม้แต่น้อย

เพราะเธอปักใจว่าถึงมาอธิบายเรื่องราวกับเขา เขาก็คงเลือดเย็นถึงขนาดไม่รู้สึกรู้สาสักนิด หรือว่าเธอไม่อยากลดศักดิ์ศรีลงมาพูดกับเขาเพื่อขอความช่วยเหลือกัน

หรือว่า…

ความคิดแปลกๆ อย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัวชายหนุ่มอีกกะทันหัน

หรือว่าจริงๆ แล้วเธอปักใจกับฟู่หมิงเฉิงแต่แรก ตัดสินใจว่าจะอาศัยฟู่หมิงเฉิงเป็นที่พึ่ง ดังนั้นถึงยากเย็นเพียงไหน ก็ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีมาขอร้องเขา

ก่อนหน้านี้คงเพราะสถานะของฟู่หมิงเฉิงในตระกูลยังไม่แน่นอนอยู่ ดังนั้นเธอเห็นอกเห็นใจเขา ไม่ได้บอกเรื่องจริงเกี่ยวกับตัวเธอและปัญหายุ่งยากของเธอกับเขา จะได้ไม่ทำให้เขาวุ่นวายใจมากขึ้น

แต่ตอนนี้ฟู่หมิงเฉิงเป็นใหญ่ในสกุลฟู่แล้ว เธอเห็นว่าเขาเริ่มมีกำลังความสามารถปกป้องเธอได้ ดังนั้นพักนี้ทั้งคู่จึงไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ฟู่หมิงเฉิงบริจาคเงินก้อนใหญ่ เมื่อวานเธอก็ออกไปกับเขาอีก

นี่เธอจะบอกความลับที่ตนเองเป็นผู้หญิงนี้กับฟู่หมิงเฉิงในเร็วๆ นี้แล้วใช่ไหม

หรือว่า…อันที่จริงฟู่หมิงเฉิงรู้อยู่แล้ว?

พอความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ก็คล้ายเป็นงูร้ายพ่นพิษตัวหนึ่งพันรัดจิตใจของเฮ่อฮั่นจู่ไว้อย่างว่องไว

เขาไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด ยิ่งคิดถึงว่าหลังจากรู้จักกับเธอแล้วถูกเธอโกหกหลอกลวงสารพัด ความรู้สึกผิดและสงสารเมื่อครู่นี้ก็อันตรธานไปหมด ถึงขั้นกลายเป็นความอับอายจนพานโกรธขึ้นมาอีกด้วย

ลูกสาวสกุลซูหลอกเขา เธอปั่นหัวเขามาโดยตลอด

ยังไม่พูดถึงว่าเธอสรรหาทุกวิถีทางโกหกเขา เจตนาจะปกปิดเรื่องที่เธอโดดน้ำตายเพราะฟู่หมิงเฉิง

ส่วนเขาเชื่อเธอสนิทใจ อยากให้เธอแต่งงานกับน้องสาวของตนเองจากใจจริง ซ้ำยังวุ่นวายหาวิธีรักษาโรคน่าอายที่ว่านั่นให้เป็นการใหญ่ ผลปรากฏว่าตนเองเป็นไอ้หน้าโง่ที่โดนเธอหลอกจนหัวปั่น

ถนนเบื้องหน้าเขาเป็นทางแยก

เอี๊ยด!

เฮ่อฮั่นจู่เหยียบห้ามล้อกะทันหัน ล้อรถบดพื้นถนนที่มีน้ำขังอยู่จนเกิดเสียงแหลมบาดหูดังขึ้น

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สายฝนเริ่มเบาลงปนกับลูกเห็บโปรยปรายจากท้องฟ้ายามราตรี ลูกเห็บตกลงมากระทบหลังคารถได้ยินเสียงเปาะแปะดังอึงอล

นิ้วมือทั้งห้าของเฮ่อฮั่นจู่กำรอบพวงมาลัยรถที่เย็นเฉียบ สองตาเพ่งมองไปในความมืดมิดที่แสงไฟรถส่องไปไม่ถึงด้านนอกกระจกหน้ารถผืนนั้น ชั่วอึดใจต่อมาเขาเหยียบคันเร่งเต็มแรงออกรถอีกครั้ง ล้อหมุนดีดน้ำแตกกระจาย พารถยนต์ห้อตะบึงไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือสายนั้น

เรื่องในคืนนี้ยังไม่จบ แล้วก็จบลงแบบนี้ไม่ได้

เขายังต้องการคำตอบสุดท้าย จะกระชากหน้ากากของเธอออกซึ่งๆ หน้า ดูว่าเธอจะเฉไฉแก้ตัวอย่างไร

เดิมทีเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรอยู่แล้ว การแก้แค้นเป็นเรื่องที่ชวนให้สาแก่ใจ ในเมื่อจะได้สาแก่ใจ เหตุใดต้องห้ามตนเองไว้ไม่ทำเล่า

ในค่ำคืนที่ชื้นแฉะเย็นเยือกและมีลูกเห็บตกลงมาอีกนี้ รถยนต์ของชายหนุ่มละม้ายสัตว์ร้ายสวมเกราะเหล็กที่ร้องคำรามตัวหนึ่งวิ่งไปทางทิศเหนือของเมืองอย่างฉับไว ตัดผ่านถนนกลางสุสานที่เงียบงันมืดมิดไปจนถึงวิทยาลัยแพทย์ทหารในที่สุด

เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณวิทยาลัยปิดไฟไปนานแล้ว รอบด้านตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ดวงหนึ่งตรงป้อมยามหน้าประตูที่ส่องสว่างอยู่

เฮ่อฮั่นจู่จอดรถแล้วลงจากรถ ย่ำเท้าไปบนหย่อมน้ำบนพื้นเดินปราดๆ เข้าไปตบประตู ปลุกคนเฝ้ายามที่เข้าเวรดึกให้สะดุ้งตื่นขึ้น

คนเฝ้ายามเห็นหน้าคนที่มาหาได้ถนัดตาว่าเป็นเขาก็หายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง ลุกลนหยิบเสื้อคลุมตัวออกมาเปิดประตู

“ไปเรียกซูเสวี่ยจื้อออกมา” เขาออกคำสั่งสั้นๆ

คนเฝ้ายามอึ้งงันไปนิดหนึ่งก่อนพูด “ผู้บัญชาการเฮ่อ คืนนี้นักเรียนซูยังไม่กลับมาเลยครับ”

“เพราะอะไร วิทยาลัยนี้มีระเบียบวินัยแบบกึ่งทหารไม่ใช่หรือ ไม่ใช่สุดสัปดาห์ นักเรียนค้างคืนอยู่ข้างนอกตามใจชอบได้หรือ”

คนเฝ้ายามได้ยินน้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดอยู่บ้างก็รีบอธิบาย “คืออย่างนี้ครับ นักเรียนซูรับหน้าที่ทำห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่ จำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ ท่านผู้อำนวยการจึงอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้าออกเวลาไหนก็ได้ครับ เมื่อกลางวันเขาน่าจะออกไปเพราะเรื่องนี้ ส่วนว่าเพราะอะไรคืนนี้ยังไม่กลับมา กระผมก็ไม่ทราบชัดเจนแล้วครับ”

เฮ่อฮั่นจู่นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก

 

ตอนเฮ่อฮั่นจู่กลับถึงคฤหาสน์สกุลเฮ่อก็เป็นเวลาหนึ่งนาฬิกาแล้ว

ความตั้งใจที่จะพักผ่อนในคืนนี้พังทลายหมดสิ้นเพราะเรื่องคาดไม่ถึงนี้

เฮ่อฮั่นจู่เอนตัวลงนอนแต่หลับไม่ลง พลิกตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็เลยลุกลงจากเตียงไปที่ห้องหนังสือ

ชายหนุ่มยืนพิงหน้าต่างหันหน้าไปทางผืนราตรีข้างนอกตามลำพัง เขาสูบบุหรี่อยู่ในความมืดไปได้ครึ่งมวน หมุนตัวเดินไปข้างโต๊ะแล้วโทรศัพท์หาติงชุนซาน บอกให้ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวในวันนี้ของซูเสวี่ยจื้อว่าคืนนี้นอนค้างที่บ้านตระกูลฟู่หรือเปล่า

ติงชุนซานโดนปลุกให้ตื่นขึ้น เขาดูเวลาแวบหนึ่งเห็นว่าสองนาฬิกาแล้ว อดถามคำหนึ่งไม่ได้ “ตอนนี้หรือครับ”

“ใช่ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้”

เสียงทางสายโทรศัพท์ของผู้บังคับบัญชาฟังดูมึนตึงมาก ติงชุนซานไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงให้ไปสืบหาซูเสวี่ยจื้อตอนสองนาฬิกาแบบนี้ แต่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องร้ายแรง เขาทั้งไม่กล้าและไม่จำเป็นต้องถามต่อว่าเพราะอะไรอยู่แล้ว แค่ขานรับแล้ววางหูโทรศัพท์ ก่อนจะเร่งรีบคลานออกจากผ้าห่มอันอบอุ่น

โชคดีว่าคนที่รับหน้าที่เป็นสายสืบทำงานไว้ใจได้ ครึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็โทรศัพท์กลับไปรายงานผู้บังคับบัญชาว่าเมื่อวานซูเสวี่ยจื้อไปที่โรงพยาบาลชิงเหอก่อน น่าจะไปรับข้อมูลต่างๆ เช่นบันทึกการรักษาอาการป่วยของเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่ก่อนเสียชีวิต จากนั้นไปยังบ้านพักซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองของผู้อำนวยการคิมูระพร้อมกับฟู่หมิงเฉิง คืนนี้ยังไม่เห็นกลับเข้าเมือง น่าจะค้างคืนที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระ สำหรับสาเหตุนั้นเป็นไปได้มากว่าเพราะฝนลูกเห็บตกจึงส่งผลกระทบต่อการเดินทางสัญจร เขาส่งคนไปตรวจดูที่นอกเมืองแล้ว พอมีข่าวกลับมาจะรายงานให้ทราบทันที

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ตอนสามนาฬิกาครึ่ง ติงชุนซานโทรศัพท์กลับมาเป็นครั้งที่สอง บอกว่าเป็นปัญหาที่สภาพถนนจริงๆ รถยนต์ของลูกน้องเขาติดอยู่กลางทาง ขับเข้าไปไม่ได้

ในเมื่อขับเข้าไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ออกมาไม่ได้เหมือนกันเป็นธรรมดา

ติงชุนซานรายงานจบ กลั้นใจรอคำสั่งใหม่ของผู้บังคับบัญชา

ชั่วครู่ต่อมาได้ยินเสียงพูดจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่งว่า “เรียกกลับมาเถอะ ไม่ต้องสืบแล้ว”

ติงชุนซานลอบถอนหายใจเฮือกแล้วขานรับทันที

บทที่ 71

ตอนบ่ายซูเสวี่ยจื้อได้รับโทรศัพท์จากฟู่หมิงเฉิง เขาบอกว่ารวบรวมบันทึกการรักษาอาการป่วยของพ่อเขาที่มีอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลชิงเหอ ถามเธอว่ามีเวลาไปคัดเลือกด้วยกันได้หรือไม่

ใกล้จะถึงปลายภาคแล้ว ตารางเวลาเรียนของนักเรียนชั้นปีที่สี่เริ่มน้อยลง หลักๆ จะเป็นการอ่านหนังสือเองกับเรียนปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ เธอไม่มีคาบเรียนบ่าย อีกทั้งทางวิทยาลัยอยากกำหนดเนื้อหาสาระที่จะจัดแสดงในห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่ในเบื้องต้นให้ได้ก่อนปิดเทอม เธอตอบตกลงและบอกให้เขารอสักครู่ ตนเองจะรีบไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด แต่ชายหนุ่มบอกว่าขับรถไปสะดวกมาก เขามารับเธอไปจะเร็วกว่า ซูเสวี่ยจื้อได้แต่รอเขามาหา สุดท้ายนั่งรถของเขาไปที่โรงพยาบาลพร้อมกัน

หลังจากรวบรวมเอกสารกับแฟ้มข้อมูลการรักษาที่เป็นประโยชน์เสร็จ ฟู่หมิงเฉิงบอกว่าวันนี้ภรรยาของผู้อำนวยการคิมูระจะฉลองวันเกิด ผู้อำนวยการคิมูระอยู่บ้านเป็นเพื่อนภรรยาไม่ได้มาที่โรงพยาบาล พอรู้ว่าเขาอาจจะมาที่นี่กับซูเสวี่ยจื้อวันนี้ เลยฝากให้เชิญเธอไปกินอาหารที่บ้านพร้อมกับเขา

หญิงสาวคำนึงถึงว่าตนเองกับอีกฝ่ายไม่เคยไปมาหาสู่กัน รู้สึกไม่ค่อยเหมาะเลยปฏิเสธอย่างสุภาพ ฟู่หมิงเฉิงกลับบอกว่าผู้อำนวยการคิมูระไหว้วานเขาเอาไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้เชิญเธอไปให้ได้ เพราะมีเรื่องอยากขอให้เธอช่วยเหลือ

ซูเสวี่ยจื้อนึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้อำนวยการคิมูระมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ทว่าอีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว จะบอกปัดอีกก็ไม่เป็นการดี เธอจึงตามเขาไปที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระด้วยเหตุนี้

ระหว่างทางฟู่หมิงเฉิงบอกเธอว่าผู้อำนวยการคิมูระอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านกลางเขานอกเมืองแห่งหนึ่ง และยอมเดินทางไปกลับทุกวันเพราะชอบความเงียบสงบ ในบ้านมีแค่เขากับภรรยาที่ตามเขามาเมืองจีนเมื่อหลายปีก่อน ตามธรรมดาภรรยาเขาจะอยู่บ้าน สองสามีภรรยารักใคร่กันดีมาก

“คุณไม่ต้องเกร็งนะ คุณนายคิมูระมีเชื้อสายจีนครึ่งหนึ่ง เธอเป็นคนอัธยาศัยดี คุณได้พบแล้วจะรู้เอง”

บ้านของผู้อำนวยการคิมูระอยู่ไกลมากจริงๆ หลังออกมาทางทิศใต้ของเมือง ยังต้องขับรถอีกเกือบสิบกิโลเมตรกว่าจะถึง ตัวบ้านตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของหมู่บ้าน ดูภายนอกเป็นเรือนสี่ประสานของจีนที่ผ่านการซ่อมแซมดัดแปลงมาอีกที ฟู่หมิงเฉิงเล่าว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นวิทยาลัยเอกชนเล็กๆ ภายหลังปิดตัวไป ผู้อำนวยการคิมูระก็ซื้อที่นี่เอาไว้แล้วปรับปรุงเป็นบ้านพัก พอย่างเท้าเข้าไปก็เห็นเป็นลานบ้านแบบเรียบง่ายโบราณ ปลูกต้นสนเขียวชอุ่ม ทั่วบริเวณสะอาดหมดจดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรงหน้าประตูเขียนอักษรวิจิตรจีนไว้สามคำว่า ‘เรือนหนานหยาง’ เป็นตัวบรรจงลายเส้นกลมมน

“คุณคิมูระเป็นคนเขียนอักษรพวกนี้เอง เขายกย่องเทิดทูนจูเก๋อเลี่ยง (ขงเบ้ง) ในยุคซานกั๋ว (สามก๊ก) มาก ถึงได้ตั้งชื่อที่นี่ว่าเรือนหนานหยาง” ฟู่หมิงเฉิงอธิบาย

ผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยาออกมาต้อนรับแขกด้วยกัน

คุณนายคิมูระเป็นอย่างที่ฟู่หมิงเฉิงบอกไว้จริงๆ เธอมีรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ไม่เพียงพูดภาษาจีนเป็น ยังรับรองแขกได้อย่างเหมาะสม ทำให้ซูเสวี่ยจื้อสลัดความรู้สึกเก้อเขินที่มาเยี่ยมบ้านคนอื่นเป็นครั้งแรกไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเจ้าของบ้านกับแขกพบหน้ากันแล้ว คุณนายคิมูระพาแขกที่มาหาเป็นครั้งแรกเดินชมบ้านเล็กน้อย ซูเสวี่ยจื้อเห็นภาพครอบครัวพ่อแม่ลูกแขวนไว้บนผนังห้องรับแขก

ดูจากภาพน่าจะเป็นสมัยที่ผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยายังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่ คุณนายคิมูระอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้บนตัก

ครั้นเห็นภาพถ่ายดึงดูดสายตาของแขกไป คุณนายคิมูระยิ้มน้อยๆ “คนนี้เป็นลูกสาวของฉันกับคุณคิมูระ น่าเสียดายที่เธอโชคร้ายล้มป่วยจากไปเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาพวกเราก็ไม่มีลูกอีกเลย คุณคิมูระมักพูดกับฉันบ่อยๆ ว่าทุกครั้งที่ช่วยรักษาเด็กให้หายป่วย เขาจะรู้สึกคล้ายว่าได้ยืดชีวิตของลูกสาวเราต่อไปจากตัวเด็กคนนั้น”

ซูเสวี่ยจื้ออดนึกไปถึงเรื่องที่ผู้อำนวยการคิมูระจัดทำแฟ้มประวัติการรักษาให้โจวเสี่ยวอวี้เป็นพิเศษไม่ได้ ไม่ใช่แค่ความเมตตาการุณย์ต่อคนไข้ที่น่านับถือ แต่มีอดีตช่วงหนึ่งอยู่เบื้องหลังอย่างนี้ด้วยนั่นเอง

ในฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว พอกินอาหารมื้อเย็นแล้ว ผู้อำนวยการคิมูระเชิญแขกดื่มน้ำชา พูดคุยเรื่องที่โรงพยาบาลชิงเหอโดนฟ้องร้องเพราะอุบัติเหตุจากการผ่าตัดผู้ป่วยรายนั้น นอกจากจะสะทกสะท้อนใจที่การติดเชื้อหลังผ่าตัดเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ยากแล้ว เขายังรู้สึกผิดอย่างรุนแรงจากความผิดพลาดในคราวนั้นของตนเอง

ยุคนี้ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือโรคติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ ล้วนถูกจัดให้เป็น ‘โรคที่รักษาไม่ได้’ ทันทีที่เป็นก็มักต้องตายเสมอ

ไม่กี่วันก่อนนี่เองโรงพยาบาลสังกัดวิทยาลัยแพทย์ทหารได้รับผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นทหารบาดเจ็บ แผลของเขาติดเชื้อแล้วเกิดภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ถึงแม้ผู้อำนวยการเหอพยายามรักษาสุดความสามารถ ทหารคนนั้นยังคงเคราะห์ร้ายเสียชีวิตอยู่ดี

ตอนนั้นเธอก็อยู่ที่นั่น มองดูนายทหารหนุ่มท่าทางเพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีต้องตายไปอย่างนั้นต่อหน้าต่อตา แต่เธอสุดปัญญาจะทำอะไรได้

ทั้งๆ ที่การติดเชื้อชนิดนี้สามารถรักษาด้วยยาเพนิซิลลินได้อย่างเต็มที่

เมื่อได้ยินผู้อำนวยการคิมูระเอ่ยถึงปัญหานั้นในขณะนี้ ในใจซูเสวี่ยจื้อยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำยาปฏิชีวนะออกมาเร็วขึ้น อีกทั้งเธอเพิ่งรู้ว่าที่แท้จนบัดนี้โรงพยาบาลชิงเหอยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาทำการรักษาในด้านนี้เลย

ผู้อำนวยการคิมูระกล่าวจบแล้วหันไปทางซูเสวี่ยจื้อ เขานั่งคุกเข่าบนเสื่อทาทามิ* ก้มหัวหมอบกับพื้นเป็นการคำนับเธออย่างอ่อนน้อมพลางพูด “ผมละอายใจอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าไม่สมควรเอ่ยปาก แต่ผมหมดหนทางจริงๆ เพราะทางโรงพยาบาลยังไม่ได้รับอนุญาตให้รักษาด้านนี้ ช่วงก่อนต้องปฏิเสธคนไข้ไปไม่น้อย ผมอยากไหว้วานให้คุณซูช่วยเหลือครับ โรงพยาบาลจะได้กลับมาให้บริการรักษาโรคตามปกติโดยเร็ว”

ซูเสวี่ยจื้อรีบเบี่ยงตัวหลบการคำนับ เอ่ยว่าเธอเต็มใจช่วย แต่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างจริงๆ และขอให้เขาไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้

ผู้อำนวยการคิมูระบอกว่าอำนาจในการดูแลควบคุมสถานพยาบาลอยู่ที่กรมตำรวจ ก่อนหน้านี้เขาเคยไปพบซุนเมิ่งเซียนมาแล้ว ตั้งใจจะให้กรมตำรวจจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจประเมินโรงพยาบาลชิงเหอใหม่ จะได้ออกใบอนุญาตให้อีกครั้ง แต่ซุนเมิ่งเซียนคงไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงดึงเรื่องไว้ตลอดไม่ยอมดำเนินการ

เขาได้ยินว่าซูเสวี่ยจื้อไม่เพียงเป็นญาติกับเฮ่อฮั่นจู่ผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ ปกติยังพบปะกันบ่อยๆ ดังนั้นวันนี้เขาอ้างวันเกิดของภรรยา ทำหน้าหนาเชิญเธอมาเพื่อขอร้องให้นำสถานการณ์ความลำบากของโรงพยาบาลไปบอกต่อเฮ่อฮั่นจู่ หวังว่าเขาจะยื่นมือช่วยคลี่คลายให้

หญิงสาวแปลกใจมาก เธอรู้สึกมาตลอดว่าตนเองกับเฮ่อฮั่นจู่เป็นคนรู้จักกันธรรมดาๆ และไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนที่ในสายตาคนภายนอกเห็นว่าเธอกับเขาสนิทกันถึงระดับนี้

ในฐานะคนเป็นหมอเหมือนกัน ซูเสวี่ยจื้อย่อมจะเข้าใจถึงสถานการณ์ลำบากของโรงพยาบาลชิงเหอได้ แล้วก็เห็นอกเห็นใจอยู่มาก เธอเห็นดังนั้นแล้วได้แต่พูดว่า “ความจริงผมกับผู้บัญชาการเฮ่อเป็นญาติห่างกันหลายชั้น ปกติก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร สำหรับเขาเกรงว่าคำพูดของผมคงไม่มีน้ำหนักอะไรนัก คุณคิมูระน่าจะเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เรื่องนี้ผมอยากช่วยแต่ก็จนปัญญาจริงๆ ผมไม่กล้ารับปากหรอกครับ กลัวจะทำให้งานสำคัญของคุณเสียหาย แต่เท่าที่ผมรู้ ผู้บัญชาการเฮ่อนับว่าเป็นคนเปิดกว้าง ดังนั้นผมแนะนำให้คุณหาโอกาสขอพบเขาโดยตรงหรือไม่ก็เขียนจดหมายเล่าปัญหาของคุณก็ได้ เรื่องเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลประชาชน ผมเชื่อว่าเขาไม่นั่งนิ่งดูดายแน่ครับ”

ผู้อำนวยการคิมูระขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเธอ บอกว่าจะลองติดต่อไปโดยเร็วที่สุดตามที่เธอบอก

ตอนยี่สิบนาฬิกากว่า สมควรแก่เวลาที่คนเป็นแขกจะขอตัวกลับแล้ว ด้านนอกสายฝนกลับโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เพราะอยู่ในภูเขาอุณหภูมิจึงยิ่งลดต่ำลง ส่งผลให้มีลูกเห็บตกอีกด้วย ได้ยินเสียงคล้ายเมล็ดถั่วหล่นร่วงกระทบกระเบื้องหลังคาเหนือศีรษะ

หากอยู่ที่นี่ต่ออีกเกรงว่าจะเดินทางกลับลำบาก ฟู่หมิงเฉิงกับซูเสวี่ยจื้อกล่าวลาเจ้าของบ้าน ขับรถไปตามเส้นทางขามาออกจากภูเขา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งไปได้ไม่กี่กิโลเมตรก็เจอดินถล่มลงมาปิดถนนเบื้องหน้าไว้ รถยนต์แล่นผ่านไปไม่ได้

แถวนี้เป็นที่เปลี่ยว มีหมู่บ้านแค่ไม่กี่แห่งตั้งกระจายกันห่างๆ ในเวลานี้นอกจากแสงสว่างจากไฟรถแล้ว ถนนหนทางมืดมิด มองไม่เห็นวี่แววผู้คน จะทิ้งรถเดินกลับเข้าเมืองก็เป็นไปไม่ได้ จึงต้องหันหัวรถกลับอย่างหมดทางเลือก คืนนี้ทั้งคู่จำต้องพักอยู่ที่บ้านผู้อำนวยการคิมูระ รอวันรุ่งขึ้นฟ้าสว่างค่อยกลับไป

ตอนเย็นผู้อำนวยการคิมูระดื่มเหล้าไปบ้างเลยเข้านอนแล้ว ภรรยาของเขาเป็นคนจัดเตรียมห้องพักให้แขกที่ย้อนกลับมา

ที่นอนนั้นมีเหลือเฟือ ตามวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น แค่วางฟูกนอนบนพื้นก็เป็นอันเรียบร้อย สะดวกและง่ายดาย เธอถามแขกสองคนว่าคืนนี้จะนอนห้องเดียวกันหรือคนละห้อง

แม้ซูเสวี่ยจื้อเริ่มเคยชินกับการนอนร่วมห้องกับเพื่อนนักเรียนแล้ว แต่ในความรู้สึกของเธอ พวกเจี่ยงจ้งไหวเป็นเพื่อนฝูงกันในลักษณะที่แทบไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง

ขณะที่ฟู่หมิงเฉิงย่อมไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา

ซูเสวี่ยจื้อยังไม่ทันอ้าปากพูด ได้ยินฟู่หมิงเฉิงที่อยู่ด้านข้างบอกว่า “ตอนกลางคืนผมเคยชินกับการนอนคนเดียว มีคนอื่นอยู่ด้วย กลัวจะหลับไม่สนิท รบกวนคุณช่วยเตรียมห้องให้ผมกับคุณซูคนละห้องด้วยครับ”

คุณนายคิมูระตอบรับอย่างยิ้มแย้มแล้วกุลีกุจอไปจัดเตรียมให้

ซูเสวี่ยจื้อคิดไม่ถึงว่าเขาจะขอนอนคนเดียวเหมือนกัน เธอไม่ต้องเอ่ยปากเองพอดี พอหันไปมองเขา เห็นเขาก็มองมาทางเธอพลางพูดยิ้มๆ “คุณอย่าถือนะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจอยู่ห้องเดียวกับคุณจริงๆ แต่ผมเป็นคนนอนยาก กลัวจะกวนเวลาพักผ่อนของคุณ”

ใครๆ ก็ต้องการความเป็นส่วนตัวกันทั้งนั้น หญิงสาวเข้าใจได้แน่นอน อีกทั้งตรงกับความต้องการของเธอพอดี จึงบอกเขาว่าไม่เป็นไร

ตอนเตรียมห้องเรียบร้อยแล้วยังไม่ถึงเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา จะเข้านอนก็เร็วไปสักหน่อย ฟู่หมิงเฉิงชวนเธอมานั่งผิงไฟกัน ทั้งคู่นั่งอยู่หน้าเตาดินเผา เขาอุ่นเหล้าสาเกกาหนึ่งบนนั้นโดยใช้กิ่งสนเป็นฟืน

รอบด้านเงียบสงบอย่างยิ่ง มีแต่เสียงกิ่งสนไหม้ไฟดังเปรี๊ยะๆ คละเคล้าเสียงลูกเห็บกระทบหลังคาดังเปาะแปะๆ ลอยมากระทบหู

ค่ำคืนนี้ฟู่หมิงเฉิงดูจะครึ้มอกครึ้มใจอยากพูดคุยมาก เขาเป็นฝ่ายเล่าเรื่องสมัยไปเรียนต่อที่ตงหยางให้เธอฟัง ยังพูดถึงการอยู่ร่วมห้องเดียวกับเพื่อนนักเรียนที่มีเรื่องไม่สะดวกหลายอย่างเพราะความเคยชินและกิจวัตรที่ต่างกัน ภายหลังเขายื่นขอห้องพักเดี่ยวแล้วย้ายออกไปถึงได้อยู่อย่างสบายใจ

“ซูเสวี่ยจื้อ คุณเคยชินกับความเป็นอยู่ที่วิทยาลัยแล้วจริงๆ นะ ถ้าต้องการอะไรแล้วเอ่ยปากเองไม่สะดวก บอกกับผมได้ ผมพอช่วยพูดให้คุณได้”

เธอเช่าบ้านได้แล้ว อีกอย่างเวลานี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง แค่อ้างว่าเตรียมงานห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่ก็เข้าออกได้ทุกเมื่อ

ถึงปกติจะยังไม่ค่อยสะดวก แต่ช่วงที่ยากลำบากที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ภาคการศึกษานี้ก็ใกล้จะปิดเรียน เหลือเวลาอีกไม่เท่าไร จู่ๆ ย้ายไปอยู่ห้องพักเดี่ยวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตอนนี้ กลัวว่าจะทำให้คนอื่นติดใจสงสัยและโดนเขม่นโดยไม่จำเป็น

หญิงสาวใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนบอกว่าขณะนี้ยังไม่จำเป็น เธอขอบคุณในความปรารถนาดีของเขา

รอดูผลคะแนนสอบปลายภาคก่อน ถ้าเกิดไม่ถึงเกณฑ์ เทอมหน้ายังต้องอยู่ห้องพักรวมอย่างไม่มีทางเลือก ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาวิธีอีกทีแล้วกัน

ฟู่หมิงเฉิงตอบรับ

ยามนี้เหล้าสาเกอุ่นได้ที่แล้ว เขาหยิบมาจะรินให้เธอ

ซูเสวี่ยจื้อรีบห้ามไว้ บอกว่าเธอดื่มเหล้าไม่เป็น

เธอเริ่มประจักษ์ได้ทีละน้อยว่าตนเองในร่างนี้คออ่อนมาก ดื่มไปนิดเดียวก็มีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ทันที เธอกลัวจะเกิดปัญหา ยามอยู่ข้างนอกจึงจะปฏิเสธหมด

ฟู่หมิงเฉิงมองเธอแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้คะยั้นคะยออีก เขารินให้ตนเองแล้วดื่มอึกหนึ่ง ค่อยพูดยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว จำได้ว่าปีก่อนประมาณช่วงนี้เหมือนกัน ในงานคริสต์มาสที่วิทยาลัยแพทย์ประจำมณฑล คุณก็เผลอตัวดื่มเหล้าจนเมา ตอนออกมาเลยหกล้ม ผมเจอเข้าโดยบังเอิญ ยังพาคุณไปส่งที่บ้านคุณลุงของคุณ”

เขาพูดอย่างสะท้อนใจ “เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีกจริงๆ หนึ่งปีแล้ว ผู้คนสถานที่เปลี่ยนแปลงไปหมด ตอนนี้นึกขึ้นมาผมก็รู้สึกเหมือนว่าเรื่องราวในตอนนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”

ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ เธอพยายามทบทวนความทรงจำในหัวเต็มที่ ในที่สุดก็จำได้รางๆ ว่าเคยเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ ดูเหมือนตอนนั้นแขนขาถลอกปอกเปิก เขาเป็นคนพาเธอไปทำแผลที่ห้องพยาบาล จากนั้นส่งเธอกลับไปบ้านคุณลุง

ทว่ามันเป็นอดีตไปหมดแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง ซูเสวี่ยจื้อไม่ค่อยอยากพูดถึงมากนัก อีกทั้งเมื่อครู่เธอใจลอยนึกไปถึงเรื่องที่ญาติผู้พี่พลั้งปากกับเฮ่อฮั่นจู่ซึ่งกวนใจเธอมาตลอดหลายวันนี้ ไม่รู้ว่าทำให้เขาเอะใจหรือเปล่ากันแน่ ส่งผลให้ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เธอตอบเออๆ ออๆ สองคำแล้วบอกว่าเริ่มง่วงแล้ว

ฟู่หมิงเฉิงลุกขึ้นทันที

ซูเสวี่ยจื้อพูดขอตัวกับเขากลับไปที่ห้องของตนเอง ปิดประตูแล้วแปรงฟันเข้านอน

เธอไม่คุ้นกับการนอนพื้น บวกกับมีเรื่องในใจ วันรุ่งขึ้นเพิ่งฟ้าสางก็ตื่นนอน พบว่าข้างนอกหิมะตกแล้ว โลกรอบตัวถูกห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีเงิน

ฟู่หมิงเฉิงตื่นแต่เช้าเช่นกัน

หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ คนรับใช้ของครอบครัวคิมูระกลับมารายงานว่าชาวบ้านแถวนี้เก็บกวาดถนนเรียบร้อยแล้ว

ทั้งคู่กล่าวลาผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยา เตรียมตัวกลับเข้าเมือง

ในเวลาเดียวกันนี้เองคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมถนนทางเข้าบ้านของครอบครัวคิมูระที่มีหิมะทับถมอยู่

เขาคือเฮ่อฮั่นจู่

เมื่อเช้าเขาออกจากเมืองตอนห้านาฬิกากว่า

ชายหนุ่มนอนไม่หลับทั้งคืน อารมณ์โกรธและไม่พอใจที่พลุ่งพล่านตรงกลางอกเป็นแรงขับให้เขามุ่งหน้ามาที่นี่แต่เช้าตรู่อย่างทนรอไม่ไหวจริงๆ

เขาอยากเห็นกับตาว่าลูกสาวสกุลซู ผู้หญิงจอมหลอกลวงพูดโกหกเป็นไฟคนนั้น หลังจากโดนเขาเปิดโปงความลับซึ่งๆ หน้า เธอจะทำหน้าอย่างไร

เฮ่อฮั่นจู่มองอยู่ไกลๆ เห็นประตูไม้เปิดออก สองสามีภรรยาเจ้าของบ้านเดินออกมาส่งแขกด้วยท่าทางเปี่ยมด้วยไมตรีจิต

สายตาเขาปะทะเข้ากับร่างร่างหนึ่ง

เธอออกมาแล้ว ยืนอยู่บนบันไดหินใต้ชายคาเหลียวมองไปรอบตัว

สายลมพัดผ่านเรือนผมสั้นที่ดูเรียบร้อยของเธอ นัยน์ตาสุกใสเปล่งประกายระยับจับตา

เขารู้สึกไม่วายคล้ายว่าเธอจะมองเห็นตนเอง ก็เกิดร้อนตัวขึ้นมากะทันหัน ถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัวแล้วหยุดยืนนิ่งเพ่งตามองไปอีกครั้ง

เธอสวมเสื้อสูทลำลองสีขาวนวลกับกางเกงขี่ม้าลายตาราง คงจะคาดไม่ถึงว่าหิมะจะตกกะทันหัน เสื้อผ้าอาภรณ์แลดูบางไปไม่ค่อยอบอุ่น

เธอถือผ้าพันคอผืนหนึ่งในมือ คลี่ออกห่มไหล่ง่ายๆ เวลานี้เองฟู่หมิงเฉิงก้าวตามออกมากางร่มให้

เธอหันหน้าไปส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ดูท่าทางเหมือนพูดขอบคุณแล้วรับร่มมาถือเองทันที จากนั้นเดินย่ำพื้นหิมะไปที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่นอกประตู

ฟู่หมิงเฉิงกวดฝีเท้าตามมาเปิดประตูรถให้

เธอพยักหน้าให้ฟู่หมิงเฉิง หุบร่มและก้มตัวลอดเข้าไปนั่ง

จากนั้นฟู่หมิงเฉิงก็ขึ้นรถตาม

เฮ่อฮั่นจู่เห็นภาพนี้แล้ว ในใจเกิดความรู้สึกว่าเธอกับฟู่หมิงเฉิงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก

อารมณ์โกรธและไม่พอใจจนทำให้เมื่อคืนเขาข่มตาอย่างไรก็นอนไม่หลับพลันสลายหายไปตามความรู้สึกนี้ด้วย

ฟู่หมิงเฉิงสตาร์ตรถอุ่นเครื่องแล้วขับออกไปอย่างช้าๆ

เดิมทีเฮ่อฮั่นจู่ควรจะเข้าไปเรียกเธอลงจากรถ พาตัวไปซักไซ้ไล่เลียงทันที

ฟู่หมิงเฉิงขัดขวางเขาไม่ได้

ขอแค่เขาอยากทำ ไม่มีใครขัดขวางได้

แต่เขากลับยืนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับตัว มองดูฟู่หมิงเฉิงขับรถพาเธอหายลับตาไปทีละน้อย

ลมโชยมาระลอกหนึ่งเกิดเสียงดังซ่าๆ หิมะที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เหนือศีรษะหล่นใส่คอเสื้อของชายหนุ่ม

เกล็ดหิมะสัมผัสกับไออุ่นจากผิวกายใต้ร่มผ้าเขาจึงละลายอย่างรวดเร็วแล้วไหลลงไปตามแผ่นหลังกว้าง

เสื้อของเขาเปียกแฉะเย็นเฉียบเป็นวง

จิตใจที่สุมแน่นไปด้วยไฟโทสะมาค่อนคืนของเขาก็ค่อยๆ เยือกเย็นลงตามไปด้วย

คล้ายกับกระดาษกรุหน้าต่างที่มีหิมะเกาะแล้วละลายเปียกซึม กระดาษไม่ขาดแต่จะอ่อนนิ่มยวบยาบ

เฮ่อฮั่นจู่ห่อเหี่ยวใจกะทันหัน รู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือแสน

นี่มันอะไรกัน

นอกจากจะไม่หลับไม่นอนทั้งคืนแล้ว ยังทำเรื่องไร้สาระน่าขำแบบนี้อีก

ลูกของสกุลซูจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วมันกงการอะไรของเขาด้วย

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธออยากปิดบัง ไม่เต็มใจเปิดเผยความลับของครอบครัวกับคนนอก

เขาเองก็รู้โดยบังเอิญ มีสิทธิ์อะไรไปเค้นถามเธอ

พอคิดอีกทีที่เขาโดนหลอกโดนหยามน้ำหน้าก็รนหาที่เอง

เขาถูกใจเธอถึงมีความคิดจะให้เธอแต่งงานกับน้องสาว

แล้วเขาก็โง่งมเองที่เชื่อคำโกหกของเธอ อยากรักษาโรคของเธอ

ถ้าพูดแบบไม่ค่อยน่าฟังคือเขาเป็นฝ่ายเสนอตนเองทั้งนั้น

เธอปฏิเสธมาโดยตลอด ไม่มีทีท่าอยากเข้ามาใกล้ชิดเขาก่อนแม้แต่น้อยนิด

ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะอะไรที่จะไปซักไซ้ไล่เลียงเธอที่ปิดบังความลับนี้

อาศัยแค่ว่าเธอเรียกเขาว่า ‘คุณน้า’ หรือ

ชายหนุ่มยืนต่ออีกชั่วครู่ ลมพัดมาระลอกหนึ่งเหนือศีรษะซ้ำอีกที

เฮ่อฮั่นจู่ไม่ขยับตัว ปล่อยให้หิมะเย็นจัดร่วงหล่นเต็มศีรษะ เขาเหลือบมองท้องฟ้าขมุกขมัว สุดท้ายล้วงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ยกมือป้องลมกดไฟแช็กดังแชะๆ หลายต่อหลายทีกว่าจะจุดไฟติดแล้วสูบคำหนึ่ง ก่อนหมุนตัวย่ำรองเท้าทรงสูงบนพื้นหิมะดังสวบสาบเดินจากไป

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: