บทที่ 98
เมื่อคิดได้เช่นนี้ โม่เซี่ยวเหนียงก็ลุกขึ้นนั่งให้ดี ก่อนจะยกเท้าถีบฮั่วสุยเฟิงที่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ อย่างแรง
ฮั่วสุยเฟิงปล่อยให้โม่เซี่ยวเหนียงระบายโทสะ พอหมดแรงแล้วนางก็นั่งพิงผนังด้านหนึ่งของรถม้าอย่างอ่อนเพลีย
เนื่องจากถูกลากออกมาจากผ้าห่ม เรือนผมนางยังยุ่งอยู่ สยายอยู่ด้านหลังราวกับน้ำตกสีดำ ทำให้ดวงหน้าดูแหลมเรียว ในดวงตากลมโตมีประกายชุ่มชื้นแวววาว ดูไร้เดียงสาเช่นเด็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก
เขาเหม่อมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แววตายิ่งดูลึกล้ำขึ้นทุกที อดขยับเข้าไปใกล้นางไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อาละวาดอยู่เป็นนาน เจ้าเองก็ยังไม่ได้นอน อีกทั้งต้องโคลงเคลงเช่นนี้ไปตลอดทาง เจ้านอนพิงข้าเถิด”
เวลานี้โม่เซี่ยวเหนียงไม่มีแรงจะอาละวาดเขาแล้วจริงๆ
แม้ตอนที่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงมา นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าศีรษะมาแล้ว แต่ในใจก็คิดว่าไม่ถึงกับโชคร้ายเพียงนั้นที่ต้องแต่งกับคนที่เด็กกว่าหลายปีเช่นนี้ ในเวลาหนึ่งปีอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้เรื่องราวพลิกผันก็เป็นได้
แต่ตอนนี้ฮั่วสุยเฟิงมารับนางไปโม่เป่ย ถึงไม่อยากแต่งก็คงต้องแต่งแล้ว
ฟังดูเถิด เมื่อครู่นี้เขาพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ให้ข้านอนพิงเขาเช่นนั้นหรือ โม่เซี่ยวเหนียงโมโหอยู่ในใจ สุดท้ายก็โกรธจนน้ำตาเอ่อคลอเงียบๆ
ทว่าฮั่วสุยเฟิงไม่ได้สนใจท่าทีของนาง ขยับเข้าไปโอบไหล่นางไว้และไม่ได้พูดปลอบโยนแต่อย่างใด เพียงเปลี่ยนเรื่องพูดถึงทิวทัศน์ของโม่เป่ย ทั้งยังตั้งใจเล่าว่าเขาเลี้ยงแพะนมไว้สี่ตัวที่จวนจวิ้นอ๋องด้วย น้ำนมแพะที่รีดออกมาได้ไม่ว่าจะทำนมแพะหมักหรือผสมน้ำผึ้งทาหน้าก็เป็นของดีทั้งสิ้น
หากนางใช้นมแพะหมักพอกหน้าจนเบื่อแล้วก็เปลี่ยนเป็นนมอูฐแทนก็ได้ แม้จะเค็มไปบ้าง แต่เขาคิดว่านมอูฐดีกว่านมแพะมาก…
หลังผ่านพ้นช่วงการเป็นเด็กหนุ่ม เสียงของฮั่วสุยเฟิงก็เปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มลึกกังวาน หากพูดจาอย่างจริงจัง ท่วงทำนองเสียงที่ชวนให้จักจี้หูนั้นทำให้รู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก
อาจเป็นเพราะนางเหนื่อยล้าจริงๆ ความโกรธแค้นที่วนเวียนอยู่ในใจจึงถูกชีวิตประจำวันพวกนั้นของเขาเป่ากระจายไปจนไม่อาจรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน นางพึมพำว่าน่ารำคาญอยู่หลายประโยค จากนั้นศีรษะก็เอียงลงซบไหล่กว้างของเขา ก่อนจะผล็อยหลับไป
ฮั่วสุยเฟิงจึงโอบนางไว้นิ่งๆ เช่นนั้น รอให้นางหลับสนิทแล้วค่อยๆ ย้ายศีรษะนางมาหนุนนอนบนตักเขา
เขามองริมฝีปากสีแดงสดของนางที่เผยอเล็กน้อย จากนั้นก็อดไม่ได้ก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนั้น แต่ไม่กล้ารุนแรงนัก แค่แตะเพียงเล็กน้อยด้วยกลัวว่าหากนางตื่นขึ้นมาจะถูกนางก่นด่าอีก
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดนั้นกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
เขาพิงเบาะในรถม้าอย่างพึงพอใจ อิ่มอกอิ่มใจราวกับแมวที่ได้กินปลาแห้งเป็นครั้งแรก รู้สึกว่าภายในใจมีความสุขคล้ายฟองน้ำที่ลอยขึ้นมา
ฟ้าครึ้มฝนโปรยนอกรถม้า เทียบกับความสบายที่ถูกแยกออกมาภายในรถม้าแล้วช่างเหมือนอยู่คนละโลก…
ขณะเดียวกันนั้นในจวนจวิ้นจู่ในเมืองหลวงของต้าฉินกลับมีฟายุฝนฟ้าคะนอง
วันนี้เซียวเยวี่ยเหอกลับมาจากกรมทหาร ตรงไปยังห้องของภรรยาเอกที่ไม่ได้ไปเหยียบมานาน ใช้ไม้เท้าในมือฟาดทุกอย่างที่มองเห็นอย่างบ้าคลั่ง
ฉีซืออินภรรยาเอกของเขาเพียงแค่เม้มปากแน่นและยืนเงียบๆ ไม่เข้ามาห้ามปรามใดๆ ส่วนเซินหยางจวิ้นจู่เมื่อได้ยินว่าบุตรชายทำตัวเสียสติก็รีบร้อนมาที่นี่ทันที
อันที่จริงนับตั้งแต่เซี่ยวเยวี่ยเหอขาพิการ เขาก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวมากขึ้น เซินหยางจวิ้นจู่สงสารบุตรชาย อีกทั้งเลี้ยงดูอย่างตามใจมาจนโต นางย่อมปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ
แต่หลังจากที่เขาถูกเซียวเหยี่ยนท่านปู่ของเขาดุด่าไปรอบหนึ่ง นิสัยเขาก็ดีขึ้นมาก หลังเข้ากรมทหารแล้ว แม้กลับจวนมาจะไม่พูดจาอะไรนัก แต่ก็ไม่เคยขว้างปาหรือทำลายสิ่งของอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้!
เมื่อเห็นห้องเละเทะไปหมด เซินหยางจวิ้นจู่ก็อดตวาดไม่ได้ “ไปหงุดหงิดอะไรมาจากข้างนอกอีกเล่า ถึงได้กลับมาอาละวาด ในจวนนี้ไม่มีผู้ใหญ่แล้วหรือ เจ้าเป็นใหญ่ในจวนแล้วหรืออย่างไร”
เมื่อครู่เซียวเยวี่ยเหอออกแรงมากไปจนอาการเจ็บขากำเริบ เขานวดน่องที่กำลังปวด พูดใส่ฉีซืออินผู้เป็นภรรยาเอกอย่างโกรธแค้น
“ข้าเป็นใหญ่ในจวนไม่ได้ ถึงได้มีคนทำตามใจตนเอง! ข้าขอถามสักหน่อยว่าเรื่องชาติกำเนิดของฮูหยินและบุตรสาวคนโตของแม่ทัพฉู่ใครเป็นคนพูดออกไป วันนั้นท่านแม่พาเจ้าไปเป็นแขกที่จวนใต้เท้าผู้ตรวจการ ผ่านไปไม่ถึงสองวันใต้เท้าผู้ตรวจการนั่นก็สั่งให้คนเขียนฎีการายงานความผิดเรื่องครอบครัวของแม่ทัพฉู่ การเอาเรื่องนี้ไปพูดต่ออย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษทำ แต่เป็นเจ้าที่ปากมากเอาไปพูดต่อเช่นนั้นหรือ”
ฉีซืออินถูกสามีระบุตัวกล่าวโทษก็ไม่ได้แก้ตัว แค่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องถ้วยชาที่แตกละเอียดอยู่บนพื้นไม่พูดไม่จา
ถ้วยชานั้นเป็นสินเดิมของนาง มารดาผู้ล่วงลับเคยมอบให้นางตอนอายุหกขวบ โดยวาดรูปกล้วยไม้แล้วเอาไปเผาขึ้นรูปให้ด้วยมือตนเอง
เซินหยางจวิ้นจู่เมื่อเห็นฉีซืออินไม่โต้ตอบใดๆ ก็เพียงพูดกับเซียวเยวี่ยเหออย่างจนใจ “ข้าเป็นคนพูดเอง อย่าขึ้นเสียงใส่ภรรยาเจ้า! และข้าก็แค่คุยเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ได้ยุยงให้ผู้ตรวจการเขียนฎีกาเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสียของผู้อื่นในท้องพระโรงเสียหน่อย ฉู่เซิ่นนั่นก็ปลอดภัยดีมิใช่หรือ เขายังไม่มาหาเรื่องที่จวนข้าด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับชิงขว้างปาจานชามของตนเองก่อนเสียแล้ว!”
เดิมทีเซียวเยวี่ยเหอก็คาดเดาไว้แล้วว่ามารดาเป็นคนเอาไปพูดต่อ แต่จะให้ว่ากล่าวมารดาโดยตรงก็ไม่ได้ จึงใช้ภรรยาเอกผู้เงียบขรึมพูดน้อยเป็นเครื่องมือ
ตอนนี้เมื่อเห็นมารดายอมรับแล้ว เขาก็ไม่ระงับโทสะอีกต่อไป ถลึงตากล่าวขึ้น “ท่านแม่เป็นคนช่างพูดตั้งแต่เมื่อใดกัน ต้องเป็นท่านพ่อที่ไปยุยงท่านแน่นอน เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดถึงงไม่ปรึกษาข้ากับท่านปู่เสียก่อน”
เซินหยางจวิ้นจู่เองก็โกรธขึ้นมาเช่นกัน เดินเข้ามาตบบุตรชายของตนอย่างแรง “อ่านตำราไปมากมาย เรียนรู้มาเพื่อจะเป็นลูกเนรคุณเช่นนี้รึ ตอนนี้บิดาเจ้าถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว บุตรหลานสกุลเซียวเรามากกว่าครึ่งก็ถูกโยกย้ายไปอยู่โม่เป่ย ที่เหลือก็ถูกจัดระเบียบใหม่เข้าไปอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของฉู่เซิ่น เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงเมินเฉยต่อสกุลเซียวเราแล้ว! เจ้าเป็นบุตรหลานสกุลเซียว ไม่รู้หรือว่าตนเองควรทำสิ่งใด เวลานี้มัวแต่ออกหน้าช่วยทวงความเป็นธรรมให้ฉู่เซิ่น นึกว่าข้าเดาความคิดของเจ้าไม่ออกหรือ เจ้าตื่นเสียเถิด! ป่านนี้แล้วยังจะเฝ้าคิดถึง…”
เซินหยางจวิ้นจู่พูดออกมาครึ่งหนึ่งแล้วก็เหลือบมองฉีซืออินที่ยืนเงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง จากนั้นนางก็เงียบไป
เซียวเยวี่ยเหอเองก็จ้องมองมารดาอย่างเย็นชา ก่อนจะหันกายเดินขากะเผลกออกไป
ที่กรมทหารในวันนี้ เวียวเยวี่ยเหอได้รับรายงานจากสายลับภายใต้บังคับบัญชาว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ซึ่งอยู่ที่ชนบทถูกฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องรับไปหลบความวุ่นวายที่โม่เป่ยแล้ว
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้เซียวเยวี่ยเหอรู้สึกทรมานใจอย่างยิ่ง เดิมทียังมีเวลาอีกหนึ่งปี…แต่เวลาหนึ่งปีนี้สวรรค์ไม่ให้เขาแล้ว!
หากมารดาไม่พูดมาก เรื่องก็คงไม่วุ่นวายเช่นนี้ และโม่เซี่ยวเหนียงก็คงไม่ต้องไปโม่เป่ยเพื่อเลี่ยงคำครหา
เขาอัดอั้นโทสะมาทั้งวัน ไม่รู้ว่าจะเอาไประบายกับใครดี เขาแค้นมารดาที่ขัดขวางเขาในตอนนั้น แค้นตนเองที่เหตุใดต้องแต่งงานกับฉีซืออินเร็ว และแค้นที่โม่เซี่ยวเหนียงไร้หัวใจถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงไม่ยอมให้โอกาสเขาแม้เพียงนิดเดียว
เมื่อก้าวออกจากจวนจวิ้นจู่ เขาเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทิศทาง สุดท้ายก็มาหยุดที่ตรอกมืดที่โม่เซี่ยวเหนียงเคยข่มขู่เขา
อิฐสีเทาที่กระดำกระด่างยังคงเป็นเช่นเดิม แต่ขาดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงงามไป เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เนิ่นนาน…
เวลานี้ในใจเขามีความอิจฉาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปรารถนาให้ตนเองเป็นฮั่วสุยเฟิงที่ไม่มีบิดามารดา หากเขาได้อยู่ข้างๆ โม่เซี่ยวเหนียงจะมีความสุขเพียงใดกัน…
แต่ถ้าหากจวิ้นอ๋องผู้นั้นอยู่ข้างๆ ซื่อจื่อก็คงจะตบไหล่เขาแล้วบอกว่า ‘ซื่อจื่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว!’
ความจริงแล้วมีเพียงคืนฝนตกคืนแรกเท่านั้นที่ฮั่วสุยเฟิงได้เดินทางร่วมรถม้ากับว่าที่ภรรยาผู้น่ารัก ในวันถัดมาที่ท้องฟ้าแจ่มใส เขาก็ถูกไล่ตะเพิดลงจากรถม้าแล้ว
ฮั่วสุยเฟิงรู้ดีว่าโม่เซี่ยวเหนียงอารมณ์ไม่ดี จึงพยายามเอาอกเอาใจนางอย่างเต็มที่ ตราบใดที่นางยังคงวางท่าพี่สาวที่คอยอบรมสั่งสอน ท่าทางแง่งอนของนางก็น่ารักดีเช่นกัน
ตอนแรกโม่เซี่ยวเหนียงยังกังวลอยู่ว่าเมื่อไม่มีผู้ใหญ่คอยควบคุมและอยู่นอกเมืองเช่นนี้ ฮั่วสุยเฟิงจะยิ่งทำอะไรตามใจชอบ
แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่เซิ่นคำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงส่งคนข้างกายมาให้ลูกเลี้ยงของตน
วันที่สามของการเดินทางไปยังโม่เป่ย หงผิงพาสามีที่เพิ่งแต่งงานด้วยพร้อมทั้งพวกบ่าวรับใช้มาร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ยามนั้นเป็นเวลาเช้าพอดี ฮั่วสุยเฟิงกลัวว่าโม่เซี่ยวเหนียงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางยามค่ำคืน จึงหาที่โล่งกว้างตั้งกระโจมหนังวัว ให้นางห่มผ้าขนสัตว์หนานอนค้างแรม
พอยามเช้าตอนตื่นขึ้นมา บ่าวรับใช้เพิ่งยกน้ำอุ่นที่ผสมเตรียมไว้แล้วมาให้เจ้านายทั้งสองล้างหน้ากลั้วปาก
ตอนนั้นฮั่วสุยเฟิงอุ้มโม่เซี่ยวเหนียงออกมาเร็วยิ่ง แม้แต่สาวใช้คนสนิทของนางก็ไม่ได้พามาด้วย ไม่รู้ว่าพวกหานเยียนที่ตามรถสัมภาระมาต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะเร่งรุดมาถึง
สองสามวันนี้เรื่องเล็กน้อยส่วนตัวหลายอย่างล้วนได้ฮั่วสุยเฟิงช่วยจัดการให้ ทั้งยังจัดการให้อย่างขยันขันแข็งอีกด้วย!
โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกชินชาไร้ความรู้สึกเสียแล้ว และเลิกคิดจะไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วเช่นกัน แค่คอยเตือนตนเองในยามว่างว่าต้องศึกษาภาพแบบร่างของอารามชีเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ใช้ แต่ในภายภาคหน้ายามแก่ชราต้องได้ใช้แน่
และในยามที่กำลังท้อแท้ไร้ความหวัง พอนางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหงผิงก็ราวกับเห็นมารดาแท้ๆ ของตนเองก็มิปาน หากฮั่วสุยเฟิงไม่ได้กำลังเช็ดหน้าให้นางอยู่ นางคงพุ่งตัวออกไปหาสหายรักแล้ว
ตอนนี้เพิ่งได้เห็นความงดงามของหงผิง อีกฝ่ายเพิ่งแต่งงาน เนื้อถังเซิงกินได้ถูกปาก สามีก็น่ารักและเชื่อฟัง ตอนนี้แม้จะไปโม่เป่ยก็ไม่ต่างจากการเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หลังแต่งงาน
โม่เซี่ยวเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก อดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อข้าเรียกท่านกับสามีมาได้อย่างไร”
เจี่ยงอวิ๋นเซิงคารวะจวิ้นอ๋องน้อยแล้วยิ้มตอบ “ไม่นับว่าท่านแม่ทัพฉู่เรียกตัว เดิมทีท่านแม่ข้าตั้งใจจะสร้างอู่ต่อเรือใหม่ที่โม่เป่ยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถขนส่งทางเรือตรงไปยังโม่เป่ยได้ ต้องให้คนที่ไว้ใจได้จากที่บ้านมาช่วยดู ภรรยาจึงมากับข้าด้วย”
เมื่อพูดจบเขาก็ถูกฮั่วสุยเฟิงเรียกไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นฮั่วสุยเฟิงก็จัดเรียงภาพแบบร่างบนหินก้อนใหญ่เรียบๆ ก้อนหนึ่งเหมือนกำลังศึกษาแนวชายฝั่ง เห็นได้ชัดว่าการสร้างอู่ต่อเรือน่าจะเป็นความคิดริเริ่มของฮั่วสุยเฟิง
มีสหายที่คุ้นเคยในการเดินทาง โม่เซี่ยวเหนียงย่อมรู้สึกผ่อนคลาย จึงดึงหงผิงไปดื่มชาร้อนคลายความหนาวที่ข้างกระโจม
หงผิงมองโม่เซี่ยวเหนียงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ยักคิ้วหลิ่วตาพลางเอ่ยถาม “สองสามวันมานี้เขาได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบเจ้าบ้างหรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ตอบคำถามหงผิง เพียงเปลี่ยนเรื่องชวนนางดื่มชาแทน
หงผิงจุปาก “สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของข้า อายุยังน้อยก็จริง แต่มือไม้นี่รวดเร็วใช้ได้! แล้วเขาเคยจุมพิตเจ้าหรือยัง”
โม่เซี่ยวเหนียงนึกถึงที่สองสามวันนี้ที่ฮั่วสุยเฟิงเกาะติดนาง นางก็อดหักไม้เขี่ยไฟที่ถืออยู่ในมือไม่ได้ ทำหน้าบึ้งตึงพร้อมเอ่ยตอบ
“หากท่านถามอีก เราสองคนก็เลิกคบหากันเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน”
หงผิงไม่กลัวอยู่แล้ว นางหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “หากเจ้าเลิกคบหาข้าตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็จะไปแล้ว จะได้ไม่ขัดขวางงานสำคัญของศิษย์น้องของข้า!”
โม่เซี่ยวเหนียงทำได้เพียงดึงหงผิงไว้แล้วตักน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติใส่ถ้วยชาอีกฝ่ายอีกสองช้อน
ในเวลานี้เองฮั่วสุยเฟิงจัดการงานสำคัญกับเจี่ยงอวิ๋นเซิงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถือหวีไม้เดินมา ตั้งใจจะหวีผมให้โม่เซี่ยวเหนียง สองวันมานี้เขาฝึกฝนจนชำนาญ ทั้งยังทำมวยผมตกหลังม้า ได้ด้วย
อยู่ในยุคโบราณผมยาวถึงเอวก็เป็นเรื่องน่ารำคาญเช่นกัน แค่ถักเปียก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ก่อนหน้านี้นางจึงต้องยอมให้ฮั่วสุยเฟิงจัดการให้
แต่ตอนนี้หงผิงพาสาวใช้มาด้วย โม่เซี่ยวเหนียงจึงไม่อยากให้ฮั่วสุยเฟิงหวีผมให้ตนอีก
ทว่าจวิ้นอ๋องน้อยไม่พอใจ ดึงผมยาวของนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าหวี วันนี้ก็ไม่ต้องเดินทางแล้ว!”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนสิงหาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.