X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 129

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า

ผ่านไปสิบกว่าวัน เป็นกลางเดือนสามแล้ว

ตอนเย็นนอกหน้าต่างฝนตกขมุกขมัวไม่ขาดสาย เข็มยาวบนนาฬิกาลูกตุ้มไขลานแบบตะวันตกที่ตั้งประดับอยู่ในห้องโถงยังขยับไปไม่ถึงเลขห้าท้องฟ้าก็มืดแล้ว คนรับใช้ในบ้านสกุลซูทยอยจุดตะเกียงตามห้องต่างๆ ที่มีคนเข้าออกในเวลากลางคืน

เยี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ในห้องบัญชีตามลำพัง กำลังดีดลูกคิดตามตัวเลขบนสมุดบัญชีในมือ เสียงลูกคิดเม็ดกลมขยับขึ้นลงรัวเร็ว อันที่จริงคนดีดลูกคิดก็รู้ดีว่าเมื่อครู่นี้ตนเองคำนวณบัญชีผิดซ้ำๆ ทั้งที่ปกติต่อให้หลับตาอยู่ก็ไม่มีทางคิดผิด

เธอรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่บ้างเลยหยุดคิดบัญชีจะไปทำงานอย่างอื่น จึงตั้งใจจะไปเดินตรวจโกดังสินค้า

ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้ว อากาศอย่างนี้เป็นอันตรายกับสมุนไพรในโกดังมากที่สุด ถ้าการป้องกันความชื้นเกิดผิดพลาดตรงไหนจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

พูดได้ว่าชั่วชีวิตนี้ของเธอนับจากวันที่แต่งเข้าสกุลซู สิ่งที่ทำให้ชีวิตเธอมีความหมาย นอกจากลูกสาวแล้วก็คือการค้าขาย

แต่กระนั้นเธอไม่ได้รู้สึกว่าตนเองรักงานนี้สักเท่าไร ทว่าถ้าเธอวางมือหรือว่าไม่มีห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อ เธอจะใช้ชีวิตตั้งแต่เช้าจรดเย็นทำอะไรได้อีก

เวลานี้หงเหลียนง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเย็นในบ้าน เยี่ยอวิ๋นจิ่นกางร่มเอาเองและกำลังจะไปที่โกดังทางด้านหลังเรือนโดยไม่ได้พาคนรับใช้ตามไปด้วย พลันได้ยินเสียงฝีเท้าไล่หลังดังขึ้น เธอเห็นซูจงซึ่งทำหน้าที่ดูแลหน้าร้านตอนกลางวันถือร่มผ้าสีดำเคลือบน้ำมันวิ่งกวดตามมาอย่างเร่งร้อน พอแน่ใจว่ารอบด้านปลอดคน ถึงเดินเข้ามากระซิบบอกใกล้ๆ อย่างระแวดระวังว่า “นายหญิง เมื่อครู่หัวหน้าสามของสมาคมชาวน้ำผ่านมาทางตัวอำเภอเลยไปเจียดยาที่ห้างค้ายาเทียนเต๋อเราด้วยตนเอง นี่ขอรับใบสั่งยา ผมแวะเอามาให้นายหญิงด้วย”

เขาหยิบใบสั่งยาแผ่นหนึ่งจากในแขนเสื้อยื่นส่งให้ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปโดยไม่รอช้า

ใบสั่งยา!

ตอนแรกเยี่ยอวิ๋นจิ่นแทบไม่อยากเชื่อเลยทีเดียว

เนิ่นนานขนาดนี้แล้ว!

ฉันยังได้รับใบสั่งยาที่คนคนนั้นส่งมาให้หรือนี่

ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนซีดขาว เธอจ้องใบสั่งยาในมือตาเขม็ง สายตาจับอยู่ที่คำว่า ‘ตังกุย’ ซึ่งแทรกอยู่ในรายชื่อสมุนไพรที่เขียนไว้บนกระดาษ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจริงอยู่ว่าเธอไม่เคยลืมเลือนประโยคที่เธอพูดไปอย่างนั้นในตอนเช้าตรู่วันนั้นเมื่อนานหลายปีก่อน แต่เธอนึกว่าอีกฝ่ายลืมไปนานแล้ว

เขาก็ยังจำได้เหมือนกันหรือนี่ หัวใจของเธอเต้นถี่แรง

ครั้นเธอตั้งตัวติดในอึดใจต่อมา ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นในใจอีกทันใด

คนใจดำอย่างนั้น คนที่ไม่ยอมแอบมาพบฉันได้ตั้งสิบยี่สิบปีนั่น

ตอนนี้จู่ๆ กลับเป็นฝ่ายอยากเจอฉัน!

หรือว่าข่าวที่ลือกันอยู่ข้างนอกพักนี้เป็นความจริง

ตาแก่นั่นทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว ใกล้จะไม่รอดแล้วจริงๆ

มือที่กำแผ่นใบสั่งยาไว้ของเธอสั่นระริก ความหวาดกลัวโถมเข้าเกาะกุมจิตใจเธอระลอกหนึ่ง

 

ต้นฤดูใบไม้ผลิ สายฝนยามเย็นโปรยปรายไม่ขาดสาย ซูจงเอาใบสั่งยาไปให้เจ้านายเรียบร้อยแล้วฟ้าก็มืดอย่างรวดเร็ว

มันเป็นเรื่องเก่านมนานกาเลมาแล้ว นานแสนนานก่อนนายหญิงน้อยจะลืมตาดูโลกเสียอีก มีครั้งหนึ่งนายหญิงเคยลอบสั่งกำชับซูจงว่าหากหวังหนีชิวเอาใบสั่งยามาเจียดยาที่ร้านขายยาของครอบครัวเธอเมื่อไร ต้องอย่าลืมนำใบสั่งยานั้นมาให้เธอ

ทุกเย็นก่อนร้านขายยาจะปิด จะต้องเก็บรวบรวมใบสั่งยาของลูกค้าที่มาซื้อสมุนไพรระหว่างวันไว้อย่างเป็นระเบียบไม่ให้ขาดแม้แต่ใบเดียว งานนี้เป็นงานสำคัญ ซูจงจึงรับผิดชอบเอง

แต่ผ่านมาตั้งนานหลายปีก็ไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เป็นเหตุให้ซูจงลืมไปนานแล้วว่าเคยได้รับคำสั่งนี้ เย็นนี้ตอนเขาเห็นหวังหนีชิวมาถึงแวบแรกยังนึกในใจว่าอาการของจ้าวมังกรเจิ้งยังไม่หายดีหรือเปล่า เขารู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย จนกระทั่งอีกฝ่ายทิ้งใบสั่งยาไว้แล้วกลับไป ตอนเขาเก็บรวบรวมใบสั่งยาอยู่ ก็นึกขึ้นได้ฉับพลันว่าเมื่อนานมาแล้วนายหญิงเคยสั่งกำชับไว้อย่างนี้ เขาตกอกตกใจทันใด แต่ย่อมไม่แสดงออกทางสีหน้า ฉวยจังหวะตอนคนงานในร้านไม่ทันสังเกตรีบกลับบ้านโดยไม่รอช้า

หลังเอาใบสั่งยาให้ผู้เป็นนายไปแล้วซูจงก็กระวนกระวายใจ กินข้าวคำสองคำอย่างขอไปทีแล้วรออยู่ในห้องตนเองไม่ไปไหน

เขาสังหรณ์ว่าคืนนี้นายหญิงอาจจะออกไปข้างนอก

หน้าที่ขับรถม้าจะมอบหมายให้คนอื่นไม่ได้ เขาต้องทำเอง

หลายปีมานี้แม้มีเรื่องบางเรื่องไม่เคยพูดออกจากปาก แต่นายหญิงคงจะรู้เหมือนกันว่าพ่อบ้านอย่างเขาคงจะบังเอิญรู้อะไรได้เลาๆ โดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นถึงได้มอบหมายงานแบบนั้นให้กับเขา

ระหว่างที่รอผู้เป็นนายเรียกตัว เขานั่งอยู่หน้าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้อง ฟังเสียงสายฝนพร่างพรมลงบนต้นไม้ใบหญ้ายามค่ำคืนในลานเรือนพลางเริ่มจมจ่อมอยู่ในภวังค์

เขาแซ่ซู เป็นญาติห่างๆ ของสกุลซู แล้วเหตุใดชาวสกุลซูอย่างเขาถึงกลายเป็นคนสนิทของเยี่ยอวิ๋นจิ่นไปได้ พูดขึ้นมาก็ต้องเท้าความกันยาว

สมัยก่อนโน้นเขาเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านขายยาของสกุลซู เพราะทำงานขยันขันแข็ง เป็นคนซื่อตรง ซ้ำยังคิดบัญชีได้ นายท่านใหญ่ของสกุลซูถูกใจเขา จึงย้ายเขาไปเป็นผู้ดูแลในห้องบัญชีอยู่หลายปี แต่กลับเป็นเหตุให้หัวหน้าพ่อบ้านในตอนนั้นอิจฉาริษยา ภายหลังรวมหัวกับลูกน้องที่เป็นลูกจ้างในร้านปรักปรำใส่ความว่าเขายักยอกเงินจากบัญชี

เวลานั้นนายท่านใหญ่ล้มป่วยจนเริ่มสติเลอะเลือนจึงหลงเชื่อว่าเป็นความจริง ซูจงหมดทางแก้ตัว จวนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลรอมร่อ เยี่ยอวิ๋นจิ่นที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลซูได้ปีเดียวในตอนนั้นก้าวออกมาสืบหาความจริง ช่วยล้างมลทินให้เขา

ที่แท้ก็เป็นลูกไม้ของพวกโจรที่ร้องให้จับโจร* นั่นเอง

แม้ว่าหัวหน้าพ่อบ้านคนนี้จะเป็นคนเก่าแก่ของสกุลซู แต่ช่วงหลายปีนั่นหัวหน้าตระกูลล้มป่วย คุณชายซูหมิงเซิ่งไม่มีหัวการค้าอยู่เป็นทุนเดิม ส่วนนายหญิงน้อยเยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ยังอายุน้อย อีกทั้งเป็นผู้หญิง เขาย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตาเป็นธรรมดา จึงอาศัยที่ตนเองดูแลร้านขายยามาหลายปีเป็นช่องทางแอบยักยอกเงินของนายท่านใหญ่ ซ้ำยังโยนความผิดให้ซูจง

หลังจากไล่หัวหน้าพ่อบ้านออกไปแล้วเยี่ยอวิ๋นจิ่นซึ่งได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเต็มตัวก็ให้ซูจงรับผิดชอบงานสำคัญๆ

ดังคติที่ว่าใครดีจงดีตอบ ใครชอบจงตอบแทน นับแต่นั้นเป็นต้นมาซูจงก็ซื่อสัตย์ภักดีต่อเธอด้วยความสำนึกในบุญคุณ

ในสายตาของซูจง นายห้างหญิงเยี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนฉลาดเก่งกาจและเข้มแข็งไม่แพ้ผู้ชาย

ตั้งแต่เธอแต่งเข้าสกุลซูจนบัดนี้เป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้ว ต่อให้ตอนนายท่านใหญ่เพิ่งจากไปแล้วสกุลซูตกอับซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดหลายปีนั่น ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่นซูจงก็ไม่เคยเห็นเธอหลั่งน้ำตามาก่อน

เพราะเหตุนี้นี่เอง ครั้งเดียวในชีวิตของซูจงที่พบเห็นเธอควบคุมอารมณ์ไม่อยู่โดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้เขาจดจำฝังใจจนลืมไม่ลงถึงทุกวันนี้

จนกระทั่งเวลานี้พอเขาคิดขึ้นมาก็ยังรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอยู่ดี ถึงขั้นไม่กล้าคิดต่อให้ลึกลงไป

เหตุผลที่เขาไม่กล้าคิดต่อ เพราะตอนที่เขาบังเอิญไปเจอนายหญิงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เกี่ยวข้องกับจ้าวมังกรเจิ้งนั่นเอง

ขณะนั้นเยี่ยอวิ๋นจิ่นยังอยู่ในวัยสิบเก้าปีเท่านั้น เธอเพิ่งแต่งเข้าสกุลซูเพียงสองสามปี ส่วนจ้าวมังกรเจิ้งก็ยังไม่ได้เป็นจ้าวมังกรเจิ้งอย่างตอนนี้ ยามนั้นเขาเป็นแค่หัวหน้าลูกเรือคนหนึ่งบนเรือแดงกู้ภัยที่ก่อตั้งขึ้นโดยทางการ

ส่วนว่านายหญิงกับจ้าวมังกรเจิ้งรู้จักกันได้อย่างไรกันแน่นั้น ภายนอกมีเสียงเล่าลือกันไปต่างๆ นานาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่มีใครแจ่มแจ้งดีไปกว่าซูจงอีกแล้ว

ปีแรกที่เยี่ยอวิ๋นจิ่นแต่งเข้าสกุลซู ซูหมิงเซิ่งสามีของเธอก็หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับภรรยาลับนอกบ้านไม่ยอมกลับมา ทิ้งธุระไม่สนใจเรื่องกิจการการค้าของสกุลซู

ทุกปีมณฑลยูนนาน กุ้ยโจว และเสฉวนจะจัดงานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรสองครั้งในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง มีพ่อค้าจากทั่วประเทศมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ถือเป็นงานสำคัญมาก พอถึงงานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรประจำฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น เยี่ยอวิ๋นจิ่นไปขอร้องสามีให้กลับมาแล้วพาคนไปร่วมงานนี้ด้วยตนเอง เขากลับหัวเราะเยาะเธอว่าในเมื่อนายท่านใหญ่อุตส่าห์หาภรรยาเท้าใหญ่ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ให้เขาแล้ว อย่างนั้นก็ให้เธอไปแทนแล้วกัน

งานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรประจำฤดูใบไม้ผลิจัดขึ้นที่อีกเมืองหนึ่ง เดินทางไปกลับต้องใช้เวลาสองเดือน ตอนนั้นสมาคมชาวน้ำกำลังเกิดศึกภายในจนกลายเป็นเสือกระดาษ ส่งผลให้ตามแม่น้ำชุกชุมไปด้วยโจรผู้ร้าย ขนาดพวกชาวเรือออกจากบ้านยังต้องจ้างผู้คุ้มกันความปลอดภัย

เยี่ยอวิ๋นจิ่นในวัยสิบเจ็ดปีกัดฟันจ้างคนแล้วไปงานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรประจำฤดูใบไม้ผลิด้วยตนเอง

ครั้งนั้นซูจงร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางเรือของพวกเขาพบคนบาดเจ็บลอยคออยู่ในแม่น้ำ ดูจากเครื่องแต่งกายคล้ายเป็นลูกเรือบนเรือแดง

ในสมัยนั้นเรือแดงของทางการก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน พวกลูกเรือมักมีเรื่องทะเลาะต่อยตีกันเป็นประจำ

คนคนนั้นดูท่าทางเหมือนโดนมีดฟันแล้วตกน้ำ เหลือแค่ลมหายใจรวยรินใกล้จะประคองตัวไม่อยู่ จวนเจียนจมน้ำรอมร่อ พ่อบ้านที่ติดตามมาของสกุลซูกลัวจะเดือดร้อน ไม่อยากช่วยคน แต่เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เห็นด้วย เธอยืนกรานให้พาตัวคนคนนั้นขึ้นมาบนเรือ

คนเจ็บที่ตกน้ำก็คือหวังหนีชิว หลังเขาถูกช่วยชีวิตไว้ผ่านไปสองสามวันหัวหน้าลูกเรือของเรือแดงคนหนึ่งได้ข่าวก็มารับพี่น้องร่วมสาบานกลับไป

หัวหน้าลูกเรือคนนี้ก็คือจ้าวมังกรเจิ้งในภายหลัง เยี่ยอวิ๋นจิ่นกับจ้าวมังกรเจิ้งจึงรู้จักกันด้วยเหตุฉะนี้นี่เอง เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เธอช่วยพี่น้องของเขาไว้ เขานำพรรคพวกมาช่วยคุ้มกันเธอตอนขากลับด้วยตนเอง

หลังจากครั้งนั้นงานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอีกหลายต่อหลายครั้งเยี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนไปเองตลอด จ้าวมังกรเจิ้งก็ช่วยคุ้มครองตามเส้นทางน้ำทั้งขาไปขากลับด้วยตนเองเสมอ เรือของสกุลซูถึงปลอดภัยไม่พบกับเหตุร้ายใดๆ อีกเลย

แต่ก็มีข่าวลือแพร่ออกไปด้วย

ซูหมิงเซิ่งซึ่งอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงนินทาว่านายหญิงน้อยที่ทั้งสาวทั้งสวยของตระกูลคนนั้นเป็นชู้กับหัวหน้าลูกเรือของเรือแดงแซ่เจิ้ง เขากลับมาที่บ้านอย่างเดือดดาล

ถึงแม้เขาจะโกรธเกลียดเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่แย่งตำแหน่งของผู้หญิงที่เขารักไป แล้วก็ไม่ชอบนิสัยแข็งกร้าวของเธอ แม้แต่เวลาอยู่ในห้องก็ไม่อ่อนหวานมีเสน่ห์เย้ายวนใจแบบที่ผู้หญิงพึงมีแม้แต่น้อยนิด เฉยเมยจืดชืดจนน่าเบื่อ แต่พอได้ยินว่าเธอคบชู้สู่ชายก็ทนไม่ได้อีก เขาไม่กล้าไปหาผู้ชายท่าทางดุร้ายมีแผลเป็นบนหน้าคนนั้นก็เลยทะเลาะกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นยกใหญ่ ห้ามเธอออกไปทำงานนอกบ้าน เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่แยแสสามี แต่งานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรประจำฤดูใบไม้ร่วงครั้งต่อมาจ้าวมังกรเจิ้งไม่ปรากฏตัวและไม่ได้คุ้มกันเรือของสกุลซูอีก

ด้วยเหตุนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นต้องดูแลนายท่านใหญ่สกุลซูที่นอนป่วยอยู่บนเตียงพร้อมๆ กับประคับประคองกิจการของสกุลซูด้วยกำลังตนเองคนเดียว ในปีที่สองที่แต่งเข้าสกุลซู เธออายุย่างสิบเก้าปี นายท่านใหญ่สิ้นลม งานศพในบ้านเพิ่งจบลงก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก มีเจ้าหนี้จากข้างนอกจะมายึดบ้านแล้ว

ตอนนี้เธอถึงรู้ว่าสองปีนี้ที่สามีอยู่ข้างนอกชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง เพียงรอวันที่นายท่านใหญ่ตายเท่านั้น พอท่านนายท่านใหญ่ตายก็กลับมาขโมยโฉนดบ้านทันที ยังดีที่เขาไม่กล้าขายทั้งหมด แค่ขายบ้านครึ่งหนึ่งกับหน้าร้านไปพร้อมกัน ได้เงินมาแล้วก็ไปซ่อนตัว ไม่กล้าเจอหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่น

เยี่ยอวิ๋นจิ่นโกรธจนมือเท้าเย็นเฉียบ เป็นลมหมดสติไปเดี๋ยวนั้นเลย หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ล้มป่วย

เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบเอาชนะและกลัวเสียหน้าเป็นที่หนึ่ง ปกติเรื่องไม่ดีของทางนี้ ถ้าปิดบังได้เธอจะปิดบังไม่ให้ครอบครัวเดิมในเมืองเฉิงตูรู้แน่นอน แต่คราวนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกินไป กระดาษห่อไฟไม่อยู่* เยี่ยหรู่ชวนพี่ชายเธอได้ข่าวแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บุกไปหาน้องเขยจะดุด่าว่ากล่าวตัดความสัมพันธ์กัน ซูหมิงเซิ่งที่มีชนักปักหลังยังหลบหน้าไม่ยอมพบใครดังเดิม เยี่ยหรู่ชวนเป็นคนใจร้อน จึงพาน้องสาวกลับบ้านทันที

ซูหมิงเซิ่งอาจจะติดอยู่กับชีวิตฟุ้งเฟ้อไร้แก่นสาร รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น แต่ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา พอภรรยาไม่อยู่สกุลซูก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ตัวเขาเองก็อยากดูแลกิจการของครอบครัวเพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของผู้ชายให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นได้เห็นอยู่เหมือนกัน จนใจที่ไม่มีความสามารถด้านนี้ อีกทั้งทนความลำบากไม่ไหว ดูแลกิจการไปได้แค่ไม่กี่วันก็หัวหมุนจนทำอะไรไม่ถูก ยอมบากหน้าไปรับเธอ คิดไม่ถึงว่าตอนขึ้นรถม้าจะสะดุดล้มขาแพลง ได้แต่ส่งซูจงไปบอกแทนว่าเขารู้สึกผิดและสำนึกตัวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับตัวนายหญิงกลับมาให้ได้

ซูจงไปที่บ้านสกุลเยี่ยพูดอธิบายแทนนายท่านและขอขมาซ้ำๆ เยี่ยหรู่ชวนยังไม่หายโมโห เพียงพูดว่าแล้วแต่น้องสาว

ด้านซูจงนั้นติดตามนายหญิงมาสองปี พอจะรู้นิสัยของเธอบ้างไม่มากก็น้อย ตอนเขาได้พบหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่น เขาไม่เอ่ยถึงว่าซูหมิงเซิ่งเป็นอย่างไรแม้แต่คำเดียว พูดแค่ว่าหลังจากเธอไม่อยู่กิจการค้ายาสมุนไพรของสกุลซูยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีลูกค้าไม่น้อยรอเจรจาเรื่องการค้าที่ยังค้างคาอยู่ก่อนหน้านี้อย่างร้อนใจ

กิจการค้ายาสมุนไพรของสกุลซูก็คือหยาดเหงื่อแรงงานของนายหญิง

เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่พูดอะไรสักคำ หลังผ่านไปหนึ่งคืนเธอก้าวขึ้นรถม้าเงียบๆ เข้าสู่เส้นทางที่มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองซวี่

แม้ว่านายหญิงจะยอมกลับมาแล้ว แต่ระหว่างทางดูหดหู่เซื่องซึมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงจำต้องขับรถม้าไปเรื่อยๆ ไม่กล้าเร่งเดินทาง

เมืองเฉิงตูถึงเมืองซวี่ที่ปกติใช้เวลาเดินทางสามสี่วันกลับลากยาวถึงห้าวันเต็มๆ ตอนบ่ายของวันที่ห้าจึงไปถึงตัวเมือง

เดิมทีถ้ารีบร้อนหน่อยจะเดินทางต่อไปเลยก็สามารถไปถึงบ้านสกุลซูได้ตอนช่วงค่ำๆ

ทว่าซูจงเห็นนายหญิงคล้ายไม่อยากเร่งเดินทางอีก จึงจัดหาที่พักค้างคืน ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นค่อยไปต่อ

คืนนั้นเองก็เกิดเรื่องนั้นขึ้น เรื่องที่ทำให้ซูจงคิดขึ้นมาตอนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวน ในใจสับสนปนเปไปด้วยความรู้สึกนานัปการเช่นเดิม

ยามดึกสงัดซูจงกำลังครุ่นคิดเรื่องของนายหญิงอยู่ตามลำพังจนนอนไม่หลับ จู่ๆ ได้ยินเสียงเปิดประตูลอยมาจากห้องติดกันที่เธอพักอยู่ ดูเหมือนเธอจะออกไปข้างนอก เขาไม่วางใจเลยลุกลงจากเตียงตามไป เห็นเธอมุ่งหน้าไปทางท่าเรือคนเดียว เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ตามหลังอยู่ห่างๆ สุดท้ายเห็นเธอไปละแวกใกล้ๆ อู่เรือที่เป็นแหล่งชุมนุมของลูกเรือแห่งหนึ่ง

เธอนัดพบผู้ชายคนหนึ่งที่ริมน้ำตอนกลางดึก ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน

ขณะนั้นรอบด้านมืดมาก กอปรกับอยู่ค่อนข้างห่าง ทว่าซูจงยังจำได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือจ้าวมังกรเจิ้ง

ทีแรกซูจงก็ตกตะลึงอยู่แล้ว เขาคิดไม่ถึงว่านายหญิงที่เข้มแข็งเป็นนิจถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าจ้าวมังกรเจิ้งอีกด้วย

เขาได้ยินเสียงพูดของเยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ปะติดปะต่อกันว่าเธอไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว พี่ชายของเธอก็ไม่บังคับให้เธออยู่ที่สกุลซูต่อ ขอแค่เขาพยักหน้า เธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เมื่อได้หนังสือหย่ามาแล้วก็จะอยู่กินกับเขาหลังจากนี้

‘…ถ้าคุณกลัวคนนินทา คุณจะพาฉันไปจากที่นี่ก็ได้ ไปในที่ไกลๆ ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา…คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการหาเงินเลี้ยงปากท้องในวันข้างหน้า แล้วก็ไม่ต้องตีรันฟันแทงอย่างทุกวันนี้ ฉันทำการค้าเป็น พวกเราเปิดร้านขายของ ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ…’

ตอนแรกจ้าวมังกรเจิ้งนิ่งเงียบไปก่อน นานสองนานถึงเอ่ยปฏิเสธนายหญิง บอกว่าเขาไม่ใช่คนดิบดีสักนิด เป็นพวกที่มีแต่ปัจจุบันไม่มีอนาคต จะทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วย

‘ฉันไม่กลัวเดือดร้อน! ขอแค่คุณไม่รังเกียจฉัน ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น’ น้ำเสียงของนายหญิงราวกับแฝงรอยวิงวอนไว้

ทว่าจ้าวมังกรเจิ้งใจแข็งเหมือนหิน ไม่ว่าเธอจะร่ำไห้อ้อนวอนเช่นไร ผู้ชายตรงหน้ากลับไม่หวั่นไหวสักนิด

อารมณ์ของนายหญิงค่อยๆ สงบลงทีละน้อย จนเธอหยุดร้องไห้ในที่สุด

‘ที่แท้ฉันเข้าใจผิดไปเอง นึกว่าคุณก็มีใจให้ฉันเหมือนกัน ช่างน่าขายหน้าจริงๆ’

เธอพยักหน้าบังคับเสียงไม่ให้สั่นขณะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ‘ขอโทษด้วยที่มารบกวนคืนนี้’

เธอหันหลังจะกลับไป

เธอออกเดินไปสองสามก้าว จ้าวมังกรเจิ้งที่นิ่งเงียบโดยตลอดเมื่อครู่นี้พลันไล่ตามมา

‘เยี่ยซื่อ’

นายหญิงชะงักฝีเท้าทันใด กลับได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อนว่าตนเองติดค้างน้ำใจเธออยู่ วันหลังถ้าเธอมีเรื่องอะไร ไปบอกกับหวังหนีชิวได้ เขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน

นายหญิงคล้ายจะหัวเราะนิดหนึ่งก่อนสาวเท้าเดินจากไป

ซูจงจำได้ว่าตอนนั้นเขาเหงื่อแตกพลั่ก หลบอยู่ในมุมมืดไม่กล้าขยับตัวด้วยหวั่นกลัวว่าทำเสียงดังแล้วจะโดนจ้าวมังกรเจิ้งจับได้ เขาเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ริมน้ำเป็นเวลานานถึงกลับไปเหมือนกันในที่สุด เขาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ปาดเหงื่อบนหน้าผากออกแล้วคิดจะรีบกลับโรงเตี๊ยมแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

แต่พอหมุนตัวไปก็ตกใจจนขวัญกระเจิง แทบยืนทรงตัวไม่อยู่ เพราะหวังหนีชิวคนนั้นมายืนอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ดวงตาคมปลาบดุจมีดของอีกฝ่ายที่จ้องมองเขาอยู่ทอประกายเหี้ยมเกรียม

ซูจงตั้งสติได้ก็ลุกลนบอกว่าเขาพานายหญิงมาส่ง ยังพูดย้ำว่าเขาเป็นคนที่เธอส่งเสริมขึ้นมาเองกับมือ

ขาของเขาสั่นพั่บๆ ฟันก็กระทบกันดังกึกๆ แต่สุดท้ายหวังหนีชิวก็หันหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่

ในคืนนั้นตอนหลังซูจงเดินโผเผกลับถึงโรงเตี๊ยมก็รู้ว่านายหญิงกลับมาก่อนแล้ว เขารู้สึกเหมือนป่วยหนัก หัวถึงหมอนก็หลับไป วันต่อมาเขาออกจากห้อง นายหญิงเห็นเขาแล้วไม่พูดอะไร เขาเองก็ไม่ปริปาก เพียงยืนนิ่งก้มหน้าคางจรดอกอย่างอ่อนน้อม จนกระทั่งเธอเอ่ยเสียงราบเรียบว่ากลับได้แล้วเขาถึงขานตอบ

หลังจากคืนนั้นเยี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมาอยู่ที่บ้านสกุลซูเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ด้านซูหมิงเซิ่งทำตัวดีได้ไม่ถึงสองวันก็นิสัยเก่ากำเริบ ออกไปสำมะเลเทเมานอกบ้านตามเคย ทว่าในสายตาของซูจง นายหญิงก็ดุดันแข็งกระด้างและเงียบขรึมมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อวันเวลาล่วงผ่านไปบางคราวเขาถึงกับสงสัยว่าคืนนั้นตนเองฝันไปหรือเปล่า

มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนแบบนายหญิงจะร้องไห้ต่อหน้าผู้ชาย

ในเวลาต่อมาหลังผ่านไปอีกเจ็ดแปดปีเธอแต่งเข้าสกุลซูเป็นปีที่สิบ สองสามเดือนก่อนซูหมิงเซิ่งที่ร่างกายเสื่อมโทรมจนป่วยตาย เธอตั้งครรภ์ในที่สุดและให้กำเนิดลูกสาว…ไม่สิ…ควรจะพูดว่าลูกชายที่กำพร้าพ่อตั้งแต่อยู่ในท้อง

เมื่อนายหญิงมี ‘ลูกชาย’ ข้างกายก็รักษาห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อที่เงินกำไรทุกๆ เหรียญในช่วงหลายปีนี้มาจากฝีมือเธอไว้ได้อย่างชอบธรรม ดับความหวังของวงศ์วานว่านเครือของสกุลซูที่คิดจะฮุบสมบัติ ซูจงเห็นว่าสวรรค์มีตาและรู้สึกดีใจกับเธอด้วย เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทว่าสกุลซูมีคนเยอะและหูตามากมาย พวกเครือญาติก็จับจ้องตาเป็นมันอยู่ อยากปิดบังอำพรางเรื่องที่เลี้ยงคุณหนูให้เป็นคุณชายพรรค์นี้ อาศัยแค่หงเหลียนคนเดียวไม่พอ ดังนั้นเขาถึงโชคดีมากที่ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้รู้ความลับที่รู้กันอยู่ไม่กี่คนนี้ของนายหญิง ทั้งยังได้เป็นคนสนิทของเธออย่างแท้จริง

และแล้ววันเวลาสิบแปดปีก็ผ่านพ้นไปอย่างนี้…

เสียงเคาะประตูดังขึ้นนอกห้องดึงซูจงกลับมาจากห้วงความทรงจำ

เขารีบเปิดประตู คนรับใช้ในบ้านมาบอกว่านายหญิงมีธุระจะออกไปข้างนอก สั่งให้เขาติดตามไปอย่างที่คาดไว้จริงๆ

ซูจงขับรถม้าพานายหญิงมาถึงด้านข้างโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแถวท่าเรือในตัวเมือง

ที่นี่เป็นเขตของสมาคมชาวน้ำ เขาจอดรถม้า ยืนมองส่งนายหญิงที่ใส่เสื้อคลุมปกปิดร่างกายทุกส่วนอย่างมิดชิดสาวเท้าฉับๆ ไปทางโรงเตี๊ยมแล้วหายลับไปในตรอกมืดอย่างรวดเร็ว

เยี่ยอวิ๋นจิ่นเดินตามหวังหนีชิวที่มารับเธอเงียบๆ อาศัยความมืดบดบัง แอบเข้าทางประตูหลังขึ้นบันไดไปชั้นบน เธอก้าวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้วช้อนตาขึ้น เห็นด้านในมีเปลวไฟดวงเล็กๆ เต้นระริก ผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ แสงเทียนสาดกระทบร่างเขาเกิดเป็นเงาทอดอยู่บนฝาผนัง เงานั้นนิ่งสนิท ดูไปก็คล้ายว่าเขารอคอยอยู่นานแล้ว

คนทั้งคู่ประสานสายตากัน ไม่มีใครปริปากพูดหรือขยับตัว คนหนึ่งยืนที่หลังประตู คนหนึ่งนั่งที่ข้างโต๊ะอยู่อย่างนั้น

เนิ่นนานกว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่นจะเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า ทำท่าเหมือนจะก้าวขาเดินมาหา เธอแค่นเสียงพูดว่า “วันนี้ลมอะไรหอบคุณมาถึงนี่หรือ จ้าวมังกรผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับยอมลดเกียรติอยากพบฉันเองได้อย่างไรกันนะ”

คืนนั้นเมื่อสิบแปดปีก่อนตอนที่เยี่ยอวิ๋นจิ่นแต่งเข้าสกุลซูเป็นปีที่สิบ เธอไปหาเขาเป็นครั้งที่สองบนเรือที่ลอยโคลงเคลงลำนั้น

เวลานั้นเขาอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์และไม่ใช่ลูกเรือนานแล้ว แต่เป็นหัวหน้าใหญ่ที่ถูกยกย่องให้เป็นราชามังกร เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเส้นทางน้ำ เมื่อเอ่ยชื่อเขาไม่มีใครไม่รู้จัก

เวลานั้นเธอก็ไม่ใช่เยี่ยอวิ๋นจิ่นในวันวานที่เคยไปอ้อนวอนผู้ชายที่จริงๆ แล้วปกติพูดคุยกันไม่กี่คำให้พาเธอหนีไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบอย่างสิ้นหวังจนตรอก

หลังผ่านไปเจ็ดแปดปีเธอกลับไปหาเขาเป็นครั้งที่สอง

คืนนั้นชายหนุ่มรั้งตัวเธอไว้ในที่สุด

สุดท้ายทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ทางกายกัน หลังอยู่ด้วยกันทั้งคืน ตอนฟ้าสางก่อนกลับหญิงสาวบอกเขาว่า ‘ถ้าวันหลังคุณยังอยากพบฉัน ให้พรรคพวกเอาใบสั่งยาที่เขียนชื่อสมุนไพรตังกุยไว้บนนั้นไปให้ฉัน ฉันก็จะรู้เอง’

เธอออกจากห้องใต้ท้องเรือถึงพบว่าเมื่อคืนมีหิมะตกลงมาเงียบๆ เมื่อไรก็สุดรู้ น้ำค้างแข็งสีขาวเกาะอยู่ตามริมตลิ่ง ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ

ในฤดูหนาวอากาศของเมืองซวี่ยังคงอุ่นชื้น ทิวทัศน์หิมะจึงหาชมได้ยาก ถ้าได้เห็นก็นับว่าเป็นปีมงคล

ทว่าหลังจากคืนหิมะตกคืนนั้นผ่านไปสิบแปดปี นอกจากพบกันโดยบังเอิญตอนมีคนอื่นอยู่ด้วยอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ อย่าว่าแต่เขาจะแอบมาหาเธออีก กระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นานได้ข่าวว่าเขาบาดเจ็บ เธอส่งของไปเยี่ยมไข้รวมกับพี่ชาย เขายังส่งคืนมาหมดไม่ยอมรับไว้

 

* พวกโจรที่ร้องให้จับโจร หมายถึงคนที่ทำผิดแล้วพยายามหนีความผิดโดยการปัดความผิดให้คนอื่น

* กระดาษห่อไฟไม่อยู่ หมายถึงไม่สามารถปกปิดความจริงได้

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: