X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 68-69

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 68

สมัยหนุ่มๆ เยี่ยหรู่ชวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปค้าขายสมุนไพรทั่วทุกสารทิศทั้งนอกด่านในด่านย่อมจะไม่ตกหล่นเมืองท่าสำคัญของภาคเหนืออย่างเมืองเทียนเป็นธรรมดา

ทว่านั่นเป็นเรื่องนานนมมาแล้ว คราวที่เขามาเยือนเมืองเทียนคือเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ได้มาอีกครั้ง เห็นที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน เขาก้าวออกจากสถานีรถไฟก็แทบจะจดจำถนนหนทางไม่ได้แล้ว

จวงเถียนเซินเพื่อนเก่าของเขาจะมาถึงวันพรุ่งนี้ ตอนที่ติดต่อกันก่อนหน้านี้อีกฝ่ายบอกว่าพอเขามาถึงเมืองเทียนให้ไปพักที่บ้านสกุลจวงได้เลย ทว่าเยี่ยหรู่ชวนตั้งใจว่าจะพักในโรงแรมเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่นเกินไป

ในเมื่อจะมาเยี่ยมคารวะเฮ่อฮั่นจู่ก็ต้องไปอย่างมีหน้ามีตา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าพักในโรงแรมเทียนเฉิงที่โด่งดังที่สุดแห่งนั้น

ห้องชุดชั้นบนสุดราคาแพงที่สุดของโรงแรมนี้ต้องจ่ายเงินถึงสิบเหรียญต่อหนึ่งคืน ซึ่งมากกว่าเงินค่าจ้างรายเดือนของคนงานทั่วไปมากมายหลายเท่า

กระทั่งค่าห้องพักราคาถูกที่สุดก็ต้องมีสามสี่เหรียญ พอๆ กับเงินเดือนครึ่งหนึ่งของตำรวจสายตรวจเลยทีเดียว

ตอนเยี่ยหรู่ชวนมาทำการค้าที่เมืองเทียนเมื่อครั้งกระโน้นก็อยากพักในโรงแรมนี้เพื่อลิ้มลองประสบการณ์ใหม่ๆ ดูสักหนว่าเป็นอย่างไร แต่ที่พลาดโอกาสไปไม่ใช่ว่าเขาไม่มีปัญญาจ่าย ทว่าเป็นเพราะเสียดายเงินเท่านั้น คราวนี้เขากัดฟันเปิดห้องพักราคาถูกที่สุดพลางลอบปลอบใจตนเองว่าถือเสียว่าทำตามความปรารถนาเมื่อหลายปีก่อนให้ลุล่วงไป

ส่วนพวกซูจงที่มาพร้อมกับเขาไปพักที่ที่พักนักเดินทางราคาถูกกว่าใกล้ๆ กัน หลังจากเข้าห้องพักเยี่ยหรู่ชวนก็ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูภูมิฐาน จากนั้นรีบไปหาหลานสาวที่วิทยาลัยแพทย์ทหารบกที่เธอเล่าเรียนศึกษาอยู่ก่อนเป็นอันดับแรกอย่างอดใจรอไม่ไหว

แม้ในจดหมายที่หลานสาวส่งมาคราวก่อนฉบับนั้นจะเขียนเล่าว่าเธออยู่ทางนี้สบายดีทุกอย่าง ขอให้คนทางบ้านสบายใจ แต่อย่างไรหลานสาวเขาก็เป็นผู้หญิง ต้องอยู่ในวิทยาลัยชายล้วนแบบนี้ อย่าว่าแต่เยี่ยอวิ๋นจิ่นเลย กระทั่งตัวเยี่ยหรู่ชวนเองยังรู้สึกห่วงพะวงอยู่ไม่วาย

เมื่อเขาไปถึงวิทยาลัยแพทย์ทหาร เห็นคนเฝ้ายามหน้าประตูสวมเครื่องแบบทหารก็สาวเท้าเข้าไปแจ้งชื่อของหลานสาว บอกว่าตนเองเป็นคุณลุงแท้ๆ เดินทางจากบ้านเกิดเพื่อมาเยี่ยมเยือน

เดี๋ยวนี้ซูเสวี่ยจื้อเป็นคนดังประจำวิทยาลัยไปแล้ว เวลาเอ่ยชื่อเธอไม่มีใครไม่รู้จัก คนเฝ้ายามได้ยินว่าเป็นคุณลุงของนักเรียนซูก็พลันมีท่าทางสุภาพมากขึ้นทันใด บอกกับเยี่ยหรู่ชวนว่าเขามาไม่ได้จังหวะเลย วันนี้นักเรียนซูออกไปข้างนอก ดูเหมือนท่านผู้อำนวยการจะมอบหมายงานอะไรให้สักอย่าง ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร แต่สามารถฝากคำพูดไว้ได้ รอนักเรียนซูกลับมา คนเฝ้ายามจะบอกต่อให้ทันที

เยี่ยหรู่ชวนมาเสียเที่ยวก็อดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้ เขากล่าวขอบคุณแล้วเริ่มสอบถามถึงความเป็นไปของหลานสาวในวิทยาลัยนี้ พอได้ยินคนเฝ้ายามพูดว่าซูเสวี่ยจื้อมีผลการเรียนดีเยี่ยม ฝีมือความสามารถก็โดดเด่น และเป็นลูกศิษย์คนโปรดของผู้อำนวยการ เยี่ยหรู่ชวนถึงคลายความเป็นห่วงที่ติดอยู่ในใจจางๆ ลงได้ เขาอารมณ์ดีสุดจะกล่าว ควักเหรียญเงินเหรียญหนึ่งบนตัวออกมาวางแปะลงบนฝ่ามือคนเฝ้ายามอย่างใจป้ำพลางบอกหมายเลขห้องพักของเขาในโรงแรมเทียนเฉิง กำชับให้คนเฝ้ายามจำไว้ พอซูเสวี่ยจื้อกลับมาก็ให้ไปหาเขาที่นั่น

ในเมื่อมาผิดจังหวะไม่ได้เจอหลานสาว เขาจึงไปสะสางธุระสำคัญรองลงมาของการเดินทางเที่ยวนี้ นั่นก็คือเยี่ยมคารวะเฮ่อฮั่นจู่

ถึงแม้อีกฝ่ายได้ชื่อว่าญาติห่างๆ รุ่นเดียวกับเขา แต่อายุห่างกันมาก อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่เคยไปมาหาสู่กันโดยตรง ดังนั้นจะเข้าไปหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าแบบนี้คงทำไม่ได้แน่นอน

เยี่ยหรู่ชวนทำตามธรรมเนียมของคนยุคนี้คือเขียนเทียบขอเยี่ยมคารวะ ลงชื่อเสร็จแล้วก็ให้คนรับใช้เอาไปส่ง

ตามมารยาททางสังคมโดยทั่วไป ถ้าอีกฝ่ายอยู่และเต็มใจพบเขาจะส่งเทียบเชิญตอบกลับอย่างช้าที่สุดไม่เกินพรุ่งนี้ ฝ่ายคนเป็นแขกก็สามารถไปเยี่ยมเยียนถึงที่ในวันถัดไปได้เลย

เยี่ยหรู่ชวนรออยู่ในห้องพักของโรงแรม จนกระทั่งคนรับใช้กลับมารายงานว่าไปส่งเทียบที่กองบัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์เรียบร้อยแล้ว ทางนั้นรับไว้แต่บอกว่าผู้บัญชาการเฮ่อไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนและจะให้คำตอบได้เมื่อไร

วันนี้ดูท่าทางเยี่ยหรู่ชวนจะดวงไม่ค่อยดี ตอนแรกไม่ได้เจอกับหลานสาว เฮ่อฮั่นจู่ก็ยังไม่อยู่อีก เขาได้แต่ทำใจเย็นรอคอยไปก่อน

ขณะนี้ยังเป็นเวลากลางวัน แม้ห้องพักในโรงแรมจะดีเพียงไหน เยี่ยหรู่ชวนก็ทนอยู่เฉยไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาไม่คุ้นเคยกับห้องที่ตกแต่งแนวตะวันตกประเภทนี้อยู่เป็นทุนเดิม เขาพาซูจงออกไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่เคยทำการค้าร่วมกันคนหนึ่ง หลังจากได้พบกันแล้วดื่มชาโอภาปราศรัยเล็กน้อย ก็ได้ยินว่าแถวๆ วัดเฉิงหวงมีแหล่งรวมร้านค้าสมุนไพรที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้แห่งหนึ่ง ห้างขายยาตงย่าของที่นั่นมีชื่อเสียงโด่งดังมากจากการจำหน่ายยาเม็ดเลิกฝิ่นแผนปัจจุบันสูตรลับเฉพาะที่ผลิตจากโรงงานของตนเอง ยามที่อยากฝิ่นขึ้นมา กินยาเลิกฝิ่นนั้นเม็ดเดียวก็หายเป็นปลิดทิ้ง อีกทั้งยังมียาเม็ดชูกำลังอีกขนานหนึ่ง ช่วยคลายความอ่อนเพลียและกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า ล้วนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนแทบถึงขั้นผูกขาดตลาดไปแล้ว เยี่ยหรู่ชวนชักสนใจ คิดคำนวณว่าจะทำการค้านี้ได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้างคนนำทาง ตั้งใจไปดูกับตาตนเอง

คฤหาสน์สกุลเลี่ยวในเขตซินเจี้ยทางทิศตะวันออกของเมืองประดับประดาทั้งภายนอกภายในเป็นสีขาวเพื่อไว้ทุกข์ นอกประตูใหญ่มีพวงหรีดซึ่งส่งมาจากผู้คนทุกแวดวงตั้งเรียงรายเต็มพืดไปตามริมถนนสองฝั่งจนแทบมองไม่เห็นหางแถว

แม้แต่ประธานาธิบดีก็ยังสั่งให้คนส่งพวงหรีดมา หลังจากท่านรู้ข่าวแล้วตกใจและเศร้าเสียใจมาก ขณะนี้มันวางอยู่ตรงตำแหน่งเด่นสะดุดตาที่สุดในโถงตั้งศพ

คนที่แต่งตัวแบบนักข่าวหนังสือพิมพ์สิบกว่าคนกำลังดักเฝ้าอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้า คอยจับสังเกตแขกที่มาเคารพศพไม่ขาดสาย

ทันใดนั้นทุกคนเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจากที่ไกล พอรถหยุดจอดสนิท คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตู คนคนหนึ่งก้มตัวลงมาจากบนนั้น เขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารกับรองเท้าขี่ม้าอย่างสุภาพเรียบร้อย เมื่อจำได้ว่าเป็นเฮ่อฮั่นจู่ผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ พวกนักข่าวหนังสือพิมพ์พากันยกกล้องถ่ายเก็บภาพเขาด้วยความตื่นเต้นคึกคักอย่างสุดระงับ

รอมานานหลายวันในที่สุดเฮ่อฮั่นจู่ก็มาปรากฏตัวในงานศพเสียที

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองมาด้วยความรู้สึกนึกคิดต่างๆ กันไปจากด้านข้าง ชายหนุ่มย่างเท้าข้ามธรณีประตู เดินไปตรงหน้าแท่นบูชาซึ่งแขวนตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่า ‘เตี้ยน*’ ไว้ รอให้ซุนเมิ่งเซียนที่มาถึงก่อนเข้าจุดธูปไหว้ศพด้วยหน้าตาเคร่งขรึมหม่นหมองเสร็จ ถึงก้าวเข้าไปเผากระดาษเงินกระดาษทองปึกหนึ่งด้วยตนเอง

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างทุกข์ระทมของพวกผู้หญิงในสกุลเลี่ยวที่อยู่รอบหีบศพค่อยๆ เบาลง

สายตานับไม่ถ้วนจากทั้งสี่ทิศพุ่งตรงมาที่เขาประหนึ่งลูกธนูลับ

เฮ่อฮั่นจู่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือของเขาถือกระดาษเงินกระดาษทองไว้กลางอากาศให้ติดไฟได้เร็วขึ้น

ประกายเพลิงลุกโชน ส่องกระทบดวงหน้าคมเข้มที่สงบนิ่งของเขา

เขาหลุบตาน้อยๆ มองดูกระทั่งเปลวไฟลามเลียกระดาษสีทองจนม้วนงอมอดไหม้ไปครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นโยนใส่ถังเผากระดาษ โค้งคำนับสองทีเป็นอันเสร็จสิ้นการเคารพศพ จากนั้นค้อมศีรษะนิดหนึ่งให้ผู้ประกอบพิธีด้านข้างที่ขอบคุณเขาแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากโถงตั้งศพ ฉับพลันนั้นชายสวมชุดผ้าดิบคนหนึ่งชักปืนก้าวเข้ามาจ่อไปที่กลางอกเขา

“คนแซ่เฮ่อ แกแน่มาก! ยังกล้าโผล่หน้ามาอีกหรือ แกนั่นล่ะเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง แกมาได้จังหวะพอดี ฉันจะล้างแค้นให้พี่น้องฉันเดี๋ยวนี้เลย!”

ชายคนนี้คือเลี่ยวโซ่วกวงญาติผู้น้องของเลี่ยวโซ่วหลิน เป็นนายทหารยศพลตรีคนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของเขา

ดวงตาทั้งคู่ของเลี่ยวโซ่วกวงเบิกถลน ปีกจมูกขยับไปมาด้วยความเดือดดาล เขากัดฟันกรอดๆ มองเฮ่อฮั่นจู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

กริ๊ก!

เขาง้างไกปืน

บรรยากาศทั้งงานเขม็งเกลียวในฉับพลัน

ผู้ว่าฯ โจวก็อยู่ด้วย เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะเห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจ ลุกพรวดขึ้นจะเข้าไปห้าม แต่เห็นซุนเมิ่งเซียนลอบขยิบตาให้ เขาละล้าละลังเล็กน้อยแล้วค่อยๆ หยุดฝีเท้า

เสียงร่ำไห้กระซิกๆ ของพวกผู้หญิงภายในโถงตั้งศพก็หยุดลงทันใด รอบด้านเงียบกริบไร้สุ้มเสียง ได้ยินเพียงเสียงหายใจแรงๆ ดังฟืดฟาด บ่งชัดถึงความเด็ดเดี่ยวในเสี้ยวขณะนี้ของเลี่ยวโซ่วกวง

เฮ่อฮั่นจู่มองปากกระบอกปืนดำมะเมื่อมที่หันมาทางเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปยกมือกำกระบอกปืนไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ให้ปากกระบอกปืนจ่อตรงตำแหน่งหว่างคิ้วของตนเอง

กระดาษเงินกระดาษทองที่เพิ่งโยนลงถังเผากระดาษที่มีถ่านไฟคุแดงโดนเผามอดไหม้หมดสิ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นระลอกหนึ่งแล้วอ่อนแรงลง เหลือไว้แค่ควันลอยอ้อยอิ่ง และค่อยๆ สลายหายไปในอากาศเจือกลิ่นไหม้จางๆ รอบตัวในที่สุด

เฮ่อฮั่นจู่จ้องตากับเลี่ยวโซ่วกวงตรงหน้าครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นว่า “ทำไมไม่เหนี่ยวไกล่ะ” น้ำเสียงของเขาราบเรียบยิ่ง

มือข้างที่ถือปืนไว้ของเลี่ยวโซ่วกวงถูกจับยกขึ้นสูงเริ่มสั่นเทาน้อยๆ ในดวงตาไม่มีแววดุดันกล้าหาญเหมือนชั่วอึดใจก่อนหน้าให้เห็นอีก เขาหลบสายตาที่จ้องมองมานิ่งๆ อย่างลังเลไม่แน่ใจ

เฮ่อฮั่นจู่ตวัดข้อมือแย่งปืนจากมือเลี่ยวโซ่วกวงมาอย่างง่ายดาย หมุนปืนกลับแล้วใช้ส่วนด้ามฟาดกลางหน้าผากเลี่ยวโซ่วกวงเต็มแรงในพริบตาเดียวอย่างไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวสักนิด

แรงฟาดที่หนักหน่วงทำให้เลี่ยวโซ่วกวงล้มลงกับพื้น ศีรษะแตกเลือดไหลลงมาจากหน้าผากทันควัน

ทุกคนตกใจยกใหญ่ พากันวิ่งกรูมาแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ ส่วนพวกผู้หญิงกรีดร้องเสียงแหลม

เฮ่อฮั่นจู่มองเลี่ยวโซ่วกวงที่ล้มลงนั่งกับพื้นกุมหัวไว้ ท่าทางยังดึงสติคืนมาไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด เขาโยนปืนที่ด้ามจับเปื้อนเลือดทิ้ง ใช้สองมือยกขากางเกงก่อนย่อตัวลงตรงหน้าอีกฝ่าย มองหน้าผากที่มีเลือดไหลไม่หยุดอย่างพินิจพิจารณาแล้วโคลงศีรษะ ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดในกระเป๋าเสื้อของตนเองออกมา ยื่นมือไปใช้มันเช็ดคราบเลือดซึ่งเปรอะเปื้อนบริเวณดวงตาข้างหนึ่งของเลี่ยวโซ่วกวงออก ก่อนจะใช้ผ้ากดปากแผลไว้ให้

“พลตรีเลี่ยว เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ย่ำแย่ทั้งนั้น ผมเข้าใจได้ แต่คุณทำแบบนี้จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายมาก ผมเป็นคนห่วงชื่อเสียงมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจำเป็นต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจกันหน่อย ผมมือหนักไปนิด หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะ”

เฮ่อฮั่นจู่หยักยิ้มน้อยๆ พร้อมจับมือของเลี่ยวโซ่วกวงขึ้นมากดผ้าเช็ดหน้าบนแผลเอาเอง จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเย็นชา เขาไม่มองคนรอบด้านสักแวบเดียว ก้าวขาเดินออกไปทิ้งเลี่ยวโซ่วกวงไว้ที่เดิม

แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปของนักข่าวดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง ชายหนุ่มพร้อมด้วยผู้ติดตามสองคนซ้ายขวาก็ขึ้นรถยนต์ออกจากคฤหาสน์สกุลเลี่ยวไป

เฮ่อฮั่นจู่กลับถึงกองบัญชาการแล้วใช้น้ำสบู่ล้างมือเป็นอย่างแรก เสร็จแล้วออกมาเพิ่งจะนั่งลงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

คนที่โทรมาคือจางอี้จิ่วจากคณะเสนาธิการทำเนียบประธานาธิบดีที่เคยเป็นผู้แทนพิเศษมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของหวังเซี่ยวคุน เขาหัวเราะเสียงดังมาตามสายโทรศัพท์ “เยียนเฉียว ได้ยินว่าคุณเพิ่งไปบ้านสกุลเลี่ยวมาหรือ เรื่องในงานศพนั่นท่านประธานาธิบดีก็ทราบแล้ว เมื่อครู่ท่านพูดกับผมว่าคุณขี้เล่นเกินไปนะ ฮ่าๆๆๆ…”

เสียงหัวเราะร่วนดังมาอีกระลอกหนึ่ง “ตายเสียได้ก็ดี! ศัตรูฆ่าพ่อพรากแม่พรากลูกพรรค์นี้อยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้ แม้แต่ท่านประธานาธิบดียังคิดว่ามือปืนน่าเห็นใจ ท่านแอบพูดกับผมว่าศาลน่าจะตัดสินลงโทษสถานเบา แน่นอนว่าท่านจะเอ่ยปากคงไม่เหมาะ แต่เสียงประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางนี้เหมือนกัน”

เฮ่อฮั่นจู่ถือหูโทรศัพท์ไว้ เขายิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร

จางอี้จิ่วหยุดหัวเราะแล้วพูดด้วยเสียงเบาลง “เรื่องนี้ทำได้ดี ถึงตอนนี้ยังแตะต้องคนแซ่ลู่ไม่ได้ แต่จะเล่นงานสั่งสอนพวกเขี้ยวเล็บลูกสมุนบ้างไม่ได้หรือ ท่านประธานาธิบดีให้ผมบอกคุณว่าตั้งใจทำงานให้ดีๆ แล้วก็น้ำใจไมตรีที่ฟู่หมิงเฉิงฝากผ่านคุณมา ท่านประธานาธิบดีได้รับแล้ว แต่สำหรับผมคงไม่ต้องหรอก คำโบราณว่าไว้ว่าไร้ความชอบมิอาจรับบำเหน็จรางวัล ผมไม่ได้ทำอะไรจะมีหน้ารับไว้ได้อย่างไรกัน”

เฮ่อฮั่นจู่พูดยิ้มๆ “ในเมื่อพี่จางพูดอย่างนี้แล้ว ผมก็มีคำพูดที่ทางฟู่หมิงเฉิงฝากผมมาบอกอีก เขามีเรื่องขอร้องคุณ”

“เรื่องอะไร”

เฮ่อฮั่นจู่เล่าเรื่องที่บริษัทสกุลฟู่ยื่นเรื่องขอเพิ่มเส้นทางเดินเรือแต่โดนขัดแข้งขัดขาไว้ก่อนหน้านี้ เริ่มแรกจางอี้จิ่วทำน้ำเสียงลำบากใจเล็กน้อย บอกว่าโยงใยถึงผลประโยชน์ของคนอื่นแบบนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของตนเอง แต่เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะต่อทันที “…แต่ว่าเยียนเฉียว ในเมื่อคุณเป็นคนออกปาก จะยากแค่ไหนผมก็ต้องคิดหาทางดู งานนี้ผมขอรับไว้ คุณให้ทางสกุลฟู่รอข่าวแล้วกัน”

เฮ่อฮั่นจู่ส่งเสียงหัวเราะ เขาเอ่ยขอบคุณแล้วยังคุยสัพเพเหระต่ออีกสองสามคำก่อนวางหูโทรศัพท์

เวลานี้เองเฉินเทียนสยงผู้บังคับการกองเลขาธิการที่รออยู่ข้างนอกก็เคาะประตูเข้ามา รายงานเกี่ยวกับงานประจำวันต่างๆ จบแล้วก็ยื่นเทียบขอเยี่ยมคารวะส่งให้

“ใคร?” เฮ่อฮั่นจู่ไม่เหลือบดูด้วยซ้ำ เขาเอ่ยถามอย่างไม่เอาใจใส่

“เยี่ยหรู่ชวนส่งมาครับ คนที่เป็นลุงแท้ๆ ของคุณชายซู บอกว่าวันนี้เพิ่งมาถึงเมืองเทียน พักอยู่ที่โรงแรมเทียนเฉิง”

เฮ่อฮั่นจู่ชะงักนิดหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาดึงแผ่นเทียบออกอ่านแล้วสั่งว่า “คุณเขียนตอบไปเองเลย บอกว่าพรุ่งนี้ผมว่าง เวลาไหนก็ได้”

เมื่อได้รับเทียบขอเยี่ยมคารวะ ปกติมักตอบตกลงพบหน้ากันวันถัดไปอย่างเร็วที่สุด เป็นธรรมเนียมที่ทุกคนรู้กันดี จุดประสงค์เพื่อให้เวลาทั้งสองฝ่ายได้เตรียมตัว

เลขาฯ เฉินขานรับแล้วเดินออกไป

เฮ่อฮั่นจู่ล้วงบุหรี่ออกมาจะจุดไฟ พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาจึงวางมันลงทันที เรียกติงชุนซานเข้ามาถามความคืบหน้าเรื่องที่ส่งคนไปเฝ้าดูลูกชายสกุลซู

ติงชุนซานรายงานว่าพฤติกรรมของซูเสวี่ยจื้อปกติทุกอย่าง กิจวัตรประจำวันในช่วงหลายวันนี้คือตื่นนอนตอนห้านาฬิกากว่า วิ่งรอบสนามกับเพื่อนร่วมห้องหลายคนและออกกำลังกายยามเช้า ตอนกลางวันเรียนหนังสือหรืออยู่ในห้องทดลอง ตอนเย็นไปที่ศูนย์สันทนาการของนักเรียนบ้าง ฝึกชกมวยฝรั่งและชกกระสอบทรายกับเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อว่าเจี่ยงจ้งไหว

“มีเท่านี้? ไม่มีอะไรผิดปกติสักนิดเลยหรือ”

ติงชุนซานเห็นผู้บังคับบัญชาคล้ายไม่ค่อยพอใจผลการทำงานของตนเอง เขาเค้นสมองอย่างหนักก็นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ได้ยินมาในที่สุดจึงรีบพูดขึ้น “ถ้าจะพูดถึงความผิดปกติ มีอยู่เรื่องหนึ่งจริงๆ ครับ”

“เรื่องอะไร”

“เขาซื้ออมยิ้มรสคาราเมลมาเยอะแยะแบ่งให้เพื่อนร่วมห้องกับเพื่อนข้างห้องกินทุกวัน อ้อ ยังได้รับฉายาว่านางฟ้าเก้าด้วยครับ”

มุมปากของเฮ่อฮั่นจู่กระตุกริก จากนั้นเขาก็บอกให้จับตาดูต่อไป

“อ้อ ท่านผู้บัญชาการ ยังมีอีกเรื่องครับ วันนี้ฟู่หมิงเฉิงมารับเขาไปที่โรงพยาบาลชิงเหอก่อนจะออกจากเมืองไปที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระ ดูเหมือนผู้อำนวยการคิมูระเชิญพวกเขาไปทานอาหาร”

เฮ่อฮั่นจู่โบกมือบอกให้เขาออกไป จากนั้นจุดบุหรี่มวนเมื่อครู่นี้สูบคำหนึ่ง จมอยู่ในภวังค์ความคิดตามลำพัง จังหวะนี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

บทที่ 69

คนที่โทรมาหาเฮ่อฮั่นจู่คือคุณหนูเฉา บอกว่าอีกสองสามวันจะถึงสุดสัปดาห์แล้ว บังเอิญตรงกับวันคริสต์มาสซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ของชาวตะวันตก ปีนี้สถานกงสุลของประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จะจัดงานเลี้ยงฉลองที่โรงแรมเทียนเฉิงร่วมกัน ภริยาของท่านกงสุลอังกฤษเป็นเพื่อนรักของเธอเลยส่งบัตรเชิญมาให้ เธอได้ยินว่าเขาได้รับเชิญเหมือนกัน ส่วนเธอขาดเพื่อนเต้นรำ อยากถามเขาว่าเต็มใจไปงานด้วยกันไหม

เฮ่อฮั่นจู่ตอบตกลงทันที

คุณหนูเฉาพูดว่า “ขอบคุณมากค่ะ วันงานคุณผูกเนกไทที่ฉันให้คุณคราวก่อนดีไหม ฉันมีกระโปรงตัวหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใส่ไปงานนี้ สีเข้ากับเนกไทเส้นนั้นพอดีค่ะ”

“ไม่มีปัญหาครับ” เฮ่อฮั่นจู่รับคำเช่นเดิม

คุณหนูเฉาเอ่ยอย่างร่าเริง “ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้นะคะ จริงสิ เย็นนี้หลันเสวี่ยว่างไหมคะ ถ้าว่างฉันจะไปรับ คุณนายหม่าบอกว่าห้างสรรพสินค้าของเธอมีเสื้อผ้าฝรั่งกับเครื่องประดับรุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งเข้ามา ฉันจะพาหลันเสวี่ยไปเดินเที่ยวที่นั่น จะได้ไม่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านคนเดียว”

“น้องผมใกล้สอบปลายภาคแล้ว พักนี้คร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือ คุณไปเองเถอะ” เฮ่อฮั่นจู่เอ่ย

คุณหนูเฉานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา การสอบเป็นเรื่องสำคัญ ฉันไปเองได้ แล้วจะช่วยดูด้วยว่ามีของที่เหมาะกับเธอไหมนะคะ คุณทำงานของคุณเถอะ ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว”

เฮ่อฮั่นจู่ทำเสียงตอบในลำคอ พอคุยโทรศัพท์จบ เขาคิดถึงว่าสองสามวันนี้ตนเองออกเช้ากลับดึก กว่าจะถึงบ้าน น้องสาวก็เข้าห้องนอนหลับไปแล้วไม่ค่อยได้พบหน้ากันเท่าไร ไม่รู้ว่าช่วงนี้อารมณ์ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง ต่อสายไปที่บ้านถามไถ่ถึงน้องสาว

คนที่รับโทรศัพท์คือเหมยเซียง เล่าว่าเมื่อเช้าก่อนคุณหนูออกจากบ้าน บอกคำหนึ่งว่าวันนี้ทางวิทยาลัยจัดกิจกรรมเพื่อสังคมอะไรสักอย่าง เหมือนจะขานรับการรณรงค์ของกลุ่มเลิกฝิ่นกับกลุ่มต่อต้านการรัดเท้า แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆ ไปเผยแพร่การเลิกฝิ่นและไม่รัดเท้าที่ลานกว้างหน้าวัดเฉิงหวง

“คุณหนูไปร่วมกิจกรรมด้วย คนขับรถก็ตามไปเจ้าค่ะ ฉันอยากไปเหมือนกัน คุณหนูเห็นด้วยแล้วนะเจ้าคะ ยังบอกว่าฉันไปเข้าร่วมชั้นเรียนภาษาจีนในกลุ่มเล่าเรียนเขียนอ่านของสโมสรสตรีได้อีกด้วย! แต่ป้าอู๋ไม่ยอมให้ฉันไปเจ้าค่ะ” เหมยเซียงได้ทีพูดโอดครวญกับเขา

คนขับรถรับส่งเฮ่อหลันเสวี่ยเป็นคนที่เป้าจื่อคัดเลือกเอง ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เฮ่อฮั่นจู่จึงวางใจมาก เขาคลายยิ้มพูดปลอบสาวใช้คำหนึ่งว่าคราวหน้าจะบอกป้าอู๋ให้อนุญาตเธอไปเรียนหนังสือยามว่างได้

เหมยเซียงดีอกดีใจยกใหญ่ กล่าวขอบคุณเขาซ้ำๆ

เฮ่อฮั่นจู่วางหูโทรศัพท์แล้วสะสางงานต่อ

 

บริเวณลานกว้างหน้าวัดเฉิงหวงในเขตเมืองเก่าของเมืองเทียนหนาแน่นไปด้วยร้านรวงต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็นมีผู้คนผ่านไปผ่านมา รถราสัญจรขวักไขว่ ทว่าพวกโจรฉกชิงวิ่งราวและ ‘กลุ่มนักต้มตุ๋น’ สารพัดรูปแบบก็ชุกชุมออกอาละวาดอย่างอุกอาจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ช่วงที่หนักข้อที่สุดมีคนแจ้งความนับสิบรายในวันเดียว ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินสูญหายหรือถูกขโมย ก็โดนคนรวมหัวกันหลอกเงิน นี่เป็นแค่ส่วนที่มาแจ้งความ ยังมีพวกที่คิดว่าตนเองดวงตกเลยไม่ได้แจ้งความอีกนับไม่ถ้วน ส่งผลให้เกิดเสียงติเตียนด้วยความไม่พอใจในหมู่ชาวเมืองเป็นวงกว้างแล้ว

สองเดือนนี้ซุนเมิ่งเซียนอธิบดีกรมตำรวจดูแลควบคุมงานรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองอย่างใกล้ชิด สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งตำรวจสายตรวจผลัดเวรกันออกลาดตระเวนทุกวัน รุกปราบปรามอย่างเข้มงวดกวดขัน

หน่วยที่รับผิดชอบรักษาความสงบเรียบร้อยของแถบนี้คือสถานีตำรวจย่อยเขตสอง หัวหน้าของที่นี่แซ่เยี่ยเหมือนกับเยี่ยเสียนฉีและรู้จักกับอีกฝ่ายด้วย เขาเห็นชายหนุ่มมาหาจึงยื่นบุหรี่ให้ซองหนึ่ง อีกทั้งชายหนุ่มยังเรียกเขาว่า ‘คุณอา’ อย่างเต็มปากเต็มคำ บอกว่าวันนี้อยากสับเปลี่ยนพื้นที่รับผิดชอบกับเขา จะขอลาดตระเวนแถวนี้แทนให้

เหล่าเยี่ยเห็นเยี่ยเสียนฉีขันอาสาแลกเวรปฏิบัติหน้าที่แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ ครั้นมองตามสายตาชายหนุ่มไปเห็นนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาสวมเสื้อฟ้าและกระโปรงดำกลุ่มหนึ่งกำลังแจกใบปลิวให้คนบนถนนตรงเบื้องหน้าไม่ไกลก็ร้องอ๋อทันที เหล่าเยี่ยหัวเราะร่วน ใช้ไม้กระบองตำรวจจิ้มๆ หมวกของตนเอง “ได้สิเจ้าหนุ่ม เห็นแก่ที่เป็นคนแซ่เดียวกัน ฉันจะช่วยให้สมหวัง ฝากทางนี้ด้วยนะ”

เยี่ยเสียนฉีพร่ำขอบคุณซ้ำๆ บอกว่าคราวหน้าจะเลี้ยงเหล้าอีกฝ่าย พอเหล่าเยี่ยไปแล้ว เขาจึงบอกให้ลูกน้องไปลาดตระเวนทั่วๆ ส่วนตนเองยืนมองนักเรียนหญิงกับคนของสโมสรสตรีกลุ่มนั้นทำงานอยู่ด้านข้าง

เรื่องที่พวกเธอเผยแพร่คือการเลิกฝิ่นและการไม่รัดเท้า ซึ่งผู้คนตามท้องถนนให้ความสนใจน้อยมาก หนำซ้ำยังกลัวจะถูกดึงตัวไว้ฟังคำสาธยายทำให้เสียเวลา จึงพากันเดินเลี่ยงไปทางอื่น ส่วนคนที่เป็นฝ่ายเข้าไปเองนั้นมีแทบนับนิ้วได้

ท้องฟ้ามืดสลัวลงทีละน้อยคล้ายใกล้ฝนตก เยี่ยเสียนฉีเห็นเฮ่อหลันเสวี่ยถือกระดาษปึกหนึ่งไว้ในมือ นานสองนานก็แจกออกไปได้ไม่กี่ใบ เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เรียกลูกน้องหัวไวคนหนึ่งมาสั่งการสองสามคำ ไม่นานนักคนที่เดินผ่านแถวนี้ก็ถูกเกณฑ์มา

ด้านเฮ่อหลันเสวี่ยกำลังกลุ้มใจว่าคนที่ผ่านไปผ่านมาขาดความตระหนักและไม่รับฟังคำเผยแพร่อยู่ จู่ๆ เห็นคนโขยงหนึ่งแห่เข้ามาแย่งขอใบปลิว เธอรีบเรียกเพื่อนนักเรียนให้มาช่วยแจกพร้อมกับพูดถึงอันตรายของการสูบฝิ่นและการรัดเท้า ไม่นานนักใบปลิวที่พิมพ์ขึ้นในวันนี้ก็แจกออกไปได้เกือบหมดในเวลาสั้นๆ เหลือแค่ไม่กี่ใบสุดท้าย แต่เห็นฟ้าครึ้มมากขึ้นดูท่าจะฝนตกแล้ว ผู้จัดกิจกรรมนี้ของสโมสรสตรีก็ประกาศให้แยกย้ายได้ เก็บใบปลิวส่วนที่เหลือกลับไปไว้ค่อยแจกต่อในกิจกรรมครั้งหน้า

เฮ่อหลันเสวี่ยล่ำลาพวกเพื่อนนักเรียนแล้วตั้งท่าจะกลับ พลันเห็นตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน ก้มหน้าอ่านเนื้อหาในใบปลิวอย่างเอาจริงเอาจัง เธอจำเขาได้ในแวบแรกว่าเป็นญาติผู้พี่ของคุณชายซูที่เจอกันด้านนอกภัตตาคารเทียนเซียววันนั้น ดูเหมือนจะชื่อว่า…เยี่ยเสียนฉี

“คุณชายเยี่ย!” เธอเดินเข้าไปส่งเสียงเรียกทักทาย

จากนั้นเห็นเขาหันหน้ามาเห็นเธอแล้วพูดอย่างตื่นเต้นแกมดีใจ “คุณอาเล็ก? บังเอิญจัง คุณก็มาแถวนี้เหมือนกันหรือครับ”

เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินชายหนุ่มอ้าปากเรียกเธอว่า ‘อาเล็ก’ ทั้งที่อายุมากกว่าก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอกระแอมให้คอโล่ง ปั้นหน้าเคร่งขึ้นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “วันนี้คุณลาดตระเวนอยู่ที่นี่หรือคะ”

“ครับ เมื่อครู่นี้เห็นพวกคุณแจกใบปลิวอยู่ ผมก็เลยรับมาใบหนึ่ง งานที่พวกคุณทำอยู่มีความหมายเหลือเกิน สมควรเผยแพร่ให้มากขึ้น ถ้าไม่มีใครเตือนสติ ประชาชนก็ยังคงหลงเชื่องมงายไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเมื่อไรสังคมถึงจะพัฒนาสักทีก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมจะเอาใบปลิวนี้กลับไปที่สถานีตำรวจ บอกให้ทุกคนท่องจำไว้ให้หมดแล้วกลับไปเผยแพร่ให้คนที่บ้านรับรู้ด้วย” ว่าแล้วเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยใส่ในกระเป๋าเสื้อด้วยท่าทางจริงจัง อีกทั้งยังบอกให้ลูกน้องคนหนึ่งไปเอาใบปลิวที่เหลือมา

“มอบหน้าที่ให้พวกผมเอง รับรองแจกหมดแน่ครับ”

พวกนักเรียนเห็นดังนั้นก็ดีใจไปตามๆ กัน

เฮ่อหลันเสวี่ยขอบคุณเขา เธอมีความรู้สึกคล้ายได้พบกับคนที่ถูกอัธยาศัยกัน ตอนนี้เองเห็นคนขับรถเดินเข้ามา เธอจึงกล่าวลาอย่างสุภาพว่าต้องกลับแล้ว

คนขับรถเข้ามาบอกว่าถนนแถวนี้รถติดมาก ขับรถเข้ามาไม่ได้ คงต้องให้เธอเดินเท้าออกไปก่อน

เฮ่อหลันเสวี่ยตอบรับแล้วจะแยกไป กลับได้ยินเยี่ยเสียนฉีบอกให้เธอรอสักครู่แล้ววิ่งเข้าไปในตรอกสายหนึ่ง ไม่นานนักก็เข็นจักรยานแบบตะวันตกออกมา เขาตบๆ เบาะหลังและพูดว่าจะไปส่งเธอ

“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันเดินออกไปเองได้” เฮ่อหลันเสวี่ยปฏิเสธเป็นพัลวัน

“คุณเป็นคุณอาเล็กของผม ผมต้องดูแลคุณ ทางนี้ไม่ได้ใกล้ๆ นะครับ ผมไปส่งคุณดีกว่า ไม่ได้เปลืองแรงอะไรสักหน่อย ถ้าคุณไม่นั่งแสดงว่าดูถูกผม”

เขาพูดจบแล้วบอกกล่าวให้คนขับรถของสกุลเฮ่อรับรู้ จากนั้นขึ้นนั่งคร่อมบนอานจักรยานก่อน วางขาข้างหนึ่งยันพื้นและเบือนหน้ามองเฮ่อหลันเสวี่ยรอเธอขึ้นมา

เด็กสาวเห็นท่าทีเขาตั้งใจจริง อีกทั้งเป็นญาติผู้พี่ของคุณชายซู จะหักหน้ากันเกินไปก็กระดากใจ เมื่อบอกปัดไม่ได้ เธอได้แต่ให้คนขับรถไปก่อน ส่วนตนเองนั่งบนเบาะหลังของจักรยาน

เยี่ยเสียนฉีหน้าชื่นตาบาน ตะโกนบอกให้อีกฝ่ายนั่งดีๆ เขาจับแฮนด์จักรยานไว้มั่นแล้วปั่นด้วยสองเท้า วงล้อสองล้อก็เริ่มหมุนพาจักรยานแล่นไปข้างหน้า

ยุคนี้จักรยานของชาวตะวันตกแบบนี้ยังมีน้อยมากพอๆ กับรถยนต์ และเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น จักรยานคันหนึ่งมักมีราคาสูงถึงหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นของเล่นที่พวกลูกเศรษฐีถึงจะมีปัญญาซื้อหาได้

เฮ่อหลันเสวี่ยถามตามปากพาไป “ทางสถานีตำรวจมีจัดจักรยานแบบนี้ไว้ให้พวกคุณด้วยหรือคะ”

จักรยานคันนี้ย่อมเป็นเยี่ยเสียนฉีซื้อมาขี่เล่นเองอยู่ก่อนแล้ว เขาพูดปดไปตามน้ำว่า “ใช่ๆ เบื้องบนจัดให้ครับ ให้พวกผมปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวก”

เธอพูดอย่างทึ่งๆ “ท่านอธิบดีของพวกคุณไม่เลวเลยนะคะ เห็นอกเห็นใจพวกคุณขนาดนี้”

“พี่ชายคุณเป็นผู้นำที่ดี ต้องยกความดีความชอบให้เขาคนเดียวเลยขอรับกระผม ฮ่าๆ”

เฮ่อหลันเสวี่ยเห็นเขาพูดจาชวนขันก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ฝ่ายเยี่ยเสียนฉีได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กสาวข้างหลังจึงเหลียวมองแวบหนึ่งแล้วยิ่งรู้สึกคึกคักฮึกเหิมไปหมด เขาปั่นจักรยานโฉบเฉี่ยวเร็วฉิว ผู้คนบนถนนเห็นแล้วพากันหลีกทางให้เพราะกลัวจะชนโดนตนเอง

บริเวณใกล้ๆ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งถือใบปลิวที่เหลืออยู่ปึกหนึ่งซึ่งรับมาเมื่อครู่นี้แจกจ่ายให้คนบนถนน เห็นชายสูงวัยท่าทางคล้ายมาจากต่างถิ่นเดินเอาสองมือไพล่หลังเหลียวซ้ายแลขวาผ่านมาด้านข้าง เขายื่นใบปลิวให้อีกฝ่าย “นี่ลุงเอาไป! ห้ามทิ้งนะ กลับไปอ่านดูดีๆ ด้วย”

ตอนเยี่ยหรู่ชวนได้ยินเสียงเรียกแล้วหันหน้าไป เหลือบเห็นแผ่นหลังของตำรวจคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานให้นักเรียนหญิงซ้อนท้ายไวๆ ทางหางตา เขาพลันรู้สึกคุ้นตาเลยอดเขม้นตามองไม่ได้

“มองอะไรอยู่ ยังไม่รับไว้อีก” ตำรวจสายตรวจพูดเร่ง

จังหวะนี้เองเยี่ยหรู่ชวนเห็นตำรวจคนนั้นพูดอะไรก็ไม่รู้ นักเรียนหญิงเปล่งเสียงหัวเราะ แล้วตำรวจคนนั้นก็เอี้ยวคอแอบมองเธอแวบหนึ่ง

ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์! เขามองเห็นลูกชายของตนเองหรือนี่?!

ลูกชายที่ควรจะเรียนหมออยู่ที่ตงหยางในตอนนี้คนนั้น!

เขาเกือบนึกว่าตนเองตาฝาด

เยี่ยหรู่ชวนขยี้ตาแล้วมองซ้ำอีกที เขาทิ้งคนที่มาด้วยไว้ที่เดิม ก้าวขาวิ่งไล่ตามโดยไม่รอช้า แต่กวดฝีเท้าตามไปได้ระยะหนึ่ง เห็นลูกชายปั่นจักรยานเร็วมาก อีกทั้งหลังจากเขาได้รับบาดเจ็บที่ขาแล้วก็วิ่งได้ไม่เร็ว เขาจึงรีบเรียกรถลากริมทางคันหนึ่ง ปีนขึ้นไปนั่งหายใจหอบแฮกๆ พร้อมกับชี้ไปข้างหน้า “ตามไป…เร็วเข้า!”

“ได้เลย ท่านนั่งดีๆ นะขอรับ” คนลากรถขานรับและออกวิ่งลากรถไล่ตามไป

เยี่ยเสียนฉีทางด้านหน้าซึ่งได้โอกาสให้สาวสวยซ้อนท้ายคราวนี้ยังไม่สำเหนียกถึงคราวเคราะห์ที่กำลังติดตามมาข้างหลังแม้แต่น้อยนิด เขาอยากให้เส้นทางสายนี้ทอดยาวไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดใจจะขาด จะให้ปั่นจักรยานไปอย่างนี้ตลอดชีวิตเขาก็ยินยอมพร้อมใจ น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่เป็นใจ พอตัดผ่านถนนสองสามสายออกมา เม็ดฝนเย็นเฉียบพลันหยดแหมะลงบนหน้าผาก

คนขับรถของสกุลเฮ่อก็ขับรถมาทางด้านหลังเช่นกัน

เฮ่อหลันเสวี่ยบอกให้เขาจอดตรงนี้ บอกว่าตนเองต้องกลับบ้านแล้ว

เยี่ยเสียนฉีแสนจะเสียดาย แต่จำต้องหยุดจักรยาน ขณะเห็นเธอกำลังลงไป ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัว เขาพูดขึ้นว่า “คุณรู้จักลูกพี่ลูกน้องผมไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้พวกเราเช่าบ้านไว้ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง เขาจะมาตอนสุดสัปดาห์ คุณอยากรู้จักที่ทางไว้ไหมครับ วันหลังไม่แน่ว่าจะได้กินข้าวด้วยกัน ผมขอเลี้ยงอาหารคุณอาเล็กเอง ฝีมือทำกับข้าวของผมน่ะไม่เลวเลยนะครับ”

เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินเขาเอ่ยถึงคุณชายซูก็รู้สึกสนใจ เธอชั่งใจนิดหนึ่งก่อนตอบตกลง บอกให้คนขับรถรออยู่ที่นี่ครู่หนึ่งแล้วให้เยี่ยเสียนฉีพาตนเองไปดู

เขาปั่นจักรยานอย่างดีอกดีใจไปถึงบ้านที่พักอยู่ ชี้ประตูให้เด็กสาวดู แล้วยังชวนเธอเข้าไปนั่ง

เฮ่อหลันเสวี่ยจำที่อยู่นี้ไว้แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างสุภาพ บอกว่าวันหลังมีโอกาสค่อยมาใหม่

เขาไม่กล้าฝืนใจเธอเป็นธรรมดา เหนืออื่นใดวันนี้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอย่างนี้ก็โชคดีอย่างเหนือคาด เขามีความสุขมากเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เยี่ยเสียนฉีจึงส่งเด็กสาวกลับไปที่ถนน มองดูเธอขึ้นรถจากไป ถึงเข็นจักรยานกลับไปยังที่พัก เอาไปจอดไว้ในลานบ้านตามเดิม สองมือล้วงกระเป๋าผิวปาก กำลังจะเดินตัวปลิวออกไป ก็มีคนคนหนึ่งดักรออยู่หน้าประตู

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสบตาที่ถลึงมองตนเองอยู่อย่างดุดันแล้วขวัญกระเจิงฉับพลันจนเกือบลื่นล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ

เข้าตำราที่ว่ารักสนุกทุกข์ถนัด* ขนานแท้

“พ่อ! พ่อมาได้…ได้อย่างไร”

“ฉันมาได้อย่างไรน่ะหรือ ฉันมาก็เพื่อตีไอ้ชาติสุนัขอย่างแกให้ตายโดยเฉพาะนั่นล่ะ”

เยี่ยเสียนฉีตั้งตัวติดแล้วคิดจะหนี แต่เยี่ยหรู่ชวนคว้าคอเสื้อเขาไว้ ก่อนจะเงื้อมือฟาดสุดแรง

“ไอ้ชาติสุนัข! ยังคิดจะหนีหรือ โกหกฉันรึ ไปเรียนต่อที่ตงหยางอะไรกัน ดันมาโผล่อยู่ที่นี่ ซ้ำยังหลอกเด็กผู้หญิงอีก น่าโมโหนัก วันนี้ฉันจะตีแกให้ตายให้ได้!”

เยี่ยเสียนฉีโดนตีหัวหลายทีจนหมวกทรงแข็งหลุดกระเด็นหล่นลงพื้นแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปที่มุมกำแพง สุดท้ายเขาดิ้นหลุดมาได้ก็หันหลังหนีเข้าไปในบ้าน

กลางลานบ้านมีต้นไม้ต้นหนึ่ง ชายหนุ่มเผ่นพรวดไปอยู่หลังต้นไม้ วิ่งวนไปรอบๆ หนีพ่อที่ตามไล่ตีเขา

เยี่ยหรู่ชวนไม่นึกไม่ฝันเลยว่าลูกชายจะหลอกลวงตนเอง ไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกแต่อย่างใด แต่หลบมามั่วสุมเป็นตำรวจอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่นี่ ความวาดหวังทั้งหลายก่อนหน้านี้เป็นอันดับสลายไปหมด ครั้นเห็นเขายังจะหนีอีกก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ฉวยไม้คานหาบที่วางพาดอยู่ริมกำแพงมา มันยาวพอจะเอื้อมไปถึงตัวลูกชาย ก็เงื้อขึ้นหวดใส่บั้นท้ายเขาเต็มรัก

เยี่ยเสียนฉีกุมบั้นท้ายพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขาพูดว่าไม่อยากเรียนหมอ พอเรียนเศรษฐศาสตร์ก็โดนไล่ออกอีก หมดหนทางแล้วเลยได้แต่กลับมา ที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอกเพราะกลัวพ่อดุด่า

ตอนนี้เยี่ยหรู่ชวนไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น เขาถือไม้คานหาบตั้งหน้าตั้งตาไล่ตีอย่างเดียว “ไอ้พวกไม่รักดี! ฉันนึกว่าแกเรียนอยู่เมืองนอกกลับมาไม่ได้ ถึงได้ให้เสวี่ยจื้อมาเรียนหนังสือผูกสายสัมพันธ์กับสกุลเฮ่ออย่างไม่มีทางเลือก คิดไม่ถึงว่าแกจะมาทำมาหากินที่นี่ มิหนำซ้ำยังอยู่เฉยๆ มองดูน้องอยู่รวมกับผู้ชายทั้งโขยง แกยังมีสำนึกอยู่ไหม วันนี้ฉันจะตีแกให้ตายคามือ”

เยี่ยเสียนฉีโดนตีที่ขาอีกหลายที เจ็บจนกระโดดเหยงๆ ไม่หยุด เขารีบจับไม้คานหาบที่จะฟาดใส่ตนเองไว้ พูดเสียงดังโดยไม่ทันคิดว่า “เสวี่ยจื้อเก่งมากเลยนะพ่อ ได้ลงหนังสือพิมพ์ตั้งหลายครั้ง เก่งกว่าผมเป็นกอง! อีกอย่างผมไม่ได้ยินว่าน้องเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นมีอะไรไม่ดีสักหน่อย พ่อตีผมตายเป็นเรื่องเล็ก เกิดผมตายไปจริงๆ วันหลังพ่อจากไป ใครจะจุดธูปเซ่นไหว้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วถ้าผมตายจริงๆ เสวี่ยจื้อต้องแบกรับภาระของสองครอบครัวไว้คนเดียว หรือพ่ออยากให้น้องปลอมตัวแบบนี้ไปตลอดชาติ ผมรับรองว่าอีกหน่อยจะทำหน้าที่แทนน้องเอง ให้น้องได้เป็นฝั่งเป็นฝามีชีวิตที่เป็นสุข”

ถึงอย่างไรเยี่ยหรู่ชวนก็อายุมากแล้ว เมื่อครู่ตีไม่ยั้งเพราะโกรธจัด เวลานี้เขาเริ่มหมดแรงแล้ว อีกทั้งสู้พละกำลังของลูกชายไม่ไหว พอปลายไม้คานหาบอีกฝั่งหนึ่งโดนยึดไว้ก็ยกไม่ขึ้น เขาปล่อยมือออกอย่างหัวเสีย

“ไอ้ชาติสุนัข ยังจะแก้ตัวอีก ฉัน…”

ด้านข้างซ้ายขวาไม่มีอะไรให้หยิบฉวยได้ เยี่ยหรู่ชวนเลยถอดรองเท้าข้างหนึ่ง ใช้ฝั่งที่เป็นพื้นรองเท้าตบหัวลูกชายแรงๆ เขาตบไปด่าไป “ไอ้พวกไม่ได้ความ! ถ้าแกเอาถ่านสักนิด รับผิดชอบภาระของพวกเราสองครอบครัวได้ เสวี่ยจื้อคงไม่ต้องเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงจนกระทั่งถึงตอนนี้ เพราะแกเป็นต้นเหตุทั้งนั้น!”

เยี่ยเสียนฉีรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด เขาเห็นพ่อยกไม้คานหาบไม่ขึ้น ทั้งยังเอาพื้นรองเท้าตบหัวตนเอง ถึงจะดูน่าเกลียดไปบ้าง แต่ไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ เขากุมหัวไว้ปล่อยให้พ่อด่าทอตามใจชอบโดยไม่ปริปากสักแอะ

ด้านเฮ่อหลันเสวี่ยที่ขึ้นรถไปเมื่อครู่นี้ หลังจากรถแล่นออกไปได้ประเดี๋ยวเดียวก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคุณชายซูกับญาติผู้พี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ถือว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่เหมือนกัน

ญาติผู้พี่แซ่เยี่ยคนนี้ไม่เพียงอัธยาศัยดี ยังเรียกเธอว่า ‘คุณอาเล็ก’ ไม่ขาดปาก ในเมื่อเธอรู้แล้ว จะไม่แสดงท่าทีเลยก็ดูไม่ดี เธอจึงให้คนขับรถหันหัวรถย้อนกลับไปจอดหน้าตรอกแล้วเดินเข้าไปอีกครั้ง อยากดูว่าเขายังอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็จะถามสักคำว่าพวกเขาขาดเหลืออะไรไหม เธอจะมอบให้เป็นของขวัญ

เด็กสาวคาดไม่ถึงว่าตอนเธอมาถึงหน้าบ้านจะได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านรอยแยกของบานประตูที่เปิดแง้มอยู่

ญาติผู้พี่แซ่เยี่ยโดนชายสูงวัยใช้ไม้คานหาบไล่ตีจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วลานบ้าน

เธอตกใจสุดจะกล่าว ทีแรกคิดจะเรียกคนขับรถเข้ามา พลันได้ยินญาติผู้พี่แซ่เยี่ยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พ่อ’ ถึงรู้ว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันนี่เอง เธอละความตั้งใจฉับพลัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป ครั้นจะกลับไปก็ไม่วางใจอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างอกสั่นขวัญแขวน ขณะที่ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงคุณชายซู

เธอฟังคำสนทนาของพวกเขาสองพ่อลูกแล้วงุนงงอยู่บ้าง ไม่เข้าใจความหมายของเขามากนัก รู้สึกเหมือนว่าคุณชายซูแบกรับภาระหนักอึ้งมาก ถึงต้องมาเรียนหนังสือที่นี่อย่างสุดวิสัย ต่อจากนั้นได้ยินญาติผู้พี่แซ่เยี่ยพูดต่อว่าจะทำหน้าที่แทนให้เขาได้เป็นฝั่งเป็นฝา

เธอนึกไปถึงที่พี่ชายพูดกับตนเองวันก่อนว่าคุณชายซูมีคนรักอยู่ที่บ้านเดิมแล้ว วันหน้าจะกลับไปแต่งงานมีครอบครัว

ถึงแม้เธอจะเตือนตนเองไม่ใช่แค่ครั้งเดียวว่าอย่าคิดเรื่องพวกนี้อีก แต่เมื่อได้ฟังประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง ทั้งยังออกจากปากของญาติผู้พี่ของคุณชายซู เฮ่อหลันเสวี่ยก็รู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาอีกกะทันหัน พอได้ยินพ่อของคุณชายเยี่ยพูดถึงคุณชายซูอีกว่าเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ทำให้เธอฉงนใจมากขึ้น ขณะที่ยืนอึ้งงันอยู่นั้น เธอรู้สึกเย็นๆ ที่ใบหน้า จึงเงยหน้าขึ้นเห็นฝนลงเม็ดหนาแล้วถึงดึงสติคืนมาได้ สะกดความหม่นหมองระคนงุนงง ถอยหลังก้มหน้าเร่งฝีเท้าเดินจากมาอย่างเงียบๆ

ตอนที่เด็กสาวกลับถึงบ้าน พี่ชายยังไม่กลับมาตามเคย

เธออยู่ในห้องคนเดียว หวนนึกถึงคำพูดที่ยืนยันว่าเป็นจริงที่ได้ยินวันนี้โดยไม่ตั้งใจประโยคนั้นพลางพูดเตือนตนเองไม่หยุดว่าให้ตัดใจ วันหน้าอย่าห่วงหาอาลัยอีกต่อไป แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้อีก จิตใจของเด็กสาววัยนี้ยังบอบบางอ่อนไหว เมื่อหาที่ระบายความรู้สึกไม่ได้ จึงส่งผลให้เธอทุกข์ใจอย่างสุดแสน

เฮ่อฮั่นจู่กลับถึงบ้านตอนยี่สิบสองนาฬิกา

ด้านนอกสายพิรุณราตรียังตกไม่ลืมหูลืมตา มีฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างหาได้ยากในฤดูหนาว

ปกติเวลานี้น้องสาวมักปิดไฟเข้านอนแล้ว ตอนชายหนุ่มถือร่มเดินอยู่ในลานบ้าน กลับเห็นแสงไฟในห้องเธอที่ชั้นบนยังสว่างอยู่จากทางหน้าต่าง

เขาเข้าบ้านแล้วหุบร่มยื่นส่งให้ป้าอู๋ที่ออกมารอรับใช้พลางเอ่ยถามโดยไม่คิดอะไร “ดึกแล้วหลันเสวี่ยยังไม่นอนอีกหรือ”

ป้าอู๋ตอบเสียงค่อย “คุณผู้ชายเจ้าคะ วันนี้ไม่รู้คุณหนูเป็นอะไร ตอนออกจากบ้านเมื่อกลางวันยังร่าเริงอารมณ์ดี บอกว่าไปร่วมกิจกรรมอะไรสักอย่างที่สโมสรสตรีจัดขึ้น ตอนเย็นกลับมาก็ดูซึมๆ ไป เธอกินอาหารมื้อเย็นไปไม่กี่คำ กลับเข้าห้องแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย ฉันได้ยินเหมยเซียงบอกว่าตอนเอาเสื้อผ้าเข้าไปวางให้ เห็นคุณหนูตาแดงๆ เหมือนร้องไห้มาก่อนเจ้าค่ะ”

เฮ่อฮั่นจู่มองไปทางหัวบันไดชั้นบนแวบหนึ่ง ถึงย่างเท้าขึ้นบันไดไปที่หน้าห้องของน้องสาวแล้วเคาะประตู “หลันเสวี่ย เปิดประตู”

“ฉันจะนอนแล้ว พี่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ” เสียงพูดหม่นๆ ของน้องสาวดังออกมาจากข้างใน

“อย่าดื้อสิ เปิดประตู พี่มีธุระจะคุยด้วย” เฮ่อฮั่นจู่พูดล่อหลอก

ชั่วอึดใจต่อมาประตูห้องเปิดออกช้าๆ เฮ่อหลันเสวี่ยยืนอยู่หลังประตู “พี่มีธุระอะไรหรือคะ”

ครั้นเห็นเปลือกตาเธอยังดูบวมๆ ดังคาด เขาก็ก้าวเข้าไปยืนข้างในห้อง พร้อมเอ่ยถามยิ้มๆ “วันนี้เธอเป็นอะไรไป เจอเรื่องอะไรมาหรือ เล่าให้พี่ฟังนะ”

ตอนแรกเธอส่ายหน้าบอกว่าไม่มีอะไร เฮ่อฮั่นจู่พูดตะล่อมอีกสองคำ ขอบตาของน้องสาวก็แดงเรื่ออีก เธอเบือนหน้าหนี

“พี่คะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ดึกแล้ว พี่ก็ไปพักผ่อนเถอะ” เฮ่อหลันเสวี่ยพูดจบแล้วจะเดินไปด้านใน

ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเธอ “คนขับรถไม่คุ้มครองเธอให้ดีสินะ พี่จะไปถามเขาดู” เขาพูดจบก็หันหลังจะออกไป

“พี่คะ เป็นเรื่องของฉันเองค่ะ” เด็กสาวรีบเรียกพี่ชายไว้

เฮ่อฮั่นจู่หันหน้าไปเห็นน้องสาวน้ำตาไหล เขาพลันปวดใจระลอกหนึ่ง รีบเข้าไปโอบไหล่เล็กบางของเธอไว้หลวมๆ พลางตบหลังเบาๆ พูดปลอบโยนเสียงนุ่ม “เธอเป็นอะไรไป บอกกับพี่ซิ”

“พี่คะ” เฮ่อหลันเสวี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอโผเข้าไปซบอกพี่ชาย ร้องไห้น้ำตาไหลรินครู่หนึ่ง ถึงได้เล่าเรื่องที่วันนี้เห็นลูกชายสกุลเยี่ยโดนพ่อตี และได้ยินพวกเขาพูดว่าวันหน้าคุณชายสกุลซูจะแต่งงานมีครอบครัวออกมาในที่สุด

“พี่คะ ก่อนหน้านี้พี่เคยบอกฉันเรื่องนี้แล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรคิดต่อ ตอนนี้พวกเขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ฉันจะไม่คิดอีกแล้วจริงๆ นะคะ”

เฮ่อหลันเสวี่ยหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเงยหน้าขึ้นจากแผ่นอกของพี่ชาย “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว นี่จะ…เป็นครั้งสุดท้าย ฉันรับรองค่ะ พี่สบายใจได้”

เฮ่อฮั่นจู่อมยิ้มพยักหน้า เขาไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของน้องสาวมายื่นส่งให้ เห็นเธอก้มหน้าเช็ดตาของตนเอง

ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นพูด “พี่คะ ฉันแค่ไม่วางใจอยู่นิดหน่อย ได้ยินคุณลุงเยี่ยพูดเป็นทำนองว่าคุณชายเยี่ยไม่ได้ความ แล้วเหมือนกับคุณชายซูก็มีเรื่องอะไรสักอย่างต้องปลอมตัวไปตลอดชาติ เขายังพูดอีกว่าคุณชายเยี่ยเป็นต้นเหตุให้คุณชายซูเป็นหญิงก็ไม่ใช่เป็นชายก็ไม่เชิงด้วยค่ะ พวกเขาหมายความว่าอะไรกันแน่ ร่างกายของคุณชายซูไม่ปกติหรือคะ” เฮ่อหลันเสวี่ยมองพี่ชาย ในดวงตาแฝงรอยงุนงงแกมห่วงใยไว้จางๆ

เฮ่อฮั่นจู่รับฟังและกล่าวปลอบน้องสาวสองสามคำว่าเขาจะคอยจับตาดูเรื่องนี้ บอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงอีก หลังจากพูดให้น้องสาวสบายใจแล้วกำชับให้นอนพักผ่อน เขาถึงกลับไปที่ห้องของตนเอง

อาการไอตอนกลางคืนกอปรกับมีเรื่องต้องสะสางประดังประเดมาไม่หยุด เป็นเหตุให้พักนี้เขานอนไม่เต็มอิ่มมาติดๆ กันหลายคืนแล้ว

เขารู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง คืนนี้อยากเข้านอนเร็วขึ้น จึงถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินเท้าเปล่าตรงเข้าห้องน้ำ จากนั้นหมุนก๊อกฝักบัว

สายน้ำพ่นลงมาราดรดศีรษะเขาดังซู่ๆ

ชายหนุ่มปลอบอารมณ์ของน้องสาวให้สงบลงแล้ว แต่เขายังมีปมคาใจที่ยังไขไม่ออกเรื่อยมา

ไม่ใช่แค่ไขไม่ออก ยังเป็นเพราะคำพูดในคืนนี้ของน้องสาว กลับทำให้เกิดคำถามสุมแน่นตรงกลางอกมากขึ้นทุกที ทำให้เขาอึดอัดมาก

สัญชาตญาณในตัวบอกเขาว่าพวกลูกชายสกุลซูต้องมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่แน่นอน

บางทีอาจไม่เกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด อีกฝ่ายแค่ไม่อยากให้ใครรู้เท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องสืบสาวราวเรื่องเลย

ทว่า…เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยถูกหว่านลงในจิตใจเขาไปแล้ว เขาไม่ชอบความรู้สึกที่โดนคนปั่นหัวปิดหูปิดตาไว้แบบนี้

เขาเกลียดที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนเองควบคุมคนหรือเรื่องราวรอบตัวไม่ได้ประเภทนี้เป็นที่สุด

มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย

เขาปล่อยให้น้ำไหลกระทบศีรษะ ใบหน้า และหัวไหล่เป็นละอองฝอยกระเด็นออกไปรอบๆ

กลางม่านไอน้ำที่ค่อยๆ รวมตัวกันมากขึ้นจนปกคลุมไปทั่วห้อง เขาหลับตาลงขบคิดตีความคำพูดของสองพ่อลูกสกุลเยี่ยที่น้องสาวได้ยินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปลอมตัวไปตลอดชาติ…

หญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง…

เขานึกไปถึงคำพูดที่แวบแรกฟังดูแปลกชอบกลของเยี่ยเสียนฉีเมื่อหลายวันก่อนตอนมาที่กองบัญชาการอีกครั้ง

ต้องโตมาแบบนี้ เลือกเองไม่ได้ ฝืนทน…ลำบาก…

ในหัวสมองของชายหนุ่มคลับคล้ายมีความคิดบางอย่างก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยๆ แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จริงๆ…

สติบอกเขาอย่างนี้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับเร่งเร้าเขาให้คิดหาเหตุผลที่สนับสนุนการคาดเดานี้ได้ต่อไป

เสียงน้ำไหลซู่ซ่าดังข้างหูไม่หยุด เขาคิดออกในฉับพลัน

หวังถิงจือเคยพูดว่า…รู้สึกว่าซูเสวี่ยจื้อคล้าย…และมันยังทำให้หวังถิงจือสับสนวุ่นวายใจอย่างหนัก

เขาคิดขึ้นได้อีกว่าตนเองเคยจับแขนของซูเสวี่ยจื้อเช่นกัน สัมผัสนุ่มนิ่มในตอนนั้นเหมือนกับ…

ยังมีอีก…

เขาคิดออกในที่สุด

เมื่อนึกย้อนกลับไปอีก ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนเพิ่งเปิดเทอมไม่นาน เขาไปร่วมพิธีเปิดเรียนแล้วเห็นซูเสวี่ยจื้อแหงนหน้าขึ้นพูดกับฟู่หมิงเฉิงโดยไม่ตั้งใจ

ตอนนั้นแสงแดดส่องกระทบตามแนวเส้นสายใบหน้าด้านข้างของซูเสวี่ยจื้อจากหน้าผากลงมาถึงลำคอ ขณะนั้นมีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขารู้สึกว่ามันขัดๆ ที่ตรงไหนอยู่สักหน่อย

และแล้วในเสี้ยววินาทีนี้เองชายหนุ่มก็กระจ่างแจ้งในบัดดล

ลูกชายสกุลซูลำคอราบเรียบราวกับไม่มีลูกกระเดือก จนถึงขั้นดูแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ อย่างชัดเจน

เฮ่อฮั่นจู่ใจเต้นดังตุบ เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นกลางม่านน้ำ

สายน้ำที่ทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้าเขาประหนึ่งน้ำตก แตกกระเซ็นไปเกาะแผ่นกระเบื้องโมเสกสีขาวบนผนังห้องน้ำ แผ่กระจายออกแล้วรวมตัวกันอีกเป็นสายๆ สั้นบ้างยาวบ้างไหลหยดมาตามผนังกระเบื้องลงสู่พื้นไม่หยุด

ชายหนุ่มเพ่งมองครู่หนึ่งเป็นการจดจ่อสมาธิ พลันนั้นประกายคมปลาบดุจมีดจุดวาบขึ้นในดวงตาเขา

เขานึกถึงแผ่นหลังในโรงอาบน้ำญี่ปุ่นที่เขามองข้ามไปวันนั้นได้แล้ว

เขาลูบหยดน้ำบนหน้าออก หัวใจเต้นรัวแรงขึ้นกะทันหัน

ใช่ซูเสวี่ยจื้อจริงๆ หรือ

ลูกชายคนนั้นของสกุลซู?

ห้องอาบน้ำหญิง?

ห้องอาบน้ำหญิง!

เป็นไปได้อย่างไร!

นี่มันเหลวไหลมากเกินไปจนเข้าขั้นเหลือเชื่อเลยทีเดียว!

เฮ่อฮั่นจู่หลับตาลงอีกครั้ง เขาอาบน้ำต่อไป แต่ผ่านไปครู่เดียวก็อดรนทนไม่ไหวอีก เขายื่นมือไปหมุนก๊อกปิดน้ำ ลืมตาขึ้นและดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดร่างกายให้แห้งสนิท จากนั้นสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไว

เขาย่ำเท้าลงบันไดไปชั้นล่าง ขับรถฝ่าฝนยามดึกที่หนาวเหน็บออกจากบ้านหายลับไปในรัตติกาลทันที

ขณะนี้เป็นเวลาดึกสงัด จวนเที่ยงคืน

โรงอาบน้ำญี่ปุ่นทางทิศใต้ของเมืองแห่งนั้นใกล้จะถึงเวลาปิดให้บริการแล้ว เพราะคืนนี้ฝนตกหนัก ทำให้มีลูกค้าไม่มากเท่าไร

มาดามคิคูโกะเรียกคนไปตรวจดูให้ทั่วโรงอาบน้ำ ยืนยันว่าไม่มีลูกค้าหลงเหลืออยู่อีก ถึงได้สั่งให้เก็บกวาดทำความสะอาดเร็วกว่าปกติ หลังจากเสร็จแล้วก็กลับก่อนเวลาได้

เธอรู้สึกหนาวอยู่สักหน่อย จึงกลับไปที่เคาน์เตอร์พลางถูมือไปมา หยิบเหล้าสาเกที่อุ่นอยู่บนเตาไฟมาดื่มคำหนึ่ง เวลานี้เองเธอเห็นมีคนเข้าประตูมาก็รีบวางเหล้าลง เดินย่ำรองเท้าเกี๊ยะออกไปต้อนรับ โค้งตัวพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณลูกค้าคะ ต้องขออภัยจริงๆ คืนนี้คุณมาช้าเกินไป ที่นี่ปิดแล้ว เรายินดีต้อนรับคุณอีกครั้งวันพรุ่งนี้หลังบ่ายสองโมง…คุณเฮ่อ!”

เมื่อเข้าไปใกล้ๆ หญิงชาวญี่ปุ่นก็จำหน้าเขาได้แล้ว จึงตกใจอยู่บ้าง

เธอย่อมต้องรู้ว่าเขาเป็นใครแน่นอน

เขาคือผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์แห่งเมืองเทียน

เธอเห็นเขาแต่งกายเรียบร้อย แต่ผมกลับเปียกชุ่ม ไม่รู้ว่าโดนฝนหรือเปล่า พอเข้ามาแล้วยังไอเบาๆ สองที หน้าตาก็ดูขาวซีดเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะหนาว

มาดามคิคูโกะรีบหันไปบอกให้คนเอาผ้าเช็ดตัวแห้งสะอาดมาให้

เฮ่อฮั่นจู่ไม่พูดไม่จา รับมาเช็ดผมตามสบาย

มาดามคิคูโกะยกน้ำชาร้อนมาวางให้อีก “คุณมีธุระใช่ไหมคะ มีอะไรก็เชิญพูดได้เลย ฉันยินดีรับใช้ค่ะ”

คนที่สามารถเปิดโรงอาบน้ำในต่างแดนได้อย่างมาดามคิคูโกะย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หลังจากต้อนรับชายหนุ่มอย่างกุลีกุจอ เธอจึงเอ่ยถามยิ้มๆ ออกมา

เฮ่อฮั่นจู่มองไปทางห้องอาบน้ำหญิง

ขณะนี้ที่นั่นว่างเปล่าไร้ผู้คน โคมไฟที่ห้อยอยู่หน้าประตูทุกบานแผ่แสงสีเหลืองนวลตาอย่างเงียบงัน ทำให้ค่ำคืนฤดูหนาวที่มีฝนตกเย็นเยือกนี้อบอุ่นขึ้นบ้าง

เขาชั่งใจนิดหนึ่ง

ถึงจะเหลวไหลเกินไปจริงๆ แต่เขาไม่สามารถสะกดความสงสัยในใจที่เป็นแรงผลักดันให้เขามาที่นี่ในคืนนี้เพื่อหาข้อพิสูจน์ยืนยัน

เขาไม่นึกลังเลอีกต่อไป

“ตอนที่ผมมากับคุณฟู่ครั้งนั้น ทางฝั่งห้องอาบน้ำหญิง มีลูกค้าผู้หญิงที่ท่าทางคล้ายผู้ชายมาที่นี่หรือเปล่าครับ” เขาซักถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

มาดามคิคูโกะนิ่งคิดประเดี๋ยวเดียวก็คลี่ยิ้ม “ใช่ค่ะ ลูกค้าทุกคนของฉัน ขอแค่เคยมาสักครั้ง ฉันก็ไม่เคยลืมเลย นับประสาอะไรกับคุณหนูคนนั้น

เธอชอบแต่งตัวแบบผู้ชายค่ะ แต่มีเสน่ห์ยิ่งกว่าผู้ชายจริงๆ เสียอีก ถึงขั้นที่มีลูกค้าผู้หญิงของที่นี่หลายคนแอบสอบถามเรื่องของเธอกับฉันด้วยนะคะ ฉันกลัวทำให้เธอตกใจก็เลยไม่ได้บอกเธอค่ะ”

มาดามคิคูโกะตอบคำถามของลูกค้าด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจยิ่ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: