X
    Categories: everYทดลองอ่านหลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3 องก์ที่สอง บทที่ 13 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3

ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ  

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

องก์ที่สอง

บทที่ 13 กลับเมืองหลวง

 

ณ เมืองเซียนเหมิน แคว้นต้าอวี่

น้ำที่ไหลทะลักลงแม่น้ำเสิ่นสุ่ยหลากเข้าท่วมทั้งเมืองจนมิด บ้านเรือนทั้งหมดถูกน้ำหลากสีเหลืองขุ่นกลืนหาย หอหลังเล็กสูงสองสามชั้นก็ยังเหลือเพียงหลังคาโผล่พ้นน้ำให้เห็น

จางโม่มาถึงเมืองเซียนเหมินอย่างกระวนกระวายใจยิ่ง

จากที่กวาดตามอง มีคนยืนอยู่บนหลังคาประปราย ฝนห่าใหญ่หยุดตกแล้ว ตะวันสาดแสงเหนือศีรษะ ร่างกายท่อนบนถูกแดดแผดเผา ท่อนล่างจมอยู่ในน้ำ ทั้งคนแก่และเด็กพากันนั่งอยู่บนหลังคาด้วยสภาพอ่อนแอน่าเวทนา คนของเจ็ดสำนักเก้าลัทธิรวมทั้งพรรคหมิงเยี่ยพยายามหาเรือ แต่ก็มีเพียงถังไม้และแผ่นไม้ใช้รับส่งคนขึ้นที่สูง

จางโม่ออกตามหาที่ตั้งของสำนักสาขาพรรคหมิงเยี่ยในเซียนเหมินตามความทรงจำ สาขาพรรคถูกน้ำท่วมจนมิด เหลือเพียงน้ำเต้าล้ำค่าประดับยอดหลังคาที่ยังลอยอยู่เหนือน้ำ

ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สนใจจะไปตามหาเยวี่ยเหลียนโหลวเพราะยุ่งอยู่กับการช่วยคน วิ่งรอกเช่นนี้อยู่ทั้งวัน คอยถามคนของพรรคหมิงเยี่ยทีละคนว่าพบเห็นเยวี่ยเหลียนโหลวหรือไม่

ต่างคนต่างบอกว่าเห็น แต่ใครก็ล้วนบอกไม่ถูกว่าเขาไปอยู่ที่ใด เยวี่ยเหลียนโหลวรับผิดชอบการอพยพชาวเมือง โหยวจวินซานคอยประสานรับคนกับคนของที่ว่าการเมืองอยู่บนเขา ตอนที่น้ำไหลทะลักมาเยวี่ยเหลียนโหลวฝืนลากเรือสองลำอย่างเอาเป็นเอาตาย บนเรือมีคนอยู่สิบกว่าคน เขาลากจนหัวไหล่หลุดก็ยังไม่กล้าจะปล่อยมือ รอจนล่ามเรือไว้ได้แล้ว พักเพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็ลงน้ำไปดึงคนขึ้นมา

ที่ดึงขึ้นมาได้มีทั้งคนเป็นและคนตาย คนตายนั้นเขาไม่กล้าทิ้งศพส่งเดช ต้องมองหาที่อันสงบและเหมาะสมไปทั่วเพื่อกลบฝัง

ผ่านไปหนึ่งวันคนที่ยังรอดชีวิตในเมืองล้วนขึ้นเขาไปหมดแล้ว ตกกลางคืนเมืองเซียนเหมินที่แต่เดิมเคยคึกคักถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงตะเกียงจากบนภูเขาที่ผู้คนอพยพไปอยู่รวมกัน จางโม่ได้พบกับโหยวจวินซานแล้ว แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเยวี่ยเหลียนโหลวไปอยู่ที่ใด

คนของพรรคหมิงเยี่ยล้วนบอกว่าเยวี่ยเหลียนโหลวมีวรยุทธ์สูงส่งและแข็งแกร่ง ไม่น่าจะเกิดเรื่องกับเขา ทว่าจางโม่ได้แต่ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่อาจวางใจ

บิดาของจางโม่เก็บเยวี่ยเหลียนโหลวมาได้จากเนินฝังศพอนาถา สภาพบาดเจ็บทั่วเนื้อตัว เลี้ยงดูไว้ในจวนหนึ่งปีจึงฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้ ตอนที่มือเท้าของเขายังขยับได้ไม่คล่องแคล่ว เคยร่วงตกบ่อน้ำ หากมิใช่จางโม่ดึงตัวขึ้นมา เกรงว่าคงจมน้ำตายไปนานแล้ว

เยวี่ยเหลียนโหลวว่ายน้ำเป็น แต่ไม่ใคร่จะชอบน้ำสักเท่าใด ทักษะว่ายน้ำของเขาเรียกว่าสามัญ ปกติก็มักยอมรับเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ไม่เคยปิดบัง

จางโม่หาเรือลำเล็กได้ลำหนึ่งก็พายเรือไปทั่วเมืองเซียนเหมินที่กลายเป็นวังวารีเพื่อตามหาเยวี่ยเหลียนโหลว ในเมืองมีแต่ความมืด ผิวน้ำนิ่งสะท้อนแสงดาวสุกสว่างบนท้องฟ้า หมอกยามค่ำหนาหนักหลั่งไหลมาจากช่องเขาประหนึ่งสายน้ำ ชั่วพริบตาท้องฟ้าเบื้องบนผืนดินเบื้องล่าง ไม่รู้ที่ใดได้กลายเป็นแดนแห่งเทพเซียนไปแล้ว

“…เยวี่ยเหลียนโหลว!” รอบด้านไร้วี่แววผู้คน ในที่สุดจางโม่จึงตะโกนเรียก “เยวี่ยเหลียนโหลว!!!”

เขาพายเรือวนไปเวียนมาหลายรอบทั่วเมืองเซียนเหมิน หัวใจคล้ายถูกความหวาดหวั่นบีบคั้นจนสั่นสะท้าน ครั้นเงยหน้าขึ้นพลันเห็นจุดแสงเล็กๆ ในที่ห่างไกล

มีคนนั่งอยู่บนยอดหลังคาหอซิวซินถังของสำนักเวิ่นเทียน เป็นแสงจากเทียนไขนั่นเอง

ผิวน้ำมีข้าวของลอยฟ่องทำให้พายเรือแหวกผ่านไปได้อย่างยากลำบาก จางโม่จึงดีดตัวทะยานขึ้น ปลายเท้าแตะผิวน้ำแผ่วเบา เดินลมปราณใช้วิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนมุ่งหน้าสู่หอซิวซินถัง

ตอนกลางวันเขาได้พายเรือผ่านที่แห่งนี้แล้ว ชัดเจนว่าบนหลังคาว่างเปล่าไร้ผู้คน

พอเข้าไปใกล้ชายหนุ่มก็เห็นชัดขึ้น ผู้ที่นั่งบนหลังคาก็คือเยวี่ยเหลียนโหลว!

เยวี่ยเหลียนโหลวถอดเสื้ออยู่ หน้าอกเปลือยเปล่า บนหน้าอกมีบาดแผลหลายจุด เมื่อเห็นจางโม่ทะยานเข้ามา เขาก็ยังคงไม่ส่งเสียง แต่ยกมือขึ้นโบกให้จางโม่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

จางโม่รู้สึกเจ็บปวดภายในไปหมด ชายหนุ่มเหาะลงบนหลังคาด้วยท่าทางโกรธขึ้ง แต่พอเห็นสีหน้าเยวี่ยเหลียนโหลวดูเคร่งเครียด ความกรุ่นโกรธในอกก็พลันเหือดหายไปไม่หลงเหลือ จางโม่กำหมัดยืนนิ่งพักใหญ่ แล้วยอบกายลงนั่งยองข้างเยวี่ยเหลียนโหลว ยกมือขึ้นหยิกแก้มเขา

“…เจ็บนะ!” เยวี่ยเหลียนโหลวรีบคว้าข้อมือไว้ “เพิ่งตะโกนเรียกเสียหวานซึ้ง เหตุใดพบหน้าแล้วมาหยิกแก้มข้า”

“จะลองดูว่าเจ้าเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่” จางโม่ประคองใบหน้าเขา พูดเสียงแหบเครือ “เหตุใดไม่ขานรับ”

“อยากดูว่าเจ้าจะทำท่าร้อนรนอย่างไรบ้าง” เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “น้อยครั้งที่เจ้าจะตามหาข้า”

จางโม่มองสำรวจจนทั่ว พบว่าไม่เพียงเนื้อตัวเขาจะมีบาดแผล แต่ใบหูก็มีรอยถูกเกี่ยว

“น้ำไหลแรงนัก ต่อให้วิชาข้าแก่กล้าก็ยังหลบไม่พ้น”

เยวี่ยเหลียนโหลวเป็นนักล่าหยางแห่งพรรคหมิงเยี่ย เมื่อจางโม่ไม่อยู่เขาก็เท่ากับเป็นร่างแปลงของประมุขพรรค จะทำอะไรย่อมต้องนำหน้าบุกฝ่าเป็นคนแรก เขาเข้าๆ ออกๆ พื้นที่น้ำท่วมช่วยคนช่วยสัตว์เลี้ยง และเพราะน้ำมาเร็วเกินไป คนมากมายยังไม่ทันได้เก็บข้าวของในบ้านให้ดี เขาต้องช่วยคน ทั้งยังถูกคนทุบตีด่าทอ สถานการณ์ยากลำบากมาก ตัวเขาที่เป็นพวกไม่ยอมให้ใครมาด่าทอ ได้แต่ต้องสะกดกลั้นความโมโหไว้ในท้องไม่อาจระบายออก ตอนนี้ได้พบจางโม่จึงบ่นกระปอดกระแปดออกมา

ที่จางโม่หาเขาไม่พบ ก็เพราะเขาพลัดตกลงไปในหอซิวซินถัง

หอซิวซินถังถูกน้ำท่วมไปเกินครึ่ง เหลือเพียงหอเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้น ภายในจุดตะเกียงเผาไหม้อยู่ไม่รู้ดับ เมื่อวานน้ำลดลงเล็กน้อย เยวี่ยเหลียนโหลวพบว่ามีศพคนติดอยู่บนยอดหอซิวซินถังจึงย้ายศพออก ด้วยเกรงว่าในหอเล็กๆ แห่งนี้ยังมีคนอยู่ พอมุดเข้าไปดูไม่ได้ทันระวังจึงเหยียบพลาดหกล้ม ร่างพลัดตกลงไปข้างใน ทั้งวันเขาไม่ได้กินอะไรเลย ซ้ำยังวิ่งรอกช่วยคนใต้แสงแดดแผดเผา ทันทีที่ตกลงมาจึงสลบไป รอจนฟื้นคืนสติก็กลายเป็นช่วงตกค่ำของวันนี้ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกชื่อตนเองอยู่ด้านนอก

จางโม่ลูบจับใบหน้าชายหนุ่ม สังเกตได้ว่าตัวเขามีไข้ตัวร้อนเล็กน้อยก็รู้ว่าตากแดดมากจนไข้ขึ้น ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงกลางคิมหันต์ แสงแดดแผดจ้าอย่างแรงกล้า น้ำที่ท่วมไปทั่วเมืองถูกแดดเผาจนเกือบจะเดือด ทั่วเมืองทั้งบนฟ้าและบนน้ำล้วนร้อนอบอ้าว

แต่ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่นึกอยากพาเยวี่ยเหลียนโหลวออกไป จึงนั่งชมดาวบนยอดหลังคากับเยวี่ยเหลียนโหลว รู้สึกคล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่อายุสิบกว่าปี

เดือนหกจวนผ่านพ้น จันทร์เว้าแหว่งโค้งดุจตะขอ เยวี่ยเหลียนโหลวล้วงฝักบัวออกมาสองฝักจากด้านหลังราวกับเสกได้ ถามเขาว่าจะกินหรือไม่

จางโม่หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “เจ้าวิ่งรอกช่วยชีวิตคนเคลื่อนย้ายศพมิใช่หรือ เหตุใดยังสามารถซ่อนของพรรค์นี้ไว้ได้”

เยวี่ยเหลียนโหลว “เมื่อครู่ตอนเจ้าพายเรือมาหาข้า ข้าแอบตามหลังเจ้าจึงได้เห็นเจ้ามา เห็นฝักบัวนี้ดูสดใหม่ จึงเก็บติดมือมาด้วย ลองชิมดูหรือไม่ ปลูกไว้สูง ไม่ถูกน้ำหลากเหล่านี้ท่วมหรอก”

เขาแกะเมล็ดบัวออกทีละเมล็ดๆ โยนใส่ปาก เคี้ยวกินท่าทางน่าอร่อย จางโม่ไม่รู้จะต่อว่าเขาอย่างไรดี ยามใดจะพูดจาจริงจังกับเยวี่ยเหลียนโหลว เขาก็มักพูดยั่วล้อเล่นตลก เรื่องที่ต้องการจะพูดจึงเป็นอันต้องเก็บกลับไป

“ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก” จางโม่ออกปาก “ถึงเจ้ามีเรื่องจะสอบถาม ก็อย่าทรมานหรือทำให้ผู้อื่นอับอายเช่นนี้”

เยวี่ยเหลียนโหลวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“ปกติเจ้าจะทำงานอย่างไร ข้าไม่เคยถามมาก่อน ไม่ใช่เพราะข้าไม่คิดจะถาม หรือคร้านที่จะยุ่งกับเจ้า แต่เพราะข้ารู้ ใจเจ้ามีแผนการ มีความคิดและเหตุผลของตนเอง อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เจ้ารู้แน่ชัด” จางโม่มองดูเขา “เหลียนโหลว ข้าเชื่อใจเจ้ามาก”

เยวี่ยเหลียนโหลว “รู้แล้ว”

เขายังคงโยนเมล็ดบัวใส่ปาก รักษาท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดจา

“…ต่อไปข้าจะไม่พูดเช่นนั้นอีกแล้ว” จางโม่พูดขึ้นอีก

เยวี่ยเหลียนโหลว “คำพูดอันใด”

จางโม่ “…ที่ให้เจ้าออกจากพรรคหมิงเยี่ย”

เยวี่ยเหลียนโหลว “ที่จริงข้าก็ไม่ชอบอุดอู้อยู่แต่ในพรรค หุยซินย่วนที่เป่ยหรงน่าสนุก ตรอกจีเอ๋อร์ที่เหลียงจิงก็เหมาะกับข้า ในยุทธภพมีที่ทางตั้งมากมายที่รับคนอย่างข้าเยวี่ยเหลียนโหลวได้ ไม่ได้มีเพียงพรรคหมิงเยี่ยที่เดียวเสียเมื่อไร”

จางโม่ “ข้ารู้ เจ้าอยู่ในพรรคหมิงเยี่ยก็เพื่อ…”

เยวี่ยเหลียนโหลวรอฟังประโยคต่อไป

“เพื่อตอบแทนบุญคุณ” จางโม่ว่า “ท่านพ่อของข้าเก็บเจ้ามาจากเนินฝังศพอนาถา เจ้าติดค้างหนี้ชีวิตพรรคหมิงเยี่ย”

เยวี่ยเหลียนโหลวตอบ “อืม” แล้วก้มหน้าแกะเมล็ดบัวต่อ

จางโม่ “…”

การทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้เยวี่ยเหลียนโหลวเจ็บปวดใจจริงๆ จางโม่รู้ว่าเมื่อคนผู้นี้โกรธแล้วยากจะปลอบให้หาย ลังเลอยู่นานก็ดึงแขนเยวี่ยเหลียนโหลว โฉบเข้าไปจูบที่มุมปากอย่างว่องไว

ใบหน้าเยวี่ยเหลียนโหลวพลันมีรอยยิ้มที่สะกดไม่อยู่ผุดขึ้น แต่ไม่ช้าก็ถูกเขาสะกดไว้ได้

“ประมุขพรรคอย่ามาหยอกเย้าข้า นี่มิใช่การกระทำของวิญญูชน”

“เพราะพรรคหมิงเยี่ยมีข้า” จางโม่พูดเบาๆ “และเพราะข้าอยู่ในใจเจ้า”

เยวี่ยเหลียนโหลวโยนฝักบัวในมือทิ้งทันที คว้าไหล่จางโม่ไว้อย่างแรงแล้วโผเข้าไปจูบ จางโม่เตือนเขาว่าเหมือนจะมีคน เยวี่ยเหลียนโหลวตอบกลับอย่างเหี้ยมเกรียม

“ปล่อยให้เขามอง มองเสร็จแล้วข้าค่อยฆ่าเขา”

เงาสะท้อนแสงดาวบนผิวน้ำพลันถูกสายลมแผ่วเบาพัดจนพร่างพราย เยวี่ยเหลียนโหลวจูบจนหนำใจแล้วเอนศีรษะพิงไหล่จางโม่ กระซิบกระซาบว่า

“เจ้าจะไม่ต้องการข้าได้หรือ ห่วงทองนี้ของข้าเป็นเจ้าที่ทำให้ เจ้าบอกว่าข้าเป็นเยวี่ยเหลียนโหลวของเจ้า และจะเป็นไปชั่วชีวิต เจ้าจะทำลายคำสัญญานี้ไม่ได้”

ห่วงที่หลอมจากทองคำบนลำคอของเขาเปล่งประกายวาววับ ห้อยหยกสีแดงไว้ ไม่ว่าจะเป็นหยกสีแดงหรือตัวห่วง ล้วนดูเหมือนถูกฝังไว้กับผิวหนังของเยวี่ยเหลียนโหลว คล้ายจมลงไปเล็กน้อย จางโม่ลูบไล้ห่วงทอง หวนนึกถึงเรื่องมากมายในอดีต

ห่วงทองเป็นของใหม่ แต่รอยแผลเป็นใต้ห่วงทองนี้เป็นแผลเก่า

มีรอยแผลลักษณะเป็นวงบาดลึกรอบลำคอของเยวี่ยเหลียนโหลว ใครก็ล้วนมองเห็น นั่นเป็นรอยแผลจากการถูกล่ามไว้อย่างทารุณ สิ่งที่ใช้ล่ามลำคอของเขามิใช่เชือกป่านแต่เป็นโซ่เหล็กติดหนาม ทั้งเลือดและเนื้อปนเปอยู่บนปากแผลดูแล้วน่าสยดสยอง ภายหลังรักษาจนแผลหายดี แต่ยาไม่อาจช่วยรักษาให้รอยแผลนั้นเลือนหาย มันจึงดูเหมือนห่วงทองที่ฝังลงบนร่างเยวี่ยเหลียนโหลวไปตลอดกาล และเพราะรอยแผลนี้อยู่บนลำคอ จึงเด่นสะดุดตาที่สุดบนร่างกายอันงดงามของเขา

เยวี่ยเหลียนโหลวในวัยเยาว์มักเอาเสื้อผ้ามาปกปิด เยวี่ยเหลียนโหลวไม่ชอบรอยแผลนี้ ส่วนจางโม่เป็นชาวยุทธ์ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ เพราะสำหรับเขานั่นก็แค่รอยแผลหนึ่งเท่านั้น ตัวเขาเองก็มีรอยแผลเช่นกัน สิ่งนั้นมิได้บ่งบอกอะไรชัดเจน

สำหรับเยวี่ยเหลียนโหลว รอยแผลนี้กลับคอยย้ำเตือนเขาอยู่เสมอว่าเขาเคยถูกทำร้ายและถูกทอดทิ้ง ถูกโยนทิ้งไว้ที่เนินฝังศพอนาถาท่ามกลางห่าฝนที่ตกกระหน่ำ ไม่ต่างอะไรกับซากศพ

ด้วยเหตุนี้จางโม่จึงท่องไปทั่วหล้าเสาะหาช่างทอง หลอมห่วงทองนี้ให้เขา

หยกสีแดงห้อยติดกับตัวห่วงเป็นของล้ำค่า เป็นหยกแดงที่หัวแหวนซึ่งมารดาของจางโม่ทิ้งไว้ให้ มารดาสั่งให้จางโม่มอบแหวนนี้แก่ภรรยาในอนาคต จางโม่แกะหยกเม็ดนั้นออก นำแหวนไปหลอม แล้วมอบทั้งหมดให้แก่เยวี่ยเหลียนโหลว

ในพรรคหมิงเยี่ยคนที่ไม่ถูกชะตากับเยวี่ยเหลียนโหลวที่สุดคือเฉินซวงกับหร่วนปู้ฉี พอทั้งสองได้เห็นเยวี่ยเหลียนโหลวชอบวิ่งทะเล่อทะล่าเสื้อผ้าหลุดลุ่ยก็ถึงกับนิ่วหน้าทันที หร่วนปู้ฉีเถียงสู้เยวี่ยเหลียนโหลวไม่ได้จึงมักจะชักอาวุธออกมาสู้กับเขาเสมอ เสิ่นเติงคร้านจะเปลืองน้ำลายพูดกับเยวี่ยเหลียนโหลว ได้แต่ชี้แนะจางโม่เท่านั้น เท่าที่จำได้ จางโม่ได้ยินเสิ่นเติงเตือนสติด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่ใช่แค่ครั้งเดียว กล่าวว่า

‘ประมุขพรรค ดูท่านจะโปรดปรานเยวี่ยเหลียนโหลวมากไปแล้ว’

จางโม่คิด

อาจลำเอียงเพราะรักไปบ้าง แต่คงไม่ถึงกับลำเอียงเกินไปกระมัง

คำอธิบายของเขามักได้รับเสียงถอนหายใจยาวจากเสิ่นเติงตอบกลับมา

จางโม่ย่อมรู้ว่าเหตุใดเยวี่ยเหลียนโหลวชอบเปลือยอก มิใช่เพราะชอบทำตัวลอยชายไร้เหตุผล แต่เพราะอดใจไม่อยู่ อยากเผยห่วงทองบนลำคอให้ใครๆ ได้เห็น ราวกับว่านั่นเป็นหลักฐาน เป็นเครื่องยืนยันว่ามีคนห่วงหาอาทรและชื่นชอบเขา นอกจากนี้ยังเป็นจางโม่ที่มอบให้เขาอีกด้วย

ทั้งสองพร่ำพลอดกันบนหลังคาอยู่นาน จู่ๆ เยวี่ยเหลียนโหลวก็เกิดความคิดประหลาด

“เรายังไม่เคยทำเรื่องพรรค์นั้นกลางแจ้งมาก่อนเลย”

จางโม่สีหน้าแปรเปลี่ยน “เจ้ากล้า?”

เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “กล้าสิ”

เพิ่งขาดคำก็มีมีดบินซัดมา มีคนฉุนขาดจนรีบย่ำน้ำเข้ามา เยวี่ยเหลียนโหลวสะบัดเส้นผมกระเซิงไปไว้ข้างหลัง ตอนที่เยวี่ยเหลียนโหลวถอนมีดบินเล่มนั้นออกมา เฉินซวงก็มาถึงพอดี

เฉินซวงตวาดด่า “เมื่อครู่เจ้าจะทำอะไรกับประมุขพรรค!”

“ประมุขพรรค ข้าฆ่าเขาตอนนี้ก็แล้วกัน” เยวี่ยเหลียนโหลวหันไปบอกจางโม่ “เฉินซวงชั่วร้ายยิ่งนัก ปกติเงียบขรึมไม่พูดไม่จา แต่ชอบมาแอบดูผู้อื่นทำเรื่องพรรค์นั้น หน้าไม่อาย”

เฉินซวงเห็นทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันก็พูดอีก

“อย่าแตะต้องประมุขพรรค!” ว่าแล้วก็ก้มหน้า พอพบว่าจางโม่จับมือเยวี่ยเหลียนโหลวไว้ พลันมีท่าทีกระดากอาย เหลียวซ้ายแลขวา เกาศีรษะตนเองไม่หยุด

เฉินซวงพาจิ้นเยวี่ยมาด้วย เขาต่อแพจากแผ่นไม้ขึ้นมาสองแพ ให้จิ้นเยวี่ยและซย่าโหวซิ่นนั่งแยกกันกลับเมืองเซียนเหมิน ซย่าโหวซิ่นกับพวกออกเดินทางไปยังที่ที่โหยวจวินซานอยู่ก่อน คอยดูสถานการณ์จัดหาที่พักให้ชาวเมือง เฉินซวงได้ยินคนของพรรคหมิงเยี่ยพูดว่าจางโม่ออกไปตามหาเยวี่ยเหลียนโหลว เขากับจิ้นเยวี่ยจึงพากันออกมาตามหาทั้งสองคน

จิ้นเยวี่ยถ่อแพเข้ามาใกล้ ยิ้มแล้วพูดว่า “คืนดีกันแล้วหรือ”

พอมีผู้อื่นอยู่ด้วยจางโม่ค่อยกลับไปวางท่าเคร่งขรึมเย็นชาอย่างประมุขพรรคหมิงเยี่ยตามเดิม เขาก้าวขึ้นแพของจิ้นเยวี่ย หันไปพูดคุยกัน เยวี่ยเหลียนโหลวเก็บฝักบัวที่ตัวเองโยนทิ้งส่งให้เฉินซวง เฉินซวงกินเมล็ดบัวไปสองเมล็ดก็นิ่วหน้า

“เหตุใดติดกลิ่นดินโคลน”

“แสดงว่าสดใหม่” เยวี่ยเหลียนโหลวบิดกายไปมา

เฉินซวงค่อยเห็นในตอนนี้เองว่าที่หน้าอกและใบหูของเยวี่ยเหลียนโหลวมีรอยแผลจึงตกใจเล็กน้อย เยวี่ยเหลียนโหลวเรียกได้ว่าเป็นยอดยุทธ์แห่งวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนของพรรคหมิงเยี่ย แต่ถึงจะเก่งกาจสามารถเช่นนี้ก็ยังบาดเจ็บ หวนนึกถึงคลื่นไหลบ่าที่ได้เห็นวันนั้นชายหนุ่มก็ยังหวั่นใจไม่หาย

เยวี่ยเหลียนโหลวเห็นเขานิ่งอึ้ง จึงฉวยโอกาสดึงเฉินซวงขึ้นแพของจิ้นเยวี่ย แพรับน้ำหนักทั้งสี่คนไม่ไหว เริ่มจะจมลง คิ้วหนาของจางโม่ถึงกับขมวดมุ่น

“เยวี่ยเหลียนโหลว!”

เยวี่ยเหลียนโหลวปล่อยตัวเฉินซวง เปลี่ยนมาอุ้มจางโม่พาเดินย่ำน้ำ เหาะกลับไปลงเรือลำที่จางโม่ใช้พายมาตอนแรก

จิ้นเยวี่ยอดร้องชมไม่ได้ “วิชาตัวเบาสง่างามนัก”

เยวี่ยเหลียนโหลวไม่ได้ใช้ไม้พายพายเรือ เขาเพียงโอบเอวจางโม่ ก้มหน้าพูดคุย เรือก็ค่อยๆ แล่นฝ่าผืนน้ำไปข้างหน้า

จิ้นเยวี่ยชื่นชมมาก อดนึกถึงเฮ่อหลันเฟิงไม่ได้ เขาที่ทั้งเมาเรือ ว่ายน้ำไม่เก่ง อีกทั้งไร้วิชากำลังภายในที่สูงส่งถึงขั้นนี้ ในใจพลันรู้สึกเสียดาย หันไปมองดูเฉินซวง เฉินซวงจึงพูดว่า

“ขออภัยด้วย วิชาย่างก้าวบงกช ข้ายังฝึกไม่สำเร็จ”

ทั้งสองจำต้องค้ำถ่อให้แพเคลื่อนไปช้าๆ ตามหลังจางโม่กับเยวี่ยเหลียนโหลว วุ่นวายอยู่ทั้งคืน วันถัดมาแสงแดดยังคงแผดกล้า ระดับน้ำลดลงเล็กน้อย ทั้งเมืองเซียนเหมินยังคงร้อนระอุเหมือนอยู่ในลังถึง ชายฉกรรจ์เก็บของที่ลอยฟ่องในน้ำต่างเหงื่อไหลไคลย้อย ผ่านไปหนึ่งวัน แทบทุกคนล้วนถูกแดดเผาจนผิวลอก

ซย่าโหวซิ่นโศกเศร้าจนผมหงอกขาวหลายส่วน เผยความทุกข์ตรมในใจออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้นเยวี่ยเท่านั้น

“ในเมืองมีคนที่รอดชีวิตหลายหมื่น ที่ตายและเจ็บมีเกือบหมื่น เมืองเซียนเหมินคราวนี้ประสบภัยพิบัติแสนสาหัส แต่ตอนนี้ที่ทำให้ข้ายิ่งเป็นทุกข์คือเราไม่มีเสบียงอาหารเลย”

สภาพภูเขาลูกนี้ค่อนข้างสูง ถึงแม้ทุกคนจะไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต แต่หลายหมื่นปากนี้ล้วนต้องกินอาหาร บัดนี้เมืองต่างๆ แถบตอนล่างของลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ยล้วนถูกน้ำท่วม ไม่มีใครมาให้ความช่วยเหลือได้เลย พวกเขาจึงต้องเดินทางขึ้นเขา

สภาพพื้นที่ในป่าเขาซับซ้อน ฤดูร้อนมากด้วยงูเงี้ยวเขี้ยวขอ เด็กน้อยและผู้เฒ่าถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยจนล้มตาย ซย่าโหวซิ่นมาหาจิ้นเยวี่ย วางแผนจะออกเดินทางไปยังเมืองโหยวลี่อีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือจากเฉินหรง ตอนนี้เขื่อนติ้งซานเปิดแล้ว ผลลัพธ์ที่เฉินหรงต้องการก็ปรากฏต่อหน้าแล้ว ตอนนี้เขาจะต้องอยากให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาจะไม่เป็นไปดังที่เขาตั้งใจ

ก่อนซย่าโหวซิ่นออกเดินทางหนึ่งวัน มีกองเรือหลายลำแล่นมาอย่างเอิกเกริกจากต้นน้ำเสิ่นสุ่ย

เป็นองค์ชายสามเฉินหรงแห่งต้าอวี่ส่งคนนำเสบียงบรรเทาทุกข์มามอบแก่ชาวบ้านตอนปลายน้ำที่ประสบภัย

ผู้ที่นำเสบียงมาส่งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของเมืองโหยวลี่

“ฝ่าบาททรงทราบแล้วว่าชาวแถบแม่น้ำเสิ่นสุ่ยเราประสบเคราะห์ภัย! บัดนี้เสบียงบรรเทาทุกข์กำลังถูกลำเลียงมา องค์ชายสามเฉินหรงเป็นห่วงพวกเจ้าจนนอนไม่หลับ สั่งให้ข้าเร่งเดินทางหลายคืนติดต่อกันไม่หยุดเพื่อนำเสบียงในยุ้งฉางของเมืองโหยวลี่มามอบแก่พวกเจ้าทุกคน! อย่าได้กลัวไปเลย มีองค์ชายสามอยู่ พวกเราในแถบแม่น้ำเสิ่นสุ่ยจะต้องผ่านเคราะห์หามยามร้ายในครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่นแน่!”

ชาวบ้านต่างซาบซึ้งใจ พากันทรุดลงกราบไหว้พลางโห่ร้องยินดี

จิ้นเยวี่ยกับเฉินซวงคอยดูอยู่อีกด้านด้วยสายตาเย็นชา ส่วนซย่าโหวซิ่นนั้นมิเสียทีที่เห็นโลกมามาก เขากุมมือขุนนางผู้นั้นไว้แน่นต่อหน้าผู้คนมากมาย น้ำตารื้นสีหน้าตื้นตัน

“องค์ชายสามสมเป็นอัจฉริยบุคคล! องค์ชายสามใส่ใจพวกเราชาวบ้าน ในใต้หล้านี้เคยได้พบเห็นคนเช่นนี้ด้วยหรือ!”

ขุนนางมีใบหน้าซีดขาว “ใต้เท้าซย่าโหว กล่าวเกินไปแล้ว กล่าวเกินไป นี่ล้วนเป็นพระเมตตาของฝ่าบาท”

ซย่าโหวซิ่น “อ้อ ใช่แล้ว ข้าซาบซึ้งใจมากไปหน่อย ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! หมื่นๆ ปี!!!”

เมืองที่ถูกน้ำหลากมหาศาลเข้าท่วมสั่นสะเทือนด้วยเสียงชาวบ้านแซ่ซ้อง ‘ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี’ ดังก้องกังวาน เสียงสะท้อนกลับไปกลับมาประหนึ่งลูกคลื่น เนิ่นนานไม่แผ่วหาย

กองเรือขนย้ายเสบียงบางส่วนลงแล้วก็แล่นไปทางปลายน้ำต่อ คนสนิทของเฉินหรงขึ้นจากเรือ ตรงเข้าไปหาจิ้นเยวี่ยโดยเฉพาะ

“ขอเชิญท่านแม่ทัพน้อยตามข้าเดินทางไปเมืองโหยวลี่ องค์ชายสามจะกลับเหลียงจิงพร้อมกับท่าน” คนสนิทผู้นั้นกล่าว “ใกล้ถึงเทศกาลจงหยวน* ฝ่าบาททรงคิดถึงท่านแม่ทัพจงเจา ขอเชิญท่านแม่ทัพน้อยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่วังหลวงขอรับ”

 

เดือนเจ็ด ณ ลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ย

กองเรือแล่นฝ่าคลื่นเดินทางขึ้นเหนือ น้ำที่ท่วมค่อยๆ ลดระดับลง ยังคงพบเห็นร่องรอยความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ได้ตามริมฝั่ง เวลานี้มีเพียงกองเรือที่แล่นจากโหยวลี่ไปยังเหลียงจิง ซึ่งทิ้งสภาพน่าอนาถใจทั้งหลายแถบปลายลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ยไว้เบื้องหลังอันแสนไกล

จิ้นเยวี่ยอ่านตำราตรงหน้าต่าง ม้วนตำรา ‘ปกิณกะชาวยุทธ์’ ซึ่งประพันธ์โดยเสิ่นเติงแห่งพรรคหมิงเยี่ยที่นิยมอ่านกันมากในยุทธภพ จิ้นเยวี่ยจำได้ว่าเคยเห็นมีขายตามแผงค้าแถบเมืองหยางเหอ เหลียงจิง และเซียนเหมิน ‘ปกิณกะชาวยุทธ์’ รวมแล้วมีความยาวสิบเจ็ดม้วน ทั้งยังคงเขียนเพิ่มอีกไม่ขาดสาย ล้วนเป็นบันทึกเกี่ยวกับบุคคลและเรื่องราวในยุทธภพต้าอวี่ อ่านสนุกเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง

เฉินซวงนั่งที่โต๊ะเตี้ยอีกฝั่ง กำลังชงชาอย่างตั้งอกตั้งใจ ในห้องเงียบสงบ แว่วเสียงโหยวจวินซานคุยกับฝีพายจากทางดาดฟ้าเรือเป็นครั้งคราว เฉินหรงอยู่ในห้องเรืออีกห้อง เมื่อคืนร่ำสุราจนเมามาย คิดดูแล้วคงยังเมาหลับไม่ตื่น

ออกจากเมืองเซียนเหมินมาได้เกือบสิบวัน จิ้นเยวี่ยยังจำทุกประโยคที่ซย่าโหวซิ่นพูดเมื่อได้พบกันครั้งสุดท้ายได้

พอได้รู้ว่าเฉินหรงมาพาตนเองเข้าวัง คงไม่อาจบอกได้ว่าไม่ตื่นเต้น จิ้นเยวี่ยรอโอกาสเช่นนี้มาตลอด เขาอยากจะถามฮ่องเต้เหรินเจิ้งโดยตรงว่าคิดจริงๆ หรือว่าบิดาของเขามีความผิด

เพราะความร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน ซากศพในเมืองเซียนเหมินจึงเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า ซย่าโหวซิ่นตามคนให้ไปช่วยกันเผาศพ แต่จนปัญญาที่คนในเมืองส่วนมากเป็นผู้ศรัทธาจากเจ็ดสำนักเก้าลัทธิ ไม่ยอมทำลายซากศพ สุดท้ายยังต้องไหว้วานให้พรรคหมิงเยี่ยออกหน้า เยวี่ยเหลียนโหลวจำต้องไปดูแลการเผาศพทุกวัน เขาเป็นพวกรักความสะอาด ชอบแต่งตัวพิถีพิถัน ผลคือทุกวันนี้เนื้อตัวเหม็นกลิ่นซากศพ จะกลิ่นดอกไม้หรือแป้งร่ำใดๆ ล้วนกลบไม่มิด นับวันจึงยิ่งหงุดหงิดขี้โมโหขึ้นทุกที

ตอนจิ้นเยวี่ยกล่าวอำลาซย่าโหวซิ่น ซย่าโหวซิ่นเพิ่งลงมาจากเขา เขาถกขากางเกงสูง สองเท้าเปรอะเปื้อนดินโคลน พอได้รู้ว่าจิ้นเยวี่ยต้องกลับเหลียงจิง เขาก็ตกใจมาก แต่ไม่ช้าก็ทำสีหน้าแสดงความยินดีกับจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยไม่มีแก่ใจจะพูดเกรงอกเกรงใจกับเขา จึงกันผู้คนให้ออกไป เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง จึงถามอย่างตรงไปตรงมา

‘ใต้เท้าซย่าโหว ถึงตอนนี้จะเล่าที่มาที่ไปเรื่องเสบียงทัพที่เมืองชังเหลียงให้ข้าฟังได้หรือยัง’

ซย่าโหวซิ่นย้อนถาม ‘แม่ทัพน้อยรู้อะไรมาบ้าง’

จิ้นเยวี่ยแอบด่าทอความเจ้าเล่ห์ของซย่าโหวซิ่นในใจ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเล่าเรื่องราชครูเหลียงออกมาด้วยปากตัวเอง จิ้นเยวี่ยจึงเล่าเรื่องที่ตนเองรู้มาให้เขาฟังอย่างละเอียดว่าเหลียงอันฉงกักเสบียงบรรเทาทุกข์ไว้ เป็นการยุให้ซย่าโหวซิ่นยืมมือชาวบ้านที่ประสบภัยให้แย่งชิงเสบียงเพื่อขัดขวางจนกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือหมดทางถอย หลังจากกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือรบแพ้ ราชครูเหลียงค่อยยกเหตุผลนี้ยื่นฎีกาถอดถอนจิ้นหมิงเจ้าออกจากตำแหน่ง แล้วตั้งจางเยวี่ยผู้เป็นบุตรเขยขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ช่วงชิงอำนาจบัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือมาไว้ในมือ

แต่เหลียงอันฉงไม่คาดคิดว่าจิ้นหมิงเจ้าถึงกับต้องสละชีพในการรบ การตายของจิ้นหมิงเจ้าทำให้สถานการณ์ของเหลียงอันฉงต่อหน้าฮ่องเต้เหรินเจิ้งตกเป็นรองทันที และทำให้สถานการณ์ชายแดนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของต้าอวี่ตกที่นั่งลำบาก เพื่อจะลดผลกระทบจากเรื่องเสบียงทัพ เหลียงอันฉงจึงชิงกล่าวโทษอีกฝ่ายก่อน กล่าวหาว่าความพ่ายแพ้ของจิ้นหมิงเจ้าเกิดจากหวาดกลัวการสู้รบจึงหนีทัพ ไม่ยืนหยัดเข้มแข็งในการบัญชาการ ทั้งยังใช้ขุนนางในราชสำนักมาช่วยกันบีบให้ฮ่องเต้เหรินเจิ้งออกราชโองการ จิ้นหมิงเจ้าต้องแบกรับข้อกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม สกุลจิ้นพลอยถูกเนรเทศทั้งตระกูลไปด้วย

ซย่าโหวซิ่นไขความด้วยเสียงเบา ‘ตอนนั้นสถานการณ์ในราชสำนักผันผวนปรวนแปร อาจารย์ข้าถึงแม้เป็นราชครูเหลียง แต่จนถึงตอนนั้นข้าถึงค่อยรู้ว่าที่แท้มีขุนนางใหญ่สนับสนุนการจัดการของเขามากถึงเพียงนี้’

จิ้นเยวี่ย ‘เขาจัดวางคนไว้นานแล้ว ถ้าท่านพ่อของข้าไม่ตายในสนามรบ เหล่าขุนนางก็ยังจะประณามท่านพ่ออยู่ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายชื่อเสียงของท่านพ่อ ราชครูเหลียงต้องการจะฉกฉวยอำนาจบัญชาการทัพตะวันตกเฉียงเหนือไปให้ได้’

ซย่าโหวซิ่นไม่พูดอะไร เพียงหัวเราะเบาๆ

จิ้นเยวี่ย ‘ใต้เท้าซย่าโหวก็เป็นผู้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้’

ซย่าโหวซิ่น ‘มิกล้ารับ’

เหลียงอันฉงช่วยซย่าโหวซิ่นไว้ สุดท้ายย้ายซย่าโหวซิ่นไปเมืองเซียนเหมิน ย้ายจางเยวี่ยจากกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือไปกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือจนที่สุดได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เหลียงอันฉงคาดไม่ถึงว่าก่อนจะมีการลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซาน เฉินหรงจะสอดเท้าเข้ามา องค์ชายสามต้องการจะไปเจรจาลงนามสัญญาสงบศึกที่ปี้ซานด้วย ตอนนั้นฮ่องเต้เหรินเจิ้งกำลังไม่พอใจเหลียงอันฉง ย่อมอนุญาตให้เขาไป

และที่ยิ่งทำให้เหลียงอันฉงแปลกใจก็คือข้อมูลที่จิ้นเยวี่ยแจ้งแก่เฉินหรง จนบัดนี้เหลียงอันฉงก็ยังไม่รู้เรื่องเมืองร้างที่ด้านเหนือของเมืองเฟิงหู มันกลายเป็นชนวนระเบิดซึ่งซ่อนไว้ในสัญญาสงบศึกปี้ซานที่อาจจุดระเบิดขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ การที่เฉินหรงออกหน้าจัดพิธีลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซานนั้นได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้เหรินเจิ้ง เหลียงอันฉงแทบไม่มีบทบาทอะไรในสัญญาสงบศึกปี้ซาน เขาย่อมรู้สึกตึงเครียด

หนำซ้ำภายหลังเฉินหรงที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้เหรินเจิ้งก็เริ่มฉกฉวยอำนาจไปจากมือเหลียงอันฉง เสนาบดีกรมอาญาเซิ่งเข่อเลี่ยงจึงเป็นเป้าหมายแรกของเขา

‘เรื่องเสบียงของกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือเรียกได้ว่าเป็นแผนการอันชาญฉลาดยิ่งของราชครูเหลียง ทว่าน่าเสียดาย ชาวจินเชียงรีบร้อนเกินไป ท่านพ่อของข้าจึงต้องสละชีพที่ด่านไป๋เชวี่ย เป็นการทำลายเรื่องดีของราชครูเหลียงไปเสีย’ จิ้นเยวี่ยถามเบาๆ ‘ทั้งหมดข้างต้นที่จิ้นเยวี่ยพูดมา มีอะไรตกหล่นหรือไม่’

ซย่าโหวซิ่นพยักหน้าเล็กน้อย ‘ไม่เสียทีที่เป็นบุตรชายของแม่ทัพจงเจา’

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เขาพูดจาอย่างระมัดระวัง ไม่มีแม้ครึ่งประโยคที่กล่าวโทษราชครูเหลียง

ประโยคนี้ของเขาทำให้จิ้นเยวี่ยแน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองสันนิษฐานล้วนถูกต้อง

จิ้นเยวี่ยถามอีก ‘ถ้าวันข้างหน้าข้า ราชครูเหลียง และใต้เท้าซย่าโหวกราบทูลความเป็นมาของเรื่องนี้ต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ใต้เท้าซย่าโหวอยากจะเป็นพยานให้ข้าหรือไม่’

ซย่าโหวซิ่นยิ้มจนตาหยี ในที่สุดก็เลิกทำทีเหมือนไม่รู้เรื่องราวอีก ไม่ถามว่าเรื่องใด และไม่พูดว่าตนเองกับเหลียงอันฉงมีความสัมพันธ์ต่อกันเยี่ยงไร เพียงตอบออกมาตรงๆ ว่า

‘ไม่อยาก’

จิ้นเยวี่ยคาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะตอบเช่นนี้จึงไม่โกรธ เขายิ้มแล้วพูดว่า ‘ขอบคุณใต้เท้าซย่าโหวที่บอกตามตรง’

ซย่าโหวซิ่นตอบกลับ ‘ขอบคุณแม่ทัพน้อยที่เข้าใจ’

ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จิ้นเยวี่ยเปลี่ยนเรื่องพูด ‘สำนักเวิ่นเทียนที่เซียนเหมินก็เป็นสำนักที่ราชครูเหลียงจัดการไว้แต่แรก เขาให้ท่านมาที่เซียนเหมินจะต้องมีแผนการแน่’

ซย่าโหวซิ่นย้อนถามอีก ‘แม่ทัพน้อยคงรู้แผนการนี้?’

จิ้นเยวี่ยสังเกตว่านี่ไม่ใช่การย้อนถามในแบบที่ไม่อยากตอบคำถาม จึงนิ่งเงียบสักพัก จู่ๆ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ก่อนจะออกเดินทางกับซย่าโหวซิ่นไปเมืองโหยวลี่เพื่อขอร้องให้เฉินหรงไม่เปิดทางระบายน้ำทางแม่น้ำเสิ่นสุ่ย เพื่อให้จิ้นเยวี่ยสบายใจและเพื่อจัดการธุระต่างๆ ในเมืองเซียนเหมินให้เรียบร้อย ซย่าโหวซิ่นจึงเรียกคนของเจ็ดสำนักเก้าลัทธิในเมืองมาอยู่ต่อหน้าจิ้นเยวี่ย ขณะที่ซย่าโหวซิ่นประกาศว่าหวังว่าทุกสำนักและลัทธิจะเห็นแก่ชีวิตของชาวบ้านเป็นสำคัญ ละทิ้งอคติและความขัดแย้งระหว่างกัน ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือเมืองเซียนเหมินและเมืองต่างๆ แถบปลายลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ย คนที่รับปากจะช่วยที่จริงมีไม่มาก

พรรคหมิงเยี่ยเป็นพรรคในยุทธภพ ทั้งยังมีเยวี่ยเหลียนโหลวซึ่งเป็นนักล่าหยางอยู่ด้วย จึงรีบรับปากทันทีว่าจะช่วย แต่สำนักที่เหลือกลับดูลังเล นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ซย่าโหวซิ่นพยายามโน้มน้าวอีกหลายครั้ง อธิบายด้วยเหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังมีคนที่รู้สึกว่าไม่เหมาะ น้ำท่วมใหญ่มิใช่ภัยธรรมชาติที่เกิดตามปกติ ถ้าคนของเจ็ดสำนักเก้าลัทธิช่วยชีวิตคนในระหว่างเกิดภัยพิบัติ เช่นนั้นควรจัดการอย่างไร เจ็ดสำนักเก้าลัทธิมิใช่ทางการ ถ้าตอนนี้เกลี้ยกล่อมชาวบ้านได้ วันข้างหน้าทางการคงป้ายข้อหายุยงปลุกปั่นชาวบ้าน พวกเขาไม่อาจรับไหว หรือจะพูดอย่างประนีประนอมได้ว่าถึงแม้พวกเขาจะยอมช่วย แต่สำนักต่างๆ มีหลากหลาย กำลังขุนนางไม่เพียงพอ เวลาทำงานจะต้องฟังผู้ใดนั้นถือเป็นปัญหาใหม่อีกหนึ่งเรื่อง

ขณะที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ซือเทียนซื่อแห่งแดนเหนือของสำนักเวิ่นเทียนก็ยืนขึ้นทันที เขานำสองผู้คุมกฎซ้ายและขวาของสำนัก เสนอแนะว่าสำนักเวิ่นเทียนจะเป็นผู้นำเจ็ดสำนักเก้าลัทธิ ร่วมกับทางราชสำนักและพรรคหมิงเยี่ยช่วยชาวบ้านบริเวณลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ย

เวลานี้จิ้นเยวี่ยมานึกย้อนดูก็เข้าใจกระจ่างแจ้งทันที ผู้นำในการช่วยเมืองต่างๆ แถบปลายลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ยในครั้งนี้ที่จริงแล้วก็คือทางการของเมืองเซียนเหมิน พรรคหมิงเยี่ย และสำนักเวิ่นเทียน คนของสำนักพรรคต่างๆ ที่จริงล้วนฟังคำสั่งของสำนักเวิ่นเทียน การชุมนุมและโต้เถียงครั้งนั้นของซย่าโหวซิ่น เป็นการให้จิ้นเยวี่ยได้ประจักษ์กับตาถึงอำนาจของสำนักเวิ่นเทียน

สำนักใหญ่อย่างสำนักเวิ่นเทียนมีอำนาจแผ่กว้างแทบจะทั่วแคว้นต้าอวี่ ทั้งทางใต้จรดชายแดนใต้ ทางเหนือถึงเมืองเหลียงจิง ที่ใดมีคนของต้าอวี่ ที่นั่นจะต้องมีสำนักของเวิ่นเทียน นอกจากนี้ก็ยังมีเจ็ดสำนักเก้าลัทธิ หรือการเคลื่อนไหวของบรรดาหมอผีคนทรงเจ้าในหมู่ชาวบ้านทั้งแปดนิกายสิบสองพรรคด้วย จิ้นเยวี่ยอดนึกถึงคำพูดของลู่หงพ่อค้าขายตำราเก่าไม่ได้

‘บ้านเมืองใกล้วางวาย ผีร้ายอาละวาด’

เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง

‘สิ่งที่ราชครูเหลียงต้องการจะแสวงหาประโยชน์มิใช่อำนาจของเซียนเหมิน เขาได้จัดวางสำนักเวิ่นเทียนเป็นผู้นำสำนักลัทธิต่างๆ ของต้าอวี่แล้ว ขอเพียงสำนักเวิ่นเทียนมีคำสั่งลงไป แต่ละสำนักก็พร้อมยอมรับคำสั่งทั้งสิ้น และบัดนี้สำนักเวิ่นเทียนอยู่ในกำมือเขาแล้ว’

ซย่าโหวซิ่นมิได้ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงถอนหายใจแผ่วเบา ‘อีกไม่กี่ปีจากนี้ เมื่อแม่ทัพน้อยเติบใหญ่ขึ้น เกรงว่าจะน่าเกรงขามยิ่งกว่านี้เป็นแน่’

พอเห็นจิ้นเยวี่ยกำลังครุ่นคิด ซย่าโหวซิ่นก็พูดขึ้น ‘คำพูดบางอย่าง คนแก่เช่นข้าคงได้แต่ปล่อยให้เน่าคาท้องตลอดไปไม่อาจหลุดปากบอกได้ ยังหวังว่าแม่ทัพน้อยจะไม่ต่อว่า แม่ทัพน้อยมองสถานการณ์รอบด้าน แต่อย่าได้ลืมเมืองเฟิงหูกับองค์ชายห้าซึ่งอยู่ที่เมืองเฟิงหู รวมทั้งชายแดนใต้ที่จนบัดนี้ก็ยังไร้ความเคลื่อนไหว ก่วงเหรินอ๋องซ่งไหวจางพิทักษ์ชายแดนใต้ แม่ทัพปราบประจิมจางเยวี่ยพิทักษ์เมืองเฟิงหู โอรสสององค์ต่างก็มีคนที่พึ่งพิงได้ หนทางข้างหน้ายากคาดเดา แม่ทัพน้อยอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวน ต้องระวังตัวให้มาก’

ตลอดการพูดคุยอันยาวนานครั้งนี้ นี่เป็นคำพูดของซย่าโหวซิ่นที่แสดงความจริงใจที่สุดแล้ว

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้จิ้นเยวี่ยก็ยังไม่อาจให้อภัยซย่าโหวซิ่นเรื่องการแย่งชิงเสบียงได้ เพราะนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ทัพตะวันตกเฉียงเหนือพ่ายแพ้ แต่ถ้าขจัดความรู้สึกโกรธแค้นนี้ไป จิ้นเยวี่ยก็จำต้องยอมรับว่าซย่าโหวซิ่นผู้นี้สามารถใช้งานได้ และอาจต้องเรียกใช้ บางครั้งถึงขั้นที่แม้จะรู้ว่าเขาเจ้าปัญญา เฉลียวฉลาด ทั้งยังเจ้าเล่ห์ แต่ก็จำต้องใช้งานเขา

‘ใต้เท้าซย่าโหวคิดจะทำอะไรต่อไป’ ตอนอำลากัน เขาหันกลับไปถาม

ซย่าโหวซิ่นออกมาส่งที่ลาดเขา กลิ่นแปลกประหลาดอันเข้มข้นจากการเผาศพถูกสายลมหอบมา ทุกคนล้วนใช้ผ้าปิดใบหน้า สีหน้าท่าทางหม่นหมอง เวลานี้ซย่าโหวซิ่นกลับมิได้ดูระแวดระวังทุกฝีก้าวเหมือนเมื่อครู่ เขายิ้ม ‘แม่ทัพน้อยพาข้ากลับเหลียงจิงได้หรือไม่’

จิ้นเยวี่ย ‘หากใต้เท้าซย่าโหวประสงค์เช่นนั้น จื่อวั่งย่อมต้องพยายามเต็มที่’

แววตาซย่าโหวซิ่นเป็นประกาย ‘ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้าเองจะรักษาตัวให้พ้นภัยก็ยากอยู่แล้ว’

จิ้นเยวี่ยหวนรำลึกถึงประโยคนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เฉินซวงวางถ้วยชาหลงจิ่ง* ไว้ตรงหน้าเขา “แม่ทัพน้อย หัวเราะเรื่องอันใด”

พอพูดชื่อซย่าโหวซิ่นขึ้นมา เฉินซวงก็ขมวดคิ้วทันที สำหรับเขา แม้เฉินหรงจะมีใบหน้าคล้ายจิ้งจอก แต่จิตใจยังมีความเจ้าเล่ห์เทียบซย่าโหวซิ่นไม่ได้ ซย่าโหวซิ่นพูดจาระมัดระวัง กระทำสิ่งใดล้วนรอบคอบลื่นไหล การจงใจพูดค้างคาให้ดูมีเลศนัยเช่นนี้ เฉินซวงล้วนฟังไม่เข้าใจ

“ในพรรคหมิงเยี่ยก็มีประมุขพรรคกับผู้อาวุโสเติงที่ทำเช่นนี้ได้”

จิ้นเยวี่ยคิด เฉินซวงฟังไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ เขาไม่คิดจะอธิบายให้กระจ่างแจ้ง เพราะรังแต่จะทำให้เฉินซวงเป็นห่วง

ที่ซย่าโหวซิ่นบอกว่าจิ้นเยวี่ยยากจะรักษาตัวให้พ้นภัย ล้วนเป็นเพราะเขารู้ว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งต้องการพบจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยถูกเฉินหรงพากลับมายังเหลียงจิง แม้จะมีข่าวลือต่างๆ นานา แต่คนในราชสำนักที่พอจะมีสติปัญญาย่อมรู้ว่าจิ้นเยวี่ยเป็นหมากตัวหนึ่งขององค์ชายสาม ชายหนุ่มต้องการใช้เขาเล่นงานเหลียงอันฉงให้ถึงตาย

ทว่าบัดนี้ฮ่องเต้เหรินเจิ้งกลับต้องการพบหน้าจิ้นเยวี่ย เหลียงอันฉงย่อมไม่อาจนั่งรอความตาย ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงมีอันตรายมากมาย พอไปถึงแล้วสถานการณ์ยิ่งผันผวนยากคาดเดา ถึงแม้ตอนนี้เฉินหรงจะปฏิบัติต่อจิ้นเยวี่ยเป็นอย่างดี แต่ซย่าโหวซิ่นเห็นกระจ่างแจ้งว่าเรื่องเขื่อนติ้งซานนี้จิ้นเยวี่ยไม่อาจโน้มน้าวเฉินหรงได้สำเร็จ ฐานะของเขาสำหรับเฉินหรงที่นี่ เป็นได้อย่างมากก็แค่สหายเก่าคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเกิดขัดแย้งกันจริงๆ และความขัดแย้งนั้นใหญ่พอจะทำให้ต้องสละจิ้นเยวี่ย เฉินหรงจะยังปกป้องเขาหรือไม่ ไม่มีผู้ใดจะบอกได้

เฉินซวงเห็นเขานิ่งเงียบ กำลังจะลุกขึ้นไปหยิบพัดมาพัดให้ ประตูห้องก็ถูกผลักออก เฉินหรงเดินเข้ามา ชายหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียว ท่าทางเหมือนยังไม่สร่างเมาดี

เขาเดินมานั่งลงตรงหน้าจิ้นเยวี่ยตามสบายไม่สนใจใคร จ้องมองจิ้นเยวี่ยอย่างไม่ปิดบัง

จิ้นเยวี่ย “ยังปวดศีรษะหรือ”

“…ปวดแทบแย่” เฉินหรงตอบเบาๆ “ฝันร้ายยิ่ง”

จิ้นเยวี่ย “ฝันเห็นอะไร”

เฉินหรง “คนตายก่ายกอง ในลุ่มแม่น้ำเสิ่นสุ่ยล้วนคือซากศพ แต่ละร่างป่ายข้ามกราบเรือมุ่งมาหา จะคว้าจับข้าให้ได้”

เฉินหรงประคองศีรษะพลางร้องโอดครวญ จิ้นเยวี่ยรินชาหลงจิ่งให้เขา

“ดื่มเสีย”

เฉินหรงจ้องมองเขาเนิ่นนานค่อยเปิดปาก “ข้าคิดว่าเจ้าจะด่าข้าอีก”

จิ้นเยวี่ย “ไม่อยากเสียแรงเปล่า”

เฉินหรงทำท่าบอกให้เฉินซวงปลีกตัวออกไป สีหน้าของเฉินซวงไม่ยินดีแต่พลิกร่างมุดออกทางหน้าต่างไปนั่งบนหลังคาประทุนเรือ หลังออกจากเมืองโหยวลี่ แม่น้ำเสิ่นสุ่ยใสขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้เหลียงจิง น้ำก็ยิ่งใสแจ๋วดุจกระจก ทอดสายตาจากเรือเห็นน้ำใส ลึกลงไปสะท้อนเงาเขาสีเขียว

เขาได้ยินเพียงเสียงเฉินหรงที่พยายามข่มให้เบาแว่วจากห้องในเรือ

“ตอนที่ข้ามาโหยวลี่ เสด็จพ่อก็มีรับสั่งแล้วว่าอยากพบเจ้า สถานการณ์ทางเสด็จพ่อมิสู้ดี กระทั่งให้คนไปเมืองเฟิงหูเพื่อเรียกตัวน้องห้ากลับมา…ข้ารู้เรื่องนี้เจ้าไม่ให้อภัยข้า แต่…ข้าก็มีความลำบากใจของข้าเช่นกัน…”

เฉินซวงนวดใบหู ได้ยินเสียงหญิงคนเรือร้องเพลงชาวเรือเสียงใส น้ำเสียงสูงก้องกังวาน ราวกับนกขมิ้นบินผ่านเทือกเขาเขียวขจี

วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดในที่สุดจิ้นเยวี่ยและคณะเดินทางก็มาถึงเหลียงจิง เฉินหรงกลับเข้าวังหลวงไปพบฮ่องเต้เหรินเจิ้ง เขาให้จิ้นเยวี่ยกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน รอจนกว่าฮ่องเต้จะมีราชโองการเรียกตัว ชายหนุ่มพาโหยวจวินซานไปด้วย ส่วนจิ้นเยวี่ยกลับไปที่จวนพร้อมเฉินซวง

รถม้าไปได้ครึ่งทาง ระหว่างเดินทางกลับมีผู้คนหนาแน่น รถม้าจึงวิ่งบ้างหยุดบ้าง จิ้นเยวี่ยลงจากรถม้า เดินทะลุตรอกไปกับเฉินซวง

เฉินซวงตาดี ครั้นเห็นว่าข้างหน้ามีแผงค้าแห่งหนึ่งกำลังร้องขายดอกบัวแฝด คนที่ถือดอกบัวแฝดมองซ้ายมองขวา ดูแล้วคลับคล้ายจี่ชุนหมิง

 

พอได้พบจี่ชุนหมิง เฉินซวงกับจิ้นเยวี่ยก็ดีใจมาก ทั้งสองรีบเดินเข้าไปหา เฉินซวงเข้าไปตบไหล่จี่ชุนหมิงก่อน เมื่อจี่ชุนหมิงหันมา เฉินซวงถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วประสานมือคารวะ

“คารวะท่านเสนาบดี”

จิ้นเยวี่ยก็ประสานมือคารวะตามเขาด้วย “คารวะท่านเสนาบดี”

พอจี่ชุนหมิงได้พบพวกเขา ตอนแรกดูดีใจ แต่แล้วใบหน้าก็แดงระเรื่อทันที “อย่า…อย่าเรียกเช่นนี้ เรียกชื่อข้าก็ได้”

หญิงชราที่ร้องขายดอกบัวแฝดทำตาเบิกกว้าง “ชุนหมิง เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งหรือ”

แม้จี่ชุนหมิงจะเก้อกระดากแต่สีหน้าพึงพอใจไม่อาจปิดบังอยู่หลายส่วน ชายหนุ่มพยายามทำท่าทำทางอธิบาย พอได้เห็นเขา ความเศร้าหมองในอกของจิ้นเยวี่ยก็พลันคลี่คลาย อดหันไปหัวเราะกับหญิงชราไม่ได้ หญิงชรากล่าวอวยพรที่จี่ชุนหมิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมอาญา นางมอบดอกบัวแฝดสองสามดอกแก่เขา ดอกบัวแฝดนี้เป็นของที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในเทศกาลชีซี* ที่เหลียงจิง ชาวนาเก็บดอกบัวที่ยังไม่แย้มบานจากทุ่งนา ใช้เชือกฟางบางๆ หรือตอกไม้ไผ่มัดให้ติดกัน ทำเลียนแบบดอกบัวแฝด คนนิยมซื้อกันมาก

จี่ชุนหมิงหอบดอกบัวกอใหญ่ ดึงดูดสายตาคนคุ้นหน้าตามท้องถนนจนพากันปิดปากหัวเราะเบาๆ บัณฑิตหน้าบางดุจกระดาษ เขาจึงรีบหันไปยกดอกบัวทั้งกอใส่อ้อมแขนจิ้นเยวี่ย

เฉินซวงซื้อตุ๊กตาหมัวเฮอเล่อ** หน้าตาน่ารักสองคู่จากข้างทาง คู่หนึ่งให้จิ้นเยวี่ย อีกคู่เก็บไว้เอง เขารับดอกบัวแรกแย้มฉ่ำน้ำค้างจากอ้อมแขนจิ้นเยวี่ย

“ท่านเสนาบดีซื้อดอกบัวแฝดให้ใครกัน ให้รองหัวหน้าเว่ยหรือ”

สีหน้าจี่ชุนหมิงเปลี่ยนไปบ้าง เกาศีรษะแกรกๆ “เพียงซื้อกลับบ้านไปดูเล่นเท่านั้น”

ทั้งสามคนเดินเล่นพลางดูข้าวของตามท้องถนน บนถนนในเหลียงจิงที่จัดงานเทศกาลชีซีคึกคักไม่ธรรมดา มีทั้งแผงค้าตุ๊กตาหมัวเฮอเล่อทำจากดินเหนียว ตุ๊กตาขี้ผึ้งเป็ดยวนยาง ยังมีของเล่นหมู่บ้านจำลอง ขนมปั้นรูปทรงคนสวมเสื้อเกราะ เครื่องราง อะไรที่ควรมีล้วนมีหมด กระจับแดงก็มีวางขาย เนื้อขาวผลอวบรสหวานละมุน มีมะละกอ ลูกท้อสีทอง สาลี่ และแตงหวานวางขายเคียงกัน เฉินซวงต่อราคาเก่งมาก เขาหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังปากหวาน พี่สาวที่ขายผลไม้ถูกเย้าเล่นจนหัวเราะร่วน จึงมอบผลไม้มากมายให้โดยไม่คิดเงิน

จิ้นเยวี่ยกับจี่ชุนหมิงกินลี่จือเกา*** อยู่ข้างๆ เฉินซวงกลับมาก็เห็นจิ้นเยวี่ยทำท่าหูผึ่งคอยฟังคนข้างๆ พูดคุยกัน สองสามคนนั้นคุยกันเรื่องที่เว่ยเหยียนรองหัวหน้าสำนักอัยการแต่งงานกับบุตรีคนรองของเสนาบดีกรมพิธีการ บัณฑิตหนุ่มกับหญิงงามนับเป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้าง สีหน้าจี่ชุนหมิงไม่สู้ดี แต่จิ้นเยวี่ยอยู่ด้วย เขาจึงไม่สะดวกจะสะบัดชายแขนเสื้อจากไป จำต้องอยู่เงียบๆ จะยืนหรือนั่งล้วนไม่เป็นสุข

จิ้นเยวี่ยลุกขึ้นพูดว่า “ขนมลี่จือเกานี่ไม่เห็นอร่อย ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วก็จูงมือจี่ชุนหมิงเดินออกมา โยนคำพูดเหล่านั้นทิ้งไว้เบื้องหลัง เขากับเฉินซวงพาจี่ชุนหมิงไปส่งถึงบ้าน ระหว่างทางจี่ชุนหมิงพูดคุยกับจิ้นเยวี่ยถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเหลียงจิง

ย่อมไม่ต้องพูดถึงงานมงคลของเว่ยเหยียน เรื่องใหญ่ที่สุดของราชสำนักก็คือฮ่องเต้เหรินเจิ้งหมดสติหลายครั้งหลายหน จนบัดนี้ก็ยังออกว่าราชการไม่ได้

จี่ชุนหมิงได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมอาญา เรื่องอาการเจ็บป่วยของฮ่องเต้อย่างน้อยก็ล้วนเป็นที่รับรู้ชัดเจนในหมู่ขุนนางชั้นสูงของหกกรม ร่างกายของฮ่องเต้เหรินเจิ้งเสื่อมทรุดลงเรื่อยๆ ในใจทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากองค์รัชทายาทแห่งต้าอวี่สิ้น ตำแหน่งรัชทายาทก็ว่างลง แทบทุกคนในราชสำนักล้วนคิดว่าตัวเลือกที่เหมาะที่สุดก็คือองค์ชายสาม ทว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งกลับยังรีรอ ไม่มีราชโองการแต่งตั้งลงมา

เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งหนึ่งหลังจากหมดสติ พอฮ่องเต้เหรินเจิ้งได้สติขึ้นมาเห็นชัดว่าผู้อยู่ตรงหน้าคือองค์ชายสามกับพระสนมฮุ่ย ฮ่องเต้เหรินเจิ้งกลับกุมมือองค์ชายสามไว้ แล้วเรียกว่า ‘ต้วนเอ๋อร์’

ไม่ช้าก็มีม้าเร็วห้อตะบึงออกจากเมืองเหลียงจิงไปยังเมืองเฟิงหู ว่ากันว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งคิดถึงองค์ชายห้าเฉินต้วนจนแทบรอไม่ไหวที่จะได้พบหน้า

สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ใครๆ ต่างก็ตระหนักได้ว่าตำแหน่งรัชทายาทขององค์ชายสามเฉินหรงอาจเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้ประจวบเหมาะกับมีข่าวจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือแจ้งมาว่าองค์ชายห้าเฉินต้วนบุกเข้าไปในจินเชียงตามลำพัง พบปะกับแม่ทัพสี่แล้วสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังนำแผนที่แคว้นจินเชียงส่วนที่อยู่นอกด่านไป๋เชวี่ยกลับมาด้วย แม้แต่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งที่ล้มป่วยนอนซมบนเตียงก็ยังยินดี เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า ‘ลูกคนนี้เหมือนเราตอนหนุ่มไม่มีผิด!’

เวลานี้กองพลพิทักษ์ชายแดนใต้ยังแจ้งข่าวมาด้วยว่าชายแดนใต้มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ก่วงเหรินอ๋องซ่งไหวจางจึงเคลื่อนกำลังพลไปปราบปราม

จิ้นเยวี่ยตกใจมาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเฉินหรงจึงไม่ยอมเปิดประตูระบายน้ำไปทางแม่น้ำมู่เหอ ตอนนี้ก่วงเหรินอ๋องกำลังต่อสู้อย่างแข็งขันที่ชายแดนใต้เพื่อเฉินหรง ชายหนุ่มจึงไม่อาจปล่อยให้น้ำท่วมพื้นที่ของก่วงเหรินอ๋อง

“ขอเพียงชายแดนใต้ยังมีก่วงเหรินอ๋องคอยพิทักษ์ เฉินหรงก็ยังมีคนที่พึ่งได้” จิ้นเยวี่ยบอก “แต่ข้าคาดไม่ถึงว่าเฉินต้วนจะกลายเป็นคู่ปรับแย่งชิงอำนาจเขา”

พูดพลางเดินไปด้วย พริบตาก็มาถึงประตูร้านของจี่ชุนหมิง พี่รองเหยากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตรงประตู พอเห็นจิ้นเยวี่ยกับเฉินซวง นางก็พลันรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที

“ได้ยินว่าแถบลุ่มน้ำเสิ่นสุ่ยน้ำท่วมแล้ว ข้ากับชุนหมิงกังวลใจทั้งวันคืน โชคดีที่พวกเจ้าไม่เป็นไร”

จิ้นเยวี่ยมอบดอกบัวแฝดคืนให้จี่ชุนหมิง จี่ชุนหมิงกลับมอบแก่เขากำหนึ่ง

“เมื่อดอกบัวแฝดบาน วาสนานกหลวนจะมา” จี่ชุนหมิงบอก “คืนวันที่เจ็ดนี้ กลับบ้านแล้วเอาไปแช่น้ำ ดอกบัวจะบานเวลากลางคืน”

เฉินซวงมอบกระจับแดงกับตุ๊กตาหมัวเฮอเล่อที่เพิ่งซื้อมาให้พี่รองเหยา นางทั้งตกใจทั้งยินดี

“ข้าก็ได้ด้วยหรือ”

“พี่รองเหยารูปงามออกปานนี้ วันนี้ไม่มีใครมอบของขวัญหรือ” เฉินซวงแสร้งทำเป็นตกใจ “หากรู้เช่นนี้ก่อน จะเหมาข้าวของทั้งถนนอินหรงส่งมาให้ท่าน”

เขาให้แล้วก็แล้วไป มิได้มีความมุ่งหมายอื่นใด ประกอบกับพออยู่กับเยวี่ยเหลียนโหลวบ่อยเข้าจึงได้เรียนรู้การพูดจาจากเยวี่ยเหลียนโหลวมาบ้าง คำพูดนี้ทำเอาพี่รองเหยาดวงตาเป็นประกาย พอตกค่ำพี่รองเหยาแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่มาชวนชายหนุ่มออกไปดูโคมไฟด้วยกัน เฉินซวงนิ่งอึ้งไปอย่างแท้จริง

บ่าวรับใช้ในจวนมารายงานว่าเฉินซวงพูดคุยอยู่ที่ประตูกับพี่สาวรูปงามผู้หนึ่ง ท่าทางเงอะงะ จับหูเกาศีรษะให้วุ่นวายไปหมด

จิ้นเยวี่ยนึกสนุกขึ้นมาทันที ออกไปขอดูด้วย พอได้เห็นพี่รองเหยาในชุดเสื้อผ้าใหม่ ก็อดตะลึงงันไม่ได้

“พี่รองเหยา ท่านงามจริงๆ” เขาร้องชมอย่างจริงใจ “หญิงสาวในเมืองเหลียงจิงที่ดูงดงามทัดเทียมท่าน พลิกดูทั่วเมืองก็หาคนที่สองไม่พบ”

เฉินซวงหันไปหาจิ้นเยวี่ย ในดวงตาเหมือนซ่อนประโยคที่ว่า ‘เจ้าก็หัดพูดจาอย่างเยวี่ยเหลียนโหลวด้วยหรือ’

พี่รองเหยาเอียงคอเล็กน้อย ยกพัดกลมงามประณีตขึ้นป้องปาก ปิ่นหยกประดับศีรษะและต่างหูส่ายไหวไปด้วยขณะนางหัวเราะเบาๆ

“เจ้านี่ดีจริง แต่วันนี้ข้าเพียงอยากนัดพบเฉินซวง” นางมองตรงไปที่เฉินซวง ถามไปหนึ่งครั้งอย่างมิได้หวั่นกลัวหรือเก้อเขิน “ชวนเจ้าไปดูโคมไฟ จะไปหรือไม่”

เฉินซวงหันไปมองจิ้นเยวี่ยอีกครั้ง ท่าทางเหมือนอยากขอความช่วยเหลือ

จิ้นเยวี่ย “อยากไปก็ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า อีกประเดี๋ยวผู้อาวุโสเติงจะนำ ‘ปกิณกะชาวยุทธ์’ ม้วนใหม่มาให้ข้า ข้ามีหลายเรื่องอยากถามเขา”

เฉินซวง “…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้”

จิ้นเยวี่ย “อ้อ ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ข้านะ พวกเจ้าเดินเที่ยวกันให้สนุกเถอะ”

เขาผลักเฉินซวงทีหนึ่ง เฉินซวงก็กระโจนลงบันไดสองก้าวมายืนต่อหน้าพี่รองเหยา

หญิงสาวถอนหายใจ “ไม่ไปก็ช่าง ข้าขายหน้าไม่ใช่ครั้งแรก”

เฉินซวงรีบบอก “ไม่ใช่! ไม่ใช่ ไม่ใช่ไม่ไป! ข้าจะกลับไปเตรียมตัวก่อน”

เห็นเขาวิ่งกลับเข้าไปในจวน พี่รองเหยากับจิ้นเยวี่ยก็หันมาแอบหัวเราะ รอจนเฉินซวงกลับมา จิ้นเยวี่ยกับพี่รองเหยาก็พากันตกตะลึง เขาถึงกับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ปกติเฉินซวงแต่งกายสามัญ คืนนี้เปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ ดูแล้วเป็นชายหนุ่มท่าทางปราดเปรียวจริงๆ จิ้นเยวี่ยอดหัวเราะไม่ได้

“หล่อเหลายิ่งนัก!”

เฉินซวงกับพี่รองเหยาเดินเคียงไหล่กันห่างออกไป จิ้นเยวี่ยยืนพิงประตูมองส่งพวกเขาอย่างปลาบปลื้ม ยามที่เสิ่นเติงมาถึง ก็เห็นเขากำลังพูดกับเด็กน้อยหลายคนที่ชูช่อดอกบัว

พอได้รู้ว่าเฉินซวงออกไปข้างนอกกับหญิงสาวอย่างผิดคาด เสิ่นเติงก็ตกใจมาก

“เรื่องนี้หาได้ยากนัก”

“เฉินซวงอยู่กับพรรคหมิงเยี่ยอย่างน้อยๆ ก็สิบปี ไม่เคยมีคนในดวงใจสักคนสองคนเลยหรือ” จิ้นเยวี่ยถาม

ตามที่เสิ่นเติงเล่า เฉินซวงรูปโฉมโดดเด่น นิสัยใจคอก็ดีมาก ในพรรคหมิงเยี่ยคนชื่นชอบเขามิได้มีแค่คนสองคน ทั้งชายทั้งหญิงล้วนมีหมด คนที่สารภาพรักกับเขาอย่างมีไมตรีย่อมมีไม่น้อย เฉินซวงเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ ไม่ทำให้ใครรู้สึกเกลียด พอพบเรื่องเช่นนี้บ่อยเข้าก็จะออกไปเดินเล่นร่ำสุรากับผู้อื่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยเห็นเขาไปมาหาสู่สนิทสนมกับผู้ใดเป็นพิเศษ

“เขาไม่เคยเล่าเรื่องราวในอดีตของตนเองให้เจ้าฟังบ้างหรือ” เสิ่นเติงถาม

จิ้นเยวี่ย “เคยเล่าว่าเขาเป็นชาวฉยงโจว ข้ามทะเลมาต้าอวี่พร้อมกับมารดา”

เสิ่นเติง “มารดาของเขาผู้นั้นบัดนี้ไปอยู่เสียที่ใด ข้ามทะเลมาถึงต้าอวี่แล้วเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เคยเล่าหรือ”

จิ้นเยวี่ยอดตกตะลึงไม่ได้ “ข้าคิดว่าเขามาถึงต้าอวี่แล้วก็เข้าพรรคหมิงเยี่ย”

เสิ่นเติงหัวเราะเบาๆ “ไม่รวดเร็วปานนั้น ระหว่างนั้นอย่างน้อยก็ตั้งหกเจ็ดปี ถ้าเขาอยากเล่าก็คงจะเล่าให้เจ้าฟัง”

จิ้นเยวี่ยฉุกคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมารางๆ “เขาเคยมีความเป็นมาอะไรกับข้าหรือไม่”

เสิ่นเติง “ความเป็นมาระหว่างเขากับเจ้าเกี่ยวข้องกับเมืองเหลียงจิง ข้าไม่อาจพูดอีกแล้ว เจ้ารอสักหน่อยเถอะ เจ้าเด็กเฉินซวงคนนี้ปกปิดเก่ง แต่เขาก็เป็นเด็กดี เทียบกับเยวี่ยเหลียนโหลวกับหร่วนปู้ฉีที่เจ้าคุ้นเคยแล้ว ดีกว่ามาก”

ที่เสิ่นเติงนำมาให้ มิได้มีเพียง ‘ปกิณกะชาวยุทธ์’ ม้วนใหม่ ยังมีสมุดเล่มบางที่เขาจดบันทึกเป็นประจำส่วนหนึ่ง ล้วนมีเรื่องราวแปลกประหลาดเขียนไว้ ทั้งเรื่องของพวกเล่นคุณไสยแถบทางใต้ เรือสำเภาในทะเลรั่วไห่ ดอกฝูหรง* ในหุบเขาฝูหรงที่อยู่มานับพันปีไม่แห้งเหี่ยว ถ้ำลึกลับในหุบเขาเซียนเหมินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาว ต่างๆ นานา

จิ้นเยวี่ยนึกนับถือประสบการณ์ท่องใต้หล้าและความรอบรู้ของเสิ่นเติงอย่างยิ่ง เสิ่นเติงยิ้มแล้วพูดว่า

“ล้วนเป็นสถานที่ที่ข้าเคยไปเมื่อครั้งยังหนุ่ม ได้ออกท่องเที่ยวแล้วจึงรู้ว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ ชาวยุทธ์ร่อนเร่พเนจรทั่วหล้า กินอยู่หลับนอนได้ทุกที่ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังมีสถานที่บางแห่งไม่อาจไปถึง รอให้ธุระการงานของพรรคหมิงเยี่ยซาลงก่อน ให้เยวี่ยเหลียนโหลวกับหร่วนปู้ฉีสร้างผลงานสมกับเป็นนักล่าหยินและหยางเสียก่อน ข้าค่อยออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง”

ด้านหลังเสิ่นเติง ดอกบัวแฝดที่ปักในแจกันเคลือบสีขาวค่อยๆ เบ่งบาน เมล็ดบัวที่ยังอ่อนซ่อนอยู่ในชั้นกลีบบัวซับซ้อน

“เป็นอะไรไป” เสิ่นเติงถาม

“…ข้าคิดถึงคนผู้หนึ่งเหลือเกิน” จิ้นเยวี่ยเอ่ยแผ่วเบา “เขากับข้าคล้ายกัน ล้วนมีจิตวิญญาณกระหายจะท่องไปทั่วสารทิศ”

เสิ่นเติงพยักหน้า เขารู้ว่าจิ้นเยวี่ยเอ่ยถึงผู้ใด “อยากพบเขา?”

จิ้นเยวี่ยหลับตา กลิ่นดอกบัวกรุ่นกำจาย คล้ายมีคล้ายไม่มี

“…อยากพบมาก” จิ้นเยวี่ยยอมรับ “ข้ากลับมาถึงต้าอวี่ แต่ละที่ล้วนมีแต่ความเจ็บปวดและแผนการร้าย มีเพียงคิดถึงเขาจึงจะรู้สึกสงบใจและเป็นสุข แต่ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบกันอีกครั้ง ทุกวันก่อนจะได้พบกันอีก ข้ามีแต่ความร้อนรน”

 

เวลานี้ ณ ที่ราบฉือวั่งหยวนอันห่างไกล หัวกวางแห่งเขาเซวี่ยหลางกำลังลุกโชติช่วงใต้แสงจันทร์เสี้ยว

ในกระโจมบัญชาการของเผ่า จั๋วจั๋วอยู่ในอ้อมอกจูเยี่ย พยายามฟังเสียงทารกตรงหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของนาง

“เหตุใดน้องชายไม่ส่งเสียง”

“ยังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง ทั้งตอนนี้ก็ยังพูดไม่ได้” จูเยี่ยหยุดคิด “ไม่สิ เด็กคนนี้ไม่ใช่น้องชายและไม่ใช่น้องสาวของเจ้าด้วย”

เฮ่อหลันเฟิงคอยฟังอยู่ข้างๆ ท่าทางวิตก “จั๋วจั๋วคิดอ่านเช่นนี้ จะเป็นอ๋องเกาซินได้หรือ”

เฮ่อหลันจินอิงหลุดขำ “เจ้ายังจะให้นางเป็นจริงๆ หรือ”

เฮ่อหลันเฟิงทำความสะอาดหนังกระต่าย “แน่นอน ข้าไม่เป็น ท่านไม่เป็น ก็เหลือแต่นางแล้ว”

เฮ่อหลันจินอิงส่ายหน้า “ไม่ต้องมีอ๋องเกาซินอะไรนั่นแล้ว บัดนี้เผ่าเกาซินใช้ชีวิตร่วมกับเผ่านู่ซาน จะมีอ๋องหรือไม่มี ล้วนไม่มีความหมาย”

สองพี่น้องหยิบคันธนูกับลูกธนูแล้วออกจากกระโจม เตรียมเริ่มการออกล่าสัตว์ยามค่ำคืน ตอนที่ออกเดินทาง เฮ่อหลันเฟิงได้ยินเสียงหย่วนซังทะเลาะกับอาขู่ล่ามาแต่ไกล ตั้งแต่พาหญิงสาวกลับมาเผ่านู่ซาน นางก็ทะเลาะกับผู้อื่นแทบทุกวัน เฮ่อหลันเฟิงเห็นจนไม่รู้สึกประหลาดใจอีก ทั้งยังล้มเลิกความตั้งใจจะเข้าไปไกล่เกลี่ยให้นานแล้ว ไม่ว่าหย่วนซังจะเจ้าอารมณ์สักเพียงใด หรือประพฤติตัวไม่เป็นที่ชอบใจผู้อื่นนัก แต่คนของเผ่านู่ซานก็ยังนับถือและพึ่งพานาง ราวกับว่านี่เป็นการยอมรับนับถือที่ฝังอยู่ในสายเลือด

ค่ำคืนในฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย ดวงดาวลอยเด่นบนฟากฟ้า เฮ่อหลันเฟิงขี่เฟยเซียวโลดแล่นบนทุ่งหญ้า สายลมพัดเส้นผมยาวและชายเสื้อจนพลิ้วสะบัด เขารู้สึกราวกับตนเองถูกสายลมหอบขึ้นไปบนฟ้า เป็นเพียงใบหญ้าที่เปี่ยมอิสรเสรี

เฮ่อหลันจินอิงควบม้าไล่ตามมา เสียงฟาดแส้ดังขวับ เขาเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าจะไปต้าอวี่ จริงหรือ”

“แน่นอน” เฮ่อหลันเฟิงไม่ลังเลสักนิด “ข้าพาหย่วนซังกลับมา จัดหาที่ทางให้ชาวเผ่าเกาซินเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะไปทำเรื่องที่อยากทำ”

สองพี่น้องรั้งสายบังเหียนหยุดม้าเกาซินของตนเอง แสงจันทร์เยือกเย็น หญ้าพัดพลิ้วใต้กีบเท้าม้าดุจระลอกคลื่น บนทุ่งหญ้าราวกับว่ามีลูกคลื่นกระเพื่อมไหว

เฮ่อหลันจินอิงเห็นแสงจันทร์กระจ่างในดวงตาเฮ่อหลันเฟิง น้องชายของเขาเติบโตเร็วนัก ความเยาว์วัยในดวงหน้าเลือนหายไปสิ้นจนบัดนี้กลายเป็นหล่อเหลาคมคาย จะพูดจาหรือทำการสิ่งใดก็ล้วนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว

แสงจันทร์อาบไล้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเฮ่อหลันเฟิง

“ข้าอยากไป” เขากำสายบังเหียนเฟยเซียวไว้มั่น ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าจะไปต้าอวี่ ไปหาเล่อหม่าของข้า”

 

* เทศกาลจงหยวน หรือเทศกาลสารทจีน ตรงกับวันที่สิบห้า เดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษโดยจัดพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้

* ชาหลงจิ่ง เป็นชาที่เก็บเกี่ยวก่อนถึงเทศกาลชิงหมิง เนื่องจากมีรสชาติเป็นเลิศและเก็บเกี่ยวได้น้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นชาที่หายากและมีราคาสูง

* เทศกาลชีซี ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลความรักของจีน โดยมีตำนานความรักของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าเป็นเรื่องเล่าประจำเทศกาล

** หมัวเฮ่อเลอ เป็นตุ๊กตาที่ทำออกมาให้มีลักษณะคล้ายเด็กหน้าตาน่ารัก ทำจากไม้ ดินเหนียว หรือเทียนไข วางขายในเทศกาลชีซีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นสัญลักษณ์ของการมีทายาทสืบสกุลไม่ขาดสาย

*** ลี่จือเกา เป็นขนมหวานซึ่งทำจากบ๊วยแห้งเคี่ยวกับผงอบเชย น้ำตาล และเซ่อเซียงซึ่งเป็นสมุนไพรหอมที่ได้จากชะมดตัวผู้จนเหนียว แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ

* ดอกฝูหรง คือดอกพุดตาน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 02 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: