X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 95-96 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 95 เรื่องยิบย่อย

 

สายตาของทุกคนยังคงจับจ้องไปที่ไหใบนั้น บรรยากาศในห้องเงียบจนดูวังเวง

สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ทนกับบรรยากาศนี้ไม่ไหวจึงถามไป๋เยวี่ยหูว่าไหนี้มันเป็นมายังไงกันแน่ ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือไปเคาะที่ตัวไหอยู่สองครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ

“มันไม่ยอมพูด” ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งั้นก็จับมันกินไปเลยแล้วกัน”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างจริงจังต่อไปอีกว่า “กินแล้วก็จบเรื่อง”

ไหนั้นได้ยินที่ไป๋เยวี่ยหูพูดก็เริ่มออกอาการสั่นและทำตัวน่าสงสารขึ้นมาอีกครั้ง มันอยากจะร้องออกมาแต่เพื่อรักษาชีวิตตัวเองจึงต้องกลั้นเอาไว้ไม่ให้ร้อง

ลู่ชิงจิ่ว “…ไหมันกินได้จริงๆ เหรอ”

“ข้างในมันมีเนื้ออยู่” ไป๋เยวี่ยหูมองที่ไหแล้วพูดออกมา “แต่ว่าดูท่าแล้วคงไม่ใช่เนื้อที่อร่อยอะไรมากนักหรอก”

สามคนที่เหลือเงียบยิ่งกว่าเดิม ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีได้ยินเนื้อหาที่ทั้งสองพูดคุยกันก็ถึงกับตกใจ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่าไหในมือของไป๋เยวี่ยหูมีปีศาจอยู่ แถมยังพูดถึงเนื้อที่อยู่ข้างในอีก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าที่ไป๋เยวี่ยหูพูดมันฟังดูเหมือนจะกินปูอย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินหรอก อีกสักพักก็จะได้ไปกินเนื้อย่างแล้ว” ลู่ชิงจิ่วรีบพูดเกลี้ยกล่อมไป๋เยวี่ยหู “แล้วพวกคุณจะทำยังไงกับไหนี่ต่อล่ะครับ” เขามองไปที่หูซู่

หูซู่ที่ถูกถามไปต่อไม่ถูก “ไม่รู้เหมือนกัน ดูแล้วเจ้าทุกข์ก็ไม่ได้แจ้งความเท็จ โยนทิ้งไปเลยดีมั้ย หรือไม่ก็ทุบให้พังไปเลย” เขากลัวเจ้าสิ่งนี้จริงๆ

“หรือว่าไปกินข้าวกันก่อนดีกว่ามั้ยครับ” จะว่าไป ก็รอมาตั้งนานแล้ว ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา และดูท่าทางว่าเรื่องไหผีสิงนี่คงเคลียร์ไม่จบง่ายๆ สู้คุยไปด้วยกินไปด้วยน่าจะดีกว่า

“งั้นก็ได้” หูซู่ที่คิดว่าใกล้จะเลิกเวรแล้วจึงเห็นด้วยกับสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วกล่าวมา

ไป๋เยวี่ยหูนำไหกลับไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม ทุกคนค่อยๆ ทยอยออกจากห้องอย่างระมัดระวังและล็อกประตูเอาไว้

เพื่อนร่วมงานที่ต้องเข้าเวรต่อมาถึง เขาเห็นหูซู่และเพื่อนๆ ที่เหลือ หูซู่จึงแนะนำลู่ชิงจิ่วให้รู้จักพร้อมกำชับเพื่อนที่มารับเวรต่อว่าห้ามเปิดประตูห้องนั้นโดยเด็ดขาด

เพื่อนร่วมงานทำหน้าสงสัย “ทำไมถึงห้ามเปิดประตูล่ะ ข้างในเก็บอะไรไว้น่ะ”

ผังจื่อฉี “บอกว่าห้ามเปิดก็อย่าเปิด ถามอะไรเยอะแยะ”

เพื่อนร่วมงาน “บ้าเอ๊ย ผังจื่อฉี นายกับหูซู่ไปเก็บของกลางแปลกๆ มาได้อีกแล้วสินะ”

ผังจื่อฉีและหูซู่มองหน้ากันเอง ทั้งสองรู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็ต้องฝืนทำตัวไม่ให้มีพิรุธ

ผังจื่อฉี “นายพูดอะไรน่ะ ฉันใช่คนแบบนั้นซะที่ไหน ไป หูซู่ ไปกินข้าวดีกว่า หิวจะแย่อยู่แล้ว”

หูซู่ “ไปๆๆ”

แน่นอนว่าเมื่อเดินไปถึงที่หน้าประตู หูซู่เองก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปเตือนเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามเปิดประตูนั้นเด็ดขาด

เพื่อนร่วมงานมองหน้าพวกเขาทั้งสองอย่างสงสัย

ระหว่างทางที่กำลังไปร้านเนื้อย่างพวกเขาก็ได้คุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไปด้วย ทุกคนเห็นตรงกันว่าไหนั่นไม่สามารถโจมตีใครได้ ไม่งั้นคนที่โดนคนแรกก็ต้องเป็นคนที่แจ้งความ แค่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างในนั้นกันแน่

“ปกติพวกนายชอบเอาของแปลกๆ มาเก็บไว้ที่โรงพักเหรอ” อิ่นสวินได้ยินที่เพื่อนตำรวจพูดเมื่อครู่เลยถามออกมาอย่างสงสัย

หูซู่มองไปที่หน้าผังจื่อฉีซึ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่ผังจื่อฉีจะมาอยู่ที่นี่ หูซู่คือนายตำรวจเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่ง แต่หลังจากที่ผังจื่อฉีมาแล้ว แนวทางการทำคดีของพวกเขาก็เบนไปทางสืบสวนพวกคดีลี้ลับ แล้วก็มีหลายครั้งที่บางเรื่องยิ่งสืบก็ยิ่งน่ากลัว

อิ่นสวินถาม “อย่างเช่นเรื่อง?”

“อย่างอาทิตย์ที่แล้วก็มีคนมาแจ้งความว่าแมวที่บ้านหายไป” หูซู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

อิ่นสวินรู้สึกประหลาดใจ “แค่หาแมวไม่เจอเลยมาแจ้งความเนี่ยนะ”

“ก็เมืองนี้มันเล็ก คดีอะไรก็รับแจ้งทั้งนั้นแหละ” หูซู่ถอนหายใจ “ตอนนั้นพวกเราไปดูที่เกิดเหตุก็ไม่เห็นแมวจริงๆ แต่ว่าแมวตัวนั้นเหมือนถูกปีศาจกินเข้าไป”

“ถูกกินเข้าไป?” ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา

หูซู่พูด “ใช่แล้ว ตอนที่เจอซากของแมวก็เหลือแต่ขนและชิ้นส่วนของมันเพียงเล็กน้อย เรียกว่าแทบจะถูกกินจนไม่เหลือซากเลย” เขาถอนหายใจยาว “ตอนนั้นพวกเราก็สงสัยว่ามีสัตว์ป่าหลุดมาจากบนเขาหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เลยต้องรีบสืบเรื่องต่อไป”

อิ่นสวิน “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

หูซู่นั่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไร เขาใช้สายตาอันคับแค้นใจมองไปที่ผังจื่อฉี

ผังจื่อฉีถอนหายใจ พูดต่อจากส่วนที่หูซู่ไม่ได้พูดไป “หลังจากนั้นก็มีอยู่คืนหนึ่งที่พวกเราหาตัวฆาตกรที่ฆ่าแมวตัวนั้นเจอ”

ทุกคนนั่งเงียบตั้งใจฟัง

ผังจื่อฉี “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งนั้นมันคือตัวอะไรกันแน่ มันมีส่วนที่คล้ายๆ ลิง แล้วก็คล้ายคนด้วยตอนที่เจอมันกำลังห้อยอยู่บนหลังคา โดยที่มือมันยังถือซากแมวที่กัดกินไปแล้วครึ่งหนึ่งไว้อยู่”

“บนพื้นมีแต่คราบเลือดและเศษซากกระดูก พระเจ้า ภาพแบบนั้นชาตินี้ฉันคงไม่มีทางลืมได้ลงแน่” หูซู่พูดอย่างเจ็บปวดใจ

โชคยังดีที่ตอนนั้นพวกเขาพกปืนไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดเหตุไม่คาดฝันแน่ ทว่าเรื่องไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะวันนั้นสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาเกาะแกะที่ตัวของหูซู่ด้วย และมันได้ทิ้งบาดแผลเอาไว้ซึ่งกว่าจะหายก็ปาไปแล้วหลายสิบวัน

เรื่องที่เล่าจบลงในขณะที่ทุกคนเดินเข้าไปในร้านพอดี

ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีน่าจะเป็นขาประจำของร้านนี้ เพราะทันทีที่เจ้าของร้านเห็นหน้าพวกเขาก็คลี่ยิ้มออกมา “วันนี้เอาเหมือนเดิมใช่มั้ย”

หูซู่ “วันนี้ขอเป็นเนื้อแกะแล้วกันครับ แล้วก็เอาเบียร์สองแพ็กแบบแช่เย็นครับ”

เจ้าของร้าน “ได้เลย เซี่ยงจี๊* ย่างสักสองไม้ด้วยมั้ย ของเพิ่งมาลง สดๆ ใหม่ๆ เลย”

หูซู่ “ได้ครับ แล้วมีเนื้อส่วนตรงอกมั้ยครับ”

เจ้าของร้าน “มีๆ แต่ว่าไม่เยอะมากนะวันนี้”

หูซู่ “งั้นก็ตามนี้เลย”

ลู่ชิงจิ่วที่กำลังนั่งฟังอยู่ข้างๆ ได้กลิ่นหอมๆ ของเนื้อย่าง ปัจจุบันจะหาร้านในเมืองที่ใช้เตาถ่านย่างอยู่นอกร้านแบบนี้ไม่ง่ายแล้ว เพราะหนึ่งคือทำให้เสียทัศนียภาพและสองเป็นมลพิษทางอากาศ แน่นอนว่าเมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้พิถีพิถันกับเรื่องเหล่านี้มากนัก อย่างไรก็ตามบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่ก็แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และภูเขา ซึ่งแทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศเลย

เนื้อส่วนอกคือส่วนบนของเนื้อวัวที่มีไขมันสีขาวๆ แทรกอยู่ ซึ่งคนที่ไม่เคยกินอาจจะรู้สึกว่าเลี่ยนไปหน่อย แต่ว่าเมื่อย่างแล้วจะให้รสชาติที่ดีมาก เนื้อเหนียวนุ่ม ละมุนปาก เมื่อกัดลงไปส่วนมันจะกระเซ็นออกมาแถมยังมีความหอมเฉพาะตัวของมันอีกด้วย เนื้อส่วนนี้ค่อนข้างจะน้อย ใช่ว่าจะหากินที่ไหนก็ได้ ดูท่าทางแล้วร้านนี้ถือว่าไม่เลวเลย

ในขณะที่รออาหาร หูซู่ก็ได้พูดกับผังจื่อฉีถึงคดีที่เขารับผิดชอบ คดีพวกนี้เขาต้องไขแบบไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่มันเพิ่มความซับซ้อนขึ้นมาจนจากคดีธรรมดาๆ เริ่มจะเบนไปในทางที่ไม่ค่อยปกติ อย่างเช่นคดีเรื่องไหสองใบวันนี้ ตอนที่พวกเขาทั้งสองรับเรื่องก็คิดว่าคนแจ้งความต้องมีปัญหาทางจิตแน่นอน ใครจะไปรู้ว่าที่มีปัญหาไม่ใช่คนที่แจ้งความแต่กลับเป็นไหสวยๆ สองใบนั้น

หูซู่รู้ว่าลู่ชิงจิ่วไม่ใช่คนธรรมดาและเมื่อเขาเห็นเบียร์ที่มาเสิร์ฟถึงโต๊ะจึงรีบรินเหล้าให้ลู่ชิงจิ่วโดยทันที “พี่ลู่ ควรจะทำยังไงกับไหใบนั้นดี พวกเราคงปล่อยทิ้งไว้ที่โรงพักอย่างนี้ไม่ได้หรอก”

ลู่ชิงจิ่วดื่มไปอึกหนึ่งแล้วพูดว่า “ผมเองก็ไม่ได้มีวิธีที่ดีอะไรหรอก กินข้าวกันก่อนดีกว่า อิ่มแล้วค่อยว่ากัน”

เขาพูดแล้วมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู ถึงอย่างไรถ้าไม่ทำให้คนอย่างไป๋เยวี่ยหูอิ่มเสียก่อนรับรองได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีอารมณ์มายุ่งเรื่องนี้ด้วย

ไป๋เยวี่ยหูแทบไม่มีกะจิตกะใจกับเรื่องของคดีที่กำลังคุยกัน เขาสนใจเนื้อย่างที่กำลังพลิกไปพลิกมาบนเตาถ่านพร้อมส่งกลิ่นหอมๆ มากกว่า เนื้อย่างมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อแกะที่ขนาดกำลังพอดีและสดใหม่ บนเนื้อโรยด้วยเครื่องเทศและพริกสดที่กำลังส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว

“ไม่งั้นพวกเราค่อยไปปรึกษาเจ้าทุกข์ดีกว่า” หูซู่ยังคงง่วนอยู่กับเรื่องคดีของเขา “เพราะไหนี่มันเป็นสมบัติตกทอดของบ้านเขานี่ แล้วทำไมก่อนหน้าไม่เคยพบเห็นอะไรแปลกๆ เลยล่ะ หรือว่าตัวประหลาดนั่นจะปรากฏตัวออกมาเมื่อมีเงื่อนไขอะไรบางอย่าง”

นิ้วของผังจื่อฉีเคาะไปมาบนโต๊ะ “งั้นเดี๋ยวฉันเรียกเขามาที่นี่แล้วกัน”

หูซู่ว่า “กลัวว่าเขาจะไม่ยอมมาน่ะสิ”

ผังจื่อฉีอารมณ์ร้อน กัดฟันพูดขึ้นมา “ไม่ยอมก็ต้องยอมแล้วล่ะ พวกเราเป็นตำรวจนะ ไม่ใช่พ่อมดหมอผี ถ้าเป็นเรื่องให้เรารับผิดชอบความปลอดภัยของผู้คนก็พอว่า แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว” แม้ว่าความจริงเรื่องนี้แค่ส่งไปที่แผนกนั้นให้มาดูแลก็จบแล้ว

หูซู่ถอนหายใจและเริ่มบ่นว่าพักนี้คดีเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีคดีอะไรเลย ตั้งแต่ผังจื่อฉีมาประจำที่นี่ก็เหมือนได้เปิดโลกใหม่ๆ ให้กับเขา แม้ว่าโลกใบใหม่นั้นเขาไม่ได้อยากจะเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ตาม

ลู่ชิงจิ่วที่นั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันกลับรู้สึกใจเต้น เพราะเขานึกไปถึงเรื่องหิมะตกที่หมู่บ้านครั้งนั้น หรือว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้จะมีส่วนเชื่อมโยงกับอีกโลก เพราะถ้าหากเส้นพรมแดนของทั้งสองภพบางลงเรื่อยๆ จริงๆ แล้วล่ะก็ การใช้ชีวิตของหูซู่และผังจื่อฉีก็คงจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี แล้วพวกมนุษย์ก็จะเจอเรื่องสัตว์ประหลาดและเรื่องแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทำนองนี้คงจะยังไม่มีใครสามารถจัดการได้

เถ้าแก่ของร้านทำอาหารเร็วมาก ตอนนี้เนื้อแกะเสียบไม้ได้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว

อากาศแบบนี้ต้องดื่มเบียร์เย็นๆ กับเนื้อที่เพิ่งย่างมาใหม่ๆ เนื้อแกะย่างถูกหั่นออกเป็นชิ้นบางๆ เวลาย่างรสชาติจึงเข้าเนื้อเป็นอย่างดี ลู่ชิงจิ่วหยิบขึ้นมาหนึ่งไม้ กินไปพร้อมกับเบียร์เย็นๆ

ไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องดื่มมากนัก ทั้งหัวใจของพวกเขามอบให้กับเนื้อแกะเสียบไม้ไปแล้ว

ส่วนทางหูซู่และผังจื่อฉีก็ได้ข้อสรุปตรงกัน โดยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ให้เชิญเจ้าทุกข์คนนั้นมาอีกรอบเพื่อให้ปากคำอย่างละเอียดเกี่ยวกับไหพวกนั้น

“พี่ลู่ ตัวประหลาดที่อยู่ในไหนั่นมันเป็นอันตรายกับคนมากมั้ย” หูซู่กังวลเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

ลู่ชิงจิ่วยังไม่ทันได้ปริปากพูด ไป๋เยวี่ยหูก็พูดแทนขึ้นมาเองว่า “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก” ไม่งั้นเขาคงไม่ให้ลู่ชิงจิ่วเข้าไปร่วมวงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรอก

ผังจื่อฉีถาม “แปลว่านอกจากเสียงที่น่ารำคาญก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้วใช่มั้ย”

“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ เห็นได้ชัดว่าอาหารมื้อนี้ถูกอกถูกใจไป๋เยวี่ยหูไม่น้อย เพราะแบบนั้นเขาถึงได้พูดมากกว่าปกติ “ถึงฉันจะไม่เคยเห็นเจ้านี่มาก่อน แต่จากกลิ่นอายของมันแล้วไม่ได้มีพลังของพวกปีศาจอยู่ในตัว”

“ไม่มีกลิ่นอายปีศาจหมายถึงไม่อันตรายต่อผู้คนใช่มั้ย” หูซู่ย้ำอีกครั้ง

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า

ลู่ชิงจิ่วพอจะเดาออกถึงสิ่งที่ผังจื่อฉีและหูซู่ได้ตกลงกันและก็เป็นไปตามที่คาดไว้เมื่อทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

ผังจื่อฉี “ในเมื่อไม่มีอันตรายอะไรงั้นก็ให้เขาเอากลับไปแล้วกันเนอะ จะเก็บไว้ที่สถานีตำรวจตลอดก็ไม่ได้ด้วย ไม่งั้นจะเสียภาพลักษณ์ตำรวจแย่”

หูซู่ “ใช่ๆ พูดถูก เขายังวัยรุ่นอยู่เลย ต้องกล้าๆ หน่อย ก็แค่ไหใบหนึ่งที่มีคนอยู่ในนั้นเอง อย่างมากก็อาจจะแค่เลี้ยงเพิ่มอีกสักปากท้องหนึ่ง”

ผังจื่อฉี “งั้นก็ให้เขามารับไปพรุ่งนี้แล้วกัน”

หูซู่ “ได้เลย ตามนี้แล้วกัน”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาได้แต่นั่งงงที่เห็นพวกเขาทั้งสองรับส่งกันอย่างเข้าขาขนาดนี้ แล้วที่สำคัญดูจัดการกันอย่างชำนาญ ไม่รู้ว่าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมากี่รอบแล้วกันแน่

เรื่องยุ่งๆ ก็ถือว่าจัดการตามนี้ ทั้งหูซู่และผังจื่อฉียิ้มกว้างออกมาด้วยความโล่งใจ

ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็ยังคงง่วนอยู่กับเนื้อแกะย่างของเขา ดูท่าตอนนี้เขากำลังตกหลุมรักอาหารประเภทนี้เข้าแล้ว

แกะย่างเสียบไม้ร้านนี้รสชาติถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ลู่ชิงจิ่วกินไปพูดไปและเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้มากจนลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้ก็ดึกแล้ว ในเมื่อมื้อนี้ลู่ชิงจิ่วไม่ได้เป็นคนจ่าย ไป๋เยวี่ยหูจึงยัดเต็มที่อย่างไม่เกรงใจจนวัตถุดิบที่ทางร้านตุนเอาไว้หายเกลี้ยงในพริบตา ดีที่หูซู่รู้ดีว่าไป๋เยวี่ยหูกระเพาะไม่ธรรมดา จึงเตรียมใจไว้แล้วก่อนหน้า แต่เมื่อถึงตอนที่คิดเงินหูซู่เองก็ยังคงเจ็บจี๊ดราวกับถูกไม้จิ้มฟันทั้งกล่องทิ่มเข้ากลางอก

“เรื่องครั้งที่แล้วต้องขอบคุณพวกคุณมากๆ เลยนะ” ผังจื่อฉีค่อนข้างดื่มหนัก ส่วนหูซู่เองยังมีสติอยู่ ก่อนที่จะแยกย้ายหูซู่กล่าวขอบคุณกับลู่ชิงจิ่วอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นไป๋เยวี่ยหูต่างหาก”

หูซู่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาไม่พูดอะไรต่อ แม้ว่าคนที่ให้ความช่วยเหลือจะเป็นไป๋เยวี่ยหู แต่ถ้าไม่มีลู่ชิงจิ่วเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว เรื่องก็คงจะจัดการไม่สำเร็จ เพราะไป๋เยวี่ยหูดูท่าไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ฉะนั้นถ้าไม่มีลู่ชิงจิ่ว พวกเขาเองก็คงจะไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ประกอบกับตอนนี้ได้คลุกคลีอยู่กับผังจื่อฉีมาพักหนึ่งทำให้หูซู่พอจะเดาสถานะที่แท้จริงของไป๋เยวี่ยหูออกอยู่บ้าง เขารู้ว่าไป๋เยวี่ยหูไม่ใช่มนุษย์ แต่ส่วนว่าเป็นอะไรนั้นตัวเขาไม่ขอพิสูจน์ดีกว่า

ก่อนจะแยกย้ายกันไป ไป๋เยวี่ยหูมองหน้าหูซู่แล้วพูดจาอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อนว่า “ถ้าเรื่องไหจัดการไม่ได้ ก็เอามาให้ฉันจัดการได้นะ”

หูซู่รู้สึกประหลาดใจแต่ก็รีบกล่าวขอบคุณทันที

ไป๋เยวี่ยหูไม่ตอบกลับอะไรหลังจากนั้น เขาหันหลังกลับไปที่รถ ลู่ชิงจิ่วรู้สึกประหลาดใจเลยถามว่าทำไมครั้งนี้ถึงดูออกตัวขนาดนี้

“เนื้อแกะย่างอร่อยดี” ไป๋เยวี่ยหูพูดตรงๆ

ลู่ชิงจิ่วพูดไม่ออกไปพักหนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา เขาไม่คิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะถูกซื้อง่ายๆ ด้วยเนื้อแกะย่าง ทว่าเมื่อหัวเราะไปได้พักหนึ่งลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา เพราะเขานึกถึงเรื่องที่เส่าเฮ่าชักชวนให้ไป๋เยวี่ยหูไปทำงาน และดูเหมือนว่าจะได้เงินเพิ่มมาแค่ห้าร้อยหยวนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ยังไม่พอกับเนื้อแกะย่างหนึ่งมื้ออยู่ดี

“พรุ่งนี้กลับไปตุ๋นเนื้อกินกัน” ลู่ชิงจิ่วประกาศออกไป “เอาขาหมูไปตุ๋นทำเซาไป๋* แล้วกัน”

ตามที่เสี่ยวฮวาเคยพูดไว้ จะลำบากแค่ไหนก็ไม่ควรให้เด็กลำบาก จอมเขมือบประจำบ้านอย่างไป๋เยวี่ยหูถ้าไม่เลี้ยงดูให้อุดมสมบูรณ์มีหวังคงได้ถูกหลอกง่ายๆ ด้วยเนื้อแกะย่าง

ส่วนทางหูซู่และผังจื่อฉีเมื่อพวกเขาได้รับคำยืนยันจากปากของไป๋เยวี่ยหูว่าไหนั่นไม่มีอันตรายก็รู้สึกสบายใจ หูซู่ไปส่งผังจื่อฉีที่หอก่อน หลังจากที่เขาอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจ

แต่ใครจะรู้ว่าพอเอนตัวนอนเท่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หูซู่รับโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างงัวเงียและพบว่าเป็นสายมาจากเพื่อนร่วมงานของเขา

“ฮัลโหล มีอะไร” หูซู่รับโทรศัพท์

[หูซู่!] เสียงของเพื่อนร่วมงานดังออกมาจากสาย [นายกับผังจื่อฉีไปเอาอะไรกลับมาอีกแล้วเนี่ย ฉันหูจะแตกอยู่แล้ว]

หูซู่อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า “ใจเย็นก่อน นี่นายไม่ได้ไปเปิดห้องนั้นใช่มั้ย”

เพื่อนร่วมงาน [ไม่ได้เปิด นายรีบมาจัดการเลยนะ ฉันใกล้จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว]

หูซู่ “ฉันจัดการไม่ได้หรอก ต้องรอให้พรุ่งนี้ก่อนถึงจะจัดการได้ ไม่งั้นตอนนี้ก็หาอะไรมาอุดหูไปก่อนแล้วกัน”

ทั้งสองเถียงกันอยู่สักพักใหญ่ จนสุดท้ายหูซู่ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะรีบมาจัดการให้ในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน เพื่อนร่วมงานถึงยอมปล่อยไป ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงโดนตามรังควานไม่หยุดแน่นอน

หูซู่ล้มตัวนอนหลับจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เขาลากผังจื่อฉีที่สภาพเมาค้างไปเข้างาน พอเข้าไปถึงที่ตัวสถานีพวกเขาก็เห็นสภาพของเพื่อนร่วมงานที่ขอบตาดำคล้ำ สายตามองมาที่เขาทั้งสองด้วยความอเนจอนาถ

“สะ…สวัสดี” ผังจื่อฉีที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อถูกจ้องจึงรีบโบกมือทักทายไป

“สวัสดีกับผีน่ะสิ พวกนายรีบไปจัดการไอ้ของบ้าๆ นั่นเลยนะ หูฉันจะแตกอยู่แล้ว และอีกอย่างถ้าผู้กำกับมาแล้วเกิดได้ยินเสียงพวกนี้ล่ะก็…” เพื่อนร่วมงานหยิบกระดาษที่อุดหูออกมาอย่างทุกข์ทรมาน

“ได้ๆๆ ฉันจะรีบจัดการให้เลย” หูซู่ยอมทำตามทันทีเพราะเขาเองก็ไม่อยากจะให้ผู้กำกับต้องมาเห็นอะไรที่ยุ่งยากแบบนี้เหมือนกัน

หูซู่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรเรียกเจ้าทุกข์ให้มาที่สถานีตำรวจในทันที

คนที่เข้าแจ้งความคือเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อเฉินซวี่หยาง ตอนแรกที่ได้ยินเขาก็ปฏิเสธทันที แต่หูซู่ขู่ออกไปว่าถ้าไม่มาจะเอาไปส่งไว้ให้ที่หน้าบ้าน

เฉินซวี่หยางทำอะไรไม่ได้จึงต้องจำใจตอบตกลง

แน่นอนว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อไหใบนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ตกลงว่าจะมาที่สถานีตำรวจ แต่เขาก็เล่นตัวลีลาอยู่นานกว่าจะมาถึง

หูซู่ที่ก่อนหน้าได้ตระเตรียมของเอาไว้แล้วนำไหสองใบบรรจุใส่กล่องเป็นที่เรียบร้อยเพื่อเตรียมส่งมอบให้เฉินซวี่หยางเอากลับไป

“ผมขอไม่เอากลับไปได้มั้ย” เฉินซวี่หยางถูกยัดเยียดใส่มือจนร้องไห้

“ไม่ได้ นี่มันของของนาย ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะมาเที่ยวเอาของของประชาชนได้ยังไง” หูซู่พูดอย่างไร้เยื่อใย

เฉินซวี่หยาง “…”

หูซู่ “ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันคือของประจำตระกูลนายนี่ จะมาซี้ซั้ววางได้ยังไง” ว่ากันตามตรงของสิ่งนี้คือสมบัติตกทอดตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ และแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ก็ได้ยินมาจากเฉินซวี่หยาง

เฉินซวี่หยางมองไปที่ไหนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นผมเอาไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ได้มั้ย ยังไงมันก็เป็นโบราณวัตถุ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เก็บเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอก”

หูซู่เอ่ย “งั้นนายก็ลองไปติดต่อที่พิพิธภัณฑ์เอานะ ดูว่าเขาจะรับมั้ย”

เฉินซวี่หยาง “งั้นก่อนที่ทางนั้นจะรับของชิ้นนี้ไป…”

หูซู่ “นายก็เอากลับไปที่บ้านและดูแลมันให้ดีก่อน”

เฉินซวี่หยาง “…”

หูซู่นึกถึงเสียงร้องไห้ของมันที่ดังจนหูแทบแตกแล้วก็พูดออกไปว่า “มันคือไหที่ดีนะ”

เฉินซวี่หยางเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน เขาคิดว่าถ้ามันเป็นของดีแล้วทำไมต้องพยายามให้เขารีบเอากลับไปด้วย

แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่ด้วยความที่หูซู่มาในมาดของการทำงาน เฉินซวี่หยางจึงจำใจต้องเอาไหกลับไปไว้ที่บ้านตามเดิมและทันทีที่ไหนั้นถูกหิ้วกลับไป ความสงบก็ได้กลับมาเยือนที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เสียงดังอึกทึกก็พลอยหายไปด้วยเช่นกัน

“ไหนั่นมันเกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ” ผังจื่อฉีเอามือนวดไปที่ขมับของตัวเอง

หูซู่ทำท่าทางเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน

เฉินซวี่หยางเอาไหกลับไปที่บ้าน แต่คราวนี้เขาไม่กล้าวางไว้ที่ห้องรับแขกตามเดิม แต่เอาไปเก็บที่ห้องเก็บของแทน ความจริงแล้วบ้านเขาชอบสะสมของประเภทนี้มาตลอด ทั้งพวกเครื่องลายคราม เครื่องหยก หรือของเล่นโบราณต่างๆ นานา สมัยที่บ้านเขายังมีฐานะ สิ่งของเหล่านี้ถูกจัดแสดงไว้เต็มห้องรับแขก ทว่าเมื่อตอนที่ตกอับ ข้าวของเหล่านี้ก็ถูกทยอยขายออกไป เหลือแต่เพียงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้นที่ทำใจขายไม่ลง สุดท้ายเลยต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ส่วนไหใบนี้ก็คือสมบัติที่พ่อของเฉินซวี่หยางทิ้งไว้ให้กับเขา

ลายดอกไม้ที่ประดับบนตัวไหค่อนข้างแปลกประหลาด ต่างจากลายศิลป์ของสมัยราชวงศ์หมิงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงยากที่จะขายออกเพราะผู้คนต่างมองว่าเป็นของมีตำหนิ ทว่าในความเป็นจริงแล้วไหใบนี้คือสมบัติตกทอดประจำตระกูลเขาจริงๆ แม้จะอยู่ในช่วงตกอับแค่ไหน เฉินซวี่หยางก็ไม่เคยคิดจะขายมันออกไปจนกระทั่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นในบ้าน โดยเริ่มจากมีซากสัตว์เล็กสัตว์น้อยในบ้าน ต่อมาก็ค่อยมีร่องรอยการเดินไปเดินมาของคน จนกระทั่งสุดท้ายที่เฉินซวี่หยางเห็นคือคนนั่งหมอบอยู่ที่โซฟา นัยน์ตาสีเขียวจ้องมองมาที่เขา

ในตอนนั้นเฉินซวี่หยางตกใจจนสลบไปและเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็วิ่งโร่เข้าแจ้งความทันที ตอนที่ตำรวจมายังจุดเกิดเหตุไม่พบกับร่องรอยประหลาดตามที่เฉินซวี่หยางว่าไว้ ทั้งยังคิดว่าตัวเขานั้นเป็นผู้มีปัญหาทางจิต ดังนั้นตำรวจทั้งสองนายจึงช่วยเขาด้วยการนำของกลางกลับไปไว้ที่สถานี แม้ว่าการช่วยเหลือครั้งนี้…จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม

เมื่อมองไปที่ไห เฉินซวี่หยางก็ยิ่งกังวลใจขึ้นมา ไหนี้ไม่มีลายเส้นเฉพาะ คิดดูแล้วทางพิพิธภัณฑ์ก็คงไม่รับไปอย่างแน่นอน แต่จะให้ทิ้งเขาเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน

“เฮ้อ แล้วฉันควรจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย ถ้าแกมีวิญญาณสิงอยู่จริงขออย่างเดียวอย่าทำให้ฉันตกใจเลยนะ” เฉินซวี่หยางยื่นมือออกมาลูบที่ไหอย่างทุกข์ใจ

ไหไม่มีการตอบสนองใดๆ

เฉินซวี่หยางรู้สึกตลกตัวเอง หลังจากถอนหายใจเขาก็ลุกไปปิดไฟและออกจากห้องเก็บของไป

 

หลายวันผ่านไป หูซู่กังวลว่าเฉินซวี่หยางจะกลับมาแจ้งความอีก แต่ตัวเขาเองก็ไม่คิดที่จะนำไหนั่นกลับมาที่สถานีจึงไม่ได้ติดต่อกับเฉินซวี่หยางเลย ทว่าหลังจากที่เขาตัดสินใจโทรกลับไปหาเฉินซวี่หยางจึงได้รู้ว่าที่บ้านของฝ่ายนั้นไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เหมือนก่อนหน้าเลย

หูซู่พูด “ถ้างั้นแปลว่าตอนนี้ปกติแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว?”

เฉินซวี่หยาง [ใช่ครับ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว] เขาเพิ่งถึงตึกที่พักของตัว และกำลังกดลิฟต์ [คุณตำรวจหู ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงพยายามยัดเยียดให้เอาไหกลับมาที่บ้าน เพราะว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่าครับ]

หูซู่ “ไม่นะ ไม่มีอะไรนี่”

เฉินซวี่หยาง [ไม่มีจริงๆ เหรอครับ]

หูซู่ที่คันปากอยากจะพูดเต็มแก่ว่าไหมันร้องไห้ไม่หยุดตอนที่มันอยู่ที่สถานีตำรวจ แถมเสียงร้องของมันยังแทบจะทำให้คนเยื่อหูอักเสบ แต่สุดท้ายเขากลับทำได้แค่กัดฟันพูดไปว่า “ไม่มี”

เฉินซวี่หยาง [อ๋อครับ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ผมขึ้นลิฟต์ก่อนนะครับ แค่นี้ก่อน]

“โอเค มีเรื่องอะไรก็ติดต่อมานะ” หูซู่จบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้

เฉินซวี่หยางเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขากดลิฟต์ไปชั้นที่ต้องการ ลิฟต์ค่อยๆ พาเขาขึ้นไปยังห้องของตัวเองทีละชั้นๆ และเมื่อเสียงเตือนดังขึ้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก เฉินซวี่หยางล้วงหยิบกุญแจออกมาไขประตูบ้าน

ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น สภาพบ้านที่ได้เห็นก็ทำเอาเขายืนตัวแข็งตาค้างอยู่ที่หน้าประตู ทั้งพื้นบ้านและบนผนังต่างเต็มไปด้วยรอยเลือดสีแดงเข้มที่ประทับเป็นรอยฝ่ามือไปทั่วทั้งห้อง และบางสิ่งบางอย่างที่ลักษณะคล้ายกับคนกำลังนั่งหมอบอยู่ที่พื้นโดยที่ในปากของมันกำลังขบเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ ตัวประหลาดนั่นเหมือนรับรู้อะไรได้ มันค่อยๆ หันหัวกลับมาอย่างช้าๆ เฉินซวี่หยางเห็นแต่ภาพสีดำสนิท ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือดวงตาสีเขียวคู่นั้นและปากที่กำลังกัดกินเนื้อซึ่งอาบชุ่มไปด้วยเลือดด้วยเขี้ยวสีขาวอันแหลมคม

หูซู่ไอ้เลว ไอ้คนชั่ว ไอ้คนลวงโลก เฉินซวี่หยางใช้แรงเฮือกสุดท้ายด่าทอหูซู่ในใจอย่างหยาบคาย

บทที่ 96 สู้ๆ นะ

 

เฉินซวี่หยางตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองนอนสลบอยู่บนเตียง ขนาดลืมตาขึ้นมายังคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในฝันร้ายที่น่าสยดสยอง แต่เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงและเห็นสภาพห้องที่เลอะเทอะไม่มีชิ้นดี เขาถึงค่อยได้สติกลับมาว่านี่คือเรื่องจริง

พื้นและผนังของบ้านถูกละเลงไปด้วยคราบเลือดสดๆ ทั้งยังมีเศษเนื้อที่ถูกกัดแทะกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง อากาศในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดยิ่งทำให้บรรยากาศไม่ต่างกับฉากในนรก เฉินซวี่หยางที่เห็นภาพนี้แทบอยากจะล้มฟุบไปอีกรอบ ยังโชคดีที่เขาแข็งใจฝืนใช้มือข้างหนึ่งที่สั่นไม่หยุดล้วงหยิบมือถือออกมาอย่างทุลักทุเล

หูซู่รับสายจากเฉินซวี่หยางอย่างรู้สึกประหลาดใจพร้อมบอกว่า [เมื่อกี้บอกว่าไหนั่นไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ทันไรก็คืนคำซะแล้วล่ะ]

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง” เฉินซวี่หยางแทบอยากจะร้องไห้ออกมา “รีบมาช่วยผมที ตอนนี้สภาพบ้านผมอย่างกับเกิดคดีฆาตกรรม”

หูซู่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ปลอบใจพร้อมสั่งเฉินซวี่หยางไปว่า [ตอนนี้นายรีบออกมาจากบ้านก่อน แล้วลงมารอที่ใต้ตึก พวกเราจะรีบไปทันที]

เฉินซวี่หยางรีบตอบตกลง

เขาออกมาจากห้องนอนและต้องผ่านห้องรับแขก ระยะทางที่แต่เดิมก็ไม่ได้ไกลมากนัก ณ เวลานี้มันกลับทำให้รู้สึกว่าเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที เฉินซวี่หยางเตรียมอกเตรียมใจ เขากวาดสายตามองจนแน่ใจแล้วว่าในห้องรับแขกไม่มีตัวประหลาดที่เขาเห็นก่อนหมดสติ แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเท้าหนีออกมาอย่างห่วงหน้าพะวงหลัง

ทว่าเมื่อเขาไปถึงบริเวณส่วนกลางของห้องรับแขก เฉินซวี่หยางก็พบกับเศษซากและกระดูกที่เหมือนตั้งใจจัดวางเอาไว้ ความรู้สึกแรกของเขาบอกว่ามันคือสัญลักษณ์ในการเรียกปีศาจ ดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งกระโจนข้ามไปและเอื้อมมือให้สุดเพื่อผลักประตูออก

ที่จริงแล้วอากาศในเดือนหกถือว่าร้อนมากเลยทีเดียว แต่เฉินซวี่หยางกลับรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว เขารออยู่ใต้ตึกพักหนึ่ง หูซู่และผังจื่อฉีค่อยมาถึง ทันทีที่เห็นเขาทั้งสอง เฉินซวี่หยางก็รู้สึกราวกับได้เจอผู้มีพระคุณ “คุณตำรวจมาถึงสักที…”

หูซู่ “เกิดอะไรขึ้น”

เฉินซวี่หยางรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง เขาบอกว่าทั้งบนพื้นและผนังเต็มไปด้วยเลือดสดๆ กลางห้องรับแขกมีพวกเศษเนื้อและกระดูกถูกจัดวางไว้ ถ้าใครเห็นของพวกนี้เข้าก็ต่างต้องคิดว่าคนคนนี้มีจิตไม่ปกติทั้งยังต้องการที่จะฆ่าเอาชีวิตกัน พวกนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ เฉินซวี่หยางเล่าออกมาอย่างเป็นตุเป็นตะ ทำเอาคนรอบข้างที่ได้ฟังเหตุการณ์ถึงกับหนาวสั่นไปตามกัน

ผังจื่อฉีที่ยังคงคุมสติได้ดีกล่าว “พวกเรารีบขึ้นไปดูกันเถอะ”

พวกเขาสามคนขึ้นลิฟต์กลับไปที่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง แม้ว่าเฉินซวี่หยางจะรู้สึกหลอนมากจนไม่อยากจะกลับเข้าไปอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรจะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องกลับไปอยู่ดีเพราะที่นั่นคือบ้านของเขา

เขาใช้ลูกกุญแจปลดล็อกประตูอีกครั้งหนึ่ง สภาพที่หูซู่ได้เห็นตรงหน้าไม่ต่างจากที่ได้ฟังเฉินซวี่หยางเล่าไว้ก่อนหน้านี้ ข้าวของกระจัดกระจายราวกับถูกรื้อค้น ส่วนสิ่งของที่ขยับไม่ได้ก็แปดเปื้อนไปด้วยรอยเลือด หูซู่กวาดสายตาไปทั่วห้องก็พบกับสัญลักษณ์เรียกปีศาจอย่างที่เฉินซวี่หยางเล่าไว้

“เข้าไปดูกันเถอะ” ผังจื่อฉีคว้าปืนออกมาเพื่อเตรียมป้องกันตัว

หูซู่พยักหน้าพร้อมรวบรวมสติอย่างแน่วแน่

ตำรวจทั้งสองนายเดินเกาะติดกันเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง เริ่มจากสำรวจห้องต่างๆ ภายในบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบอยู่จริงๆ ไหเจ้าปัญหานั่นยังคงถูกวางไว้นิ่งๆ ที่ห้องเก็บของตามที่เฉินซวี่หยางบอก หูซู่หยิบไหออกมาและนำไปวางที่กลางห้องรับแขกเพื่อให้ผังจื่อฉีจับตาดูเอาไว้

“ตกลงไหนี่มันยังไงกันแน่” เฉินซวี่หยางพูดไปสั่นไป “คุณตำรวจหูไม่ได้บอกไว้หรอกเหรอว่ามันเป็นไหปกติ”

หูซู่มองเฉินซวี่หยางอย่างมีนัย “ก็ใช่ไง พวกเราก็ยังไม่มีใครเป็นอะไรนี่”

เฉินซวี่หยาง “…”

หูซู่ “ถ้าไหนี่มันมีปัญหาจริงๆ คนที่แจ้งความป่านนี้คงไม่ใช่นายหรอก คงต้องเป็นเพื่อนบ้าน”

เฉินซวี่หยางถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ผังจื่อฉีเพ่งสายตาไปที่สัญลักษณ์กลางห้องรับแขกแล้วค่อยๆ สังเกตอย่างละเอียด ทว่าเมื่อเขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจจนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน หูซู่เห็นก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ผังจื่อฉี นายเห็นอะไรจากตรงนั้น”

ผังจื่อฉีหันหน้าไปพูดกับเฉินซวี่หยาง “นายเกิดเดือนหกเหรอ”

เฉินซวี่หยางรีบตอบ “ใช่ครับ…อย่าบอกนะว่านี่มันเกี่ยวกับเวลาตกฟากของผม”

ผังจื่อฉี “เกิดวันที่ 26 ใช่มั้ย”

เฉินซวี่หยางตอบอย่างลนลาน “คุณตำรวจถามเรื่องพวกนี้ทำไม หรือว่าวันเกิดของผมมันมีอะไรพิเศษไปกว่านั้น หรือจริงๆ แล้วผมคือคนที่ต้องถูกเลือกมาเป็นของบูชายัญ”

ผังจื่อฉี “…ดูละครให้มันน้อยๆ หน่อย”

เฉินซวี่หยาง “ถ้างั้นมันคืออะไรล่ะ”

ผังจื่อฉีชี้ไปยังสิ่งที่เฉินซวี่หยางเรียกมันว่าสัญลักษณ์เรียกปีศาจเพื่อบอกให้เขาเข้าไปดูเอาเอง ตอนแรกเฉินซวี่หยางกลัวจนไม่กล้าขยับเข้าไปแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยสายตาที่ดุดันและการบังคับของผังจื่อฉี เฉินซวี่หยางจึงต้องชะเง้อเข้าไปดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาใช้เวลาดูไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น สีหน้าของเฉินซวี่หยางก็แสดงออกมาเช่นเดียวกับสีหน้าของผังจื่อฉี “นี่…นี่มันคืออะไรกันแน่”

หูซู่ถอนหายใจและตบไหล่ของเฉินซวี่หยาง “ก็อย่างที่บอกไปไง ไหบ้านนายน่ะโอเคดี”

ที่จริงแล้วสัญลักษณ์นั่นไม่ใช่อะไร เพียงแต่เป็นพวกเศษเนื้อและซากกระดูกที่เรียงรายกันเป็นตัวอักษรว่า

 

สุขสันต์วันเกิดอายุครบ 26 ปี เฉินซวี่หยาง’

 

แม้ว่าการจัดเรียงจะดูเป็นงานหยาบไปสักหน่อย อีกทั้งภาพที่ขีดเขียนก็ใช้เลือดสดๆ วาดออกมา แต่ที่แน่ๆ มันถูกจัดเป็นตัวหนังสือถึงแม้จะอ่านไม่ง่ายนักก็ตาม หูซู่ที่เห็นแบบนั้นถึงกับหลั่งน้ำตา “ดูสิ คนในบ้านนายจัดงานวันเกิดให้นายด้วยนะ”

เฉินซวี่หยางเห็นตัวอักษรเหล่านั้น ในใจก็เจ็บปวดรวดร้าวจนพูดอะไรไม่ออก

ผังจื่อฉีเดินเข้าไปที่ตรงกลางของวงล้อมตัวหนังสือเหล่านั้น เขาเก็บพวกเศษเนื้อและกระดูกขึ้นมา จากการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าไม่ใช่ชิ้นส่วนหรือกระดูกของมนุษย์แน่นอนเพราะพวกมันมีขนาดที่เล็กเกินไปและไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกคน

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” หูซู่ปลอบใจเฉินซวี่หยาง “ดูสิ คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจจัดงานวันเกิดให้อย่างยากลำบาก”

เฉินซวี่หยาง “…” ชายหนุ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง

หูซู่ “เอาอย่างนี้แล้วกัน นายอยู่กับมันไปก่อนสักสองวัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวฉันจะหาคนมาจัดการไหนี้ให้”

เฉินซวี่หยางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วจะจัดการยังไงล่ะ”

หูซู่ “ก็ทุบทิ้งไปเลย จะมีวิธีไหนได้อีกเล่า”

เฉินซวี่หยางที่ได้ยินว่าจะทุบทิ้งก็เกิดความรู้สึกสับสนในตัวเองมากกว่าเดิม ทุบทิ้งแค่นี้เขาเองก็จัดการได้ แต่ปัญหาคือถ้าทุบทิ้งได้จริงๆ เขาคงจะทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เรื่องบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นของชิ้นนี้ดูแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา ถ้าหากทุบทิ้งก็คงจะทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายมากเกินไปหน่อย

“ก็ได้…งั้นก็ลองดูตามนี้แล้วกัน” เฉินซวี่หยางได้แต่ตอบรับไปตามนั้น

ผังจื่อฉี “ไอ้ของชิ้นนี้มันเข้าใจความรู้สึกของคนนะ นายก็ลองคุยกับมันดีๆ แล้วกัน เผื่อจะสอนกันได้”

เฉินซวี่หยาง “…งั้นก็ลองตามนี้”

ภารกิจลงพื้นที่จุดเกิดเหตุถือว่าได้เสร็จสิ้นลง ผังจื่อฉีและหูซู่กลับไปยังสถานีตำรวจ เหลือไว้เพียงเฉินซวี่หยางคนเดียวในบ้านที่ต้องทำความสะอาดอีกยกใหญ่ ยังดีที่บ้านหลังนี้เขาซื้อขาดและอยู่คนเดียวไม่อย่างนั้นเจ้าของบ้านหรือไม่ก็รูมเมตที่มาเห็นสภาพรอยเลือดขนาดนี้คงได้ตกใจย้ายหนีเตลิดไปแน่

เฉินซวี่หยางเก็บกวาดห้องจนแล้วเสร็จก็ไปจับๆ ที่ไหนั้นอีกครั้ง เขาใช้มือลูบไล้ที่ตัวของมันและตั้งใจว่าจะพูดกับมันดีๆ แม้ไม่รู้ว่ามันจะฟังออกหรือไม่ก็ตาม

 

ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ข่าวคราวของทางฟากหูซู่ เนื้อแกะย่างมื้อนั้นยังสร้างความประทับใจให้เขาไม่รู้ลืมจนต้องลองฝึกทำด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่รสชาติก็เหมือนว่าจะขาดอะไรไปหลายอย่าง ดังนั้นจึงคิดที่จะกลับไปชิมที่ร้านนั้นอีกสักรอบ ไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินตอบรับข้อเสนอของลู่ชิงจิ่วทันที ทว่ายังไม่ทันได้นัดแนะเวลา หูซู่ก็โทรมาหาลู่ชิงจิ่วโดยบอกว่ามีคนต้องการจะเชิญพวกเขาไปกินอาหารด้วย

“มีคนจะชวนไปกินข้าวเหรอ” ลู่ชิงจิ่วประหลาดใจ “ใครเหรอครับ”

หูซู่บอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวพวกนายมาแล้วก็จะรู้เอง

ลู่ชิงจิ่วเข้าใจทันที “แปลว่ามีเรื่องอะไรที่สะสางไม่ได้ใช่มั้ย”

หูซู่ [อืม…ประมาณนั้น]

ลู่ชิงจิ่วพูดเข้าประเด็น “คงไม่ใช่เรื่องไหใบนั้นที่ยังจัดการไม่ได้ใช่มั้ยครับ”

หูซู่ถอนหายใจออกมา [เรื่องมันไม่ใช่ว่าจัดการไม่ได้แต่วิธีการมันแปลกไปหน่อย เล่นเอาเจ้าทุกข์ต้องโร่เข้ามาแจ้งความอยู่บ่อยๆ ครั้งสองครั้งยังพอไหว แต่หลายครั้งเข้าก็คงจะไม่ไหว]

“แจ้งความบ่อยๆ งั้นเหรอครับ ไม่ใช่ว่าจัดการได้แล้วหรอกเหรอ แล้วทำไมยังต้องมาแจ้งความอีก” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

[ต่อให้ไม่มีใครเสียชีวิต แต่ทุกครั้งที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นแต่เศษเนื้อและซากกระดูกเต็มห้องไปหมด เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นแหละ] หูซู่เล่าให้ฟังอย่างจนใจ

ลู่ชิงจิ่วพูดด้วยความประหลาดใจ “แล้วทำไมเขาไม่ทิ้งไหนั่นไปล่ะครับ ถึงจะบอกว่าเป็นสมบัติตกทอดมาก็เถอะ แต่สร้างเรื่องขนาดนี้แล้วเจ้าของยังกล้าเก็บไว้อีกก็ต้องใจกว้างประมาณหนึ่งแล้ว”

หูซู่มีสีหน้าอมทุกข์ [ปัญหามันก็คือตรงนี้แหละ]

ลู่ชิงจิ่ว “หมายความว่าไงครับ”

หูซู่ [ก็พวกเศษกระดูกกับเนื้อนั่นน่ะ มันถูกเรียงไว้เป็นข้อความ อย่างเช่น ‘วันนี้ทำงานเหนื่อยแย่เลย ดูแลตัวเองบ้างนะ’ หรือกระทั่ง ‘รีบๆ เข้านอนนะ’]

ลู่ชิงจิ่วกำลังดื่มน้ำอยู่ ทันทีที่เขาได้ยินก็ถึงกับเกือบพ่นน้ำออกมา เขาเอ่ยพร้อมกับไอไปด้วยว่า “ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่มั้ย มันเอาเศษกระดูกกับเนื้อมาเรียงกันเป็นตัวหนังสือเนี่ยนะ”

หูซู่พูดอย่างหมดหนทาง [ได้ยินไม่ผิดหรอก ที่หนักสุดก็คือมีอยู่วันหนึ่งเจ้าทุกข์กลับไปที่บ้าน บนเพดานมีรอยเลือดเป็นรูปฝ่ามือเรียงกันเป็นรูปหัวใจดวงใหญ่ๆ]

ลู่ชิงจิ่วรีบเอามือขึ้นมาปิดหน้า เขากลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ แม้จะเป็นการมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็ตาม แต่จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ฟังอย่างไรก็น่าขำอยู่ดี

[หลังจากนั้นพวกเราก็พบว่าไม่มีทางที่จะพูดคุยกับไหนั่นรู้เรื่อง แม้ว่ามันจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเรา แต่มันก็จับได้แค่อารมณ์เท่านั้น ก็เลยอยากจะขอความช่วยเหลือสักหน่อยว่านายพอจะคุยกับไหนั่นรู้เรื่องมั้ย ให้มันเข้าใจว่าต่อไปนี้อย่าใช้วิธีนี้แสดงความห่วงใยกับเจ้าของอีก] หูซู่พูดอย่างเหนื่อยใจ

ลู่ชิงจิ่วขำออกมาเสียงดัง “ผมจะลองดูให้นะ แต่ยังไม่กล้ารับปากว่าจะทำได้มั้ย”

หูซู่ [ได้เลยๆ ถ้าทำได้สำเร็จพรุ่งนี้เย็นเรามานัดกินข้าวกัน เลือกเลยว่าอยากกินอะไร]

ลู่ชิงจิ่ว “เนื้อแกะย่างแบบวันนั้นแล้วกันครับ อร่อยดี ตอนนี้ที่บ้านมีแต่คนบ่นคิดถึงรสชาติของมันแทบทุกวันเลย”

หูซู่ตอบตกลง

จากนั้นลู่ชิงจิ่วก็นำเรื่องไปเล่าต่อให้ไป๋เยวี่ยหูฟัง ทันทีที่เขาทราบเรื่องก็ตกลงรับปากอย่างไม่รีรอ เพราะแค่ไปสื่อสารกับไหนั่นสำหรับเขาแล้วแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสได้กลับไปกินเนื้อแกะย่างอร่อยๆ อีกด้วย

เนื้อแกะย่างมีเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวถือว่าเป็นสูตรลับของเถ้าแก่ของร้านเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะลองทำกันเองอย่างไรรสชาติก็แทบจะคนละเรื่องกันเลย เหมือนว่าจะขาดอะไรบางอย่างไป ลู่ชิงจิ่วเองจึงคิดที่จะกลับไปกินอีกสักสองครั้งเพื่อดูว่าจะสามารถแกะสูตรลับนี้ออกมาได้หรือไม่

เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่อากาศร้อนอบอ้าว ลู่ชิงจิ่วขับรถกระบะคันเล็กของเขาที่บรรทุกไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินมาด้วยไปที่ร้านเนื้อย่าง

ลู่ชิงจิ่วจอดรถและเห็นหูซู่กำลังคุยกับวัยรุ่นคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเดินไปข้างสองคนนั้น จากนั้นหูซู่ก็รีบแนะนำตัวคนที่คุยอยู่ด้วยให้ฟัง

ลู่ชิงจิ่วรู้ว่าเจ้าทุกข์ที่เข้าแจ้งความชื่อเฉินซวี่หยาง

จะว่าไปแล้วเวลาที่พวกของลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ด้วยกันสามคนถือว่าสะดุดตาทีเดียว แม้ว่าทั้งสามคนจะรูปร่างหน้าตาต่างกัน ทว่าแต่ละคนก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น ไป๋เยวี่ยหูหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ดูแล้วเหมือนคนไม่ค่อยพูดคุยและไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ส่วนอิ่นสวินที่ดูมีความละอ่อนคล้ายเด็กวัยรุ่นเวลาแย้มยิ้มถือว่ามีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะฟันเขี้ยวที่ชวนให้หลงใหล ส่วนลู่ชิงจิ่วก็ดูเป็นคนหล่อแบบสะอาดสะอ้าน นิสัยใจคอสุขุมเยือกเย็น จะเรียกว่าเป็นที่หมายปองของใครหลายๆ คนก็ว่าได้ เพราะถ้าอยากจะเข้าหาสามคนนี้ใครๆ ก็คงจะเริ่มจากลู่ชิงจิ่วก่อนเป็นคนแรก ทว่าทั้งสามก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่งคือทันทีที่พวกเขามาถึงและนั่งลง สายตาของทุกคนต่างมองไปที่เตาย่างของร้านด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ดูท่าแล้วตอนนี้ทุกคนคงกำลังหิวอยู่มากๆ

เฉินซวี่หยางบอกว่าเนื้อแกะย่างที่เขาสั่งไว้ใกล้จะได้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็จะถูกยกมาเสิร์ฟ

ลู่ชิงจิ่วเก็บสายตาแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันรู้เรื่องของนายหมดแล้วล่ะ วันนี้เอาไหนั่นมาด้วยหรือเปล่า”

“เอามาครับ” เฉินซวี่หยางรีบตอบ

เฉินซวี่หยางพูดแล้วก็เดินไปที่ข้างๆ จักรยานนำห่อพัสดุออกมา ซึ่งข้างในก็คือไหใบนั้นที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นก่อนหน้า

“ผมไม่รู้ว่ามันแอบอยู่ในใบไหนก็เลยเอามาทั้งหมดเลย” เฉินซวี่หยางอธิบาย

ลู่ชิงจิ่ว “แล้วนายอยากจะพูดอะไรกับมันล่ะ”

เฉินซวี่หยาง “ผมก็แค่อยากจะบอกว่าเลิกส่งอะไรพวกนี้ให้ผมสักที”

ลู่ชิงจิ่ว “ตัวอย่างเช่น?”

เฉินซวี่หยาง “อย่างเช่นที่เอาพวกเศษกระดูกกับเนื้อมาเรียงเป็นคำว่า ‘รีบๆ พักผ่อนนะ’”

จะว่าไปแล้วเห็นอะไรพวกนี้ใครเขาจะนอนหลับกัน แถมยังต้องใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงในการเก็บกวาด ที่สำคัญแต่ละวันเขาต้องทิ้งถุงขยะหลายใบที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อจนเพื่อนบ้านต่างมองเขาด้วยสายตาผิดๆ ทว่านี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนมาส่งอาหารและรออยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เปิดประตูออกคนส่งอาหารก็เหลือบไปเห็นรอยเลือดเต็มไปทั่วฝาผนังและบริเวณพื้น เวลานั้นหน้าของคนส่งอาหารถึงกับซีดเซียวและรีบวิ่งเตลิดหนีออกไปอย่างกับกระต่ายที่โดนสุนัขไล่ฟัด เขาไล่ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน

หลังจากนั้นสองชั่วโมง เฉินซวี่หยางก็ได้รับโทรศัพท์จากหูซู่ว่าให้ระมัดระวังหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนตกใจตายได้

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าพร้อมยื่นไหส่งไปให้ไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือออกไปรับ เขาใช้นิ้วดีดไปที่มันหนึ่งทีในขณะที่ปากก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมา เสมือนว่ามันคือภาษาอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าลู่ชิงจิ่วไม่เคยได้ยินภาษาอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ด้วยสัมผัสพิเศษของเขาทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูกำลังสื่อสารอยู่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะสายเลือดมังกรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวของเขา

ไป๋เยวี่ยหูพูดความต้องการของเฉินซวี่หยางไปที่ไหใบนั้น และหลังจากที่มันฟังเสร็จก็ส่งเสียงขานกลับมาเบาๆ ลู่ชิงจิ่วได้ยินไม่ชัดในตอนแรก สุดท้ายจึงแนบหูไปที่ตัวไหนั้นถึงค่อยได้ยินอย่างชัดเจน

คนอื่นๆ ที่เหลือเฝ้ารออยู่ด้านข้างด้วยความตื่นเต้น แต่ดูจากสีหน้าของแต่ละคนก็รู้ได้เลยว่าไม่มีใครฟังออกว่าไหใบนั้นกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่

ลู่ชิงจิ่วที่ฟังไปได้สักพักหนึ่งก็เริ่มแสดงสีหน้าแปลกใจ เขามองไปที่เฉินซวี่หยางแล้วก็หันกลับมามองที่ไหอีกหน

เฉินซวี่หยางที่ถูกลู่ชิงจิ่วมองด้วยสายตาแปลกๆ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจนเกือบจะหลุดปากถามออกมา

ไป๋เยวี่ยหูหนักแน่นและใจเย็นกว่ามาก เขาพูดซ้ำถึงความต้องการของเฉินซวี่หยางให้ไหฟังอีกครั้งและเตรียมสร้างข้อตกลงกับมันต่างๆ นานา รวมถึงให้มันรับปากว่าจะไม่แสดงความห่วงใยด้วยวิธีเหล่านี้อีก

ลู่ชิงจิ่วที่พอจะจับประเด็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกลับมานั่งหลังตรงและถามเฉินซวี่หยางไปว่า “เมื่อเดือนที่แล้วนายเพิ่งขายบ้านหลังเก่าไปเหรอ”

เฉินซวี่หยางรีบตอบกลับ “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามอะไรแบบนี้ล่ะ” เขาแสดงทีท่าในทันที และมองไปมาระหว่างลู่ชิงจิ่วกับไห “หรือว่า…มันบอกให้คุณฟังเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “ใช่น่ะสิ”

เฉินซวี่หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้ากลัดกลุ้มใจ เขาอธิบายให้ฟังถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พ่อเขาล้มป่วยจนต้องยืมเงินเพื่อมารักษาอยู่ตลอด สมบัติต่างๆ ในบ้านก็รื้อเอาออกมาขายจนหมด สุดท้ายเหลือแต่บ้านหลังเก่าหลังนั้นและอพาร์ตเมนต์ที่เขาอยู่ปัจจุบัน ทว่าอพาร์ตเมนต์นั้นต่อให้ขายออกไปก็ใช้หนี้ไม่พออยู่ดี สุดท้ายจึงต้องยอมขายบ้านไป

ลู่ชิงจิ่ว “มันไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนายหรอกนะ มันแค่เป็นห่วงน่ะ”

เฉินซวี่หยางพยักหน้าเพื่อบอกว่าเขาเข้าใจเจตนานี้ดี

“นายเงินเดือนไม่มาก ทุกวันกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เลยกลัวว่าจะขาดสารอาหาร มันเลยอยากจะเติมอาหารให้” ลู่ชิงจิ่วเล่าสิ่งที่ไหบอกมา

เฉินซวี่หยาง “…”

“เนื้อที่ว่าคือเนื้อของนก รสชาติจัดว่าดีเลยทีเดียว” ลู่ชิงจิ่วพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความขบขัน “เอามากินได้”

ไหใบนี้นิสัยคล้ายกับพวกแมวที่กลัวเจ้าของจะอดตาย แม้ว่าจะลำบากแค่ไหนแต่ขอแค่ได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ต่อหน้าเจ้าของมันก็ดีใจแล้ว

“เอ่อ…อันนี้ผมก็รู้ แต่ก็ไม่มีวิธีจะกิน” เฉินซวี่หยางรีบพูด “ช่วยบอกให้เลิกทำอะไรแบบนี้ได้มั้ย…”

“อืม” ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า “บอกไปแล้วล่ะ หลังจากนี้คงจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

เฉินซวี่หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเองรู้สึกถึงความอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าไหนี่จะมีวิธีแสดงออกที่ไม่เข้าท่าไปหน่อย แต่อย่างน้อยๆ มันก็มีความปรารถนาดีต่อเขา

ลู่ชิงจิ่ว “ยังมีอีกเรื่อง…มันถามว่านายต้องการอะไรอีกมั้ย”

“จะช่วยงั้นเหรอ” เฉินซวี่หยางพูดอย่างตื่นเต้น “หรือว่ามันจะให้พรสามประการกับผมเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “ถ้าหากว่าพรสามประการคือการกินเนื้อล่ะก็…”

เฉินซวี่หยาง “…” งั้นก็ช่างมันเถอะ “ว่าแต่มีวิธีไหนที่จะช่วยให้ผมฟังมันรู้เรื่องบ้างมั้ย” เขาถามต่อ “ไม่งั้นผมก็สื่อสารกับมันไม่ได้”

ไป๋เยวี่ยหูที่เสร็จสิ้นภารกิจล่ามสื่อสารนั่งกินเนื้อแกะย่างอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อคำถามของเฉินซวี่หยางแว่วเข้ามาในหูเขาจึงตอบกลับไปว่า “จะว่าทำได้ก็ทำได้อยู่หรอก แต่อาจจะยุ่งยากหน่อย”

เฉินซวี่หยางถามอย่างดีใจ “จริงเหรอครับ ต้องทำอย่างไรล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหู “ก็ให้ไหนี้เป็นเสมือนเทพเจ้าประจำบ้านไปเลย แค่นี้ก็เรียบร้อย”

เทพเจ้าประจำบ้านคือความเชื่ออย่างหนึ่งของชาวจีน ว่ากันว่าเทพเจ้าประจำบ้านสามารถคุ้มครองคนในตระกูลได้ เมื่อมีการบูชาเทพเจ้าประจำบ้านแล้ว เทพเจ้าเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล ฉะนั้นเมื่อถึงเทศกาลสำคัญหรือมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ต้องมีการถวายเครื่องเซ่นแก่เทพเจ้าประจำบ้านเช่นกัน ไป๋เยวี่ยหูบอกว่าไหใบนี้มีกลิ่นอายของเทพอยู่ เพียงแต่ว่าภายหลังคนในตระกูลของเฉินซวี่หยางไม่ได้มีการเซ่นไหว้ต่อจึงทำให้กลิ่นอายของความเป็นเทพค่อยๆ จางหายไป ท้ายที่สุดจึงกลายมาเป็นปีศาจ

เฉินซวี่หยางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากที่เขาได้ยินสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเล่า ก็นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้รับของชิ้นนี้ได้ทันทีว่าพ่อแม่เขาเองก็เคยเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟัง โดยบอกว่าคนรุ่นก่อนๆ บูชาไหนี้ ทว่าพอมารุ่นหลังๆ กลับมีวิธีปฏิบัติที่เปลี่ยนไปจนสุดท้ายการบูชาก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด และไหก็ถูกจัดเก็บไว้ในห้องเก็บของเสมือนเป็นแค่วัตถุโบราณชนิดหนึ่ง แม้ว่าภายหลังทางบ้านจะประสบปัญหาแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะขายมันออกไป

ก่อนหน้านี้ไหใบนี้อยู่นิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ จนเมื่อเฉินซวี่หยางขายบ้านหลังเก่าไปถึงได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น

ตอนนี้หลังจากที่ได้พูดคุยกับไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่ว เฉินซวี่หยางก็รู้ว่าไหใบนี้อยู่ในภาวะหลับใหลมาตลอดเวลา จนกระทั่งมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากเรื่องการขายบ้านหลังเก่า ทันทีที่มันตื่นขึ้นมาก็พบกับเฉินซวี่หยางที่โดดเดี่ยว แถมสภาพการกินอยู่ก็สุดแสนจะอัตคัด จึงรู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย ดังนั้นเลยแสดงความห่วงใยให้เห็น

ทว่าวิธีแสดงความห่วงใยกลับทำเอาเฉินซวี่หยางรับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ถ้างั้นตัวตนที่แท้จริงของมันรูปร่างเหมือนกับคนมั้ยครับ” เฉินซวี่หยางนึกถึงใบหน้าที่มีผมยาวถึงไหล่ที่ตัวเองเห็น แต่ว่ากันตามตรงเขาก็เห็นไม่ชัดว่าปีศาจตนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร จำได้เพียงนัยน์ตาสีเขียวและฟันแหลมคมเป็นซี่ๆ เรียงติดกัน

“ร่างจริง?” ลู่ชิงจิ่วพูด “มันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้น่ะสิ”

เฉินซวี่หยาง “โอเคครับ ผมรู้แล้ว”

เรื่องยุ่งๆ ถือว่าจบลงตามนี้ ทั้งสองคนสามารถสร้างข้อตกลงร่วมกันได้ ไหนั่นก็รับปากว่าจะไม่นำของแปลกๆ มาให้เฉินซวี่หยางอีก ส่วนเฉินซวี่หยางเองก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งมันและจะขยันตั้งใจทำงานจนกว่าจะซื้อบ้านหลังนั้นกลับมาได้อีกครั้ง

แน่นอนว่าเพื่อที่จะฟังไหนี้ให้รู้เรื่อง เฉินซวี่หยางจึงตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะนำมันกลับไปบูชาอย่างเดิม ถึงอย่างไรไป๋เยวี่ยหูก็ได้บอกไว้แล้วว่าถ้าหากไหใบนี้ได้รับควันธูปที่มากเพียงพอ เขาจะสามารถสื่อสารกับมันได้รู้เรื่อง

หลังจากที่สะสางภารกิจเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนต่างก็กินเนื้อย่างกันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีรู้สึกโล่งอกไปตามๆ กัน เพราะจากนี้เรื่องยุ่งๆ ทั้งหลายก็จะถือว่าได้คลี่คลายลงเสียที

เมื่อกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง ลู่ชิงจิ่วแบกอิ่นสวินและไป๋เยวี่ยหูที่กินอาหารจนพุงกางกลับบ้าน เมื่อจอดรถเรียบร้อย พวกเขาทั้งสามก็เดินย่อยกันสักพักหนึ่งในหมู่บ้านก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเข้านอน แม้จะเป็นค่ำคืนที่แสนมืดมิด แต่ก็ยังพบเห็นชาวบ้านออกมาเดินเล่นกันประปราย ทว่าตั้งแต่ที่รู้ว่าในหมู่บ้านนี้ไม่หลงเหลือคนเป็นอยู่เลย ในใจของลู่ชิงจิ่วเองก็รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก จะว่ารู้สึกกลัวก็ไม่ใช่ แต่จะว่าไม่กลัวก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ดี

บาดแผลตามร่างกายไป๋เยวี่ยหูค่อยๆ สมาน ทว่าการฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้าด้วยบาดแผลที่ค่อนข้างสาหัส แถมช่วงนี้เองก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเอ๋ารุ่นเลย เหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้าเสมือนถูกหิมะในครั้งนั้นพัดพาออกไป

ห้วงเวลาที่เงียบสงบทว่าไม่น่าเบื่อหน่าย ลู่ชิงจิ่วนอนซบใต้คางของไป๋เยวี่ยหู ทั้งสองนอนกอดก่ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน

 

สองวันต่อมาหลังจากที่กินเนื้อย่าง เฉินซวี่หยางกลับไปที่บ้านก็ไม่พบเศษซากเนื้อและกระดูกแล้ว แต่กลับเป็นบะหมี่ร้อนๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะชามหนึ่งพร้อมกับข้อความบนกระดาษโน้ตที่ตั้งใจทิ้งไว้ให้เขาด้วยลายมือที่สละสลวยว่า ‘รีบๆ เข้านอนนะ’

เฉินซวี่หยางอ่านข้อความบนกระดาษแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นไปอุ้มไหที่วางอยู่บนโซฟา จากนั้นจึงวางลงที่ข้างๆ ชามบะหมี่พลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นอยู่กินบะหมี่เป็นเพื่อนหน่อยนะ”

ไหสั่นเบาๆ แม้ว่าจะไม่รู้ความหมายของมัน แต่เฉินซวี่หยางก็ยื่นมือออกไปลูบที่ตัวมันเหมือนกับเกาคางให้สุนัข

ไหรู้สึกอารมณ์ดี มันหมุนไปรอบๆ โต๊ะอยู่สองรอบอย่างไม่ระวังจนเกือบตกลงมา

“ทุกอย่างจะต้องกลับมาดีขึ้นแน่ๆ” เฉินซวี่หยางหยิบตะเกียบออกมาคีบบะหมี่

สู้ๆ นะเฉินซวี่หยาง สู้ๆ นะ ไหที่ไร้เสียงตะโกนพูดอยู่ข้างๆ อย่างสุดหัวใจ

 

 

* เซี่ยงจี๊ คือไตหมู

* เซาไป๋ คืออาหารเสฉวน มีลักษณะคล้ายพะโล้ แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการตุ๋นจะมีการใส่ถั่ว เหล้า พริกไทย และต้นหอมเข้าไปด้วย

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: