บทที่ 8 อ้อน
ท้ายที่สุดแล้ววันนั้นพวกเธอก็ไม่รู้ว่าคุณราเชนตั้งใจนัดอัตรคุปต์มาคุยเรื่องอะไร เพราะหลังจากเขามาถึงคฤหาสน์อัศมาลย์ได้ราวครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาฯ ของท่านว่าคุณราเชนติดธุระด่วนมาไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าอัตรคุปต์ที่ใช้นัดหมายนั้นเป็นข้ออ้างมาหาคนรักไม่ได้ติดขัดหรือรู้สึกเสียเที่ยวแต่อย่างใด เขายังยินดีร่วมมื้ออาหารเย็นกับคุณกมลมาศและนิสรีนต่อ ไม่ได้มีทีท่าหงุดหงิดเหมือนหลายครั้งที่หญิงสาวเคยใช้ชื่อผู้เป็นลุงมาอ้าง กลับเป็นมาดามอัศมาลย์ที่นั่งหน้าตึงจัดอยู่ตรงหัวโต๊ะ ซึ่งหลานสาวเพียงคนเดียวมองออกว่าภายใต้ท่าทางเย็นชานั้นป้าสะใภ้กำลังเสียใจอยู่
นานแค่ไหนแล้วนะที่พวกเธอไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน ไม่แม้แต่จะเห็นคุณราเชนที่บ้านหลังนี้
นิสรีนนิ่งคิด ตั้งแต่เล็กเธอพบว่าผู้เป็นลุงไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนัก ท่านมักจะออกเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ โดยอ้างว่ากำลังหาที่ดินเหมาะๆ เพื่อขยายอาณาจักร MA Property จนทุกวันนี้มีหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมของ MA Property อยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
ก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยคิดว่าคุณราเชนเดินทางเพื่อไปทำธุรกิจ พอโตขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับป้าสะใภ้ไม่ค่อยดีนัก จนเมื่อสามปีก่อนคุณราเชนย้ายออกไปอยู่เพนต์เฮ้าส์ส่วนตัวใกล้กับสำนักงานใหญ่ของบริษัท เธอก็เข้าใจว่าท่านต้องการสร้างระยะห่างกับภรรยา แต่พอวันที่เกิดอุบัติเหตุจนรับรู้เรื่องราวของเกมกุหลาบ นิสรีนก็เดาได้ว่าแท้จริงแล้วการเดินทางของคุณราเชนยังแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่าง
นั่นก็คือการตามหาภรรยานอกกฎหมายที่ท่านรักแสนรัก
ริมฝีปากรูปกระจับกระตุกยิ้มอย่างปราศจากความหมาย
แต่คุณราเชนไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่ท่านตามหา บางทีอาจอยู่ใกล้เพียงปลายขนตา และก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวอย่างที่คิด
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นนิสรีนพลันนึกอะไรอีกอย่างออก บางทีนอกจากการเริ่มลงทุนเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินส่วนตัว เธออาจต้องลงมือทำอีกเรื่องด้วย
คนโบราณมีคำว่าอะไรนะ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ใช่ไหม
“คุณนีซใช้บริการนักสืบครับ”
รายงานจาก ‘วาริธร’ เลขาฯ ส่วนตัวควบตำแหน่งรุ่นน้องคนสนิททำให้อัตรคุปต์หรี่ตา นิ่งคิดเพียงครู่เดียวก็ผงกศีรษะ รับรู้ได้ทันทีว่าคนรักกำลังจะทำอะไร
“จัดการให้นีซด้วย”
นั่นหมายถึงทำอย่างไรก็ได้ให้นิสรีนได้รับข้อมูลและการบริการที่ดีที่สุด
“ครับ” วาริธรพยักหน้า เอ่ยถามเพื่อความรอบคอบ “แล้วต้องให้ทีมนักสืบส่งรายงานมาทางนี้ด้วยมั้ยครับ”
คราวนี้อัตรคุปต์คิดนานกว่าเก่า ลังเลระหว่างปล่อยให้คนรักลุยเดี่ยวเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้น หรือรับรู้ข้อมูลด้วยเพื่อหาทางช่วยเหลือเธออีกทาง สุดท้ายก็ผงกศีรษะอีกรอบ
“อือ ส่งมาด้วยแล้วกัน”
“ครับ”
“แล้วทางนีซตอนนี้เป็นไงมั่ง”
“สถานการณ์โดยรวมไม่มีอะไรครับ แต่ดูเหมือนนักแสดงใหม่ที่ชื่อลลิตาจะไม่ชอบคุณนีซ คอยพูดจายั่วโมโหอยู่หลายครั้ง” ที่น่าแปลกก็คือแม้จะดูหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่นิสรีนก็ไม่ได้อาละวาดออกไปเหมือนทุกครั้ง
แต่เพราะคนที่แปลกไปไม่ได้มีแค่นางเอกสาว เจ้านายของเขาเองก็แปลกไปมาก วาริธรเลยไม่กล้าเอ่ยประโยคนั้นออกไป
“คอยจับตาดูเอาไว้”
คนที่หวังโค่นล้มตำแหน่งนางเอกยอดนิยมขวัญใจประชาชนของนิสรีนมีไม่น้อยเลยจริงๆ อัตรคุปต์จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตลอดหกปีที่หญิงสาวอยู่ในวงการบันเทิง เขาต้องจัดการคนประเภทนี้ไปกี่คนแล้ว และแน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่คนรักไม่เคยรู้มาก่อน
ไม่งั้น ในสายตาเธอ เขาคงไม่ใช่แฟนหนุ่มผู้แสนเย็นชาซึ่งไม่เคยรักเธอเลยแบบนั้น
“อีกเรื่องครับ” วาริธรเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ดวงตาเรียวภายใต้กรอบแว่นสีเงินดูเคร่งเครียดขึ้น “เรื่องเจนสุดา ผมว่า…มีปัญหาจริงๆ”
กะแล้ว
นัยน์ตาคมดุสว่างวาบเมื่อพบว่าลางสังหรณ์ของตนไม่ผิดพลาด
เพราะหลายปีมานี้เจนสุดาดูเป็นผู้จัดการมืออาชีพที่คอยดูแลตารางงานและรองรับอารมณ์ของนิสรีนได้อย่างน่าชื่นชม เขาจึงปล่อยให้หล่อนอยู่ข้างกายคนรัก แต่ยิ่งนับวันสายตาที่หญิงสาวใช้มองเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น อัตรคุปต์ซึ่งสงสัยในความจริงใจที่หล่อนมีต่อนิสรีนจึงให้คนของตนคอยตามสืบ
เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในเรื่องผิดพลาดที่เขาทำไว้ เพราะหากพิจารณาดูแล้ว ข่าวลือด้านลบของนิสรีนคงไม่พ้นหลุดมาจากคนใกล้ตัวอย่างเจนสุดา
แต่จะโทษหญิงสาวฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก อัตรคุปต์ยอมรับว่าคนรักของเขาเองก็นิสัยเสียทำอะไรไม่เห็นหัวคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงกระนั้น…สัญชาตญาณมนุษย์ก็มักจะเลือกปกป้องคนของตัวเองก่อนเสมอ ชายหนุ่มจึงไม่ลังเลขณะออกคำสั่ง
“หาคนใหม่ไว้ด้วย”
“ครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปพักเถอะ ใกล้พักเที่ยงแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มยังโยนแฟ้มเอกสารที่อ่านและเซ็นชื่อเรียบร้อยลงบนโต๊ะ ร่างสูงใหญ่ขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน กลัดกระดุมเสื้อสูทให้เข้าที่เป็นสัญญาณว่าเขาเองก็กำลังจะออกไปพักเช่นกัน ทำให้วาริธรต้องส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ?”
หางตาเรียวเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือซ้าย
สิบโมงครึ่ง? ใกล้พักเที่ยง? บริษัทเขาไม่ได้พักกลางวันตอนเที่ยงตรงหรอกหรือ
หางเสียงที่สูงขึ้นเพียงนิดของเลขาฯ คนสนิททำให้อัตรคุปต์กระตุกยิ้ม ขณะเดินผ่านร่างของวาริธรก็ตบบ่าอีกฝ่ายหนักๆ สองสามครั้ง ปลดหน้ากากเจ้านายออกเหลือไว้เพียงรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาหลายปี
“ฉันบอกว่าพักเที่ยงก็คือพักเที่ยง งานช่วงเช้าฉันเคลียร์เสร็จหมดแล้ว แกก็ไปพักซะไป บ่ายโมงครึ่งค่อยกลับมาใหม่ เข้าใจนะ”
หลังจ้องหน้ารุ่นน้องจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจ ชายหนุ่มก็ผงกศีรษะให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องทำงาน จุดหมายปลายทางแรกของเขาคือรถสปอร์ตคันหรูซึ่งจอดอยู่ตรงลานจอดรถสำหรับผู้บริหาร ส่วนจุดหมายถัดไปนั้น…
ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้ม นัยน์ตาคมดุเป็นประกาย
ย่อมต้องเป็นที่ที่นิสรีนอยู่ตอนนี้!
เพราะเธอดึงดันจะทำผมสีน้ำตาลหม่นอมเทาทั้งที่รู้ดีว่าสีนี้หลุดค่อนข้างง่าย ดังนั้นเพื่อให้สีผมในละครมีความต่อเนื่องไม่โดดจนเกินไป ทุกหนึ่งถึงสองสัปดาห์นิสรีนจึงต้องหาวันว่างมาเติมสีผมที่ซาลอนเจ้าประจำ
“เสร็จแล้วค่ะ”
นิสรีนพิจารณาเงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่ ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มพึงพอใจ นางเอกสาวไม่ว่าอะไรยามที่เจ้าของซาลอนขอถ่ายรูปสำหรับลงโปรโมตในอินสตาแกรมของร้าน หลังปรายตามองผู้จัดการส่วนตัวซึ่งกำลังจัดการชำระค่าใช้จ่ายรวมถึงนัดหมายครั้งต่อไปแล้ว ร่างระหงก็ก้าวผ่านโซนทำผมออกไปยังด้านหน้าซึ่งทางร้านจัดให้เป็นมุมพักผ่อนสำหรับลูกค้าที่ยังไม่ถึงคิวหรือคนที่มารอผู้ใช้บริการอีกทีหนึ่ง เพราะวันนี้เธอมากับเจนสุดาแค่สองคน เดิมทีหญิงสาวจึงตั้งใจจะเดินออกไปรอด้านนอกร้านเลย ทว่าขณะก้าวผ่านโซฟาสีเทาเข้มหางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างคุ้นเคยจนเผลอชะงักไป นั่นทำให้คนประสาทสัมผัสเฉียบไวเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“เสร็จแล้วเหรอ”
อัตรคุปต์ยัดสมาร์ตโฟนที่ใช้ไถฆ่าเวลาลงกระเป๋ากางเกง นัยน์ตาคมดุกวาดมองทั่วร่างระหงผ่านๆ ทีหนึ่ง เรือนผมสีน้ำตาลหม่นอมเทาดัดเป็นลอนรวบครึ่งศีรษะที่เพิ่งได้รับการดูแลจัดแต่งอย่างดีขับเน้นให้ดวงหน้าสวยเฉี่ยวซึ่งวันนี้แต่งหน้าแบบเนเชอรัลลุคดูน่ารักและเด็กลงกว่าปกติ
น่ารัก
คำชมนั้นผุดพรายขึ้นในใจ และหากเป็นในยามปกติก็คงหยุดอยู่แค่นั้น ทว่าคนที่พยายามปรับปรุงตัวเองให้กลายเป็นคนรักที่ดีจนหญิงสาววางใจฝากชีวิตไว้พลันนึกถึงคำแนะนำจาก ‘กูรู’
‘แกน่ะอย่าปากหนักให้มันมากนัก ถ้าเห็นน้องนีซสวยก็ชมต่อหน้าเขาบ้าง เลิกซะนะไอ้นิสัยแอบถ่ายรูปน้องมาอวดในกรุ๊ปแชตน่ะ รู้แล้วโว้ยว่าเมียสวย แต่ช่วยแสดงความคลั่งรักให้ถูกคนหน่อยเถอะ’
อัตรคุปต์จำได้ว่าตอนนั้นเขาเบ้ปากใส่แสงเหนือไป ทว่าพอมาอยู่ต่อหน้านิสรีนจริงๆ แล้ว…
“น่ารัก”
“คะ?” ดวงตาสวยเฉี่ยวเบิกกว้าง งุนงงกับคำสั้นๆ ที่หลุดพ้นกลีบปากหนา ก่อนหัวใจที่พยายามเลิกรักเขาจะโหมกระหน่ำเต้นแรงยามนัยน์ตาคมดุเลื่อนมาสบกันนิ่งๆ แล้วย้ำอีกครั้ง
“วันนี้นีซน่ารักดี”
ไม่ทันให้เธอได้มีจังหวะพักหายใจ ผู้ชายที่เวลาเดินด้วยกันมักจะก้าวนำไปข้างหน้าอยู่เสมอก็ยื่นมือมาตรงหน้า มุมปากยกยิ้มจนวงหน้าดุดูอ่อนโยนกว่าปกติ
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” แทนที่จะยื่นมือไปหาเขาตามความต้องการลึกๆ ของหัวใจ นิสรีนกลับหดมือสองข้างขึ้นมากอดอก เอ่ยถามอย่างงุนงง “วันนี้นีซไม่ได้นัดกับพี่คุปต์นะ”
“รู้” เขาพยักหน้ารับ “แล้วก็รู้ด้วยว่าวันนี้นีซไม่มีงานอะไร เพราะงั้น…ไปกินข้าวกัน”
กินข้าวกลางวันกับอัตรคุปต์
แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ได้กินข้าวกลางวันกับเขา แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ชายหนุ่มเป็นคนเอ่ยปากชวนก่อน แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป…เพราะเขาเป็นฝ่ายมาหา แถมยังดูเหมือนว่าจะรอเธอทำผมอยู่สักพักหนึ่งแล้วด้วย
“พี่คุปต์…” ต้องการอะไรกันแน่
นิสรีนอยากถามออกไป แต่ชั่วขณะนั้นเองที่ความทรงจำซึ่งพยายามซุกซ่อนไว้ในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
‘ถ้าไม่ใช่เพราะรัก…พี่จะไม่มีวันยื้อนีซไว้เด็ดขาด’
เพราะความทรงจำนั้น เพราะลึกลงไปแล้วเธอยังไม่อาจตัดใจจากเขาได้ขาด ท้ายที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่นิสรีนพ่ายแพ้ให้อัตรคุปต์ นางเอกสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอนึกหงุดหงิดกับความใจอ่อนของตัวเองจนน้ำเสียงที่ใช้พูดกับเขาค่อนข้างห้วนและไม่สบอารมณ์นัก
“นีซมีร้านที่จะไปแล้ว”
แม้จะไม่พอใจกับน้ำเสียงที่ไม่น่ารักของหญิงสาว แต่อัตรคุปต์ในเวลานี้ก็ทำเพียงกดหัวคิ้วนิ่วหน้านิดๆ แล้วผงกศีรษะ
“พี่ตามใจนีซ”
ส่วนร้านอาหารอิตาเลียนที่จองคิวไว้เดี๋ยวก็ให้วาริธรจัดการแคนเซิลไป
นิสรีนหรี่ตา ขณะกำลังจะถามย้ำอีกครั้ง เจนสุดาซึ่งจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินออกมา
“นีซ เสร็จแล้ว ไปกัน…” จังหวะที่เห็นร่างสูงใหญ่ของคู่หมั้นเพื่อน รอยยิ้มบนดวงหน้าก็ยิ่งกว้างมากขึ้น นัยน์ตาเรียวรีเป็นประกาย หญิงสาวข่มกลั้นความรู้สึกซึ่งนับวันยิ่งปกปิดได้ยากขึ้นทุกที กล่าวทักทายเขาเสียงประหม่า “คุณคุปต์ สวัสดีค่ะ”
อัตรคุปต์ปรายตามองเจนสุดา เพียงแค่เห็นเรือนผมสีน้ำตาลเป็นประกายผ่านๆ เขาก็รู้แล้วว่าระหว่างรอนิสรีนทำสีผม เจ้าหล่อนก็คงได้รับการบริการจากทางร้านด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดย่อมไม่พ้นคนรักของเขา เพราะกับคนของตัวเองแล้วนิสรีนรับผิดชอบดูแลดีตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเงินดีและมีออพชั่นเสริมอยู่ตลอด แค่คำว่า ‘เพื่อน’ คงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งเจนสุดาให้รองรับอารมณ์นางเอกสาวมาได้หลายปี
ก็ไม่ถูกไม่ผิด
ชายหนุ่มพิจารณาความสัมพันธ์ของสองสาวในใจ
กับนิสรีนแล้วเขาแน่ใจว่าคนรักมองเจนสุดาเป็นเพื่อน…แต่ภายใต้ความเป็นเพื่อนก็พ่วงด้วยตำแหน่งลูกจ้าง คนที่เธอให้ความสำคัญในระดับที่ตนพอใจ หรือก็คือมองว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ขณะที่เจนสุดานั้นดูออกได้ไม่ยากเลยว่าสิ่งที่รั้งหล่อนให้ทนอยู่มาจนถึงตอนนี้คือเรื่องของผลประโยชน์ การที่หล่อนดูแลนิสรีนอย่างดีและคอยอดทนรองรับอารมณ์มาหลายปีโดยไม่ตอบโต้ ทำให้อัตรคุปต์ยอมรับว่ามันคือความสัมพันธ์ที่ผู้หญิงทั้งสองคนเลือกแล้ว และเขาคงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวถ้าไม่ใช่เพราะว่า…เจนสุดาแอบทำบางเรื่องลับหลังนิสรีน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่มีวันยอมรับได้เด็ดขาด
คงเพราะสายตาเขาหยุดนิ่งที่หล่อนนานไปหน่อย แม้จะเป็นเพียงสายตาเย็นชาดุดัน แต่ก็ยังทำให้เจนสุดาหน้าแดงขึ้นมาได้ อัตรคุปต์จึงย้ายสายตากลับไปยังคนรักเลยได้เห็นว่าเธอกำลังมองอยู่เงียบๆ ริมฝีปากหนาระบายรอยยิ้ม นัยน์ตาอ่อนโยนผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ
“ไปกันเถอะ”
“คุณคุปต์จะไปด้วยเหรอคะ” เพราะคำพูดของชายหนุ่มตีความได้แบบนั้น เจนสุดาจึงเผลอร้องถามออกไปอย่างลืมตัว พอคำพูดหลุดออกจากปากหล่อนเลยรีบย่นคอ นัยน์ตาเรียวรีเหลือบมองสีหน้าของนางเอกดัง แทนที่จะพบว่านิสรีนกำลังถลึงตามองอย่างคนหวงของรัก หญิงสาวเพียงแต่มองหล่อนเงียบๆ ปราดหนึ่ง
ไม่รู้นิสรีนจะรู้หรือไม่ว่าสายตานิ่งๆ เฉยชานั่น ทำให้คนมีชนักติดหลังหวาดหวั่นได้มากกว่าการอาละวาดด่าทออย่างปกติ
“ไม่ใช่ไปด้วย” อัตรคุปต์ตอบเสียงเย็น จากที่ยื่นมือไปรอเขาก็เปลี่ยนใจเป็นดึงร่างระหงมาโอบไว้ พยักพเยิดให้ผู้จัดการสาวครั้งหนึ่ง “ฉันจะไปกับนีซแค่สองคน”
“แต่ว่า!” เจนสุดาอ้าปากจะค้านทว่าไม่ทัน
“แต่ว่านีซจะไปคาเฟ่เพื่อถ่ายรูปลงไอจีนะ” นิสรีนหันไปสบตาผู้ชายที่ถือวิสาสะมาโอบเอวเธอเอาไว้ ริมฝีปากขยับยิ้ม “ถ้าเจนไม่ไปแล้วใครจะถ่ายรูปให้นีซ” ให้เธอตั้งกล้องเซลฟี่เอาเองไม่เวิร์กแน่ๆ “พี่คุปต์เหรอ”
นั่นคือคำถามที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำถามหรือการไล่ เพราะแม้ว่ารูปที่อัตรคุปต์ถ่ายจะออกมาดูดีมากจนหลายครั้งเวลาไปเที่ยวด้วยกันเธอมักจะอ้อนขอให้เขาถ่ายให้ ทว่าตลอดหลายปีที่คบกันมานานๆ ครั้งชายหนุ่มจะยอมถ่ายรูปให้เธอด้วยท่าทีที่ไม่เต็มใจนัก
อัตรคุปต์ยกมือขึ้นเกลี่ยลูกผมให้พ้นจากกรอบหน้าเล็ก ระบายรอยยิ้มขณะบอกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“นีซเตรียมรอรับการถล่มไลค์ได้เลย”
จะว่าเขามั่นหน้าก็ไม่ถูก เพราะรูปที่อัตรคุปต์ถ่ายให้หญิงสาวมักจะได้ยอดกดไลค์ถล่มทลายในช่วงเวลาสั้นๆ จริงๆ!
เพราะคาเฟ่ที่นิสรีนตั้งใจจะไปตั้งอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วคงทำให้เขากลับไปเข้างานช่วงบ่ายไม่ทัน ระหว่างรถติดไฟแดงอัตรคุปต์จึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้วาริธรรู้ว่าเขาคงไม่กลับออฟฟิศแล้ว
“ถ้ามีงานก็ไปทำเถอะ”
ประโยคจากคนที่เคยออดอ้อนขอให้เขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกครั้งที่เขาติดงาน ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปสบตาเธอ เลยได้เห็นสีหน้าจริงจังไร้วี่แววประชดประชัน ก่อนที่นิสรีนจะย้ำอีกครั้ง
“นีซพูดจริง ถ้ามีงานอะไรพี่คุปต์ก็ไปทำเถอะ นีซไปเองได้”
แม้ว่านั่นจะหมายความว่าเธอจะต้องโทรศัพท์เรียกให้เจนสุดาซึ่งแยกตัวไปแล้วกลับมารับก็ตาม
“ไม่” อัตรคุปต์ปฏิเสธ ยังคงยืนกรานสิ่งที่ตนเลือกแล้ว “งานสำคัญกับงานด่วนพี่เคลียร์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนงานที่เหลือเอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”
พอเขายืนยันแบบนั้นเธอก็ผงกศีรษะ ดวงหน้าสวยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนจางอย่างที่ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจความหมายของมัน
และเขาไม่ชอบเลยสักนิด…ที่อ่านความรู้สึกนิสรีนไม่ได้แบบนี้
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าพาหนะคันหรูจะพาสองหนุ่มสาวไปถึงคาเฟ่สไตล์มินิมอลซึ่งกำลังได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ จนนางเอกสาวผู้มีงานอดิเรกคือการตระเวนไปถ่ายรูปตามคาเฟ่สวยๆ ตัดสินใจใช้วันว่างของสัปดาห์นี้เดินทางมาเยือน เมื่อประเมินสภาพอากาศด้านนอกแล้ว ก่อนลงจากรถยนต์นิสรีนก็ไม่ลืมฉีดสเปรย์กันแดดทั่วทั้งผิวหน้าและผิวกาย ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา
“จะฉีดด้วยเหรอ”
แน่นอนว่าตอนแรกอัตรคุปต์ไม่ได้คิดถึงมัน นอกจากจะมีผิวพรรณขาวกระจ่างราวหิมะมาตั้งแต่กำเนิดชนิดที่ไม่ว่าจะตากแดดตากลมเท่าไรเขาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องผิวคล้ำเสียแล้ว ด้วยความเป็นพระเอกผู้สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่านักเขียนจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นมะเร็งผิวหนังแน่นอน กระนั้นพอเธอถามเขาก็เลือกจะพยักหน้า แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นส่ายหัวปฏิเสธยามมือเล็กยื่นขวดสเปรย์มาให้ วงหน้าหล่อเหลาเลื่อนข้ามช่องว่างระหว่างสองเบาะเข้าไปใกล้ บอกความต้องการของตัวเอง
“ฉีดให้พี่ที”
อ่า…
อัตรคุปต์กัดลิ้น นิ่วหน้าขึ้นมาเมื่อพบว่าปัญหาด้านการพูดอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับนิสรีนแค่คนเดียว เพราะน้ำเสียงที่เอ่ยอย่างไม่คิดอะไรของเขาก็ดูห้วนจนเหมือนออกคำสั่งมากกว่าออดอ้อนขอร้องอย่างที่ควร
แม้จะคุ้นชินกับน้ำเสียงแบบนั้นของเขามามากจนเกือบไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นนัยน์ตาไหววูบของชายหนุ่ม นิสรีนก็อดเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ไม่ได้
“สั่งเหรอ”
ถึงจะแน่ใจว่าสีหน้าของคนรักไม่ได้แฝงความไม่พอใจ ทว่าอัตรคุปต์ที่อยากจะรักษาทุกความรู้สึกของหญิงสาวไว้ก็ยังส่ายหน้า ถือวิสาสะคว้ามือข้างที่ว่างของเธอขึ้นมาแตะกรอบหน้าคมของตน บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่ได้สั่ง” เขาปฏิเสธ และราวกับกลัวเธอจะไม่เข้าใจจึงย้ำอีกที “นั่นพี่อ้อน”
เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าถ้ายังฝืนสบตาเขาอยู่ เธอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์จึงดึงมือออก พอเห็นชายหนุ่มอ้าปากก็รีบร้องสั่ง
“หลับตา ปิดปากให้สนิท”
แล้วรีบพ่นสเปรย์กันแดดคุณภาพดีทั่ววงหน้าหล่อเหลาไล่ไปจนถึงลำคอแกร่ง ซึ่งเวลานี้นอกจากสูทสีดำตัวนอกจะถูกถอดพาดไว้ที่เบาะหลังแล้ว กระดุมเสื้อสองสามเม็ดบนยังถูกปลดออกจนเห็นผิวเนื้อเรียบตึงได้รางๆ
ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรยามคนรักคว้าท่อนแขนซึ่งพ้นจากแขนเสื้อที่พับทบขึ้นไปถึงข้อศอกมาพ่นสเปรย์ให้ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นิสรีนก็เก็บขวดสเปรย์กันแดดกลับเข้าไปในกระเป๋าสานใบใหญ่ แว่นกันแดดสีม่วงสวยถูกหยิบขึ้นมาสวมทับดวงตา ก่อนจะก้าวลงจากรถก็เบะปากร้องบอกเบาๆ
“เป็นการอ้อนที่เหมือนออกคำสั่งชะมัด”
อัตรคุปต์โคลงศีรษะ หลุดหัวเราะออกมาบ้าง พอลงจากรถแล้วก็จัดการล็อกรถยนต์ให้เรียบร้อย ขายาวในกางเกงสแล็กส์สีดำก้าวเข้าไปใกล้ร่างระหง คว้ากระเป๋าสานใบโตบรรจุข้าวของมากมายมาถือไว้เสียเอง อาศัยที่เขาสูงกว่าจึงก้มลงกระซิบข้างใบหูซึ่งมีต่างหูผีเสื้อคู่เล็กประดับอยู่
“งั้นพี่คงต้องอ้อนนีซมากกว่านี้” เขาว่า ลมหายใจอุ่นร้อนรดข้างลำคอระหง นัยน์ตาสีเข้มคมดุเป็นประกาย “เอาแบบให้เสียงพี่เหมือนคนอ้อนมากกว่าสั่ง…ไม่งั้นก็ให้เธอชินจนเข้าใจว่าพี่กำลังอ้อนอยู่”
บทที่ 9 พี่คุปต์หยุด OOC
สิ่งแรกที่นิสรีนทำหลังจากเข้าไปในตัวอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีขาวคือการจับจองที่นั่งวิวดีในโซนห้องแอร์ เปิดเมนูสั่งอาหารที่คิดว่าน่าจะถูกปาก รวมถึงเครื่องดื่มน่าลิ้มลอง พอบริกรทวนออเดอร์ด้วยแววตาเหม่อลอยนิดๆ คล้ายไม่แน่ใจว่าใช่ ‘นีซ นิสรีน’ เจ้าหญิงกุหลาบขาวคนดังหรือไม่ หญิงสาวก็โปรยรอยยิ้มหวานให้อย่างอัธยาศัยดี
นี่แหละสิ่งดีๆ ไม่กี่อย่างที่นักเขียนเหลือไว้ให้นางร้ายอย่างเธอ นิสรีนสามารถควบคุมสีหน้าและรอยยิ้มต่อหน้าคนทั่วไปไว้ได้จนทำให้ชื่อเสียงของเธอในหมู่แฟนคลับและประชาชนทั่วไปอยู่ในระดับดีมาก ชนิดที่ว่าข่าวลือเรื่องนิสัยเสียๆ จากคนในวงการทำอะไรเธอไม่ได้สักนิด
“นีซ”
“หือ?”
พอหันกลับไปตามเสียงเรียก นิสรีนก็พบว่าชายหนุ่มกำลังใช้กล้องตัวเล็กรุ่นที่ได้รับความนิยมในหมู่เน็ตไอดอลบันทึกภาพเธออย่างรวดเร็ว อัตรคุปต์คลี่ยิ้ม พยักหน้าหงึกหงักราวกับว่าเมื่อครู่เป็นการเทสต์กล้อง
“หยิบกล้องออกมาตอนไหนเนี่ย” หญิงสาวย่นจมูกใส่ ร่างระหงทำท่าจะโน้มตัวข้ามโต๊ะไปดูรูปทีเผลอเมื่อครู่ ทว่าอดีตคนรักกลับเบี่ยงหลบ “พี่คุปต์ ขอนีซดูรูปก่อน”
“ไม่” อัตรคุปต์ปฏิเสธ ใบหน้าหล่อเหลายังแต้มรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตาคู่คมเป็นประกาย “ค่อยดูทีเดียว” เขาว่าพลางลุกจากเก้าอี้ พอแน่ใจว่าตรงจุดนี้มีกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยของทางร้านน่าจะอยู่ในระดับใช้ได้จนลูกค้าซึ่งมีเพียงไม่กี่โต๊ะวางใจพอจะทิ้งข้าวของไว้ก็ยื่นมือไปหาคนรัก “ไปถ่ายรูปเล่นกัน วันนี้พี่จะเป็นตากล้องให้นีซเอง”
นิสรีนเม้มปากช้อนตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่า ความรู้สึกมากมายหมุนวนอยู่ในอก และสิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือความสุขจากความสมหวัง อัตรคุปต์และช่วงเวลาในตอนนี้ราวกับหลุดออกมาจากภาพที่เธอเคยฝันถึงนับครั้งไม่ถ้วน
ภาพที่เขาทั้งรักและเอาใจใส่ราวกับเธอคือคนสำคัญที่ขาดไม่ได้
“เฮ้อ”
หญิงสาวหลุดถอนหายใจแผ่วเบา ความจนใจฉายชัดอยู่ในดวงตาสวยเฉี่ยว เมื่อรู้ซึ้งแล้วว่าไอ้ประโยคที่ว่า ‘คนรักมากกว่ามักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้’ มันจริงมาก เพราะเพียงแค่ความใส่ใจที่อัตรคุปต์มอบให้ในตอนนี้ก็ถึงกับทำให้ความตั้งใจจะหนีไปจากเขาและชะตากรรมอันแสนบัดซบนั่นสั่นคลอน ขณะลุกขึ้นยืนจึงอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคหนึ่งออกไป
“พี่คุปต์หยุด OOC สักทีเถอะ”
เพราะถ้าเขาไม่หยุด เธอได้ใจอ่อนให้เขาแน่
“OOC?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เข้าใจในความหมายของมัน แต่คนเปิดประเด็นกลับไม่คิดจะอธิบาย ร่างระหงในชุดฮันบกประยุกต์เลือกจะเดินฉับๆ ไปหามุมถ่ายรูปโดยไม่แม้แต่จะรอตากล้องอย่างเขาด้วยซ้ำ
แม้การถูกทำให้สงสัยโดยไร้ซึ่งคำอธิบายจะทำให้อัตรคุปต์หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่พอเห็นนิสรีนดูจะสนุกกับการหยิบจับพร็อพภายในร้าน กัดปากเอียงคอคิดว่าจะถ่ายรูปออกมาอย่างไรดี ความหงุดหงิดที่มีอยู่บางเบาก็สลายไปเช่นเดียวกับมือที่ยกขึ้นมากดบันทึกภาพซึ่ง ‘นางแบบ’ ไม่ทันตั้งตัวไว้อีกครั้ง
เพราะเป็นช่วงบ่ายของวันธรรมดา ใช้เวลาไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ หลังจากใช้สมาร์ตโฟนถ่ายภาพอาหารเรียบร้อย นิสรีนก็เริ่มละเลียดกินสปาเกตตี้ผัดกระเทียมแซลมอนย่าง เพียงคำแรกก็ต้องนิ่วหน้ากับรสชาติที่ไม่ค่อยกลมกล่อมนัก พอเหลือบมองสีหน้าของอัตรคุปต์ก็พบว่าพาสต้าซอสครีมไข่กุ้งของเขาก็คงไม่เวิร์กเหมือนกัน เพราะกินไปไม่เท่าไรชายหนุ่มก็ยกอเมริกาโนเย็นขึ้นมาดื่มก่อนจะขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าแล้วรีบล้างปากด้วยน้ำเปล่า
“เลี่ยน” เมื่อเห็นสายตาที่มองมา อัตรคุปต์ก็ตอบสั้นๆ
“ลองชิมของนีซสิ” เธอพยักพเยิดไปยังจานกระเบื้องใบใหญ่ “เผ็ดโดดเชียว”
รู้แบบนั้นแล้วมีหรือที่ชายหนุ่มจะฝืนชิม เมื่อแน่ใจว่าอาหารหลักไม่ถูกปากทั้งคู่เลยเลือกสั่งของหวานมาแทน มาการองสีหวานจำนวนหกชิ้นถูกยกมาวางพร้อมๆ กับเค้กแครอตและเลมอนเมอแรงก์ทาร์ต ซึ่งหลังจากลิ้มรสชาติไปอย่างละนิดละหน่อยแล้วทั้งคู่ก็มองตากันนิ่งๆ
“ถ่ายรูปพอหรือยัง”
“เอามาให้นีซเช็กก่อนสิ”
เมื่ออดีตคนรักยื่นกล้องมาให้นิสรีนก็ไล่เช็กรูป หญิงสาวผงกศีรษะพร้อมทำสีหน้าพึงพอใจเมื่อพบว่าชุดฮันบกประยุกต์ซึ่งท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาวเนื้อบางลายดอกกุหลาบสีขาวบนพื้นสีฟ้าอ่อนรับกับกระโปรงยาวสีม่วงอมน้ำเงินยาวครึ่งน่องตัดกับโทนสีขาวของร้านจนภาพออกมาสวยโดดเด่น
“กลับกันเถอะ”
เพียงเท่านั้นอัตรคุปต์ก็สั่งเช็กบิลทันที ปรากฏว่าเจ้าของคาเฟ่ที่แน่ใจแล้วว่าทั้งคู่คือเจ้าหญิงกุหลาบขาวกับคู่หมั้นไฮโซทำท่าจะไม่เก็บเงินเพื่อหวังให้นิสรีนถ่ายรูปโปรโมตร้านให้ เธอต้องปฏิเสธทั้งรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วรับปากว่าตอนลงรูปจะแท็กชื่อร้านให้อย่างแน่นอน เจ้าของคาเฟ่ซึ่งประทับใจในตัวนางเอกคนดังเลยมอบส่วนลดสำหรับครั้งนี้และครั้งถัดไปให้แทน
พอกลับขึ้นมาบนรถรอยยิ้มซึ่งประดับวงหน้าสวยก็หายวับ นิสรีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะวางกล่องบรรจุขนมหลากหลายชนิดที่เจ้าของคาเฟ่ยัดใส่มือมา
“ดีแต่สถานที่” คำวิจารณ์สั้นๆ จากคนที่กำลังหมุนพวงมาลัยเตรียมเลี้ยวรถออกสู่ถนนใหญ่เรียกรอยยิ้มขำจากนิสรีน
“หลายที่ก็เป็นแบบนี้แหละ” ผู้มีประสบการณ์ตระเวนเที่ยวคาเฟ่มาอย่างโชกโชนเอ่ยปาก “ส่วนใหญ่ที่นีซไปคือร้านสวย เน้นให้ลูกค้ามาถ่ายรูปเอาวิวเอาบรรยากาศ แต่เรื่องรสชาติของอาหารและเครื่องดื่ม…” หญิงสาวส่ายหัว “ไม่ค่อยคุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายหรอก”
จริงอยู่ว่าส่วนมากคาเฟ่ที่เธอไปถ้าจำได้ว่านิสรีนเป็นใครก็มักจะไม่เก็บค่าอาหารและเครื่องดื่มด้วยหวังให้เธอลงโปรโมตในอินสตาแกรมให้ และถึงจะต้องเสียจริงๆ เงินหลักร้อยจนถึงพันต้นๆ นั่นก็ไม่ได้กระเทือนกระเป๋าหญิงสาวเท่าไร แต่เมื่อลองคิดถึงคนอื่นๆ ที่มาเที่ยวแล้วเธอก็อดเซ็งแทนไม่ได้
“มันไม่มีเหรอ คาเฟ่ที่ทั้งสวยและอาหารอร่อยในราคาที่คนทั่วไปเอื้อมถึง”
เมื่อได้ยินคำถามจากคนที่พึมพำออกมาอย่างไม่คิดอะไรมากไปกว่าการต่อบทสนทนากับเธอ นัยน์ตาสวยเฉี่ยวก็เบิกกว้าง นิสรีนหันกลับไปมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาเป็นประกาย
“ใช่” นั่นไม่ใช่คำตอบรับว่าไม่มี แต่มันหมายความว่าเธอได้ไอเดียดีๆ เกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตแล้วต่างหาก
“กินข้าวกันก่อน”
เพราะใจยังหมกมุ่นอยู่กับไอเดียที่พลุ่งพล่านในหัว ประกอบกับความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องหิ้วท้องจนเลยมื้อกลางวัน ซ้ำอาหารที่ดั้นด้นไปกินยังรสชาติไม่ถูกปากอีก นิสรีนจึงเพียงผงกศีรษะรับ สองตาเอาแต่จับจ้องไปยังหน้าจอสมาร์ตโฟนของตน กว่าจะรู้ตัวว่าที่ที่พาหนะคันหรูเข้าไปจอดไม่ใช่ร้านอาหารทว่าเป็นลานจอดรถอันคุ้นตาก็ตอนที่รถจอดสนิท
“มาทำไมที่นี่” นัยน์ตาสวยเฉี่ยวหรี่มองวงหน้าหล่อเหลานิ่ง ร่างระหงเกร็งขึ้นเมื่อได้มาเยือนที่ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยมานับครั้งไม่ถ้วน
เพนต์เฮ้าส์ของอัตรคุปต์
“กินข้าวไง” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วตอบเสียงเรียบ มือหนาจัดการปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะสายตาหวาดระแวงของคนรัก “นี่ อย่าทำหน้าแบบนั้น พี่แค่พามากินข้าวเฉยๆ ไม่ได้หลอกมาทำอะไรสักหน่อย”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” นิสรีนอุบอิบ รู้ดีว่าเธอไม่ได้กลัวอัตรคุปต์ แต่กลัวความรู้สึกของตัวเองยามได้มาเยือนสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหลังระหว่างกัน “แต่เพนต์เฮ้าส์พี่คุปต์มีอะไรให้กินหรือไง”
“มีสิ” เจ้าของเพนต์เฮ้าส์ราคาเก้าหลักพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังยามชี้ปลายนิ้วเข้าหาตัวเอง “พี่ไง”
“…”
“อร่อยมากด้วย นีซน่าจะรู้ดีนะ…เคยกินออกจะบ่อย”
คำพูดแฝงความนัยด้วยสีหน้าจริงจังไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชายหนุ่มทำเอาคนฟังหน้าแดงเรื่อ นิสรีนยกมือขึ้นถูไถใบหน้า พยายามขับไล่ความร้อนวูบวาบบนผิวแก้มและความรู้สึกไหววูบออกไป ท้ายที่สุดก็ยังคงพึมพำคำเดิมด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“พี่คุปต์หยุด OOC เถอะ”
แต่คงเพราะเธอไม่ได้แปลให้อัตรคุปต์เข้าใจสักทีว่า OOC หมายถึงอะไร ชายหนุ่มถึงได้ขยันทำตัวตรงข้ามกับคาแร็กเตอร์ที่ถูกวางเอาไว้ ความคลั่งรัก แสนดี ช่างเอาใจใส่ที่ควรเก็บไว้มอบให้นางเอกตัวจริงตอนเขากลายเป็นไอ้โบ้ บัดนี้ถูกงัดมาใช้กับนางร้ายอย่างเธอจนหมดสิ้น
เมื่อเข้ามาถึงภายในเพนต์เฮ้าส์ ดวงตาสวยเฉี่ยวเบิกกว้าง มองอาหารซึ่งถูกจัดวางพร้อมรับประทานบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ อดเอ่ยแซวเจ้าของบ้านไม่ได้
“นึกว่าพี่คุปต์จะทำอาหารให้นีซกินซะอีก”
ร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินนำไปสำรวจอาหารบนโต๊ะที่ถูกสั่งซื้อและนำมาส่งโดยวาริธรพยักหน้าอย่างพึงพอใจในผลงานของเลขาฯ ส่วนตัวผู้คล้ายจะทำทุกหน้าที่ไปในตัว นัยน์ตาคมเหลือบมองวงหน้าสวย กระตุกยิ้มบอก
“ถ้ารอพี่ทำจริงๆ เธอคงจะไม่ได้กิน”
เพราะเขาทำอาหารไม่เป็น ไม่สิ ไม่ใช่แค่อัตรคุปต์ แต่นิสรีนก็เช่นกัน
พวกเธอต่างสุ่มกาชาลงถูกท้องเลยคาบช้อนทองคำฝังเพชรมาเกิด ตั้งแต่เล็กจนโตแทบไม่เคยต้องทำอะไรเองสักอย่าง อยากกินอะไรแค่อ้าปากบอก ไม่ว่าจะด้วยฝีมือแม่ครัวประจำบ้านหรือจากภัตตาคารขึ้นชื่อทั้งหลายก็ล้วนถูกส่งมาถึงตรงหน้า ทั้งเขาและเธอจึงไม่มีใครทำเป็นแม้กระทั่งอาหารง่ายๆ อย่างไข่เจียว
เมื่อรายละเอียดหนึ่งของเกมกุหลาบปรากฏวาบขึ้นในหัว นิสรีนก็แค่นยิ้มหยัน นัยน์ตาว่างเปล่า
เพราะแบบนั้นแหละ นางเอกตัวจริงผู้รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจและคอยดูแลทั้งงานบ้านงานครัวถึงคว้าหัวใจอัตรคุปต์ไปครองได้
หญิงสาวเลือกจะเบนสายตามองอาหารบนโต๊ะซึ่งล้วนแต่เป็นของโปรดที่เธอมั่นใจว่าถูกสั่งมาจากร้านเจ้าประจำ นิสรีนหย่อนกระเป๋าลงบนโซฟาสีเข้มซึ่งต่ำกว่าระดับพื้นปกติจนขอบพนักโซฟาสูงเสมอพื้นห้อง ก่อนแกล้งพูด
“แล้วถ้านีซบอกว่าอยากกินฝีมือพี่คุปต์ล่ะ”
ชายหนุ่มหันกลับมามองวงหน้าสวย ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาแล้วหยุดจนระยะห่างระหว่างกันเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด จึงทันเห็นความรู้สึกที่ยังลบไปไม่หมดจากดวงตา
ประกายเย้ยหยันเศร้าหมองแบบนั้น บอกชัดว่านิสรีนกำลังคิดถึงเรื่องราวที่ถูกลิขิตไว้
เพื่อปลอบโยนและย้ำเตือนให้รู้ว่าเธอคือคนเดียวที่เขารัก อัตรคุปต์ระบายยิ้ม ใช้มือประคองวงหน้าสวย โน้มตัวลงทำท่าจะจูบกลีบปากนุ่มตามความเคยชิน แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ริมฝีปากหนาจึงเลื่อนขึ้นไปประทับกึ่งกลางหน้าผากแทน และอดีตคู่หมั้นที่เคยคบกันมาเกือบสิบปีก็เพิ่งรู้ในตอนนี้…ว่าการจูบหน้าผากก็ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่นและชวนให้หวั่นไหวขนาดนี้ได้เหมือนกัน
“ถ้านีซจะกิน พี่ก็จะลองทำดู” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่มกว่าปกติ เช่นเดียวกับแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกชัดเจนอย่างไร้การปิดบัง แต่ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผละไป นิสรีนก็คว้าท่อนแขนแข็งแรงเอาไว้
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงเธอสั่นพร่า หญิงสาวสูดหายใจลึก พยายามควบคุมทั้งจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวและความรู้สึกที่กำลังแผ่ซ่านไปทั้งอก “นีซจะกลับแล้ว”
ทั้งที่เมื่อครู่เธอเป็นคนเอ่ยปากขอให้เขาทำอาหารให้กิน แต่พออัตรคุปต์บอกจะลงมือทำให้จริงๆ นิสรีนกลับไม่กล้าอยู่ต่อ
ไม่ใช่เพราะกลัวรสมือของเขาจะกินไม่ได้ แต่เธอกลัวความรู้สึกหวั่นไหวที่กำลังเหยียดขยายอยู่ในอกต่างหาก
ร่างระหงก้มลงไปคว้ากระเป๋าสานใบโตที่เพิ่งถูกวางลงไปไม่นานขึ้นมาถือ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มฝืดเฝื่อนระคนรู้สึกผิด
“ขอโทษนะพี่คุปต์ แต่นีซต้องกลับแล้วจริงๆ”
เธอต้องกลับไป ต้องรีบไปจากที่นี่…
…ก่อนที่จะหันหลังหนีไปจากเขาไม่ได้อีกตลอดกาล
“เดี๋ยว”
เป็นอัตรคุปต์บ้างที่คว้าท่อนแขนเรียวไว้ เดิมทีเขาทั้งงุนงงและกรุ่นโกรธกับปฏิกิริยาของหญิงสาวที่อยู่ดีๆ ก็จะทิ้งกันไป แต่เมื่อได้สบตาสีน้ำตาลสวยเฉี่ยวและมองเห็นร่องรอยความรู้สึกในนั้น หัวใจซึ่งเคยร้อนรุ่มด้วยเพลิงโทสะก็ค่อยๆ ลดลง
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยปากอย่างยอมแพ้
“พี่ไปส่ง”
“ไม่เป็น…”
“เป็น” คำปฏิเสธถูกโต้กลับด้วยน้ำเสียงห้วนจัด นิสรีนอยู่กับอัตรคุปต์มานานจนมองออกว่าอดีตคนรักกำลังหงุดหงิด และปฏิกิริยาที่คล้ายจะฝังลึกจนกลายเป็นสัญชาตญาณก็ทำให้เธอเลือกจะเป็นฝ่ายยอม โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มคล้ายจะรู้สึกตัวจนคลายสีหน้าเย็นชาลงแล้วยื่นข้อเสนอ “นีซไม่ได้ขับรถมา ถ้าจะรอให้คนมารับก็คงอีกนาน พี่ไปส่งเอง แล้วเดือนนี้พี่จะไม่ไปรบกวนนีซอีก”
แวบแรกนิสรีนเกือบใจหายเมื่อคนที่เธอทั้งอยากหนีไปให้ไกลจนสุดหล้าและอยากซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดบอกแบบนั้น ทว่าพอนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงชืดชา
“วันนี้วันที่สามสิบ” เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาเหมือนถามว่า ‘แล้วยังไง’ เธอก็เอ่ยต่อ “เดือนนี้มีสามสิบวัน”
นั่นหมายความว่าอย่างไรเสียเดือนนี้อัตรคุปต์ก็คงไม่ได้ไปรบกวนเธออีก แต่ดูเหมือนเขาจะคิดต่างกัน อดีตคนรักเลยตอบกลับมาหน้าตาย
“นี่เพิ่งบ่ายสองโมงกว่าเอง นั่นแปลว่าอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้พี่จะไม่ไปรบกวนนีซไง”
พอเห็นสีหน้าไม่เห็นด้วยของหญิงสาว อัตรคุปต์ก็เม้มปาก สีหน้าเหมือนไม่ยินยอมนักขณะที่ยื่นข้อเสนอใหม่
“พี่ให้อีกสองวีกด้วย นีซจะได้มีเวลาส่วนตัวโดยที่พี่ไม่ไปยุ่งเกี่ยว”
สองวีก…
ระยะเวลานั้นทำให้เธอใจหาย ตั้งแต่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจนนี้ อัตรคุปต์ไม่เคยทิ้งเวลาหายหน้าไปจากเธอนานขนาดนั้น แวบแรกเกือบเป็นนิสรีนเองที่ไม่ยินยอม ทว่า…
เพียงหลับตาแล้วเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หญิงสาวก็ฝืนคลี่ยิ้ม
“ได้ สองวีก”
นิสรีนได้แต่ภาวนาว่าสองสัปดาห์ที่ไม่ต้องเจอหน้ากันจะทำให้เธอสามารถตัดใจจากเขาได้จริงๆ และจะทำให้อัตรคุปต์ยอมปล่อยมือที่ไม่สามารถเกาะกุมกันไว้ได้คู่นี้ออก
เพราะอ่านทุกอย่างออกจากสีหน้าของหญิงสาว คนที่กำลังจะเฉลยเรื่องระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ต้องห่างกันจึงกัดริมฝีปาก ถอนหายใจเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เอาเถอะ
ชายหนุ่มปลอบตัวเองในใจ
นิสรีนเป็นฝ่ายไล่ตามเขามาเกือบสิบปี ตอนนี้เขาต้องชดใช้ให้เธอบ้างก็ถือว่าสมควรแล้ว
* OOC ย่อมาจาก Out Of Character หมายถึงการที่ตัวละครทำในสิ่งที่ตัวละครดั้งเดิมจะไม่มีวันทำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.