X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักรำพันรักหมอยา

ทดลองอ่าน รำพันรักหมอยา บทที่สาม-บทที่สี่

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่สาม

วันถัดมาเป็นวันจิงเจ๋อ* เสียงฟ้าคำรามแห่งฤดูใบไม้ผลิดังลั่น เมฆฝนตั้งเค้า ทว่าด้านในสำนักซิ่งหลินกลับดูสงบเงียบอย่างน่าประหลาด ตู้จื่อเฟยทางหนึ่งเขียนใบสั่งยารักษาลมปราณปอดพร่องที่หลินเต๋ออีเพิ่งเอ่ยถึง ทางหนึ่งชะเง้อคอมองไปด้านนอกคล้ายว่ารอใครอยู่ อีกด้านศิษย์คนอื่นกำลังมองหลินเต๋ออีอย่างเคารพนบนอบ

หลินเต๋ออีลูบเคราไปพลางเอ่ยกับผู้ป่วยที่ไอไม่หยุดตรงหน้าอย่างอ่อนโยน “การไอของเจ้านอกจากดื่มยาที่ข้าจ่ายไปแล้ว ก็ให้ใช้ก้อนอ้ายหรงรมยาจุดนี้สามครั้ง” กล่าวไปเขาก็จับมือขวาของผู้ป่วยขึ้นมา แล้วชี้ที่เส้นข้อมือฝั่งนิ้วโป้งของเขา “นี่คือจุดไท่ยวน เป็นจุดพำนักพลังชีวิตบนเส้นลมปราณมือไท่อินปอด ระงับอาการไอสลายเสมหะได้ ช่วยส่งฤทธิ์ยาแพร่กระจายทั่วร่าง” ยามเขากล่าวคำ หางตาก็เหลือบมองตู้จื่อเฟยที่เหม่อลอยอยู่

เมื่อเห็นตู้จื่อเฟยยังมีอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลินเต๋ออีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจงใจถามขึ้น “พวกเจ้าลองว่ามา จุดไท่ยวนนี้รมยาช่วงเวลาใดจึงจะดีที่สุด”

แม้หลินเต๋ออีจะถามศิษย์ทุกคน ทว่าสายตากลับไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าตู้จื่อเฟย อีกฝ่ายผงะไปก่อนจะได้สติกลับมา

คิดไม่ถึงว่าหลินเต๋ออีจะไม่รอตู้จื่อเฟยได้เอ่ยปาก สายตาก็เลื่อนไปที่ร่างอ้ายจื่อจินแล้ว คนทั้งหลายเพียงเห็นหลินเต๋ออีไม่มองตนเองก็ลอบระบายลมหายใจโล่งอก พร้อมเลื่อนสายตาไปที่ร่างอ้ายจื่อจินเช่นเดียวกัน

เดิมหลินเต๋ออีฝากความหวังไว้กับอ้ายจื่อจิน หวังอาศัยคำตอบของนางเตือนให้ตู้จื่อเฟยจดจ่ออยู่กับการตรวจโรค ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้แม้แต่อ้ายจื่อจินเองก็ใจลอยไปด้วย ถึงมือของนางจะวางอยู่บนตาชั่งยา ทว่าสายตากลับหยุดอยู่ที่นอกประตู

หลินเต๋ออีเห็นอ้ายจื่อจินที่ปกติมีสมาธิอยู่เสมอจิตใจว่อกแว่กเช่นนี้ เขาก็นึกฉุน เอ่ยเสียงดังขึ้นมา “จื่อจิน เจ้าเป็นคนพูด!”

ในสมองอ้ายจื่อจินปรากฏบุรุษลึกลับเมื่อวานซ้ำไปซ้ำมา ยามนี้ได้ยินหลินเต๋ออีขานชื่อตนเองกะทันหัน นางจึงหันหน้ามาอย่างงุนงง

“อาจารย์ขอรับ เกรงว่าเมื่อคืนศิษย์น้องจื่อจินจะนอนหลับไม่สนิท คงจะแอบงีบจนไม่ได้ยินคำถามของท่าน” ตู้จื่อเฟยเห็นแล้วจึงฉวยโอกาสนี้เอ่ยกลั้วหัวเราะ ราวกับลืมไปแล้วว่าตนเองก็เหม่อลอยเช่นเดียวกัน

หลินเต๋ออีย่นหัวคิ้ว หาได้เปิดโปงเขา เพียงแค่เอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นเจ้าว่ามา รมยาเวลาใดจึงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด”

เดิมทีตู้จื่อเฟยเพียงแค่คิดแดกดันอ้ายจื่อจินเท่านั้น มิคาดกลับชักนำไฟโทสะของอาจารย์มาที่ร่างตนอีก หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “ข้าเห็นว่าเช้าตรู่ดีที่สุดขอรับ”

หลินเต๋ออีลูบเคราพลางถามอีกโดยไม่แสดงท่าที “เพราะเหตุใด”

“เช้าตรู่เป็นเวลาที่ลมปราณหยางค่อยๆ ฟื้นคืน ลมปราณหยางในธรรมชาติกลับสู่ลมปราณหยางในร่างกายคน สามารถช่วยขจัดพิษ ข้าคิดว่าเช่นนี้สอดคล้องกับหลักคนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งขอรับ”

หลินเต๋ออีไม่กล่าวคำ คนทั้งหลายฟังตู้จื่อเฟยพูดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่หลายส่วน พากันชื่นชมเขาขึ้นมา กระทั่งผู้ป่วยคนนั้นยังอดยกย่องไม่ได้ “หมอตู้อายุยังน้อยกลับรอบรู้หลักการแพทย์ถึงเพียงนี้ จริงดังว่าอาจารย์เลื่องชื่อสร้างศิษย์ล้ำเลิศ อาจารย์เลื่องชื่อสร้างศิษย์ล้ำเลิศโดยแท้!”

ตู้จื่อเฟยยิ้มอย่างย่ามใจ แต่พอหันไปมองหลินเต๋ออีก็ต้องตกใจ เพราะอีกฝ่ายกลับเลิกคิ้วอย่างยากจะคาดเดา

หลินเต๋ออีเบี่ยงกาย มองอ้ายจื่อจินเรียบๆ “ตอนนี้เจ้าฟังคำถามข้าชัดเจนแล้วหรือไม่”

อ้ายจื่อจินพยักหน้าอย่างละอายใจ

“เจ้าคิดว่าจื่อเฟยกล่าวถูกต้องหรือไม่”

อ้ายจื่อจินมองหลินเต๋ออีแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะ เดิมทีนางก็มีความผิดอยู่ก่อนแล้ว คราวนี้หากไม่พูดอีก นอกจากจะเป็นการขัดคำสั่งของอาจารย์แล้ว ยังจะเป็นการผิดต่อความทุ่มเทตั้งใจของหลินเต๋ออีขึ้นมาจริงๆ แต่ถ้าให้นางพูดว่าตู้จื่อเฟยถูก นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องขัดต่อหลักที่นางยึดถือมา นางไม่ใช่คนโกหกพร่ำเพรื่อ ยิ่งกว่านั้นคำโกหกนี้ยังเกี่ยวกับวิชาแพทย์ ถ้าประโยคนี้ของนางทำให้ผู้ป่วยเข้าใจหลักการแพทย์ผิดไป กระทั่งรักษาโรคไม่ถูกต้อง จะไม่ให้นางละอายต่อวิชาแพทย์ที่ตนเองหลงใหลได้หรือ สำหรับนางนี่ถือเป็นการเลือกที่ยากเย็นอย่างมาก นางสัมผัสได้ว่าสายตาทุกคู่ในสำนักล้วนพุ่งตรงเข้ามา หนึ่งในนั้นที่เข้มงวดที่สุดก็คือสายตาของหลินเต๋ออี

นางกัดฟันเบาๆ ก่อนเงยหน้าเผชิญสายตาของหลินเต๋ออี

สายตาหลินเต๋ออีลึกล้ำปานมหาสมุทร แม้เข้มงวดแต่ภายในยังคงแฝงความคาดหวังอันล้ำลึก

มุมหนึ่งในใจอ้ายจื่อจินพลันอ่อนยวบทันตา มุมปากขยับยกเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้นตู้จื่อเฟยก็กำพู่กันแน่นด้วยความเคร่งเครียด น้ำหมึกที่ปลายพู่กันพลันหยดเป็นจุดเข้มหนักบนกระดาษ

เสียงกระซิบกระซาบทั้งหมดหยุดลง ในอากาศอัดแน่นด้วยลมหายใจเข้าออกของทุกคน พวกเขาล้วนอยากรู้ว่านางจะตอบเช่นไร

อ้ายจื่อจินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่ลังเล ทว่าน้ำเสียงเมื่อฟังดีๆ กลับพบความมั่นใจอยู่ในนั้น “ข้าเห็นว่าปลายยามอิ๋น* ต้นยามเหม่า** ดีที่สุดเจ้าค่ะ”

“ยามอิ๋นยามเหม่าล้วนเป็นเวลาเช้าตรู่” ตู้จื่อเฟยระบายลมหายใจโล่งอก พูดเสียงเย็นราวกับหัวเราะเยาะที่นางขโมยคำตอบของตน

ในห้องโถงมีคนหลุดหัวเราะด้วยเช่นกัน

“เฮ้อ เอ่ยอันใดกัน ยามอิ๋นยามเหม่ามิใช่รุ่งเช้าหรอกหรือ เช่นนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าศิษย์พี่พูดถูกสิ”

“เฮ้อ นางไหนเลยจะรู้ ได้ยินศิษย์พี่พูดก็เลยพูดตามไปเสีย คิดว่าระบุชั่วยามโดยละเอียดก็คือคำตอบของตนเองแล้ว?”

อ้ายจื่อจินก้มหน้า เมินเฉยต่อคำถากถางเหล่านี้

หลินเต๋ออีกลับคลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มคืนความอ่อนโยนเฉกเช่นยามปกติ “เพราะเหตุใด”

ทุกคนได้ยินหลินเต๋ออีถามเช่นนี้ก็พากันมองมาทางอ้ายจื่อจินอีกครั้ง ในดวงตาราวกับกำลังชมเรื่องสนุก อ้ายจื่อจินเหลือบมองหลินเต๋ออี ในใจรู้ว่าเขามองตนเองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว นางจึงเอ่ยอย่างจนใจ “การไหลเวียนของเลือดลมมนุษย์มีแข็งแกร่งอ่อนแอ ถูกเวลาจึงแข็งแกร่ง พ้นเวลากลับอ่อนแอ เวลาแข็งแกร่งและอ่อนแอของเลือดลมในเส้นลมปราณแต่ละเส้นล้วนแตกต่างกัน เปิดในเวลาที่เหมาะสม ปิดเมื่อเลยเวลา เช่นนี้เรียกว่าจื่ออู่หลิวจู้* วิธีการฝังเข็มรมยาตามหลักจื่ออู่หลิวจู้คือต้อง ‘ระบายเมื่อแกร่ง เสริมเมื่ออ่อนแอ’ ยามอิ๋นเป็นเวลาที่เลือดลมในเส้นลมปราณปอดแข็งแกร่ง กระทั่งถึงยามเหม่าเลือดลมในเส้นลมปราณปอดจะอ่อนแอ เมื่อครู่อาจารย์วินิจฉัยว่าลมปราณปอดพร่อง การรักษาจึงต้องเสริมลมปราณปอดเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ รมหญ้าอ้ายเฉ่าที่ปลายยามอิ๋นต้นยามเหม่าเพื่อเสริมลมปราณปอดจึงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด”

“เยี่ยม!” หลินเต๋ออีชมเชยเสียงหนึ่ง หันหน้าไปเอ่ยกับคนทั้งหมด “นี่จึงจะเป็นหลักคนและฟ้ารวมเป็นหนึ่ง”

คนทั้งหลายปากอ้าตาค้าง สีหน้าตู้จื่อเฟยดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้เองก็แว่วเสียงดังเอะอะมาจากนอกประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเร่งร้อนอลหม่าน ทุกคนหันหน้าไปอย่างตกตะลึง เห็นดาบเล่มเขื่องบาดตาเล่มหนึ่งฟันลงมาที่ประตูก็พากันตกใจหน้าถอดสีถอยร่นไปด้านหลัง

“ผู้ใดคืออ้ายจื่อจิน!” มือปราบตะคอกเสียงกร้าว

“เจ้าคิดจะทำอะไร!” หลินเต๋ออีตบโต๊ะลุกขึ้น ก่อนจะมีลมดาบหอบหนึ่งวาดผ่านอากาศมา ลำคอพลันเย็นวาบ ร่างกายแข็งค้าง ครั้นได้สติดาบเล่มเขื่องเป็นประกายวิบวับก็มาจ่อที่ลำคอของเขาแล้ว

มือปราบกุมดาบไว้ในมือ ถามเสียงเย็น “เจ้าคืออ้ายจื่อจิน?”

“พวกท่านจับคนผิดแล้ว ผู้นี้คืออาจารย์ข้า อาจารย์ข้าหลินเต๋ออี! นางถึง…” ตู้จื่อเฟยผุดลุกกะทันหัน ชี้อ้ายจื่อจินอย่างฮึกเหิมจนองคาพยพทั้งห้าบิดเบี้ยว แต่แล้วเสียงเขาพลันหยุดลง ทุกคนหันมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นเขาถูกมือปราบอีกคนใช้ดาบจ่อมาที่อก

มือปราบมองความโอหังที่อ่อนลงทีละน้อยของตู้จื่อเฟยอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม “หลินเต๋ออีอะไร! ข้าสั่งให้อ้ายจื่อจินออกมา!”

“ข้าคืออ้ายจื่อจิน ปล่อยอาจารย์กับศิษย์พี่ข้าไปเถอะ” แม้เสียงกระจ่างใสประหนึ่งสกุณาขับขานกลางหุบเขา แต่กลับแฝงด้วยความหนักแน่นและสงบนิ่ง

มือปราบหรี่ตามองมา เห็นหญิงสาวงามชดช้อยผู้หนึ่ง นานครู่ใหญ่ถึงได้สติ เขากระแอมให้คอโล่งก่อนกล่าวเสียงเฉียบ “มีคนบอกว่าเจ้าเป็นคนของพรรคตงหลิน”

อ้ายจื่อจินกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่โอหังและนอบน้อมเกินไป “ผู้ที่บอกว่าข้าเป็นคนของพรรคตงหลินมีหลักฐานใด”

“เจ้าเป็นคนฝังบุรุษผู้นั้นใช่หรือไม่” มือปราบถามขึ้น

หลินเต๋ออีใบหน้าซีดขาว มองไปทางอ้ายจื่อจิน อีกฝ่ายกลับเหลือบมองมือปราบอย่างเย้ยหยัน “นี่คือหลักฐานหรือ”

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช่คนของพรรคตงหลินหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าฝังเขาก็ต้องไปกับข้า!” มือปราบไม่ฟังเหตุผลยิ่งนัก

“เรียนถามท่านมือปราบ ต้าหมิงมีกฎข้อใดระบุว่าการฝังคนนั้นมีโทษ” อ้ายจื่อจินเอ่ยถามเสียงเย็น

มือปราบอึกอักก่อนขึ้นเสียง “อย่ามายกกฎเกณฑ์อะไรกับข้า ที่แห่งนี้ข้าก็คือกฎหมาย ข้าให้เจ้าไปก็ต้องไป!” พูดพลางขยับเข้ามาจะกระชากนางอย่างป่าเถื่อน

“ปล่อยข้า ข้าไปกับท่านแน่!” อ้ายจื่อจินปัดมือที่ยื่นมาหาอย่างรังเกียจ พลางขึงตาใส่เขา “แต่ท่านต้องปล่อยพวกเขาไป!” นางกล่าวพลางชี้ไปทางพวกหลินเต๋ออี

“จื่อจิน!” หลินเต๋ออีตื่นตระหนกยิ่งยวด

ตู้จื่อเฟยกลับตะโกนอย่างหวาดผวามาจากด้านข้าง “รีบปล่อยข้ากับอาจารย์ไปเดี๋ยวนี้ อ้ายจื่อจินเป็นคนฝังคนผู้นั้น ตอนคนผู้นั้นตายก็มีแต่อ้ายจื่อจินอยู่ในที่เกิดเหตุ”

หลินเต๋ออีได้ยินตู้จื่อเฟยพูดประโยคนี้ก็ถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ

ตู้จื่อเฟยมองข้ามสายตาของผู้เป็นอาจารย์แล้วเอ่ยต่อ “อาจารย์กับข้าเคยรักษาฮูหยินผู้เฒ่าถัง คุ้นเคยกับใต้เท้าถังอย่างมาก รีบปล่อยพวกเราไปซะ!”

ทันทีที่มือปราบได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้าถัง’ สามคำนี้ก็มีสีหน้าลังเลดังคาด เขาหันหน้าไปปรึกษาพรรคพวกด้านหลังเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ปล่อยพวกเจ้าไปก่อนชั่วคราว หากข้าตรวจพบว่าพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ระวังชีวิตสุนัขของพวกเจ้าเอาไว้ด้วย!”

ครั้นคนไม่กี่คนคุมตัวอ้ายจื่อจินจากไปไกลแล้ว คนทั้งหลายถึงได้โล่งอก หลินเต๋ออีชายตามองตู้จื่อเฟยอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง ไม่สนใจว่ายังมีผู้ป่วยรอรักษาอยู่อีกหรือไม่ เพียงเลิกม่านเดินเข้าไปยังห้องโถงด้านใน

ตู้จื่อเฟยเห็นเช่นนั้นก็ลนลานตามเข้าไป พอเข้ามาในห้องโถงด้านใน เขาก็ได้ยินเสียงต่อว่าอย่างโมโหของหลินเต๋ออี “เรื่องนี้เจ้าผลักภาระทั้งหมดให้จื่อจินได้อย่างไร!”

“ข้าไม่มีทางเลือกนี่ขอรับ จะให้ท่านผู้ชราแล้วทนรับเคราะห์ติดคุกได้อย่างไร” ตู้จื่อเฟยเอ่ยอย่างน่าสงสาร เมื่อเห็นไฟโทสะของหลินเต๋ออีไม่ลดลง จึงแสร้งพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้ารู้ว่ากระทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อศิษย์น้อง แต่ถ้าพวกเราถูกขังกันหมด ผู้ใดจะช่วยนางได้” เห็นหลินเต๋ออีคลายหัวคิ้วเล็กน้อยอย่างที่คิดไว้จริงๆ ตู้จื่อเฟยจึงรีบกล่าวต่อ “เขาเขียวยังอยู่ ไยต้องกลัวไร้ฟืนเผา* ฮูหยินผู้เฒ่าถังเคยพูดไว้ ไม่ว่าพวกเรามีเรื่องใดล้วนไปขอความช่วยเหลือจากนางได้นี่ขอรับ”

“ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งประเดี๋ยวนี้เลย พรุ่งนี้เจ้าไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าถัง” หลินเต๋ออีรีบเอ่ย

“ขอรับ อาจารย์!” ตู้จื่อเฟยก้มหน้าอย่างนอบน้อม ทว่าประกายตากลับจมดิ่งสู่เงามืด

อ้ายจื่อจินถูกส่งเข้าคุกหญิง นักโทษหญิงรอบตัวพากันเบิกตาโพลง บ้างประหลาดใจ บ้างเฉยชา และมีอีกจำนวนหนึ่งที่เจือแววมุ่งร้ายอย่างเข้มข้น สายตาอำมหิตอย่างที่สุด อ้ายจื่อจินใจเต้นดุจรัวกลอง ทว่าภายนอกยังคงฝืนทำทีสงบนิ่ง

นางโดนส่งเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่ง ก่อนถูกผลักอย่างแรงลงกับพื้น บนพื้นนั้นเย็นเฉียบและมีกลิ่นราอับชื้น ‘โรคทั้งหลายเริ่มจากความเย็น ความเย็นเริ่มจากเท้า’ เคยมีคนบอกนางเช่นนี้ เขาบอกนางอีกว่า ‘จุดหย่งเฉวียนของเส้นลมปราณไตอยู่ที่ฝ่าเท้า หากไม่ใส่ใจรักษาความอบอุ่น นานวันเข้าจะส่งผลให้หยางของไตพร่องสะสมจนกระทบให้อินของลมปราณไตไม่เพียงพอ กระทั่งอวัยวะภายในเสียสมดุล’ ทั้งที่แยกจากเขานานหลายปีเพียงนี้แล้ว นางก็ยังคงจดจำประโยคนั้นได้อยู่ตลอด ตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้นางจึงคอยระมัดระวังรักษาความอบอุ่นให้ฝ่าเท้าของตนเองอยู่เสมอ ทว่ายามนี้ถึงใจนางจะรู้ว่าต้องระวัง แต่ก็ไร้กำลังยับยั้งไอเย็นอันน่าหวาดหวั่นที่แผ่กระจายมายังใต้ฝ่าเท้าทีละนิด นางถอนใจคราหนึ่ง ค่อยๆ กวาดตามองห้องลับอันคับแคบห้องนี้

ห้องลับมืดสลัว แสงสว่างทั้งหมดมาจากคบไฟสองอันที่ปักอยู่บนผนัง พาให้ห้องที่เดิมเย็นเยียบสลัวรางยิ่งเพิ่มกลิ่นอายความน่าอึดอัด ผนังห้องเป็นลายพร้อย ตะไคร่ขึ้นจากมุมผนังและแผ่ขยายขึ้นด้านบน จิ้งจกสีเทาตัวหนึ่งแทรกตัวอยู่บนผนังขรุขระ เกาะนิ่งไม่ไหวติง

ทันใดนั้นจิ้งจกก็ถูกเงาคนที่สะท้อนบนผนังปกคลุม เงาคนเคลื่อนไหวรุกประชิดมาทางอ้ายจื่อจินทีละก้าว ชวนให้รอบกายนางคล้ายอยู่ในสู่ห้วงแห่งแรงกดดันอันไร้รูป

อ้ายจื่อจินลุกขึ้นหันไป แสงไฟไหววูบ ใบหน้าอำมหิตของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า นางผงะอึ้ง ครู่ใหญ่ถึงได้สติ จำได้ว่าเขาคือบุรุษเสื้อแพรที่สังหารชายคนนั้นในคืนนั้น นางจำได้ว่าเขาแซ่กัว

บนใบหน้าชายแซ่กัวมีคิ้วดกดำน่าเกลียดดุจแมลงสาบ ดวงตารียาวเหมือนขบคิดเรื่องชั่วช้าตลอดเวลา ทั้งที่ปากก็ดูไม่หนา ทว่าเวลายกยิ้มกลับมีสภาพเหมือนกุนเชียงตากแห้งเสียได้ และยามนี้ริมฝีปากนั้นก็ได้หยักยกเป็นเส้นโค้ง ยิ้มเหี้ยมเกรียมให้อ้ายจื่อจิน “คืนนั้นเจ้าอยู่ในที่เกิดเหตุ?”

อ้ายจื่อจินเงยศีรษะมอง แต่ไม่กล่าววาจา

ชายผู้นั้นถูกท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ของนางกระตุ้นโทสะ ฉับพลันก็ชักกระบี่ยาวจากข้างเอวขึ้นมาตวัดตรงหน้า พร้อมกับเสียงตะคอกอันเข้มงวด “พูด!”

กระบี่คมกริบราวกับแช่อยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง พาไอเย็นหนาวเสียดกระดูกพาดผ่านลำคอขาวดุจหิมะของอ้ายจื่อจิน

อ้ายจื่อจินหน้าไม่เปลี่ยนสีประหนึ่งไม่สะเทือนต่อกระบี่ข้างลำคอ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามขึ้น “มิทราบใต้เท้าหมายถึงคืนใด”

“เจ้าอย่ามาเสแสร้งกับข้า!” เขาเดือดดาลยิ่งนัก “มีคนเห็นเจ้าฝังเหอปู้ผิง”

ที่แท้คนผู้นั้นชื่อเหอปู้ผิง อ้ายจื่อจินลอบครุ่นคิด ใบหน้าเผยรอยยิ้มเสียดสี “เหอปู้ผิง? เหอปู้ผิงคือใครกัน ชายหรือหญิง แก่หรือผอม ใต้เท้า ข้าฝังคนมามากมายเหลือเกิน ขอทาน พ่อค้า ลูกไม่มีพ่อ พ่อไม่มีลูก…”

ไม่ทันขาดคำ เสียงฟาดฝ่ามือก็ดังกังวานขึ้นฉาดหนึ่ง อ้ายจื่อจินถูกตบจนเซถลาออกไปชนผนังเสียงดังตึง เลือดซึมออกมาจากหน้าผากทันใด ชายแซ่กัวไม่ให้เวลานางได้หอบหายใจ มือซ้ายบีบคอนางเอาไว้ และกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “อย่ามาเล่นลูกไม้กับข้า! ชายที่มุมปากขวามีไฝคนนั้นก่อนตายพูดอะไรกับเจ้า ข้าขอเตือนเจ้า ไม่มีใครแกล้งบ้าแกล้งเสียสติต่อหน้าข้าได้ หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด หัดดูให้ดีเสียบ้าง! ข้าไม่รักหยกถนอมบุปผา* หรอกนะ”

อ้ายจื่อจินหัวเราะเสียงเย็น พลางเอ่ยอย่างหยามเหยียด “เหมือนกับที่พวกท่านกระทำกับคนผู้นั้น?” สายตานางดุจกระบี่ที่เฉียบคม ไม่สะทกสะท้านต่อความตายแต่อย่างใด ทั้งยังแฝงด้วยรอยยิ้มหยันดูถูก

ชายหนุ่มตกใจในท่าทางไม่หวั่นกลัวแม้สักนิดของนาง นิ่งอึ้งเป็นครู่ก่อนตบนางล้มลงกับพื้นอีกครั้ง “ดี! เจ้าอยากเป็นสตรีผู้หาญกล้า เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้เป็น! ใครก็ได้!” เขาตบมือ ไม่ทันไรก็เห็นผู้คุมคุกสองคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา

“ดูแลแม่นางอ้ายท่านนี้ให้ดี” ชายแซ่กัวหัวเราะเสียงเย็น

“ขอรับ!” ผู้คุมคุกสองคนขานรับพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้ามาดึงอ้ายจื่อจินให้ลุกขึ้น และมัดนางกับเสาไม้กลางห้องลับ จากนั้นทั้งสองก็ใช้มือขวาหยิบแท่งไม้ไผ่ที่เหลาจนแหลมเล็กยิ่งแท่งหนึ่งออกมาจากอก ต่างคนต่างใช้มือซ้ายแยกกันดึงนิ้วโป้งของมือซ้ายและมือขวาของอ้ายจื่อจิน

ร่างอ้ายจื่อจินแข็งเกร็งในทันที นางหดนิ้วมือตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่ทันกาล แท่งไม้ไผ่แหลมเรียวได้เสียบเข้าไปในเล็บนิ้วโป้งนางแล้ว

เจ็บ! เหมือนอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง** ถูกคว้านโล่งพร้อมกันในคราวเดียว อ้ายจื่อจินรู้สึกว่าแท่งไม้ไผ่ได้แทรกเข้ามาจากปลายนิ้ว ค่อยๆ เคลื่อนไปตามเส้นเลือดทีละน้อย ความเจ็บปวดแล่นปราดมุ่งสู่หัวใจ ทุกบริเวณที่เคลื่อนผ่าน ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะเสมือนถูกเข็มทิ่มแทง ไม่ทันไรก็คล้ายถูกไฟเผา จากนั้นร่างกายก็คล้ายอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง หนาวเหน็บจนแม้แต่เสียงยังเปลี่ยนไปแหบห้าวขาดห้วง…

“อ๊าก!” นางส่งเสียงกรีดร้องที่แม้แต่ตนเองยังรู้สึกแปลกหูและชวนให้ผู้คนหวาดกลัว ในห้วงความคิด นอกจากความเจ็บปวดแล้วก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก

“คนผู้นั้นพูดอะไรกันแน่!” เสียงน่ารังเกียจดังขึ้นอีกครั้งในตอนนี้ คล้ายกับแมลงเข้ามากัดเล็มภายในหูของนางไม่หยุด สติสัมปชัญญะของนางจวนเจียนจะขาดสะบั้น ขณะสะลึมสะลือ นางมองเห็นคิ้วเหมือนแมลงสาบของคนแซ่กัวค่อยๆ อ่อนลง แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าขาว ริมฝีปากขาวซีด มุมปากขวายังมีไฝสีดำเม็ดหนึ่ง ปากเขากำลังขยับ เขาพูดเบาๆ ที่ข้างหูนาง…

“ไม่!” ความเจ็บปวดดั่งเกาทัณฑ์นับร้อยทะลุหัวใจ นางฝืนเอ่ยคำหนึ่งอย่างเด็ดขาด ส่ายหน้าไปมาจนสุดแรง เหงื่อเย็นเม็ดเล็กละเอียดที่หน้าผากพลันสาดกระเซ็น และหยดลงบนพื้น นางพยายามถ่างตาเอาไว้ ใช้เสียงเบาหวิวอ่อนแรงพึมพำว่า “ไม่รู้ ข้าไม่รู้…”

แสงไฟสะท้อนในดวงตาสีดำสนิทของนาง ดวงไฟดวงน้อยลุกโชนในส่วนลึกของดวงตา สีหน้าเด็ดเดี่ยวของนางพาให้ชายแซ่กัวตกตะลึง เขาอึ้งไปชั่วขณะ  ก่อนตะโกนด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน “แทง ข้าสั่งให้แทงอีก!”

ไม้ไผ่แท่งที่สาม ไม้ไผ่แท่งที่สี่…กระทั่งถึงไม้ไผ่แท่งที่สิบ นิ้วทั้งสิบที่แต่เดิมขาวเนียนดุจก้านต้นหอมได้เปลี่ยนเป็นบวมแดงจนมิอาจทนดู เลือดที่ซึมออกมาสะท้อนกับแสงคบไฟที่มุมผนังจนเกิดเป็นประกายแสงประหลาด จับตัวแข็งเป็นเม็ดกลมที่ปลายนิ้วซึ่งผิดรูปไปแล้วของนางเม็ดแล้วเม็ดเล่า จากนั้นหยดลงพื้นทีละหยดๆ นางสลบไปแล้วกี่ครั้งก็สุดรู้ และถูกคนใช้น้ำเย็นสาดให้ตื่นกี่ครั้งก็หารู้ไม่ บนใบหน้าซีดเผือดแยกแยะไม่ได้ตั้งนานแล้วว่าเป็นเหงื่อเย็นหรือน้ำเย็นกันแน่

ผู้คุมคุกแทงไม้ไผ่แท่งสุดท้ายเสร็จในที่สุด เหงื่อท่วมศีรษะพลางเอ่ย “ใต้เท้า แท่งไม้ไผ่หมดแล้วขอรับ”

“พวกไร้ประโยชน์!” ชายแซ่กัวพูดอย่างโมโห แต่ก็ยังนึกวิธีจัดการกับสตรีแข็งกร้าวผู้นี้ไม่ได้เลยสักนิด

ในเวลานี้เอง ขนตารูปพัดของอ้ายจื่อจินค่อยๆ ขยับเล็กน้อย ก่อนลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า นางยกมุมปากขาวซีดยิ้มเป็นเส้นโค้ง เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง “ใต้เท้า คนผู้นั้นมิใช่ตายต่อหน้าท่านหรอกหรือ จะมาตายต่อหน้าข้าอีกครั้งได้อย่างไร เขาตายแล้วฟื้น? ใต้เท้า ท่านไม่กลัวบ้างหรือไร”

ขาดคำ จู่ๆ คบไฟก็ลุกโชนขึ้นรุนแรงแล้วดับไป เงาคนบนผนังในห้องลับก็วูบหายตามไปด้วย

“ผีหลอก!” ผู้คุมคุกสองคนหวีดร้องเสียงหลง กุมหัววิ่งหนีอลหม่าน

ชายแซ่กัวก็พรั่นพรึงไปอึดใจหนึ่ง หลังจากฝืนทำทีสงบนิ่งแล้วก็ตวาดด้วยน้ำเสียงปานคลุ้มคลั่ง “กลัวอันใดกัน นางหนูนี่แค่พูดจาเพ้อเจ้อ! กล้าเล่นลูกไม้กับข้ากัวติ้งหรือ! ข้าสั่งให้แทง แทงเข้าไปอีก!”

กัวติ้ง เขาชื่อกัวติ้ง!                                           

อ้ายจื่อจินตะลึงงัน ถลึงตาโต ทว่าภาพคนตรงหน้ากลับพร่าเลือนขึ้นทุกขณะ ท่ามกลางความมึนงง นางคล้ายได้ย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อน

เจ็ดปีก่อนยังเป็นรัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปด เดือนสิบปีนั้น ใบอิ๋นซิ่ง* เหลืองเร็วผิดปกติ มีคนยืนอยู่ที่ประตูและเอ่ยขึ้นว่า ‘กัวติ้งก็มาด้วย’

เสียงนี้คล้ายเสียงยุงและแมลงวันบินหึ่ง  ดังก้องข้างหูอ้ายจื่อจินไม่หยุด

บทที่สี่

รัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปด ห่างจากวันที่ฮ่องเต้กวงจงสวรรคตมาแล้วเดือนกว่า ว่ากันว่าฮ่องเต้กวงจงสวรรคตเพราะเสวยลูกกลอนแดง กล่าวกันอีกว่าลูกกลอนแดงนี้หลี่เข่อจั๋วขุนนางผู้ช่วยของศาลสถิตยุติธรรมเป็นคนถวาย ทว่าตามคำเล่าลือฉบับใหม่ล่าสุดของวังหลวง ลูกกลอนแดงที่หลี่เข่อจั๋วถวายนั้น เฉียวเหยี่ยนแห่งสำนักแพทย์หลวงเป็นคนให้มา ข่าวลือนี้ถูกยืนยันความจริงในวันที่สามเดือนสิบรัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปด วันที่สามเดือนสิบฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงมีรับสั่งให้จับกุมหมอหลวงเฉียวเหยี่ยนและพวกทั้งสิบเอ็ดคน ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนถูกจับเข้าคุกหลวงทั้งหมด ราวเที่ยงตรงองครักษ์เสื้อแพร** สามสิบคนภายใต้การนำของเจ้าเมืองนครหลวงก็วิ่งมาถึงบ้านสกุลเฉียว ก่อนล้อมรอบบ้านสกุลเฉียวเอาไว้

โรงแพทย์สกุลเฉียวมีนามว่าโรงแพทย์จิงเฉิง ว่ากันว่าสืบทอดมากว่าเจ็ดชั่วอายุคน สร้างหมอเลื่องชื่อออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า รัชศกจยาจิ้งโรงแพทย์จิงเฉิงยังสร้างหมอหลวงออกมาอีกสามคน ในระยะเวลาอันสั้นวิชาแพทย์ของโรงแพทย์จิงเฉิงก็เลื่องลือไปทั่วสารทิศ หลังรัชศกจยาจิ้งหมอในโรงแพทย์จิงเฉิงยังได้รับสืบทอดตำแหน่งหมอหลวง จนมาถึงเฉียวเหยี่ยนก็สืบทอดมาเป็นรุ่นที่สามแล้ว เฉียวเหยี่ยนวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ประพฤติตนระมัดระวังตลอดมา ปฏิบัติต่อผู้อื่นก็สุภาพอ่อนโยนยิ่ง ทั้งยังสนิทสนมกับราชเลขาธิการฟางฉงเจ๋อ จึงเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ลูกคนรองของเขาเฉียวจือเยวี่ยติดตามเขามาร่ำเรียนอยู่ในสำนักแพทย์หลวง บุตรคนโตเฉียวจือซูเมื่ออายุสิบเจ็ดก็รับช่วงต่อเป็นหมอออกตรวจประจำโรงแพทย์จิงเฉิง รักษาโรคอย่างเมตตาเสมอภาคไม่ว่ายากดีมีจน คนในเมืองหลวงต่างขนานนามเขาว่า ‘หมอคุณธรรม’

ด้วยเหตุนี้เมื่อองครักษ์เสื้อแพรมาล้อมรอบโรงแพทย์จิงเฉิงเอาไว้ ราษฎรที่เคยติดหนี้บุญคุณเฉียวจือซูจึงหลั่งไหลมารวมตัวกันอยู่รอบบริเวณ ส่งผลให้ตรอกเล็กหน้าประตูโรงแพทย์จิงเฉิงแน่นขนัดจนแม้แต่น้ำยังระบายออกไม่ได้ อ้ายจื่อจินถือร่มยืนเบียดเสียดอยู่ในกลุ่มคน ฝนแห่งฤดูใบไม้ร่วงตกไม่ขาดสาย มองผ่านกลุ่มคนเนืองแน่นและม่านพิรุณโปรยปราย นางเห็นเฉียวจือเยวี่ยกับน้องสาวเฉียวจือมั่นถูกคนใช้ทวนพู่สีแดงคุมตัวออกมา

ทันทีที่เฉียวจือซูซึ่งถูกมัดด้วยเชือกปรากฏตัวขึ้นที่ประตู ฝูงชนซึ่งห้อมล้อมอยู่ในตรอกเล็กก็แตกตื่นโดยพลัน ศีรษะนับไม่ถ้วนประหนึ่งคลื่นซัดสาดไปข้างหน้า ‘ห้ามจับท่านหมอเฉียว! ท่านหมอเฉียวมีโทษอะไรกัน พวกเจ้ามาจับคนส่งเดชเช่นนี้ได้อย่างไร!’

ฝูงชนทั้งดันทั้งผลักเอะอะกันวุ่นวาย องครักษ์เสื้อแพรเห็นสถานการณ์นี้คล้ายมึนงงอยู่บ้าง พากันชะงักงันราวกับถูกสกัดจุด ยามนี้เองชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก็เข้ามาผลักองครักษ์เสื้อแพรที่กดไหล่เฉียวจือซูออกไป คุ้มกันเฉียวจือซูไว้ที่ด้านหลังตนเอง

‘ชาวบ้านดื้อด้าน บังอาจนัก! กล้า…’ เจ้าเมืองนครหลวงถึงได้หลุดจากภวังค์ ทว่ายังไม่ทันขาดคำราษฎรที่ถูกปลุกปั่นก็พุ่งเข้ามาทันที ผลักเขาลงไปกับพื้น

‘ท่านหมอเฉียวจิตใจเมตตายิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ ช่วยดึงภรรยาข้ากลับจากประตูนรก แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่เก็บ เขาจะทำร้ายคนได้อย่างไร พวกเจ้ามันขุนนางสุนัขใช้อำนาจข่มเหงผู้คน!’

‘จริงด้วย อีสุกอีใสของเหล่าเยาบ้านข้าก็ได้หมอเฉียวช่วยรักษาจนหาย!’

‘ห้ามจับท่านหมอเฉียว!’

‘เข้าไป! จัดการเจ้าหน้าที่สุนัขพวกนี้ให้ราบคาบ!’

‘…’

ฝนตกหนักขึ้น เสียงโหวกเหวกก็ยิ่งดังขึ้น ความเดือดดาลในใจราษฎรที่มีต่อทางการจึงได้อาศัยชั่วขณะนี้ระบายออกมาจนหมดสิ้น ทั้งยังบีบองครักษ์เสื้อแพรผู้ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเช่นไรให้เข้าไปยังทางตัน มีองครักษ์เสื้อแพรสองสามคนเห็นท่าไม่ดี รีบร้อนแทรกตัวออกจากกลุ่มคนไปส่งข่าวรายงาน

เจ้าเมืองนครหลวงเห็นอาวุธขององครักษ์เสื้อแพรถูกชิงไปก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทั้งปีนทั้งคลานแทรกตัวไปด้านหลัง ชาวบ้านที่ปกติถูกกดขี่ข่มเหงไหนเลยจะยอมปล่อยไป รุมขวางเส้นทางเขาเอาไว้ พร้อมเตะต่อยเขาไปด้วย ก่อนจะใช้ช่วงชุลมุนนี้แก้มัดเชือกบนตัวเฉียวจือซู รวมทั้งเฉียวจือเยวี่ยกับเฉียวจือมั่นออก

‘ท่านหมอเฉียว รีบหนีไป! ปล่อยเจ้าหน้าที่สุนัขนี่ให้พวกเรา!’ ชายฉกรรจ์เอ่ย

เฉียวจือซูกลับไม่ยอมขยับตาม ตะโกนบอกฝูงชนผู้มีจิตใจฮึกเหิมกลุ่มนี้ว่า ‘ขอทุกคนโปรดหยุดมือด้วย!’

คนทั้งหลายที่ถูกปลุกปั่นจนฮึกเหิม จู่ๆ ได้ยินเสียงเฉียวจือซูก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย จึงหยุดและมองไปทางเฉียวจือซูโดยพร้อมเพรียงก่อนพูดว่า ‘ท่านหมออย่าได้กลัวเจ้าหน้าที่สุนัขพวกนี้ มีพวกเราอยู่ไม่มีทางให้ท่านได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่นิดเดียวแน่นอน!’

‘ผู้แซ่เฉียวขอขอบคุณในน้ำใจของท่านทั้งหลาย! อดีตฮ่องเต้สวรรคต คดีลูกกลอนแดงจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กระจ่าง หากข้าจากไปอย่างไม่ขาวสะอาด ย่อมเป็นการไม่ภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ กอปรกับบิดาของข้ายังถูกใส่ร้ายเข้าคุก หากข้าจากไปไม่เพียงเป็นการเนรคุณ ยังไม่อาจลบล้างความผิดของสกุลเฉียวของข้าได้ ไม่ภักดีไม่กตัญญูเช่นนี้หาใช่ตัวข้าไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่อาจให้ท่านทั้งหลายต้องทุกข์ยากด้วยเรื่องส่วนตัวของข้าเช่นนี้!’ เขาโค้งคารวะต่ำอย่างยิ่ง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ ‘ขอท่านทั้งหลายโปรดหลีกทางให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้พาผู้แซ่เฉียวไปอย่างสะดวกด้วย!’ เขาเงยหน้าและกวาดตามองฝูงชนที่กำลังมองตนเองอย่างจริงใจ รู้สึกเพียงกระแสอุ่นร้อนรื้นขึ้นในดวงตา ฝนพร่างพรมดุจกางตาข่ายผืนหนึ่งออก เบื้องหน้าสายตาเขาพร่าเลือนขึ้นทุกที เขาสูดหายใจลึก หันหน้าไป ก่อนที่สายตาจะชะงักค้าง

นัยน์ตานางยังคงเปล่งประกายพราวระยับ ยังคงมีท่าทีคล้ายอยากกล่าวสิ่งใดแต่ยับยั้งเอาไว้ ดวงตานางที่กั้นด้วยม่านพิรุณดุจม่านโปร่ง สะท้อนเข้ามาในส่วนลึกของตาเขา

อ้ายจื่อจิน หญิงสาวที่เขารักมาตลอดสี่ปี ทั้งยังรอคอยนานถึงสามปี หญิงสาวผู้ที่หนึ่งปีก่อนเขาแต่งนางเข้าสกุลแต่กลับหย่าขาดไปเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อนหน้า เขานึกว่านางจะไม่มา ยังคิดว่าตั้งแต่วันที่หย่านาง เขาจะไม่ได้พบนางอีกเสียแล้ว ที่ผ่านมานางไม่เคยรักเขา นางแต่งงานกับเขาเพียงเพราะคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของมารดา เขาฝืนสู่ขอนางด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะรักเขาขึ้นมาได้

ทว่าในหนึ่งปีที่เขาแต่งนางเป็นภรรยานั้น แม้เขาจะโอบกอดนางเข้าสู่ห้วงนิทราทุกค่ำคืน แต่จนแล้วจนรอดในใจก็ยังคงละอาย หลังฮ่องเต้กวงจงประชวรจนสวรรคต เขาคาดเดาได้ว่าสกุลเฉียวอาจจะตกสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจของวังหลวง เขาตัดใจหย่าขาดจากนาง เพื่อให้นางสามารถหลุดพ้นหายนะคราวนี้ เขาคิดว่านางจะเกลียดชังเขา อย่างไรเสียก็เป็นเขาที่ทำให้นางต้องไปจากบ้านสกุลเฉียวอย่างอัปยศท่ามกลางเสียงติฉินนินทาของผู้คน เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าวันนี้นางยังคงมา

‘ผู้ใดริก่อกบฏ!’ องครักษ์เสื้อแพรอีกกลุ่มหนึ่งเร่งรุดมาถึง ตัดบทความคิดหมื่นพันที่พรั่งพรูขึ้นมาชั่วขณะของเฉียวจือซู

‘เร็วเข้า รีบจับตัวชาวบ้านดื้อด้านพวกนี้ไปเสีย!’ เจ้าเมืองนครหลวงที่ถูกบีบให้ไปอยู่ในมุมหนึ่งรีบโพล่งขึ้นมา

ขณะที่หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรกำลังจะออกคำสั่ง ข้อมือของเขาก็พลันเกร็งเขม็งด้วยถูกเฉียวจือซูกุมเอาไว้ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงประกายคมปลาบจากดวงตาของคนตรงหน้า ประหนึ่งกระชากวิญญาณคนได้ เขาถึงขั้นพูดไม่ออกโดยไม่รู้ตัว

‘พวกเขาเป็นเพียงราษฎรผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไปกับท่านแน่ อย่าได้ทำร้ายพวกเขา!’ เฉียวจือซูเอ่ยเสียงเฉียบ

องครักษ์เสื้อแพรคล้ายตะลึงงันในท่าทีไม่เกรงกลัวความตายของเขา กระทั่งตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่

‘ผู้แซ่เฉียวขอบคุณพี่น้องทั้งหลาย ปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวน้ำค้างมาก ขอท่านทั้งหลายโปรดรักษาสุขภาพ รีบกลับบ้านโดยเร็วเถิด’ เสียงเขาไม่ดังแต่ชัดถ้อยชัดคำยิ่ง เวลาเพียงไม่นานกลับกระตุ้นให้ฝูงชนน้ำตาไหลพราก ทว่าท้ายที่สุดก็ยังคงแหวกทางให้

อ้ายจื่อจินไม่เคยถอยไปจากใจกลางตรอกเล็กนี้ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ รอบตัวนางเลือนรางกลายเป็นประกายน้ำระยับ เฉียวจือซูคือสีสันเดียวท่ามกลางผืนน้ำระยับนี้ที่กำลังย่างเข้ามาหานางทีละก้าว

จู่ๆ ร่างกายก็ถูกแรงขุมหนึ่งผลักออก นางคล้ายได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาจากที่แสนไกล ‘ถอยไป!’

สิ่งแวดล้อมรอบด้านชัดเจนขึ้นอีกครั้ง รวมถึงฝนที่ตกลงมา ร่มร่วงลงพื้นเมื่อใดก็สุดรู้ ยามนี้เฉียวจือซูได้หายไปจากสายตานางแล้ว นางถึงขนาดไม่ทันเห็นสภาพเขายามเดินผ่านข้างกายนางเสียด้วยซ้ำ

ใบหน้าอ้ายจื่อจินชื้นไปทั้งหน้าโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนหรือน้ำตา ยามนี้นางแยกแยะไม่ได้แล้ว ฝูงชนข้างตัวคล้ายมองออกว่าเป็นนางจึงพากันซุบซิบนินทา ทว่านางไม่แยแสสิ่งใดอีก เพียงหมุนตัวเดินไปยังทางทิศเหนือของเมือง…ทิศเหนือของเมืองเป็นที่พักของจ้วงหยวน* เสิ่นซือ

เสิ่นซือผู้นี้สุภาพอ่อนโยน ทั้งยังสง่างามน่านับถือ แม้อายุเพียงแค่ยี่สิบสามปี แต่เขาก็มีตำแหน่งสำคัญแล้ว ซ้ำยังเป็นลูกเขยขี่มังกร** ของผู้ตรวจการกัวหรูฉู่ เป็นขุนนางหนุ่มที่มีความสามารถที่สุดในราชสำนักขณะนี้ เคยเขียนโคลงยาวร้อยกว่าตัวอักษรได้ในเวลาหนึ่งก้านธูป คนในเมืองหลวงเล่าลือกันว่าเขายุติธรรมไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เคยคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรหนึ่งคืนเต็มเพื่อคดีใส่ความคดีหนึ่ง ทั้งยังลือกันอีกว่าเขาเป็นคนประเภทแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลม*** ไม่กล้าย้ายเข้าคฤหาสน์พ่อตากัวหรูฉู่ เป็นขุนนางได้หนึ่งปีแล้วก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนเก่าซอมซ่อ ยามลมพัดลมรั่ว ยามฝนตกฝนรั่ว ยังมีคนเห็นเสิ่นจิ่วพ่อบ้านประจำตัวของเสิ่นซือปีนขึ้นไปซ่อมหลังคากลางดึกอยู่เลย

ทว่าเสิ่นซือหาได้เป็นเพียงจ้วงหยวนและลูกเขยขี่มังกรของกัวหรูฉู่เท่านั้น เขายังเคยเป็นพี่ชายข้างบ้านคนสนิทของนาง เรียกได้ว่า ‘เด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ อ้อมบ่อน้ำไล่จับเหมยเขียว’**** ตอนปีที่เขาย้ายมาอยู่ใกล้กับบ้านนาง นางก็อายุแค่เจ็ดขวบ ส่วนเขาอายุประมาณสิบขวบเท่านั้น ทั้งที่นางยังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเรียกว่า ‘คำสาบานตราบฟ้าดินสลาย’ แต่ก็ยังเอ่ยต่อเขาอย่างจริงใจใต้ต้นเหมยในลานบ้านว่า ‘พี่เสิ่น วันข้างหน้าจื่อจินจะเป็นภรรยาพี่’

คำหยอกล้อในวัยเยาว์คงมีเพียงนางที่เห็นเป็นคำมั่นสัญญาอยู่ฝ่ายเดียว นางเฝ้ารอเป็นภรรยาของเขาทุกวัน

นางเป็นเพื่อนเล่นกับเสิ่นซืออยู่ห้าปี จากนั้นเขาก็ออกไปเล่าเรียนวิชาภายนอก รอกระทั่งสี่ปีก็ได้รับข่าวว่าเขาสอบได้จ้วงหยวนในที่สุด ทว่าขณะเดียวกันยังได้รับข่าวว่าเขาสู่ขอกัวรั่วซิน บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้ตรวจการกัวหรูฉู่ นางจำได้แต่ถ้อยคำที่เขาพูดกับนางก่อนไปว่า ‘รอข้า สักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า’

ท่านแม่ของนางได้ยินข่าวนี้แล้วก็เกิดอาการจ้งเฟิง* ทันที นางไม่อาจนั่งรออย่างใสซื่อที่ใต้ต้นเหมยเหมือนเช่นแต่ก่อนได้อีก นางทำได้เพียงส่งท่านแม่ไปยังหน้าประตูโรงแพทย์จิงเฉิง…นางคิดว่านับจากนั้นเขาและนางคงไม่มีวันไปมาหาสู่กันอีก

แต่ครั้งนี้นางจำเป็นต้องไปหาเสิ่นซือ เพราะเขาคือผู้ช่วยผู้พิพากษาคดีลูกกลอนแดงครานี้ โดยไม่รู้ตัวนางก็เดินมาถึงทางเหนือของเมือง ที่นี่มีฝนตกหนักเช่นเดียวกัน เมฆดำปกคลุม ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายกดดันบางอย่าง ประตูจวนสกุลเสิ่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ ที่แห่งนี้ยังคงเป็นเช่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว…เก่าแก่และเรียบง่าย

อ้ายจื่อจินหยุดฝีเท้า ในใจอดกังวลไม่ได้ นางบอกไม่ถูกว่าเพราะกังวลว่าเสิ่นซือจะไม่ยอมพบตน หรือกลัวการพบเสิ่นซืออีกครั้งกันแน่ สุดท้ายนางตัดสินใจหมุนตัวจะจากไป พลันประตูก็เปิดออก เงาร่างอันคุ้นตาและแปลกหน้าปรากฏที่หน้าประตู สายฟ้าแลบจนแสงสว่างกระจายไปทั่วท้องฟ้าและส่องเข้าสู่ดวงตาของเสิ่นซือ อ้ายจื่อจินมองเห็นตนเองในดวงตาเขา พริบตาเดียวแสงสีขาวก็วาบผ่านไป ใบหน้าเสิ่นซือกลับมาดำมืดอีกครั้ง เวลาเดียวกันเสียงฟ้าร้องก็ดังครืนระลอกหนึ่ง อ้ายจื่อจินถอยหลังสองก้าวทันใด ร่มในมือร่วงลงพื้น ราวกับตกใจเสียงฟ้าร้อง

‘ไฉนจึงมาตากฝนเล่า’ เสิ่นซือตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นอ้ายจื่อจินเปียกฝนก็มีสีหน้าห่วงใยปรากฏขึ้นในพริบตา เขารีบร้อนกางร่มให้อ้ายจื่อจิน มือเท้าลนลาน คิดเข้าไปเช็ดหยดน้ำบนเรือนผมนาง อ้ายจื่อจินรีบก้มศีรษะหลบมือของเขาที่เอื้อมมา มือของเสิ่นซือชะงักกลางคัน ท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด เขานึกถึงฐานะของทั้งคู่ในยามนี้ขึ้นได้

‘ไยท่านพี่ไม่เชิญเฉียวฮูหยินเข้ามา’ ในประตูแว่วเสียงเย็นเยือก

ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังตกทั่วฟ้านี้ชวนให้อ้ายจื่อจินใจกระตุกวูบ นางเงยหน้าเห็นเสิ่นฮูหยินหรือก็คือกัวรั่วซินยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างประตู

สีหน้าเสิ่นซือประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวคล้ำ ก่อนจะดึงมือกลับมาจากเหนือศีรษะอ้ายจื่อจิน ยกขึ้นลูบผมตนเองอย่างประดักประเดิด แล้วเอ่ยเสียงต่ำ ‘บัดนี้จื่อจินไม่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวแล้ว’

‘อ้อ ข้าลืมไปเสียสนิท ยี่สิบวันก่อนเฉียวจือซูหย่าแม่นางอ้ายแล้วนี่ แม่นางอ้ายช่างชะตาดีเหลือเกิน หากมิใช่ถูกหย่าขาดเพราะมีลูกไม่ได้ เกรงว่ายามนี้คงต้องติดคุกเช่นเดียวกัน เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าท้องเจ้านี้ได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่องกันแน่หนอ!’ กัวรั่วซินชายตามองอ้ายจื่อจินอย่างเย้ยหยันเสียดสี

สภาพฝนคล้ายตกหนักขึ้น อ้ายจื่อจินมองกัวรั่วซินที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็งวูบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวคิดจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำ

‘จื่อจิน!’ เสิ่นซือรั้งนางไว้ ‘กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เข้ามาพูดข้างในเถิด’ เขาพูดโดยไม่สนใจสีหน้าที่ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ของกัวรั่วซิน ลากอ้ายจื่อจินเข้าห้องหนังสืออย่างไม่รอให้โต้แย้งได้อีก

 

ในห้องหนังสือมีกลิ่นหอมอุ่นสบายเพราะจุดเฉียหนานเซียง* ชั้นดีเอาไว้ จู่ๆ อ้ายจื่อจินก็คิดไปถึงห้องหนังสือของเฉียวจือซู เฉียวจือซูเองก็ชอบจุดเครื่องหอมไว้เช่นกัน โดยจะจุดเป็นธูปอ้ายเซียง คนผู้นั้นมักขึ้นเขาไปเก็บหญ้าอ้ายเฉ่าที่จะโตเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิด้วยตนเอง ตากให้แห้ง ครึ่งหนึ่งทำก้อนอ้ายหรงสำหรับรมยาอ้ายหรงให้ผู้ป่วย อีกครึ่งหนึ่งวางที่ห้องสำหรับจุดเผา ทั้งที่ฤดูร้อนมียุงและแมลงวันชุกชุมที่สุด แต่พวกมันกลับไม่เคยเข้าใกล้ห้องที่จุดธูปอ้ายเซียงเลย

เฉียวจือซูเคยบอกนางว่าหญ้าอ้ายเฉ่ายังมีอีกชื่อคือปิงไถ** สมัยโบราณถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เรียกไฟแห่งสวรรค์ แม่หมอจะนั่งบนแท่นสูงที่มีธูปอ้ายเซียงวางล้อมรอบ กราบไหว้ไต่ถามลิขิตสวรรค์ ด้วยเหตุนี้หญ้าอ้ายเฉ่าจึงถูกยกย่องให้เป็นสิ่งขจัดอัปมงคลมาตลอด ในวันที่ห้าเดือนห้าเทศกาลตวนอู่ยิ่งต้องแขวนหญ้าอ้ายเฉ่าไว้ที่ประตูทุกครัวเรือน เฉียวจือซูยังบอกนางอีกว่าหญ้าอ้ายเฉ่างอกในเดือนสาม ตรงกับเวลาที่ลมปราณหยางแห่งฟ้าดินก่อกำเนิด จนถึงเดือนห้าที่ลมปราณหยางกล้าแกร่ง หญ้าอ้ายเฉ่าจะโตเต็มที่ สามารถดูดซับลมปราณหยางแห่งฟ้าดินส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเข้าไปได้ เฉียวจือซูมักจะใช้หญ้าอ้ายเฉ่าในการรมยารักษาโรค ประโยคหนึ่งที่เขาเอ่ยติดปากบ่อยครั้งก็คือ ‘ใช้ลมปราณหยางของฟ้าเสริมลมปราณหยางของมนุษย์’

อ้ายจื่อจินคิดมาเสมอว่าตนเองไม่เคยรักเฉียวจือซู ย่อมคิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้นางจะยังจดจำทุกประโยคที่เขาพูดได้ ที่แท้เมื่อคุ้นเคยกับอะไรสักอย่างแล้ว ความรู้สึกก็พอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว คิดถึงตรงนี้นางก็ถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่

น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเสิ่นซือดังขึ้นที่ริมหูอ้ายจื่อจิน ‘รีบดื่มตอนยังร้อนเถิด ช่วยขับไล่ความหนาวได้’

นางเงยหน้าขึ้น เห็นเสิ่นซือรินชาให้ตนแล้วถ้วยหนึ่ง นางผงกศีรษะยกถ้วยชาขึ้น ทันทีที่ถ้วยชาจรดริมฝีปาก นางก็ได้ยินเสียงไอจึงหันหน้าไปเห็นกัวรั่วซินยืนอยู่นอกหน้าต่างขึงตามองนางดุจพยัคฆ์จ้องตะครุบเหยื่อ อ้ายจื่อจินระบายลมหายใจ ถอยออกมาเล็กน้อยให้มีระยะห่างกับเสิ่นซือ

เสิ่นซือเห็นอ้ายจื่อจินเป็นเช่นนี้ ใจก็รู้ว่าเกิดจากที่กัวรั่วซินจับตาดูอยู่ข้างหน้าต่าง จึงเดินไปริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับกัวรั่วซินบ้าง อีกฝ่ายถึงยอมจากไปอย่างเชื่อฟังในที่สุด ทว่าก่อนไปก็ยังหันมาถลึงตามองอ้ายจื่อจินอย่างตักเตือนแวบหนึ่ง

อ้ายจื่อจินจดจำสายตากัวรั่วซินไว้ในใจ ยิ่งรักษาระยะห่างกับเสิ่นซือมากขึ้น ควันเครื่องหอมเฉียหนานเซียงฟุ้งตลบ ในอากาศอบอวลไปด้วยความอึดอัดและคลุมเครือ อ้ายจื่อจินจิบชาไปพลางก้มหน้าครุ่นคิดไปพลาง

‘จื่อจิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง’

น้ำเสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยดังขึ้น คล้ายไปสะกิดส่วนลึกที่สุดในหัวใจของอ้ายจื่อจิน วันเวลาที่เลยผ่านพลันจู่โจมเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าว นางผงะอึ้ง เมื่อสบกับนัยน์ตาลึกซึ้งตรึงใจของเสิ่นซือก็ลนลานก้มหน้าลงไปอีก

‘จื่อจิน เจ้ามาหาข้าวันนี้ ข้าดีใจมากจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่อภัยให้ข้า ไม่ยอมพบหน้าข้าอีก’

ประโยคหลังประหนึ่งฟ้าร้องเลื่อนลั่นปลุกให้อ้ายจื่อจินได้สติ นางลุกขึ้นยืน หมุนตัวหันไปมองฝนที่เทกระหน่ำอยู่นอกหน้าต่าง แล้วถอนใจแผ่วเบา ‘ใต้เท้าไม่เคยทำเรื่องผิดต่อจื่อจิน จื่อจินจะยกโทษหรือไม่ยกโทษอะไรได้’

น้ำเสียงห่างเหินของอ้ายจื่อจินพาให้เสิ่นซือตกตะลึงชั่วขณะ เขายังไม่ทันกล่าววาจาก็ได้ยินอ้ายจื่อจินเอ่ย ‘ใต้เท้าเสิ่น ผู้น้อยมาครั้งนี้ก็เพราะต้องการขอร้องใต้เท้าเสิ่นเรื่องหนึ่ง ข้าอยากขอให้ใต้เท้าเสิ่นช่วยพ่อลูกสกุลเฉียวด้วย’

เสิ่นซือเห็นอ้ายจื่อจินขอร้องแทนสกุลเฉียวเช่นนี้ เขาก็พูดอย่างไม่พอใจ ‘ตามที่ข้าทราบมา แม่นางอ้ายไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับสกุลเฉียวแล้ว’

‘ไม่ว่าข้าจะเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ข้าเพียงเห็นว่าพ่อลูกสกุลเฉียวล้วนแต่เป็นคนดี หมอหลวงเฉียวมานะบากบั่นมาตลอดสิบปี รับใช้ฝ่าบาทในวังหลวงจนสุดความสามารถ เฉียวจือซูแม้ไม่เคยรับราชการ ทว่าใจที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแผ่นดินนั้นฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้ โรงแพทย์ที่รักษาคนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปจนถึงชาวบ้านที่ต่ำสุด เขาก็ไม่แบ่งแยก ยากดีมีจนล้วนปฏิบัติอย่างเสมอกัน จนได้รับขนานนามว่า ‘หมอคุณธรรม’ แม้แต่ราชครูซุนเฉิงจงยังชมเชยเขาเป็นเท่าทวี แผ่นป้าย ‘ต้าอีจิงเฉิง’* ที่แขวนอยู่ในโรงแพทย์จิงเฉิงก็เป็นแผ่นป้ายที่ราชครูซุนเขียนให้เฉียวจือซู’

‘การวางตัวของพ่อลูกสกุลเฉียวข้าเองก็เคยได้ยิน แต่หลายปีมานี้ข้าเห็นมามาก คนดีบางทีก็อาจกระทำความผิดเพราะกิเลสส่วนตนชั่วขณะ’ เสิ่นซือยืนมือไพล่หลัง ท่าทางยึดมั่นในหลักการ ‘คดีลูกกลอนแดงเกี่ยวพันกับวงกว้าง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกบฏ…’

‘พ่อลูกสกุลเฉียวไม่มีทางเป็นกบฏแน่นอน!’ อ้ายจื่อจินโพล่งออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก่อนชะงักงันเมื่อรู้ว่าตนเองเสียกิริยา จึงเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงต่ำ ‘ข้าได้ยินว่าลูกกลอนแดงนี้เป็นหลี่เข่อจั๋วขุนนางผู้ช่วยของศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ถวายแด่อดีตฮ่องเต้’

‘แต่หลังจากอดีตฮ่องเต้สวรรคต เฉียวเหยี่ยนคือคนแรกที่มองออกว่าเป็นลูกกลอนแดง ทั้งหลี่เข่อจั๋วยังยืนกรานหนักแน่นว่าลูกกลอนแดงนั้นเฉียวเหยี่ยนเป็นคนให้เขา’ เสิ่นซือจ้องนางพลางเอ่ย ‘นอกจากมีหลักฐานพิสูจน์ว่าหลี่เข่อจั๋วกำลังโป้ปด…’

‘หลี่เข่อจั๋วพูดปด! ถึงเขาเคยมาบ้านสกุลเฉียวจริง แต่ข้ายืนยันได้ว่าตอนเขาจากไปมิได้นำยาลูกกลอนอะไรติดตัวไปเลย’

‘เขาเคยไปหาเฉียวเหยี่ยน?’ นัยน์ตาเสิ่นซือคล้ายมีประกายแสงวูบ ไม่นานนักก็เร้นหายไปภายใต้ขนตาที่หลุบลง

อ้ายจื่อจินใคร่ครวญและกล่าว ‘ถึงเขาเคยมา แต่หาได้มาเพื่อลูกกลอนแดง เขามาเพื่อให้ท่านพ่อ…หมอหลวงเฉียวรักษาโรคที่ขา’

‘เช่นนั้นหรือ’

‘ใช่!’ อ้ายจื่อจินพยักหน้าอย่างมั่นใจ เห็นใบหน้าเสิ่นซือเรียบสงบ นางก็บอกไม่ถูกว่าเขาเชื่อคำพูดตนเองหรือไม่ จึงได้แต่เอ่ยอีกว่า ‘ข้าได้ยินว่าลูกกลอนแดงถูกปรุงขึ้นโดยหมอหลวงผู้หนึ่งสมัยรัชศกจยาจิ้ง หมอหลวงผู้นั้นภายหลังต้องโทษประหาร สกุลเฉียวเป็นหมอหลวงมาสามรุ่น ไม่มีทางเป็นลูกหลานของหมอหลวงผู้นั้นแน่’

‘เขาย่อมไม่ใช่คนรุ่นหลังของหมอหลวงผู้นั้น’ เสิ่นซือกล่าว ‘ผู้ใดเป็นผู้กล่าวว่ามีเพียงลูกหลานของหมอหลวงผู้นั้นเท่านั้นที่รู้ตำรับยาลูกกลอนแดง’

อ้ายจื่อจินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางถามขึ้น ‘นี่หมายความว่าอย่างไร’

‘หมอหลวงผู้นั้นสกุลหลิง ถือเป็นต้นตระกูลเหมือนกับหมอหลวงสกุลเฉียว’ เสิ่นซือขมวดคิ้วเล็กน้อย ประกายตาลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ ‘ปีนั้นสาเหตุที่ลูกกลอนแดงกลายเป็นยาต้องห้ามก็เพราะหมอหลวงสกุลเฉียวร้องเรียนว่าในตำรับยามีส่วนประกอบของตะกั่วแดง’

‘ท่านจะบอกว่าเป็นเพราะหมอหลวงสกุลเฉียว หมอหลวงผู้นั้นถึงได้ถูกตัดสินโทษประหาร?’

‘มีความเป็นไปได้มากว่าเฉียวเหยี่ยนอาจรู้ตำรับยาเดิมของลูกกลอนแดง’

‘รู้ตำรับยาเดิมแล้วอย่างไร ท่านรู้หรือไม่ว่าในตำรับยา ไม่เพียงแต่ตัวยาหลัก ยารอง ยาช่วย และยาประสาน ที่สำคัญยิ่ง ปริมาณของยายิ่งเป็นแก่นสำคัญ ความแตกต่างเพียงหนึ่งเฉียนครึ่งตำลึง ก็ทำให้ผลของการรักษาต่างกันราวฟ้าดิน บรรพบุรุษสกุลเฉียวเพียงบอกตัวยาหนึ่งตัวในนั้นออกมา อาศัยเพียงข้อนี้ก็ชี้ชัดว่าคนสกุลเฉียวรู้ส่วนประกอบของลูกกลอนแดงแล้ว? ไม่มักง่ายเกินไปหน่อยหรือ!’

‘ย่อมมีเหตุผลอื่นด้วย ครั้งอดีตฮ่องเต้ประชวรหนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉียวเหยี่ยนจ่ายยาอะไร’

‘ยาอะไร’

‘โหราเดือยไก่!’

‘โหราเดือยไก่เป็นยาดึงลมปราณหยางกลับฉุกเฉิน อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักจ่ายยานี้ต้องเป็นเพราะหยางเดิมอ่อนแอ จากมุมมองหมอย่อมไม่ใช่ความผิด ยิ่งกว่านั้นหมอหลวงหาใช่มีหมอหลวงเฉียวเพียงผู้เดียว อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักมาก ใคร่ครวญดูแล้วนี่ย่อมจะเป็นวิธีของคณะหมอหลวงที่ปรึกษาหารือกัน ไยจึงกล่าวโทษคนผู้เดียว!’

‘ปัญหาอยู่ที่หมอหลวงคนอื่นยืนยันหนักแน่นว่าหมอหลวงเฉียวดึงดันจะใช้โหราเดือยไก่ อีกทั้งยังเป็นโหราเดือยไก่ดิบ’

‘โหราเดือยไก่ดิบ?!’ อ้ายจื่อจินสูดลมหายใจเฮือก ‘โหราเดือยไก่ดิบมีพิษรุนแรง! เขาจ่ายโหราเดือยไก่ดิบจริงหรือ ข้าไม่เชื่อว่าคนในสำนักแพทย์หลวงจะไม่มีสักคนมายับยั้ง!’

‘ทีแรกจ่ายโหราเดือยไก่ผัดน้ำผึ้งจริง เพียงแต่เมื่อใช้กลับเป็นโหราเดือยไก่ดิบ’

‘เช่นนั้นก็เป็นความผิดของข้าหลวงต้มยา เหตุใด…’

‘ข้าหลวงต้มยากล่าวว่าเฉียวเหยี่ยนเปลี่ยนใบสั่งยากะทันหัน’

‘อาศัยเพียงคำให้การด้านเดียว จะนำมาตัดสินได้เยี่ยงไร!’ อ้ายจื่อจินอดอารมณ์ร้อนขึ้นมาไม่ได้

‘ยังมีใบสั่งยาซึ่งเขียนด้วยลายมือของเฉียวเหยี่ยนเป็นหลักฐาน นอกจากนี้องครักษ์อยู่ยามบอกว่าก่อนต้มยาเสร็จ เฉียวเหยี่ยนไปหาข้าหลวงต้มยาจริง’

อ้ายจื่อจินตะลึงงัน พักใหญ่ถึงส่ายหน้าพลางงึมงำ ‘เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อระมัดระวังรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ถึงเขาคิดเปลี่ยนยาจริง ก็ไม่มีทางทิ้งใบสั่งยาให้คนใช้เป็นหลักฐาน ยิ่งกว่านั้นเขามุ่งมั่นเป็นหมอรักษาคน ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องทำร้ายคนทำร้ายตนเองประเภทนี้เป็นอันขาด!’

‘เจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวแล้ว ก็ยังเรียกเขาว่าท่านพ่อ?’ เสิ่นซือดูไม่พอใจ แต่ไม่นานก็สะกดอารมณ์พลางพูดชี้แนะอย่างหวังดี ‘เดิมทีเรื่องเหล่านี้บอกคนนอกไม่ได้ ในเมื่อเจ้าถามข้า ข้าย่อมต้องพูด จื่อจิน ช่วงนี้อยู่ในระยะสุ่มเสี่ยง เจ้าอย่าข้องเกี่ยวกับบ้านสกุลเฉียวจะดีกว่า’

อ้ายจื่อจินเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาใสกระจ่าง น้ำเสียงแน่วแน่ ‘แต่ข้ามีความเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวจริง ข้าเป็นภรรยาเก่าของเฉียวจือซู!’

เสิ่นซือจนคำพูดไปชั่วขณะ ภายในห้องพลันตกอยู่ในความอึดอัด

อ้ายจื่อจินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ย ‘ขอบคุณคำพูดของใต้เท้าเสิ่นในวันนี้ จื่อจินจดจำใส่ใจแล้ว เพียงแต่ครั้งนั้นเป็นสกุลเฉียวช่วยข้าฝังท่านแม่ ทั้งยังรับดูแลข้ามาหลายปี บุญคุณนี้ข้าจำเป็นต้องทดแทน!’

เสิ่นซือรู้ว่าอ้ายจื่อจินกล่าวถึงเรื่องที่เขาทอดทิ้งนางและทำให้แม่ของนางต้องเป็นโรคจ้งเฟิง สุดท้ายที่ได้ฝังศพก็ด้วยความช่วยเหลือจากสกุลเฉียว ในใจเขานึกละอายจึงก้มหน้าเอ่ย ‘จื่อจิน ข้ารู้ว่าคราวนั้นข้าทำไม่ถูก…’

‘ใต้เท้าเสิ่น!’ อ้ายจื่อจินเอ่ยตัดบทเขา ‘จื่อจินขอร้องท่าน โปรดช่วยพ่อลูกสกุลเฉียวด้วย’

เสิ่นซือถอนใจ มองนางแล้วเอ่ย ‘ที่ช่วยพวกเขาได้ไม่ใช่ข้า จื่อจิน วันนี้คนที่ช่วยพวกเขาได้ มีเพียงเจ้า!’

‘ข้า?’

‘แค่เจ้าเป็นพยานว่าหลี่เข่อจั๋วเคยไปหาเฉียวเหยี่ยนจริง’

‘แต่ว่าแบบนี้…’ อ้ายจื่อจินลังเล

‘เมื่อครู่เจ้าบอกข้าว่าอย่างไร’ เสิ่นซือยิ้มเอ่ย

‘หลี่เข่อจั๋วเคยมาหาหมอหลวงเฉียว แต่มาเพื่อขอให้เขารักษาโรคที่ขาของตน’ อ้ายจื่อจินพูดขึ้น ดวงตาเปล่งประกายวาบ ก่อนจะเงยหน้ามองเสิ่นซือ ‘ท่านเชื่อคำพูดเมื่อครู่ของข้า?’

‘ข้าเชื่อเจ้ามาตลอด’ ดวงตาเสิ่นซือเจือรอยยิ้ม พาให้อ้ายจื่อจินตะลึงไปชั่วอึดใจ เขาฉวยโอกาสตอนที่อ้ายจื่อจินใจลอย กุมมืองามของนางเอาไว้ ‘หากยังมีหลักฐานอื่นอีก เจ้าก็ต้องมอบให้ข้า จื่อจิน เจ้าต้องเชื่อใจข้า!’

น้ำเสียงอ่อนโยนราวจะสะกดจิตอ้ายจื่อจินเอาไว้ นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาสีเหลืองอำพันของเขา ‘ข้าเชื่อท่าน ข้า…ยังมีหลักฐาน’

เสิ่นซือลิงโลด ขณะจะกล่าวคำ เสียงฝีเท้านอกประตูก็ดังแว่วมา เขาหันหน้าไปเห็นเสิ่นจิ่วข้ารับใช้ประจำตัวของตนยืนชะเง้อมองอยู่ข้างประตู

‘มีเรื่องใด’ เสิ่นซือขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

อ้ายจื่อจินจึงหลุดจากภวังค์ได้ ชักมือตนเองกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน แล้วสืบเท้าเร็วไปที่ข้างหน้าต่าง

เสิ่นจิ่วอึกอักพลางหันมองเสิ่นซือและอ้ายจื่อจินไปมา

เสิ่นซือเห็นอารมณ์ที่ปรากฏในส่วนลึกของดวงตาเสิ่นจิ่ว เขาหันข้างไปมองอ้ายจื่อจินที่กำลังมองออกไปที่นอกหน้าต่างอย่างจดจ่อ แล้วก้าวฉับๆ ไปที่ประตู เสิ่นจิ่วประชิดมากระซิบที่หูเสิ่นซือทันที จำได้ว่าเมื่อทั้งคู่ใกล้จบบทสนทนา เสิ่นซือเพียงยักไหล่เล็กน้อย

เสียงไม่ดังไม่ค่อยของเสิ่นจิ่วแว่วเข้าหูอ้ายจื่อจินพอดี ‘กัวติ้งก็มาด้วย’

 

(ติดตามต่อวันที่ 12 ก.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: