บทที่ 2
เสียงฝีเท้าม้ากระทบแผ่นหินดังกังวาน
เหนือศีรษะมีใบอ่อนสีเขียวที่เพิ่งแตกใบได้ไม่นานร่วงหล่นลงมา ส่งกลิ่นหอมจรุงใจที่มีเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
“เหยียนจือ”
บุรุษในชุดคลุมสีดำพลันร้องเรียกเสียงต่ำ
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษชุดครามรีบเร่งม้าขึ้นมาข้างหน้า ขยับเข้ามาใกล้ถามเสียงเบา “องค์รัชทายาทมีอันใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าติดตามข้าออกจากเมืองหลวงมาครั้งนี้ ทุกเรื่องล้วนต้องสำรวม ต่อไปอย่าแสดงกิริยาเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ทั้งอย่าเที่ยวไปตอแยกับสตรีแปลกหน้า” เสียงทุ้มต่ำเยียบเย็น ทั้งเจือไปด้วยความอับจนปัญญาเล็กน้อย
บุรุษชุดครามก้มหน้าลง กล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ครั้งนี้องค์รัชทายาทปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเป็นการส่วนพระองค์ ข้างกายมีเพียงองครักษ์ไป๋ผู้เดียว เฉาอันเป่ยลู่เดิมเป็นดินแดนของแคว้นจงหวั่น ขนบประเพณีความนิยมเทียบไม่ได้กับเมืองหลวง…”
“ดังนั้นเจ้าจึงโอ้อวดความมั่งมีขับไล่ผู้คนในหอสุรา ข้ายังไม่ถึงกับกินข้าวมื้อหนึ่งก็ถูกคนวางแผนประทุษร้ายหรอกนะ” บุรุษชุดดำตัดบทเขา สีหน้าไม่ชอบใจ “เบี้ยรายเดือนอันเล็กน้อยของเสิ่นไท่ฟู่ไม่ใช่ให้เจ้าเอามาใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้”
บุรุษชุดครามสีหน้ามีแววลำบากใจ เขากล่าวเสียงเบา “องค์รัชทายาททรงลืมแล้ว ตั้งแต่ต้นปีมากระหม่อมก็เริ่มรับเบี้ยรายเดือนแล้ว”
บุรุษชุดดำเอียงหน้ามากล่าวเสียงเย็น “นั่นสิ ข้ากลับลืมไปแล้ว เจ้าเสิ่นจือซูเป็นใคร เพราะบารมีของสกุลเสิ่น ไม่ต้องสอบเคอจวี่เจ้าก็เข้ามาเป็นขุนนางได้ ยังไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรก็เข้ามารับตำแหน่งขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ ต่อให้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อในราชสำนักที่เพิ่งสอบได้ในปีนี้ก็ยังมีหน้ามีตาสู้เจ้าไม่ได้…ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตจิ้นซื่อคนอื่นๆ เลย ข้าว่าแม้แต่เสิ่นไท่ฟู่ในปีนั้นยังมีชื่อเสียงเทียบเจ้าเสิ่นจือซูในวันนี้ไม่ได้!”
“องค์รัชทายาท…” เสิ่นจือซูร้อนใจอยากจะพูด แต่กลับกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป เพียงปิดปากไม่ส่งเสียง ครู่หนึ่งจึงหันหน้าไปกล่าวกับบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ติดตามอยู่ด้านข้างคล้ายขอความช่วยเหลือ “องครักษ์ไป๋”
ไป๋ตันหย่งเห็นท่าทางเขาน่าสงสารก็เร่งม้าขยับเข้ามา พูดแก้สถานการณ์ “องค์รัชทายาททอดพระเนตรเมืองชงโจวแห่งนี้สิพ่ะย่ะค่ะว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด เมื่อครู่กระหม่อมเห็นมีหอสุรา โรงน้ำชา ร้านค้าต่างๆ มากมายหลากหลายบนถนนสายนี้ เทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว ยามนี้ดูเจริญขึ้นมาไม่รู้กี่เท่าพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ว่าหลายปีมานี้ผลงานและแนวทางการทำงานของขุนนางในเฉาอันเป่ยลู่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความพยายามของพระองค์ไม่ได้สูญเปล่า”
บุรุษชุดดำสีหน้าผ่อนคลายลง หันกลับไปมองรอบๆ แล้วบอก “ต่างจากสิบปีก่อนมากจริงๆ องครักษ์ไป๋ยังจำได้หรือไม่ ปีนั้นเสด็จแม่มีราชโองการให้ถอดถอนยกเลิกวัดวาอารามสี่เส้นทางทางเหนือที่ไม่มีชื่ออยู่ในราชโองการ เพราะทางแถบเฉาอันขุนนางทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่จัดการได้ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เณรและแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนครัวเรือนต่างไม่มีบ้านให้กลับ…”
ไป๋ตันหย่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ย่นหัวคิ้วบอก “กระหม่อมขอบังอาจกล่าว ปีนั้นพระองค์เพิ่งเข้าร่วมจัดการงานบ้านเมือง ได้รับพระบัญชาให้ไปตรวจสอบสถานการณ์ของขุนนางในดินแดนเมืองขึ้นทุกเส้นทางในแคว้นจงหวั่น แต่พระองค์กลับทิ้งข้าราชบริพารผู้ติดตามไปตรวจสอบหลายเมืองตามลำพังคนเดียวแล้วจึงกลับ แม้จะพบขุนนางที่ทุจริตรับสินบน ช่วยชีวิตเณรได้ไม่น้อย แต่การกระทำเช่นนี้ของพระองค์กลับทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องอกสั่นขวัญแขวน นอนหลับไม่สนิทหลายคืน ครั้งนี้กระหม่อมเพียงหวังว่าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใดก็จะให้กระหม่อมติดตามไปด้วย หาไม่หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ต่อให้กระหม่อมมีสิบศีรษะก็ไม่อาจชดใช้ความผิดได้…”
“องครักษ์ไป๋ไม่ต้องกังวล องค์รัชทายาทเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง จะเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร กลับเป็นข้าคนที่ผ่านโลกมาไม่มากที่ต้องการการปกป้องอย่างมากจากองครักษ์ไป๋” เสิ่นจือซูพูดแทรกขึ้นมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “พรุ่งนี้ข้าต้องไปสำนักศึกษาสตรีที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำทางตะวันตกของเมืองชงโจวเพื่อเข้าเยี่ยมพบผู้บัญชาการสำนักศึกษาแต่เช้า องครักษ์ไป๋ไม่อาจทิ้งข้าไว้คนเดียวโดยไม่สนใจเล่า”
ไป๋ตันหย่งอึ้งไปเล็กน้อย มองๆ เขาแล้วก็มองบุรุษชุดดำ “องค์รัชทายาท นี่…”
เสิ่นจือซูขยิบตาให้บุรุษชุดดำ มุมปากมีรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้
บุรุษชุดดำเข้าใจ สีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าบอก “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้เสิ่นไท่ฟู่ได้รับพระบัญชาให้จัดการสอบระดับมณฑลของเฉาอันเป่ยลู่ สำนักศึกษาสตรีของเมืองชงโจวย่อมสำคัญที่สุด เหยียนจือแต่ไรมาทำอะไรไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่จะตามมา ถ้าให้เขาไปคนเดียวเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดได้ พรุ่งนี้ก็ขอให้องครักษ์ไป๋ไปกับเขาสักครั้ง แค่สองสามชั่วยา เท่านั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า”
ไป๋ตันหย่งอึ้งงันไปชั่วขณะ แล้วคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ เปิดปากจะพูด “แต่องค์รัชทายาท…”
เสิ่นจือซูกลับตัดบทเขาอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณองครักษ์ไป๋ล่วงหน้าแล้ว” จากนั้นเขาก็หรี่ตายิ้ม สองขาหนีบท้องม้า กระตุ้นม้าให้วิ่งไปข้างหน้า
ริมฝีปากของบุรุษชุดดำยกยิ้ม กระตุกสายบังเหียนกระตุ้นม้า ไม่พูดอะไรอีก
ต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องเฉียงลงมายังฝุ่นผงบนไหล่ของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลข้างซ้ายดวงนั้นใสกระจ่างแวววาวดุจอำพัน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งสำนักศึกษาสตรีชงโจวเดือดพล่านแล้ว
ห้องโถงด้านหน้าของสำนักศึกษาสตรีซึ่งสงวนไว้สำหรับป้ายชื่อของนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาโดยตลอดห้องนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเชิญแขกเข้ามาในห้องโถงด้านหน้าได้ แต่วันนี้ผู้บัญชาการสำนักศึกษาถึงกับใช้ห้องโถงนี้เพื่อรับรองบุรุษหนุ่มเยาว์วัยคนหนึ่ง!
ห้องเรียนหลายห้องที่เรือนด้านหลังว่างเปล่า ทุกคนต่างวิ่งมาที่ระเบียงทางเดินยาวที่นอกห้องโถงด้านหน้า มาห้อมล้อมเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน วิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ต่างชะเง้อคอเบิ่งตามอง ไถ่ถามกันไปมาว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นมีความเป็นมาเช่นไรกันแน่
“เมื่อครู่พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ ที่นี่เคยเห็นคนหล่อเหลาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด…” สตรีผู้หนึ่งพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“เจ้าก็รู้จักแต่มองใบหน้าของบุรุษ เอ่ยคำพูดเหล่านี้ก็ไม่รู้จักอายเสียบ้าง เจ้าไม่เห็นหรือที่เอวเขาห้อยอะไรอยู่ ถุงปลาเงินเชียวนะ!” อีกคนรีบพูดขึ้น
มีคนกระซิบถาม “ดูท่าทางเขาก็เพิ่งอายุยี่สิบนิดๆ จะได้รับความโปรดปรานเพียงนั้นได้อย่างไร ถึงกับมีถุงปลาเงินได้”
“หูตาคับแคบเสียจริง” มีคนแค่นเสียงอย่างหยามหยัน “ข้าเคยได้ยินคนบอก ในบรรดาขุนนางในเมืองหลวง ขอเพียงเข้ามาดำรงตำแหน่งขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ล้วนเข้ามาเป็นขุนนางเพราะบารมีของชนรุ่นก่อน บุคคลเช่นนี้ยังจะไม่ได้รับความโปรดปรานได้หรือ ข้าว่าคนที่อยู่ข้างในผู้นี้ ชนชั้นของบิดาในครอบครัวจะต้องเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก หาไม่ด้วยอายุของเขาจะมีเกียรติยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
แล้วก็มีคนทนไม่ไหวพูดขึ้นมา “อย่าส่งเสียงเอะอะอีกเลย ใครจะรู้วันนี้คนผู้นี้มาที่นี่ทำอะไร”
“ระยะนี้ราชสำนักทยอยออกราชโองการลงมา ใครจะไปคาดเดาได้ ทว่าในเมื่อเขาอยู่ที่หอประวัติศาสตร์ คิดว่าคงเพื่อการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลของสตรีในครั้งนี้”
ทุกคนได้ยินแล้วอดนิ่งเงียบไปชั่วขณะไม่ได้ จากนั้นก็มีคนหัวเราะสนุกขึ้นมา กล่าวว่า “จะสนใจเรื่องเหล่านั้นไปไย คนที่อยู่ข้างในผู้นี้ทั้งหนุ่มทั้งหล่อเหลา ไหนจะยังได้รับความโปรดปรานและไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างมาก พวกเจ้าก็ไม่คิดจะฉวยโอกาสนี้…แค่ก” หญิงสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นยกมือขวาขึ้นมาทำท่าทางอยู่ตรงหน้าอก
ไม่รอให้นางได้ทันพูดต่อก็มีคนพุ่งพรวดเข้ามา “มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ดูอะไรหรือ”
คนหนึ่งย่นหัวคิ้วหันไปมองผู้มา แล้วรีบพูดเสียงเบา “พี่เหยียน ท่านมาแล้วหรือ”
เหยียนฟู่จือขยับไปที่ด้านหน้าสุด ชะเง้อคอมองพลางเอ่ยถาม “กำลังมองอะไรกันแน่ ข้าแค่นอนเพลินไปหน่อย เหตุใดจึงพลาดละครสนุกไปแล้ว”
“ยังไม่พลาดๆ” คนที่อยู่ด้านข้างรีบเปิดทางให้ “มีบุรุษหนุ่มมาผู้หนึ่ง ท่าทางหล่อเหลายิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งที่ดูธรรมดา แต่ที่เอวกลับห้อยถุงปลาเงิน กระทั่งผู้บัญชาการสำนักศึกษายังเปิดห้องโถงหน้าต้อนรับเขาโดยเฉพาะ!”
เหยียนฟู่จือพอได้ยินก็ตื่นเต้นคึกคักแล้ว “ถุงปลาเงิน?” พูดพลางยื่นลำตัวออกไปนอกราวกั้นระเบียง “ขอข้าดูหน่อย!”
“ได้ยินคนบอกมา ดูเหมือนจะเป็นขุนนางฝ่ายอาลักษณ์…” มีคนตอบเสียงเบา
นางกลับไม่ได้ฟังคนที่พูด พยายามยื่นคอไปมองภาพในห้องโถงด้านหน้า กลับเห็นเพียงชายเสื้อสีดำมุมหนึ่ง รองเท้าหุ้มแข้งของขุนนางคู่หนึ่ง นางอดบ่นพึมพำไม่ได้ “ไยไม่หมุนตัวมา ให้ข้าดูหน่อยซิว่าที่แท้แล้วหล่อเหลาเพียงใด…”
เหยียนฟู่จือยังบ่นว่าไม่ทันจบ คนที่อยู่ข้างในก็คล้ายได้ยินนางพูดอะไรเสียอย่างนั้น นางเห็นเขาลุกขึ้นรินน้ำชา ค้อมเอวแสดงความนอบน้อมต่อผู้บัญชาการสำนักศึกษาที่นั่งอยู่ด้านข้าง
เหยียนฟู่จือมองอยู่ไกลๆ เห็นคนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ หมุนตัวกลับไปนั่ง…จากนั้นนางก็นิ่งงันไป
ดวงตางามคู่นั้น…
เขาๆๆ…เป็นเขา!
นางหันขวับกลับมา ดึงหญิงสาวคนที่พูดก่อนหน้านี้ “เจ้าบอกว่าเขาเป็นขุนนางฝ่ายอาลักษณ์?”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างขลาดกลัว ไม่รู้เหยียนฟู่จือจะคาดคั้นไปทำอะไร
ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์…ทั้งมีถุงปลาเงินพระราชทาน…
นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ พยายามย้อนนึก
เมื่อวานตอนอยู่ในหอสุรา บุรุษชุดดำผู้นั้นเรียกเขาว่าอะไรนะ
เหยียนจือ…ดูเหมือนจะเป็นเหยียนจือ
นางมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้นก็อุทานออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดข้าจึงเพิ่งคิดได้!”
เพิ่งเข้าเป็นขุนนางก็ได้รับความโปรดปรานให้รับตำแหน่งในหอประวัติศาสตร์ อายุยังน้อยก็ได้รับพระราชทานถุงปลาเงิน ในราชสำนักนอกจากเขาแล้วยังจะเป็นใครไปได้
เหยียนจือ…เหยียนจือ…นี่ไม่ใช่ชื่อรองของเสิ่นจือซู…บุตรชายคนโตของเสิ่นอู๋เฉินราชบัณฑิตสำนักศึกษาหลวงจี๋เสียนเตี้ยน พระอาจารย์ขององค์รัชทายาท ราชเลขาธิการของราชสำนักผู้นั้นหรอกหรือ!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษหนุ่มชุดดำที่ทำให้เสิ่นจือซูก้มศีรษะรับคำสั่งได้เมื่อวานผู้นั้น…
เหยียนฟู่จือตัวสั่นสะท้าน หมุนตัวไปถามคนรอบข้าง “เมิ่งถิงฮุยเล่า พวกเจ้ามีใครเห็นเมิ่งถิงฮุยบ้าง”
คนทั้งกลุ่มต่างสั่นศีรษะ แสดงท่าทีว่าไม่รู้
เหยียนฟู่จือขยี้เท้า หมุนตัวจะเดินจากไป กลับได้ยินคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว ตอนเช้าตรู่ฟ้าเพิ่งสว่างก็เห็นนางจะออกไปแล้ว ถามนางจะไปที่ใด นางเพียงบอกว่าวันนี้สำนักศึกษาสตรีไม่สงบเงียบ จึงไปเดินเล่นที่นอกเมืองแล้วค่อยกลับ”
ทางเดินเล็กนอกเมืองคดเคี้ยวเต็มไปด้วยฝุ่นละออง สายลมยามเช้าพัดโชยมา พาให้คนเดินรู้สึกเย็นสบาย
เมิ่งถิงฮุยหยุดลงที่หน้าวัดร้างเก่าแก่แห่งหนึ่ง นางก้มลงปัดกวาดฝุ่นหนาบนขั้นบันไดออก จากนั้นก็นั่งลง ไป หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ร่างกึ่งเอนพิงไปที่เสาไม้สกปรก แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือ
ดวงอาทิตย์ยามเช้าสีแดงก่ำ เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นทางทิศตะวันออก สาดแสงอบอุ่นบางเบาลงมาเหนือศีรษะของนาง รู้สึกสบายจนคนอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้
สถานที่แห่งนี้เงียบวิเวก แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกปลอดภัย
ข้างหูคล้ายมีเสียงเคาะระฆังไหว้พระดังแว่วมา ก็คล้ายกับทุกๆ เช้าเมื่อหลายปีก่อน…หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของราชสำนักที่ออกมาอย่างฉับพลันกะทันหันในปีนั้น บางทีนางอาจจะอยู่ในอารามชีไปตลอดชีวิตก็ได้
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของราชสำนักในปีนั้น ชั่วชีวิตนี้นางอาจไม่ได้พบคนผู้นั้นเลยก็เป็นได้
บริเวณที่ว่างบนหน้าหนังสือถูกนางเขียนตัวอักษรหวัดๆ ไว้เต็มไปหมด ตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันเวลานี้มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกง่วงงุน นางรวบๆ เสื้อ แล้วหลับตาพักผ่อน
ฉับพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาจากที่ไกล แล้วค่อยๆ ดังขึ้น ก่อนหยุดลง
นางอดลืมตาขึ้นมาไม่ได้ มองไปข้างหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้มีใครขี่ม้าออกจากเมืองเช้าเพียงนี้ มายังสถานที่เช่นนี้
ห่างออกไปหลายสิบจั้งริมถนนหลวงมีฝุ่นปลิวคลุ้งจางๆ คนผู้หนึ่งขี่ม้าอยู่ที่ปากทางแยกเตร่ไปเตร่มา ผ่อนสายบังเหียนลง คล้ายไม่รู้ควรเลือกไปเส้นทางใดดี
นางหรี่นัยน์ตามองอยู่นาน ขณะนั้นก็พลันตื่นตระหนก ลุกพรวดขึ้นยืน
เขา…
เหตุใดจึงเป็นเขาได้!
สมองของนางไม่ทันได้ขบคิดสองขากลับวิ่งไปข้างหน้าหลายก้าวตามสัญชาตญาณ เท้าเริ่มอ่อนแรงขึ้นมาเป็นระลอก
เมื่อครู่ยังคิดถึงเขาอยู่ เวลานี้เขาถึงกับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้านางจริงๆ!
คนผู้นั้นหมุนตัวมาพอดี มองมาทางด้านนี้ หลังจากเห็นนางก็ลังเล จากนั้นเตะท้องม้าเหยาะย่างเข้ามา
แผงคอสีดำของม้ายาวและมันวาว สาดประกายวิบวับภายใต้แสงอาทิตย์ราวกับโลหะ ทำให้นางเห็นแล้วเพียงรู้สึกตาลาย
ขณะยังไม่ได้สติกลับคืนมา ม้าตัวนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้ว พริบตาถัดมาคนผู้นั้นก็พลิกตัวลงจากหลังม้ามายืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างมั่นคง
“แม่นาง” ลูกนัยน์ตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงทุ้มต่ำ “ขอถามสักหน่อย เส้นทางที่จะไปชิงโจวใช่เส้นทางด้านซ้ายนี้หรือไม่”
นางมองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ใบหน้าดวงนี้…
“แม่นาง” น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นเปลี่ยนเป็นลังเลเล็กน้อย
นางได้สติ ในใจคล้ายมีเส้นด้ายจำนวนนับไม่ถ้วนพันกันยุ่งเหยิง ความเฉลียวฉลาดที่เคยมีในช่วงปกติยามนี้กลับหายไปหมดสิ้น ครู่หนึ่งนางจึงตอบ “…ขอข้าดูก่อน”
บุรุษผู้นั้นทำตามที่นางบอก เบี่ยงตัวเปิดทางให้
นางก้าวไปข้างหน้าเดินผ่านเขาไป ตอนหันหลังให้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกในใจเย็นโล่งขึ้นมาบ้าง สมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง จึงทำท่ามองจากทางแยกไปยังที่ไกลออกไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับมามองเขา ยิ้มน้อยๆ บอก “ขอบังอาจถามคุณชาย ท่านไปทำอะไรที่ชิงโจวหรือ”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะย้อนถาม สายตาจับนิ่งที่ใบหน้านางครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไปเยี่ยมญาติห่างๆ ครอบครัวหนึ่ง”
นางมองเขา ในใจรู้ดีแปดส่วนว่าเขาต้องโกหกนาง กลับยังคงยิ้มน้อยๆ บอก “ในเมื่อไปเยี่ยมญาติห่างๆ เช่นนั้นก็ไปตามเส้นทางด้านขวาเถิด”
คิ้วเฉียงของบุรุษเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฟังจากน้ำเสียงของแม่นาง เส้นทางทั้งสองสายนี้ล้วนไปถึงชิงโจวได้?” ครั้นเห็นนางพยักหน้า เขาจึงถามต่อ “เพราะเหตุใดถ้าไปเยี่ยมญาติห่างๆ จึงควรไปเส้นทางด้านขวา เส้นทางสองสายนี้มีอันใดแตกต่างกัน”
นางเม้มริมฝีปาก สายตาไม่ละจากใบหน้าของเขา “เส้นทางด้านซ้ายแม้จะเป็นทางลัด แต่กลับแคบอันตราย เดินทางลำบาก เส้นทางด้านขวาแม้จะกว้างราบเรียบ แต่กลับต้องอ้อมเส้นทางบนภูเขาไปไกลโข ในเมื่อคุณชายจะไปเยี่ยมญาติห่างๆ คิดว่าคงไม่รีบร้อน ดังนั้นข้าจึงบอกให้คุณชายเดินทางไปตามเส้นทางด้านขวา”
บุรุษผู้นั้นเงยหน้ามองไปทางภูเขาที่อยู่ไกลออกไป หัวคิ้วขยับเข้าหากันน้อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ขอบคุณแม่นาง” จากนั้นก็จูงม้าเดินไปยังเส้นทางด้านซ้าย
นางมองเงาด้านหลังของเขา หัวใจเต้นตึกตัก
ไม่คิดไม่ฝันว่าสวรรค์จะเมตตานางเช่นนี้ ให้นางมีโอกาสได้พูดจากับเขามากเพียงนี้!
แต่นางไม่อยากให้เขาหันหลังให้นางและจากไปเช่นนี้อีกครั้งเลย แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่ได้ทิ้งไว้
ในเมื่อสวรรค์เมตตานางเช่นนี้ นางจะพลาดโอกาสไปอีกครั้งได้อย่างไร
“คุณชาย!”
นางวิ่งไปข้างหน้าหลายก้าว เรียกเขาไว้
เขาหันหน้ามา “แม่นางยังมีเรื่องอันใดหรือ”
นางยืนมั่นคง ประสานมือไปข้างหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบา “ขอถามสกุลสูงส่งของคุณชายได้หรือไม่”
บุรุษผู้นั้นคลายมือจากสายบังเหียนม้า ตอบอย่างรวดเร็ว “เหอ”
ช่างเป็นคนสงวนคำพูดดุจทองคำ
นางแอบจดจำไว้ในใจ แสร้งทำเป็นพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณชายสกุลเหอ ในสมัยเด็กข้ามีสหายคนหนึ่งสกุลเหอ เพียงแต่พลัดพรากจากกันไปหลายปีไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้าเห็นคุณชายรูปร่างหน้าตาคล้ายสหายผู้นั้นของข้าอยู่หลายส่วน ขอบังอาจถามคุณชาย ท่านมีนามว่ากระไร”
บุรุษผู้นั้นหลุบตา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงบอก “ชื่อตัวเดียวว่า ‘ตู๋’ ” จากนั้นก็ดึงสายบังเหียนมาอีกครั้ง แล้วบอก “ทว่าบ้านข้าไม่ได้อยู่ที่เฉาอันเป่ยลู่ คิดว่าคงไม่ใช่สหายเก่าของแม่นาง”
นางแอบท่องชื่อสกุลเขารอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตากลับมีประกายผิดหวังวาบผ่าน
กระทั่งชื่อตนเองยังต้องคิดก่อนจึงบอก ชื่อนี้ยังจะมีความน่าเชื่อถืออยู่อีกหรือ
ก่อนหน้านี้วันหนึ่ง ตอนอยู่ในหอสุราป๋อเฟิงนางเห็นอย่างชัดเจน บุรุษชุดครามท่าทีเปี่ยมไปด้วยความสูงศักดิ์ผู้นั้นยังฟังคำสั่งของเขา คิดว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิบปีก่อน…
เขาต้องการปิดบังฐานะของตนกับนาง
แต่เขาผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง เพราะเหตุใดจึงคิดจะเดินทางไปชิงโจวตามลำพังคนเดียว
นางจึงพูดขึ้นอีก “ในเมื่อคุณชายไม่ใช่คนพื้นที่เฉาอัน ควรรู้ว่าเส้นทางที่ไปชิงโจวคดเคี้ยววกวนง่ายแก่การหลงทาง ไม่สู้หาใครสักคนไปด้วยกันกับคุณชาย…”
บุรุษผู้นั้นส่ายศีรษะ สีหน้ายังคงแปลกแยกห่างเหิน “นั่นกลับไม่จำเป็น หลายปีก่อนข้าเคยมาแถบเฉาอันเป่ยลู่ ยังจำเส้นทางได้ เพียงแต่ผ่านไปสิบปีแล้ว ถนนหลวงนอกเมืองทางเหนือของชงโจวเมืองแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย เมื่อครู่เห็นแล้วในเวลาอันสั้นไม่อาจยืนยัน ดังนั้นข้าจึงต้องถามแม่นาง”
นางมองเขา พยักหน้าเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นกลับคิดคำพูดอะไรที่จะรั้งเขาไว้อีกสักหน่อยไม่ออก ได้แต่มองเขากล่าวขอบคุณแล้วหมุนตัว กุมบังเหียนขึ้นหลังม้า
เขาจะสะบัดแส้ มือกลับชะงักค้าง จากนั้นก็หันหัวม้ากลับมา ก้มลงมองนาง “แม่นางดูออกจะคุ้นหน้า”
นางสะท้านไปทั้งร่าง
เขานึกขึ้นมาได้แล้วหรือ คืนฝนตกเมื่อสิบปีก่อน…
เขามองๆ นางอีก กล่าวว่า “เมื่อวานได้พบกันที่หอสุราป๋อเฟิงใช่หรือไม่”
นางหลุบตาลง ในใจหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว แต่ยังคงพยักหน้า
เขาเหยียดร่างบนหลังม้า มองประเมินนางอย่างจริงจังคราหนึ่ง “ในเมื่อมีวาสนาต่อกันเช่นนี้ ขอบังอาจถามชื่อสกุลของแม่นาง”
“เมิ่งถิงฮุย”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา กล่าวทีละคำ
“เมิ่งถิงฮุย”
เขากล่าวทวนรอบหนึ่ง จากนั้นเอียงตัวไป “ข้าจำได้ แม่นางเป็นศิษย์สำนักศึกษาสตรีชงโจว ยังหวังว่าแม่นางจะไม่ผิดต่อความตั้งใจดีของฮ่องเต้ที่ทรงสร้างสำนักศึกษา ตั้งใจเล่าเรียนสอบเคอจวี่ บางทีวันหน้ายังอาจมีวาสนาได้พบเจอกันอีก”
นางเห็นครั้งนี้เขาจะไปจริงๆ แล้วก็รีบเอ่ยปากขึ้น “ในเมื่อคุณชายเหอกล่าวเช่นนี้ คิดว่าบ้านคงอยู่ที่เมืองหลวงกระมัง”
เขาไม่ได้หมุนตัวมา เพียงพยักหน้าน้อยๆ
แขนยาวเงื้อแส้ขึ้นแล้วหวดลงบนสะโพกม้า
เสียงร้องต่ำๆ ของม้าดังแหวกเสียงลมบางเบารอบตัว ฝุ่นเหลืองปลิวคละคลุ้งขึ้นมาตามกีบเท้าม้า พุ่งตรงไปยังถนนหลวงที่อยู่ห่างออกไป
เมิ่งถิงฮุยเพิ่งผลักประตูห้องให้เปิดออกก็ถูกเหยียนฟู่จือคว้าตัวเดินเข้าไป จากนั้นได้ยินประตูถูกถีบปิดตามหลัง ขณะที่ตนเองยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกกดร่างลงบนเก้าอี้แล้ว
นางย่นหัวคิ้ว พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านมาทำอะไรที่ห้องข้า”
เหยียนฟู่จือยังไม่นั่ง เพียงมองนางจากที่สูงกว่า ครู่หนึ่งจึงบอก “เมื่อวานตอนอยู่หอสุราป๋อเฟิง เจ้าเห็นบุรุษชุดดำลงบันไดไป เพราะเหตุใดต้องไล่ตามไปด้วย”
เมิ่งถิงฮุยนวดๆ แขน นางลุกขึ้นมาไล่คน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่าน”
เหยียนฟู่จือถูกนางผลักมาถึงหน้าประตู กลับเกาะขอบประตูไว้ไม่ยอมออกไป พลันหัวเราะเสียงประหลาดบอก “เมิ่งถิงฮุย เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาคือใคร”
เมิ่งถิงฮุยชายตามองนางไม่ส่งเสียง เพิ่มแรงมือผลักอีกฝ่ายออกไปหนักขึ้น
เหยียนฟู่จือยังคงไม่ยอมเลิกรา ร้องขึ้นอีก “เจ้าบอกความลับนั้นของเจ้ากับข้า ข้าก็จะบอกเจ้าว่าเขาคือใคร!”
เมิ่งถิงฮุยสีหน้าเย็นชา “ข้ารู้แล้วว่าเขาชื่อใดสกุลใด ไม่จำเป็นต้องให้ท่านบอกข้า”
เหยียนฟู่จือประหลาดใจ “เจ้า…เจ้ารู้ชื่อสกุลของเขาจริงหรือ”
เมิ่งถิงฮุยออกแรงผลักเหยียนฟู่จือไปที่ประตู สีหน้าไม่พอใจมากขึ้น “ข้าจะอ่านหนังสือแล้ว”
ตั้งแต่เล็กจนโตเมิ่งถิงฮุยไม่เคยชินต่อการถูกคนบีบบังคับเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เขาคือเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไว้บนส่วนที่อ่อนนุ่มบอบบางที่สุดในส่วนลึกของหัวใจ นางเฝ้ารอ เฝ้าคอย เพียงหวังว่าวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นจะแตกหน่อและผลิดอก แต่ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นมาแตะต้องง่ายๆ
“ช้าก่อน…เจ้าช้าก่อน!” เหยียนฟู่จือติดอยู่ที่ธรณีประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเจตนาดีกลับถูกเห็นเป็นดังตับและปอดของลา! เจ้าไม่อยากพูดถึงเขาก็ช่างเถิด แต่หากเรื่องเกี่ยวข้องกับการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้เจ้าคงต้องฟังกระมัง”
เมิ่งถิงฮุยชะงักมือ เลิกคิ้ว
เหยียนฟู่จือหน้าแดงก่ำ บ่นออกมาว่า “แรงมากเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปสอบอู่จวี่” เห็นเมิ่งถิงฮุยหน้าดำคล้ำทำท่าจะไล่คนอีก ก็รีบเอ่ยปาก “เจ้ายังไม่รู้ วันนี้ผู้บัญชาการสำนักศึกษามีคำพูดออกมา บอกมีคำพูดจากราชสำนัก สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้ อันดับหนึ่งในปีนี้จะได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นบัณฑิตกองอาลักษณ์!”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินแล้วอึ้งตะลึง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “จริงหรือ”
เหยียนฟู่จือเห็นนางคลายมือจึงเบียดร่างเข้ามาแล้วบอก “คำพูดนี้ยังจะโกหกเจ้าได้หรือ เช้าวันนี้เพิ่งมีขุนนางจากเมืองหลวงมาเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการสำนักศึกษา ที่พูดก็คือเรื่องนี้”
เมิ่งถิงฮุยมุ่นหัวคิ้ว แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เหยียนฟู่จือชายตามองนาง “บอกเป็นองค์รัชทายาททูลเสนอต่อฝ่าบาทว่ายี่สิบปีมานี้ในราชสำนัก ขุนนางหญิงยังไม่เคยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการก่อตั้งสำนักศึกษาสตรีในตอนนั้น ดังนั้นจึงมีคำสั่งพิเศษให้กองอาลักษณ์เพิ่มตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งสำหรับสตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ อนุญาตให้สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งเข้ากองอาลักษณ์ รับตำแหน่งเปียนซิว”
กองอาลักษณ์…
เมิ่งถิงฮุยกัดๆ ริมฝีปาก เหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ย่อมรู้ว่าสามารถเข้ากองอาลักษณ์ได้แฝงความหมายว่าอย่างไร
นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่แปด ตั้งแต่ฮ่องเต้สนับสนุนให้กู่ชินราชบัณฑิตเฉิงจื่อของกองอาลักษณ์ขึ้นเป็นรองราชเลขาธิการฝ่ายขวาเป็นต้นมา หลายปีมานี้การเข้าร่วมจัดการงานบ้านเมืองในราชสำนัก ผู้รับผิดชอบดำเนินการของทั้งหกกรมในสิบคนมีหกถึงเจ็ดคนที่มาจากกองอาลักษณ์
ครั้งนี้ถึงกับอนุญาตให้จิ้นซื่อหญิงเข้ากองอาลักษณ์ได้ แม้เป็นเพียงเปียนซิวตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ากลุ่มขุนนางในราชสำนักกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เหยียนฟู่จือมองท่าทางของเมิ่งถิงฮุยก็รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร จึงอดขยับเข้ามาใกล้ บอกอย่างปลอบใจไม่ได้ว่า “วางใจ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีเพียงนี้ ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน…”
เมิ่งถิงฮุยสงบสติอารมณ์ พักใหญ่จึงเอ่ยเสียงต่ำ “ยังไม่พูดถึงว่าวันหน้าจะโชคดีได้เข้าสอบในวังหรือไม่ ถึงเป็นการสอบระดับมณฑลที่กำลังจะมาถึงนี้ ทางเส้นทางเฉาอันมีบุคคลที่มีความสามารถอยู่มากมาย ไม่ง่ายเหมือนพูดหรอก”
เหยียนฟู่จือมองจ้องเมิ่งถิงฮุย “คำพูดนี้ไม่คล้ายเจ้าเมิ่งถิงฮุยเป็นคนพูด! ในสำนักศึกษาสตรีชงโจวคนที่เขียนความเรียงได้ดีที่สุด หยิ่งยโสที่สุดผู้นั้นไปอยู่ที่ใดเสียแล้วเล่า ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านการสอบระดับมณฑลได้ เช่นนั้นชงโจวยังจะมีใครสามารถสอบผ่านได้” นางกะพริบตา พลันหัวเราะ “อีกอย่าง นึกถึงบุรุษชุดดำผู้นั้นของเจ้า…”
เมิ่งถิงฮุยหนังตากระตุก เงื้อมือจะตีเหยียนฟู่จือ นางพูดอย่างโมโห “ท่านนี่วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหล!”
เหยียนฟู่จือหลบพลางหัวเราะ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าในใจของเจ้าที่แท้แล้วมีความลับอะไร แต่บุรุษผู้นั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีฐานะสูงส่ง ถ้าเจ้าไม่สอบให้ได้จ้วงหยวน จะผูกสัมพันธ์กับเขาได้อย่างไร”
ใบหน้าของเมิ่งถิงฮุยแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนคว้ากระดาษปึกหนึ่งบนโต๊ะขว้างใส่นาง
เหยียนฟู่จือเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวแล้วยิ้มให้นาง จากนั้นก็หมุนตัวออกประตูไป ตอนหันมาปิดประตูก็บอกว่า “รอวันหน้าตอนเจ้าประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ดูซิว่าเจ้ายังจะตีคนหรือไม่!”
บานประตูปิดลงทันที เสียงปึงๆ สองทีสั่นสะเทือนจนหูคันยุบยิบ
นางยืนอยู่ที่เดิม หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเล็กน้อย เป็นนานจึงก้มลงเก็บกระดาษเซวียนจื่อ ที่หล่นกระจายเต็มพื้นขึ้นมา หันหน้าไปมองหนังสือที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ
เมืองหลวง…
นางหลับตาลง
ต้องไปเมืองหลวง จึงจะมีโอกาสได้พบเขาอีก
สอบให้ได้จ้วงหยวน แม้จะเป็นความฝันที่ห่างไกล แต่ก็ใช่จะทำไม่ได้
บนถนนใหญ่นอกสำนักศึกษาสตรี คนสองคนม้าสองตัวกำลังค่อยๆ ห่างออกไป
เสิ่นจือซูเอาแส้ไว้ข้างหลัง เอี้ยวตัวมองไป เมื่อมองไม่เห็นชายคาสำนักศึกษาสตรีแล้ว จึงหันหน้ามากล่าวกับบุรุษบนหลังม้าด้านข้าง “อนุญาตให้สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งเข้ากองอาลักษณ์ ครั้งนี้องค์รัชทายาททรงมีความคิดจะทำอะไร”
ไป๋ตันหย่งเป็นเพียงองครักษ์ข้างกายองค์รัชทายาท จะรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของการคัดเลือกขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร เวลานี้เขาเห็นเสิ่นจือซูเดินทางอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก็อดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ เพียงกล่าวเร่งเร้า “องค์รัชทายาทคงรอพวกเราอยู่ในเมืองนานแล้ว ใต้เท้าเสิ่น พวกเราต้องเร่งเดินทางหน่อย อย่าให้องค์รัชทายาททรงรอนาน!”
เสิ่นจือซูเห็นเขากระตุ้นม้าจะรีบไป ก็รีบขึ้นหน้าไปขวางเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าเหยเก อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงบอก “องครักษ์ไป๋ องค์รัชทายาทพระองค์…พระองค์ทรงไม่ได้อยู่ในเมืองแล้ว”
ไป๋ตันหย่งได้ยินแล้ว ใบหน้าซีดเผือดทันที “ใต้เท้าเสิ่นพูดว่ากระไรนะ”
เสิ่นจือซูยังคงหัวเราะแหะๆ “องครักษ์ไป๋ไม่ต้องร้อนใจ องค์รัชทายาททรงไปดูทางเหนือ อีกไม่กี่วันก็เสด็จกลับมา”
พอไป๋ตันหย่งได้ยินว่า ‘ไปดูทางเหนือ’ ไม่กี่คำนั้นก็โกรธจนสะบัดแส้ม้าทันที เอ่ยเสียงขรึม “ที่แท้วันนี้ที่ใต้เท้าเสิ่นให้ข้าไปสำนักศึกษาสตรีด้วยล้วนเป็นข้ออ้าง! เวลานี้ใต้เท้าเสิ่นมีฐานะเป็นขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ เหตุใดยังทำตัวเหมือนสมัยเด็กในตอนนั้น ร่วมกับองค์รัชทายาทเล่นลูกไม้ตบตาคนเช่นนี้ หลอกข้าจนหัวหมุน” หางตาเขายับย่น หันหัวม้าจะมุ่งไปทางเหนือของเมือง “คุณชายใหญ่ ครั้งนี้คงอยากให้ข้าศีรษะหลุดจากบ่ากระมัง ที่แท้แล้วองค์รัชทายาทเสด็จไปสถานที่แห่งใดของทางเหนือ”
เสิ่นจือซูเห็นเขาร้อนใจจนแม้แต่คำเรียกขานเดิมก็เรียกออกมาแล้ว จึงรีบยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อม “เหตุใดองครักษ์ไป๋จึงกล่าวเช่นนั้น องครักษ์ไป๋ก็นับได้ว่าเห็นข้าเติบโตมาตั้งแต่เล็ก ข้าจะปล่อยให้องครักษ์ไป๋มีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ได้อย่างไร เพียงแต่องค์รัชทายาทมีบัญชา ข้าก็ไม่กล้าไม่ปฏิบัติตาม นิสัยขององค์รัชทายาทเป็นเช่นไร องครักษ์ไป๋ย่อมกระจ่างแก่ใจดี หากยอมปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนเหล่านั้น ยังจะเป็นองค์รัชทายาทหรือ ส่วนที่ว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปที่ใดนั้น ตราบที่ไม่ได้รับอนุญาตจากองค์รัชทายาท ข้าจะกล้าพูดส่งเดชได้อย่างไร”
ไป๋ตันหย่งสองมือกุมสายบังเหียนแน่น หัวคิ้วขมวดแน่นอยู่เป็นนานจึงบอก “แต่ถ้าองค์รัชทายาทอยู่ทางเหนือตามลำพังแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
เสิ่นจือซูยังคงยิ้ม “องครักษ์ไป๋วางใจเถิด องค์รัชทายาทฝึกวรยุทธ์กับองครักษ์ส่วนพระองค์จากกององครักษ์หน้าพระที่นั่ง ตั้งแต่พระเยาว์ ทั้งได้รับการสั่งสอนจากผิงอ๋องด้วยตนเอง คนปกติธรรมดาไหนเลยจะสามารถทำร้ายเขาได้”
ไป๋ตันหย่งมีสีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจติดๆ กัน “เรื่องนี้…เรื่องนี้ถ้าฝ่าบาททรงทราบเรื่องเข้า ยังไม่รู้จะกริ้วเพียงใด! คุณชายใหญ่ เมื่อวานท่านกับองค์รัชทายาทร่วมมือกันแสดงละครฉากหนึ่ง แต่กลับทำให้ผู้น้อยต้องลำบากแล้ว!”
“องครักษ์ไป๋ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป” เสิ่นจือซูกระตุ้นม้าวิ่งไปข้างหน้าแล้ว “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับองค์รัชทายาทจริง ข้าจะตัดศีรษะของตนเองก่อน ให้ข้าเป็นหินรองเท้าขึ้นแท่นลงโทษขององครักษ์ไป๋ เป็นอย่างไร”
ไป๋ตันหย่งตามอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่มันเวลาอะไรแล้ว คุณชายใหญ่ยังจะพูดจาล้อเล่นเช่นนี้อีก…”
เสิ่นจือซูยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงเลิกคิ้วเอียงศีรษะ มองไปยังทิวเขาที่อยู่ห่างไกลนอกเมืองทางด้านเหนือ
ยอดเขาสีน้ำตาลอมแดงมีสีเขียวแซมซ่อนตัวอยู่กลางปุยเมฆขาวละเอียดดุจใยฝ้าย
เขาหลุบตาลง เส้นทางไปค่ายใหญ่ชิงโจว เพียงเกรงว่าคงจะไม่ได้ดังใจนัก…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.