X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว

นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวทัศน์ตระการตาที่สุดในยามนี้

โคมไฟส่องสว่าง แสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้น ระลอกคลื่นขนาดเล็กบนผิวน้ำเป็นประกาย ศาลาริมน้ำที่โอ่อ่าตระการตาสองฟากฝั่ง แสงไฟสะท้อนคลื่นน้ำราวกับดวงไฟที่กลิ้งไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน

อากาศริมแม่น้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นอายต่างๆ ทั้งไอร้อนของอาหารนึ่ง กลิ่นหอมของขนม กลิ่นแป้งสตรี…แทรกซอนไปในคลื่นมนุษย์อย่างเงียบๆ ลอยผ่านกลุ่มคนเดินถนนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“ฮัดชิ่ว…”

ลมเจือกลิ่นหอมพัดผ่านข้างรั้วสีแดง ฮวาคั่วมองหญิงสาวที่คลำหาผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ แล้วยื่นแขนเสื้อของตัวเองออกไปอย่างสั่นเทา

“ศิษย์พี่…” เพราะความประหม่า ขณะที่เขาพูดประโยคนี้ปากจึงสั่นฟันกระทบกันจนแทบจะกัดลิ้นของตัวเอง “ท่านจะใช้แขนเสื้อของข้าเช็ดแทนไปก่อนหรือไม่”

มือเนียนอมชมพูที่กำลังคลำหาผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมชะงักงัน สตรีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้รับแขนเสื้อของเขาไป

สายลมพัดโคมไฟใต้ชายคาที่คนทั้งสองยืนอยู่จนแกว่งไกว แสงไฟกระดำกระด่างพาดผ่านใบหน้าของสตรีที่ถูกผ้าคลุมหน้าบดบังไปครึ่งหนึ่ง ฮวาคั่วสบตาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยหัวใจสั่นสะท้าน

แม้จะรู้จักกันมาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังคงกลัวที่จะมองตานาง

เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นดวงตาที่งดงามมากคู่หนึ่ง ดวงตาสีเหลืองอำพันแสดงถึงความแปลกแยกและความลึกลับ แสงสว่างบนผิวน้ำหรือแสงโคมไฟที่สว่างไสวบริเวณรอบๆ ล้วนเทียบไม่ได้กับประกายในดวงตาของนางขณะที่กลอกกลิ้งไปมา ความสว่างไสวรอบด้านพลันดูหม่นหมอง

แต่เมื่อดวงตาคู่นี้จ้องมองมาที่เขา…

ฮวาคั่วกลืนน้ำลาย รู้สึกหนาวสันหลัง ดังนั้นเขาจึงหยุดชะงักแล้วชักมือกลับอย่างรู้กาลเทศะ

“เรียกฮวาหยาง” หญิงสาวที่อยู่ข้างกายพูดเรียบๆ ฟังอารมณ์ในน้ำเสียงไม่ออก

“ได้…ฮวาหยาง…” ฮวาคั่วพยักหน้า มือที่อยู่ในแขนเสื้อลอบกำแน่นขึ้น

“หึ…” นางแค่นเสียงเย้ยหยัน ดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นความรู้สึกอึดอัดของเด็กหนุ่มเลยสักนิด นางจึงพูดอย่างสงบนิ่งว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเคยฆ่าคนมิใช่หรือ มือเท้าสะอาดเช่นนี้?”

“ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้โกหก!”

ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากที่ใด ฮวาคั่วยืดคอแล้วพูดประโยคที่ดังที่สุดในคืนนี้

ฮวาหยางไม่ตอบ ได้แต่จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไม่กะพริบตา ผ่านไปนานรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนนางจะเบนสายตาไปอย่างไม่ใส่ใจ

อาจเป็นเพราะความนับถือตัวเองที่ยากจะอธิบาย ฮวาคั่วจึงพยายามเงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นแล้วเอ่ยว่า “บ่าวรับใช้ของเสนาบดีเฉินหลบหนีไปได้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ!”

“หึ…” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่ใส่ใจดังขึ้นอีกครั้ง ฮวาหยางไม่ได้หันกลับมา

เด็กหนุ่มที่ยังคงพยายามกู้ ‘ศักดิ์ศรี’ กลับคืนมาดูเหมือนพูดด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางแสงจากโคมไฟ ริมฝีปากเขาขยับอย่างรวดเร็ว คำพูดกลายเป็นกำแพงที่มองไม่เห็น ผสมผสานกับความอึกทึกจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวและ ‘ความสุขของผู้คน’ ทำให้ฮวาหยางหงุดหงิดยิ่งขึ้น

หอร้อยบุปผาตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ

คนไม่เอาไหนที่หน้าตาอัปลักษณ์ก็กล้าส่งมาให้ข้า?

ฮวาหยางสูดลมหายใจเข้าเงียบๆ และลอบเตือนตัวเองว่าอย่าโกรธ ทว่าเวลาต่อมามือที่ขาวผ่องนวลเนียนก็บีบคอของเด็กหนุ่มอย่างแม่นยำ ราวกับเสือดาวที่กัดคอเหยื่อด้วยความโกรธเคือง

“อู้…อู้…” เสียงทั้งหมดถูกนางบดขยี้จนแหลกละเอียดในทันที ผู้ที่อยู่ตรงหน้ามองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลำคอเปล่งเสียงประหลาดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของนักฆ่าก็คือมือเท้าไม่สะอาด ฆ่าคนโดยปล่อยให้พยานมีชีวิตรอด” นางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ

ลูกกระเดือกในฝ่ามือนางขยับขึ้นลง ฮวาหยางไม่ได้ปล่อยมือ แต่ดึงเขาเข้ามาใกล้โดยออกแรงมากขึ้น

นางโน้มตัวและมองดวงตาที่แดงก่ำของฮวาคั่วอย่างคุกคาม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฟังให้ดี นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะแก้ไขปัญหาให้เจ้า”

นางจงใจลดความเร็วในการพูดลง ไม่มีการข่มขู่ที่ชัดเจน แต่กลับทำให้ฮวาคั่วหวาดกลัวจนต้องกลั้นน้ำตาพยักหน้า

รออีกพักหนึ่งฮวาหยางจึงปล่อยชีพจรทั้งสองเส้นตรงปลายนิ้วที่ค่อยๆ อ่อนแรงลง จากนั้นก็คว้าตัวฮวาคั่วที่ยืนไม่มั่นคงอย่างรวดเร็วแล้วกระซิบด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

“มาแล้ว”

ที่สุดปลายสายตาบุรุษที่สวมเสื้อบางๆ สีเข้มสะบัดพัดในมือปิดบังใบหน้าอย่างสงบนิ่ง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่ง แต่ไม่เร็วไปกว่าสายตาของฮวาหยาง

นางจำได้ว่าคนผู้นี้คือฉินเจา องครักษ์ของเสนาบดีกรมอาญาคนปัจจุบัน

ตามข่าวของหอร้อยบุปผาบอกว่าหลายวันก่อนขณะที่ลอบสังหารเฉินเหิงเสนาบดีของราชสำนัก บ่าวรับใช้คนนั้นที่หนีรอดจากเงื้อมมือของฮวาคั่วจะพบกับฉินเจาที่นี่คืนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บ่าวรับใช้คนนั้นเปิดเผยข้อมูลใดๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อหอร้อยบุปผา พวกเขาต้องกำจัดบ่าวรับใช้คนนั้นก่อนที่ทั้งสองคนจะพบกัน

“ไป!” ฮวาหยางตะคอกเบาๆ ลุกขึ้นแล้วเดินตามบุรุษผู้นั้นไป

อาจเป็นเพราะทั้งสองคนแต่งกายเป็นหญิงคณิกาและชายบำเรอที่พบเห็นได้บ่อยตามริมแม่น้ำฉินไหว เมื่อเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านจึงไม่สะดุดตามากนัก ฉินเจาหยุดตรวจสอบอย่างละเอียดหลายครั้งแต่ไม่พบพวกเขา

ทั้งสองเดินตามฉินเจาไปที่เรือสำราญลำหนึ่งซึ่งเทียบท่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างรวดเร็ว

วันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดเศียร

คืนนี้เป็นเทศกาลโคมไฟมังกรประจำปีของเมืองจินหลิง ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ก็จะมีเรือไฟมากมายจอดเทียบท่าในแม่น้ำราวกับมังกรไฟตัวยาว นักเดินทางสามารถขึ้นเรือไปชมโคมไฟได้ และพ่อค้าแม่ค้าก็สามารถขึ้นเรือไปขายของได้เช่นกัน

ในเวลานี้มีเสียงบรรเลงสังคีตดังมาจากห้องพักบนเรือ ผสมผสานกับเสียงบุรุษและสตรีที่ยืนพิงรั้วหัวร่อต่อกระซิกอยู่รอบๆ และแสงเสียงที่วุ่นวาย

ทั้งสองเดินตามฉินเจาไป ยิ่งเดินยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเรือแล่นมาถึงกลางแม่น้ำ โคมไฟใหญ่สว่างไสวบนฝั่งค่อยๆ กลายเป็นดวงไฟเล็กๆ

คลื่นน้ำใต้ลำเรือทอดยาวไปไกล ทำให้เกิดความรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย

จู่ๆ ฮวาหยางก็หยุดกะทันหัน

กลิ่นฉุนของแป้งหอมเมื่อครู่หายไปแล้ว ในอากาศมีเพียงกลิ่นของพืชน้ำที่เปียกชื้น นางรู้สึกหนาวผิดปกติ

สัญชาตญาณจากการรบราฆ่าฟันมาเป็นเวลานานบังคับให้นางต้องมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว จึงได้พบว่านอกจากสตรีขายเสียงที่กำลังบรรเลงสังคีตอยู่ในห้องแล้ว ไม่รู้ว่าด้านนอกห้องไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียวตั้งแต่เมื่อไร

จู่ๆ ฮวาหยางก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันใด ท่ามกลางเสียงอึกทึกและอากาศที่อบอ้าวดูเหมือนมีคนกำลังกลั้นหายใจ

นางตกใจจึงคว้าตัวฮวาคั่วที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว ทว่าทันทีที่คว้าไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า

ขณะที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นฮวาคั่วชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวของเขาแล้วพุ่งตัวไปหาคนที่กำลังขึ้นจากเรือลำเล็ก

‘เคร้ง…’

เกิดเสียงโลหะเสียดสีกัน และไม่ได้ยินเสียงสตรีกรีดร้องในบริเวณโดยรอบตามที่คาดคิดไว้ ทุกอย่างดูเหมือนจะมีการวางแผนไว้แล้ว

“กรมอาญาทำคดี แม่นางรีบหลีกทางโดยเร็ว!”

ฮวาหยางรู้สึกเจ็บแขนขึ้นมาทันที นางถูกคนที่อยู่ด้านหลังผลักออกไปอย่างแรงและเซออกนอกวงล้อม…

“…” ในฐานะนักฆ่าคนหนึ่งกลับถูกผู้ที่ล้อมจับมองข้าม รวมตัวกันเพิกเฉย ฮวาหยางรู้สึกสับสนชั่วขณะ แต่เมื่อมองเห็นทหารที่ซุ่มอยู่ด้านหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และโอบล้อมฮวาคั่วผู้โง่เขลาชนิดที่ว่าถึงจะมีปีกก็หนีไม่พ้น ใจที่ไม่ยอมแพ้ดวงนั้นก็ดูเหมือนจะสงบลงเล็กน้อย

แม้ว่านางจะชื่นชอบการฆ่าฟัน แต่ก็เกลียดชังความยุ่งยากมาโดยตลอด

สถานการณ์เช่นวันนี้แม้ว่าสำหรับนางแล้วจะไม่ถึงกับต้องสูญเสียชีวิต แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยุ่งยากจริงๆ ดังนั้นนางจึงบุ้ยปาก หยิบขนมเปี๊ยะหวานชิ้นหนึ่งมาจากแผงลอย ตัดสินใจเลิกงาน

“ศิษย์พี่!”

มีเสียงตะโกนอย่างน่าตกใจดังขึ้นจากด้านหลัง ขนมเปี๊ยะหวานที่เพิ่งเข้าปากแทบจะติดคอ

“ศิษย์พี่ช่วยข้าด้วย!”

เสียงวิงวอนปะปนกับเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอีกครั้ง ฮวาหยางฟังแล้วต้องกัดกรามแน่น ขนมเปี๊ยะหวานในปากแหลกละเอียด เกิดเสียงดัง ‘กรอด’ เสียงนั้นดังก้องท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ฟังชัดเจนเป็นพิเศษ

ด้านหลังเริ่มมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา วงล้อมของกองกำลังทหารขยายออก ล้อมตัวนางเข้าไปด้วย

“…” นางเคยบอกกับทางหอร้อยบุปผาไว้แล้วว่าเวลาที่นางออกปฏิบัติหน้าที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นและไม่ชอบให้มีคนติดตาม นั่นก็เพราะกลัวจะเจอคนโง่เขลาเช่นนี้

ความหนาวเย็นที่มาอย่างกะทันหันเบื้องหน้าขัดจังหวะความคิดที่ล่องลอย ฮวาหยางเอนตัวหลบ เห็นคมกระบี่ผ่านหน้าไป เร็วมากจนทำให้นางหยิบกระบี่ไม่ทัน

ดูท่าครั้งนี้กรมอาญาคงจะใช้ยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยากแล้ว

ขนมเปี๊ยะหวานที่ถูกกัดไปเพียงครึ่งเดียวค้างอยู่ในปาก ดวงตาใต้ผ้าคลุมหน้าเป็นประกายขึ้นมาทันที

“ศิษย์พี่!” ฮวาคั่วฉวยโอกาสในระหว่างที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้ากันขยับไปอยู่ข้างๆ ฮวาหยาง ขณะกำลังจะพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือกลับถูกนางใช้สัญญาณมือห้ามไว้

เวลาต่อมากองกำลังทหารก็เข้าโจมตีพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

แสงสีขาวหลายสายกระหน่ำลงมาราวกับสายฝน ฮวาหยางเบี่ยงตัวหลบไปด้านหลังแผงลอยขนมเปี๊ยะหวาน จากนั้นก็หยิบกระบองยาวที่พ่อค้าแม่ค้าใช้แขวนป้ายร้านขึ้นมาแล้วกระโดดตีลังกาออกไป

“อ๊าก!”

หลังจากเสียงยามนางลงสู่พื้นเงียบลง ทหารที่อยู่ตรงหน้าก็ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา กระบองไม้ที่เสียบเข้าไปในเท้าขวาของเขาเวลานี้กลายเป็นจุดค้ำยันของนาง ฮวาหยางยันแขนแล้วกระโดดขึ้น กระโปรงสีทับทิมลายทองพลิ้วไหวภายใต้แสงสะท้อนของพระจันทร์ทำให้เห็นส่วนโค้งที่ยวนใจ เหมือนปลาจิ่นหลี่* หางยาวที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ

เสียงน้ำดังตูม เกิดคลื่นลูกใหญ่บนผิวแม่น้ำฉินไหวที่เป็นประกายสว่างไสว เรือที่อยู่ใต้เท้าโคลงเคลงตามอย่างแรงหลายครั้ง

“ศิษย์พี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

“หุบปาก!” ฮวาหยางไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กระโดดขึ้นไปกลางอากาศแล้วตวัดกระบองจนเกิดเสียงดังน่ากลัวขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สังหารทหารลดลงไปครึ่งหนึ่ง

วิทยายุทธ์อันโหดเหี้ยมเช่นนี้ย่อมเป็นที่ดึงดูดสายตาส่วนใหญ่เป็นธรรมดา ชั่วขณะหนึ่งกองกำลังทหารเกือบทั้งหมดต่างก็โจมตีไปที่ฮวาหยางเพียงคนเดียว

ท่ามกลางเสียงปะทะกันจู่ๆ ก็มีแสงสีขาวพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ฮวาหยางยกกระบองขึ้นกวาดมันออกไป ทันทีที่กระบองปะทะกับแสงสีขาว พลังมหาศาลก็สั่นสะเทือนจนทำให้ตำแหน่งที่เชื่อมระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของนางแทบขาด เศษไม้แตกกระจาย แทบจะทำให้นางลืมตาไม่ขึ้น

ยามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นว่าแขนเสื้อถูกตัดขาดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ หัวไหล่และเรียวแขนที่เรียบเนียนเปิดเผยสู่สายตา ราวกับหยกสีขาวทั้งยังมีประกายเหงื่อเล็กน้อย

ดูเหมือนคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ มือชะงักไปเล็กน้อย ความเร็วของกระบี่ก็ลดลง

ขณะที่ฉินเจาใจลอยอยู่นี้เอง ฮวาหยางก็ชักกระบี่ที่ข้างเอวออกมาอย่างรวดเร็ว เบี่ยงตัวหลบมายังด้านหลังเขา

“อย่าขยับ” นางหายใจไม่เป็นจังหวะ เหงื่อออกเต็มหน้าผาก ริมฝีปากเต็มไปด้วยไอร้อน “ให้พวกเขาวางกระบี่ลงทุกคน”

คนที่อยู่ด้านหน้าตกตะลึงแต่ก็เชื่อฟัง โยนกระบี่ในมือทิ้งแล้วโบกมือ กองกำลังทหารบนเรือจึงเก็บอาวุธในมือแล้วเข้าไปในห้องพักบนเรือทั้งหมด

บนเรือเหลือเพียงฮวาหยาง ฮวาคั่ว และฉินเจาที่ถูกนางกักคอไว้เท่านั้น ทุกสิ่งรอบตัวว่างเปล่าไปชั่วขณะ มีเพียงสายลมพัดหวีดหวิด

“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก” ฉินเจามีท่าทีสงบนิ่ง โบกมือไปทางฝั่ง จากนั้นฮวาหยางก็เห็นบนศาลาริมน้ำและข้างทำนบกั้นน้ำมีดวงไฟล้อมรอบมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน

‘สวบ!’

ลูกธนูเย็นเฉียบพุ่งทะลุอากาศมา ปักลงบนไม้กระดานที่อยู่เบื้องหน้าคนทั้งสามอย่างแม่นยำ แสงไฟบนเรือไฟสะท้อนลูกธนูมันวาว ทำให้สีของไฟเลือนราง

“…” ฮวาหยางยืดตัวตรง รู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะเป็นฉากอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ราชสำนักปฏิบัติต่อนักฆ่าเท่าที่นางเคยเห็น…

ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจดี

“ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี” น้ำเสียงของหญิงสาวเดิมทีก็อ่อนหวานอยู่แล้ว และเสียงเรียก ‘ใต้เท้า’ นั้นก็เรียกได้ไพเราะอ่อนโยนยิ่งกว่า ไม่ว่าใครฟังแล้วต่างก็ต้องรู้สึกเสียวซ่านไม่น้อย

แต่ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน เพียงพูดอย่างเย็นชาว่า “ยอมถูกจับกุม”

“หืม?” ฮวาหยางทำเสียงเหยียดหยาม น้ำเสียงแยกไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธเคือง นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณให้ฮวาคั่วตามมา แล้วทั้งสองคนก็กักคอฉินเจาเดินไปที่ชายคาห้องพักบนเรือ

“ประเดี๋ยวข้าจะนับถึงสาม แล้วพวกเรากระโดดลงไปด้วยกัน”

ฮวาคั่วตกตะลึง แล้วถามเพื่อขอคำยืนยันว่า “กระโดดน้ำ?”

ฮวาหยางคร้านที่จะอธิบายจึงเริ่มนับ

“หนึ่ง”

สายลมพัดมา พัดจนโคมไฟใต้ชายคาแกว่งไกวจนตกลงไปในน้ำ เหมือนแสงไฟในนรกที่บิดเบี้ยว

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“สอง!”

เสียงครวญครางและเสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกัน ดูเหมือนจะมีคนถูกแทงได้รับบาดเจ็บ

เพราะถูกน้ำในแม่น้ำโอบกั้น หูจึงได้ยินเพียงเสียงกระบี่แผ่วเบาเท่านั้น ฮวาหยางลืมตาขึ้น เห็นไฟที่ลุกโชนอยู่เหนือน้ำ และเห็นลูกธนูพุ่งผ่านข้างตัวดัง ‘สวบๆ’ แต่เมื่อลงสู่น้ำก็สูญเสียความแม่นยำและความรุนแรงไป

ฮวาหยางไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์มาแต่ไหนแต่ไร นางไม่มีแม้แต่ญาติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสหายหรือพี่น้อง นางไม่เคยคิดที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับใคร และยิ่งไม่มีวันเสี่ยงชีวิตเพื่อผู้อื่น

กระโปรงสีแดงทับทิมลายทองที่แช่อยู่ในน้ำค่อยๆ คลี่บานออก ราวกับสีน้ำมันสีแดงทองที่กระจายตัวอย่างเงียบๆ

นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ทั้งหนาและหนักออกแล้วว่ายลึกลงไปและไกลออกไปตามลำพัง

บทที่ 2 เด็กกำพร้าที่ฝากไว้ให้ดูแลก่อนเสียชีวิต

“ฉางยวน…”

“กู้ฉางยวน…”

กู้ซิ่งจือสะดุ้งเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อเขา

ในม่านตาเป็นสีแดงอมส้มเหมือนหมู่เมฆยามสายัณห์ที่เห็นได้บ่อยในยามพลบค่ำของฤดูร้อน แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นกลับเป็นไฟที่กำลังลุกโชนบนแม่น้ำฉินไหว แสงอาทิตย์และแสงไฟสะท้อนอยู่ในน้ำดุจทะเลเพลิง แสงและน้ำสะท้อนซึ่งกันและกัน เปลวเพลิงลุกไหม้อย่างเหิมเกริม

ทว่าท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้จู่ๆ ลำคอยาวระหงและแผ่นหลังที่เรียบเนียนของหญิงสาวก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำและเปลวเพลิง ที่มุมหนึ่งมีสีแดงทองกระจายตัวออกอย่างเงียบๆ เป็นต้นหางแมวที่ออกดอกบานสะพรั่งท่ามกลางซากปรักหักพัง

หยดน้ำกลิ้งลงมาตามแผ่นหลังขาวผ่องของนาง ไหลเรื่อยมายังสะบัก ก่อนจะหายไปตรงลักยิ้มที่บั้นเอว เส้นโค้งเว้าที่เรียบเนียนของแผ่นหลังประดุจแจกันทรงหงส์หยกขาว

เท้าที่โผล่พ้นน้ำชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนหญิงสาวจะสัมผัสได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่ง นางหันมาสบตาเขาราวกับอยู่ในความฝัน

“เฮือก…”

เสียงหายใจเร็วและแรง กู้ซิ่งจือกดหน้าอก สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

เขามึนงงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาทำให้หน้าต่างบานหนึ่งส่งเสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ แสงเทียนรอบๆ ตัวส่ายไหว ทั้งห้องเงียบกริบ เขาจึงถอนหายใจยาวออกมา

ภายในห้องพระจุดไม้กฤษณาไห่หนาน ควันจางๆ รวมตัวกันแล้วลอดผ่านพระจันทร์อันหนาวเย็นที่มุมหน้าต่าง เขาวางลูกประคำในมือลงแล้วยืดตัวตรง

มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังอยู่ที่หน้าประตู แสงของโคมไฟส่องทะลุความมืดและหน้าต่างเข้ามา กู้ซิ่งจือสะดุ้งเล็กน้อย

“นายท่าน” เป็นเสียงของลุงฝูพ่อบ้านชรา ดูเหมือนอีกฝ่ายกังวลว่าจะรบกวนเขา เสียงที่เอ่ยออกมาจึงเบาเป็นพิเศษ “ใต้เท้าฉินขอเข้าพบ บอกว่ามี…มีเรื่องสำคัญขอรับ”

ประตูตรงหน้าถูกดึงเปิดออกอย่างแรง ลุงฝูเห็นใบหน้าซีดเซียวที่อยู่หลังบานประตู…ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดซีดเผือดจากความหนาวเย็น เหมือนพระจันทร์ที่ตกลงไปในเงาของต้นสนและต้นไผ่ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้า

ลุงฝูนิ่งงันไปชั่วขณะ ได้แต่รู้สึกเห็นใจ

ทุกคนต่างชื่นชมว่า ‘หนานฉีมีขุนนางอยู่มากมาย ซิ่งจือนั้นไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้’ แต่สิ่งที่ไม่มีใครเทียบนายท่านของเขาได้ไม่ใช่แค่ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและคุณธรรมในการช่วยเหลือทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือใบหน้าที่ทำให้บรรดาสาวน้อยในหนานฉีต่างใฝ่ฝัน

ทว่าตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันก่อนหลังจากเฉินเหิงเสนาบดีของราชสำนักถูกลอบสังหารบนถนนหน้าวังหลวง ใบหน้านั้นคงจะทำให้บรรดาสาวน้อยในหนานฉีต่างสงสารจับใจ…

“เฮ้อ…” ลุงฝูถือโคมไฟเดินตามหลังกู้ซิ่งจือ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ทว่าจู่ๆ ก็เดินเซโดยไม่ทันระวัง ล้มลงใส่หลังของกู้ซิ่งจือ

“ระวัง!”

ลุงฝูกำลังกังวลใจ กลับรู้สึกว่าแขนตึงขึ้นและมือถูกกู้ซิ่งจือประคองไว้ มือของเขาสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายที่บีบแน่นเล็กน้อย

“ถือไว้เถิด” กู้ซิ่งจือหยิบเตาพกใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้เขา “คืนฤดูใบไม้ผลิอากาศหนาว ต่อไปเมื่ออยู่เวรกลางคืนก็พกติดตัวไว้ หลังยามไฮ่* ก็ไม่ต้องรอข้าแล้ว ไปพักก่อนได้เลย”

“ได้อย่างไรกันขอรับ!” ลุงฝูพูดด้วยความตกใจ “เจ้านายยังไม่พักผ่อน บ่าวรับใช้จะพักก่อนได้อย่างไรกัน”

กู้ซิ่งจือได้แต่พูดเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร”

ลุงฝูรู้ว่าถึงแม้จวนสกุลกู้จะใหญ่โต แต่เจ้านายเป็นคนสันโดษ และบ่าวรับใช้ก็น้อยจนน่าเห็นใจ เขาเป็นชายชราที่รับใช้ใกล้ชิดนายท่าน จะเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ขณะกำลังคิดว่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างไรดี มือของกู้ซิ่งจือก็ผ่อนคลายลง รับโคมไฟจากมือของลุงฝูไป โบกมือพลางเอ่ยบอก

“ไปนอนเถิด”

“ขอรับ…” ลุงฝูประนีประนอม รู้ว่านิสัยของผู้เป็นนายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงไม่ดึงดันและหันหลังกลับ

ในห้องโถงจุดตะเกียงสองสามดวง สะท้อนให้เห็นเงาร่างรางๆ สองสามร่าง กู้ซิ่งจือดับไฟในโคมไฟแล้วผลักประตู คนที่อยู่ข้างในมีไม่มาก เสื้อผ้าเปื้อนเลือดของคนที่เป็นหัวหน้าเปลี่ยนจากสีฟ้าอมเขียวเป็นสีน้ำเงินอมม่วง

“เจ้าได้รับบาดเจ็บ?” โคมไฟในมือถูกโยนลงพื้น กู้ซิ่งจือประคองมือของฉินซู่

“ข้าไม่เป็นไร” ฉินซู่ยิ้มเศร้าหมอง พลิกมือมาจับมือกู้ซิ่งจือ รอยเลือดบนมือนั้นแห้งแล้ว เหลือเพียงเส้นสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น

“การล่อจับ…” ฉินซู่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ล้มเหลวแล้ว…”

กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

“นักฆ่ามีสองคน คนหนึ่งทิ้งสหายหลบหนีไป ส่วนอีกคน…”

กู้ซิ่งจือยังคงไม่พูดอะไร จ้องตาที่หม่นหมองราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนของฉินซู่

ฉินซู่หลบตาเขา ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อีกคนหนึ่งถูกยิงตายด้วยลูกธนูท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย”

“เหตุใดจึงปล่อยให้เขาตาย”

“เพราะว่า…” ฉินซู่สะอื้น มือที่จับมือกู้ซิ่งจือแน่นยิ่งขึ้น “เพราะคนที่หลบหนีไปจับฉินเจาเป็นตัวประกัน ก่อนหนีไปได้ผลักเขาไปหานักฆ่าอีกคนหนึ่ง ขณะตื่นตระหนกนักฆ่าคนนั้นได้ชักกระบี่ออกมาแทงฉินเจาจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อคนบนฝั่งเห็นดังนั้นจึงได้สั่งให้ยิงธนู”

กู้ซิ่งจือตกตะลึง ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เขาละสายตาจากรอยเลือดบนมือของฉินซู่แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ท่ามกลางผู้คนในห้องโถง

เขาหันกลับมามองฉินซู่ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด กัดฟันพูดว่า “เลือดนี้เป็นเลือดของฉินเจา?”

ฉินซู่พยักหน้าช้าๆ “หมอได้ตรวจดูแล้ว แต่บาดเจ็บตรงจุดสำคัญและเสียเลือดมาก เสียชีวิตแล้ว” ขณะพูดเขาก็หยิบถุงผ้าเปื้อนเลือดออกมาจากอกเสื้อมอบให้กู้ซิ่งจือ “นี่คือสิ่งที่เขาวานข้ามอบให้เจ้าก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ขอให้เจ้าช่วยตามหาคนคนหนึ่งให้เขา ส่วนเป็นใครนั้น เขาบอกว่าเจ้ารู้ดี”

แสงจันทร์เย็นยะเยือกสาดส่องทั่วพื้น

เวลานี้กู้ซิ่งจือเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองลืมอะไรไป…วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฉินเจา เขาจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนฉินเจาเคยพูดกับเขาด้วยความดีใจว่าตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันไปหลายปีพบแล้ว รอถึงวันคล้ายวันเกิดก็จะไปรับนางกลับมา

ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาให้ฉินเจาไปร่วมการล่อจับครั้งนี้ วันนี้อีกฝ่ายคงจะได้ไปรับน้องสาวผู้นั้นแล้ว

สกุลกู้สามรุ่นมีผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว เขาไม่มีพี่น้อง เขารู้จักฉินเจามาตั้งแต่เด็กและเป็นสหายร่วมชั้นเรียนในสำนักศึกษาหลวง เป็นเวลาสิบปีฉินเจาฝึกด้านบู๊ ส่วนเขาเรียนด้านบุ๋น วันเวลาในวัยหนุ่มที่คึกคะนอง แต่งกายงดงามควบม้าด้วยความฮึกเหิมเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“ฉางยวน…” ฉินซู่คลายมือเขาออกแล้ววางถุงผ้าใบนั้นลงไป พูดอย่างอัดอั้นตันใจว่า “เสียใจด้วย”

กู้ซิ่งจือรู้สึกตัวแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ นิ้วทั้งสิบประสานกันแน่น เก็บถุงผ้าใบนั้นไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ

ฉินซู่ลังเลเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า “นักฆ่าที่หลบหนีไปวันนี้เลือกที่จะกระโดดลงไปในแม่น้ำใต้โคมไฟบนเรือ ท่ามกลางความโกลาหลลูกธนูยิงโคมไฟตกลงมา ทำให้เรือไฟในแม่น้ำฉินไหวลุกเป็นไฟ แม้ว่าจะไม่มีชาวบ้านบาดเจ็บเสียชีวิต แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นเรื่องน่าขันของกรมอาญา แทนที่จะรอจนถึงวันพรุ่งนี้เพื่อให้คนของเสนาบดีอู๋เย้ยหยัน ข้าคิดว่าจะเข้าวังประเดี๋ยวนี้…”

กู้ซิ่งจือเข้าใจความหมายของฉินซู่ จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”

 

แสงจันทร์ยังคงเย็นยะเยือก ส่องผ่านม่านรถไปที่เสื้อคลุมสีม่วง ทุกคนต่างรู้กันดีว่ากู้ซิ่งจือชอบกลิ่นธูป ไม่ว่าจะอยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือในรถม้าก็จะต้องจุดธูปเสมอ ไม่ว่าจะเพื่อสงบจิตใจหรือเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายก็ตาม ดังเช่นธูปลายนกกระทาข้างๆ มือในเวลานี้ ควันจางๆ รวมตัวกัน เหมือนสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่กำลังอึมครึม

เสนาบดีเฉินถูกลอบสังหารบนถนนหน้าวังหลวงเมื่อเจ็ดวันก่อน สำหรับราชสำนักนับเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นถึงเสนาบดีกลับต้องมาตายระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน ข่าวอันน่าตกใจนี้ราวกับสายลมพัดไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วทั้งภายในและภายนอกราชสำนัก

ฮ่องเต้ฮุยตี้พิโรธอย่างยิ่ง มีบัญชาให้สอบสวนอย่างละเอียด

และเวลานี้ราชสำนักมีฝักฝ่ายมากมาย ในจำนวนนั้นที่ไม่ลงรอยกันมากที่สุดก็คือฝ่ายใช้กำลังที่มีเสนาบดีเฉินเหิงเป็นผู้นำและฝ่ายสันติที่มีเสนาบดีอู๋จี๋เป็นผู้นำ

ผู้ที่รับผิดชอบงานนี้คือกู้ซิ่งจือรองราชเลขาธิการที่เป็นกลางมาโดยตลอด

กู้ซิ่งจือรู้ว่าสิ่งที่สำคัญในเวลานี้คือการสืบสวนคดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจะทำให้ฝ่ายใช้กำลังกับฝ่ายสันติที่ไม่ลงรอยกันสงบลงได้อย่างไร

พระจันทร์ลอยสูงขึ้นอย่างเงียบๆ รถม้าหยุดที่หน้าประตูเจิ้งลี่ เสี่ยวหวงเหมิน นำทั้งสองคนไปที่พระตำหนักฉินเจิ้ง

โอสถภายในห้องบรรทมที่กว้างขวางส่งกลิ่นฉุนแรง ในห้องที่เงียบสงบจุดกำยานที่ช่วยให้นอนหลับ

ด้านหลังฉากกั้นลายเก้ามังกรเล่นไข่มุกมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม ดูเหมือนกำลังกินยา มือที่ซูบผอมข้างหนึ่งจับชามกระเบื้องสีขาว เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกม่านจึงปิดปากและไอเบาๆ

“ถวายบังคมฝ่าบาท…”

“ลุกขึ้น” ฮ่องเต้ฮุยตี้โบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนยืนขึ้น ต้าหวงเหมิน พาทั้งสองคนไปนั่งหลังฉากกั้น จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วถอยออกไป

สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปที่ชามยาข้างมือฮ่องเต้ฮุยตี้

ฮ่องเต้ฮุยตี้ร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ยังเยาว์ สมัยเป็นรัชทายาทก็เจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง หลังอายุครบยี่สิบแปดจึงได้มีพระโอรสองค์โต ดังนั้นในเวลาสิบกว่าปีที่ครองบัลลังก์ก็ป่วยเสียเป็นส่วนมาก ราชกิจทั้งหมดในราชสำนักส่วนใหญ่จะมอบหมายให้เฉินเหิงและอู๋จี๋เป็นคนจัดการ

เวลานี้เมื่อเฉินเหิงจากไป ภาระทางการเมืองกดดัน ดูเหมือนโรคเก่าของฮ่องเต้จะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

“เมื่อครู่คนของหน่วยพิทักษ์เมืองมารายงาน เหตุการณ์คืนนี้ข้ารู้แล้ว” น้ำเสียงของฮ่องเต้ฮุยตี้ราบเรียบแผ่วเบาและเหนื่อยล้า นอกจากความอ่อนแอจากอาการป่วยแล้วก็ฟังอารมณ์อย่างอื่นไม่ออกแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา” ฉินซู่ยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง

สำหรับหลานชายคนนี้ฮ่องเต้ฮุยตี้เมตตาเขาเสมอมา แต่การคุกเข่าครั้งนี้พระองค์กลับไม่ได้เอ่ยอันใดเป็นเวลานานและก็ไม่ได้ให้ฉินซู่ลุกขึ้น

ภายในพระตำหนักเงียบงันเป็นเวลานาน จากนั้นฮ่องเต้ฮุยตี้ก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เดิมทีการล่อจับก็เหมือนการพนัน เรื่องเหนือความคาดหมายไม่ถือเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง จื่อวั่งไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เพียงแต่…” พระองค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคนที่ติดตามรับใช้คือองครักษ์ฉินปลอมตัวไป วิธีล่อเสือออกจากถ้ำเช่นนี้ กู้ชิง ปิดบังแม้กระทั่งข้า”

“กราบทูลฝ่าบาท” กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวคุกเข่าลง “กระหม่อมทำเช่นนี้ ประการแรกก็เพราะคำนึงถึงพระพลานามัยของพระองค์ ไม่ต้องการให้พระองค์ต้องทรงกังวลพระทัยเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ประการที่สอง…” กู้ซิ่งจือชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “กระหม่อมสงสัยว่าคนที่ลอบสังหารเสนาบดีเฉินจะเป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก หากเปิดเผยว่าการติดต่อเจรจาครั้งนี้เป็นเพียงการล่อจับปลอมๆ ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จ จึงได้คิดเองทำเอง ขอฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา”

มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังก้องที่ข้างหู เป็นเสียงกระเบื้องสีขาวกระทบกัน กู้ซิ่งจือเงยหน้าขึ้น เห็นบนโต๊ะมีโอสถกระเซ็นออกมาจำนวนมาก และใบหน้าของฮ่องเต้ฮุยตี้ก็ซีดเผือดลงอีก

“กู้ชิงดูจากอะไร”

กู้ซิ่งจือคุกเข่าอยู่อย่างสงบนิ่งขณะเอ่ยว่า “เสนาบดีเฉินถูกสังหารบนถนนหน้าวังหลวงเมื่อเจ็ดวันก่อน ตามที่บ่าวรับใช้ในจวนของเขาบอก คืนนั้นเสนาบดีเฉินนั่งรถม้าเข้ามาในวังหลวงเพื่อหารือกับฝ่าบาทเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันทางการทหาร บันทึกการปฏิบัติหน้าที่ในจวนแสดงให้เห็นว่าเขาได้พาคนสองคนติดตามมาด้วย…คนบังคับรถม้าคนหนึ่งและคนติดตามรับใช้คนหนึ่ง แต่หลังจากเกิดเหตุไม่นานก็มีทหารรักษาพระองค์ที่ลาดตระเวนในเมืองพบศพหลายร่าง ในจำนวนนี้เป็นร่างของเสนาบดีเฉินที่ถูกฟันคอหนึ่งแผลและที่หน้าอกหนึ่งแผล และร่างของคนบังคับรถม้าถูกฟันที่หน้าอกหนึ่งแผล นักชันสูตรพลิกศพได้ตรวจสอบแล้ว บอกว่าบาดแผลของทั้งสองคนเป็นสีดำ มีสาเหตุมาจากการอาบยาพิษบนกระบี่ นี่แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีการเตรียมตัวมาก่อน และพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าการเผชิญกับการลอบสังหารที่โหดเหี้ยมและการเตรียมการสังหารอย่างแยบยลเช่นนี้ คนติดตามรับใช้ในบันทึกการปฏิบัติหน้าที่คนนั้นกลับสามารถหนีเอาตัวรอดได้ และไม่ว่ากรมอาญากับศาลต้าหลี่จะค้นหาเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนติดตามรับใช้คนนั้นจะเป็นฆาตกร” ฮ่องเต้ฮุยตี้เอ่ยถาม

กู้ซิ่งจือไม่ปฏิเสธ พูดเพียงว่า “ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว หลังจากคนติดตามรับใช้คนนั้นหลบหนีไปได้ก็ไม่ได้รายงานต่อทางการ ไม่ขอความช่วยเหลือ กระหม่อมคาดเดาว่าถ้าเขาไม่ใช่ฆาตกร อย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้เรื่องราวภายในบ้าง แต่หลังจากที่กระหม่อมเปรียบเทียบบันทึกและศพแล้วก็พบว่าในรายชื่อบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเฉินไม่มีชื่อของคนติดตามรับใช้คนนี้”

“ดังนั้น?” ฮ่องเต้ฮุยตี้ขมวดคิ้ว

“ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องผิดปกติมากพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือพูด “เสนาบดีเฉินเข้าวังยามดึก กลับมีคนติดตามรับใช้ที่ไม่มีใครรู้จักตามมาด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเสนาบดีของราชสำนัก แม้แต่พ่อค้าผู้มั่งคั่งที่ออกไปข้างนอกยามดึกก็คงจะไม่ประมาทเช่นนี้ เป็นการเอาชีวิตของตัวเองไปไว้ในมือคนอื่นชัดๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ฮุยตี้ยืดกายขึ้น เห็นสีหน้าของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียดขึ้นมาก

“ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น” กู้ซิ่งจือมั่นใจ “คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่เสนาบดีเฉินรู้จักและไว้วางใจ”

ทันทีที่พูดออกไป ฮ่องเต้ฮุยตี้และฉินซู่ต่างตะลึงงัน

เฉินเหิงเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง คนที่จะได้รับความไว้วางใจจากเขาเดิมทีก็มีไม่มาก และทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงในราชสำนัก

บุคคลระดับนี้จะไม่มีวันลงมือเอง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนติดตามรับใช้ผู้นั้นจะถูกคนอื่นบงการ

ดังนั้นเพียงปล่อยข่าวออกมาก็ทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังคิดว่าคนติดตามรับใช้ผู้นั้นแปรพักตร์แล้วร่วมมือกับกรมอาญาโดยใช้วิธีแหวกหญ้าให้งูตื่น บีบให้งูพิษที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพงหญ้าออกมา

คำว่า ‘เชื่อใจ’ เป็นจุดอ่อนที่ใช้ได้เสมอ

ไม่เคยคิดเลยว่าเหยื่อจะได้ผล แต่ปลากลับหนีไปได้

เฮ้อ…เป็นปลาหางลื่นจริงๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: