บทที่ 4
เช้าตรู่วันถัดมา หลังคนทั้งสองฝังเจ้าอาวาสกับหลวงจีนน้อยทั้งสองอย่างลวกๆ ก็เข้าไปในเมือง
หลังผ่านเรื่องเมื่อคืน เฉินกงประดุจวิหคตื่นเกาทัณฑ์ ไม่อยากอยู่ในเมืองนานนัก มองเห็นป้ายของสาขาย่อยพรรคลิ่วเหออยู่ไกลๆ ก็ไม่ยอมเดินหน้าเข้าไป คิดเพียงดึงเสิ่นเฉียวไปให้เร็วสักหน่อย เสิ่นเฉียวพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่กล่าวกับเขาว่า “คงไม่มีคนสนใจพวกเราหรอก พวกเขาไม่รู้ชื่อแซ่ของพวกเราด้วยซ้ำ มีแต่จะไปหาคนอื่น เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
เพิ่งขาดคำ บนขอบกำแพงมีคนหัวเราะออกมาพลางกล่าว “ข้าคิดว่าความกังวลของเขามีความจำเป็น เพียงแต่จะว่าไปแล้ว เมื่อคืนแสงไฟมืดมัว บ่าวเองก็มิได้เห็นว่าคุณชายจะหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ เกือบพลาดไปแล้ว!”
สุ้มเสียงอ่อนหวาน สำคัญที่สุดคือฟังแล้วคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เฉินกงรู้สึกว่าสุ้มเสียงคุ้นหู ทั่วร่างสั่นสะท้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงมองเห็นดรุณีนางหนึ่งนั่งอยู่บนกำแพง ชุดแดงผมดำ มวยผมด้วยห่วงทอง กำลังยิ้มหวานให้พวกเขา ทั่วทั้งร่างกายนอกจากสุ้มเสียงแล้ว ไม่มีสักจุดสอดคล้องกับหลวงจีนน้อยเมื่อคืน
สตรีรูปงามเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นยามปกติเดินอยู่บนถนนใหญ่ เฉินกงต้องเพ่งมองหลายหนอย่างแน่นอน แต่ยามนี้เขานึกถึงสภาพตายอนาถของหลวงจีนทั้งสามนั้น ก็รู้สึกหนาวเย็นเป็นพักๆ ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะมองดูอีกสักแวบเดียว
ไป๋หรงกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “เหตุใดตกใจเช่นนี้ สหายเก่าพบพานอีกครา ไม่ควรดีใจหรือ ข้ามาหาพวกท่านโดยเฉพาะ!”
เสิ่นเฉียวมองไม่เห็น ได้แต่ประสานมือไปยังจุดกำเนิดสุ้มเสียง “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้หาพวกเรามีเรื่องอันใด”
ไป๋หรงบุ้ยปาก “แม่นางท่านนี้อะไรกัน เรียกได้แปลกหูเช่นนี้ ข้าแซ่ไป๋ เรียกว่าไป๋หรง นี่คืออีกชื่อหนึ่งของดอกหมู่ตัน ท่านเรียกข้าว่าหมู่ตันน้อยก็ได้!”
เรือนร่างของนางขยับพร้อมเสียงกล่าวคำ พุ่งไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง
ไป๋หรงดูแล้วมีความสนใจต่อเสิ่นเฉียวมากกว่า ถึงขั้นยื่นมือออกไปหมายลูบใบหน้าของเขา
ขณะปลายนิ้วเกือบแตะสัมผัสถึง เสิ่นเฉียวคล้ายรู้สึกได้แล้ว ถอยหลังสองก้าว
ไป๋หรงหัวเราะคิกคัก ไม่อ้อมค้อมแล้วกล่าว “เมื่อคืนพวกท่านทั้งสอง คนหนึ่งอ่านชิ้นส่วนคัมภีร์ คนหนึ่งฟังอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบ คงจำเนื้อหาได้ไม่น้อยเป็นแน่ ตอนนี้ข้าจะเขียนเนื้อหาชิ้นส่วนคัมภีร์ทั้งหมด แต่ด้านในมีบางคำไม่กระจ่างนัก ต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่านอย่างมาก ส่วนค่าตอบแทน หลังเสร็จงาน ต้องการเงินตราหรือว่าสาวงาม ย่อมสมปรารถนาทั้งหมด”
คำพูดประโยคสุดท้ายลากน้ำเสียงยาว ออดอ้อนแฝงเลศนัย เพียงพอที่จะทำให้บุรุษทุกคนต้องจิตใจหวั่นไหว
เฉินกงรู้สึกเพียงหูร้อนผ่าว เกือบจะตอบรับ แต่มือของเสิ่นเฉียวที่พาดอยู่บนไหล่ของเขาพลันออกแรงกดเล็กน้อย เขาก็ได้สติกลับมา รีบส่ายหน้าจนเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าไม่รู้หนังสือ!”
เสิ่นเฉียวเองก็กล่าว “ท่านหาผิดคนแล้ว เขาไม่รู้หนังสือ ข้าเป็นคนตาบอด เมื่อคืนก็เพียงแค่อ่านตามหนังสือ ไม่เข้าใจความหมาย อ่านจบก็แล้วไป เกรงว่าจะช่วยท่านมิได้”
ไป๋หรงยิ้มหวานๆ กล่าว “ตอนนี้พวกท่านจิตใจว้าวุ่น ย่อมนึกไม่ออก รอหลังติดตามข้ากลับไป แล้วลองคิดดูดีๆ ไม่แน่ว่าอาจนึกออกมากขึ้น บ่าวหน้าตาน่ามองเช่นนี้ พวกท่านกลั้นใจปฏิเสธได้หรือ”
กล่าวจบก็ไม่รอพวกเสิ่นเฉียวตอบ ยื่นมือไปจับพวกเขามาโดยตรง
ในหัวสมองของเฉินกงมีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังสนั่น ร่างกายเองก็คิดหนี แต่ไม่รู้อย่างไร มองดูมือข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามยื่นมา กลับใช้เรี่ยวแรงไม่ออกสักนิด ได้แต่มองดูมือเรียวยาวอ่อนนุ่มข้างนั้นปัดผ่านไหล่ของตนเอง เขาขาอ่อนระทวย ทั้งร่างจึงเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
“ศิษย์น้องหญิงน่าสนใจนัก นี่เตรียมฆ่าคนอีกแล้ว?” สิ่งที่ปรากฏพร้อมกับเสียงแหบชรา กลับเป็นใบหน้าเยาว์วัยที่หล่อเหลางดงามถึงขีดสุด
บุรุษลอยลงมาจากบนกำแพงอย่างเบาหวิว กล่าวกับไป๋หรงที่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ได้เจอศิษย์พี่ ศิษย์น้องหญิงไม่ดีใจหรือ”
ไป๋หรงจำต้องทิ้งพวกเสิ่นเฉียวชั่วคราว รับมือกับอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ “ศิษย์พี่กล่าวคำพูดอันใด ข้ามิได้พบเจอท่านนานมาก เมื่อครู่ทั้งตกใจและดีใจ ลืมตอบสนองชั่วขณะ”
ฮั่วซีจิงมองดูนางแวบหนึ่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม สายตาโฉบผ่านเฉินกงก่อนตกบนร่างเสิ่นเฉียว เผยสีหน้ารู้สึกสนใจอย่างมากออกมา “คุณชายที่หล่อเหลาเช่นนี้ ถึงอย่างไรศิษย์น้องหญิงก็จะสังหารอยู่แล้ว มิสู้เอาหนังหน้าของเขามาให้ข้าก่อน เจ้าค่อยฆ่าเป็นเช่นไร”
ไป๋หรงเคลื่อนตัวขวางอยู่หน้าเสิ่นเฉียวอย่างรวดเร็วก่อนกล่าว “ศิษย์พี่ล้อเล่นแล้ว ข้าไม่เคยคิดฆ่าพวกเขา กลับเป็นศิษย์พี่ที่เหตุใดจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คงมิใช่เดินทางพันลี้มาพูดคุยเรื่องในอดีตกับข้ากระมัง”
ฮั่วซีจิงกล่าว “ได้ยินว่าเมื่อวานศิษย์น้องหญิงได้รับโอกาสใหญ่หลวง ข้าเองก็เดินทางมาที่นี่พอดีจึงแวะมาเยี่ยมสักหน่อย”
“ศิษย์พี่ตีสำนวนอันใด ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
ฮั่วซีจิงแค่นเสียง “เมื่อคืนพรรคลิ่วเหอปรากฏตัวอยู่ในวัดชานเมืองพร้อมชิ้นส่วนคัมภีร์สุริยัน ซึ่งตอนนี้ถูกเยี่ยนอู๋ซือทำลายไปแล้ว ในตอนนั้นเจ้าเองก็อยู่ที่นั่น ได้ยินว่าก่อนชิ้นส่วนคัมภีร์ถูกทำลาย เยี่ยนอู๋ซือให้คนอ่านรอบหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาดหลักแหลมของศิษย์น้องต้องเขียนออกมา เตรียมมอบให้อาจารย์แล้วเป็นแน่”
ไป๋หรงแลบลิ้น ทำท่าแง่งอนของเด็กผู้หญิงขณะกล่าว “ด้วยความกตัญญูที่ข้ามีต่ออาจารย์ สิ่งของเช่นนี้ย่อมต้องมอบให้เขาจัดการ ศิษย์พี่คงไม่คิดมาแย่งชิงความชอบหลังได้ยินข่าวกระมัง ข้าไม่ยอม!”
“ศิษย์พี่กลับมีวิธีที่ดี มิสู้เจ้ามอบสิ่งของให้ข้าเก็บรักษา พวกเราค่อยกลับไปรายงานภารกิจต่ออาจารย์ด้วยกัน เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวเจ้าทำหายแล้ว”
ไป๋หรงยิ้มพลางกล่าว “ศิษย์พี่เห็นข้าเป็นคนโง่หรือ”
ฮั่วซีจิงเองก็ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไม่เชื่อศิษย์พี่เช่นนี้ ทำให้ศิษย์พี่เสียใจ!”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้พูดคุยหยอกล้อ ความจริงแต่ละประโยคลอบซ่อนดาบกระบี่ ล้วนกำลังจ้องมองช่องโหว่และจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
ไป๋หรงมิกล้าผ่อนคลายแม้ครู่เดียว รู้ดีว่าเสิ่นเฉียวพาเฉินกงหลบหนีไปแล้วแต่ก็ไม่มีเวลาสนใจเขา ได้แต่มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ฮั่วซีจิง กลัวว่าหากไม่ระวังจะติดกับของฝ่ายตรงข้าม
ฮั่วซีจิงเลิกคิ้วถาม “พวกเขาไปแล้ว หรือว่าศิษย์น้องไม่ไล่ตามหรือ”
ไป๋หรงกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “เทียบกับพวกเขา ข้ายังคงคิดว่าศิษย์พี่สำคัญกว่าอยู่บ้าง”
คำพูดนี้กล่าวได้แฝงความหมายลึกซึ้ง แต่ในใจพวกเขาทั้งสองต่างเข้าใจดี ว่ามันมิใช่เรื่องเช่นนั้นเลย
เฉินกงไม่รู้เลยว่าตนเองถูกเสิ่นเฉียวดึงขึ้นมาแล้วพาหนีได้อย่างไร เสิ่นเฉียวดวงตามองไม่เห็น แม้มีไม้เท้าไม้ไผ่ก็ยังเดินเหินโซซัดโซเซ ในตัวเฉินกงไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่ชี้ทางให้เขาอยู่ด้านหลัง คนทั้งสองหนีอยู่ครึ่งชั่วยาม เฉินกงอดหอบหายใจกล่าวมิได้ “อย่า อย่าวิ่งเลย ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว…”
เสิ่นเฉียวชะลอฝีเท้า สีหน้าตึงเครียดไม่ลดละ เดินไปยังโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด
เฉินกงรีบถาม “พวกเราไม่ออกจากเมืองหรือ รีบหนีออกจากเมือง ปีศาจสาวนางนั้นจะได้ไล่ตามมาไม่ทัน!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “พวกเขาต้องคิดว่าพวกเราออกจากเมืองอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราจึงมิอาจออกไป ในเมืองคนมาก พวกเขาหาพวกเราพบไม่ง่าย พักแรมที่โรงเตี๊ยมก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสออกจากเมือง มีบุรุษผู้นั้นอยู่ นางคงไม่สนใจพวกเราชั่วครู่”
พวกเขาเข้าโรงเตี๊ยม เมื่อครู่แม้เฉินกงเห็นเสิ่นเฉียวเดินได้เร็ว แต่ความจริงสีหน้าอ่อนล้าเกินทน นึกขึ้นได้ว่าร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าตนเองมาก ยามปกติเดินได้ไม่กี่ก้าวก็จะหอบหายใจ ในใจรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้างจึงกล่าว “กลางคืนข้านอนกับพื้นแล้วกัน บนเตียงให้เจ้านอน”
เสิ่นเฉียวมิได้ปฏิเสธ เนื่องเพราะเขาเองก็ทนไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ หลังเมื่อคืนถูกเยี่ยนอู๋ซือเติมพลังปราณใช้สายตาเกินขีดจำกัด ทั่วร่างก็อ่อนระทวย ก่อนหน้าเพียงแค่เกร็งลมปราณไว้ ตอนนี้พอผ่อนคลาย ทั้งร่างก็อ่อนล้าแทบล้มลง
เฉินกงประหลาดใจอยู่บ้าง “พวกเขาคือศิษย์พี่ศิษย์น้อง เหตุใดกลับเหมือนศัตรู บุรุษผู้นั้นเองก็แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย สุ้มเสียงเหมือนคนชรา ใบหน้ากลับเยาว์วัยเพียงนั้น!”
เสิ่นเฉียวนวดขมับ “เพราะที่เขาใช้คือลักฟ้าเปลี่ยนตะวัน”
เฉินกงเอ่ยถาม “อะไรเรียกว่าลักฟ้าเปลี่ยนตะวัน”
คิดในใจว่าชื่อนี้ฟังแล้วมีอำนาจยิ่งนัก
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบ “คือวิชาเปลี่ยนหน้า ถลกหนังหน้าของคนอื่นมา ใช้วิชาลับบางอย่าง ผสมผสานเข้ากับใบหน้าของตนเอง ทำให้ตนเองโฉมงามอ่อนเยาว์ตลอดกาล พวกเขาสองคน ไม่ว่าใครก็เป็นบุคคลที่รับมือได้ยาก หากมิใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ถูกกัน วันนี้พวกเราคงหนีไม่รอด”
เฉินกงฟังจนขนพองสยองเกล้า กล่าวโดยไร้เสียง “เหตุใดจึงมีเพลงหัตถ์ที่อำมหิตเช่นนี้!”
เสิ่นเฉียวไม่อยากฝืนจิตใจอีก ถือโอกาสนอนลงตะแคงขดตัว หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยบนหน้าอันขาวซีด สภาพเหมือนมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
แรกเริ่มขณะเดินทางร่วมกับเขา เฉินกงยังกังวลอยู่บ้างว่าเขาอาจจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ต่อมาเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ทุกวันจึงเคยชินแล้ว
พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา เฉินกงรีบถาม “เจ้าบอกว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงรู้ว่าคนผู้นั้นใช้วิชาเปลี่ยนหน้า”
เสิ่นเฉียวกล่าว “อ้อ บางครั้งจะนึกขึ้นได้บ้าง”
เฉินกงเชิดมุมปาก
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้า” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฉียวไม่อยากมากความ พลิกตัวหันหลังให้เขา
เฉินกงจนปัญญา จำต้องนอนลงตาม
กลางดึกเขายังฝันร้าย ฝันเห็นหนังหน้าของตนเองถูกถลกลงมา เปลี่ยนเป็นใบหน้าคนชราที่รอยย่นเต็มหน้า ส่องกระจกตนเองยังจำตนเองมิได้ สุดท้ายตกใจจนตื่นขึ้นมา พบว่าท้องฟ้าสว่างมากแล้ว แต่บนเตียงกลับว่างเปล่า
เสิ่นเฉียวหายไปแล้ว
เฉินกงตกใจ กระโดดขึ้นมา ในหัวสมองปั่นป่วนวุ่นวาย พอจับบนเตียงก็ไม่มีไออุ่นหลงเหลือแล้ว ขณะกำลังไม่รู้จะวิ่งออกไปเสาะหาดีหรือไม่ ก็เห็นเสิ่นเฉียวผลักประตูเดินเข้ามา
เขาโล่งอก เอ่ยถามทันที “เจ้าไปที่ใดมา”
คนทั้งสองเดินทางร่วมกันในระยะเวลานี้ แม้ปากไม่กล่าว แต่ในใจเฉินกงคุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของเสิ่นเฉียวโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาคนนอก เสิ่นเฉียวคือคนตาบอด ร่างกายไม่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ต้องไม่สะดวกอย่างมากแน่นอน ต้องพึ่งพาเฉินกงช่วยเหลือ แต่ความจริงกลับเป็นเฉินกงต้องฟังเสิ่นเฉียวในหลายๆ เรื่อง เคราะห์ดีที่มีเสิ่นเฉียว พวกเขาจึงไม่ต้องเดินทางอ้อมมากมาย
เสิ่นเฉียวปิดประตู กล่าวเสียงแผ่วเบา “วันนี้พวกเราออกจากที่นี่กันเถอะ”
เฉินกงตกตะลึง กระโดดขึ้นมาทันที “เพราะเหตุใด!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “หลังไป๋หรงกับศิษย์พี่ของนางต่อสู้กัน คงไม่กลับมาหาพวกเรา ทางด้านพรรคลิ่วเหอ เมื่อคืนพวกเขาอยากเดินทางร่วมกับพวกเรา ถูกข้าใช้คำพูดผลักไสไป ภายหลังก็คงไม่เสียใจ”
เขาหยุดชะงัก ถอนหายใจกล่าว “ยังมีมู่หรงชิ่น คนผู้นั้นคงเป็นยอดฝีมือของราชสำนัก หากเขาโยกย้ายคนของทางการคิดหาพวกเรา ก็มิได้เปลืองแรงแม้แต่น้อย แม้กล่าวว่าพวกเราคนหนึ่งคือคนตาบอด คนหนึ่งไม่รู้หนังสือ แต่ความเย้ายวนของคัมภีร์สุริยันมีมากเหลือเกิน ของที่คนมากมายพยายามแสวงหาทั้งชีวิตแต่ไม่ได้ไป กลับถูกพวกเราได้ฟัง เทียบกับคนอื่นที่นั่นในตอนนั้น พวกเราคือคนอ่อนแอที่สุด ไม่ว่าชาวยุทธ์คนใดล้วนเอาชีวิตของพวกเราได้”
เฉินกงกล่าวอย่างติดอ่าง “ชะ เช่นนั้นทำอย่างไร พวกเราเองก็มิได้จงใจฟัง ของเล่นนั่นออกเสียงยากเพียงนั้น ใครจะไปอยากฟังเล่า!”
“ปุถุชนไร้ซึ่งความผิด ผิดที่ครอบครองหยก เมื่อคืนเราสองคนปรากฏตัวด้วยกัน ได้ทิ้งภาพจำให้คนอื่นแล้ว เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้แต่แยกย้ายกันไป”
หลังทำตัวไม่ถูกครู่หนึ่ง เฉินกงพบว่านี่คือวิธีในไม่มีวิธีโดยแท้จริง หากต้องลงมือขึ้นมาจริงๆ คาดว่าเพียงฝ่ามือเดียวคนอื่นก็ฟาดพวกเขาทั้งสองล้มคว่ำได้ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ถาโถมอยู่ในใจ ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ลึกล้ำกว่าเดิม…เฉินกงเจ็บแค้นที่ตนเองไร้สามารถ แต่ก็จนปัญญา
“…เช่นนั้นก็ได้” เขาฝืนกล่าว มองไปยังเสิ่นเฉียว “แต่เจ้าอยู่ตัวคนเดียวได้หรือ”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “เหตุใดไม่ได้ ก่อนหน้าอยู่ที่อำเภอฝู่หนิง เจ้าเห็นข้าตัวคนเดียวก็ดีมิใช่หรือ”
เฉินกงลองคิดดูก็ใช่ แต่ไม่ว่าอย่างไรจิตใจก็ไม่มีความสุขขึ้นมา เขาถาม “เช่นนั้นรอหลังออกจากเมือง พวกเรายังพบหน้ากันได้หรือไม่”
เสิ่นเฉียวกล่าว “แล้วแต่วาสนาเถอะ เจ้ายังต้องการไปพรรคลิ่วเหออยู่หรือเปล่า”
เฉินกงส่ายหน้า กลับได้สติยิ่งนัก “รองประมุขผู้นั้นจำข้าได้แล้ว ข้าไปพรรคลิ่วเหอ มิใช่ไปติดกับเสียเองหรือ ผู้คนต่างรู้ว่าข้าเคยได้ยินชิ้นส่วนคัมภีร์น่าชังนั่น ต้องอยากขุดค้นอะไรจากตัวข้าสักหน่อยอย่างแน่นอน”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไปที่ใด”
เฉินกงกล่าวอย่างหมดอาลัย “เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าวแล้วกัน ไม่แน่ว่าเมื่อใดที่ใช้เงินหมดแล้ว ก็พักอยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องกินข้าวอยู่ดี”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ถึงอย่างไรพรรคลิ่วเหอก็เป็นพรรคใหญ่ ต้องใช้คุณสมบัติสูงในการเข้าพรรค ต่อให้เจ้าเข้าไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีอะไร มิสู้หาสำนักเล็กๆ ที่เที่ยงตรงมีคุณธรรม ด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถของเจ้า ไม่นานก็ออกหน้าได้เป็นแน่”
“ตามใจแล้วกัน ข้าไม่อยากไปทางใต้แล้ว อยากไปทางเหนือ เดินทางไปเยี่ยมเมืองเย่เฉิงสักหน่อย ได้ยินว่าที่นั่นรุ่งเรืองยิ่งนัก โอกาสออกหน้าคงมากเช่นกัน”
ขณะกล่าวคำพูดนี้ เฉินกงขาดความสนใจ เขาไม่มีสิ่งของอะไรต้องเก็บ มีเสื้อผ้าติดตัวสองชุด ผูกห่อของก็ไปได้แล้ว ก่อนออกเดินทางหันหน้ามองดูอีกแวบหนึ่ง เห็นเสิ่นเฉียวนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม้เท้าไม้ไผ่วางอยู่หน้าลำตัว แม้ตาบอด แต่ใบหน้ากลับหันมาทางตนเอง คล้ายกำลังส่งเขาอยู่
เฉินกงพลันเจ็บแปลบปลายจมูกขณะกล่าว “เจ้า…เจ้าต้องรักษาตัวด้วย”
เสิ่นเฉียวพยักหน้าแล้วกล่าว “เจ้าก็เช่นกัน”
คนทั้งสองที่พบกันโดยบังเอิญ เดินทางร่วมกันเพราะโอกาส ซ้ำยังแยกทางเพราะมีเส้นทางต่างกัน เดิมนี่คือเรื่องราวที่ปกติเหลือเกิน แต่เฉินกงในวัยสิบกว่าปี ยังมิได้เรียนรู้การเผชิญหน้าอย่างใจเย็น
หลังเฉินกงไปไม่นาน เสิ่นเฉียวเองก็จัดเก็บสัมภาระ เตรียมออกจากเมือง ที่เขาไปคือประตูใต้ ไม่มีทางพบกับเฉินกง คนทั้งสองแยกกันไป ต่างมีเป้าหมายของตัวเอง แต่เขากลับยังมีความตั้งใจอีกอย่างหนึ่ง
เฉินกงออกจากเมืองอย่างหวั่นวิตกตลอดทาง เห็นไม่มีผู้ใดติดตามหรือขัดขวางจึงโล่งอก
เมืองไหวโจวใกล้กับแคว้นเฉิน ขบวนพ่อค้าผ่านไปมาไม่ขาดสาย แม้กระทั่งด้านนอกประตูเมืองตอนกลางวันก็มีคนหาบสิ่งของมาขาย เสียงตะโกนดังไม่ขาดหู คึกคักยิ่งนัก เฉินกงเอาแต่หลบหลีกบุคคลร้ายกาจเหล่านั้นก่อน จึงไม่มีเวลามองดูอย่างละเอียด ยามนี้อยู่ในตลาดอันเจริญรุ่งเรือง อารมณ์ที่ชอบชมความคึกคักของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีผุดออกมาอีกครั้ง
แต่เขาเองก็มิกล้าเดินมาก หมุนตัวหนึ่งรอบ ซื้อแป้งย่างร้อนกรุ่นที่เพิ่งออกจากเตาสองชิ้นเตรียมกินระหว่างทาง แล้วจึงเดินไปตามทางหลวงสู่ทิศเหนือต่อไป
เดินได้ร้อยกว่าก้าว ก็ได้ยินด้านหลังถ่ายทอดเสียงกีบเท้าม้าระคนกับเสียงกรีดร้องร่ำไห้ เฉินกงรีบหันหน้าหมุนตัวมองเห็นหลายคนพุ่งปราดออกมาจากในเมือง วิ่งประจันหน้ามาหาเขา ด้านหลังติดตามด้วยกองกำลังกลุ่มใหญ่ มือถือเกาทัณฑ์ ควบม้าวิ่งตะบึง
เขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยืนตะลึงอยู่กับที่ครู่หนึ่ง แลเห็นคนเหล่านั้นเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังด้านหลังถึงขั้นน้าวเกาทัณฑ์พาดสายแล้วเตรียมยิงมาทางนี้ เฉินกงตกใจจนขวัญกระเจิงทันที วิ่งหนีไปตามสัญชาตญาณ หัวสมองกลับยังมึนงง ไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ เหตุใดพลันเกิดเหตุเช่นนี้
มิเพียงแค่เขา ประชาชนตรงปากประตูเมืองก็วุ่นวายเป็นพัลวัน วิ่งหนีอุตลุดไปทั่ว ร้องอุทานไม่หยุด
เฉินกงมิกล้าแม้แต่จะหันหน้าไปมอง วิ่งไปข้างหน้าสุดชีวิต ในใจรู้สึกว่าตนเองโชคร้ายถึงขีดสุด ไปที่ใดที่นั่นล้วนเกิดเรื่อง
วิ่งได้พักหนึ่ง เสียงลูกเกาทัณฑ์แหวกฝ่าอากาศถ่ายทอดมาโดยพลัน โฉบผ่านปลายหูของเขาเสียบเข้าในโพรงหญ้าด้านหน้าเขา
ขาของเขาอ่อนระทวยแทบจะทรุดล้มไปข้างหน้า
ด้านหลังมีเสียงคนแผดร้องและเสียงคนสะดุดล้มลงบนพื้นตลอดเวลา คนที่อยู่บนหลังม้าถ่ายทอดเสียงเกาทัณฑ์มาจากไกลๆ คล้ายมีความสุขอย่างยิ่ง
ยังมีเสียงคนกล่าวประจบ “เพลงเกาทัณฑ์ของท่านอ๋องยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าแม่นเหมือนจับวาง ไม่มีพลาดเป้าโดยแท้จริง!”
เสียงหัวเราะพลันหยุดลง คนผู้นั้นกระชากเสียง “คนที่วิ่งเร็วที่สุดผู้นั้นด้านหน้า พวกเจ้าห้ามขยับ ข้าจะยิงเขา!”
ยังมีใครวิ่งได้เร็วกว่าเฉินกง ไม่มีแล้ว!
เขาพลันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!
ขุนนางชนชั้นสูงส่วนใหญ่ชอบล่าสัตว์ แต่มีบางคนวิปริตยิ่งนัก พวกเขาไม่ชอบล่าสัตว์กลับชอบล่าคนเป็นๆ โดยเฉพาะการปล่อยนักโทษและทาสออกไป สั่งให้พวกเขาวิ่งหนีสุดความสามารถ จากนั้นใช้เกาทัณฑ์ยิงพวกเขา เป็นตายไม่สน นี่เรียกว่าล่าคน
เฉินกงเองก็เคยได้ยินคนกล่าวถึงหลังออกจากอำเภอฝู่หนิง ในตอนนั้นเขายังฟังด้วยความประหลาดใจ ตามด้วยเสียงจุ๊ๆ ตอนนี้เรื่องราวเช่นเดียวกับที่คนเล่านิทานบอกกำลังเกิดขึ้นกับตัว ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นกว่าจังหวะกลองทันที เกรงว่าหัวใจจะหลุดออกจากอก
เฉินกงหยุดลงโดยพลัน หันกายหมอบลงกับพื้น ร้องขอชีวิตเสียงดัง “ผู้สูงศักดิ์ไว้ชีวิตด้วยๆ ข้ามิใช่เหยื่อ ซ้ำยังมิใช่นักโทษหรือข้าทาส แต่เป็นพลเมืองดี!”
“พลเมืองดีแล้วอย่างไร ข้าอยากฆ่าก็ฆ่า!” ผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะอย่างไม่ไยดี กระทั่งมองเห็นลักษณะของเขาชัดเจน ร้องเอ๊ะอย่างอดมิได้ “เจ้าเงยหน้าขึ้นมาดูสักหน่อย”
เฉินกงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น บนหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มู่ถีผอกลับมองดูด้วยความสนใจ “แม้สีผิวดำไปเล็กน้อย แต่ก็หมดจดสดใส แขนขาดูไปก็นุ่มนวล หากข้าไว้ชีวิตเจ้า เจ้ามีอะไรตอบแทน”
เฉินกงกล่าวอย่างมึนงง “ผู้น้อยเป็นวัวเป็นควาย ยอมให้ผู้สูงศักดิ์ใช้งาน…”
มู่ถีผอยิ้มน้อยกล่าว “เช่นนั้นประเสริฐ ทหาร พากลับไปอาบน้ำให้สะอาด!”
เฉินกงออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก มิใช่ไม่เข้าใจโลก เมื่อแลเห็นสีหน้าที่คนทั้งหมดด้านข้างมองดูเขาล้วนแปลกประหลาดยิ่งนัก กอปรกับคำพูดนั้นที่คนผู้นี้กล่าวเมื่อครู่ เขาพลันตอบสนองขึ้นมา นี่ตนเองถูกเห็นเป็นชายบำเรอแล้ว!
ที่แคว้นฉีโดยเฉพาะในชนชั้นสูง ชายบำเรอนั้นหาใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรไม่ ฮ่องเต้หลายสมัยของแคว้นฉีล้วนไม่เกี่ยงชายหญิง เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างย่อมสนใจบุรุษเพศตาม
เฉินกงไม่รู้ว่าเขาพบเจอขุนนางคนโปรดที่มีชื่อเสียงที่สุดข้างกายฮ่องเต้ฉี แต่นี่หาได้หยุดยั้งอาการขวัญกระเจิงหลังตอบสนองของเขาไม่ เฉินกงโขกศีรษะไปพลางกล่าวเสียงดังไปพลาง “ผู้สูงศักดิ์ไว้ชีวิตด้วย ข้า ข้าไม่มีรูปร่างงดงามอะไร ข้าไม่อยากตามท่านกลับไป!”
สีหน้าของมู่ถีผอมืดครึ้มลง
หัวใจของเฉินกงเต้นระรัว
เขาเคยเรียนหมัดเท้าจากเสิ่นเฉียวหลายกระบวนท่า แต่ฝ่ายตรงข้ามมีกองกำลังกลุ่มใหญ่ แต่ละคนถือดาบพกกระบี่ แววตามันขลับ วิทยายุทธ์เพียงผิวเผินนี้ของเขามิอาจสำแดงได้เลย เกรงว่ายังมิทันเข้าใกล้ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ ก็ถูกหมื่นเกาทัณฑ์ทะลุหัวใจแล้ว
เดิมเฉินกงคิดว่าตนเองไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน แต่ถึงยามนี้ เมื่อครู่รู้สึกว่าตนเองไร้เดียงสาน่าขบขัน แต่ก่อนไม่กลัว เป็นเพราะสถานการณ์เหล่านั้นตนเองรับมือได้ ตอนนี้หวาดกลัว เป็นเพราะชนชั้นสูงที่มาไม่แน่ชัดเหล่านี้ตรงหน้า เฉินกงไม่ต้องกระจ่างแจ้งถึงสถานะของพวกเขา ก็รู้ว่าตนเองมิอาจหาเรื่องอย่างแน่นอน
ข้ารับใช้ด้านข้างหัวเราะขึ้นมา “ท่านอ๋อง ผู้น้อยยังไม่เคยเห็นคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้มาก่อน!”
อีกคนหนึ่งกล่าวคล้อยตาม “ใช่แล้ว คนผู้นี้หาได้งามล้ำไม่ ท่านพอใจนับเป็นบุญของเขา เขากลับยังมีความกล้าปฏิเสธ มิสู้ยิงให้ตายคาที่จะดีกว่า!”
มู่ถีผอหรี่ตา เกาทัณฑ์ในมือค่อยๆ ยกขึ้นมา
“ผู้สูงศักดิ์โปรดให้ข้าน้อยกล่าวอย่างละเอียด!”
ในหัวสมองเฉินกงดังวิ้ง ว่างเปล่าในทันใด เขาไม่ทันคิดให้ละเอียด หลุดปากออกไป “ผู้น้อยมิได้งามล้ำอะไร ไม่ควรค่าให้ผู้สูงศักดิ์ให้ความสำคัญเช่นนี้ แต่ผู้น้อยกลับรู้จัก รู้จักคนผู้หนึ่ง! เขาน่ามองกว่าผู้น้อยมาก ไม่ๆ น่ามองกว่าคนเหล่านี้ที่ท่านพามาเสียอีก!”
ผู้ที่ตามอยู่ด้านหลังมู่ถีผอ แต่ละคนล้วนเป็นบุรุษรูปงาม พอได้ยินต่างก็หัวเราะเกรียวกราวขึ้นมา เยาะเย้ยเฉินกงว่าไม่เคยเห็นโลก
“เจ้าดูสารรูปบ้านนอกของเขา กลับบอกว่าเคยเห็นคนที่สวยงามกว่าพวกเรา!”
มู่ถีผอมิได้กล่าวคำ มือดึงลูกเกาทัณฑ์ขนนกสีขาวดอกหนึ่งออกมาแล้ว คล้ายเตรียมขึ้นสายยิงออก
เหงื่อกาฬผุดทั่วร่างเฉินกง ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นตาย เขาไม่มีเวลามากอีก กล่าวเสียงดัง “คนผู้นั้นอยู่ในเมืองนี้เอง พวกเราเพิ่งแยกทางกัน หากผู้สูงศักดิ์ไม่เชื่อ ข้าสามารถพาท่านไปได้ เขารูปลักษณ์ดี เพียงแต่ดวงตาไม่ดีอยู่บ้าง เป็นคนตาบอด กะ…เกรงว่าผู้สูงศักดิ์เห็นแล้วจะไม่ชอบ!”
เมื่อได้ยินเขากล่าวว่าคนตาบอด มู่ถีผอเกิดความสนใจเล็กน้อยในที่สุด “จะว่าไป ข้ายังไม่เคยเล่นกับคนตาบอดเลย ตอนที่มัดอยู่บนเตียงคงไม่ต้องปิดตาแล้วเป็นแน่”
น้ำเสียงเหลาะแหละนำมาซึ่งยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัย
เฉินกงนับว่าเปิดหูเปิดตาความไร้เกียรติศักดิ์ศรีของชนชั้นสูงกลุ่มนี้ แต่คำพูดของเขาออกจากปากแล้ว เสียใจก็คงไม่ทัน กล่าวในใจว่าฝีมือเสิ่นเฉียวดีกว่าเขา ไม่แน่ว่าอาจขับไล่คนเหล่านี้ได้ และไม่แน่ว่าตอนที่พวกเขาไปถึงที่นั่น เสิ่นเฉียวก็อาจจากเมืองนี้ไปแล้ว
ความคิดยุ่งเหยิงแวบผ่าน เขานั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ข้ารับใช้ควบม้าเข้าไป เชยคางเขาขึ้นพลางกล่าว “ยังไม่รีบพาพวกเราไปอีก!”
เฉินกงกัดฟันกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ ความจริง ความจริงคนผู้นั้นสุขภาพไม่ดี แม้ใบหน้าน่ามอง แต่เกรงว่าจะทำให้ท่านผิดหวัง…”
มู่ถีผอสัพยอก “เช่นนั้นยิ่งดี ป่วยออดๆ แอดๆ เล่นด้วยก็น่าสนใจไปอีกแบบ หากเล่นจนตายแล้ว เช่นนั้นก็เป็นเขาสุขภาพไม่ดีเอง โทษข้ามิได้! เจ้าไม่อยากนำทางก็ได้ เช่นนั้นก็ให้เจ้ามาแทนแล้วกัน เจ้าร่างกายดี เล่นอย่างไรก็ไม่มีปัญหาเป็นแน่ ให้เจ้าถอดจนล่อนจ้อน เล่นกับหมาป่าที่ข้าเลี้ยงดีหรือไม่ พวกมันเองก็ติดสัดพอดี ข้ายังกลุ้มใจที่มิอาจหาคู่ผสมพันธุ์ให้พวกมันอยู่เลย!”
เฉินกงเบิกตาโพลง คิดไม่ถึงเลยว่าโลกยังมีคนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่ การบรรยายของมู่ถีผอทำให้เขาสั่นเทาทั้งร่าง ไม่เกิดความคิดต่อต้านอีก
เสิ่นเฉียว เจ้าเองก็อย่าได้โทษข้า ข้าถูกบังคับ เขากล่าวเงียบๆ
เฉินกงพากองกำลังกลุ่มใหญ่เข้าเมือง มาถึงโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเคยเข้าพัก ยามนี้ห่างจากตอนที่เขาออกมาเพียงครึ่งวัน
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังจดจำเขาได้ เห็นเขาไปแล้วกลับมาอีก ด้านหลังยังติดตามด้วยกองกำลังกลุ่มหนึ่ง มิกล้าเย็นชา รีบเข้ามาซักถาม “นี่ท่าน…”
เฉินกงอดหันหน้ามองดูมู่ถีผอแวบหนึ่งมิได้ มู่ถีผอมองเห็นภายในโรงเตี๊ยมเรียบง่าย ขมวดคิ้วปิดจมูก ไม่ยอมเข้าด้านใน เพียงให้ข้ารับใช้ไม่กี่คนติดตามเฉินกงเข้ามาเจรจา
“คนผู้นั้นที่มาเข้าพักด้วยกันกับข้ายังอยู่หรือไม่” เฉินกงแสดงท่าทาง “เขาตาไม่ค่อยดี ซ้ำยังยันไม้เท้าไม้ไผ่”
เถ้าแก่รีบกล่าว “อยู่ๆ ยังอยู่ เขายังอยู่ในห้อง มิได้ลงมา”
เฉินกงดีใจ จากนั้นเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เพียงแต่ความรู้สึกผิดนี้มิได้คงอยู่นานเท่าใดนัก ก็ถูกคนขัดจังหวะ
ข้ารับใช้ที่มากับมู่ถีผอขมวดคิ้วตวาดใส่เฉินกง “ชักช้าอะไร ยังไม่พาพวกเราขึ้นไปอีก”
ฝ่ายตรงข้ามพอกแป้งแต้มชาด แผ่กลิ่นอายดัดจริต เฉินกงมองดูแวบเดียวก็ไม่ยอมมองดูอีก แต่เขามิอาจขัดขืนคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ได้แต่พาคนขึ้นตึกไปอย่างชักช้าร่ำไร พลางหวังว่าเสิ่นเฉียวจะไปแล้ว แต่ก็หวังว่าเสิ่นเฉียวยังอยู่
เฉินกงพาคนขึ้นตึกเคาะประตู
เคาะสามที ด้านในถ่ายทอดสุ้มเสียงที่คุ้นเคยมาดังคาด “เป็นใคร”
ในชั่วขณะนั้น เฉินกงบอกได้ไม่ชัดว่าในใจตนเองมีความรู้สึกอะไร เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งจึงกล่าว “เป็นข้า”
“เฉินกง? เจ้ากลับมาได้อย่างไร รีบเข้ามาเถอะ” เสิ่นเฉียวผิดคาดเล็กน้อย สุ้มเสียงสงบเหมือนดังวันวาน
เฉินกงมีความรู้สึกหลากหลาย ความรู้สึกละอายผุดขึ้นมาในบัดดล
“เหตุใดยังไม่เข้าไปอีก” ข้ารับใช้ของมู่ถีผอหงุดหงิดยิ่งนัก ออกแรงผลักเขาหนึ่งที
เฉินกงโซเซไปข้างหน้า ถือโอกาสผลักประตูออก
เสิ่นเฉียวกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าหันไปด้านนอกเล็กน้อย คล้ายกำลังชื่นชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แต่เฉินกงรู้ว่าหลังจากคืนนั้น ดวงตาของเขาก็มองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง
“จิ๊ นี่คือคนงามที่เจ้าว่า ก็ไม่เท่าไหร่…”
ขณะข้ารับใช้กล่าวคำพูดนี้เสิ่นเฉียวหันหน้ามาพอดี กล่าวต่อไปมิได้เล็กน้อย
มู่ถีผอที่รออยู่ด้านล่างจนหงุดหงิดขึ้นตึกมาด้วยตัวเองก็ดวงตาลุกวาว
เขามีภูมิหลังยากจน เนื่องจากบิดามารดาได้รับอำนาจ ต่อมาตัวเขาเองคลุกคลีกับฮ่องเต้ จึงมีชีวิตฟุ่มเฟือยไร้ขีดจำกัด ฉะนั้นเขาให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าอย่างยิ่ง หากมองเห็นเสื้อผ้าคนอื่นแต่งกายไม่หรูหราพอ ก็จะไม่เห็นคนผู้นั้นในสายตา
เสื้อผ้าของเสิ่นเฉียวย่อมมิใช่วัสดุที่ดีอะไร บนศีรษะก็เพียงแค่มวยผมอย่างเรียบง่าย ไม่มีแม้กระทั่งปิ่นหยก ใช้เพียงผ้าสีเขียวสีเดียวกับชุดรัดเอาไว้
ทว่ามู่ถีผอกลับไม่ละสายตาเลย
วัสดุเสื้อผ้าอันหยาบกร้านเหล่านี้ ปิดบังความโดดเด่นของคนงามไม่อยู่เลย
ถึงขั้นขณะเสิ่นเฉียว ‘มอง’ มาทางพวกเขาโดยไม่แสดงสีหน้า เขายังรู้สึกปากคอแห้งผาก มีความวู่วามที่ระงับไม่อยู่ อยากจะไปกดฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลง ฉีกกระชากเสื้อผ้า ย่ำยีตามอำเภอใจ
“เฉินกง เจ้าพาผู้ใดมาด้วย”
เมื่อได้ยินสุ้มเสียงอันงุนงงเล็กน้อยของเขา มู่ถีผอรู้สึกตื่นเต้นกว่าเดิมทันที
ไม่รู้ขณะคนผู้นี้ขมวดคิ้วร้องไห้ตะโกนออกมา จะเป็นรสชาติที่น่าปลาบปลื้มเพียงไร
มู่ถีผอถึงขั้นคิดได้แล้วว่าจะกักตัวคนเล่นจนพอใจที่ไหวโจวก่อน ค่อยส่งไปให้เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉี เกาเหว่ยเหมือนกันกับเขา มักชอบเล่นสิ่งของที่ไม่เหมือนผู้คน หากคนงามตาบอดเช่นนี้ถูกส่งไป ฮ่องเต้ต้องดีใจอย่างมากเป็นแน่
“เจ้านามว่าอะไร” เขาถามเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย กลับมิได้ตอบ เพียงกล่าว “เฉินกง?”
แม้รู้ดีว่าเสิ่นเฉียวมองไม่เห็น แต่เฉินกงยังคงหลบเลี่ยงสายตาของเขาตามสัญชาตญาณ
มู่ถีผอเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียงแล้วกล่าว “เฉินกงบอกกับข้าว่าที่นี่มีคนงาม น่ามองกว่าคนทั้งหมดที่ข้าพามาร้อยเท่าพันเท่า เดิมข้าไม่เชื่อ รู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยเห็นโลก กล่าวแต่ความเท็จ ฉะนั้นจึงตามมาดูสักหน่อย เพียงแต่ตอนนี้พอได้เห็นจึงรู้ว่าเขาเองก็มิได้อวดอ้าง”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ไม่แสดงสีหน้า
มู่ถีผอไม่นำพามาใส่ใจ กล่าวต่อ “ข้าคือมู่ถีผอ จวิ้นอ๋องแห่งเฉิงหยาง ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน หากเจ้ายอมตามข้ากลับไป นับจากนี้ไปย่อมมีชีวิตที่หรูหรา ร่ำรวยทรงเกียรติ และไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่โกโรโกโสเช่นนี้”
เสิ่นเฉียวจึงถอนหายใจ “เฉินกง เป็นเจ้าเปิดเผยร่องรอยของข้าต่อเขา?”
เฉินกงตัดสินใจกล่าว “ข้าเองก็จนปัญญา! ถ้าหากไม่พาพวกเขามา ตัวข้าเองก็ต้องไปเป็นวัวเป็นควายให้ท่านอ๋องมู่!”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ากล่าว “หรือเจ้าคิดว่าพาพวกเขามา ตัวเจ้าเองจะพ้นเคราะห์หรือ เจ้าลองถามจวิ้นอ๋องแห่งเฉิงหยางท่านนี้ ว่าเขายินยอมปล่อยเจ้าไปหรือไม่”
มู่ถีผอหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกล่าว “มิผิด เด็กน้อยผู้นี้แม้เทียบเจ้ามิได้แม้แต่ปลายนิ้ว แต่ถึงอย่างไรก็แขนขาครบถ้วน สมองฉับไว ใบหน้าก็ยังนับว่าดูได้ คนเช่นนี้นำมาเป็นบริวารก็ดี!”
เฉินกงตกใจ “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะปล่อยข้าไปชัดๆ!”
มู่ถีผอไม่เห็นเฉินกงอยู่ในสายตาเลย เขาโบกมือ ข้ารับใช้ทางซ้ายและขวาจึงเข้ามาจับเฉินกงไว้
ส่วนตัวเขาเดินไปหาเสิ่นเฉียว
ไม่รู้ว่าเสิ่นเฉียวรู้สึกถึงการเข้ามาใกล้ของเขาได้หรือไม่ ในที่สุดก็พยุงขอบโต๊ะลุกขึ้น ดูแล้วเหมือนกำลังทำความเคารพต้อนรับ
มุมปากมู่ถีผอแฝงรอยยิ้ม ทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมาย
ชาวโลกหาได้เกรงกลัวหรือเลื่อมใสต่ออำนาจไม่ ผู้เกรงกลัวตัวสั่นงันงก ผู้เลื่อมใสเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนไม่ค่อยยินยอม แต่ไม่นานก็จะปรับตัวถึงขั้นชอบเกียรติยศความร่ำรวย หญิงสาวโฉมสะคราญ ถึงเวลาต่อให้คิดถอนตัวก็ไม่กลับมาเป็นตัวเองแล้ว
มู่ถีผอเอ่ยถาม “เจ้านามว่าอะไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบ “ข้าชื่อว่าเสิ่นเฉียว”
“เฉียวที่แปลว่าต้าเฉียวเสี่ยวเฉียว หรือ ชื่อสอดคล้องกับความเป็นจริง”
เสิ่นเฉียวกล่าว “แปลว่ายอดเขาสูง”
มู่ถีผอเลิกคิ้วแย้มยิ้ม “อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เซ่นไหว้แม่น้ำยอดเขา? เฉียวตัวนี้ดุดันอยู่บ้าง มิใช่นามที่คนงามควรตั้ง”
เสิ่นเฉียวกลับมิได้แย้มยิ้ม “ข้าคิดว่านามนี้ดียิ่งนัก”
“ประเสริฐๆ เจ้าชอบก็ดี เจ้ามีชื่อรองหรือไม่ หรือให้ข้าเรียกเจ้าเสี่ยวเฉียว? อาเฉียว?” มู่ถีผอยิ้มพลางกล่าว น้ำเสียงพกพาความหลงรักและคล้อยตามอยู่บ้างโดยไม่เจตนา
เสิ่นเฉียวก้มตัวไปเก็บไม้เท้าไม้ไผ่ ลำคอเผยออกมาช่วงหนึ่ง ภายใต้คอเสื้อขาวโพลนเรียวยาว ชวนให้คนมองตกอยู่ในภวังค์
มู่ถีผอรู้สึกคันหัวใจ อดยื่นมือไปพยุงมิได้ คิดฉวยโอกาสดึงคนมาในอ้อมกอดเพื่อจะได้อิงแอบแนบชิดพอดี
ไออุ่นในกายเสิ่นเฉียวลดต่ำลง ซูบผอมเพราะเจ็บป่วย ขณะข้อมือถูกจับเอาไว้ มู่ถีผอยังรู้สึกได้ถึงกระดูกด้านล่างที่ถูกเนื้อหนังบางๆ ปิดคลุม
หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ ด้วยสายตาที่สอดส่ายหาคนงามของมู่ถีผอ ต้องไม่ชอบที่ผิวสัมผัสของฝ่ายตรงข้ามไม่ดีเช่นนี้แน่นอน แต่ยามนี้เขากลับจิตใจหวั่นไหว อดรนทนไม่ไหวแล้ว
“อาเฉียว…” เขากล่าวเพียงสองคำ
กล่าวได้เพียงสองคำนี้
มู่ถีผอก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เขาก้มหน้ามองดู ปรากฏว่าไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้นกลับมาอยู่บริเวณหน้าอกตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แทงบริเวณหัวใจของเขาพอดี
มู่ถีผอตอบสนองไม่ช้า หลังเจ็บปวด ท่อนบนก็หงายไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งไปจับไม้เท้าไม้ไผ่ มืออีกข้างหนึ่งฟาดใส่เสิ่นเฉียว
เดิมเขามิใช่คนที่จิตใจกว้างขวาง ซ้ำยังเกลียดคนงามที่ดูเหมือนอ่อนแอไร้พิษสง แต่กลับกล้าลอบทำร้ายตนเอง ฉะนั้นพอลงมือก็ไม่ไว้ไมตรีอีก
มู่ถีผอเองก็มีวรยุทธ์ แม้กล่าวว่าเป็นระดับสองระดับสาม แต่หากฝ่ามือนี้ฟาดบนร่างเสิ่นเฉียวจริง เขาไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ทว่าเหนือความคิดหมาย ไม้เท้าไม้ไผ่ที่มั่นคงแต่เดิมไถลเบาๆ หลุดออกจากการควบคุมของมู่ถีผอ
มิเพียงเท่านี้ มืออีกข้างหนึ่งที่มู่ถีผอฟาดไปยังฝ่ายตรงข้ามก็พลาดเป้า
คนงามที่เขาคิดว่าเจ็บป่วยอ่อนแอ ใช้เพลงเท้าอันเลิศล้ำประเภทหนึ่งหลบการโจมตีของเขา ถึงขั้นพลิกกลับมาใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะบนเอวเขาหนึ่งที
กำลังภายในฝ่ายตรงข้ามเวิ้งว้างว่างเปล่า การโจมตีนี้มิอาจสร้างความเสียหายต่อมู่ถีผอมากเท่าไหร่นัก แต่กลับโจมตีบนจุดที่อ่อนแอที่สุดอย่างบริเวณกระดูกซี่โครงของเขาพอดี มู่ถีผอไม่ทันป้องกัน มิอาจโคจรพลังปราณต่อต้าน ผลสุดท้ายถูกการเคาะนี้ทำให้เจ็บจนน้ำตาแทบไหลออกมา อดร้องโอ๊ยหนึ่งคำมิได้ ขยับถอยหลังทันที
เหล่าข้ารับใช้ของเขาจึงตอบสนองขึ้นมา บางคนเข้าไปประคองมู่ถีผอ บางคนกรูกันเข้าไป เตรียมจับเสิ่นเฉียวเอาไว้
มู่ถีผอไม่เคยคิดว่าตนจะเสียเปรียบที่นี่ สีหน้ามืดครึ้มจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา จ้องมองเสิ่นเฉียวอย่างดุร้าย ในดวงตาไม่ปกปิดแววเดือดดาล ในสมองคิดวิธีทรมานฝ่ายตรงข้ามแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยแบบ “จับเป็นเขามาให้ข้า!”
ในบรรดาข้ารับใช้ที่เขาพามาก็มีผู้ที่ฝีมือไม่เลว อาศัยคนมาก ไม่เห็นคนที่ตาบอดและเจ็บป่วยอ่อนแอผู้นี้อยู่ในสายตา ใครจะไปรู้ว่ากลับพ่ายแพ้ทั้งหมด
ไม้เท้าไม้ไผ่อันเดียวของเขา ทำให้คนทั้งหมดมิอาจประชิดตัวได้
แต่มิเพียงเท่านี้ คล้ายรู้ว่าทางฝั่งมู่ถีผอคนมาก เสิ่นเฉียวเองก็มิได้คิดเปลืองแรงกับพวกเขาต่อไปอีก ลงมือโหดขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเพราะตาบอดในยามปกติ ยามนี้กลับเคลือบด้วยความถมึงทึงชั้นหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งคิดอ้อมไปด้านหลังเพื่อจับเขาไว้ กลับถูกไม้หนึ่งฟาดลงไป คนโซเซถอยหลังต่อเนื่อง เสิ่นเฉียวไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ถือโอกาสผลักคนลงหน้าต่าง
เสียงแผดร้องที่ตกลงไปจากชั้นสองถ่ายทอดมา กลุ่มคนต่างเกรงกลัวอยู่บ้าง ลืมท่าทางชั่วขณะ
“ยังมีใครมาอีก”
เขา ‘มอง’ กลุ่มคนเอาไว้โดยไม่แสดงสีหน้า ไม้เท้าไม้ไผ่แตะพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติง
สีหน้ายังคงขาวซีด แต่กลับมีความถมึงทึงเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง
เฉินกงปากอ้าตาค้าง
คราวก่อนเขามองเห็นเสิ่นเฉียวขับไล่กระยาจกน้อยทั้งหลายเมื่อครั้งยังคงอยู่ที่วัดร้าง ในตอนนั้นก่อนรู้ว่าเสิ่นเฉียวเจ็บป่วยสูญเสียความทรงจำ อาจเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์คนหนึ่ง แต่ภายหลังที่วัดชูอวิ๋น หลังเห็นพวกเยี่ยนอู๋ซือกับหลวงจีนเสวี่ยถิงลงมือ มุมมองที่มีต่อโลกราวกับยกระดับขึ้นอีกขั้น ไม่รู้สึกว่าเสิ่นเฉียวร้ายกาจอีกแต่อย่างใด
กระทั่งขณะนี้ เขาคล้ายสังเกตเห็นความลับมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างฝ่ายตรงข้าม ซ้ำยังคล้ายถูกปิดบังอำพราง ไม่รู้อะไรสักอย่าง
มู่ถีผอรู้ตัวว่าเสียหน้า ทั้งเคืองแค้นและชิงชังเสิ่นเฉียว ประเดี๋ยวก็อยากฆ่าคนผู้นี้ ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าฆ่าเพียงอย่างเดียวยังไม่หายแค้น ต้องจับเป็นกลับไปกระทำชำเราสิบรอบแปดรอบ สุดท้ายค่อยทิ้งให้ลูกน้องของตนเองเล่นจนตาย จึงนับว่าหายแค้นใจ
เขาหันมองซ้ายขวา เห็นกลุ่มคนล้วนของตนเผยสีหน้าลังเลมิกล้าเข้าไป จึงด่าหนึ่งคำอย่างอดมิได้ “พวกเจ้าคนมากเพียงนี้ หรือว่าสู้คนตาบอดเพียงคนเดียวมิได้ จะทับก็ทับให้ตายได้!”
กลุ่มคนยังคงมิกล้าขยับ หลักๆ คือถูกตีจนกลัวแล้ว บนร่างล้วนเป็นแผลมากบ้างน้อยบ้าง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถสำแดงประโยชน์ของไม้เท้าไม้ไผ่อันเดียวถึงขีดสุด
เสิ่นเฉียวสีหน้าเฉยชา เพียงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น คล้ายกำลังรอพวกเขาจากไปหรือเข้ามาท้าทายต่อ
มู่ถีผอแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง “เมื่อครู่เจ้ามิได้ใช้กำลังภายใน อาศัยเพียงกระบวนท่ายอดเยี่ยม ต้านทานได้ไม่นานเท่าไหร่ คนของข้าก็ล้อมโรงเตี๊ยมนี้เอาไว้แล้ว หากเจ้ารู้จักกาลเทศะ ก็คุกเข่าลงร้องขอชีวิตอย่างว่าง่าย บางทีข้าอาจยังให้ชีวิตเจ้าได้ มิฉะนั้น…”
เสิ่นเฉียวกล่าว “มิฉะนั้นจะเป็นอย่างไร”
มู่ถีผอเผยสีหน้าดุร้าย “มิฉะนั้น…”
คำพูดนี้ยังมิทันกล่าวจบ เขาก็เห็นเสิ่นเฉียวฟาดฝ่ามือหนึ่งไปด้านข้าง
คนที่คิดว่าเสิ่นเฉียวไม่มีกำลังภายในก่อนหน้าล้วนตกใจ พอกระแสลมพุ่งจากฝ่ามือไป เสาก็ล้มลงมาพอดี
กลุ่มคนคาดคิดไม่ถึง มิอาจไม่พุ่งกายหลบหลีก มู่ถีผอเองก็ไม่เว้น เนื่องจากเสาอยู่ด้านหลังเขาไม่ไกล เขามิอาจถอยไปด้านหลังจึงได้แต่พุ่งกายไปด้านข้าง ผลสุดท้ายเสิ่นเฉียวยังฉวยโอกาสขณะเขาหลบหลีกฟาดใส่แผ่นหลังเขา
มู่ถีผอหมุนตัวตอบโต้ แต่กลับไม่คาดว่าจะตกสู่กับดักของเสิ่นเฉียวพอดี เสิ่นเฉียวม้วนแขนเสื้อ จับข้อมือเขาเอาไว้ ดึงเขาถอยไปริมหน้าต่าง มืออีกข้างหนึ่งจับลำคอของเขาไว้
กลุ่มคนมองดู ยิ่งมิกล้าขยับเขยื้อนส่งเดช
มู่ถีผอคิดไม่ถึงว่าข้อมือที่ผอมจนเห็นกระดูกได้นั้นกลับมีพลังมากเพียงนี้ บีบคอจนตนเองหายใจไม่ออกเลย มืออีกข้างหนึ่งยึดตรึงจุดชีวิตของเขาเอาไว้แน่น ทำให้เขามิกล้าใช้แม้กระทั่งลมปราณ
“เจ้าทำเช่นนี้ รังแต่ แค่กๆ รนหาที่ตาย!” มู่ถีผอคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเล่นกับเหยี่ยว สุดท้ายกลับถูกเหยี่ยวจิกตา โมโหแทบตายแต่ก็มิกล้าขยับส่งเดช
แต่ใครจะคิดได้อีกเล่าว่าสภาพนี้ของเสิ่นเฉียวยังทำให้คนหัวหมุนได้
“รนหาที่ตายเองหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่า หากวันนี้ท่านไม่ปล่อยข้าไป เกรงว่าท่านต้องตายอยู่ที่นี่ก่อน” เสิ่นเฉียวน้ำเสียงอ่อนโยน พลังเสียงก็ไม่สูงนัก บางครั้งกระแอมไอเบาๆ หนึ่งเสียง ไม่พกพาความโกรธสักนิด “ได้ชีวิตของผู้สูงศักดิ์ แลกกับชีวิตที่ไม่เพียงพอให้กล่าวถึงของข้า การค้าขายบัญชีนี้คุ้มค่ายิ่งนัก”
ก่อนหน้าตนเองมองผิดได้อย่างไรกันแน่ คิดว่าเขาไม่มีพิษสงและอ่อนแอ!
มู่ถีผอจนปัญญา จำต้องให้ข้ารับใช้ที่จ้องเขม็งเหล่านั้นถอยไป “พวกเจ้าไปบอกด้านนอก ให้พวกเขาถอยไปให้หมด!”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจ “ท่านอ๋องเถรตรงเช่นนี้แต่แรกก็จบแล้ว ไปเถอะ ขอท่านอ๋องส่งข้าไปนอกเมือง ค่อยให้รถม้าข้าสักคัน”
มู่ถีผอแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นคนตาบอด ได้รถม้าไปจะมีประโยชน์อะไร หรือว่ายังต้องให้ข้าส่งสารถีให้เจ้าอีก”
เสิ่นเฉียวขบคิดพลางกล่าว “ท่านอ๋องมู่กล่าวได้มีเหตุผล เช่นนั้นรบกวนท่านไปเป็นเพื่อนข้าอีกช่วงหนึ่ง สารถีผู้นั้นคงมิกล้าไม่ฟังคำสั่งเป็นแน่”
มู่ถีผอกลัดกลุ้ม
ถ้าหากเดินทางออกจากเมืองแล้ว มู่ถีผอถูกบังคับให้ขึ้นรถม้า มีเขาอยู่ในมือ สารถีก็มิกล้าไม่ฟังคำสั่ง
รถม้าไปทางตะวันตก เดินทางสองวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งเข้าใกล้ชายแดนเป่ยโจว ยังตรวจดูให้แน่ใจว่าข้ารับใช้ของมู่ถีผอยังไล่ตามมาไม่ทัน เสิ่นเฉียวจึงให้สารถีขับรถม้ากลับไป จากนั้นยังจี้ตัวมู่ถีผอเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของอำเภอเหยียนโซ่วตรงชายแดน ตีเขาให้สลบก่อนค่อยทำลายแท่งสืบพันธุ์ของเขา เพื่อมิให้วันหน้าเขาไปทำร้ายคนอื่นอีก ซ้ำยังทิ้งเขาไว้ในห้องห้องหนึ่งแล้วจึงจากไปเพียงลำพัง
เสิ่นเฉียวออกจากโรงเตี๊ยม จ้ำอ้าวเดินไปทางประตูเมือง เพียงแต่เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลง หาซอกมุมของตรอกที่เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน พิงบนกำแพง ต้านทานไม่อยู่อีกต่อไป ก้มตัวบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมา
ด้านข้างถ่ายทอดเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งมา
เสิ่นเฉียวไม่จำเป็นต้องเงยหน้าก็รู้ว่าคือใคร เขายื่นแขนเสื้อเช็ดรอยเลือดที่มุมปากออกไป ถือโอกาสพิงกำแพงนั่งลง
บุรุษชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งปรากฏกายตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ หน้าตาหล่อเหลางดงาม อำนาจป่าเถื่อน หางตาแคบยาวมีรอยย่นเล็กน้อย เพียงแต่รอยย่นเล็กน้อยนี้กลับเพิ่มเสน่ห์ที่บอกได้ไม่ชัดเจนชนิดหนึ่งให้แก่เขา
เยี่ยนอู๋ซือยืนเอามือไพล่หลัง เห็นเขาสีหน้าขาวซีดสภาพปางตายจึงส่งเสียงจุ๊ๆ ออกมา “เมื่อไม่นานนี้เจ้าแยกกับเฉินกงไปตามทางของตัวเองเพื่อที่จะไม่พัวพันกับเขา ผลลัพธ์ของความหวังดีย้อนกลับมาหักหลังเสียแล้ว คนแซ่เฉินเองไม่ยอมเป็นของรักของหวงของมู่ถีผอ จึงโยนเจ้าออกมา รสชาติของคนดีเป็นเช่นไร”
หน้าอกเสิ่นเฉียวเกิดคลื่นเหียนแทบตาย ป้องปากแทบอยากจะบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมาอีกหลายคำจึงสะใจ
“ท่านกล่าวไม่ถูก คืนนั้นที่วัดชูอวิ๋น ข้าคือคนที่อ่านชิ้นส่วนคัมภีร์ ข้ากับเฉินกง มีเพียงข้ารู้หนังสือ ถึงแม้เฉินกงความจำเหนือมนุษย์ จดจำประโยคได้จำนวนหนึ่งแต่ก็รู้แค่ผิวเผินไม่รู้เบื้องลึก ถ้าหากคนเหล่านั้นของพรรคลิ่วเหอจะตามหาในภายหลัง ต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าแยกกันกับเขาเพื่อให้เขาไม่พัวพันกับข้า หากเขาประสบภัยเพราะตัวข้า ข้าคงรู้สึกผิด”
กล่าวคำพูดวรรคใหญ่ เขาสูญเสียเรี่ยวแรงอยู่บ้าง มิอาจไม่หยุดชะงักหอบหายใจ ค่อยกล่าวต่อไป
“ข้าไม่มีความสามารถล่วงรู้อนาคต ไม่รู้ว่าเขาจะพบเจอมู่ถีผอ ยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะนำภัยมาหาข้าเพื่อให้ตัวเองรอดตัว แต่ในตอนนั้นข้าไม่สามารถจับเขามาเป็นแพะรับบาปอย่างสบายใจ เพราะเขาอาจทำเรื่องไม่ดีต่อข้าในภายหน้า”
เยี่ยนอู๋ซือเดือดดาลแต่กลับหัวเราะ “เจ้าสำนักเสิ่นใจกว้างดุจทะเลจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายคนของเขาเสวียนตูมิใช่ทุกคนล้วนเหมือนกันกับเจ้า หาไม่เจ้าเป็นถึงศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ ไฉนจึงตกต่ำถึงขั้นที่ถูกคุนเสียโจมตีตกหน้าผา”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้าไม่กล่าวคำใด
ในตอนนี้ความทรงจำของเขาเลือนราง ขาดช่วงขาดตอน นึกขึ้นได้บ้างไม่ได้บ้าง ยังไม่กระจ่างต่อเรื่องราวภายในของความหลังช่วงนี้แต่อย่างใด และไม่มีอะไรกล่าวได้
เยี่ยนอู๋ซือกลับพลันยกฝ่ามือฟาดมาใส่เขา
ฝ่ามือนี้มิใช่การหยั่งเชิงเหมือนการเล่นกันของเด็ก แต่ใช้วรยุทธ์สามส่วนฟาดจริง
ด้วยความแตกต่างของคนทั้งสองในตอนนี้ อย่าว่าแต่วรยุทธ์สามส่วน แม้เยี่ยนอู๋ซือจะใช้เพียงส่วนเดียว ก็เกรงว่าเสิ่นเฉียวจะปราศจากแรงต่อต้าน
หากคนรอบข้างอยู่ตรงนั้น ต้องไม่มีทางสงสัยในความคิดฆ่าคนของเยี่ยนอู๋ซือ และต้องรู้สึกว่าเสิ่นเฉียวกำลังหนีเคราะห์ร้ายเป็นแน่
ลมหายใจของเสิ่นเฉียวหนักหน่วงขึ้นมา โลหิตคำหนึ่งโถมถึงคอหอย แต่กลับถูกเขากักไว้แนบแน่น พลังปราณของเยี่ยนอู๋ซือเหมือนเช่นตัวเขา ป่าเถื่อนอย่างยิ่ง ซัดโถมเข้ามาดั่งแม่น้ำเชี่ยวกราก แทบจะแปรเป็นสสาร
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นตาย ล่อแหลมอันตรายอย่างยิ่ง ในใจของเขากลับสงบลง ปรากฏความโปร่งโล่งอันแปลกประหลาด
ในชั่วขณะนั้น เบื้องหน้าของเสิ่นเฉียวยังคงมืดสนิท ทว่านอกเหนือจากความมืดสนิท ยังมีทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่งปรากฏตรงหน้า
จักรวาลกว้างใหญ่ ฟ้าดินไพศาล ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สรรค์สร้างไม่สิ้นสุด คนอยู่ในภพนั้นเล็กเลือนเพียงใด หากคนฟ้าเป็นหนึ่ง แปลงเป็นเทพกลับวิมาน แม่น้ำขุนเขาคือข้า ตะวันจันทราคือข้า ท้องนภาคือข้า เมฆรุ้งคือข้า เชื่อมผ่านสรรพสิ่ง
ยามนี้เสิ่นเฉียวมีความรู้สึกเช่นนี้
เขาบอกได้ไม่ชัดว่าความทรงจำอันขาดช่วงขาดตอนของตนเองสำแดงประโยชน์แล้ว หรือเป็นเพราะชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่ตนเองอ่านคืนนั้นได้สลักลึกอยู่ในใจ เคียงคู่กับตัวอักษรที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นทีละตัวทีละประโยคในสมอง ในใจเขาประดุจแสงจันทร์ผ่านดงไม้ รัศมีโชติช่วง บริสุทธิ์งดงาม
พลังปราณที่ติดขัดและว่างเปล่าไปนานแล้วกลับเริ่มโคจรรางๆ ทั่วร่าง ต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ฝ่ามือนี้ของเยี่ยนอู๋ซือประทับมาดั่งเขาไท่ซานล้มทับ ซ้ำยังว่องไวเหมือนพายุ หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป แม้กระทั่งตาเปล่าก็มิอาจมองเห็นชัด แต่เสิ่นเฉียวกลับมองเห็นชัดเจน ด้านหลังของเขาคือกำแพง มิอาจหลบได้อีก ได้แต่เลือกประจันหน้ารับศัตรู
ใช้เรือนร่างที่เจ็บป่วยอ่อนแอของตนเผชิญกับพลังสามส่วนของเยี่ยนอู๋ซือ
เยี่ยนอู๋ซือเคยปะทะกับปรมาจารย์แห่งยุค ยอดฝีมือขั้นสุดยอดในใต้หล้าพวกฉีเฟิ่งเก๋อและชุยโหยววั่งโดยไม่ตกเป็นรอง เห็นได้ว่าพละกำลังของเขาน่าสะพรึงกลัว อย่าว่าแต่เสิ่นเฉียว แม้มู่หรงชิ่นผู้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีอยู่ที่นี่ เผชิญหน้าพละกำลังสามส่วนของเยี่ยนอู๋ซือก็มิอาจรับมือได้อย่างจริงจัง
แต่ทว่าเสิ่นเฉียวกลับต้านแรงกดเช่นนี้เอาไว้ได้
มิได้ถูกฟาดแบนอยู่บนกำแพง และมิได้กระอักเลือดตาย
สีหน้าของเขาขาวซีดจนแทบจะโปร่งใส ฝ่าเท้ากลับมิได้ขยับเขยื้อนสักนิด แขนชุดคลุมโป่งขึ้นเพราะการโจมตีของพลังปราณ แม้กระทั่งผ้าที่รัดผมอยู่บนศีรษะก็หลุดออก ผมยาวสยายตกลงมา ปลิวไสวรุนแรง
พลังปราณสองกลุ่มปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่ง ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอแต่กลับไม่ตกเป็นรองในทันใด
เยี่ยนอู๋ซือเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับมิได้ผิดคาดเกินไปนัก เผยสีหน้าที่บ่งบอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ออกมา
เคล็ดวิชาเขาเสวียนตู สงบบริสุทธิ์ ไม่ขัดแย้งผู้คน พบอ่อนเป็นอ่อนพบแข็งเป็นแข็ง จิตใจผ่องใส บริบูรณ์ไร้บกพร่อง
ในหัวสมองเสิ่นเฉียวพลันแวบผ่านคำพูดประโยคนี้
แต่เขายังตระหนักได้ทันทีว่าพลังแฝงของตนเองถูกกระตุ้นออกมา ความจริงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเขาเสวียนตูมากนัก แต่เพราะ…
ในพลังปราณที่ตนเองใช้กลับปรากฏร่องรอยการผสมผสานกับเยี่ยนอู๋ซือรางๆ พลังปราณทั้งสองคุมเชิงและต่างส่งผลต่อกัน เห็นได้ชัดว่าถือกำเนิดจากที่เดียวกัน!
แต่พละกำลังของคนทั้งสองแตกต่างกันเกินไป เยี่ยนอู๋ซือไม่จำเป็นต้องใช้ท่าทางเพิ่มเลย ขอเพียงเพิ่มแรงกดอีกเล็กน้อย เสิ่นเฉียวก็จะต้านรับไม่อยู่ สีหน้าซีดเซียว บ้วนโลหิตออกมาอีกหนึ่งคำ
เยี่ยนอู๋ซือกลับปล่อยมือออกในยามนี้
“เป็นดังคาด” เขากล่าวด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม “ในตอนนั้นขณะจับชีพจรให้เจ้า ข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าก่อนหน้าเจ้าเคยฝึกปรือชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่เขาเสวียนตู เป็นฉีเฟิ่งเก๋อถ่ายทอดให้เจ้ากระมัง”
เสิ่นเฉียวรู้สึกเพียงสองหูดังวิ้งๆ ฟังสุ้มเสียงของเยี่ยนอู๋ซือก็เหมือนถ่ายทอดมาจากขอบฟ้าไกลๆ ทั้งร่างเขาไถลตามกำแพงตกลงบนพื้น “ฉะนั้นในคืนนั้นที่วัดชูอวิ๋น ท่านจงใจให้ข้าอ่านชิ้นส่วนคัมภีร์?”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “มิผิด คัมภีร์สุริยันมีทั้งหมดห้าเล่ม เล่มสัมภเวสีอยู่ที่เขาเสวียนตูของพวกเจ้า ในเมื่อเจ้าคือผู้สืบทอดของฉีเฟิ่งเก๋อย่อมต้องเคยฝึกเล่มนี้เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นตอนตกลงมาจากเขาปั้นปู้ ไม่ตายก็ว่าเก่งแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยังมีโอกาสรอดชีวิตถึงขั้นค่อยๆ ฟื้นฟูดวงตาและวรยุทธ์ ตัวเจ้าเองไม่รู้สึกแปลกหรือ
นั่นเพราะคัมภีร์สุริยันที่เจ้าเคยฝึกถูกร่างกายของเจ้าจดจำแล้ว ต่อให้เจ้าไม่มีความทรงจำชั่วคราว พลังปราณกลุ่มนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้านานแล้ว กำลังค่อยๆ ช่วยเจ้ารักษาตัว คืนนั้นข้าให้เจ้าอ่านเล่มจิตเพ้อพก เพราะคิดอาศัยเนื้อหาส่วนนี้กระตุ้นให้เจ้านึกถึงส่วนนั้นที่เจ้าเคยฝึกก่อนหน้า ดูว่าเจ้าจะผสมผสานและเชื่อมต่อเนื้อหาของทั้งสองเล่มขึ้นมาได้หรือไม่”
เสิ่นเฉียวลมหายใจรวยรินขณะกล่าว “ข้าเป็นสวะ จะควรค่าให้ประมุขเยี่ยนเสียแรงมากเพียงนี้ได้อย่างไร”
เยี่ยนอู๋ซือแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “เล่มจิตเพ้อพกของคัมภีร์สุริยันปรากฏ นำมาซึ่งการแย่งชิงจากทุกฝ่าย น่าเสียดายที่ถูกข้าทำลายไปแล้ว มีเพียงคนที่อยู่ตอนนั้นได้ยินกับหู หลังพวกเขากลับไปต้องบันทึกเนื้อหาเป็นแน่ พวกเขาคงผสมเนื้อหาเท็จจำนวนหนึ่งไว้ในนั้น เผยแพร่สำเนาออกไปหลายฉบับ นำมาซึ่งการแย่งชิงจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสับสน พรรคที่รุดมาไม่ทันในคืนนั้นมีมากมาย หลังพวกเขาได้ยินข่าวต้องนั่งไม่ติดแน่ ต้องคิดสารพัดวิธีเพื่อให้ได้สำเนาชิ้นส่วนคัมภีร์ที่มีเนื้อหาแท้จริงไม่ผิดพลาด สู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เกิดความวุ่นวายบ่อยครั้ง เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าสนใจหรือ”
เสิ่นเฉียวหลับตาลง “นี่มีผลดีอะไรกับท่าน”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ผลดีย่อมมี แต่ไม่เกี่ยวกับข้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าจำเป็นต้องรู้เพียงว่า เรื่องนี้เจ้าเองก็ได้รับข้อดีใหญ่หลวง ถึงอย่างไรบนโลกนี้ คนที่จะเห็นชิ้นส่วนคัมภีร์เล่มหนึ่งในนั้นได้ ต้องมีโอกาสที่หาได้ยาก มีคนน้อยยิ่งนักที่เป็นเหมือนกับเจ้า ได้รู้สองเล่มในนั้น หากฝึกต่อไปได้ ไม่แน่ว่าจะฟื้นฟูสู่ระดับเก่าก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสมควรขอบคุณข้าจึงจะถูกใช่หรือไม่”
“ประมุขเยี่ยน…”
เยี่ยนอู๋ซือจับคางของเขาเอาไว้ บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ก่อนหน้าเจ้ายังเรียกข้าว่าอาจารย์มิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนคำเรียกเร็วเพียงนี้”
“ข้าคิดว่า…” เสิ่นเฉียวกล่าวพึมพำ สุ้มเสียงคลุมเครืออยู่บ้าง
เยี่ยนอู๋ซือก้มตัวเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปฟัง
ฝ่ายตรงข้ามพลันบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมา เยี่ยนอู๋ซือปล่อยมือไม่ทัน โลหิตสาดบนมือของเขาเป็นจุดๆ
ในดวงตาเยี่ยนอู๋ซือผุดรังสีสังหารออกมา
เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “บอกท่านแล้วว่าข้าอยากบ้วนโลหิต นี่ใช่ว่าจงใจไม่…”
มิทันขาดคำ เขาก็เซไปด้านข้างแล้วสลบไป
ระหว่างสะลึมสะลือ เสิ่นเฉียวรู้สึกได้ว่าทั้งร่างเหมือนลอยละล่องอยู่กลางอากาศ กระทั่งจิตใจก็ล่องลอยออกไปแสนไกล และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดจึงลอยกลับมาตกอยู่ในเรือนกายเรือนนี้ในตอนนี้
เพิ่งลืมตาขึ้น เสิ่นเฉียวก็ได้ยินด้านข้างมีคนถอนหายใจกล่าว “ชีวิตยากเข็ญมากเช่นนี้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไปทำไม ตายไม่สำเร็จ ในใจทุกข์หรือไม่”
เป็นเสียงของเยี่ยนอู๋ซือ
“…” เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะวิปลาส
เยี่ยนอู๋ซือกระทำการตามอำเภอใจ ไม่ยึดตามเหตุผล คัมภีร์ล้ำค่าเหมือนคัมภีร์สุริยันเล่มจิตเพ้อพกนี้ เขาคิดจะทำลายก็ทำลาย
ได้เห็นเนื้อหาชิ้นส่วนคัมภีร์ ผู้คนแสวงหาแต่ไม่ได้ไป เขากลับให้ตนเองได้โอกาสนี้โดยง่าย
ตนเองถูกเฉินกงหักหลัง เผชิญหน้าสถานการณ์ที่มู่ถีผอพาคนมาโอบล้อม ในตอนนั้นเยี่ยนอู๋ซืออยู่ด้านข้างด้วยเป็นแน่ แต่เขากลับนิ่งดูดายไม่เข้าขัดขวาง กระทั่งเสิ่นเฉียวพึ่งพาตนเองออกมาได้ เขาจึงปรากฏตัวอีกครั้ง ลงมือโดยฉับพลันเหมือนอยากจะเอาชีวิตของเสิ่นเฉียว ผลสุดท้ายกลับกระตุ้นพลังปราณของคัมภีร์สุริยันที่หลงเหลือในร่างเสิ่นเฉียวออกมา
แต่เสิ่นเฉียวไม่ถึงขั้นเข้าข้างตัวเองว่าเยี่ยนอู๋ซือให้ความสำคัญกับตนเองเป็นพิเศษ บากบั่นพากเพียรคิดฝึกปรือตนเอง คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือคนผู้นี้อุปนิสัยซับซ้อน อารมณ์แปรปรวน ยากที่จะตัดสินตามเหตุผลทั่วไป
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ข้ารับใช้ของมู่ถีผอมาหาเขาแล้ว เฉินกงเองก็ตามมาด้วย คนผู้นี้ทำให้เจ้าถูกมู่ถีผอคนพรรค์นั้นพึงพอใจ หากเจ้าคิดฆ่าเขา ตอนนี้ยังทัน”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้าไม่กล่าวคำ ข้อศอกยันเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง พบว่าหลังตนเองบ้วนโลหิตหลายคำนั้นแล้วหน้าอกก็โปร่งโล่งขึ้นมาก และไม่มีความรู้สึกปวดตื้อ ดูเหมือนการบ้วนเลือดคั่งออกมานั้นช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
“ขอบคุณประมุขเยี่ยน” เขากล่าว
เยี่ยนอู๋ซือกลับใจกว้าง “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้วนเลือดคั่งออกมาได้เร็วเพียงนี้ เพียงแค่อยากบีบให้เจ้าใช้พลังปราณของคัมภีร์สุริยันเท่านั้น”
เสิ่นเฉียวรู้ว่าความหมายภายใต้คำพูดของเขาคือ ในตอนนั้นถ้าหากเจ้ายื้อไม่รอด ตายก็ตายเปล่า
“เช่นนั้นขั้นต่อไปประมุขเยี่ยนมีแผนอะไร”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “กลับเขาเสวียนตูกับเจ้า”
“…” เสิ่นเฉียวเชิดมุมปาก “ประมุขเยี่ยนมีกิจธุระทุกวัน เหตุใดถึงเสียเวลาอันมีค่ากับคนอย่างข้า”
เยี่ยนอู๋ซือลูบแก้มเขาด้วยความ ‘เอ็นดู’ เสิ่นเฉียวจะหลบก็หลบไม่ได้ ได้แต่ยอมให้เขาจับคางเอาไว้พลางสังเกตอยู่นานเหมือนพิจารณาสิ่งของส่วนตัวชิ้นหนึ่ง “เขาเสวียนตูเก็บซ่อนเล่มสัมภเวสีของคัมภีร์สุริยัน แต่ข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เขาเสวียนตูใหญ่โต ต่อให้คนเหล่านั้นล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เข้าไปค้นหาก็ลำบาก แต่หากมีเจ้าอยู่ในมือก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ท่านอยากให้ข้าเขียนให้ท่านหลังจำเนื้อหาได้?”
เยี่ยนอู๋ซือยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เมื่อไม่นานนี้พวกไม่เอาไหนเหล่านั้นต้องการอ่านจากหนังสือ จดจำทีละคำทีละประโยค ชิ้นส่วนคัมภีร์ที่ซ่อนอยู่ที่วังเป่ยโจวข้าได้ฝึกแล้ว เล่มจิตเพ้อพกข้าเองก็เคยอ่านแล้ว อ่านสองในห้า มีแผนการต่อแนวคิดของคัมภีร์สุริยันในใจนานแล้ว หากกล่าวว่ายามนั้นมองดูเจ้าเขียนสิ่งที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จออกมา มิสู้ให้เจ้าประมือกับข้าโดยตรงจะดีกว่า ไม่กลัวว่าจะมิอาจกระจ่างแจ้งถึงความลี้ลับของชิ้นส่วนคัมภีร์ที่ซ่อนในเขาเสวียนตู”
เขากล่าวกับเสิ่นเฉียวต่อไป “สภาวะก่อนกำเนิดที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การเดินรอยตาม ซ้ำยังมิได้อยู่ที่การลอกเลียนแบบ วิถีทางล้วนมาจากคนเดิน เถาหงจิ่งหลอมรวมจุดเด่นของทั้งสามลัทธิเขียนคัมภีร์สุริยันออกมา ข้าย่อมคิดค้นวรยุทธ์ที่สูงส่งกว่าได้เช่นกัน”
คำพูดเหล่านี้ฟังผ่านๆ นับว่าถือดีอย่างยิ่ง ไม่เห็นผู้ใดเหนือกว่า แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียด ความจริงเสิ่นเฉียวเองก็เห็นด้วย
เยี่ยนอู๋ซือกลายเป็นประมุขนิกายได้ วรยุทธ์เย้ยใต้หล้า ย่อมมีหลักการของตัวเขาเอง มองจากจุดนี้ เขาเองก็สมเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ที่ไต่เต้าสู่ระดับสุดยอดในใต้หล้าได้
มีเพียงจุดเดียว เผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ทุกวัน อยู่ร่วมกันเช้าค่ำ คือความทรมานอย่างหนึ่งโดยแท้จริง มิใช่เรื่องน่ายินดี
เยี่ยนอู๋ซือปล่อยมือออก กล่าวอย่างเฉยชา “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้ว พรุ่งนี้ก็ออกเดินทาง”
เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้ามีทางเลือกอื่นหรือไม่”
“เจ้าเลือกได้ว่าจะฉวยโอกาสขณะอาการบาดเจ็บยังดี ไปด้วยตัวเองตอนนี้ หรือว่าพวกเราสู้กันสักตั้ง รอเจ้าถูกข้าโจมตีจนบาดเจ็บพิการ ข้าค่อยพาเจ้าไป”
เสิ่นเฉียว “…”
มีเยี่ยนอู๋ซืออยู่ย่อมไม่จำเป็นต้องเดินบนทางหลวงที่ปลอดภัยกว่าเหล่านั้น เพื่อที่จะใช้ทางลัด เยี่ยนอู๋ซือหาได้ข้ามแดนฉางอันไม่ แต่ลงใต้สู่เมืองลั่วโจวโดยตรง ค่อยเดินทางจากลั่วโจวสู่อวี้โจวและสุยโจว
เส้นทางสายนี้ย่นระยะทางได้มาก แต่เพราะสถานที่เหล่านี้ใกล้กับชายแดนฉีและโจว หาได้สงบสุขเท่าใดไม่ โดยเฉพาะหลังอัคคีภัยปลายปีที่แล้ว พื้นดินแห้งแล้งพันลี้ ผู้อพยพมีทั่วทุกหย่อมหญ้า ต่างกรูกันไปยังเมืองอำเภอที่มีเสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่า ทำให้บัดนี้พวกเสิ่นเฉียวยังคงมองเห็นผู้อพยพไม่น้อยตามรายทาง
หากกล่าวถึงเรื่องวรยุทธ์ บัดนี้ในใต้หล้ามีน้อยคนที่ต่อกรกับเยี่ยนอู๋ซือได้ แต่เขามิใช่ผู้ร่วมเดินทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เสิ่นเฉียวแผลยังไม่หายดี ดวงตาเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ มิอาจคืนสู่ปกติได้เลย อย่างมากได้แต่มองเห็นแสงเงาเลือนรางเหมือนก่อนหน้านี้ เยี่ยนอู๋ซือเองก็มิได้เกิดความคิดทะนุถนอมหรือดีต่อเขาด้วยเหตุนี้ ตัวเขาไม่ต้องการขึ้นรถ จึงมิได้เช่าแม้กระทั่งรถม้า ยังคงเดินอยู่เบื้องหน้าอย่างสงบ มีท่าทางเชิง ‘เจ้าตามทันก็ตาม ตามไม่ทันก็ต้องตาม’
หนึ่งหน้าหนึ่งหลังเดินอยู่หลายวัน ขณะใกล้จะเข้าเมืองเซียงโจว พวกเขายังพบเจอผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่นอกเมือง
คนเหล่านี้เดิมทีมาจากเมืองกวงโจว เพราะที่นั่นอดอยากแห้งแล้ง มิอาจไม่เดินทางพันลี้มาถึงเมืองเซียงโจวที่ร่ำรวยกว่า ใครจะไปรู้ว่าผู้ว่าการเมืองเซียงโจวกลับไม่ยอมเปิดประตูให้พวกเขา ยังสั่งให้ทหารเฝ้ารักษาอย่างเข้มงวดกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ผู้อพยพเข้าไปแม้แต่คนเดียว
เหล่าผู้อพยพไม่มีเรี่ยวแรงไปแสวงโชคในพื้นที่ต่อไปอีก ได้แต่ปักหลักอยู่ที่นี่ ในความเป็นจริงคือค่อยๆ รอความตาย
มองจากมุมของการปกครองพื้นที่ ผู้ว่าการเมืองเซียงโจวทำเช่นนี้มิอาจต่อว่าได้ เนื่องจากเสบียงอาหารของเมืองเมืองหนึ่งมีจำกัด หากปล่อยผู้อพยพเข้ามา ก็ต้องรับผิดชอบจัดหาที่ให้พวกเขา และในความเป็นจริงคนเหล่านี้คือประชาชนที่ควรอยู่ภายใต้การปกครองของพื้นที่อื่น เช่นนี้เท่ากับเพิ่มความกดดันให้เมืองเซียงโจวเอง ถึงเวลาเสบียงอาหารของเมืองเซียงโจวไม่พอกิน ประชาชนในพื้นที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย บัดนี้เกาเหว่ย ฮ่องเต้ฉียุ่งอยู่กับการแสวงหาความสุขสำราญ ไม่มีความคิดดูแลการปกครอง เสบียงอาหารที่ราชสำนักแจกจ่ายยังไม่บรรลุถึงพื้นที่ก็หมดสิ้นไปในการขูดรีดแต่ละระดับชั้นแล้ว ถึงแม้ผู้ว่าการเมืองเซียงโจวรับผู้อพยพเหล่านี้เข้าเมือง ก็ไม่มีทางได้รับรางวัลจากราชสำนัก
เมืองเซียงโจวเข้าใกล้เขาเสวียนตูแล้ว ขอเพียงเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่กี่วัน ก็บรรลุถึงเขาเสวียนตูที่ตั้งอยู่ด้านข้างเมืองเหมี่ยนโจว
ยิ่งเข้าใกล้เขาเสวียนตู เยี่ยนอู๋ซือก็ยิ่งอารมณ์ดี
เขาถึงขั้นชะลอฝีเท้ารอเสิ่นเฉียว พลางชี้แนะทิวทัศน์และวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม หากไม่รู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง มองผ่านๆ ไม่แน่อาจคิดว่าพวกเขาคือสหายเก่าหรือคู่หูร่วมเดินทางด้วยกันหลายปี
เขากล่าวกับเสิ่นเฉียว “เมืองเซียงโจวคือพื้นที่แคว้นฉู่สมัยจั้นกว๋อ ฉะนั้นจึงมีวัฒนธรรมแคว้นฉู่อยู่มาก และนับว่าเป็นพื้นที่มั่งคั่งร่ำรวย น่าเสียดายเกาเหว่ยไม่มีความคิดบริหาร ความทุ่มเทของสกุลเกาหลายชั่วคนคงต้องล่มสลายในมือของเขาแล้ว”
เยี่ยนอู๋ซือไม่มีความเคารพต่อฮ่องเต้ฉีสักนิดอย่างเห็นได้ชัด อ้าปากก็เรียกชื่อพระองค์โดยตรง
เสิ่นเฉียวหรี่ตาลง มองเห็นนอกเมืองมีคนไม่น้อยรวมตัวอยู่อย่างเลือนราง ในนั้นมีเด็ก สตรี และคนชราเป็นส่วนใหญ่ เคราะห์ดีตอนนี้อากาศยังไม่นับว่าร้อน หาไม่เกรงว่าจะเกิดโรคระบาดเป็นวงกว้าง เสิ่นเฉียวอดมิได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจกล่าว “ความเป็นอยู่ยากลำบากนัก!”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ ในแต่ละแคว้นต่างก็มีเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ช่วงห้าชนเผ่านอกด่านเข้าสู่จงหยวน ปลายยุคจิ้นตะวันตก ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ มีโลหิตสดและชีวิตนับไม่ถ้วนต้องเสียไป ความอดอยากแห้งแล้งเช่นนี้มีทุกปี โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน แต่ละแคว้นโยกย้ายแรงกดดัน หวังจะผลักผู้อพยพไปยังแคว้นอื่นเพื่อปัดความรับผิดชอบ รอจนถึงปีที่อุดมสมบูรณ์ก็เปิดฉากทำสงครามกลืนกินดินแดน การจลาจลภายในเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อำนาจการปกครองผลัดเปลี่ยนอยู่เสมอ ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนชื่อแคว้น การปกครองแคว้นย่อมไม่มีทางมีผู้ใดในใจ เป่ยฉีเพียงแค่รุนแรงกว่าเดิมเท่านั้น”
เสิ่นเฉียวกล่าว “แต่ข้าได้ยินว่าประมุขเยี่ยนมีเงินเดือนตำแหน่งสูงที่เป่ยโจว ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้โจวอย่างยิ่ง ในใจท่านคิดว่าเป่ยโจวมีความเป็นไปได้ที่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งมากกว่าเป็นแน่?”
เยี่ยนอู๋ซือเอามือไพล่หลังกล่าวอย่างเฉยชา “ผู้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าจะฮ่องเต้ลับฮ่องเต้แจ้ง แต่ไรมาล้วนย่ำแย่พอกัน เพียงแตกต่างที่บ้างมีความปรารถนาจะเอาชนะตัวเอง บ้างมิอาจเอาชนะหรือไม่คิดเอาชนะ อวี่เหวินยงแม้ชอบการทำสงครามและเข่นฆ่า แต่เขาห้ามนับถือพุทธและเต๋า และไม่ชอบลัทธิหรู ไม่เข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กระนั้นทางเลือกที่เหลือของเขาจึงน้อยยิ่งนัก ข้าต้องการรวบสามนิกายเป็นหนึ่ง และต้องการความช่วยเหลือจากเขา สกุลอวี่เหวินเข้าสู่จงหยวนหลายปี บรรพบุรุษแม้เป็นชาวเซียนเปย แต่กลายเป็นชาวฮั่นนานแล้ว ระบบของราชวงศ์โจวไม่แตกต่างกับราชวงศ์ฮั่น หากกล่าวถึงการเป็นฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าจะแตกต่างกับราชวงศ์เฉินทางใต้”
หลายวันที่ผ่านมานี้ ฟังจากคำบอกเล่า เสิ่นเฉียวเองก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจในใต้หล้าคร่าวๆ แล้ว
หลวงจีนเสวี่ยถิงที่ลงมือขัดขวางเยี่ยนอู๋ซือในคืนนั้น เดิมทีคือผู้ที่สนับสนุนเป่ยโจวเช่นกัน แต่ผู้ที่เขาสนับสนุนคืออวี่เหวินฮู่ อดีตผู้สำเร็จราชการเป่ยโจว มิใช่อวี่เหวินยง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
หลวงจีนเสวี่ยถิงมาจากนิกายเทียนไถ เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับฝ่าอีประมุขคนปัจจุบันของนิกายเทียนไถ ทว่าจุดยืนแต่เดิมของนิกายเทียนไถกลับเอนเอียงไปทางหนานเฉิน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นภายในนิกายเทียนไถ ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องยาว
หลังอวี่เหวินยงชิงอำนาจที่เดิมควรเป็นของตนเองกลับมา เพื่อที่จะกำจัดผลกระทบที่อวี่เหวินฮู่ทิ้งไว้ ย่อมไม่สามารถใช้สำนักพุทธสืบต่อ ฉะนั้นบัดนี้พวกเสวี่ยถิงอยู่ที่เป่ยโจว ความจริงอยู่ในตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย แม้ไม่ถึงขั้นสูญเสียตำแหน่ง แต่ตราบใดที่อวี่เหวินยงอยู่ในตำแหน่ง หลวงจีนเสวี่ยถิงก็มิอาจคืนสู่เกียรติยศในวันวาน
สำหรับอวี่เหวินยงแล้ว หรู พุทธ และเต๋าต่างมีความต้องการของตัวเอง ครั้นดึงพวกเขามาเกี่ยวข้อง การบริหารแคว้นของตนเองก็ต้องใช้แนวความคิดของลัทธิหนึ่งในนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้ซึ่งตระหนักได้ด้วยตัวเองเช่นพระองค์ไม่ยินดีจะเห็น เมื่อเทียบกันแล้ว นิกายฮ่วนเยวี่ยแม้มีเป้าหมายของตัวเองเช่นกัน แต่พวกเขาเหมาะสมที่จะร่วมมือมากกว่าแต่ละลัทธิ และไม่ขอร้องให้อวี่เหวินยงไปเผยแพร่หลักคำสอนของลัทธิใด หรือควบคุมความคิดของพระองค์
คนทั้งสองเดินไปพลางกล่าวไปพลาง ขณะเดินไปยังประตูเมือง
ประชาชนหรือขบวนพ่อค้าทั่วไปเข้าเมือง มักต้องมีคู่หูร่วมเดินทางเสมอ ยังต้องมีชายฉกรรจ์คุ้มกันจะดีที่สุด เพื่อป้องกันผู้อพยพก่อความวุ่นวาย เนื่องจากผู้อพยพหิวโหยถึงขีดสุดอาจกลายเป็นโจรผู้ร้ายได้ ในขณะที่พวกเขาพบว่าเป็นกระยาจกใช้การไม่ได้ก็จะปล้นชิงอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าถึงขั้นจนตรอก เด็กและสตรีที่หน้าตางดงามตกอยู่ในมือผู้อพยพ มิเพียงรักษาความบริสุทธิ์ไม่ได้ สุดท้ายอาจยังต้องถูกจับลงหม้อต้มเป็นน้ำแกงเนื้อ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยนอู๋ซือกับเสิ่นเฉียวจึงค่อนข้างดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นพิเศษ
คนหนึ่งสองมือว่างเปล่า ไม่พกอะไรทั้งสิ้น คนหนึ่งยันไม้เท้าไม้ไผ่ สภาพอ่อนแอที่เหมือนป่วยหนักเพิ่งรักษา มองอย่างไรก็ไม่เหมือนนักเดินทางทั่วไป
ริมทางมีผู้อพยพส่งสายตาวิงวอนออกมาหาพวกเขาตลอดเวลา เยี่ยนอู๋ซือแค่มองก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่ควรหาเรื่อง ผู้อพยพเองก็มิกล้าเข้ามาร้องขอ ได้แต่เปลี่ยนไปขอเสิ่นเฉียวที่ดูเหมือนอ่อนแอพูดคุยง่ายกว่า
ในนั้นมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง จูงเด็กสามสี่คนเดินอยู่บนเส้นทาง ผอมจนเห็นกระดูกได้ มองไม่ออกว่าเป็นคนสักนิด รูปร่างเหมือนซากศพเชิด แม้กระทั่งสีหน้าก็ด้านชา เด็กที่โตที่สุดอายุเพียงหกเจ็ดปี เด็กที่เล็กที่สุดเพิ่งอายุสองสามปี ก้าวเดินโซซัดโซเซ บิดามารดาเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงอุ้ม นางจึงจับชายเสื้อของมารดาเอาไว้ตามอยู่ด้านหลัง เดินส่ายไปส่ายมา
ถ้าหากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ สุดท้ายเด็กที่เล็กที่สุดจะถูกส่งไปแลกเปลี่ยนกับเด็กบ้านอื่น เพิ่มการแบ่งสรรเสบียงอาหารให้บิดามารดา หรือว่าเขาอาจถูกบิดามารดาต้มกิน เกิดในช่วงกลียุค คนเดินถึงขั้นจนตรอก เพื่อมีชีวิตอยู่เลือดเนื้อเชื้อไขก็สามารถสละได้
สามีภรรยาคู่นี้เห็นเสิ่นเฉียวผ่านทาง จึงคุกเข่าลงขออาหารกับเขา เสิ่นเฉียวครุ่นคิด หยิบแป้งทอดห่อกระดาษน้ำมันชุดหนึ่งออกจากอกเสื้อยื่นให้เด็กที่เล็กที่สุดผู้นั้น
สามีภรรยายินดีปรีดาเสมือนคลุ้มคลั่ง โขกศีรษะขอบคุณซ้ำๆ สามีชิงแป้งทอดจากในมือของบุตร อ้าปากหมายกัดหนึ่งคำใหญ่ เห็นภรรยามองตนเองตาปริบๆ ก็ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นหักเป็นหนึ่งชิ้นเล็กให้ภรรยาอย่างอาลัยอาวรณ์
ภรรยาได้แป้งหนึ่งชิ้นเล็กนั้น ตนเองมิได้กิน แต่กลับหักเป็นหลายชิ้นอย่างระมัดระวัง แบ่งให้บุตรทั้งหลาย
แป้งทอดไม่ใหญ่ เขมือบไม่กี่คำก็กินหมดแล้ว ผู้อพยพด้านข้างมองดูจนตาร้อน ต่างจ้องมองเสิ่นเฉียวเขม็ง
สามีภรรยาคู่นั้นกล่าวขอร้องกับเสิ่นเฉียว “เด็กๆ หิวมาหลายวันแล้ว ผู้สูงศักดิ์โปรดมอบแป้งอีกสักชิ้นให้พวกเขาประทังชีวิตเข้าเมือง!”
เสิ่นเฉียวกลับปฏิเสธ “ข้าเองก็มิใช่คนร่ำรวย ในตัวพกเพียงสองชิ้น ให้พวกเจ้าหนึ่งชิ้น ตัวข้าเองก็ต้องเก็บไว้หนึ่งชิ้น”
สามีภรรยาคู่นั้นได้ยินว่าในตัวเสิ่นเฉียวยังมีของกิน สีหน้าจึงเปลี่ยนแปลงทันที ซ้ำยังเห็นสองตาของเขาไร้แวว ยังต้องอาศัยไม้เท้าไม้ไผ่ค้ำยัน ในใจบังเกิดความคิดชั่วร้ายอย่างเลี่ยงมิได้ กระโจนใส่เสิ่นเฉียว
ใครจะไปรู้ว่ายังไม่แตะถูกแขนเสื้อของผู้อื่น ร่างกายก็ลอยกลับทิศทางออกไป ตกลงบนพื้นอย่างแรง ส่งเสียงแผดร้องออกมา
เมื่อมองดูเสิ่นเฉียวอีกครั้ง กลับยังคงอยู่ในสภาพอ่อนแอเกินทน มองไม่ออกว่าเมื่อครู่เขาโจมตีให้คนลอยออกไปได้เลย
เสิ่นเฉียวคิดไม่ถึงว่าเจตนาดีชั่ววูบของตนจะนำมาซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ มองดูภรรยาของบุรุษอีกครั้ง ต่างตกใจจนกอดกันเป็นก้อนแล้ว
ผู้อพยพที่เตรียมลงมือคนอื่นๆ มองเห็นฉากนี้ ย่อมมิกล้าขยับส่งเดชอีก
บุรุษลุกขึ้นมาอย่างเปลืองแรง มิได้ร้องขอชีวิต แต่กลับเข้ามาด่า “มีฝีมือเจ้าก็ตีข้าให้ตายสิ! คนเช่นเจ้าเสแสร้งมีคุณธรรมเป็นที่สุด คิดอาศัยการให้ทานมาแลกเปลี่ยนกับการโขกศีรษะขอบคุณของพวกเรามิใช่หรือ ไยช่วยคนไม่ช่วยให้ถึงที่สุด ยังมีอีกหนึ่งชิ้นชัดๆ ไฉนไม่เอาออกมา! ไม่อยากเอาออกมาก็บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเอาออกมาสิ ให้พวกเราได้ลิ้มรสหวานแต่ก็กินไม่อิ่ม เจ้าทำเช่นนี้ต่างอะไรกับฆ่าคน!”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจหนึ่งเสียง ส่ายหน้า ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น หันกายผละไป
เยี่ยนอู๋ซือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตลอด มองดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ทั้งมิได้สอดมือและมิได้จากไป เหมือนกำลังรอเขา บนหน้ากลับพกพาสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
มีมือนั้นที่หยิบยื่นออกมาเมื่อครู่ ก็รู้ว่าในตัวเขามีของกิน คนอื่นก็ได้แต่มองดูเขาจากไปตาปริบๆ
รอเขาเดินมาใกล้ เยี่ยนอู๋ซือจึงกล่าว “ข้าวสารหนึ่งโต่วเป็นผู้มีพระคุณ ข้าวสารหนึ่งหาบเป็นศัตรู คำพูดประโยคนี้ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “เป็นข้าสะเพร่า คนที่ได้รับความลำบากมีมากยิ่งนัก อาศัยกำลังของข้าคนเดียว ไม่สามารถช่วยได้หมด”
เยี่ยนอู๋ซือถากถาง “บิดาผู้อื่นไม่สนใจบุตรจะเป็นหรือตาย เจ้ากลับช่วยผู้อื่นดูแลบุตร เจ้าสำนักเสิ่นมีจิตใจเมตตาดังคาด เพียงแต่น่าเสียดายความโลภของคนเรายากเติมเต็ม มิอาจเข้าใจเจตนาดีของเจ้า หากวันนี้เจ้าป้องกันตัวไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นน้ำแกงเนื้อเสียตอนนี้”
เสิ่นเฉียวครุ่นคิดจริงจัง “หากวันนี้ข้ามิอาจป้องกันตัวคงไม่เลือกเดินเส้นทางสายนี้ ยอมอ้อมไกลสักนิดก็คงหลบหลีกพื้นที่ที่มีผู้อพยพได้ คนเรามุ่งหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงโทษทัณฑ์ ไม่เว้นแม้แต่ข้าที่หาใช่นักบุญไม่ เพียงแต่มองเห็นว่ามีคนได้รับความลำบาก ในใจจึงทนไม่ได้เท่านั้น”
เขายึดมั่นในความถูกต้อง เยี่ยนอู๋ซือกลับเชื่อว่าเนื้อแท้มนุษย์ชั่วร้าย คนทั้งสองพูดคุยไม่ไปในแนวทางเดียวกันตั้งแต่ต้น ถึงเยี่ยนอู๋ซือจะสามารถทำให้เสิ่นเฉียวถึงที่ตายได้ด้วยพละกำลัง แต่แม้ว่าเขาบีบคอของเสิ่นเฉียวเอาไว้ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดของคนผู้นี้ได้
มีฉากขั้นนี้เพิ่มขึ้นมา บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงอย่างหาได้ยากระหว่างคนทั้งสองก่อนหน้าจึงอันตรธานไป
“คุณชาย!”
สุ้มเสียงเล็กๆ อันอ่อนแอ ถ่ายทอดมาจากด้านหลัง
เสิ่นเฉียวหันหน้าไป กลับมองเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางสายหนึ่ง ผอมเล็กต่ำเตี้ย คงเป็นเด็กคนหนึ่ง
เด็กคนนั้นวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา โขกศีรษะให้เขาสามทีอย่างเอาจริงเอาจัง “ขอบคุณคุณชายที่มอบแป้งทอดให้พวกเราเมื่อครู่ ท่านพ่อไม่มีของขวัญให้ท่าน ข้า ข้าได้แต่โขกศีรษะให้ท่าน ขอให้ท่านอดทนอดกลั้น อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเขา!”
ไหนเลยเขาจะถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กคนหนึ่ง เสิ่นเฉียวถอนหายใจ เข้าไปพยุงเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้เก็บมาใส่ใจ ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันคือวันประสูติของพระพุทธเจ้า ประชาชนเมืองเซียงโจวนับถือพุทธ ยามนั้นคงจัดโรงทาน และอาจปล่อยผู้อพยพจำนวนหนึ่งเข้าเมืองตามความเหมาะสม พวกเจ้ายังมีโอกาส”
สองตาเด็กน้อยลุกวาว โขกศีรษะขอบคุณซ้ำๆ “ขอบคุณคุณชายที่บอกกล่าว เรียนถามคุณชายชื่อแซ่สูงส่งอันใด ต่อไปหากมีโอกาส ผู้น้อยต้องตอบแทนท่านแน่ สร้างป้ายอวยพรให้ท่าน!”
เสิ่นเฉียวลูบศีรษะของเขา กล่าวถ้อยคำอ่อนโยน “เหล่านี้ไม่จำเป็น เจ้าดูแลมารดาและน้องสาวน้องชายของเจ้าให้ดี”
เด็กน้อยออกแรงพยักหน้า ซ้ำยังกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านวางใจเถอะ ความจริงแป้งทอดชิ้นนั้นที่ท่านแม่แบ่งให้ข้าเมื่อครู่ ข้ามิได้กิน ล้วนลอบยัดให้น้องสาวแล้ว!”
เสิ่นเฉียวฟังจนปวดใจ ซ้ำยังลอบถอนหายใจให้แก่ความรู้เรื่องของเขา เสิ่นเฉียวครุ่นคิด ทั้งยังหยิบแป้งทอดแผ่นหนึ่งที่เหลือในอกเสื้อออกมายื่นให้เขา “เจ้าเอากลับไปกิน อย่าให้บิดาเจ้าพบอีก”
เด็กคนนั้นหิวจนหน้าเหลืองเนื้อลีบ แต่กลับไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากที่ใด เป็นตายก็ไม่ยอมรับไว้ สุดท้ายยังคงเป็นเสิ่นเฉียวฝืนยัดใส่มือเขา “หากเจ้าปฏิเสธอีก คนรอบข้างมองเห็น ก็จะเกิดเรื่องอีก”
เขาจึงได้แต่รับไว้ ซ้ำยังคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เสิ่นเฉียว กล่าวยืนกรานอีก “คุณชายโปรดบอกชื่อแซ่!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าชื่อว่าเสิ่นเฉียว”
“เสิ่นเฉียว…” เด็กคนนั้นพึมพำหลายรอบ ไม่รู้ว่าเข้าใจคำว่าเฉียวเป็นความหมายอื่นใดใช่หรือไม่ เสิ่นเฉียวเองก็มิได้เน้นย้ำแก้ไขเป็นพิเศษ
เด็กคนนั้นผละไปพลางเหลียวมองหลายครั้ง
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “สายแล้ว เข้าเมืองเร็วสักหน่อย”
เสิ่นเฉียวเห็นว่าครานี้เขามิได้เอ่ยปากถากถาง ก็ประหลาดใจอยู่บ้างจึงยิ้มพลางกล่าว “ท่านไม่กล่าวอะไรหน่อยหรือ”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “มีคนชมชอบทำเรื่องโง่งม บอกไปก็ไม่ฟัง ไยข้าต้องเปลืองน้ำลายเปล่า”
เสิ่นเฉียวลูบจมูก ยิ้มแต่มิได้กล่าวคำ
ถึงโลกนี้จะมีความชั่วร้ายมากมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิเสธการดำรงอยู่ของความดีและความเมตตาเพราะความชั่วร้ายเหล่านี้
แม้ต้องใช้แป้งทอดแผ่นนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับเจตนาดีเล็กน้อยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พันสารท ฉบับเต็ม
Comments
comments
No tags for this post.