X
    Categories: ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 27-5

นางเดินไปตลอดทาง ในใจก็คิดกลับไปกลับมา อิ่นชิงเกิดที่เฉาอันเป่ยลู่ คนที่มีความสามารถมีชื่อเสียงเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เป็นที่รู้จัก บางทีนางอาจเขียนจดหมายสักฉบับส่งไปที่ทำการเขตชิงโจว ขอให้เสิ่นจือซูช่วยสอบถามถึงภูมิหลังของคนผู้นี้ในเฉาอัน…

แต่แล้วนางกลับปฏิเสธความคิดนี้ของตน

เสิ่นจือซูเป็นข้าหลวงในเขตใหญ่ที่ชายแดน และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการขนส่งของเฉาอันเป่ยลู่ นางอยู่ในราชสำนักมีตำแหน่งขุนนางใหญ่สองฝ่าย ทั้งควบคุมดูแลสำนักคัดเลือกประเมินกรมปกครอง จะคบหาสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับขุนนางใหญ่ชายแดนได้อย่างไร

เรื่องที่นางต้องระวังมากที่สุดในเวลานี้ก็คือไม่อาจมีจุดอ่อนใดๆ ตกอยู่ในมือผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจส่งจดหมายส่วนตัวไปที่ชิงโจว ขอให้เสิ่นจือซูช่วยตรวจสอบภูมิหลังความเป็นมาของบัณฑิตจิ้นซื่อใหม่ผู้นี้เป็นอันขาด

เมื่อคิดได้ดังนี้นางก็อดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ฝีเท้าหนักอึ้งขึ้นมา

ปีนั้นตอนเข้าราชสำนักใหม่ๆ นิสัยที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่กลัวไม่ว่าอะไรก็ไม่กังวลเกรงว่าคงเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว คนเรายิ่งเดินขึ้นที่สูงก็ยิ่งยากจะยืนได้มั่นคง เรื่องที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญก็ยิ่งมีมากขึ้น จะเดินสักก้าว ก็ต้องห่วงหน้าพะวงหลังไปหลายสิบก้าว ทั้งยังต้องกลัวว่าเดินออกไปก้าวนี้จะทำให้หกคะเมนล้มลงไม่เป็นท่า

เด็กรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งเห็นนางเดินออกมาจากถนนอวี้เจียแต่ไกล จึงบังคับรถม้าเข้ามารับ เลิกม่านให้นางขึ้นรถ “ใต้เท้า พวกเรากลับบ้านกันเลยหรือไม่”

เมิ่งถิงฮุยมุ่นหัวคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง สั่นศีรษะบอก “ยังไม่กลับบ้าน เจ้าส่งข้าไปที่จวนใต้เท้าเลี่ยวผู้ตรวจการกลาง”

เด็กรับใช้รับคำ หมุนตัวแล้วบังคับรถออกไป ปากก็บอก “ใต้เท้ายังไม่ได้รับอาหารค่ำกระมังขอรับ ต้องระวังสุขภาพร่างกาย…”

นางนั่งอยู่ในรถม้ากลับไม่ได้ตอบคำ ในสมองเต็มไปด้วยสิ่งที่อิ่นชิงพูดเมื่อครู่

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคำพูดของอิ่นชิงมีเหตุผลยิ่ง ถ้านางเอาจดหมายเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับสวีถิงเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องพูดถึงว่าวันหน้าหากฮ่องเต้ทราบเรื่องเข้าจะมีผลตามมาเช่นไร ถึงสวีถิงจะรับปากว่าต่อไปทุกเรื่องของสำนักตรวจสอบคัดเลือก กรมปกครองจะไม่ทำให้นางลำบากใจอีก นางก็ไม่มีความมั่นใจว่าวันหน้าคนอื่นๆ ในกลุ่มขุนนางจะกระโดดออกมาขัดขวางหนังสือกราบทูลข้อคิดเห็นของนางทุกวิถีทางอีกหรือไม่ อีกทั้งถ้าสวีถิงไม่สร้างความลำบากใจให้นางอีก ในราชสำนักต้องบอกสวีถิงเป็นคนใจกว้าง ชื่อเสียงของนางเมิ่งถิงฮุยย่อมไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยนิด ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้เอาจดหมายเหล่านี้นำขึ้นทูลถวายฮ่องเต้โดยตรง ให้ฮ่องเต้ถอดถอนสวีถิงจากตำแหน่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มขุนนางรู้สึกหวั่นเกรงนาง และนางก็ไม่ต้องกังวลถึงผลที่จะตามมาจากเรื่องที่ตนรู้เรื่องจดหมายแล้วไม่รายงาน ทั้งหลังจากเหตุการณ์นี้ ‘กลุ่มเมิ่ง’ อยู่ในราชสำนักย่อมจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ถ้าเห็นขุนนางอาวุโสกลุ่มตะวันตกหลุดจากตำแหน่ง พวกที่รู้จักปรับตัวตามทิศทางลมก็ย่อมรู้ว่าต่อไปควรทำเช่นไร

นับแต่เลี่ยวฉงควนได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ตรวจการกลาง นางก็ยังไม่มีโอกาสแวะมาเยี่ยมคารวะเขาเลย แต่นางคิดในใจ ด้วยไหวพริบปฏิภาณของเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลในการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ได้อย่างไร และครั้งนี้หากนางคิดจะกล่าวโทษสวีถิงรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผย ย่อมไม่อาจขาดการสนับสนุนข้อคิดเห็นของสำนักตรวจการกลาง นี่ถือเป็นโอกาสที่จะไปจวนสกุลเลี่ยวอีกครั้ง จับมือกับเลี่ยวฉงควนนับว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คิดว่าเขาคงไม่ปฏิเสธคำขอของนาง เพราะเมื่อใดที่ตำแหน่งรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายว่างลง สถานการณ์ระหว่างปัญญาชนรุ่นใหม่ ขุนนางอาวุโสในราชสำนัก กลุ่มตะวันออกตะวันตกสองกลุ่ม และฝ่ายเมิ่งถิงฮุยของนางที่ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอจะต้องถูกทำลายลงอีกครั้ง สำหรับเขาเลี่ยวฉงควนก็มีผลประโยชน์ให้มุ่งหวัง

คิดพลางนางก็ยิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สาบานว่าจะต้องใช้จดหมายส่วนตัวเหล่านี้ทำให้เหล่าขุนนางอาวุโสได้รู้ นางเมิ่งถิงฮุยแม้ไม่ต้องพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ก็สามารถทำให้พวกเขาปล่อยมือเปิดทางได้

แม้เรื่องนี้จะต้องก่อให้เกิดคลื่นลมพายุที่สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในราชสำนัก แม้เรื่องนี้จะทำให้ชื่อเสียงเลวร้ายของนางโด่งดังขึ้นอีกครั้ง นางก็ต้องลงมือเดิมพัน

รถเข้ามาใกล้ตลาดอันคึกคัก ยิ่งวิ่งก็ยิ่งช้า เสียงจ้อกแจ้กจอแจของตลาดกลางคืนที่อยู่ด้านนอกดุจเสียงไม้หลิวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดังเข้ามาในหู

เมิ่งถิงฮุยจิตใจล่องลอย พลันหวนนึกถึงเมื่อครั้งมาเดินเที่ยวตลาดกลางคืนในปีนั้น ในใจอดอุ่นวาบขึ้นมาไม่ได้

ตอนนั้นนางบอก ‘แต่ความมุ่งมาดปรารถนาของหม่อมฉัน กลับต้องการให้พระองค์มีชื่อเสียงที่ดีงามในประวัติศาสตร์’

ในใจของนางหนักอึ้งขึ้นมาอีก เมื่อครู่ใคร่ครวญมากเพียงนั้น กลับลืมใคร่ครวญถึงคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เก้ามังกรไปคนเดียว…ครั้งนี้ถ้านางเอาจดหมายส่วนตัวเหล่านี้ส่งไปถึงโต๊ะทรงพระอักษร ไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทีเช่นไร ว่ากันตามเหตุผลขุนนางกลุ่มตะวันตกล้วนเป็นขุนนางเก่าที่อยู่กับซั่งหวงมานานปี เขาจะปลดรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายเพราะคำกล่าวโทษของนางหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาซักไซ้ไล่เลียงที่มาของจดหมายเหล่านี้นางควรบอกไปตามความจริงหรือไม่

นางแม้จะรู้ถึงน้ำหนักของตนในใจเขา แต่กลับไม่รู้ถึงน้ำหนักของตนในฐานะขุนนางที่อยู่ในแผนการของเขาผู้เป็นกษัตริย์ เขาจะเฝ้าดูอำนาจของนางในราชสำนักเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่กำราบ จะปล่อยให้นางก้าวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่าจริงหรือ

คำพูดของเขาในวันนั้นตอนอยู่ที่สนามฝึกยังคงดังก้องอยู่ข้างหูนาง

นางกลับไม่กล้าเชื่อว่าเขาในฐานะกษัตริย์จะยินดีให้นางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในพริบตาเดียวจริง ตรงขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ชั่วชีวิตไม่ตกลงมา…นางรักเขาเพียงนี้ก็จริง แต่ก็เป็นเพราะเรื่องการต่อสู้ของแต่ละกลุ่มและเหตุการณ์บ้านเมือง จึงแอบเอาเขามาคิดการวางแผนอยู่ในใจ แล้วในใจของเขาความรู้สึกที่มีต่อนางจะราบเรียบกว้างใหญ่ดุจคันฉ่องได้อย่างไร

ล้อรถม้ากลืนไปกับเงามืดริมถนน เสียงอันคึกคักของตลาดกลางคืนถูกทิ้งไว้ข้างหลังและค่อยๆ จางหายไป

นางหลุบตาลง ในใจเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกประเดี๋ยวเมื่อได้พบกับเลี่ยวฉงควนจะพูดอะไรบ้าง กับท่าทีโต้ตอบของเลี่ยวฉงควนก็ต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทว่าเรื่องนี้ควรรีบไม่ควรช้า ถ้าจะยื่นหนังสือกล่าวโทษสวีถิงจริง จะดีที่สุดถ้าร่างหนังสือเสร็จพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แล้วกราบทูลให้ฮ่องเต้ทราบเรื่อง จากนั้นให้เลี่ยวฉงควนนำเหล่าขุนนางในสำนักตรวจการกลางไปร่วมกล่าวโทษ

นางนั่งอยู่ในรถม้า ในสมองเริ่มเรียบเรียงถ้อยคำที่จะเขียนในหนังสือกล่าวโทษแล้ว สายตามองผ่านม่านหน้าต่างบางๆ ออกไปข้างนอก มองเหม่อไปไกล

รถม้าวิ่งเข้ามาในเขตที่ตั้งเรียงรายไปด้วยคฤหาสน์ของขุนนางผู้มีอำนาจ ความเร็วจึงยิ่งช้าลง ตอนจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่จวนสกุลเลี่ยวตั้งอยู่ เมิ่งถิงฮุยกลับเห็นรถม้าที่คุ้นตายิ่งคันหนึ่งวิ่งออกมาจากทางด้านใต้ พอเขม้นตามองอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็นรถม้าของจวนสกุลเสิ่น คิดว่าคงเป็นเสิ่นจือหลี่ออกมาข้างนอก และคาดเดาว่าเวลานี้เสิ่นจือหลี่ก็คงเห็นรถม้าคันนี้ของตนแล้วเช่นกัน ในเมื่อหลบไม่พ้น นางจึงสั่งเด็กรับใช้ให้หยุดรถม้า ตั้งใจจะลงจากรถม้าไปทักทายเสิ่นจือหลี่

แต่เพิ่งจะเลิกม่าน เมิ่งถิงฮุยก็นึกขึ้นได้ ทิศทางที่รถม้าของจวนสกุลเสิ่นวิ่งออกมาคือจวนสกุลกู่ นางพลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เพียงรู้สึกตนเองไม่ควรพบเห็นเสิ่นจือหลี่มาที่นี่ในเวลาเช่นนี้เลย ชั่วขณะนั้นก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรลงจากรถม้าดี

ขณะลังเลอยู่นั้นรถม้าของจวนสกุลเสิ่นก็วิ่งเข้ามาใกล้แล้ว แล้วก็หยุดลงตรงหน้าตรอก ม่านหนาหน้ารถถูกคนเลิกขึ้น เสิ่นจือหลี่ชะโงกหน้าออกมาจากข้างใน ก่อนยิ้มพลางกล่าวกับเด็กรับใช้จวนสกุลเมิ่ง “อย่างไรกัน เดี๋ยวนี้ใต้เท้าบ้านเจ้ามีตำแหน่งใหญ่โตมีอำนาจบารมีสูง แม้แต่ข้าก็หลบเลี่ยงไม่ยอมพบแล้วหรือ”

เมิ่งถิงฮุยจึงลงจากรถม้าด้วยความอึดอัดลำบากใจเช่นนี้ ช้อนตามองไปก็เห็นเสิ่นจือหลี่ยืนรอนางอยู่ที่หน้าตรอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางรีบก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ปากก็ยิ้มพลางกล่าว “ไม่พบกันหลายวัน ฝีปากท่านร้ายกาจขึ้นมาก ข้าไหนเลยจะกล้าหลบเลี่ยงไม่ยอมพบท่าน”

เสิ่นจือหลี่สองมือรวบชายแขนเสื้อ ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางผืนฟ้ายามราตรี หวีงาช้างสีขาวนวลบนมวยสูงด้านหลังศีรษะสาดประกายคล้ายลำแสงสีเงิน สว่างเรืองรองจ้าตา ด้านล่างของชายกระโปรงยาวมีรองเท้าปลายงอนปักลายหงส์คู่สีแดงขาวสองข้างโผล่ออกมา ขับให้รูปร่างของนางยิ่งดูอรชรอ้อนแอ้น นางหรี่ตาทั้งสอง ยิ้มแย้มมองประเมินเมิ่งถิงฮุยขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้งแล้วกล่าวช้าๆ “ใต้เท้าเมิ่ง ชุดกระโปรงขุนนางสีม่วงนี่งดงามยิ่ง ทำให้ข้าอิจฉายิ่งนัก”

นับแต่เมิ่งถิงฮุยรับตำแหน่งขุนนางร่างราชโองการก็เกือบจะครึ่งปีแล้ว พวกนางสองคนยังไม่ได้เจอหน้ากันเป็นการส่วนตัวตามลำพังเช่นนี้เลย หลายเดือนมานี้เมิ่งถิงฮุยมีงานยุ่งจนไม่คิดจะไปคบค้าสมาคมกับใคร ยามนี้มาได้ยินเสิ่นจือหลี่กล่าวเช่นนี้ก็พลันรู้สึกขวยเขินลำบากใจ จึงรีบชี้แจง “คำพูดนี้ของท่านจะให้ข้าหาทางลงอย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ก็แล้วไปเถิด หรือแม้แต่ท่านก็ไม่รู้จักข้า ในบรรดาขุนนางสตรีทั้งราชสำนักไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ ข้าก็ค่อนข้างสนิทสนมกับท่านเพียงคนเดียว เหตุใดเวลานี้แม้แต่ท่านก็ลองหยั่งเชิงข้าขึ้นมาแล้ว”

เสิ่นจือหลี่พลันหัวเราะเบาๆ ออกมา เม้มปากบอก “สองวันก่อนเดิมข้าให้คนส่งเทียบไปที่จวนสกุลเมิ่งของท่าน เชิญท่านไปชมละครด้วยกันกับพวกเราในค่ำคืนนี้ แต่ท่านกลับไม่ส่งข่าวแม้แต่คำเดียว!”

เมิ่งถิงฮุยหัวคิ้วขยับเข้าหากัน หันหน้าไปมองเด็กรับใช้ “ใต้เท้าเสิ่นเคยส่งเทียบไปที่จวนหรือไม่”

เด็กรับใช้รีบค้อมตัวบอก “มีคนจากจวนสกุลเสิ่นมาจริงขอรับ แต่สองวันนี้ใต้เท้ายุ่งอยู่กับเรื่องบัณฑิตจิ้นซื่อ บ่าวไหนเลยจะกล้าไปรบกวนงานราชการของใต้เท้า…”

เสิ่นจือหลี่โบกๆ มือให้เด็กรับใช้ผู้นั้น “เอาล่ะๆ ไม่มีใครจะลงโทษเจ้าเสียหน่อย” แล้วหันมากล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “เวลานี้อยู่ในตำแหน่งขุนนางใหญ่สองฝ่าย แม้จะบอกว่าต้องให้ความสำคัญกับงานราชการของราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจไม่ใส่ใจการคบค้าสมาคมกับผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่ว่ามีนายหญิงตราตั้งและบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมากน้อยเพียงใดที่มาบอกกับข้าว่าพวกนางอยากเชิญท่านมาร่วมดื่มน้ำชาชมโคมไฟกับพวกนาง…แม้แต่เหล่าจิ้นซื่อสตรีที่เข้าสอบในปีนี้และได้รับการสนับสนุนจากท่าน แต่ละคนก็อยากมาร่วมพบปะกับท่านเป็นการส่วนตัว!” นางหยุดแต่พอเหมาะพอดี มองสังเกตสีหน้าของเมิ่งถิงฮุย ครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วบอก “แต่ข้ากลับบอกพวกนางว่าหน้าตาของใต้เท้าเมิ่งผู้นี้เปรียบกับฟ้าแล้วยังใหญ่กว่า ต้องรบกวนฝ่าบาทออกราชโองการจึงจะเชิญมาได้!”

เมิ่งถิงฮุยถูกนางพูดจนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพียงบอกว่า “ท่านก็ดีแต่เอาข้ามาหยอกล้อ ท่านจะรู้ได้อย่างไร หลายเดือนมานี้ข้าแม้แต่เวลานอนก็ยังไม่มี!” นางหลุบตาลงครุ่นคิด เหล่าสตรีในคฤหาสน์ของผู้มีอำนาจในเมืองหลวงเหล่านี้ไม่ใช่คนที่นางจะดูเบาได้ จึงกล่าวขึ้นอีก “คราวหน้าถ้ามีเรื่องสนุกอะไรอีก ข้าจะเจียดเวลาไปอย่างแน่นอน!”

เสิ่นจือหลี่ยิ้มกริ่มพลางพยักหน้า “เช่นนั้นผู้น้อยก็ต้องขอบคุณใต้เท้าเมิ่งที่ยอมให้เกียรติผู้น้อยแล้ว…”

เมิ่งถิงฮุยนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของนางที่บอกคืนนี้ออกมาดูละคร จึงบอก “เขตด้านใต้ของเมืองก็มีละครให้ดูด้วยหรือ ข้ากลับไม่เคยรู้…”

เสิ่นจือหลี่พลันนิ่งเงียบ เม้มปากอยู่ครู่หนึ่งจึงบอก “ไม่ได้ดูที่เขตด้านใต้ของเมืองหรอก เมื่อครู่ตอนช่วงเวลาจุดโคมข้าดูจบก็กลับมาจากด้านตะวันออก ส่งคุณหนูสกุลกู่กลับไปก่อน ข้าจึงเดินทางกลับ เพิ่งผ่านมาไม่กี่ตรอกก็เจอท่านเข้าพอดี”

เมิ่งถิงฮุยส่วนลึกในใจตื่นตระหนกเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับยังคงสงบนิ่ง ยิ้มบางๆ บอก “คิดว่าปีนี้คุณหนูสกุลกู่ผู้นั้นน่าจะอายุสิบสามแล้ว เหตุใดยังต้องให้รถม้าของท่านส่งกลับจวนอีก”

แก้มของเสิ่นจือหลี่ซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ช้อนตาขึ้นมองนางแล้วเอ็ดเบาๆ “ท่านรู้แล้วยังจะแกล้งถาม?!” จากนั้นก็ถอนหายใจ กล่าวเสียงต่ำ “ข้าก็แค่อยากหาโอกาสได้เจอเขามากสักหน่อย…”

เมิ่งถิงฮุยในใจรู้สึกเศร้ารันทดใจ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

ในฐานะคนนอก นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร กู่ชินหาได้มีความรู้สึกเช่นชายหญิงต่อเสิ่นจือหลี่ไม่ อีกทั้งด้วยนิสัยแข็งกร้าวถือทิฐิของกู่ชิน ในใจจะมีความคิดอื่นต่อเสิ่นจือหลี่ที่เขาเห็นนางเติบโตมาตั้งแต่เล็กได้อย่างไร ถึงเสิ่นจือหลี่จะแสดงความอ่อนโยนในทุกวิถีทาง เกรงว่าก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย

นางอดนึกไปถึงตอนอยู่ที่ชิงโจวไม่ได้ ตอนนั้นตี๋เนี่ยนสอดแผ่นไม้ท้อไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง นางพลันรู้สึกเศร้าใจแทนคนทั้งสอง ปรารถนาจะได้มา…กลับไม่ได้ ในโลกนี้เกรงว่าคงไม่มีเรื่องใดทำให้คนปวดใจไปยิ่งกว่านี้แล้ว

เสิ่นจือหลี่พลันเปลี่ยนความสนใจ เอ่ยถาม “ย่างเข้าราตรีนานแล้ว ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ”

เมิ่งถิงฮุยอดนิ่งอึ้งไปชั่วขณะไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสิ่นจือหลี่ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อนางด้วยน้ำใสใจจริง ทว่านางกลับไม่อาจเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกันได้ ความคิดต่างๆ ที่นางใคร่ครวญอยู่ในใจมาโดยตลอดเมื่อครู่ เมื่อเปรียบกับความซื่อตรงจริงใจของเสิ่นจือหลี่แล้วช่างสกปรกโสมมและทำให้คนรังเกียจมากเพียงใด นางจะบอกกับเสิ่นจือหลี่ได้อย่างไร

เมิ่งถิงฮุยยกมือขึ้นลูบๆ ผม ยิ้มบอก “เรื่องร่างโองการของราชสำนักฝ่ายนอก ข้ามาพบใต้เท้าสวี” คำโกหกนี้พูดได้แนบเนียนไม่ทิ้งร่องรอย แม้แต่สีหน้าของนางก็ไม่แปรเปลี่ยน แทบจะพูดโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด

เสิ่นจือหลี่ฟังแล้วมีท่าทีรู้สึกผิดขึ้นมา รีบบอก “ที่แท้มีเรื่องสำคัญเพียงนี้ กลับถูกเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ของข้าทำให้เสียเวลาอยู่เป็นนาน! ข้าจะกลับจวนแล้ว ท่านรีบไปเถิด”

เมิ่งถิงฮุยผงกศีรษะน้อยๆ ครั้นเห็นเสิ่นจือหลี่หมุนตัวไปจึงหันไปเรียกเด็กรับใช้ ตนเองขึ้นรถม้า ก่อนมุ่งหน้าเข้าไปในตรอกต่อไป

ม่านรถถูกปล่อยลงมา รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งถิงฮุยก็จางหายไปแล้ว

นางหลับตาลง ในใจเริ่มสะอิดสะเอียนตนเองขึ้นมารำไร

แม้แต่กับเสิ่นจือหลี่นางก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดในใจออกมาได้ และเรื่องที่นางกำลังจะทำอยู่นี้ที่แท้แล้วถูกหรือผิดกันแน่

ช่วยเหลือผู้คน…ช่วยเหลือผู้คน… นี่แตกต่างจากความคิดตอนแรกเริ่มของนางไม่ใช่เพียงหลายหมื่นหลี่ แต่คนอยู่ในราชสำนัก ถ้าไม่อยากถูกผู้อื่นบดขยี้เป็นโคลนเลนก็ต้องทำให้ตนเองแหลมคมเพื่อให้ไม่มีใครกล้ารังแก การคุยโวโอ้อวดว่าจะช่วยเหลือผู้คนเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แต่ถ้าตนเองยังเหยียดเอวให้ตรงยืนให้มั่นไม่ได้ คำพูดที่ว่า ‘ช่วยเหลือผู้คน’ ย่อมเป็นความคิดที่เหลวไหลยิ่ง

นางมองไปไกลๆ เห็นพู่โคมไฟหลากสีที่แขวนอยู่สองด้านของป้ายชื่อจวนสกุลเลี่ยวแกว่งไกวไปตามสายลมยามราตรี รถม้าค่อยๆ หยุดลง

นางลืมตา ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่งแล้วยกมือขึ้นเลิกม่าน

 

การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในปีที่หนึ่งของรัชศกจิ่งเซวียนได้สร้างการเปลี่ยนแปลง มีจิ้นซื่อสตรีหกคนที่ผ่านการสอบเข้ามาพร้อมกับจิ้นซื่อบุรุษ ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักออกจะประหลาดใจและเลื่อมใสอย่างแท้จริง ต่างคาดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนรูปแบบการสอบของเมิ่งถิงฮุยในครั้งนี้จะสามารถดึงดูดสตรีที่มีความสามารถทัดเทียมบุรุษเข้ามาเป็นขุนนางได้จริง

ทว่าเพียงไม่กี่วันก่อนงานเลี้ยงฉยงหลิน หนังสือกราบทูลกล่าวโทษฉบับหนึ่งที่เมิ่งถิงฮุยทูลถวายตอนประชุมขุนนางในช่วงเช้าก็ทำให้ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารในราชสำนักต่างอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่เรื่องตำแหน่งขุนนางของจิ้นซื่อสตรีที่แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันมาหลายครั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนยังถูกผู้คนโยนทิ้งไปไม่ใส่ใจ ข่าวซุบซิบในเมืองหลวงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทุกคนต่างจับตามองเรื่องที่เมิ่งถิงฮุยยื่นหนังสือกราบทูลกล่าวโทษสวีถิงรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในจดหมายส่วนตัวที่สวีถิงเขียนถึงห่าวค่วงขุนนางเก่าได้เอ่ยถึงหลายครั้งว่าวิธีการปกครองของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของตน เรื่องนี้พอเปิดออกมาก็ทำให้เหล่าขุนนางกลุ่มตะวันตกที่ก่อนหน้านี้ใกล้ชิดพึ่งพาสวีถิงอยู่ต่างรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา หวาดกลัวยิ่งว่าตนจะมีจุดอ่อนอะไรตกหล่นอยู่ข้างนอก แม้แต่เหล่าขุนนางกองอาลักษณ์และศิษย์สำนักศึกษาไท่เสวียที่ปกติจะแสดงความคิดเห็นกับทุกเรื่อง ครั้งนี้ต่างก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างเงียบๆ

กลับเป็นสำนักผู้ตรวจการกลางที่เผยกระบี่คมออกมา กลุ่มขุนนางของสำนักตรวจการกลางโดยมีเลี่ยวฉงควนเป็นผู้นำได้พากันยื่นหนังสือกราบทูล ต่างกล่าวหาว่าสวีถิงตั้งพรรคตั้งพวกไม่อยู่ในครรลองของขุนนาง เนรคุณไม่เชื่อฟัง ขอให้ฮ่องเต้ปลดสวีถิงออกจากตำแหน่งรองเสนาบดีเพื่อรักษาไว้ซึ่งจริยธรรมและประเพณีอันดีงามของราชสำนัก

ในหมู่ชาวบ้านอาจมีการวิพากษ์วิจารณ์ส่วนตัว บอกเมิ่งถิงฮุยเป็นคนต่ำช้าไร้ยางอาย ไม่รู้ใช้วิธีใดขุดจดหมายเหล่านี้ออกจากหลุมศพผู้ตายเพื่อจะบีบบังคับสวีถิงให้ยอมรับผิดและออกจากตำแหน่ง

คำพูดชั่วร้ายระคายหูที่มีต่อเมิ่งถิงฮุยแม้จะมากมายนับไม่ไหว แต่จดหมายส่วนตัวหลายสิบฉบับของสวีถิงคือหลักฐานที่ชัดแจ้งมั่นคงดุจขุนเขา ขุนนางในราชสำนักต่างเข้าใจว่าฮ่องเต้จะต้องส่งเขาไปเข้าคุกสำนักผู้ตรวจการกลางเพื่อพิจารณาโทษ แม้แต่ตัวสวีถิงเองก็ยื่นหนังสือขออภัยโทษและกลับไปอยู่ที่จวนไม่ออกมาอีก

คลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดสาดนับหมื่นจั้งในครั้งนี้ แม้แต่คนที่ไม่ถามไถ่เรื่องการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในราชสำนักมากที่สุดเหล่านั้นก็ยังรู้ ครั้งนี้ผู้อาวุโสกลุ่มตะวันตกจะต้องหมดสิ้นอำนาจแน่แล้ว

เวลานี้แค่รอดูว่าฮ่องเต้จะลงโทษสวีถิงอย่างไร และจะจัดการกับการกระทำในครั้งนี้ของเมิ่งถิงฮุยอย่างไร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: